'ก้าวไกล' จนตรอกขั้นสุด ชักศึกเข้าบ้าน ร่วมจับผิดคดียุบพรรค
ใกล้ถึงวันที่ 7 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันตัดสินคดียุบพรรคก้าวไกลเข้าไปทุกที ทำให้ได้เห็นถึงความเคลื่อนไหวต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะจากบรรดาแกนนำของพรรคที่เวลานี้พยายามส่งสัญญาณให้ต่างชาติเข้ามาสังเกตุการณ์การตัดสินของรัฐธรรมนูญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นมาจากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล พบเอกอัครราชทูต อุปทูตและเจ้าหน้าที่จากประเทศในทวีปยุโรป 18 ประเทศ เพื่อหารือแลกเปลี่ยนวิกฤติประชาธิปไตยในประเทศไทยและกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล
จากความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกิดการแสดงความคิดเห็นไปในทำนองท้วงติงท่าทีของพรรคก้าวไกล โดยน.ส.รัชดา ธนาดิเรก อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า "มีความหมิ่นเหม่เสมือนเป็นความพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า การพิจารณาคดีดังกล่าวตั้งอยู่บนข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงและพฤติกรรมอันเข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญ โดยการแสดงออกของกลุ่มทูต 18 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นท่าทีให้การสนับสนุน เห็นอกเห็นใจ รวมถึงการประกาศไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคก้าวไกล ถือเป็นเรื่องผิดมารยาทอย่างมาก"
ขณะที่ iLaw ได้เผยแพร่หนังสือตอบกลับสหประชาชาติของประเทศไทย กรณียื่นยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งมีเนื้อหาส่วนหนึ่งว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า การหาเสียงโดยสัญญาว่าจะมีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และพรรคก้าวไกล ละเมิดรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 49 ที่ระบุว่า “บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้” อีกทั้งการที่ประเทศไทยเป็นภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง รัฐธรรมนูญไทยรับรองสิทธิของพลเมืองเอาไว้หลายประการอยู่แล้ว รวมถึงสิทธิที่จะถกเถียงในแง่มุมที่หลากหลายของประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย
"ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ได้เพียงแค่ปกป้องพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท แบบเดียวกับที่ปกป้องประชาชนทั่วไปในกฎหมายหมิ่นประมาทเท่านั้น แต่ยังปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะที่เป็นเสาหลักของชาติสำหรับประชาชนคนไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อีกทั้งกฎหมายนี้ยังมีไว้สำหรับการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ" เนื้อความในเอกสารของรัฐบาลไทย