xs
xsm
sm
md
lg

FAB จ่อผุดมัลติแบรนด์แฟลกชิบ รุกซื้อและร่วมทุน-แย้มลุยปิ้งย่าง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ผู้จัดการรายวัน 360 – เปิดทิศทาง FAB หลังจากทุนใหญ่สามฝ่ายร่วมถือหุ้นจัดตั้ง ขยายทุกทิศทั้งพัฒนาแบรนด์ใหม่ ร่วมลงทุน และซื้อกิจการ เผยปีหน้ามีโครงการใหญ่เปิดแฟลกชิปสโตร์ รวมทุกแบรนด์เปิดที่เดียวกัน


นายปิยะเลิศ ใบหยก (หรือ เบียร์ ใบหยก) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CEO บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด (FAB) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะขยายธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ด้วยโมเดลการลงทุนที่เปิดกว้าง ทั้งการพัฒนาแบรนด์ขึ้นมาเอง การร่วมทุน ตลอดจนการซื้อกิจการที่มีศักยภาพเข้ามาอยู่ในพอร์ตโฟลิโอของบริษัท ซึ่งแม้จะเพิ่งเริ่มก่อตั้ง แต่ก็เป็นบริษัทที่มีศักยภาพ เพราะเป็นการรวมตัวของธุรกิจอาหารอยู่แล้ว

โดยในช่วงต้นจะทำการจัดทัพธุรกิจใหม่ รวมทั้งการจัดการเรื่องแบ็คออฟฟิศต่างๆ เนื่องจากมาการรวมตัวกันของ3ฝ่าย เพื่อให้เกิดการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่น การรวมคำสั่งซื้อวัตถุดิบ การบริหารจัดการเรื่องครัวกลาง หรือแม้แต่การทำการตลาด การร่วมมือกันระหว่างร้านอาหารในเครือเพื่อทำคอลแลบต่างๆ จากมาจากสามฝ่าย ซึ่งทั้งหมดคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนดำเนินการได้เบื้องต้น 2%-3% หรือแม้แต่ในเรื่องของพื้นที่ที่ได้ทำเลต่างๆมาก็สามารถที่จะเลือกเอาแบรนด์ใดมาเปิดก็ได้เพื่อความเหมาะสมของตลาดในทำเลนั้น หรืออาจะแบ่งพื้นที่เปิดร้านในเครือรวมกันก็ได้


ในปีหน้ามีแผนที่จะเปิดแฟลกชิบสโตร์พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ เพื่อนำทุกแบรนด์มาเปิดบริการในพื้นที่เดียวกัน หรือที่เรียกว่ามัลติแบรนด์ และอาจจะมีการขยายแบรนด์ใหม่โดยเฉพาะสนในกลุ่มปิ้งย่าง

ทั้งนี้ บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮลดิ้ง เกิดจาการรวมตัวกันของ3ฝ่ายหลัก คือ F = Food Factors บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ของภิรมย์ภักดี , A = AQUA บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของนายฉาย บุนนาค รักษาการประธานกรรมการบริหาร บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA และ B = “เบียร์-ปิยะเลิศ ใบหยก” รองประธานกลุ่มโรงแรมใบหยก, CEO บริษัท บีเอ็นเอฟ โฮลดิ้ง จำกัด โดยสรุปทุนจดทะเบียนหลังจัดโครงสร้าง เท่ากับ 2,500 ล้านบาท โดย AQUA ถือหุ้นใหญ่ 51% , บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ถือหุ้น40% และนายปิยะเลิศ ใบหยก ถือหุ้น 9% โดยกระบวนการจัดโครงสร้างเพื่อเป็นไปตามแผนข้างต้นจะมีหลายขั้นตอน และคาดจะแล้วเสร็จภายในตุลาคม 67

ปัจจุบันบริษัทมีร้านอาหารในเครือรวม 8 แบรนด์ หลากหลายประเภทรวม 204 สาขา โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้รวมกันประมาณกว่า 1,700 ล้านบาท ประกอบด้วย ของฟู้ดแฟคเตอร์ คือ Santa Fe 127 สาขา , Santa Fe Easy 5 สาขา , เหม็ง แซ็ปนัว 10 สาขา รวมเป็นจำนวน 142 สาขา, ของนายปิยะเลิศ ใบหยก คือ Sekai no Yamachan จำนวน 10 สาขา, ส้มตำ เจ๊แดง สามย่าน จำนวน 42 สาขา, อิคโคฉะ ราเมน 2 สาขา และ อุชิดายะ ราเมน 3 สาขา, ของทางอควา คือ ราเมงเดส 5 สาขา


อย่างไรก็ตาม คาดว่าภายในสิ้นปีหน้า จะมีการเปิดสาขาใหม่รวมครบ 250 สาขา จากการขยายสาขาแบรนด์เดิมและเปิดแบรนด์ใหม่ เช่น ร้านส้มตำเจ๊แดง มีโอกาสที่จะขยายไปต่างจังหวัดได้ ซึ่งแบรนด์นี้มีการเติบโตที่เร็วมาก ในช่วง 2 ปีเปิดแล้ว 40 สาขา ที่ผ่านมาก็มีผู้สนใจจะซื้อแฟรนไชส์ทั้งในไทย และสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ขณะที่แบรนด์ซานตาเฟ่ที่เป็นแบรนด์ทำรายได้หลักขณะนี้ ก็จะมีการขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งปีหน้าคาดว่าจะเริ่มทำการรีเฟรชแบรนด์ใหม่

นาย ฉาย บุนนาค รักษาการประธานกรรมการบริหาร บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA ด้วยทั้ง 3 พาร์ทเนอร์ต่างมีเป้าหมายเดียวกันและมีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เรามองว่าการทำ Synergy ร่วมกันในครั้งนี้จะผลักดันให้กลุ่ม AQUA ในฐานะ Investment Company สามารถสร้างแหล่งรายได้จากประเภทธุรกิจอาหารได้มากขึ้น “AQUA เข้าสู่วงการอาหาร โดยเริ่มจากธุรกิจราเมง ซึ่งคือ “Ramen Desu” (ราเมงเดส) ที่มี 5 สาขา และเรามองว่า ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่มั่นคง เติบโตตามการบริโภคอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอาหารเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต และมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจต่ำกว่า เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ

นายภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่าบริษัทฯมองเห็นโอกาสในการพัฒนายกระดับสินค้าและบริการในกลุ่มร้านอาหาร ภายใต้บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ให้ดียิ่งกว่าเดิม จึงร่วมมือกับบริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และคุณปิยะเลิศ ใบหยก หรือเบียร์ ใบหยก ซึ่งเป็นทั้งรองประธานกลุ่มใบหยก และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท บีเอ็นเอฟ โฮดิ้ง จำกัด โดยจะนำความถนัดและจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาผนึกกำลังกัน เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการ รวมถึงประสบการณ์ที่ดี ให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด นั่นเป็นที่มาของความร่วมมือในครั้งนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น