ไม่ใช่แค่ “ดรามา” แต่กลายเป็น “วาระแห่งชาติไทย-เกาหลี” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับเรื่องราวของติ๊กต็อกเกอร์สาวเกาหลี “จี กามิน” กับ “แน็ก - ชาลี ไตรรัตน์”นักแสดงหนุ่มชาวไทย อดีตคู่จิ้นคอนเทนต์สุดปังจนมี FC จนมีติดตามเป็นจำนวนมาก
ด้วยไม่ได้เป็นแค่เฉพาะ “ความรัก” และ “ผลประโยชน์” ที่ไม่ลงตัวเท่านั้น หากแต่กระทบต่อความรู้สึกและความสัมพันธ์อันดีระหว่าง “ประชาชน” ของทั้งสองชาติ
กล่าวคือจาก “กระแสแบนกามิน” ที่ขยายวงบานปลายในหมู่คนไทย ได้กลายเป็นแรงเสริมให้ “กระแสแบนเกาหลี” โดยเฉพาะในเรื่อง “การท่องเที่ยว” ที่เดิมทีก็คุกรุ่นอยู่แล้วให้หนักหนาสาหัสขึ้นไปอีก
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ยอดคนไทยและนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปที่ประเทศเกาหลีใต้ลดลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาก โดยสื่อเกาหลีใต้อย่าง “เดอะ โคเรีย ไทม์ส” รายงานว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางไปเกาหลีใต้ลดลงอย่างมากในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา จากปัญหาการร้องเรียน และความรู้สึกต่อต้านชาวเกาหลี ที่เกี่ยวข้องกับระบบยกเว้นวีซ่าของเกาหลี ที่มักจะปฏิเสธคนไทย
ทั้งนี้ จากตัวเลขของ “องค์การท่องเที่ยวเกาหลี หรือ KTO” พบว่า
- จำนวนคนไทยที่เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในเกาหลีเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ลดลง 19.5% จากปีที่แล้ว
- นักท่องเที่ยวไทยลดลงเหลือ 20,150 คน โดยถือว่าเป็นการลดลง 7 เดือนติดต่อกันแล้ว
- สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ นักท่องเที่ยวไทยซึ่งเคยติดอันดับต้น ๆ ของชาติอาเซียน ที่นิยมเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวยังประเทศเกาหลี ครึ่งปีแรกของปี 2567 ลดลงจำนวนลงเกือบ 20% เหลือเพียง 168,328 คน
การลดลงดังกล่าวของจำนวนนักท่องเที่ยวไทย สวนทางกับจำนวนนักท่องเที่ยวชาติอื่นที่เดินทางเข้าไปเที่ยวเกาหลีเพิ่มขึ้นภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด ทั้งๆ ที่ก่อนการระบาดของโควิด นักท่องเที่ยวไทยถือเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังเกาหลีใต้มากที่สุดในหมู่ชาติอาเซียน โดยในปี 2562 มีจำนวนกว่า 572,000 คน ด้วยกระแสความนิยมอย่างล้นหลามของ K-Pop ซีรีย์เกาหลี และอิทธิพลของ Soft Power ต่าง ๆ
แน่นอนว่า คงไม่ได้เริ่มต้นจาก “กามิน” แต่คนไทยรู้สึกว่า เกาหลีใต้ไม่ต้อนรับอย่างฉันมิตร โดยเฉพาะหลังจากมีปัญหาเรื่องระบบใบอนุญาตเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ (K-ETA หรือ Korea Electronic Travel Authorization) จำนวนนักท่องเที่ยวไทยก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ
การถูกปฏิเสธการเข้าเมืองจำนวนมากและการขาดคำอธิบายที่ชัดเจน ได้กระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจในหมู่คนไทย เพราะนักท่องเที่ยวบางคนแม้จะได้รับการอนุมัติจาก K-ETA แล้ว ก็ยังถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศเมื่อเดินทางมาถึงเกาหลีใต้อยู่ดี ยิ่งเติม “เชื้อไฟ” ความไม่พอใจให้กับชาวไทยหนักเข้าไปอีก
การถูกปฏิเสธเข้าเกาหลีใต้กลายเป็นประเด็นร้อนบนโซเชียลมีเดียของไทย และแน่นอนว่า ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงตามไปด้วย
ขณะที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวชี้ว่า การที่นักท่องเที่ยวไทยถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้ปฏิเสธการเข้าประเทศจำนวนมากนั้น เป็นความรู้สึกเชิงลบที่ขยายตัวออกไปเป็นอย่างมาก
และที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเยือนเกาหลีใต้น้อยลง ประเทศจีนและญี่ปุ่นกลับได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยมากขึ้น
สำหรับ “กามิน” เองนั้นก็ต้องบอกว่า หลังเธอได้รับความชื่นชอบจากคนไทย รัฐบาลเกาหลีใต้ถึงกับแต่งตั้งให้เป็น ** “ทูตการท่องเที่ยวเกาะเชจู”** เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมากันาเลยทีเดียว
แต่ก็ไม่รู้ว่า จะช่วยพลิกฟื้นตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยให้กระเตื้องขึ้น หรือจะทำให้ย่ำแย่ไปหนักกว่าเก่าจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับ “แน็ก-ชาลี”
อย่างไรก็ดี ในขณะที่ดรามากำลังดุเดือดเลือดพล่าน คนเกาหลีใต้กลับไม่ได้สนใจข่าวนี้สักเท่าไหร่ และสื่อเกาหลีก็รายงานแบบเป็นกลาง แถมในบทสัมภาษณ์กับสื่อเกาหลี “กามิน” บอกว่าเธอรู้สึกโชคดีที่ได้มีชื่อเสียงในไทยและไม่คิดว่าคนไทยจะเกลียดเกาหลีจากเรื่องดรามาของเธอ
คำถามมีอยู่ว่า ถ้า “กามิน” ทำคลิปชวนคนไทยไปเที่ยวเกาหลี จะยังมีใครอยากไปเที่ยวอยู่ไหม
เพราะหลังความจริงเริ่มกระจ่าง ก็ปรากฏว่า ภายในไม่กี่วันกระแสคนติดตามกามินใน TikTok จาก 1.6 ล้านคน ก็ลดลงเหลือไม่ถึง 1.2 ล้านคนเท่านั้น (หรือเฉลี่ยผู้ติดตามลดลงวันละ 1 แสน) ส่วนคนที่ติดตามอยู่ก็เข้ามาเพื่อด่าอีกจำนวนมาก ไม่ได้โอนเงินหรือกดให้สติ๊กเกอร์ให้มากเหมือนแต่ก่อน
นอกจากนี้ยอดติดตามใน Instagram ของกามิน ก็ลดลงนับแสนคน จาก 450,000 เหลือเพียงไม่ถึง 350,000 ภายในระยะเวลาไม่กี่วันเช่นกัน
จนในที่สุดกามินต้องกลับมาแก้สถานการณ์ ด้วยการออกมาไลฟ์สดถ่ายทอดสดการร้องไห้ออกหน้าจอเรียกคะแนนสงสาร ว่า “ฉันทำผิดอะไร ทำไมถึงทำกับฉันอย่างนี้” เพื่อหวังจะหารายได้จากคนไทยต่อไป แถมภายหลังจากการที่ “แน็ก ชาลี” ชี้แจงเรื่องราวความจริงต่าง ๆ “กามิน” ก็ตอบโต้ด้วยการลบรูปภาพที่ถ่ายกับ “แน็ก ชาลี” และ “ครอบครัวแน็ก ชาลี” ทั้งหมด
สิ่งที่ “กามิน” หลงลืมไปก็คือ “เธอมีวันนี้เพราะแน็ก-ชาลี” และ “เธอมีวันนี้เพราะแฟนคลับชาวไทยให้การสนับสนุน”
ก่อหน้าที่เธอจะดัง “กามิน” มี Followers ราวหมื่นกว่าคน และไลฟ์ใน TikTok ทีก็มีคนดูเพียงแค่หลักไม่กี่สิบคนเท่านั้น ส่วน“แน็ก ชาลี” เป็นศิลปินไทยที่มีแฟนคลับและผู้ติดตามจำนวนมากหลายล้านอยู่แล้ว เกิดความสงสาร ทั้งเอ็นดู ทั้งเห็นใจ ยิ่งเพื่อนกามินมาบอก “แน็ก ชาลี” ว่า “กามิน” มีความยากลำบากมาก จึงตัดสินใจใช้ความเป็นอินฟลูเอนเซอร์ของตัวเอง ให้แฟนคลับไทยไปช่วยปั้น “กามิน” ทั้งกดติดตาม กดให้สติ๊กเกอร์ ปรากฏว่า “กามิน” ได้กลายเป็นดาวติ๊กต๊อกที่เกาหลี ที่มีแฟนคลับคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน
คนไทยแห่ติดตาม”แน็ก ชาลี” กับกามิน ยิ่งกว่าละครในประเทศไทยเสียอีก ทำให้แฟนคลับคนไทยที่มีต่อกามินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากหลักหมื่น หลักแสนมาจนถึงสูงสุด 1.6 ล้านคน ในเวลาต่อมา
“ครูเดวิด วิลเลียม” ชาวอเมริกันที่สอนภาษาอังกฤษในเมืองไทยและพูดภาษาไทยชัดมากก็ออกมาเตือนสติว่า “กามินไม่มีทางมีวันนี้ ถ้าไม่มีคนไทย” พร้อมบอกด้วยว่า “ถ้าใครรักประเทศใด ต้องลงทุนกับเวลา 2 เรื่อง คือ เรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมเขา หรือไปเที่ยวทั่วประเทศ อยากดูทุกมุมของประเทศไทย ไม่ใช่มาประเทศไทยทำงานหาเงิน หาเงิน แล้วแยกย้ายกลับบ้าน มันไม่ใช่”
ถามว่า ช่วงเวลาทำเงินทำทองของ “แน็ก ชาลี” กับ กามิน รายได้มากมายขนาดไหน ? ...
ก็ต้องตอบว่า ภายในระยะเวลาไม่ถึง 6 เดือน รายได้ของทั้งคู่น่าจะถึงหลัก “ร้อยล้านบาท” เลยก็ว่าได้
จากคนเกาหลีโนเนม ภายในชั่วพริบตา กลายเป็นคนที่มีรายได้ดีกว่าดาราระดับหัวแถวของไทยเสียอีก
ทว่า “กามิน” กลับไปไลฟ์ว่าตัวเองมีรายได้ดีอยู่แล้วในตอนที่อยู่เกาหลี แต่ยอมไปที่ประเทศไทยเพราะ “แน็ก ชาลี” เชิญไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องการจะไปที่ประเทศไทยเลย
นอกจากนั้น “กามิน” ยังไม่พอใจที่รายได้ตัวเองถูกหัก 25%ให้กับนายหน้าหางานในประเทศไทย (ซึ่งเป็นอัตราต่ำกว่าปกติ เพราะปกติในตลาด คนหางานจะได้ประมาณ 30-40%) แถมกามินยังไปไลฟ์ด้วยว่า “แน็ก ชาลี”หักเงิน 25% ของกามินไปเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของกามิน
ไม่พอใจว่าทำไมส่วนแบ่งของตัวเองต้องมีการหักภาษีด้วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วใครมีรายได้ก็ต้องจ่ายภาษีให้กับประเทศนั้นๆ เป็นอย่างนี้ทั่วโลก ตัวอย่างเช่น “ลิซ่า” ซึ่งเป็นคนไทยตอนที่ไปเป็นศิลปินเกาหลีใต้ ยังต้องยอมรับรายได้น้อยกว่าดาราเกาหลี ถูกเหยียดโดยคนเกาหลี และจ่ายภาษีมากกว่าดาราเกาหลีด้วย
นอกจากนั้นยังมีข่าวด้วยว่า “กามิน” จะเซ็นสัญญากับ “บริษัทเอเจนซีเกาหลี” แห่งหนึ่ง ที่จะนำอินฟลูเอนเซอร์เกาหลีมาหารายได้ดูดเงินคนไทยแบบ “กามิน” อีกด้วย
อีกหนึ่งข้อมูลที่กำลังมีการ “ขุด” และเผยแพร่ออกมาก็คือสิ่งที่เรียกขานกันว่า “ขบวนการกามิน” ที่ทำผ่าน “ห้อง Discord” ห้องแชทซึ่งมีฟังก์ชั่นผูกติดกับแอพ tiktok ของเกาหลี และคนที่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปอยนห้องนี้ได้ ต้องชำระเงินรายเดือนๆ ละประมาณ 250 บาท
ทำให้โดยรวมๆ “กามิน” จะได้รายรับจากห้องนี้เดือนละ 300,000 บาท
รายงานข่าวระบุว่า ห้องนี้ก่อตั้งเมื่อประมาณ 8 เดือนที่แล้วหรือในช่วงที่ “แน็ก-ชาลี” กำลังจีบ “กามิน” โดยมีการประกาศในกลุ่ม FC “แน็ก-ชาลี” ว่าถ้าอยากจะได้คุยส่วนตัวแบบ VIP และอาจจะได้รับข่าวความเคลื่อนไหวพิเศษๆ ก็ให้สมัครเข้ามาอยู่ในห้องนี้
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการถ่ายเท FC มายัง “กามิน” จนเพิ่มจำนวนพีคสุดถึง 5,000 คน ทว่า ปัจจุบันเหลือราวๆ 1,200 คนเท่านั้น
ที่ผ่านมา “แน็ก-ชาลี” เคยตำหนิห้องแชทนี้บ่อยๆ เพราะไม่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกกลุ่ม FC และหาผลประโยชน์กับ FC มากไป แต่ก็ไม่สามารถหยุดเรื่องนี้ได้
และเมื่อเวลาผ่านไป FCใน Discord ก็เริ่มเป็น FC กามิน 100% นั่นจึงเป็นที่มาว่าเวลาที่ “แน็ก-ชาลี” ทำอะไรกระทบถึง “กามิน” วันต่อมาจะโดนทัวร์ลงหนัก
FC กลุ่มนี้ส่งสติกเกอร์ให้แบบรัวๆ บางรายสูญเสียเงินเป็นล้าน และบางคนต้องเป็นหนี้เป็นสินจากการที่ “กามิน” เล่น tiktok PK
ที่สำคัญคือ มีรายงานด้วยว่า คนที่อยู่เบื้องหลังการปลุกระดมในกลุ่มของ “กามิน” ได้รับเงินจ้างจาก MPVสายเปย์จำนวนไม่น้อย
อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า แม้ “กามิน” จะตัดจบความสัมพันธ์กับ “แน็ก ชาลี” แบบอหังการมะมังการโดยที่มิได้ตระหนักเลยว่า “มีวันนี้เพราะแฟนคลับชาวไทย” แต่ก็มิได้หมายความว่า คนเกาหลีจะเป็นเช่น “กามิน” ทั้งหมด เพราะคนเกาหลีที่ “รักประเทศไทยจริง” ก็มีให้เห็นอยู่เยอะ
ยกตัวเช่น “โค้ชเช” หัวหน้าผู้ฝึกสอนเทควันโด้ทีมชาติไทย ที่ตัดสินใจมาอยู่เมืองไทยจริงๆ และได้รับ “สัญชาติไทย” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือคนเกาหลีที่สัมผัสกับวัฒนธรรมไทยอย่างใกล้ชิด อย่าง “พี่เรือง” หนุ่มเกาหลีที่แต่งงานกับสาวไทย เป็นต้น
แต่กระนั้นก็ดี คงต้องติดตามกันต่อไปว่า จาก “ดรามา” ที่กลายเป็น “วาระแห่งชาติ” จะนำมาซึ่งสถานการณ์ที่บานปลายออกไปมากน้อยแค่ไหน ยิ่งถ้าตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยไปเกาหลีใต้ในครึ่งปีหลังลดน้อยลงไปอีก ก็ยิ่งเป็นคำตอบที่ชัดเจนในตัวเองว่า “เกิดอะไรขึ้น”