พระราม 2 รถแน่น ทล.ยังปิดจราจรช่องทางหลักฝั่งขาออกลงใต้ เร่งระบายรถเบี่ยงใช้คู่ขนาน เร่งวางแผนใช้เครนรื้อโครงสร้างเหล็ก และยกชิ้นส่วนพื้นสะพาน (segment) ที่ค้างอยู่ข้างบนโครงสร้างลงให้เร็วที่สุด
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า สภาพการจราจรบนถนนพระราม 2 ช่วงเช้าวันนี้ (2 ธันวาคม 2567) เวลา 07.00-10.00 น. ชะลอตัวและมีรถหนาแน่น เนื่องจากปิดการจราจรในช่องทางหลักทั้งขาเข้าและขาออกกรุงเทพฯ บริเวณจุดเบี่ยงเข้าถนนเอกชัย โดยขาเข้ากรุงเทพฯ มีปริมาณรถปานกลาง การจราจรคล่องตัว ส่วนขาออกกรุงเทพฯ มีปริมาณรถมาก แต่ยังเคลื่อนตัวได้ดี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดกำลังพลประจำจุดเบี่ยงออกคู่ขนาน เพื่ออำนวยความสะดวก เร่งระบายรถ และแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด จึงขอให้ประชาชนเผื่อเวลาในการเดินทาง
ทั้งนี้ ทล.ขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้รถใช้ถนนพระราม 2 ใช้เส้นทางเลี่ยง ดังนี้
- ขาเข้ากรุงเทพฯ:
รถจากภาคใต้: ใช้ถนนเพชรเกษม เข้ากรุงเทพฯ
รถจากสมุทรสงคราม/บางโทรัด: ใช้ ทล.375 มุ่งหน้าอำเภอบ้านแพ้ว ไปออกนครปฐม ขึ้นถนนเพชรเกษม เข้าถนนบรมราชชนนี
รถจากมหาชัย-สมุทรสาคร: ใช้ถนนเศรษฐกิจ-ถนนพุทธสาคร-ถนนพุทธมณฑลสาย 4-ถนนบรมราชชนนี
- ขาออกกรุงเทพฯ:
รถจากกรุงเทพฯ: ใช้ถนนบรมราชชนนี เข้าถนนเพชรเกษม มุ่งหน้าลงใต้
รถจากต่างระดับบางขุนเทียน: ใช้ถนนเลียบชายทะเลบางขุนเทียน เข้าตัวเมืองมหาชัย เข้าถนนพระราม 2 มุ่งหน้าลงใต้
หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวง โทร. 1586
สำหรับความคืบหน้าการเคลียร์พื้นที่ เจ้าหน้าที่ได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดการเคลื่อนตัวของโครงสร้างตอม่อเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อวานนี้ (1 ธ.ค. 67) และช่วงเช้าวันนี้ (2 ธ.ค.) ทีมงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายกำลังประชุมวางแผนเพื่อหาข้อสรุปในการกำหนดจุดติดตั้งเครนเพื่อประคองโครงสร้างเหล็กและยกชิ้นส่วนพื้นสะพาน (segment) ที่ค้างอยู่ลงมา พร้อมทั้งอุปกรณ์และชุดอุปกรณ์ Safety เพื่อความปลอดภัยในการเริ่มทยอยยกชิ้นส่วนสะพานคอนกรีตที่ยังติดค้างอยู่ลงมาด้านล่าง โดยการดำเนินการทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้การกำกับและควบคุมของทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญตลอดเวลา
นายอภิรัฐกล่าวว่า ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 7 ราชบุรี, สำนักงานประกันสังคมจังหวัดสมุทรสาคร และบริษัทต้นสังกัดของลูกจ้างที่เสียชีวิต เพื่อดำเนินการเยียวยาและให้ความช่วยเหลือแก่ทายาทของผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวน 15 ราย โดยจะเร่งรัดให้ได้รับสิทธิความคุ้มครองจากการประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานโดยเร็วที่สุด