บุคคลในแวดวงสื่อมวลชน นักการเมือง นักธุรกิจ และแฟนคลับแห่เข้าร่วมพิธีฌาปนกิจ ส่งดวงวิญญาณ "โสภณ องค์การณ์" เป็นครั้งสุดท้าย เผยฝากให้ช่วยกันดูแลบ้านเมือง ไม่ว่าใครจะมาใครจะไป ชี้สื่อมวลชนไม่มีวันเกษียณ สิ่งที่ต้องมีคือความน่าเชื่อถือ
วันนี้ (29 ต.ค.) ที่วัดโสมนัสราชวรวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ได้มีพิธีฌาปนกิจ นายโสภณ องค์การณ์ สื่อมวลชนอาวุโส อดีตบรรณาธิการบริหาร และผู้ดำเนินรายการ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมนิวส์วัน ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 ต.ค. ที่สถาบันประสาทวิทยา ถนนราชวิถี กรุงเทพฯ ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตกที่ก้านสมอง รวมอายุได้ 75 ปี โดยมีบุคคลในแวดวงสื่อมวลชน นักการเมือง นักธุรกิจ เพื่อนร่วมงานทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งแฟนคลับที่ติดตามผลงานทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ เข้าร่วมพิธีฌาปนกิจอย่างเนืองแน่น เพื่อร่วมกันส่งดวงวิญญาณของนายโสภณเป็นครั้งสุดท้าย
ภายในงานมีพิธีทอดผ้าบังสกุล อาทิ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ นายธะนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ อดีตประธานกรรมการเครือเนชั่น นายเทพชัย หย่อง อดีตนายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และอดีตบรรณาธิการบริหารเครือเนชั่น นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต สว.กรุงเทพมหานคร นายเกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต น.ส.สุดากาญจน์ กลีบบัว กรรมการบริหาร บริษัท พี.อี. คอนเทนเนอร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายถังน้ำตราดอกบัว นายพันเทพ ชวาลา เป็นต้น
สำหรับนายโสภณ องค์การณ์ หรือ พี่โส เกิดวันที่ 7 ต.ค. 2492 ที่ตำบลเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เป็นบุตรคนเดียวของนายยี่ และ นางสมใจ องค์การณ์ วัยเด็กเรียนหนังสือที่โรงเรียนศึกษาศาสตร์ และโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จังหวัดเชียงราย ในปี 2509 เดินทางเข้ามาอยู่ในกรุงเทพมหานคร และศึกษาที่โรงเรียนบพิตรพิมุข แผนกวิชาภาษาต่างประเทศ นายโสภณ ถนัดวิชาภาษาอังกฤษมากที่สุด ซึ่งเคยพูดบ่อยครั้งว่า เราไม่จบปริญญา แต่องค์ความรู้มาจากสั่งสมประสบการณ์ชีวิตอันโชกโชน บทความภาษาอังกฤษของนายโสภณ เป็นการใช้ภาษาอังกฤษชั้นสูง ทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน โดยบอกว่า “ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ก้าวมาถึงทุกวันนี้ เป็นช่องทางเดียวที่นำทางผมไปสู่โลก”
ชีวิตช่วงวัยหนุ่มก่อนมาเข้าสู่แวดวงสื่อสารมวลชน นายโสภณเป็นล่าม เคยทำงานให้นักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยเอ็มไอที (MIT) ที่มาทำวิทยานิพนธ์ที่ จ.เชียงราย เป็นเวลา 1 ปี ก่อนจะได้งานนี้ นายโสภณวางแผน ลงทุนซื้อนิตยสาร Time ถือไปสัมภาษณ์งานด้วย ผลปรากฎว่าวันนั้นถูกสัมภาษณ์ใช้เวลา 2 ชั่วโมง เพราะชาวต่างชาติถามอะไรมาก็คุยได้หมดทุกเรื่อง ต่อมาได้ทำงานที่บริษัท เหล็กไทยอินเดีย มีหน้าที่ตั้งแต่ซื้อกาแฟ ถึงติดต่อนายแบงก์ตระกูลใหญ่ ได้ใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน และทานอาหารอินเดียทุกวัน ตลอดระยะเวลา 6 ปี
นายโสภณเริ่มเข้าสู่อาชีพสื่อมวลชนในปี 2519 ที่สำนักข่าวเนชั่น ตำแหน่งพนักงานพิสูจน์อักษร ก่อนเลื่อนตำแหน่งเป็นซับเอดิเตอร์ (Sub-Editor) และเริ่มเขียนบทความภาษาอังกฤษ ก่อนขึ้นเป็นบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น ต่อมาเริ่มขยับเข้าสู่หน้าจอทีวี เป็นผู้ดำเนินรายการ Face The Nation ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท. ดำเนินรายการข่าวภาษาอังกฤษกับนายสุทธิชัย หยุ่น และมาเป็นบรรณาธิการโต๊ะข่าวภาษาอังกฤษสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชนแนล และเขียนคอลัมน์ "เล่นนอกสภา" และ "เกาที่คันวันเสาร์" ให้กับหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ในปี 2536 นายโสภณได้รับทุน Nieman Fellowship ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอสตัน สหรัฐอเมริกา
ต่อมา นายโสภณได้เข้ามาร่วมงานกับเครือผู้จัดการในปี 2552 เป็นบรรณาธิการบริหาร และเป็นผู้ดำเนินรายการสถานีข่าวนิวส์วัน (NEWS1) หรือ ASTV เดิม ได้แก่ รายการ News Hour สุดสัปดาห์ และ News Hour ชวนคิดชวนคุย คุยผ่าโลก World Talk และ เคาะไข่ใส่ข่าว นอกจากนี้ ยังเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เริ่มจากคอลัมน์หน้ากระดานเรียงห้า ต่อมาเป็นชื่อ ป้อมพระอาทิตย์ และมีคอลัมน์ข่าวต่างประเทศ ชื่อว่า มองต่างแดน ส่วนนิตยสารผู้จัดการสุดสัปดาห์ มีคอลัมน์ โสภณ องค์การณ์ นอกจากนี้ นายโสภณ ยังได้จัดรายการวิทยุ "พูดนอกสภา" ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 90.5 MHz
ตลอดระยะเวลาการทำงานอาชีพสื่อมวลชน นายโสภณยึดมั่นในอุดมการณ์ ความน่าเชื่อถือ ความกล้าหาญ ความถูกต้อง และจริยธรรมตลอดทั้งชีวิต เคยกล่าวว่า “คุณสมบัติของสื่อมวลชน ถ้าคุณเห็นสิ่งที่ อยุติธรรมแล้วคุณทำเฉย ไม่รู้สึกเดือนร้อนใจ คุณเป็นสื่อมวลชนไม่ได้เด็ดขาด คุณต้องเลือดขึ้น คุณต้องต่อสู้ นี่คือคุณสมบัติเบื้องต้นของสื่อมวลชน ถ้าเห็นว่าคนนั้นถูกรังแก เห็นความไม่ยุติธรรม คุณยังเป็นนายเฉย คุณเป็นสื่อไม่ได้หรอก โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้สื่อข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม”
สไตล์การจัดรายการของนายโสภณ ที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร รายการบันเทิงเชิงข่าว การวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา จัดหนัก หักมุม รู้ทันตื้นลึกหนาบางของข่าวและคนในข่าว ความจัดหนักของนายโสภณ ถือเป็นมือวางอันดับหนึ่งของสื่อในยุคนี้ แต่ไม่เคยถูกฟ้อง นายโสภณ บอกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่เคยได้ยินว่า เป็นเพราะนายโสภณวิจารณ์โดยสุจริต ตั้งบนผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
นายโสภณมีความรอบรู้ข่าวต่างประเทศอันดับต้นของประเทศ พร้อมความจำอันดีเลิศ สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน ย้อนข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลัง และย้อนประวัติศาสตร์อย่างแม่นยำ รายละเอียดทั้งปี พ.ศ. ชื่อคน ที่ทำให้ผู้ชมได้ประโยชน์จากการดูรายการนายโสภณ แบบที่ครบจบในคนเดียว ที่สำคัญที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ ความตลก ขำขัน ที่ไม่ได้มีสคริปต์เตรียมล่วงหน้า สามารถทำให้เรื่องหนัก เรื่องร้าย เรื่องใหญ่ กลายเป็นเรื่องตลก ขบขัน ซึ่งล้วนมาจากมุมมองอันลึกซึ้ง ที่มาจากคนที่เข้าใจโลกอย่างถ่องแท้ ซึ่งทำให้เราเข้าใจความจริงและสัจธรรมของชีวิต
ตอนท้ายรายการ นายโสภณมักฝากถึงผู้ชมบ่อยครั้งว่า “ให้ช่วยกันดูแลบ้านเมือง ไม่ว่าใครจะมาใครจะไปเราก็ยังอยู่” นายโสภณ เคยกล่าวว่า “ผมอยู่ในวงการสื่อมวลชนมา 46 ปีแล้ว เพราะอาชีพนี้ไม่มีเกษียณ อาชีพนี้ต้องพิสูจน์กันทุกวัน แล้วของที่ขายได้อย่างเดียว คือ ความน่าเชื่อ ถ้าไม่มีความน่าเชื่อแล้ว ก็อยู่ไม่ได้”
สำหรับชาวนิวส์วันและเครือผู้จัดการ นายโสภณเป็นผู้ใหญ่ที่ใจดี มีเมตตา คอยสั่งสอน และช่วยแก้ไขปัญหา การจัดรายการกับนายโสภณ เหมือนได้นั่งคุยกับปรมาจารย์ทุกวัน บอกกับตัวเองเสมอว่าเมื่อได้โอกาสบินกับนายโสภณแล้ว ต้องพยายามบินให้สูง และบินให้ทัน แต่ทุกครั้งที่ขึ้นบิน นายโสภณจะคอยประคองและสั่งสอนทุกครั้ง เหมือนพ่อที่คอยจูงมือให้ลูกเดินตามอย่างมั่นคง แถมนายโสภณยังทำให้การทำงานหนักเป็นเรื่องสนุก ผ่อนคลาย และได้เรียนรู้
นายโสภณเคยสอนว่า สื่อมวลชนเป็นอาชีพ ต้องสามารถคุยกับใครก็ได้ ตั้งแต่นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ นักการทูต ทหาร หมอ ต้องคุยได้ทุกหัวข้อ ดังนั้นจึงต้องมีองค์ความรู้ รอบรู้ และต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ความน่ารักของนายโสภณ คือ ความเมตตา เป็นกันเองกับทุกคน นายโสภณจะทักทาย และแซวน้องๆ ทุกครั้งที่เดินผ่านทุกวัน และทุกคน ตั้งแต่ก้าวลงจากจนถึงโต๊ะทำงาน นายโสภณในวัย 76 ปี คือวัยรุ่นที่มีชีวิตชีวา เป็นดวงอาทิตย์ยามแสงอบอุ่น ไม่เคยเห็นนายโสภณอารมณ์ขุ่นมัว เป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือ แม้ยามที่เศร้าที่สุด ที่จะไม่ได้พบนายโสภณอีกตลอดไปแล้ว เมื่อชาวนิวส์วันคุยถึงนายโสภณก็ยังมีแต่รอยยิ้ม และ นึกถึงมุกสนุกๆ ขำขันของนายโสภณ
การสูญเสียครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การสูญเสียของครอบครัว และสถานีนิวส์วันเท่านั้น แต่ประเทศไทยยังการสูญเสียสื่อมวลชนคุณภาพ ผู้ที่ยึดถือในหลักการ ไม่วางเฉยต่อความผิดปกติของบ้านเมือง นายโสภณเคยพูดว่าเราทำงานมาเกือบจะ 50 ปีแล้ว ไม่รู้จะทำได้อีกแค่นานไหน วันไหนก็วันนั่น แต่วันนี้นายโสภณคงได้เห็นแล้วว่าการทำหน้าที่นั้น ได้ส่งพลังแผ่ขยายไปกว้างขวางมากมายขนาดไหน และในวันที่ไม่อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ได้ฝากไว้กับแผ่นดินนั้นจะไม่หายไปไหน และจะยึดมั่น สืบสาน และต่อยอดวิชาจากนายโสภณตลอดไป