นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวในโอกาสเป็นผู้แทนกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในฐานะเจ้าของสถานที่ กล่าวต้อนรับผู้มาร่วมงานการจัดเวทีเสียงประชาชนถึงรัฐบาลและรัฐสภา "รวมพลังคนไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า" ณ ลานคนเมืองศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร โดยมีการยื่นรายชื่อคนไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า 592,727 รายชื่อ พร้อมข้อเรียกร้องจากหน่วยงานภาคีเครือข่ายต่อผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป โดย ศ.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ กล่าวถึงความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของการจัดงาน
โดยวันนี้ ผู้แทนเครือข่ายต่างๆ อาทิ สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ผู้แทน 972 องค์กร มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เครือข่ายวิชาชีพสุภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ผู้แทน 23 องค์กรวิชาชีพสุภาพ ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ เครือข่ายพยาบาลเพื่อการควบคุมยาสูบแห่งประเทศไทย เครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาปลอดบุหรี่ สภาผู้ปกครองและครูแห่งประเทศไทย สมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทย สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย เครือข่ายครูเพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่ เครือข่ายครอบครัวปลอดบุหรี่ เครือข่ายเยาวชนไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า ร่วมจัดเวที "รวมพลังคนไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า" เพื่อยื่นรายชื่อคนไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า 592,727 รายชื่อ ต่อประธานรัฐสภา ประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย หัวหน้าพรรคการเมือง และรัฐมนตรีว่าการสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้คงกฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งเร่งบังคับใช้กฎหมายอย่างเร่งด่วนจริงจัง เพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนไทยจากบุหรี่ไฟฟ้าที่ระบาดอย่างหนักในขณะนี้
ทั้งนี้ แกนนำนักเรียน GenZ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา 2 ได้กล่าวข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร ในการปกป้องเด็กและเยาวชนให้ปลอดภัยจากบุหรี่ไฟฟ้า ดังนี้ 1. ขอให้รัฐบาล คงกฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า เพิ่มการกำกับดูแลรวมถึงป้องกันการแทรกแซงนโยบายของบริษัทบุหรี่และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 2. ขอให้ภาครัฐและผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายดำเนินการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย จับกุมร้านค้าหรือผู้ที่ลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มบทลงโทษให้สูงขึ้น รวมถึงเฝ้าระวังและควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จของอุตสาหกรรมยาสูบ 3. ขอให้รัฐบาลและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการศึกษา ครอบครัวและชุมชน เร่งสร้างความรับรู้เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าแก่เด็ก เยาวชน และประชาชน และ 4. ขอให้ภาครัฐและกระทรวงที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงาน ด้านการวิจัย และการจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าต่อสุขภาพของเด็กและเยาวชน รวมถึงนำผลการวิจัยและผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าต่อสุขภาพของเด็กเยาวชนและประชาชน ไปใช้ในการปรับปรุงนโยบายและกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า
ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้ามีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงและรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งการสำรวจในปี 2565 พบว่าเยาวชนไทยอายุน้อยกว่า 15 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้ามากถึง 17.6% เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มีอยู่ 3.3% โดยสัดส่วนที่เพิ่มมากที่สุดคือเด็กหญิง คือเพิ่มขึ้นถึง 7.9 เท่า ส่วนเด็กชายเพิ่มขึ้น 4.3 เท่า
ทั้งนี้ งานวิจัยทางการแพทย์ล้วนยืนยันว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าของประชาชนทุกเพศทุกวัยไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ซึ่งนิโคตินและสารเคมีอื่นๆ ในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า มีผลเสีย ต่อสมองของเด็กและเยาวชนมากขึ้นกว่าบุหรี่แบบเดิม ทำให้เด็กและเยาวชนมีพัฒนาการที่ช้าด้อยคุณภาพลง ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมองตีบและแตก โรคถุงลมโป่งพอง มะเร็งปอด โรค NCD รวมทั้งโรค อุบัติใหม่ ปอดอักเสบรุนแรงเฉียบพลัน (EVALI) ส่วนด้านจิตใจ มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย ในด้านเศรษฐกิจ ทำให้ภาคครัวเรือนและภาครัฐต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงขึ้นหลายเท่า และในด้าน สังคม ทำให้เด็กเรียนหนังสือแย่ลง รวมทั้งเป็นประตูนำสู่สิ่งเสพติดอื่นๆ เกิดปัญหาความรุนแรง อาชญากรรม เป็นต้น