ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ แฉพฤติการณ์นรกแตก "ทนายตั้ม-ทนายสายหยุด" โปรดทราบ งานนี้ "พี่อ้อย" ไปสุดซอยเท่านั้น!!
ว่าด้วย "ทนายปาเกียว" สายหยุด เพ็งบุญชู ให้สัมภาษณ์เมื่อวันก่อนว่า ได้ยกหูโทรคุยกับ "ทนายพี่อ้อย" บอกว่า “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด ยินยอมชดใช้เงินทุกบาททุกสตางค์คืนแก่ "พี่อ้อย" จตุพร อุบลเลิศ โดยทนายสายหยุดอ้างว่า คดีฉ้อโกง หากไปถึงขั้นศาล ศาลท่านก็ต้องให้ไกล่เกลี่ยอยู่แล้ว สู้รุกเจรจาไว้ก่อนเป็นทางที่ดี สำหรับสองฝ่าย
หลังจากวันนั้นสังคมก็รอคำตอบว่าฝ่ายของ "พี่อ้อย" จะตอบกลับทนายสายหยุดตัวแทนทนายตั้ม ว่าอย่างไร
ล่าสุดมีคำตอบออกมาแล้ว ใครที่ได้รับชมไลฟ์สด "สนธิเล่าเรื่อง" โดยสนธิ ลิ้มทองกุล ผ่านช่องทางยูทูบ Sondhitalk เมื่อเช้าวันพุธ (20พ.ย.) ก็น่าจะได้รับทราบไปพร้อมๆกัน กับทนายปาเกียว
ว่างานนี้คำตอบคือ ไป"สุดซอย" เท่านั้น!
ก่อนหน้านั้นเรื่องข้อเสนอของทนายสายหยุดที่โทรหาทนายพี่อ้อย และภายหลังพี่อ้อยทราบเรื่องแล้วให้ พี่น้อย เลขาฯโทรหา "สนธิ" ในฐานะที่รับเรื่องร้องทุกข์ ทำหน้าที่สื่อมาตั้งแต่ต้นจนถึงการนำไปสู่การดำเนินคดีทนายคนดัง มอบอำนาจการตัดสินใจในเรื่องนี้ ซึ่ง “สนธิ” ก็ได้ให้คำตอบดังกล่าว
เป็นอันว่า “ทนายสายหยุด” โปรดฟังอีกครั้ง คดีของ “ทนายตั้ม”นั้น ทาง “พี่อ้อย”มีเจตจำนงแน่วแน่ ไม่รับข้อเสนอ ขณะที่ “สนธิ”ประกาศชัด เมื่อเข้าซอยแล้วต้องไปให้สุดซอย
นี่เป็นที่มาของคำว่า "นรกแตก" ที่มีผู้สนใจรับชมไลฟ์สด "สนธิเล่าเรื่อง" แสนกว่าคน เป็นประจักษ์พยาน
นอกจากคำตอบของพี่อ้อยที่ฝั่งทนายตั้มรอคอยแล้ว สนธิ ยังเปิดโปงพฤติการณ์นรกแตกของทนายตั้มที่ทำให้ผู้ฟังอึ้งไปทั้งบาง
โดยเฉพาะกรณีทนายตั้ม ต้องการเป็น "ผู้จัดการมรดก" ของ “พี่อ้อย” ด้วยการให้ทำพินัยกรรมตั้งแต่ช่วงแรกที่พี่อ้อยว่าจ้างบริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด เป็นที่ปรึกษากฎหมายไม่กี่วันเมื่อปี 65 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 66
เจตนาของ “ทนายตั้ม” ต้องการอะไรย่อมเป็นที่คาดเดากันได้
แถมหลังทำพินัยกรรม ฉบับที่ 2 มีเหตุการณ์ที่ชวนคิด เมื่อทนายตั้มได้ชักชวนพี่อ้อยและคณะ ไปเที่ยวแพที่เขื่อนรัชประภา ซึ่งใครที่เคยไปก็จะทราบว่า ที่นั่นไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ การสื่อสารตัดขาดจากโลกภายนอก
ครั้งนั้น “ษิทรา” อ้างกับ “พี่อ้อย” ว่า จะพาไปรู้จักนายตำรวจคนหนึ่งซึ่งเป็นคนใต้ คือ “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล”หรือ โจ๊ก นั่นเอง เหมือนกับที่ไปฮ่องกงไปเจอ อนุทิน ชาญวีรกุล และ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ แต่พี่อ้อยไม่อยากไป เพราะไม่อยากลำบาก และ ไม่อยากรู้จักใคร
ถือเป็นความโชคดี ที่ “พี่อ้อย” เศรษฐีนีชาวปากช่องไม่ไปด้วยในตอนนั้น ซึ่งถ้าไปก็ไม่มีใครทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือไม่ !?
หลังจากทำพินัยกรรม ฉบับที่ 2 ทั้งพี่อ้อย และพี่น้อย เลขาฯพยายามทวงถามพินัยกรรมคู่ฉบับ แต่ทนายตั้ม ก็ไม่นำมาให้ กระทั่งแตกหักเรื่องรถเบนซ์ ได้ทำหนังสือทวงถามพินัยกรรม แต่ทนายตั้ม ตอบกลับว่า ทำลายไปหมดแล้ว ทั้งที่ไม่ได้ถาม หรือทำลายต่อหน้า
นอกจากนี้ยังพบว่า สัญญามีพิรุธและช่องโหว่ เช่น ให้ลงนามเฉพาะหน้าสุดท้าย แทนที่จะลงนามสัญญาทุกหน้า เพราะฉะนั้นฟันธงลงไปได้ว่า เป็นพินัยกรรมปลอม และพินัยกรรมสอดไส้ ที่จงใจทำโดยคนรู้กฎหมายอย่าง “ทนายตั้ม” ล่อลวงคนไม่รู้กฎหมายอย่าง “พี่อ้อย” หรือไม่ ปัญญาชนย่อมวิเคราะห์ได้เอง
ต้นปี 2567 หลังจาก “พี่อ้อย” ใจสลาย เห็นพฤติกรรมหลายอย่างของ “ทนายตั้ม” ก็ได้ยกเลิกพินัยกรรมกับทนายตั้มทุกฉบับ แล้วไปทำพินัยกรรมฝ่ายเมือง จัดทำที่อำเภอมีเจ้าหน้าที่รัฐรับรอง
นี่เป็นพฤติการณ์ “นรกแตก” ของทนายตั้ม EP ล่าสุด ที่เปิดเผยออกมาจากที่ "พี่อ้อย" เล่าตอกย้ำพฤติการณ์ "ฉ้อโกงโดยสันดาน" สุดติ่งของษิทรา เบี้ยบังเกิด ที่วันนี้ "ทนายสายหยุด" ก็น่าจะคาบจะข่าวไปบอกลูกความในคุกว่า..งานนี้ “พี่อ้อย”ไปสุดซอย!
++ พรรคโอกาสใหม่ รวมพลอดีตบิ๊กขรก. มีนายทุนใหญ่หนุน เป้าหมายใช่แค่เป็นพรรคร่วม
แม้การเลือกตั้งสส.ครั้งใหม่จะมีขึ้นในปี 2570 ถ้ารัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร อยู่ครบเทอม
แต่เมื่อช่วงต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมานี้ มีความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองใหม่ เตรียมลงสนามเลือกตั้งกันแล้ว ชื่อ “พรรคโอกาสใหม่” มีการจัดประชุมใหญ่ เลือกกรรมการบริหารพรรค จัดวางทีมงาน
เข้าไปส่องดูพบว่า ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการเกษียณ มาจากสายปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีอดีตผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ หลายคน ยังมีอดีตบิ๊กกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บิ๊กตำรวจ เข้ามาร่วมด้วย
หัวหน้าพรรค คือ “สุปกิต โพธิ์ปภาพันธ์” อดีตผู้ว่าฯลพบุรี ...เลขาธิการพรรค คือ “ธงชัย ลืออดุลย์” อดีตผู้ว่าฯนครราชสีมา อดีตผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ และอดีตผู้ว่าฯบึงกาฬ ... เหรัญญิกพรรค คือ “โสภณ ทองดี” อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และอดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ว่ากันว่าผู้ที่เป็นกำลังใจคนสำคัญ ในการขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังพรรคโอกาสใหม่ คือ “ปลัดฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับ “กลุ่มอำนาจเก่า 3ป.” และยังมี “ปลัด ต.” ที่เคยอยู่กระทรวงมหาดไทย ซึ่งปัจจุบันยังไม่เกษียณ มาร่วมด้วยช่วยอีกแรง โดยมี “นายทุนใหญ่” ที่นักการเมืองอยากอยู่ชิดใกล้ ให้การสนับสนุนด้านการเงิน
ในทางการเมืองวิเคราะห์กันว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อไม่มี “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นคนนำทัพ ก็คงเดินต่อได้ยาก เช่นเดียวกับ พรรคพลังประชารัฐ ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ขณะนี้นอกจากต้องเป็นฝ่ายค้าน แล้วยังเจอมรสุมหนักจากพฤติกรรมของคนรอบข้างลุง ทำชื่อเสียงย่อยยับ อีกทั้ง “กลุ่มผู้กองธรรมนัส” ก็แยกตัวไปแล้ว จึงยากที่จะเป็นแรงดึงดูดคนใหม่ หรือรักษาคนเก่าเอาไว้
“พรรคโอกาสใหม่” จึงอาจเป็นโอกาส เป็นทางเลือก ทางรอด ของนักการเมืองจาก “พรรคลุง” ทั้งสองพรรค
โดยเฉพาะ “ปลัดฉิ่ง” แม้จะเกษียณอายุราชการไปแล้ว แต่ยังมีตำแหน่งสำคัญในหลายองค์กร มีเครือข่ายกว้างขวาง ขณะที่ “ปลัดต.” แม้ยังอยู่ในราชการ แต่ก็มีความใกล้ชิดกับบุคคลในแวดวงการเมืองมาโดยตลอด
เรียกว่าถ้าเป็นเรื่องดีลการเมืองแล้ว ระหว่างสองคนนี้ ไม่รู้ว่าใครเป็น “ซือแป๋” ใครเป็น “อาจารย์”
ทั้งคู่สามารถนัดพบเจรจากับนักการเมืองของทั้งสองพรรค หรือแม้กระทั่งเดินเข้าบ้านป่ารอยต่อฯ
การเกิดขึ้นของ “พรรคโอกาสใหม่” หลายคนอาจมองว่า เป็นพรรคเครือข่ายของพรรคเพื่อไทย หรือพรรคอะไหล่ ที่มีหน้าที่ลงสนาม มาเตะตัดขา พรรคประชาชน หรือ พรรคภูมิใจไทย ไม่ให้โตไปกว่านี้
เต็มที่ พรรคโอกาสใหม่อาจเป็นได้เพียงแค่พรรคขนาดกลาง ที่อยู่ในฝ่าย “อนุรักษ์นิยม” รอร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ประกาศตั้งเป้าเลือกตั้งครั้งหน้า ต้องมี 200 เสียง
แต่การเมืองไทย ไม่ได้มีสูตรตายตัว ทุกย่างก้าวมีเหตุให้เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ถ้าเกิดพรรคเพื่อไทย ที่มี “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งเป็นพ่อของหัวหน้าพรรค หรือ “รัฐบาลแพทองธาร” เกิดสะดุดขาตัวเองล้ม หรือ นายทุนพรรคโอกาสใหม่ ทุ่มเท ให้การสนับสนุนในการเลือกตั้งอย่างสุดกำลัง
หลังการเลือกตั้งหากพรรคโอกาสใหม่ ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนจนเป็นพรรคขนาดใหญ่ ถึงเวลานั้นคงไม่หยุดอยู่แค่ “พรรคร่วม” แต่อาจจะเป็น “พรรคแกนนำ” ในการจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นได้
เหลือเวลาอีกตั้ง 2 ปีกว่า จะถึงเวลาเลือกตั้ง อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้