xs
xsm
sm
md
lg

“โจ๊ก” สติแตก แฉคนอื่น = แฉตัวเอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย “บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร” รักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีคำสั่ง “ให้ออกจากราชการไว้ก่อน” มี 2 ปฏิบัติการของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่สะท้อนให้เห็นชัดว่า เขากำลังโดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่งพิงขั้นสุด ไม่เช่นนั้นคงไม่อาละวาดฟาดงวงฟาดงาถึงขั้น “สติแตก” เยี่ยงนี้

“ปฏิบัติการสติแตกแรก” คือ ปรากฏเอกสารข้อร้องเรียนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) หลุดออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน ซึ่งสังคมมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันเองว่า หลุดมาจาก “บิ๊กโจ๊ก” หรือ “บิ๊กโจ๊ก” เจตนาปล่อยออกมาเอง ดังที่ “นายนิวัติไชย เกษมมงคล” เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า “ตัวเขาเอาไปให้ผู้สื่อข่าวเองหรือเปล่า ไม่ใช่ ป.ป.ช. แน่ๆ ผมไม่รู้นะอันนี้”

ทว่า สิ่งที่ “บิ๊กโจ๊ก” ต้องการ “แฉคนอื่น” กลับกลายเป็นการ “แฉตัวเอง” ออกมาให้เห็นอย่างกระจ่างแจ้ง ด้วยในเอกสารดังกล่าว ปรากฏชื่อ “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” และ “นางรัตนา บุรพรัตน์” ที่ถูกดึงเข้ามาเป็นพยานในการร้องเรียนกรรมการ ป.ป.ช.จนสังคมรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของ “บ้านป่ารอยต่อ” กระทั่งไม่แปลกใจว่า ทำไมก่อนหน้านี้ถึงได้อยากให้คดีมาอยู่ในมือของ ป.ป.ช.

ขณะที่ “ปฏิบัติการสติแตกที่สอง” คือการที่ “บิ๊กโจ๊ก” เดินทางไปที่ ป.ป.ช. ตั้งโต๊ะแถลงข่าว และประกาศชัดว่าจะฟ้องคณะพนักงานสอบสวนในคดีเว็บพนันออนไลน์ จะฟ้อง “บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” รักษาราชการ ผบ.ตร.และฟ้อง “นายเศรษฐา ทวีสิน” ในมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และคณะพนักงานสอบสวนอีกร่วม 200 ชีวิต จากนั้นในวันถัดมาก็ประกาศฟ้องผู้บัญชาการกฎหมาย กมค., ผู้บังคับการกองคดี, ผู้บังคับการสารนิเทศห้า, เลขานุการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ผู้บัญชาการสำนักงานเทคโนโลยี

ถึงตรงนี้ เห็นได้ชัดว่า “บิ๊กโจ๊ก” สติแตกเพราะปรารถนาเพียงแค่จะ “เอาตัวรอดคนเดียว” ด้วยการเดินหน้า “ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน” เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ลาก “ลุงป้อม” กับ “ก้อย-รัตนา” ให้เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่นับรวมก่อนหน้านี้ที่ “ลูกน้องของบิ๊กโจ๊ก” อย่าง พ.ต.อ.คริษฐ์ ปริยะเกตุ พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย ซึ่งถูกดำเนินคดี แต่ “นายโจ๊ก” กลับประกาศชัดไม่เกี่ยวข้องกับการทำผิด และใครทำผิดก็ต้องรับโทษตามกฎหมายไป
 เมื่อ “บิ๊กโจ๊ก” เปลือย ป.ป.ช.ยุคบ้านป่ารอยต่อหมดไส้หมดพุง

กล่าวสำหรับ “ปฏิบัติการสติแตกแรก” อยู่ตรงที่ในเอกสารร้องเรียน ป.ป.ช. เพราะนอกจาก “บิ๊กโจ๊ก” จะเจตนาฟาด “นายสุชาติ ตระกูลสุขเกษม” หนึ่งในกรรมการ ป.ป.ช.แล้ว ยังลามปามไปถึงผู้มีพระคุณที่เสมือนเป็น “บิ๊กบราเธอร์ส” ของเขา อย่าง “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้เข้ามา “เกลือกกลั้ว” กับเรื่องดังกล่าว ด้วยการดึงให้มาเป็นพยานในการเปิดศึกกับ “กรรมการ ปปช.” ที่เขากล่าวหามีความขัดแย้งกับตนเอง

การฟาด “นายสุชาติ” เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ เพราะเขาเป็นหนึ่งในกรรมการเสียงข้างน้อยเพียงคนเดียวจากกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งหมด 5 คนที่เห็นว่า ป.ป.ช.ไม่ควรรับคดีเว็บพนันออนไลน์มินนี่ที่มี “บิ๊กโจ๊ก” เข้าไปเกี่ยวข้องมาดำเนินการ ทว่า ก็ไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่แท้จริงว่า การร้องเรียนนายสุชาตินั้น จะมีผลต่อรูปคดีอย่างไร
เฉกเช่นเดียวกับการที่ดึง “ลุงป้อม” มาเป็นพยานเพื่อพิฆาต “นายสุชาติ” นั้น ไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายได้

ใครๆ ก็รู้ว่า “ลุงป้อม” คือผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการที่ทำให้ “บิ๊กโจ๊ก” มีวันนี้ เมื่อครั้งที่ “ลุงป้อม” เป็นรองนายกฯ ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาและได้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ “บิ๊กโจ๊ก” คือมือขวาที่บทบาทสำคัญยิ่งในหน่วยงานนี้ ด้วยเป็นที่รับรู้กันว่าเขาคนที่คุม “ตั๋ว” ที่แม้แต่ ตัว ผบ.ตร.ในขณะนั้นหรือตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆ กัน

จะใช้คำว่า “บิ๊กโจ๊กมีวันนี้เพราะลุงป้อมให้” ก็คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก

ดังนั้น การที่ “บิ๊กโจ๊ก” ฟาด ป.ป.ช.และลามปามไปดึง “ลุงป้อม” ให้เข้ามาร่วม “เกลือกกลั้ว” ข้อสันนิษฐานที่ตรงประเด็นที่สุดก็คือ มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ “บิ๊กโจ๊ก” รู้ตัวว่า ไม่สามารถชี้นกเป็นไม้เหมือนแต่ก่อนได้อีกต่อไป เมื่อ ณ วันนี้ ป.ป.ช.ได้กลับมายืนอยู่ในจุดที่ควรจะเป็น แม้ตัวหัวเรือใหญ่จะยังคงเป็นคนบ้านเดียวกันที่ชื่อ “บิ๊กกุ้ย-พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” ก็ตามที

แต่ที่แน่ๆ คือ อาการสติแตกของ “บิ๊กโจ๊ก” นั้น “เสียมากกว่าได้” เพราะแสดงให้สังคมให้เห็นว่า “ลุงป้อม” เป็นผู้มีบารมีเหนือป.ป.ช. ดังที่สังคมตั้งคำถามก่อนหน้านี้ หรือจะใช้คำว่า กำลัง “เปลือยอาณาจักรลุงป้อม” ก็คงไม่เกินเลยจากความเป็นจริงเท่าใดนัก ด้วยในเอกสารร้องเรียนดำเนินไปในทำนองที่ว่า “ลุงป้อม” สามารถให้การสนับสนุนให้ได้รับการคัดเลือกเป็น กรรมการ ป.ป.ช.กันเลยทีเดียว

คำถามก็คือ “ลุงป้อม” เห็นดีเห็นงามกับการนี้หรือไม่ อย่างไร

ถ้า “ลุงป้อม” ไม่รู้เรื่อง ก็แสดงว่า “บิ๊กโจ๊ก” กระทำโดยพละการคือไม่ได้บอกกล่าวเล่าสิบ “ลุงป้อม” ก่อนว่าจะทำเช่นนี้

แต่ถ้า “ลุงป้อม” อนุญาต ก็อยากจะรู้เช่นกันว่า อะไรดลใจให้ตัดสินใจให้ทำเช่นนั้น ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้

ทั้งนี้ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ไม่ได้ตอบตรงๆ ว่ารู้เห็นเป็นใจกับ “บิ๊กโจ๊ก” ในการนำชื่อไปเป็นพยาน โดยระบุเพียงแค่ว่า ไม่ทราบ ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับกรรมการ ป.ป.ช. คนดังกล่าว

และเมื่อถามต่อไปว่าจะฟ้องร้องคนปล่อยเอกสารที่ทำให้เสียชื่อเสียงหรือไม่ พล.อ.ประวิตร ตอบว่า คงไม่ฟ้อง ปล่อยให้เป็นไปตามการตรวจสอบของกระบวนต่างๆ ก่อนจะย้ำว่าไม่ทราบที่มาที่ไปของเอกสารดังกล่าว

ดังนั้น คงต้องติดตามกันต่อไปว่า อาการสติแตกของ “บิ๊กโจ๊ก” ครั้งนี้ จะนำพามาซึ่งอะไรบ้าง

 เปิดตัว “ก้อย-บุรพรัตน์”

ล็อบบี้ยิสต์คนดังร่วมขบวนการโจ๊ก 

อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากการดึง “ลุงป้อม” ให้เข้ามาเป็นพยานแล้ว ยังปรากฏชื่อผู้หญิงอีกคนหนึ่งร่วมด้วย นั่นก็คือ “รัตนา บุรพรัตน์” ซึ่งสังคมก็พากันถามไถ่เซ็งแซ่ว่า เธอผู้นี้คือใคร? เพราะหากไล่เรียงข้อมูลตามเอกสารร้องเรียนของ “บิ๊กโจ๊ก” แล้ว ต้องบอกว่า คอนเนกชันและสถานะของเธอจัดอยู่ในระดับ “ตัวแม่” เลยทีเดียว

นางรัตนา หรือ “ก้อย” บุรพรัตน์ คืออดีตภรรยาของ “เสธ. เอ๊กซ์ พล.อ.ฐิติวัจน์ กำลังเอก” อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ด้านการเมือง-กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ผู้เป็นลูกชายของนายทหารที่เคยยิ่งใหญ่ในยุคที่ “ป๋าเปรม-พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” เป็นนายกรัฐมนตรี นั่นก็คือ “บิ๊กซัน-พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก”

นางรัตนาก็คือเพื่อนรุ่นพี่ที่เคารพของ “บิ๊กโจ๊ก”

และเป็นเพื่อนร่วมรุ่น วปอ. 58 กับ “สุชาติ ตระกูลเกษมสุข” กรรมการ ป.ป.ช.

 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล

 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
แต่ที่สำคัญคือเป็นคนบุคคลที่ “บิ๊กโจ๊ก” อ้างเอาไว้ในเอกสารร้องเรียนว่า เป็นผู้พา “นายสุชาติ” มาพบ “บิ๊กโจ๊ก” เพื่อให้ “บิ๊กโจ๊ก” พาเข้าพบ พล.อ.ประวิตร

นางรัตนานั้นเป็นที่รู้จักกันในฐานะ “ล็อบบี้ยิสต์” ผู้กว้างขวางในแวดวงการเมือง-การทหาร ซึ่งการที่ “บิ๊กโจ๊ก” อ้างชื่อถึงกับทำให้ผู้คนในทั้งสองวงการถึงกับต้องอ้าปากค้างและพูดออกมาดังๆ ว่า “หวาดเสียวแทนบิ๊กโจ๊ก” จริงๆ เพราะทำให้เห็นความยิ่งใหญ่ของ “อาณาจักรบ้านป่ารอยต่อ” และความไม่ชอบมาพากลในองค์กรอย่าง ป.ป.ช.จนแทบจะหลับตาเห็นภาพ

แถมสถานที่นัดพบที่เขียนเอาไว้ชัดเจนว่าเกิดขึ้นที่ “98 ไวเลส คอนโดมิเนียม” ถนนวิทยุ ก็ไม่ธรรมดา ด้วยมีสนนราคาที่แพงหูฉี่ต้องมีเงินระดับมหาเศรษฐีถึงจะจับจองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของได้ โดยราคาตั้งแต่ตารางเมตรละ 5 แสนถึง 1 ล้านบาท ดังนั้น แต่ละห้องจึงมีราคาตั้งแต่ 100-150 ล้านบาทกันเลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่รู้ว่า เสียงลือเสียงเล่าอ้างที่บอกว่า เจ้าของคือ “เสี่ยแต๋ม อุดร” คนเดียวกับที่เป็นเจ้าของบ้านของ “บิ๊กโจ๊ก” ที่ถนนวิภาวดีฯ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ยิ่งเมื่อสืบสาวราวเรื่องไปที่ “การทำธุรกิจ” ของนางรัตนาก็ยิ่งถึงกับต้อง “ซู้ดปาก” เพราะนางรัตนาดำรงตำแหน่งเป็น “กรรมการ” ของ 2 บริษัทคือ 1.บริษัท วีซ่า คอนเซปท์ จำกัด และ 2.บริษัท อาร์ แอนด์ เอส อินเตอร์เนชั่นเนล เทรดดิ้ง

รวมทั้งถือหุ้นในอีกหลากหลายบริษัท อาทิ แกรนด์ไลน์ อินโนเวชั่น จำกัด (จำหน่ายเครื่องสูบน้ำและอุปกรณ์) ถือหุ้นอันดับที่ 4 จำนวน 15,400 หุ้น คิดเป็น 0.77 % มูลค่าหุ้น 1,372,539 บาท อาร์ แอนด์ เอส อินเตอร์เนชั่นแนล เทรดดิ้ง (ขายสบู่) ถือหุ้นอันดับ 1 จำนวน 5 แสนหุ้น คิดเป็น 50 % มูลค่าหุ้น 663,348 บาท พัฒนชน 59 จำกัด (การเช่าและการดำเนินการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเองหรือเช่าจากผู้อื่น) ถือหุ้นอันดับที่ 4 จำนวน 2,000 หุ้น คิดเป็น 10 % มูลค่าหุ้น 200,646 บาท วีซ่า คอนเซปท์ จำกัด (รับทำวีซ่า ต่อวีซ่า) ถือหุ้นอันดับ 1 จำนวน 8,000 หุ้น คิดเป็น 80 % มูลค่าหุ้น 160,800 บาท และสามร้อยหกสิบองศา คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (กิจการโฆษณา ที่ปรึกษาการตลาด) ถือหุ้นอันดับ 4 จำนวน 2,480 หุ้น มูลค่าหุ้น 123,396 บาท

แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นก็คือ “บริษัท บริษัท วีซ่า คอนเซปท์ จำกัด” ซึ่งจากการตรวจข้อมูลงบการเงินที่มีการเผยแพร่ออกมาย้อนหลัง 4 ปี ล้วนแล้วแต่ขาดทุนทั้งสิ้น กล่าวคือ

ปี 2566 ขาดทุน 16,000 บาท
ปี 2565 ขาดทุน 6,000 บาท
ปี 2564 ขาดทุน 6,000 บาท
ปี 2563 ขาดทุน 21,000 บาท

ทำธุรกิจกันอีท่าไหนไม่ทราบได้ ทำไมถึงได้ขาดทุนทุกปี ทั้งๆ ที่จะว่าไปก็เป็นบริษัททำวีซ่าด่วน หรือ Visa on Arrival (VOA) ให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเมืองไทย โดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราที่สูงถึง 2,500 บาท และก็น่าจะมีรายได้ที่อู้ฟู่ไม่น้อยด้วยได้รับสัมปทานโดยตรงจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ สตม.ในยุคที่ไม่ต้องบอกกระมังว่า ใครเป็นใหญ่ในขณะนั้น

 นางรัตนา บุรพรัตน์

พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ

นายสุชาติ ตระกูลสุขเกษม
 ฟ้องนาย-ขายลูกน้อง-ยกหางตัวเอง
ธาตุแท้ของ “โจ๊ก สายมู” 

ทีนี้ก็มาถึง “ปฏิบัติการสติแตกที่สอง” คือการประกาศฟ้อง “นาย” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่ากระทำผิด ม.157 ในเรื่องการตั้ง “บิ๊กต่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งสังคมถึงกับต้องกุมขมับเพราะเป็นการฟ้องย้อนหลังจากที่เกิดเหตุไปแล้วหลายเดือน ซึ่งจะว่าไป ณ ขณะนั้น “บิ๊กโจ๊ก” ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร แถมยังให้สัมภาษณ์แสดงความยินดีอีกต่างหาก

ดังนั้น การตัดสินใจฟ้องครั้งนี้ จึงถือเป็นเรื่องผิดปกติไปจากธรรมเนียมปฏิบัติของข้าราชการทุกหมู่เหล่า

การไม่ฟ้องตั้งแต่แรกและเลือกที่จะทำหลังมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมาย

แต่ที่เป็นประเด็นก็คือ การที่ “บิ๊กโจ๊ก” ยื่นสอบ “นายกฯ นิด” ไม่อาจแปลเป็นอื่นได้ว่า เขากำลังประกาศท้ารบกับ “พรรคเพื่อไทย” อย่างเป็นทางการ

“ผมมั่นใจว่าชี้แจงได้ ยืนยันแต่งตั้งด้วยความเป็นธรรม โดยในกระบวนการแต่งตั้ง ก็มีวิธีรับฟังความคิดเห็นทุกคนอย่างเป็นธรรม มีการพูดคุยกันในวงกว้าง ถึงจะมีการสรุป คะแนนของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในวันนั้นก็ชัดเจน 9 ต่อ 1 ก็เป็นอะไรที่บอกได้ชัดเจนว่ามีผู้ไม่ออกเสียงหนึ่งคะแนน และมีผู้ลงคะแนนให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เป็นผบ.ตร. โดยมีอีกหนึ่งเสียงไม่เห็นด้วย ก็เป็นเอกฉันท์”นายเศรษฐากล่าวยืนยัน

ทว่า ในที่สุด “บิ๊กโจ๊ก” ก็กลับลำ เพราะย่องไปถอนเรื่องร้องเรียนที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.ในวันถัดมา โดย เลขาฯ ป.ป.ช.บอกว่า“พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุเหตุผลในหนังสือขอถอนเรื่องร้องเรียนว่า ไม่ติดใจจะดำเนินการเอาผิดนายกรัฐมนตรีแล้ว ส่วนกรณีการเอาผิดพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ได้ยื่นถอนเรื่องแต่อย่างใด”

ขณะที่เจ้าตัวแก้เกี้ยวโดยอ้างว่า “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ได้เคยยื่นร้องไว้แล้ว และ ป.ป.ช.รับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว ถ้าไปยื่นฟ้องอีกจะกลายเป็นการฟ้องซ้ำและทำให้การตรวจสอบล่าช้า” ซึ่งก็ไม่เป็นเหตุเป็นผลที่พอจะรับฟังได้เอาเสียเลย

อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนทวนความ เหตุผลหลักในการถอนฟ้องไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะรับรู้แล้วว่า การกระทำดังกล่าวจะยิ่งทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ “ผีซ้ำด้ามพลอย” หนักไปกว่าเดิมอีก ด้วยก่อนหน้าให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “นายกฯไม่มีเจตนา แต่ถูกใครบางคนหลอก” ซึ่งก็สร้างความสะท้านสะเทือนไปทั้งทำเนียบรัฐบาล ด้วยหมายความตามตัวอักษรว่า “นายกฯ ไม่รู้เรื่องรู้ราวถึงขนาดถูกหลอกได้”

ความจริง ถ้าย้อนกลับไปดูวันที่ “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร” รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปพบ “นายกฯ เศรษฐา” ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรายงานถึงเรื่องการให้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกจากราชการไว้ก่อน จะเห็นว่า หลังจากที่ “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” กลับไป “นายกฯ เศรษฐา” ได้เชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าหารือ เพื่อตรวจสอบข้อกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะอำนาจของนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในเรื่องตำแหน่งสำคัญหากจะมีการกำหนดบทลงโทษต่างๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้กรณีที่ “บิ๊กโจ๊ก” ยื่นฟ้องพนักงานสอบสวนกว่า 200 คนก็ถือเป็นอีกหนึ่งเคสที่น่าสนใจ เพราะอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่คุยหนักคุยหนาว่าเก่งกล้าสามารถ ถึงขนาดประกาศต่อสาธารณชนในวันที่ถอนฟ้อง “นายกฯ เศรษฐา” ว่า “ถ้าให้ประชาชนเลือก ผมคงได้เป็น ผบ.ตร.แล้ว” จะไม่เข้าใจธรรมชาติของ “ตำรวจ” เลยหรือว่า เป็นเช่นไร ถ้าเห็นว่าถูกรังแกจริงดังที่กล่าวอ้าง แค่ฟ้อง “ระดับบน” อย่าง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ หรือ “พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อย่างที่ทำก็น่าจะเพียงพอแล้ว ทำไมถึงต้องลาก “ตำรวจเด็กๆ” ให้ต้องวุ่นวายด้วย ซึ่งถ้าหากจะให้เดา ก็เชื่อว่า “บิ๊กโจ๊ก” คงต้องการ “ขู่” เป็นสำคัญ ดังที่เขาบอกว่า “ฝากถึงพนักงานสอบสวนให้ออกมายอมรับว่าคนสั่งเป็นใคร แล้วจะรอด”

ทว่า สิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ คดีการฟอกเงินจากเครือข่ายเว็บการพนัน BNK Master นั้น มีหลักฐานเส้นทางเงินเชื่อมโยงไปถึง “บิ๊กโจ๊กและคณะ” จริง ซึ่ง “พล.ต.อ.ธนา” ในฐานะ รอง ผบ.ตร.ก็ได้รับมอบจาก ผบ.ตร.ให้เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ก็ปฏิบัติตามหน้าที่ ดังที่ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “ทำทุกอย่างตรงไปตรงมา และยังขอให้อัยการมาร่วมสอบสวนด้วย 2 คน และมีเจ้าหน้าที่ ปปง.มาด้วย ทุกอย่างอยู่ในรูปของคณะกรรมการทั้งหมด ไม่มีใครสามารถกลั่นแกล้งใครได้”

และท้ายที่สุด ถ้าได้ติดตามการแถลงข่าวของ “บิ๊กโจ๊ก” ตั้งแต่มีข่าวว่าจะถูกฟ้อง ถูกออกหมายเรียก ถูกออกหมายจับ และถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน จนถึงปัจจุบัน จะพบความจริงประการสำคัญว่า “บิ๊กโจ๊ก” ไม่ได้ต่อสู้ว่าไม่ได้กระทำความผิดอย่างไร เช่น ไม่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าอย่างไร ไม่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินอย่างไร แต่พร่ำบอกว่า ตนเองถูกกลั่นแกล้ง พนักงานสอบสวนของสำนักงานแห่งชาติไม่มีอำนาจในการทำคดี แถมยังบอกว่า ถ้าเส้นเงินที่โยงมาถึงตนเองแล้วทำไมถึงไม่จัดการ “บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ด้วยเล่า

ตรงนี้ สอดคล้องกับสิ่งที่ “ทนายตั้มหวานเจี๊ยบ” ษิทรา เบี้ยบังเกิด ที่เคลื่อนไหวในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง

โดยเมื่อวันที่ 23 เมษายน “ทนายตั้ม” ก็แฉเรื่องนี้อีกครั้งว่า กรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์พบว่ามีเงินจากเว็บพนันออนไลน์โอนเข้าบัญชีม้าที่ผู้ใต้บังคับ บัญชาถืออยู่ 4 บัญชี และโอนไปยังบัญชีครอบครัวรวมทั้งโอนไปยังโรงพยาบาลวิชัยยุทธ 4 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลให้กับครอบครัว และยังโอนเข้าไปยังบัญชีน้องชายและแม่เดือนละ 5 หมื่นบาท ร้านกาแฟ สนามยิงปืน ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำมันรถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากาแฟ เป็นหลักฐานที่ดำเนินคดีอาญากับ พล.ต. อ.สุรเชษฐ์ได้อย่างแน่นอน

ขณะที่การดำเนินคดี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์นั้น ได้นำพยานหลักฐานทั้งเส้นทางการเงินและอื่นๆไปร้องทุกข์กล่าวโทษที่ สน.เตาปูน และกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บก.ปปป.) แต่ยังไม่มีความคืบหน้า พนักงานสอบสวนอ้างว่าอยู่ระหว่างตรวจสอบเส้นทางการเงินและตรวจสอบต้นทางของบัญชีต่างๆ มองว่าเป็นการดำเนินการสองมาตรฐานของตำรวจ ทั้งที่หลักฐานที่นำไปส่งให้นั้นชัดเจนว่าโอนเงินจากบัญชีม้าไปยังภรรยา พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และเครือญาติชัดเจน ทั้งยังพบว่าเงินถูกใช้จ่ายเป็นค่านิติบุคคลให้กับคอนโดมิเนียม 3 แห่ง รีสอร์ทหรูชื่อดังที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรถยนต์อีกหลายคัน

นายษิทราย้ำว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ต้นทางมาจากที่เดียวกันคือบัญชีม้าบัญชีหนึ่งชื่อณัฐพงศ์ มีเงินเข้าจากเว็บไซต์การพนันออนไลน์เฉพาะบัญชีนี้เดือนละ 80 ล้านบาท ยอดรวมทั้งหมดมีมากกว่า 800 ล้านบาท เงินจากบัญชีนี้ถูกโอนต่อเป็นทอดเชื่อมโยงปลายทางคือบัญชีเครือญาติและคนสนิท พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ในลักษณะเดียวกันกับกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์กลับไม่ถูกให้ออกจากราชการ ไม่ถูกออกหมายเรียกและหมายจับ แถมยังไม่ถูกค้นบ้าน ไม่ถูกตรวจสอบโทรศัพท์

สิ่งที่ “บิ๊กโจ๊ก” เคลื่อนไหว และสิ่งที่ “ทนายตั้ม” รับลูกต่อ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก็ต้องว่ากันไปตามหลักฐาน เพราะถ้าไม่ทำก็ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

แต่ถ้าประมวลจาก “ปฏิบัติการสติแตก” ของ “บิ๊กโจ๊ก” ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งการลาก “บิ๊กป้อม-นางรัตนา” มาเป็นพยาน และเดินหน้า “ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน” แล้ว บทสรุปของเรื่องนี้มีเพียงหนึ่งเดียวคือ “บิ๊กโจ๊ก” อยากเป็น “ผบ.ตร.” ดังที่เขาให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “ตราบใดก็ตามที่ ป.ป.ช. ยังไม่มีการชี้มูลความผิดตนก็ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และยังมีคุณสมบัติที่จะเป็น ผบ. ตร.ได้ทุกอย่าง อีกทั้งตนยังถือเป็นรองผบ.ตร.อันดับ 1 เพราะฉะนั้นถ้าตนกลับมาได้วันใด ตนก็ยังเป็น ผบ.ตร.ได้”

ส่วนจะเป็นได้หรือไม่นั้น ไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ๆ คือ ณ เวลานี้ “บิ๊กโจ๊ก” ได้เปลือย “อาณาจักรหวานเจี๊ยบ” ออกมาล่อนจ้อนพร้อมกับทำลาย “คอนเนกชัน” ของตนเองให้พังพินาศให้สายตาของประชาชีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้...นะครับนะ


กำลังโหลดความคิดเห็น