ปิดตำนานตีสิบปลาย พ.ย. เสี่ยวีทีขอเกษียณ 27 ปี เปิดตำนานโปรโมตให้โจร
วันนี้ (31 ต.ค.) เฟซบุ๊ก "ตีสิบเดย์ At Ten Day" ของรายการตีสิบ ผลิตรายการโดย บริษัท ทเว็นตี้ ทเว็นตี้ เอ็นเทอร์เทนเมนต์ จำกัด ที่มีนายวิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์ อายุ 70 ปี เป็นผู้ดำเนินรายการ โพสต์บทกลอนระบุว่า "40 ปี ที่โลดแล่น แดนโทรทัศน์ วิทวัจน์ ขอเกษียณ หยุดสรวลเส หยุดรายการ 27 ปี ตีสิบเดย์ จึงขอเซย์ กู๊ดบาย ปลาย พอ.ยอ." และกล่าวว่า "#ตีสิบเดย์ เทปสุดท้าย 30 พ.ย. 67 #ไม่ไปต่อ #ไม่มีดราม่าอะไรนะจ๊ะ"
สำหรับรายการตีสิบ เป็นรายการวาไรตี้ทอล์กโชว์ ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2540 ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 หลังจากที่นายวิทวัจน์ หรือชื่อเดิมคือ วิทวัส เคยผลิตรายการ 4 ทุ่มสแควร์ ให้กับสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบก ช่อง 7 มานาน 7 ปี 7 เดือน ซึ่งคำว่าตีสิบ หมายถึง 4 ทุ่มของคนใต้ ขณะนั้นรายการออกอากาศเวลาประมาณ 22.20 น. หลังจบละคร โดยมีผู้ดำเนินรายการร่วม คือ ซินดี้ สิรินยา วินศิริ และใช้ห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เป็นสถานที่บันทึกเทปรายการ
รายการตีสิบมีชื่อเสียงจากช่วงสนทนา ตามความถนัดของนายวิทวัส และช่วงดันดารา เปิดโอกาสให้ผู้ชมทางบ้านประกวดการแสดงหรือร้องเพลงเพื่อชิงเงินรางวัล โดยการใส่ลูกเล่นของโจทย์ในแต่ละเทป เป็นเวทีสร้างชื่อเสียงให้แก่นักร้อง นักแสดง และช่วง 108 มงกุฎ ซึ่งเป็นช่วงตลกท้ายรายการ แต่เนื่องจากไทยทีวีสีช่อง 3 มีการปรับผังรายการ ทำให้รายการตีสิบย้ายไปออกอากาศในช่วงกลางวัน เมื่อปี 2558 โดยยังคงเน้นช่วงสนทนาซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรายการ
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารายการตีสิบเป็นที่โจษจันว่า ชอบโปรโมตพวกมิจฉาชีพมาเป็นแขกรับเชิญในรายการ มีผู้ตกเป็นเหยื่อได้รับความเสียหายจำนวนมาก อาทิ พิงกี้ สาวิกา ไชยเดช ดารานักแสดง ไปออกรายการตีสิบเดย์ เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2564 ตอนหนึ่งกล่าวปฎิเสธว่าได้ค่าตัวนักแสดง 50 ล้านบาทว่าเป็นการเขียนข่าวเกินจริง ก่อนที่ท้ายรายการจะขายเครื่องสำอางที่ตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์ โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าว พิงกี้กำลังมีข่าวเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ฟอเรกซ์ทรีดี ก่อนที่ศาลสั่งฟ้องคดี ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2565 ยาวนานกว่า 100 วัน ก่อนอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราววันที่ 30 พ.ย. 2565
หรือจะเป็น น.ส.สุชาตา คงจักร์ หรือ นัตตี้ Nutty Diary ยูทูบเบอร์ เคยไปออกรายการตีสิบพร้อมกับแม่ เมื่อปี 2557 เปิดเผยเรื่องราวชีวิตว่า ช่วงที่ประสบปัญหาทางการเงิน ย้ายไปอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย เคยถูกมหาเศรษฐีขอแต่งงานเมื่ออายุ 13 ปี เสนอให้เงิน 2 ล้านบาท แม่ยินยอมแต่ต้องแต่งในนามเท่านั้น ห้ามมีเพศสัมพันธ์ แต่อีกฝ่ายผิดสัญญาก่อนที่จะฟ้องหย่ากันจากนั้นผันตัวเป็นยูทูบเบอร์ ก่อนเป็นโค้ชนัตตี้สอนเทรดหุ้น และรับฝากเงินจากคนอื่นๆ มาเทรด ปรากฎว่าหมุนเงินไม่ทัน มีผู้ตกเป็นเหยื่อกว่า 6,000 คน มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 2,000 ล้านบาท ภายหลังถูกจับกุมได้ที่ประเทศอินโดนีเซีย
และกรณีล่าสุด พอล วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ซีอีโอบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด มีฉายาว่า พอล ตีสิบ เพราะไปออกรายการตีสิบ เปิดเผยเรื่องราวชีวิตว่า พ่อทิ้งไปตั้งแต่ 3 ขวบ แม่ทำงานก่อสร้างได้เงินวันละ 150 บาท โตมากับแม่และยาย 2 คน ช่วงวัยเด็กลำบาก กินข้าวกับน้ำตาล ถ้าที่โรงเรียนมีการประกวดแล้วได้เงินก็จะไป ทำงานประจำครั้งแรกเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ได้เงิน 6 พันบาทไม่พอ ต้องไปเสิร์ฟเบียร์ ได้นอน 2-3 ชั่วโมง ก่อนเล่าถึงการทำธุรกิจร่ำรวย และมีคำคมว่า “เขาบอกขยันเป็นเรื่องที่ดี แต่ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย” ซึ่งบัดนี้ถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จฯ
อย่างไรก็ตาม บริษัท ทเว็นตี้ ทเว็นตี้ เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัด ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2567 ชี้แจงว่า นายวรัตน์พล ที่เคยมาออกในรายการตีสิบ เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2558 หรือเมื่อ 9 ปีก่อน เป็นการมาเพื่อเล่าประวัติชีวิตและความกตัญญูต่อคุณแม่ รวมถึงความขยันหมั่นเพียรในการทำมาหากิน ในฐานะลูกทีมบริษัทขายตรงบริษัทหนึ่ง กระทั่งร่ำรวย ซึ่งในขณะนั้นทางรายการเห็นว่าเป็นแบบอย่างสำหรับคนทำมาหากินโดยสุจริตทั่วไป จึงได้นำเสนอไปในรูปแบบดังกล่าว อีกทั้งบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ได้เกิดขึ้นหลังจากที่ทางรายการได้นำเสนอเนื้อหานี้ไปแล้ว 3 ปี จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับดิไอคอนกรุ๊ป ด้วยประการทั้งปวง
ส่วนการที่นายวรัตน์พลใช้ชื่อเรียกตัวเองว่า "พอลตีสิบ" หรือนำโลโก้รายการไปใช้เพื่อประโยชน์ในการทำธุรกิจของดิไอคอนกรุ๊ปในปัจจุบันนั้น ทางรายการตีสิบไม่เคยอนุญาตให้ใช้แต่ประการใด และได้กล่าวตักเตือนโดยวาจามาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังพบว่ายังนำไปใช้ประโยชน์อยู่ ทางรายการรู้สึกผิดหวังและเสียใจเป็นอย่างมากที่วรัตน์พลใช้ประโยชน์จากรายการตีสิบในทางที่ไม่สมควร และเข้าข่ายการนำข้อความอันเป็นเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ขอวิงวอนให้ลูกทีมหรือผู้เกี่ยวข้องกรุณาลบรูปภาพของรายการตีสิบที่เกิดขึ้นในอดีต ออกจากสื่อสังคมออนไลน์ในทุกแพลตฟอร์ม