ยุบพรรคก้าวไกล เศรษฐกิจไม่ฟุบ ตลาดหุ้นไทยผงกหัว
การยุบพรรคก้าวไกลของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้เริ่มมีการวิเคราะห์กันว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะบานปลายถึงขั้นลงถนนจนส่งผลกระทบต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจ ซึ่งในประเด็นนี้มีมุมมองจากนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยว่า เบื้องต้นประเมินว่า น่าจะยังไม่มีความรุนแรง หรือ ความวุ่นวาย จากกรณีการประท้วง ที่อาจทำให้ภาพรวมเกิดความกังวล เนื่องจากที่ผ่านมาสัญญาณของการกดดันการทำงานของ กกต. หรือแม้แต่ก่อนการวินิจฉัยของศาลฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งเชื่อว่าสถานการณ์ต่าง ๆ น่าจะคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติ
"หอการค้าฯ จึงประเมินว่าภาพรวมของเศรษฐกิจไทยน่าจะยังเดินหน้าได้ตามปกติ น่าจะมีสัญญาณในการฟื้นตัวได้ในช่วงกลางไตรมาส 4 /2567 ถ้าสถานการณ์ปรับเข้าสู่ภาวะที่เหมาะสมและดีขึ้น ทั้งจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ขณะเดียวกันยังไม่มีเหตุผลในการปรับประมาณการเศรษฐกิจลง เนื่องจากกลไกต่าง ๆ ของภาครัฐก็สามารถเดินหน้าได้ตามปกติ จึงไม่กระทบต่อสถานการณ์เศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน" นายสนั่น กล่าว
ขณะที ภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม นั้นปรากฎว่าภาวะการซื้อขายหุ้นหุ้นเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ 1,274.01 จุด ก่อนปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,290.55 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 16.54 จุด หรือบวก 1.30% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,293.94 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,282.05 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 40,025.79 ล้านบาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด แสดงความคิดเห็นว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ดัชนีดีดตัวขึ้นตามแรงผ่อนคลายความกังวลปัจจัยต่างประเทศ ในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ส่วนกรณีการยุบพรรคก้าวไกล ที่ออกมาอย่างชัดเจนแล้ว มองว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นมีไม่มาก เนื่องจากนักลงทุนชอบความชัดเจน ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็พร้อมตีเป็นแง่บวก เพราะต้องยอมรับว่าปัจจัยการเมืองมีความไม่ชัดเจน คลุมเครือมา 2-3 เดือนแล้ว ทำให้พอมีการตัดสินที่ชัดเจนออกมา แม้เป็นการตัดสินยุบพรรค แต่ก็ไม่ได้มีอิมแพคต่อตลาดมากขนาดนั้น
“การตัดสินยุบพรรคก้าวไกล ถือว่าไม่ได้สร้างความแปลกใจมากนัก เพราะโทนที่วิ่งมาสะท้อนถึงแนวโน้มการยุบพรรคอยู่แล้ว แต่เนื่องจากก้าวไกลก็มีแผนรับมือกับการถูกยุบพรรคไว้แล้ว บวกกับก้าวไกลไม่ได้มีผลต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาลด้วย สิ่งที่ต้องลุ้นคือ การพิจารณาคดีของนายกรัฐมนตรีมากกว่า ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะมีผลต่อการบริหารงานและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต่อไปมากกว่า” นายวิจิตร กล่าว