xs
xsm
sm
md
lg

แมลงสาบ “สีแดง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ก็เป็นอันว่า เสร็จสมอารมณ์หมายไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการเข้าร่วมรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ของ “พรรคประชาธิปัตย์” ที่นำโดย “เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรค และ “เดชอิศม์ ขาวทอง” เลขาธิการพรรค

พร้อมกับ 2 เก้าอี้รัฐมนตรีที่จะเป็นใครไม่ได้นอกจากตัวหัวหน้าและเลขาธิการพรรคที่จะมารับตำแหน่งนี้

ในทางการเมือง ต้องถือว่า วันนี้พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศได้กลายเป็น “แมลงสาบสีแดง” เป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ไปทั้งแผ่นดินว่า เตรียมนับถอยหลังสู่การ “สูญพันธุ์”

ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์นั้นมี “จุดยืนทางการเมือง” ที่ตรงข้ามกับพรรคเพื่อไทยมาโดยและถือเป็นไม้เบื่อไม้เบากับ “ระบอบทักษิณ” ขณะที่ “คนเสื้อแดง” เองก็ต้องใช้คำว่า “มีความแค้น” กับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเช่นกัน

แต่ทุกอย่างถูกลืมไปจนหมดสิ้น ด้วยเหตุผลอันเลิศหรูว่า “เพื่อชาติ”
อย่างไรก็ดี ก่อนที่เส้นทางของทั้งสองพรรคจะมาบรรจบกันได้ย่อมไม่ใช่เหตุบังเอิญ หากมี “ตัวละครสำคัญ” ผู้อยู่เบื้องหลังการเชื่อมจิตได้อย่างเหมาะเหม็ง และถือเป็น “ดีลการเมือง” ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้เลยทีเดียว
เสียบเพื่อชาติ หรือเพื่อ....”


ผลพวงจาก “โจทย์หลัก” ของ “พรรคเพื่อไทย” รวมถึงผู้บารมีเหนือพรรคอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ไม่ต้องการให้มี “วงษ์สุวรรณ” เข้าร่วม “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” ทำให้สมการการเมืองเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ด้วยทำให้ “รัฐบาลอิ๊ง 1” ประกาศตัด “พรรคพลังประชารัฐ” ออกจากการเข้าร่วมรัฐบาบาล ดังคำให้สัมภาษณ์ของ “นายสรวงศ์ เทียนทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่เปิดเผยภายหลังประชุมกรรมการบริหารพรรคเมื่อวันที่ 27 สิงหาคมว่า “เราไม่สามารถที่จะร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐได้”

จากนั้นในวันถัดมาคือวันที่ 28 สิงหาคม พรรคเพื่อไทยก็ได้ส่งเทียบเชิญเป็นทางการไปยัง “พรรคประชาธิปัตย์” เพื่อมาเติมเต็มเสียงที่ขาดหายไปจากพรรคพลังประชารัฐ “ก๊กลุงป้อม”

“พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์มีบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และมีอุดมการณ์ที่จะทำงานร่วมกันได้ จึงขอเรียนเชิญพรรคประชาธิปัตย์ได้เข้าร่วมรัฐบาลเพื่อร่วมกันบริหารราชการแผ่นดินให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนต่อไป”

นั่นคือสาระสำคัญในเทียบเชิญจากพรรคเพื่อไทยถึงพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งหลายคนอ่านแล้วก็อดร้อง “โอ้โห” ออกมาดังๆ ไม่ได้

ขณะที่บรรดา “พ่อยกแม่ยกเพื่อไทย” รวมถึงบรรดา “คนเสื้อแดง” ก็ออกมาอรรถาธิบายครั้งใหญ่ถึงการจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์กันแบบ “น้ำขุ่นๆ” กันเลยก็ว่าได้

นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นำหนังสือเชิญเข้าร่วมรัฐบาลมอบให้นายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ที่จี๊ดๆ ก็อย่างเช่น คำ ผกา หรือ ลักขณา ปันวิชัย ที่มีคนไปขุดสิ่งที่เธอโพสต์ไว้เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2563 ที่ระบุว่า “ถ้าเพื่อไทย ไปจับมือกับปชป. พรรคมือเปื้อนเลือดเมื่อไหร่ เราขาดกัน! #เพื่อไทย” จนต้องออกมาแก้ตัวว่า “นั่นเป็นความรู้สึกของแขกตอนนั้น แต่ ณ วันนี้ ถ้าเมื่อไหร่เพื่อไทย จับมือกับพรรคส้ม เราขาดกัน คนเราก็เปลี่ยนใจได้ แฟนยังเปลี่ยนได้เรื่อยๆ เลย ถ้าแขกจะต้องทำทุกอย่าง ตามที่แขกลั่นวาจาเอาไว้ แขกคิดว่า แขกน่าจะตายไปตั้งนานแล้ว หรือตอนนี้อาจจะอยู่ที่เกาะสักแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้ ไม่ได้มานั่งจัดรายการที่ตรงนี้

“แต่แขกเลือก เลือกผลประโยชน์ของตัวเอง เหนือการรักษาสัจจะวาจาของตัวเอง จุดยืนของแขก แขกเลือกผลประโยชน์ของตัวเอง เหนือการรักษาสัจจะวาจาของตัวแขกเอง ส่วนใครจะทุกข์ทรมาณจากจุดยืนนี้ แขกก็ช่วยไม่ได้จริงๆ”

หรือ “ก่อแก้ว พิกุลทอง” อดีตแกนนำคนเสื้อแดงที่บอกว่า “เบื้องต้นไม่ได้ติดใจอะไร เพราะผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์กลุ่มปัจจุบันไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 และกลุ่มคนดังกล่าวก็ไม่อยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์แล้ว จากการที่ได้สัมผัสหัวหน้าและผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่มองว่ามีมุมมองที่ดี ไม่ฝักใฝ่ทหารและอำนาจนอกระบบ จึงย้ำว่าไม่ติดใจในการร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ถ้ามีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ชุมนุมปี 2553 มาเป็นรัฐมนตรีตนเองก็ไม่เห็นด้วย”

เช่นเดียวกับนายสรวงศ์ที่ตอบคำถามถึงการเชิญพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลไปในทิศทางเดียวกันว่า “เรื่องเมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน แต่ปัจจุบันคือมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ทำงานเพื่อประเทศและประชาชน ทั้งนี้ไม่มีสส.ของพรรคเพื่อไทยคัดค้าน เราเป็นพรรคการเมืองร่วมต่อสู้กันมานาน แต่ขณะนี้เป็นคนรุ่นใหม่ดูแลพรรค อุดมการณ์ส่วนอุดมการณ์ แต่สามารถทำงานร่วมมกันได้แน่นอน ส่วนที่ถูกมองว่าตระบัตสัตย์นั้น ใครรจะว่าอะไรก็ว่าไป ผมขอเอาผลงานพิสูจน์ และผมขอโอกาสให้นายกฯและครม.ใหม่ได้ทำงาน”

ตรงกันข้ามกับ “ธิดา ถาวรเศรษฐ” อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ทิ้งคำพูดแทงใจเอาไว้ว่า “พรรคเพื่อไทยตั้งแต่นาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับมาก็หน้ามืดหมดแล้ว คิดแต่ว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ได้เป็นรัฐบาล โดยไม่คิดว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร คิดแต่ว่าตัวเองต้องได้กลับมา หรืออาจนึกไปถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะได้กลับมาด้วย พรรคเพื่อไทยต้องไม่ลืมว่าทางเดินทุกวันนี้ไม่ใช่อยู่ๆ มีถนนให้เขาเดิน แต่เป็นทางเดินที่ผ่านซากศพประชาชนสร้างถนนให้เขาเดิน”

ขณะที่ในฝั่งประชาธิปัตย์ ก็พยายามอธิบาย โดยนายเดชอิศม์ที่ถือเป็น “ตัวตึง” ในเรื่องนี้ บอกว่า “สส.ในสภาฯ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม ก พูดเก่ง ตำหนิเก่ง วิจารณ์เก่ง แต่ทำงานไม่ค่อยเก่ง และมีความคิดไม่อยากร่วมรัฐบาล แต่กลุ่ม ข พูดอาจไม่ค่อยเก่ง ตำหนิไม่เก่ง แต่ทำงานเก่ง เขารอโอกาสร่วมรัฐบาล เพื่อสร้างผลงานให้ประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งพรรค ซึ่งกลุ่มใดมีสัดส่วน สส.มากกว่า ก็ถือว่าชนะ...ส่วนพรรคจะแตกเพราะอีกฝ่ายอาจไม่เห็นด้วยหรือไม่นั้น ยืนยันว่าสุดท้ายแล้วต้องเคารพมติพรรค”

แถมยังบอกด้วยว่า “วันนี้ต้องรีเซ็ตประเทศไทย มองที่ประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่คนรุ่นปู่ทะเลาะกัน แล้วรุ่นตัวเองต้องโกรธกันด้วย ตรงนี้ไม่ใช่ ขอให้มองที่ประเทศชาติและประชาชน วันนี้เราเสียโอกาสไปเยอะมาก ส่วนตัวไม่เคยได้ยินแฟนคลับพูดว่าร่วมรัฐบาลแล้วประชาธิปัตย์จะสูญพันธุ์ ยกตัวอย่างที่พื้นที่ของตนเอง จ.สงขลา ชาวบ้านและ สส.เกือบทุกเขต อยากให้ร่วมรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชน”

แหม...เด็ดสะระตี่จริงๆ

นายชวน หลีกภัย
ด้าน “นายชวน หลีกภัย” ผู้ถือธงนำในการคัดค้านให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “ยอมรับว่าผมเป็นเสียงข้างน้อยในพรรคฯ ที่ชัดเจนตั้งแต่มีการลงมติเลือกนายเศรษฐาเป็นนายกฯ และผมได้หารือกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ สส.บัญชีรายชื่อ และนายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา ว่าอย่างน้อย 4 คน จะยังคงยืนยันในจุดยืนเดิม แต่ไม่ว่ามติของพรรคฯ เป็นอย่างไร ก็พร้อมจะเคารพ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยที่จะร่วมกับพรรคการเมืองที่เคยกลั่นแกล้งประชาชน และเชื่อว่าการตัดสินใจร่วมรัฐบาลในครั้งนี้จะส่งผลต่อฐานเสียงภาคใต้ไม่น้อย”
งานนี้ เรียกว่า ทั้งสองพรรคเสียมวลชนและแนวร่วมไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

**เปิดตัวละครไม่ลับปิดดีลเพื่อไทย-ปชป.

ความจริง การกระเหี้ยนกระหือรือในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ที่มี “เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เป็นหัวหน้าพรรค และ “นายเดชอิศม์ ขาวทอง” เป็นเลขาธิการพรรค ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น หากแต่สำแดงออกมานับตั้งแต่ฟอร์ม “ครม.เศรษฐา” เลยทีเดียว เพียงแต่ติดปัญหาความขัดแย้งภายใน ทำให้เดินหน้าต่อไปไม่ได้ ขณะที่พรรคเพื่อไทยเองในช่วงนั้นก็มีข้อตกลงบางประการในการจัดตั้งรัฐบาล รวมทั้งยังไม่ได้เห็นฤทธิ์เห็นเดชของ “ลุงป้อม” ที่คอยทิ่งแทงข้างหลัง ทำให้ “พรรคประชาธิปัตย์” จำต้องรอเพลงรอต่อไป

ที่สำคัญคือดูเหมือนว่า การเข้าร่วมรัฐบาลอิ๊ง 1 ครั้งนี้ของพรรคประชาธิปัตย์จะปลอดโปร่งอยู่ไม่น้อย ด้วยมี “จิ๊กซอว์” สำคัญให้การ “เชื่อมจิต” อยู่เบื้องหลัง

ใครที่ติดตามการโชว์วิชั่นของ “ทักษิณ ชินวัตร” ของสื่อใหญ่ค่ายบางนาเมื่อไม่นานมานี้ คงพอจะเห็นภาพ เพราะภายในงานเต็มไปด้วยตัวละครทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจมากมาย

และงานนี้ก็มี “นายเดชอิศม์ ขาวทอง” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และ “นายชัยชนะ เดชเดโช” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไป ปรากฏตัวด้วย

ทั้งนี้ นายเดชอิศม์นั้นนั่งโต๊ะเดียวกับ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” โดยเมื่อ “ผู้กองธรรมนัส” เดินมาถึงโต๊ะก็จับมือทักทายกับนายเดชอิศม์ ส่วนนายเดชอิศม์ ก็พูดว่า “ต้องยอมรับว่าสุดยอดจริงๆ” รวมทั้งมีการพูดคุยกันอย่างสนิทสนม มีอรรถรส และกอดคอกอดไหล่กันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มีช่วงหนึ่งที่ร้อยเอกธรรมนัสพูดติดตลกว่า “เอาของผมเข้า ยกของพี่ออก”

ณ ตอนนั้น ก็มีการฟันธงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทยร้อยเปอร์เซ็นต์

แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ต้องไม่ลืมว่า “มาดามเดียร์-วทันยา บุนนาค” ภรรยาของ “ฉาย บุนนาค” นั้น คือสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และเคยสมัครลงชิงชัยในเก้าอี้ “หัวหน้าพรรค” มาแล้ว ก่อนที่จะถอนตัวเพราะคุณสมบัติไม่ครบ

และต้องไม่ลืมด้วยว่า ทุนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง “สามีของมาดามเดียร์” คือใคร

เป็น “ทุนใหญ่” ที่ในยุทธการเมืองรู้จักกันดี เพราะให้การสนับสนุนหลายพรรคการเมือง ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชาติ

เป็น ”ทุนใหญ่” ที่หากนับหัวรัฐมนตรีใน “อดีตครม.เศรษฐา” ก็เชื่อมโยงได้ถึง 4 รัฐมนตรี ทั้งกระทรวงยุติธรรม, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส), กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และบางส่วนของกระทรวงคมนาคม

เป็น “ทุนใหญ่” ที่วันนั้นก็ยืนถ่ายรูป “คู่ทักษิณ” อย่างใกล้ชิด

ดังนั้น เมื่อตัวละครมาปรากฏตัวโดยที่มีการ “นัดหมาย” เอาไว้แล้ว จงอย่าแปลกใจว่า ทำไมพรรคเพื่อไทยจึงเชื้อเชิญพรรคประชาธิปัตย์ให้เข้าร่วมรัฐบาลแบบไม่เคอะเขิน และพรรคประชาธิปัตย์ ก๊กเสี่ยต่อก็ตอบรับแบบ “ยิ้มร่า” เช่นกัน

สำหรับในครั้งนี้ แม้จะมีอุปสรรคใหญ่จากการที่ “ชวน หลีกภัย” เป็นแม่ทัพใหญ่ในการขัดขวางอย่างออกนอกหน้า แต่ก็ทำได้แค่สร้างความระคายเคือง เพราะไม่สามารถหยุดยั้งอะไรได้

แน่นอน การขับเคลื่อนทุกเรื่องต้องดำเนินไปภายใต้ “มติพรรค” ซึ่งเมื่อไปพิจารณา “ตัวเลขจำนวน สส.และกรรมการบริหารพรรค” ก็เห็นชัดๆ ว่า อยู่ในมือ “ก๊กเสี่ยต่อ” ทั้งสิ้น

ที่ต้องขีดเส้นใต้คือ ข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์นั้น ให้น้ำหนักคะแนน สส.ที่ 70% ขณะที่องค์ประชุมที่เหลือนับแค่ 30%

แถมเมื่อไล่เรียง สส.ของพรรค ก็ยิ่งชัดว่า เสียงอยู่ในมือใคร กล่าวคือพรรคมี สส. 25 คน ในจำนวนนี้อยู่ในสังกัด “เสี่ยต่อ” 21 คน มีแค่เพียง 4 คนนั้นที่ถือว่าเป็น “สายเก่า” คือนายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ นายสรรเพชญ บุญญามณีและนายชวน หลีกภัย

เรียกว่า โหวตอย่างไรก็ชนะ

และผลก็เป็นไปตามนั้น โดยกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ 34 เสียง จากทั้งหมด 38 เสียง มีมติเข้าร่วมรัฐบาลอิ๊ง 1 เป็นที่เรียบร้อยในการประชุมเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา

โดยมีกรรมการบริหารพรรคแจ้งลา 3 คนคือนางสาวจิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร รองหัวหน้าพรรค นางกันตวรรณ ตันเถียร รองเลขาธิการพรรค และนายชนินทร์ รุ่งแสง รองเลขาธิการพรรค ส่วนนายเฉลิมชัยไม่ลงคะแนนตามข้อบังคับพรรค

ขณะที่ “ก๊กนายชวน” ก็ได้แต่อธิบายว่า “เป็นไปตามมติพรรค” สถานเดียวเท่านั้น พร้อมกับได้แต่หวังว่า บรรดา “พ่อยกแม่ยกพันธุ์แท้” คงจะเข้าใจ

จะว่าไป แม้นายหัวชวนจะเดินหน้าขัดขวางในทุกมิติ แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่า จะเป็นไปแบบ “ปากว่าตาขยิบ” หรือไม่ อย่างไร คือแบ่งกันรับบทเพื่อสร้างความสมดุลให้กับพรรคของตนเอง เพราะต้องยอมรับว่า มีแฟนคลับจำนวนไม่น้อยที่รับไม่ได้กับการเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ขณะที่ทางพรรคเองก็มีความจำเป็นต้องสะสม “กระสุนดินดำ” เพื่อใช้สำหรับการขับเคลื่อนพรรคต่อไปในอนาคต จะมามัวทนเป็น “ฝ่ายค้าน” ก็คงจะไม่ไหว

ถ้าใช้ศัพท์สมัยใหม่ก็อาจตั้งคำถามได้ว่าคือ “ประชาธิปัตย์การละคร” หรือไม่ อย่างไร

สำหรับ “เก้าอี้รัฐมนตรี” ที่คาดว่าจะได้รับนั้น เป็นเก้าอี้ตัวเดิมจากโควต้าของ “ลุงป้อม” นั่นก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของ “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” ที่ตกเป็นของ “เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย” และเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเดิมเป็นของ “สันติ พร้อมพัฒน์” ที่ตกเป็นของ “นายเดชอิศม์”

ดังนั้น คงต้องติดตามกันต่อไปว่า พรรคประชาธิปัตย์ที่ได้รับสมญาว่า “พรรคแมลงสาบ” จะบริหารจัดการพรรคของตัวเองในอนาคตอย่างไรเพื่อให้ไม่ปิดฉากทางการเมืองอย่างถาวรจากสถานการณ์ปัจจุบันที่สาละวันเตี้ยงลงทุกที

“ก๊กเสี่ยต่อ” จะนำพาพรรคไปในทิศทางใด

“ก๊กนายชวน-นายบัญญัติ” จะทวงคืนพรรคกลับมาได้อย่างไร

จะมีใครลาออกจากพรรคอีกบ้างหรือไม่

นี่นับเป็นโจทย์ที่สุดจะหินและมีเดิมพันสูงยิ่งสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ที่วันนี้ได้แปลงร่างไปเป็น “แมลงสาบสีแดง” อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น