ขณะที่ประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดน ถูกผู้คนรุมโห่สนั่นลั่นโลก ว่าลงเอยก็ตระบัดสัตย์ ออกมาใช้อำนาจประธานาธิบดี มอบ “อภัยโทษหมดจด” แก่บุตรชายเจ้าปัญหา หนึ่งพระหน่อของตน ให้ปลอดพ้นการรับผิดคดีอาญาต่างๆ และรอดคุกอย่างฉลุย ทั้งที่ผู้เฒ่าเคยประกาศจะสนับสนุนรักษาบรรทัดฐานอันดีงามของประเทศ อีกทั้งเคยลั่นคำสัญญาจะไม่แทรกแซงกระบวนการทางกฎหมายเพื่อช่วยลูกล้างลูกผลาญตระกูล นามว่า ฮันเตอร์ ไบเดน อย่างเด็ดขาด
แต่สำหรับทหารประจำการที่เป็นชาวข้ามเพศ LGTBQ+ ต่างจดจำรำลึกถึงประธานาธิบดีไบเดนแห่งพรรคเดโมแครต ในฐานะผู้นำของชาติซึ่งดำเนินการฉีกทิ้งกฎหมายอัปลักษณ์ปี 2019 ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งเปรี้ยวปากอยากจะผลักไสชาวทรานส์ให้พ้นออกจากแวดวงเพนตากอนให้หมดสิ้น
โดยในปี 2021 ประธานาธิบดีไบเดนประสบความสำเร็จในการยกเลิกกฎหมายแบนทหารข้ามเพศ ปี 2019 ของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ บิ๊กบอสของพรรครีพับลิกัน โดยไบเดนเต็มที่กับการส่งเสริมให้ทหารปฏิบัติภารกิจของประเทศชาติอย่างเต็มที่ ไม่ต้องทุกข์ขมกังวลใจและคอยแต่จะต้องปกปิดเพศสภาพแท้จริง อันเป็นแนวคิดเดียวกับอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่ว่าสหรัฐอเมริกาจะไม่ริดลอดสิทธิเสรีภาพของชาวทรานส์ในการรับใช้ชาติ เพราะตราบเท่าที่คุณสามารถปฏิบัติภารกิจลุล่วงได้ ก็จะไม่สำคัญเลยว่าคุณเป็นใคร
อานิสงส์แห่งกฎหมายปี 2021 ส่งผลให้ทหารชาว LGTBQ+ ได้กอบกู้ขวัญและกำลังใจ พร้อมกับปฏิบัติภารกิจด้วยคุณภาพจิตใจที่เข้มแข็ง หลังจากเจ็บช้ำจากกฎหมายแบนคนข้ามเพศของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์อยู่เป็นนาน
แต่แล้ว ข่าวร้ายจาก “จอมอคติ” เห็นผู้หญิงเก่งกร้าวแล้วอารมณ์เสีย เห็นผู้ชายอ่อนหวานแล้วหงุดหงิดพุ่งพล่าน ก็สะพัดออกมาเมื่อสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน 2024 ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนถัดไปของสหรัฐฯ จะลากเอากองทัพกลับสู่ยุคอันมืดมนด้วยอคติส่วนตัวอีกครั้งหนึ่ง
โดยชายชราขวาสุดโต่ง อนุรักษ์นิยมจัดจ้าน จ่อจะใช้วิธีการออกเป็น“คำสั่งฝ่ายบริหาร” ที่จะแบนไม่ให้มีทหารข้ามเพศอยู่ในกองทัพอเมริกัน แต่!! แม้ว่า“คำสั่งฝ่ายบริหาร” เป็นกฎหมายบังคับใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านรัฐสภา กระนั้นก็ตามลำดับแห่งศักดิ์ของกฎหมายยังต่ำกว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมที่บังคับใช้อยู่โอกาสที่ทหารทรานส์ที่จะไฝว้กลับ ยังมีอยู่ไม่ใช่น้อย
ในการนี้ สื่อค่ายใหญ่น้อยทั้งปวงรายงานว่าชายชราหัวอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง นามว่า ทรัมป์ เล็งจะเซ็นกฎหมายนี้ในรูปของคำสั่งประธานาธิบดี (Administrative Order) กันตั้งแต่วันแรกที่มีอำนาจดำเนินการได้คือ 20 มกราคม 2025 โดยจะมาในรูปแบบแห่งการปลดด้วยสาเหตุทางการแพทย์ว่า“ไม่สมบูรณ์” ที่จะปฏิบัติภารกิจ ซึ่งซันเดย์ไทมส์สื่อยักษ์ค่ายแรกที่รายงานข่าวนี้ระบุว่าทหารประจำการราว 15,000 รายจะได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่จะปลดกันง่ายๆ ดั่งใจคิด
โอกาสที่ทหารข้ามเพศ เหยื่อของโดนัลด์ ทรัมป์จะต่อสู้เพื่อแย้งข้อกล่าวหา และพิสูจน์ “ความสมบูรณ์” จนเป็นฝ่ายชนะคดีก็มีสูงอย่างยิ่ง
ข่าวระบุว่า ทรัมป์เล็งออกกฎหมายอันเปี่ยมไปด้วยอคตินี้ ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2025 ซึ่งเป็นวันแรกแห่งการเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 โดยตั้งใจกีดกันไม่ให้คนข้ามเพศใดๆ ได้เป็นทหารหาญของชาติ ซันเดย์ไทมส์ระบุอย่างนั้น ทั้งนี้ อเมริกาไม่มีทหารเกณฑ์ตั้งแต่ปี 1973 อันเป็นปีเดียวกันกับการถอนทหารออกจากเวียดนามใต้ ก่อนที่เวียดนามเหนือจะบุกเอาชนะและยึดครองเวียดนามใต้สำเร็จในปี 1975
ในการนี้ ว่าที่ประธานาธิบดีผู้ชรากว่า 78 กะรัต ได้วางตัวหนุ่มใหญ่นักรบนักรัก ประวัติอื้อฉาว นาม พีท เฮกเซธ อดีตพิธีกรข่าวคนดังแห่งฟ็อกซ์นิวส์ ให้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม โดยลั่นวาจาว่าจะยุบทุกหน่วยงานรัฐบาลที่มีนโยบายโว้ก (Woke - สนับสนุนสิทธิเสมอภาคชาว LGBTQ หรือก็คือ Lesbian, Gay, Bi-sexual, Transgender, & Queer)
ในระหว่างให้สัมภาษณ์ออกทางช่องพอดแคสต์เมื่อเดือนพฤศจิกายน เฮกเซธ พันตรีนอกราชการซึ่งหัวอนุรักษ์นิยมดุเดือดยิ่งกว่านายใหญ่อย่างทรัมป์ ระบุว่าการปล่อยให้คนข้ามเพศเข้ารับราชการทหาร (ในยุคของประธานาธิบดีไบเดน) เป็นอะไรที่ล้ำเส้นเกินไป โดยระบุว่ากองทัพไม่ควรจะรับคนข้ามเพศเข้าไปง่ายๆ เหมือนกับที่เปิดรับคนหลากหลายเชื้อชาติเข้าไป เพราะการเป็นคนข้ามเพศทำให้เกิดปัญหาซับซ้อนและความแตกแยก
เฮกเซธระบุด้วยว่าคนข้ามเพศเป็นทหารที่ส่งไปประจำการตามพื้นที่กลยุทธ์ทั้งหลายไม่ได้ เพราะทหารเหล่านี้ต้องพึ่งพิงสารเคมีมาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ซันเดย์ไทมส์ระบุว่าคำกล่าวอ้างของเฮกเซธปราศจากข้อมูลสนับสนุน
ด้านผู้บริหารภายในเพนตากอนให้ข้อมูลแก่ซันเดย์ไทมส์ว่าทหารกลุ่มที่ทรัมป์ตั้งเป้าจะปลดออก เป็นผู้ที่ประจำการในหน่วยที่สรรหาบุคคลที่เก่งและเป๊ะ เข้าไปได้ยาก และที่สำคัญคือ เป็นหน่วยที่อยู่ในภาวะขาดแคลนอย่างหนัก
“บุคลากรเหล่านี้จะถูกปลดออกในห้วงเวลาที่กองทัพไม่สามารถสรรหาคนมีศักยภาพสูงมาประจำการอย่างเพียงพอ” แหล่งข่าวของซันเดย์ไทมส์เปิดเผยไว้อย่างนั้น
การแบนทหารข้ามเพศไม่ให้ร่วมปฏิบัติงานในกองทัพ “จะบ่อนทำลายความพรักพร้อมของกองทัพ และซ้ำเติมวิกฤติการสรรหาบุคลากรที่ได้มาตรฐานมาร่วมปฏิบัติการ” ราเชล บรานาแมน ผู้อำนวยการบริหารแห่งสมาคมทหารยุคใหม่กล่าวไว้กับซันเดย์ไทมส์
พร้อมนี้ ยังบอกด้วยว่าจู่ๆ จะมาปลดออกตั้ง 15,000 รายได้อย่างไร ตอนนี้กองทัพยังขาดบุคลากรอยู่ตั้ง 41,000 ราย ทั้งในหน่วยปฏิบัติการสงคราม ไปจนถึงหน่วยชำนาญการพิเศษต่างๆ
“มันจะส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายสูงยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสูญเสียในแง่ของบุคลากรที่มากประสบการณ์และมีประสิทธิภาพการบังคับบัญชาอย่างใหญ่หลวง กองทัพอาจจะต้องใช้เวลาอีก 20 ปีและเสียงบประมาณอีกหลายพันล้านดอลลาร์ในการสร้างบุคลากรทดแทนหมื่นห้าพันราย” ราเชล บรานาแมน วิเคราะห์ผลกระทบที่กองทัพต้องแบกรับไว้อย่างนั้น
ด้านนักวิเคราะห์ของกองทัพเรือ เปาโล บาทิสตา ชี้ว่า การแบนทหารทรานส์ตั้งหมื่นห้าพันรายจะสร้างผลกระทบกระเพื่อมออกไปทั่วกองทัพ
“การที่คุณจะปลดออก 15,000 รายน่ะ อันที่จริงยังมีทหารทรานส์ที่ไม่เปิดตัวอีกเยอะ และนี่เป็น 15,000 รายในตำแหน่งลีดเดอร์ทั้งนั้น ทุกคนมีบทบาทสำคัญชัดเจนและทุกอย่างลงตัวกันดีแล้ว” เปาโล บาทิสตา วิเคราะห์ภาพรวมให้แก่ซันเดย์ไทมส์
สิ้นเปลืองจริงหรือ: โดนัลด์ ทรัมป์ อ้างว่าทหารทรานส์ใช้สวัสดิการรักษา ‘ความผิดปกติทางเพศ’ สูงมหาศาล
ชะตากรรมของทหารข้ามเพศอเมริกันเหวี่ยงไปมาภายในศึกไฝว้เชิงนโยบาย ระหว่างรัฐบาลเดโมแครต กับรัฐบาลรีพับลิกันของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยที่ว่านับจากที่ได้รับความเสมอภาคเท่าเทียมเป็นครั้งแรกในยุครัฐบาลโอบามา ปี 2016 ก็ต้องมาถูกลิดรอนโดยรัฐบาลทรัมป์ ปี 2019 แล้วมามั่นคงอีกหนึ่งช่วงในรัฐบาลไบเดน ปี 2021
และแล้วในอนาคตอนใกล้ นับจากปี 2025 เป็นต้นไป ทหารชาวทรานส์คงจะต้องไฝว้กับรัฐบาลทรัมป์อีกหลายซีซัน เพราะห้วงเวลานับจาก 20 มกราคม 2025 ไปสี่ปี จะเป็นอีกรอบที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ลงมือกีดกันชาวทรานส์ให้พ้นจากเพนตากอน
ทรัมป์กับนโยบายอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง แผลงฤทธิ์เล่นงานทหาร LGTBQ ตั้งแต่ปีแรกที่ทรัมป์เข้าครองทำเนียบขาวในศักราช 2017 โดยท่านผู้นำประกาศผ่านทวิตเตอร์หนึ่งชุดใหญ่ว่า จะแบนคนข้ามเพศไม่ให้เข้าไปเป็นทหารรับใช้ชาติ และพลพรรคตัวเอ้อย่าง พีท เฮกเซธ (ซึ่งลาออกจากราชการทหาร ไปทำงานเป็นพรีเซนเตอร์ตัวจี๊ดขวาจัด อยู่กับสถานีโทรทัศน์ข่าว ฟ็อกซ์ นิวส์ สื่อยักษ์ที่หากินร่ำรวยจากนโยบายข่าวอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง) ก็สนับสนุนความเคลื่อนไหวดังกล่าวของทรัมป์อย่างครึกโครม
หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ลั่นวาจาไปแล้ว เรื่องนี้กลายเป็นกฎหมายมีผลบังคับในปี 2019 และตามมาด้วยการบังคับใช้กฎหมาย ควบคู่กับการที่ผู้ตกเป็นเหยื่อของกฎหมาย พากันฟ้องร้องดำเนินคดีกันอื้ออึง
ด้านทำเนียบขาวที่ทรัมป์เป็นนายใหญ่ ออกคำแถลงสนับสนุนเจตจำนงของทรัมป์ว่า การมีทหารที่ได้รับการวินิจฉัยทางการแพทย์ว่ามีความผิดปกติทางเพศ (ซึ่งผลการวินิจฉัยจะนำไปสู่การรักษา เช่น การผ่าตัดแปลงเพศ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง) นำมาซึ่งความเสี่ยงใหญ่หลวงต่อประสิทธิภาพของกองทัพและอัตราการเสียชีวิต
ทรัมป์โหมกระแสกีดกันชาวทรานส์ภายในกระทรวงกลาโหม โดยทวิตข้อกล่าวหาว่า กองทัพ “ไม่สามารถแบกภาระค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์ซึ่งสูงมหาศาล ตลอดจนปัญหาความวุ่นวายที่เกิดจากทหารข้ามเพศ”
การขับเคลื่อนนโยบายเล่นงานชาวทรานส์ภายในยุครัฐบาลทรัมป์ 1.0 คือฝันร้ายกลายเป็นจริงที่ทำลายขวัญของทหารข้ามเพศ ซึ่งส่วนมากเป็นบุคลากรเก่งฉกาจอย่างโดดเด่น และเพิ่งแฮปปีสุดๆ กับอานิสงส์แห่งกฎหมายส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคของชาวทรานส์มาเพียงหนึ่งปี
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความริเริ่มของรัฐบาลบารัค โอบามา ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายครั้งสำคัญเกี่ยวกับกองทัพและชาวทรานส์ ชะงักงันทันทีที่นักธุรกิจขวาจัด นาม โดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวขึ้นยึดครองอำนาจการกำหนดนโยบายของประเทศนั่นเอง
ในห้วงที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประสบความสำเร็จในการยกเลิกบรรดากฎเกณฑ์ที่กีดกันตัดสิทธิ์ของคนข้ามเพศภายในกองทัพ และประกาศในปี 2016 ว่าทหารที่เป็นคนข้ามเพศสามารถปฏิบัติงานไปตามปกติโดยไม่ต้องปิดบังตัวตนแท้จริง นั้น เป็นยุคยามแห่งนโยบายใจกว้างและยอมรับความหลายหลายของมนุษยชาติอย่างแท้จริง
กระนั้นก็ตาม ทหารข้ามเพศที่เปิดตัวว่าเป็นผู้ชายในร่างกายผู้หญิง ตลอดจนเป็นผู้หญิงในร่างผู้ชาย ก็ไม่ได้มีจำนวนมหาศาลแต่อย่างใด โดยอยู่ที่ระดับไม่กี่พันราย หรือแค่เพียงไม่ถึง 0.5% - 1% ของผู้ที่รับราชการในกระทรวงกลาโหม
แต่สิ่งที่สำคัญ ในหนึ่งปีดังกล่าว กองทัพก็ส่งเสริมให้มีการเผยแพร่ผลงานการปฏิบัติภารกิจโดดเด่นของทหารข้ามเพศ
กองทัพอากาศนำเสนอเรื่องราวความเก่งกาจกล้าหาญของนาวาอากาศตรีเจสัน เวอโร นายทหารนักบินชาวทรานส์ ซึ่งปฏิบัติงานเสี่ยงตายช่วยชีวิตเพื่อนทหารหาญนับครั้งไม่ถ้วน และได้รับเหรียญกล้าหาญ ตลอดจนเครื่องราชอิสริยาภรณ์มากมาย
กระนั้นก็ตาม น.ต.เวอโร ก็ใช้เวลานานทีเดียวในการไตร่ตรอง ซึ่งเริ่มในปี 2017 กว่าจะตัดสินใจเปิดตัว และเข้ารับการเยียวยารักษาให้เพศสรีระอันเป็นหญิง มีความสอดคล้องกับเพศสภาพความเป็นชายซึ่งเป็นตัวตนแท้จริง ณ เดือนมิถุนายน ปี 2022 อันเป็นห้วง 3 ปีกว่าภายใต้รัฐบาลไบเดน ที่ชาวทรานส์ได้รับสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมกลับคืนมา
นาวาอากาศตรีเวอโร ผู้อำนวยการ Joint Base Andrews Air Show เปิดใจเล่าว่าในปี 2017 เคยประสบหายนะขณะออกปฏิบัติการหลายครั้ง โดยครั้งหนึ่ง ต้องลอยคออยู่ในมหาสมุทร ถูกคลื่นสาดกระหน่ำศีรษะตลอดเวลา ในห้วงเวลานั้น ได้ทบทวนตัวเองอย่างมากมาย และเมื่อเอาชีวิตรอดกลับไปได้ จึงเข้าปรึกษาหารือกับบาทหลวงในหน่วยบินอยู่นาน
แล้วค่อยๆ ขยายวงออกไปหารือกับบุคคลในครอบครัว และเพื่อนสนิทหลายคนนานปีกว่า แต่แล้วก็ต้องชะลอเรื่องไปก่อน เพราะในปี 2019 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สามารถผลักดันให้กฎหมายแบนทหารข้ามเพศ ผ่านรัฐสภาได้สำเร็จ
พอมาในปี 2021 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ผลักดันให้รัฐสภาฉีกกฎหมายแบนทหารข้ามเพศ พร้อมกับส่งเสริมให้ทหารปฏิบัติภารกิจของประเทศชาติโดยไม่ต้องทุกข์ใจกังวลและปกปิดเพศสภาพแท้จริง ด้านกองทัพอากาศก็สนองนโยบายของรัฐบาลแฃะดำเนินการตามกฎหมายใหม่อย่างเต็มที่
ดังนั้น น.ต.เวอโร พิจารณาทบทวนอย่างจริงจัง ก่อนจะตัดสินใจอย่างกระจ่างว่าจะข้ามเพศมาเป็นผู้ชายให้ตรงกับตัวตนแท้จริง และเข้ารับการรักษาเยียวยาตนเองที่มีความผิดปกติทางเพศ คือ ตัวตนแท้จริงเป็นชาย แต่ได้รับร่างกายเป็นหญิงมาตั้งแต่เกิด และแล้วในปี 2022 น.ต.เวอโร ก็ได้รับการรักษาให้เพศสรีระของตน เป็นไปอย่างสอดคล้องกับเพศสภาพด้วยดี
ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตัวเลขสถิติอย่างเป็นทางการปรากฏออกมาว่า กระทรวงกลาโหมมีค่าใช้จ่ายด้านการเยียวยารักษาทหารข้ามเพศในรอบ 3 ปีนับจาก 2020 (ปีสุดท้ายของยุครัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์) รวม 26 ล้านดอลลาร์ โดยจำนวนเจ้าหน้าที่กองทัพอเมริกันที่มีความผิดปกติทางเพศพุ่งสูงขึ้นหนึ่งเท่าตัว (เพราะสังคมมีความเข้าใจแล้วว่าความไม่สอดคล้องระหว่างเพศสรีระกับเพศสภาพ ที่แท้ก็เป็นแค่โรคภัยแห่งความผิดปกติทางเพศ ซึ่งสามารถรักษาให้เป็นปกติได้) ตัวเลขจึงเพิ่มขึ้นจากระดับ 1,800 ราย สู่ระดับ 3,700 ราย เดลิเมลออนไลน์รายงานตามที่ได้เห็นข้อมูลของกระทรวงกลาโหม
โดย 17.5 ล้านดอลลาร์ เป็นค่าใช้จ่ายด้านจิตบำบัดสำหรับชาวทรานส์ และ 1.5 ล้านดอลลาร์ เป็นค่าใช้จ่ายด้านยาฮอร์โมน และอีก 7.6 ล้านดอลลาร์ เป็นค่าใช้จ่ายด้านการผ่าตัดให้เพศสรีระตรงกับเพศสภาพหญิง-ชายที่แท้จริง ซึ่งมีตั้งแต่การปรับโครงหน้าให้ดูเป็นหญิงมากขึ้น เป็นชายชัดเจนขึ้น ไปจนถึงการผ่าตัดเพื่อเอาเต้านมออก หรือเพื่อเสริมเต้านม ตลอดจนผ่าตัดเพื่อให้อวัยะเพศกลายเป็นหญิงกลายเป็นชาย
ระบบรักษาพยาบาลของกองทัพอเมริกันมีค่าใช้จ่ายประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีในการดูแลบุคคล 3 กลุ่ม คือ ทหารประจำการ ทหารเกษียณอายุ และครอบครัวทหาร โดยดำเนินงานผ่านแผนสุขภาพ TRICARE
เว็บไซต์ของระบบรักษาพยาบาลแถลงว่าเกณฑ์ทั่วไปของ TRICARE ไม่ครอบคลุมถึงการผ่าตัดเพื่อรักษาความผิดปกติทางเพศ อย่างไรก็ตาม ทหารในกระทรวงกลาโหมสามารถร้องขอได้ในกรณีเป็นการผ่าตัดตามความจำเป็นทางการแพทย์ เพื่อให้มีเพศสรีระกับเพศสภาพที่ตรงกันอย่างถูกต้อง
ในการนี้ 26 ล้านดอลลาร์ต่อปี เพื่อรักษาให้ทหารหญิงแท้ในร่างกายผู้ชาย ได้มีร่างกายผู้หญิง ตลอดจนรักษาให้ทหารชายแท้ในร่างกายผู้หญิง ได้มีร่างกายผู้ชาย นั้น เป็นเรื่องที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าการรักษาทหารที่ป่วยด้วยโรคภัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหลอดเลือดหัวใจ ฯลฯ ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมดห้าหมื่นล้านดอลลาร์ การรักษาโรคผิดปกติทางเพศ 26 ล้านดอลลาร์ มิใช่จำนวนเงินมหาศาล แต่ที่สำคัญคือ ช่วยพัฒนาและรักษาชีวิตของบุคลากรในกองทัพได้คุ้มค่าอย่างแท้จริง
ในอีกมิติหนึ่ง หลายฝ่ายในกองทัพมองว่าหลังจากที่ทุ่มเทงบประมาณพัฒนาทหารทั้งหลาย รวมทั้งทหารข้ามเพศ ให้มีความรู้ความชำนาญต่างๆ จนเก่งฉกาจ แต่แล้ว ก็จะโละทหารข้ามเพศที่ผ่านการพัฒนาแล้วอย่างมหาศาล เพียงเพราะทัศนคติอนุรักษ์นิยมสุดโต่งของประธานาธิบดี ย่อมเป็นเรื่องไม่สมด้วยเหตุผล
ในการนี้ เดลิเมลออนไลน์บอกว่าจำนวนบุคลากรที่เป็นคนข้ามเพศทั้งหมดในแต่ละกองทัพมีเท่าไรนั้น ยังไม่ปรากฏตัวเลขสถิติที่แน่ชัด เพราะไม่ใช่ชาวทรานส์ทุกรายจะยื่นเรื่องขอรับการรักษา
แต่เมื่อแจกแจงข้อมูลที่มีอยู่ พบว่าเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ขอรับการรักษานั้น เพียงแค่ 3% ของบุคลากรทั้งหมดในกระทรวงกลาโหม
กล่าวคือ ตัวเลขที่รวบรวมได้ ณ เดือนเมษายน 2024 ระบุเพียงว่าบุคลากรในกองทัพที่แพทย์ลงความเห็นว่ามีความผิดปกติทางเพศ และเข้ารับการรักษาแล้ว อยู่ที่ 3,700 ราย โดยแจกแจงได้ดังนี้ ทหารบก 1,240 ราย ทหารเรือ 1,046 ราย ทหารอากาศ 1,024 ราย และนาวิกโยธิน 278 ราย โฆษกสำนักงานสุขภาพกระทรวงกลาโหมแถลงอย่างนั้น
รวมเป็นสัดส่วนแค่ 0.3% ของบุคลากรในกระทรวงกลาโหม ซึ่งน้อยกว่าชาวทรานส์ 0.6% ของประชากรอเมริกันทั้งหมด
ส่วนสำหรับตัวเลขในปี 2020 บุคลากรในกองทัพที่แพทย์ลงความเห็นว่ามีความผิดปกติทางเพศ และเข้ารับการรักษาแล้ว อยู่ที่ 1,892 ราย ประกอบด้วย ทหารบก 726 ราย ทหารเรือ 576 ราย ทหารอากาศ 449 ราย และนาวิกโยธิน 141 ราย
รวมเป็นสัดส่วน 0.1% จากบุคลากรที่ประจำการในขณะนั้น 1,333,822 ราย
ในการนี้ ตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น สอดคล้องกับสัดส่วนระหว่างคนข้ามเพศต่อประชากรทั้งหมด โดยจำนวนคนข้ามเพศที่เปิดตัวเพิ่มมากขึ้น เป็นไปตามแนวโน้มของสังคมโดยรวม ที่ยอมรับและเปิดกว้างแก่ LGTBQ เดลิเมลออนไลน์วิเคราะห์อย่างนั้น
ทรัมป์ ต่อต้านชาวทรานส์ลึกซึ้งไหมยังไม่ฟันธง แต่ที่แน่ๆ เมื่อทรัมป์และรีพับลิกันโหมกระพือความกลัวและเกลียดชาวข้ามเพศ ก็สามารถดึงดูดให้กลุ่มชนขวาจัด ตัดสินใจได้เลยว่าต้องมีทรัมป์มาสยบชาวทรานส์
โดนัลด์ ทรัมป์ ต่อต้านเกลียดชังคนข้ามเพศดุเดือดฝังใจเพียงใดยังฟันธงลงไปไม่ได้ แต่ที่ระบุได้ร้อยเปอร์เซนต์คือ ทรัมป์มิได้หมายจะเล่นงานเฉพาะคนข้ามเพศในกองทัพเท่านั้น หากแต่เล็งจะบีฑาชาวทรานส์ในทุกภาคส่วนกันเลยทีเดียว
ตลอดห้วงแห่งการรณรงค์หาเสียง โดนัลด์ ทรัมป์ และบรรดาพรรคพวกในพรรครีพับลิกัน ทุ่มทุนสร้างหลายสิบล้านดอลลาร์ในการผลิตและเผยแพร่โฆษณาบีฑาชาวข้ามเพศ ทั้งๆ ที่ชาวทรานส์เป็นกลุ่มชนจำนวนไม่ถึง 1% ของประชากรในสหรัฐฯ
พร้อมกันนั้น ทรัมป์ประกาศไว้เลยว่าจะยกเลิกทุกความคุ้มครองสิทธิที่ชาว LGBT+ ได้รับอยู่ อีกทั้งยังจ่อจะออกกฎห้ามนักศึกษาชาวข้ามเพศ (เช่น ผู้หญิงในร่างผู้ชาย) ไม่ให้ใช้ห้องน้ำสตรี ไม่ให้เล่นกีฬาทีมสตรี ยิ่งกว่านั้นก็คือ ทรัมป์หมายมั่นตั้งใจจะห้ามไม่ให้การวินิจฉัยว่าเด็กเป็นโรคผิดปกติทางเพศ อยู่ในข่ายของสวัสดิการรักษาพยาบาลทั่วประเทศ ดิอินดีเพนเดนท์นำเสนอไว้อย่างนั้น
ที่ผ่านมา พลพรรครีพับลิกันได้ยื่นร่างกฎหมายระดับรัฐหลายร้อยฉบับที่ต่อต้านคนข้ามเพศ และเมื่อผลการนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 เสร็จสิ้น โดยทรัมป์เป็นผู้ชนะเลือกตั้งเหนือรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส แล้ว ในการประชุมสภาเพื่อผลักดันกฎหมายใหม่ว่าด้วยการห้ามชาวทรานส์ผู้หญิงในร่างผู้ชาย ไม่ให้เข้าไปใช้ห้องน้ำสาธารณะที่จัดไว้สำหรับสตรี ไม่ว่าจะในรัฐไหนๆ ของอเมริกานั้น บรรดาสมาชิกรัฐสภาอเมริกันสายรีพับลิกันใช้เวทีสภา ช่วยกันปราศรัยใส่ร้ายป้ายสีชาวทรานส์ นานเป็นหลายชั่วโมง ดิอินดีเพนเดนท์รายงาน
ทั้งนี้ พรรครีพับลิกันปักธงเลยว่าการผลักดันสองภารกิจดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจเร่งด่วนและสำคัญที่สุด
ความร้อนรนของทรัมป์ที่จะบีฑาคนข้ามเพศส่อแววจะดุเดือดและสร้างความแตกแยกในสังคมอเมริกันอย่างสุดฤทธิ์ตามคำพูดฟุ้งซ่านแต่เขย่าขวัญคนอเมริกันสายอนุรักษ์นิยมอย่างเหลือเกินว่า เราต้องป้องกันลูกของคุณไปโรงเรียน แล้วอีกสองสามวันให้หลัง ก็กลับบ้านโดยที่ไปผ่าตัดแปลงเพศเสร็จมาแล้ว
เขย่าขวัญถึงขั้นนี้กันทีเดียว ก็ไม่น่าประหลาดใจว่าชาวขวาจัดและชาวอนุรักษ์นิยมสุดโต่งหลายสิบล้านรายในสหรัฐอเมริกา จึงแห่กันไปอุ้มทรัมป์เข้าทำเนียบขาว
ทั้งนี้ เอพีรายงานว่าโพลโดย Gallup ซึ่งสำรวจความคิดเห็นในเดือนพฤษภาคม 2024 พบว่า 51% ของประชากรอเมริกันบอกว่าการเปลี่ยนแปลงเพศเป็นสิ่งผิดในเชิงศีลธรรม
ชาวทรานส์คงอยู่ลำบากในยุคทรัมป์ 2.0 และจะหนักหนากว่าเมื่อรอบที่แล้วแน่นอน!!
คอลัมน์ PLANET No.3
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา: เดอะซันเดย์ไทมส์ เดลิเมลออนไลน์ ดิอินดีเพนเดนท์ นิตยสารไทม์ บีบีซี เอพี รอยเตอร์)