“อนุดิษฐ์” มอง “ภูมิธรรม” เปิดโต๊ะคุย “สอป.” สะท้อน รบ.ตั้งใจทำให้การจัดซื้ออาวุธกองทัพโปร่งใส พร้อมส่งเสริม ศก.ประเทศ หวังเริ่มทันทีจัดซื้อ “บินรบ” ฝูงใหม่ ที่ควรรอข้อเสนอที่คุ้มค่า-เป็นรูปธรรม ชงหากข้อเสนอยังไม่ดีพอ สามารถปรับเครื่องบินรบยุค 4.5 ที่ถูกกว่า-ตอบโจทย์อุตฯป้องกันประเทศ แทนไปก่อน
จากกรณีที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตผู้บังคับฝูงบิน F-16 และอดีต รมว.ไอซีที ได้แสดงความเห็นต่อการจัดซื้อเครื่องบินรบของกองทัพอากาศไทย (ทอ.) โดยเน้นถึงความสำคัญของการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าและผลกระทบต่อยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และล่าสุด นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้มีการประชุมหารือร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (สอป.) เมื่อวันที่ 14 พ.ย.67 ที่ผ่านมา เพื่อหาแนวทางบูรณาการความเชี่ยวชาญในประเทศกับมาตรฐานระดับสากล เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในภูมิภาค นั้น
รายงานข่าวจากสมาคมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เปิดเผยว่า ในการประชุมร่วมกับ นายภูมิธรรม สมาคมฯ ได้เสนอแนวทางสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในประเทศไทย ใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.พัฒนาขีดความสามารถในประเทศ โดยส่งเสริมการต่อเรือฟริเกต การผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีอวกาศ รวมถึงการพัฒนา UAV เพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศ, 2.ยกระดับมาตรฐานสู่ระดับสากลืโดยผลักดันให้อุตสาหกรรมในประเทศเป็นไปตามมาตรฐาน NATO และ ISO และ 3.นโยบายชดเชย (Offset Policy) ที่ชัดเจน โดยสนับสนุนการจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อกำหนดแนวทางที่เป็นรูปธรรม และตรวจสอบได้
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวเสริมว่า การประชุมระหว่าง นายภูมิธรรม ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ซึ่งกำกับดูแลด้านความมั่นคง กับ สมาคมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการสร้างความโปร่งใส และมุ่งหวังให้โครงการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ ช่วยยกระดับเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศในระยะยาว และควรนำไปสู่การสร้างสมดุลระหว่างการตอบสนองความต้องการทางยุทธการของกองทัพ และการส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศ โดยหวังว่าโครงการจัดซื้ออาวุธของกองทัพต่อจากนี้ จะไม่เพียงตอบโจทย์ด้านการป้องกันประเทศ แต่ยังช่วยสร้างงานและเพิ่มขีดความสามารถในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งเท่าที่ติดตามเห็นว่าข้อเสนอของ สมาคมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลควรจะส่งเสริมผลักดันให้เป็นรูปธรรม ซึ่งก็สามารถเริ่มได้ตั้งแต่การจัดหาเครื่องบินขับไล่ฝูงใหม่ของ ทอ.
“การจัดซื้อเครื่องบินรบใหม่ของไทยใช้งบประมาณสูงถึง 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับเป็นการลงทุนสำคัญที่ต้องมีความรอบคอบ ทั้งในด้านยุทธศาสตร์ ความคุ้มค่า และผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” น.อ.อนุดิษฐ์ ระบุ
น.อ.อนุดิษฐ์ ยังได้กล่าวย้อนด้วยว่า ความสำเร็จจากโครงการจัดซื้อเครื่องบิน T-6 และ AT-6 จากสหรัฐฯ ในอดีต ที่ดำเนินการด้วยความโปร่งใส พร้อมนโยบายชดเชยที่เป็นรูปธรรม เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งถือเป็นแนวทางที่สามารถนำมาปรับใช้ในโครงการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ฝูงใหม่ครั้งนี้
“และหากถึงที่สุด เรายังไม่ได้ข้อเสนอที่เหมาะสม คุ้มค่า และเป็นรูปธรรมมากพอ ผมก็ขอเสนอทางเลือกให้ชะลอโครงการจัดซื้อเครื่องบินนบของ ทอ. งบประมาณกว่า 6 หมื่นล้านบาทครั้งนี้ออกไปก่อน และพิจารณาปรับปรุงเครื่องบินรบสู่ยุค 4.5 ที่สามารถพึ่งพาอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งมีราคาถูกกว่า และตอบโจทย์ความต้องการในระยะสั้น เพื่อรอเงื่อนไขที่คุ้มค่ากว่าในอนาคต” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว.