คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
ภูฏานเป็นประเทศล่าสุดของเอเชียและของโลกที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญหรือประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยเปลี่ยนแปลงในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 นับมาจนถึงบัดนี้ระบอบการปกครองใหม่ของภูฏานมีอายุได้ 16 ปี
ภูฏานเข้าสู่การปกครองระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2551 โดยประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2551 ผู้เขียนได้กล่าวถึงสาระสำคัญของบางหมวดไปแล้ว ได้แก่ สิทธิเสรีภาพและหน้าที่ของชาวภูฏาน แม้ว่า รัฐธรรมนูญภูฏานจะกำหนดไว้ในหมวดที่หนึ่ง มาตรา 1 ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนภูฏาน แต่ก็ยังกำหนดให้พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจมากทั้งอำนาจนิติบัญญัติและบริหาร
ที่น่าสนใจคือ รัฐธรรมนูญกำหนดว่าพระมหากษัตริย์ต้องทรงสละราชบัลลังก์เมื่อทรงเจริญพระชนมพรรษา 65 พรรษา และที่สำคัญคือ รัฐธรรมนูญภูฏานได้กำหนดว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐ แต่กำหนดเงื่อนไขต่างๆที่พระองค์จะต้องสละราชบัลลังก์ไว้ โดยรายละเอียดปรากฎในหมวดสอง ตั้งแต่มาตรา 20-25 ซึ่งรัฐธรรมนูญภูฏานกำหนดให้ รัฐสภาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขมาตราๆต่างในหมวดที่สองนี้ แต่จะกระทำได้ก็ต้องผ่านการทำประชามติ โดยรัฐธรรมนูญภูฏานได้กำหนดเงื่อนไขที่พระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์อยู่จะต้องสละบัลลังก์ไว้ในมาตรา 20-26 ของหมวดที่สอง อันเป็นหมวดที่ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ (The Institute of Monarchy)
ในตอนที่แล้ว ได้กล่าวถึง หมวดที่ว่าการปกครองท้องถิ่น (Local Government) ในตอนนี้จะกล่าวถึง หมวดที่สามสิบสี่ อันเป็น หมวดที่ว่าด้วยการทำประชามติแห่งชาติ (National Referendum) ซึ่งมีทั้งสิ้น 4 มาตรา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 ให้เจตจำนงของประชาชนแสดงออกในการทำประชามติ เกณฑ์การผ่านประชามติคือใช้เสียงข้างมากธรรมดา (simple majority) ของจำนวนเสียงที่มาลงคะแนนทั้งหมด
มาตรา 2 สมเด็จพระราชาธิบดีจะทรงมีพระบรมราชโองการให้มีการทำประชามติ หาก:
(a) ในพระราชวินิจฉัยของพระองค์ ร่างกฎหมายที่มีความสำคัญต่อชาติ แต่ไม่ผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมร่วมของรัฐสภา; หรือ
(b) เสียงไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดขององค์กรปกครองท้องถิ่นระดับจังหวัดร้องขอ
มาตรา 3 ไม่ให้ทำประชามติต่อประเด็นคำถามเกี่ยวกับการจัดเก็บ เปลี่ยนแปลง ยกเลิกภาษีหรือในเรื่องอื่นใดที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ตราโดยรัฐสภา
มาตรา 4 รัฐสภากำหนดกระบวนการในการจัดทำประชามติแห่งชาติและตราเป็นกฎหมาย
รัฐธรรมนูญภูฏานมีหมวดที่ให้ความสำคัญต่อศาสนา วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม โดยแยกออกเป็นสามหมวดต่างหากจากกัน โดยอยู่ในหมวดที่สาม สี่และห้าตามลำดับ หมวดที่สามจะใช้ชื่อว่า “มรดกทางจิตวิญญาณ” (Spiritual Heritage) มีทั้งสิ้น 7 มาตรา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พุทธศาสนาเป็นมรดกทางจิตวิญญาณของภูฏาน ที่ส่งเสริมหลักการและคุณค่าของสันติภาพ การไม่ใช้ความรุนแรง (non-violence) ความเมตตากรุณาและขันติธรรม
มาตรา 2 สมเด็จพระราชาธิบดีเป็นผู้ปกป้องศาสนาทั้งหมดในภูฏาน
มาตรา 3 สถาบันและบุคคลสำคัญทางศาสนามีความรับผิดชอบในการส่งเสริมมรดกทางจิตวิญญาณของประเทศ ให้ความมั่นใจในการแยกศาสนาออกจากการเมืองในภูฏาน สถาบันและบุคคลสำคัญทางศาสนาอยู่เหนือการเมือง
มาตรา 4 ตามคำแนะนำของพระมหาเถระห้ารูป สมเด็จพระราชาธิบดีทรงแต่งตั้งภิกษุที่มีความรู้และเป็นที่เคารพที่บรรพชาตามประเพณีพพุทธศาสนาของภูฏานที่มีคุณสมบัติเก้าประการของผู้นำทางจิตวิญญาณตามขั้นตอนและการปฏิบัติตามแบบวัชรญาณให้เป็นสมเด็จพระสังฆราชแห่งภูฏาน
มาตรา 5 ตามคำแนะนำของคณะกรรมการกิจการสงฆ์ สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งภิกษุที่มีคุณสมบัติเก้าประการของผู้นำทางจิตวิญญาณตามขั้นตอนและการปฏิบัติตามแบบวัชรญาณเป็นพระมหาเถระเก้ารูป
มาตรา 6 สมาชิกของคณะกรรมการกิจการสงฆ์ ประกอบไปด้วย:
(a)สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน
(b)พระมหาเถระจากคณะสงฆ์ส่วนกลางห้ารูป; และ
(c)เลขาธิการคณะกรรมการกิจการสงฆ์ ผู้ซึ่งเป็นข้าราชการ
มาตรา 7 คณะสงฆ์ส่วนกลางและส่วนอื่นๆ จะได้รับทุนที่เพียงพอและเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆจากรัฐ
จากหมวดนี้ จะสังเกตว่า รัฐธรรมนูญภูฏานไม่ได้กำหนดให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ใช้ว่าเป็นมรดกทางจิตวิญญาณของภูฏาน และต้องแยกขาดจาการเมืองโดยอยู่เหนือการเมือง
ต่อไปเป็น หมวดที่สี่ ว่าด้วยวัฒนธรรม มีทั้งสิ้น 4 มาตรา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 รัฐจะต้องรักษา ปกป้อง และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศ รวมทั้งอนุสาวรีย์ สถานที่และวัตถุที่น่าสนใจทางศิลปะหรือประวัติศาสตร์ วัด อารามวิหาร (Dzongs, Lhakhangs) ชุมชนสงฆ์ (Goendeys) สมบัติอันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา (Ten-sum) ประกอบไปด้วยสัญลักษณ์ พระคัมภีร์ สถูปเจดีย์ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ (Nyes) ภาษา วรรณกรรม ดนตรี ทัศนศิลป์ และศาสนา เพื่อเสริมสร้างสังคมและชีวิตทางวัฒนธรรมของพลเมือง
มาตรา 2 รัฐต้องยอมรับวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นพลังขับเคลื่อนที่มีวิวัฒนาการ และจะต้องพยายามเสริมสร้างและอำนวยความสะดวกในการวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องของค่านิยมดั้งเดิมและสถาบันที่ยั่งยืนในฐานะสังคมที่ก้าวหน้า
มาตรา 3 รัฐต้องอนุรักษ์และส่งเสริมการวิจัยศิลปะ ประเพณี ความรู้และวัฒนธรรมท้องถิ่น
มาตรา 4 รัฐสภาตรากฎหมายดังกล่าวตามที่จำเป็น เพื่อส่งเสริมให้เกิดความอุดมทางวัฒนธรรมของสังคมภูฏาน
ต่อไปคือ หมวดที่ห้า ว่าด้วยสิ่งแวดล้อม มี 5 มาตรา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 ชาวภูฏานทุกคนเป็นผู้ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของราชอาณาจักรเพื่อประโยชน์ของคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต และเป็นหน้าที่พื้นฐานของพลเมืองทุกคนในการมีส่วนร่วมในการปกป้องสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอันอุดมสมบูรณ์ของภูฏาน และการป้องกัน ความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศทุกรูปแบบ รวมถึงมลภาวะทางเสียง สายตาและกายภาพ ผ่านการสนับสนุนและนำนโยบายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาเป็นแนวปฏิบัติ
มาตรา 2 รัฐบาล จะต้อง:
(a) ปกป้อง อนุรักษ์และพัฒนาปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่บริสุทธิ์และปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ
(b) ป้องกันมลพิษและความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ
(c) รักษาการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างสมดุลทางนิเวศวิทยา ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่สมเหตุสมผล
(d) รับรองสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ
มาตรา 3 รัฐบาลจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า อย่างน้อยร้อยละหกสิบของที่ดินทั้งหมดของภูฏานจะต้องได้รับการดูแลภายใต้ป่าปกคลุมตลอดเวลา เพื่อที่จะอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศและเพื่อป้องกันความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ
มาตรา 4 รัฐสภาอาจตรากฎหมายสิ่งแวดล้อมเพื่อให้แน่ใจว่าการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและรักษาความเป็นธรรมระหว่างรุ่นคน และยืนยันสิทธิอธิปไตยของรัฐเหนือทรัพยากรทางชีวภาพของตนเอง
มาตรา 5 รัฐสภาอาจประกาศโดยการตรากฎหมาย ให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศเป็นอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าคุ้มครอง เขตสงวนชีวมณฑล เขตลุ่มน้ำวิกฤติ และประเภทอื่นๆ ที่ได้รับการคุ้มครอง