จันทบุรี- ด่านศุลกากรจันทบุรี ร่วมเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ตรวจยึดอุปกรณ์ Starlink ลักลอบนำเข้าผ่านชายแดนโป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี โดยไม่มีใบอนุญาตจาก กสทช. จำนวน 12 ชุด คาดเป็นของขบวนการมิจฉาชีพข้ามชาติ
เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ (29 พ.ย.) นายพรชัย จรเสนาะ หัวหน้าฝ่ายสืบสวนและปราบปรามศุลกากร ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายด่านศุลกากรจังหวัดจันทบุรี ได้ร่วมกับ พล.ร.ต.ขวัญชัย ขำสม รองผู้บัญชาการกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) นาวาเอกวิรัตน์ ตะโจปะรัง ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี พ.ต.อ.คมน์สร มาบำรุง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี และตำรวจชุดสืบสวนจังหวัดจันทบุรี เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน
รวมทั้งตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด. กก.11) เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี ฝ่ายปกครองอำเภอโป่งน้ำร้อน และเจ้าหน้าที่ศุลกากรจันทบุรี ได้ร่วมกันแถลงข่าวการตรวจยึดอุปกรณ์รับส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมยี่ห้อ Starlink จำนวน 12 ชุด มูลค่ารวมกว่า 240,000 บาท ซึ่งลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศโดยไม่มีใบอนุญาตจาก กสทช. ที่ด้านหน้าหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี
การตรวจยึดดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบรถบรรทุกพัสดุของบริษัทขนส่งแห่งหนึ่ง ที่ด่านเขาเกลือ อ.โป่งน้ำร้อน กระทั่งพบอุปกรณ์ Starlink จำนวน 3 ชุด มูลค่า 60,000 บาท อยู่ภายในรถ
ต่อมา วันที่ 28 พ.ย. ยังได้ตรวจสอบพัสดุต้องสงสัยในบริษัทขนส่งอีกแห่งหนึ่งใน อ.โป่งน้ำร้อน ซึ่งพบอุปกรณ์ Starlink อีกจำนวน 9 ชุด มูลค่า 180,000 บาท จึงนำของกลางทั้งหมดส่งให้ศุลกากรจังหวัดจันทบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
โดยผู้กระทำผิดในเรื่องดังกล่าวจะถูกดำเนินคดีตามมาตรา 242, 246 และ 252 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 และมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498
นาวาเอกวิรัตน์ ตะโจปะรัง ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี เผยว่าอุปกรณ์ Starlink ที่ลักลอบนำเข้าเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือการพนันออนไลน์ เนื่องจากอุปกรณ์ 1 เครื่องสามารถรองรับสัญญาณโทรศัพท์ได้มากกว่า 7,000 หมายเลข ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อประชาชนและสังคมอย่างมหาศาล
ขณะที่ พ.ต.อ.คมน์สร มาบำรุง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ขยายผลการสืบสวน เพื่อติดตามผู้เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นมาตรการเชิงรุกในการสกัดกั้นการนำเข้าอุปกรณ์ผิดกฎหมาย และป้องกันภัยจากขบวนการมิจฉาชีพข้ามชาติที่กำลังแพร่ระบาดในปัจจุบัน