ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ปฎิเสธไม่ได้เป็นกุนซือทนายตั้มสู้คดีฉ้อโกง 71 ล้าน เผยเจ้าตัวมีทีมอยู่แล้ว อาจกำลังรวบรวมหลักฐานอยู่ โต้สนธิพร้อมรบแต่ไม่ได้มีปัญหาอะไร อยากวิจารณ์หรือแฉอะไรก็เต็มที่ หยันคณะกรรมการสภาทนายฯ มาจากการเลือกตั้งแล้วก็ไป อย่าทำงานตามกระแสลบชื่อออกจากทนายความ
วันนี้ (4 พ.ย.) นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ให้สัมภาษณ์ในรายการถกไม่เถียง ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เอชดี ระบุว่า ไม่ได้เป็นกุนซือให้กับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ กรณีถูก น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ฟ้องในข้อหาฉ้อโกง กรณีชักชวนลงทุนทำแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ออนไลน์ 71 ล้านบาท เพราะนายษิทรามีทีมงานแล้ว แม้ไม่ชัดเจนแต่อาจจะมีหลายคน พอรู้บ้างบางคนแต่ไม่รู้ว่าจะเอาคนไหน แต่เป็นทีม ทั้งนี้ ตนเป็นพี่ใหญ่ในกลุ่มทนายดังฯ อายุมากที่สุด นายษิทราก็อายุ 40 กว่าปี ทุกคนก็เป็นน้องๆ เวลามีปัญหาทุกคนก็มาปรึกษาตน
"ถามว่าจะเป็นกุนซือไหม ไม่หรอก เรื่องที่้เขาโดนกล่าวหา โกงเงิน 70 กว่าล้านก็ไม่อยากให้เพื่อนฝูงรู้ ผมบอกง่ายๆ ถ้าจะจ้างคนเป็นทนาย เขาก็ต้องเอาคนที่ไว้วางใจ คงไม่มาเอาผม แล้วผมคงไม่เกี่ยวข้อง หลักๆ ก็คือให้กำลังใจ แล้วก็ให้มีสติ ผมนะไม่เป็นกุนซือหรอก" นายเดชา กล่าว
นายเดชา กล่าวว่า ตนกับนายษิทราสนิทกันมาก ไปเที่ยว ไปกินไวน์ คุยกันบ่อย เรื่องความสนิทสนมนั้นสนิทอยู่แล้ว ครั้งล่าสุดที่คุยอยู่ที่ประเทศจีน ทราบว่านายษิทรายังอยู่ในประเทศไทย โดยนิสัยเท่าที่คุยกับตน ถ้ามีหมายเรียกหรือหมายจับก็มอบตัวเลย คิดว่าอยู่ใกล้กองปราบปราม ออกหมายจับแล้วก็มาเลย เหมือนกับพรรคพวกหลายคนที่เคยทำ จะไปในแนวนั้นแต่ไม่บอกว่าใคร คิดว่าไม่น่าจะหนี เคยคุยกับตนว่าถ้าวันหน้าออกหมายเรียกหมายจับทำยังไง ก็ตอบว่ามอบตัวเลย
สำหรับแนวทางการสู้คดี นายเดชา กล่าวว่า นายษิทรามีทีมทนายความฟอร์มไว้เรียบร้อยแล้ว รู้เรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้วว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล จะนำเสนอข่าว ก่อนที่จะไปออกรายการโหนกระแส รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ที่ผ่านมานายษิทราเจอเรื่องแบบนี้มาหลายครั้ง ก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา และรู้ว่าเวลาโดนอะไรแบบนี้เขาต้องทำอะไร แต่เขามั่นใจว่ายังไงเขาก็ไม่ตาย มั่นใจว่าสามารถเอาตัวรอดได้ ส่วนที่นายษิทราอ้างว่าเงิน 71 ล้านบาท คุณอ้อยให้โดยเสน่หานั้น นายเดชา กล่าวว่า ตนไม่ได้ยืนยันว่าจริงหรือไม่จริง แต่เขามีความมั่นใจว่าสามารถไปต่อได้ ส่วนจะไปต่อยังไงก็เป็นเรื่องที่เขาว่ากันไป
ส่วนที่นายษิทราหายไป ไม่ออกมาตอบโต้นั้น นายเดชากล่าวว่า นายษิทราเป็นอินฟลูเอนเซอร์ มีคนติดตามกว่า 2 ล้านคน เวลาคิดก็คิดแบบอินฟลูเอนเซอร์ที่ดูกระแส เคยบอกกับตนว่าถ้าออกมาตอนนี้ พูดแล้วคนเชื่อไหม ในแง่ของอินฟลูเอนเซอร์ถ้าประเมินแล้วพูดไปไม่มีคนเชื่อก็เงียบ เหมือนอินฟลูเอนเซอร์ทั่วไปเวลาทัวร์ลงต้องเงียบไว้ก่อน ขณะเดียวกัน นายษิทรารู้จากวงในว่ามีการนำคดีเข้ามายังตำรวจสอบสวนกลาง ตามความเชื่อของเขาน่าจะมีใบสั่ง เพราะอยู่ดีๆ คดีจากโรงพักต่างจังหวัดเข้ามาสอบสวนกลางนั้นยาก ถ้าจะแถลงข่าวชนกับนายสนธิและผู้เสียหายก็ไม่ได้อะไร จึงรวบรวมหลักฐานต่างๆ ไว้รอสู้คดีทีเดียว
"เขา (นายษิทรา) เตรียมพร้อมแล้วเท่าที่ทราบ เขาเตรียมมานานแล้ว มีทีมทนาย มีการจัดเก็บอะไรไว้มานานแล้ว ... ลักษณะหนึ่งก็ตามที่เขาไปออกรายการโหนกระแส ให้โดยเสน่หาก็ต้องไปตามนั้น ก็ต้องไปหาพยานหลักฐาน หาแชต หาอะไรต่างๆ มาสนับสนุนในสิ่งที่เขาต่อสู้ อันที่สองเรื่องอายุความที่พี่สนธิมาวิจารณ์ผม ว่าผมไปบอกว่าขาดอายุความ เขาก็บอกว่าได้รับเงินมาปีสองปีแล้ว ไม่รู้เหรอว่าถูกโกงอะไรอย่างนี้"
"จะขาดอายุความหรือไม่ ก็เป็นข้อต่อสู้เขา เพราะมาตรา 96 ของกฎหมายอาญา ถ้าผู้เสียหายรู้เรื่องความผิด รู้ตัวว่ากระทำความผิดเกิน 3 เดือนก็จะขาดอายุความ เขาก็ต้องไปดูว่าขาดไหม ข้อต่อไปก็สู้ว่าเป็นการผิดสัญญาหรือเปล่า เช่น เป็นสัญญากู้ยืมเงินมาลงทุนหรือเปล่า ร่วมลงทุนหรือเปล่า หรือว่าให้โดยเสน่หาหรือไม่ มันก็จะเป็นเรื่องของทางแพ่ง"
"ข้อต่อไปเราต้องไปดูคดีนี้ ดูดีๆ ผมเชื่อว่าประชาชนได้ประโยชน์ ฟังพี่สนธิแล้วฟังผม ไปดูว่าพี่อ้อยกับทนายตั้มมีธุรกรรม 71 ล้านเป็นมายังไง แล้วต่อมาทะเลาะกันเมื่อไหร่ แล้วหลังจากนั้นมีการทวงเงินอย่างไร มียื่นโนติสอย่างไร ลองไปถามทนายเขาดู เวลายื่นโนติสคุณบอกไหมว่าทนายตั้มฉ้อโกง หรือบอกว่ายักยอก หรือบอกว่าผิดสัญญา คุณไปดูว่าการเริ่มต้นคดีคุณเริ่มต้นจากฉ้อโกงหรือเปล่า หรือเริ่มต้นจากยักยอก เอาเงินไปแล้วต้องไปให้บริษัทนั้น บริษัทนี้ แล้วไม่ได้ให้หรือเปล่า หรือผิดสัญญา แล้วก็แชตต่างๆ ทุกคนก็ดูดออกมาแล้วก็ไล่มาดู" นายเดชา กล่าว
เมื่อถามว่า เหมือนรู้อะไรบางอย่าง นายเดชา กล่าวว่า "ผมก็มีข้อมูลให้ฟัง ก็บอกว่าฟังพี่สนธิแล้วก็ฟังผมบ้างไง แล้วสิ่งที่ผมพูดไม่จริงช่วยเถียงเลยนะ" และว่า เวลาไปทวงหนี้จ้างทนายมา แล้วยื่นโนติสเขียนว่าอะไร เหมือนกับที่เป็นข่าวทุกวันนี้หรือเปล่า เวลายื่นโนติสแล้วไม่จ่าย เวลาไปแจ้งความที่ สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ไปให้การยังไง กลับมาที่กองปราบปราม ทางเดียวกันหรือเปล่า ถ้าเปลี่ยนไปเปลี่ยมาก็ไม่น่าเชื่อถือ
นายเดชา ยังกล่าวตอบโต้คณะกรรมการสภาทนายความ ว่า ที่เดินสายออกทีวีบอกว่าทนายโซเชียลฯ ทำผิดมรรยาททนายความนั้น ไม่ได้มีอำนาจพิพากษาว่าทำผิด เป็นการทำตัวเกินบทบาท เพราะสภาทนายความเป็นสภาวิชาชีพ แต่คนที่เป็นนายกฯ หรืออุปนายกฯ มาจากการเลือกตั้ง 3 ปีก็ไปแล้ว เป็นผู้ประกอบวิชาชีพ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะทำตัวเป็นศาล จะจัดระเบียบทนายโซเชียลฯ จะไปเอากฎหมายอะไรมาจัด คณะกรรมการสภาทนายความไม่ใช่เจ้าหน้าที่เทศกิจ พวกตนก็ไม่ใช่หาบเร่แผงลอยที่ไปขายบนฟุตปาธ จะไปจัดระเบียบเอาอำนาจอะไร ตนไม่สนใจคนพวกนี้อยู่แล้ว ตนเคารพสภาทนายความ แต่การพูดจาเหยียดหยามว่าทนายหิวแสง ทนายโซเชียลฯ เหมาะสมหรือไม่
กรณีนายษิทราฝากว่าอย่าไปทำอะไรตามกระแส การจะลบชื่อนายษิทราต้องมีคำพิพากษาถึงที่สุด เหมือนกรณีทนายถุงขนม ศาลแจ้งไปที่สภาทนายความแล้วก็ลบ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมาทำ อย่าบ้าจี้ คนจะมองว่าหิวแสง ทำงานตามกระแส ถ้าเป็นเคสอื่นทำผิดก็ว่ากันไป ไม่ใช่ว่ามีคนไปร้องให้ลบชื่อ ตอนนี้หมายเรียกหรือหมายจับยังไม่มี ลบไม่ได้ ฝากนายกฯ และอุปนายกฯ สภาทนายความ อย่าหิวแสง ตนไม่เกรงกลัวจะถอนหรือพักใบอนุญาต เพราะแก่แล้วไม่จำเป็นต้องไปศาล แต่ไม่อยากให้ทำตามกระแสโดยไม่คำนึงถึงขั้นตอนกระบวนการลงโทษด้านจริยธรรมของทนายความ และทนายสีเทาที่ถูกร้องเรื่องโกงเงินจำนวนมากก็ทำให้จบ
นายเดชายังกล่าวถึงนายสนธิว่า ตนติดตามรายการนายสนธิตลอด ส่วนจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรใครก็ว่ากันไป ตนคงไม่ไปฟ้อง ไม่รู้จะฟ้องเพื่ออะไร เพราะเขาอายุเยอะแล้ว เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เขาอยากจะวิจารณ์อะไรก็ปล่อยไป ตนเป็นบุคคลสาธารณะใครจะด่าทออะไรเต็มที่ ตนไม่ฟ้อง และคงไม่เรียกไอ้เพราะทนายตั้มเรียกแล้ว ตนจะไม่ทำอะไรซ้ำ และเห็นว่าจะตรวจ ตรวจได้ทุกอย่างยกเว้นแอลกอฮฮล์ เพราะตนเป็นทนายขี้เมา ตนไม่ซีเรียสกับคำพูดนายสนธิ และตนไม่ใช่คนไปฟอกนายษิทรา ตนเอาข้อมูลต่างๆ มานำเสนอซึ่งอาจจะไม่ตรงใจนายสนธิก็ไม่ว่าอะไร ก็แล้วแต่ ส่วนนายสนธิจะตรวจสอบก็เต็มที่เลย
เมื่อทางรายการเปิดคลิปนายสนธิ นายเดชากล่าวว่า "ผมพร้อมรบกับคุณ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ก็คงไม่ต้องไปท้ารบหรอก เขาอยากจะวิจารณ์จะแฉอะไรผมก็เต็มที่้เลย คือเราไม่ห้าม เราเป็นบุคคลสาธารณะ ไม่ไปฟ้องใคร ไม่ต้องมาท้าผมแล้วผมไม่ฟ้องหรอก ผมไม่รู้จะฟ้องไปเพื่ออะไร ในเมื่อเราเป็นบุคคลสาธารณะ เราวิจารณ์คนนั้นคนนี้ได้ คุณสนธิวิจารณ์ผม ผมก็รับฟังได้ แล้วอีกอย่างคุณสนธิผมติดตาม อย่าลืมว่าเป็นแกนนำพันธมิตรฯ เพื่อประชาธิปไตย ต้องฟังความเห็นต่างได้"
"ผมเห็นต่างกับคุณสนธิ คุณสนธิจะรบกับผมเลยเหรอ ก็แค่ผมเห็นต่างเรื่องอายุความ เรื่องอะไรต่างๆ ผมว่าแกก็น่าจะเปิดกว้าง และผมให้ตรวจสอบเต็มที่ ไม่ต้องเอาหมายมา อยากรู้อะไรเดี๋ยวพาไปดูเลย หมากี่ตัว ทรัพย์สินสร้อยแหวนอะไรผมเต็มที่ ผมไม่มีปัญหาเรื่องเทาๆ และไม่เคยไปก้าวก่าย ไปก้าวล่วงพี่สนธิเลย อยู่ดีๆ แกก็จะมารบกับผม แค่ผมเห็นต่างกับพี่แค่นั้นเหรอ ก็แล้วแต่พี่ พี่จะทำอะไรก็ทำ" นายเดชา กล่าว
เมื่อถามว่า เมื่อมีหมายจับออกมา นายษิทราจะมอบตัวหรือไม่ นายเดชากล่าวว่า มอบตัว ไม่หนี ความรู้ทางกฎหมายและทริคต่างๆ ก็มี เงินก็มี แล้วก็รู้ล่วงหน้าทุกอย่างว่าคดีจะเป็นอะไรยังไง ถ้าเขาคิดจะหนี เขาก็ต้องขายทรัพย์สินทั้งหมด เงินก็ต้องถอนออก มันต้องไม่มีอะไรเหลือ ก็ต้องมองว่าไม่กลับประเทศไทยแล้ว
ในตอนท้าย นายเดชากล่าวฝากถึงนายษิทราว่า ถ้ามีหมายเรียกหรือหมายจับก็ให้มามอบตัว อันไหนทำผิดก็ให้รับสารภาพ เยียวยาเงินคืนเขาไป เงินเท่าที่ทราบตอนนี้ไม่มี บ้านก็ขายคืนใช้หนี้เขาไป แต่ถ้าไม่ทำผิดก็สู้