xs
xsm
sm
md
lg

เวียงวังหมื่นปี (6) มหามังกรแห่งการบรรสาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


 จักรพรรดิวั่นลี่(ภาพ : วิกิพีเดีย)
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

เรื่องราวของไท่เหอเหมินหรือประตูบรมบรรสานยังมีที่ควรกล่าวด้วยว่า จนถึงราชวงศ์ชิงประตูนี้ก็มิได้ถูกใช้เป็นที่ว่าราชการอีกต่อไป แต่เป็นที่ที่จักรพรรดิทรงรับการถวายของกำนัลจากบุคคล จัดงานเฉลิมฉลอง และจัดงานเลี้ยงในวาระสำคัญ โดยจักรพรรดิจะเสด็จมาที่ประตูนี้ด้วยการทรงเสลี่ยงที่ทำจากไม้ซีดาน เมื่อมาถึงก็จะเสด็จสู่ไท่เหอเหมินเพื่อปฏิบัติพระราชกรณียกิจนั้นๆ

หนึ่งในพระราชกรณียกิจก็คือ การทรงต้อนรับคณะทูตานุทูตและบุคคลสำคัญชาวต่างชาติ โดยพระราชกรณียกิจนี้เป็นช่วงที่จีนได้เข้าสู่ยุคสมัยใหม่แล้ว และเมื่อราชวงศ์ชิงก็ล่มสลายลง ไท่เหอเหมินก็ถูกทิ้งร้างโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นเวลายาวนานอีกหลายสิบปี

 อีกเรื่องหนึ่งที่ควรเล่าด้วยก็คือ กรณีการหย่อนยานในการบริหารรัฐกิจของจักรพรรดิวั่นลี่นั้น จะว่าไปแล้วก็ใช่แต่จะเป็นจักรพรรดิพระองค์เดียวที่เป็นเช่นนั้น องค์อื่นๆ ในชั้นหลังก็ไม่ต่างกัน แต่จะด้วยกรรมอันใดก็เหลือเดา ที่พอตกมาถึงยุคคอมมิวนิสต์ในปัจจุบันนั้น พระศพของพระองค์ที่ถูกขุดค้นขึ้นมาเมื่อกลางทศวรรษ 1950 ก็ถูกพวกเรดการ์ดนำมาทำลาย 

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่มีการปฏิวัติวัฒนธรรมขึ้นในจีนระหว่างปี ค.ศ.1966 ถึง ค.ศ. 1976 อันเป็นช่วงที่การเมืองจีนถูกเหวี่ยงเข้าสู่กระแสซ้ายจัด เป็นยุคที่อะไรก็ตามที่มิใช่คอมมิวนิสต์ล้วนต้องถูกทำลายไม่ให้มีที่ยืน และผู้ที่ทำลายก็คือ พวกเรดการ์ด (Red Guards)

โดยพวกเรดการ์ดได้นำเอาโครงกระดูกของจักรพรรดิวั่นลี่พร้อมกับมเหสีสองพระองค์มากองเข้าด้วยกัน จากนั้นผู้นำเรดการ์ดที่เป็นเยาวชนหญิงก็แผดเสียงก่นประณามวั่นลี่ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง โดยมีลิ่วล้อเรดการ์ดขานรับทุกครั้งที่เธอก่นประณาม เมื่อก่นประณามจนหนำใจแล้วพวกเรดการ์ดทั้งหมดก็นำโครงกระดูกนั้นมาทุบทำลายให้แหลก จากนั้นก็จุดไฟเผาทำลายจนไม่เหลือซาก

 แต่หลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลงแล้ว ผู้นำเรดการ์ดหญิงคนดังกล่าวก็สำนึกผิด เธอเล่าว่า หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นไปอีก 20 ปี เธอต้องทนทุกข์ทรมานจากการกระทำของเธอในครั้งนั้นจากการนอนไม่หลับแม้แต่คืนเดียว เธอว่าเธอถูกจักรพรรดิวั่นลี่และมเหสีสองพระองค์ถือกระบี่ไล่ฟันเธอแทบทุกคืน ตราบจนเธอสารภาพด้วยความสำนึกผิดไปแล้วนั้นเอง อาการดังกล่าวจึงทุเลาเบาบางลง 

เรื่องราวชะตากรรมของจักรพรรดิวั่นลี่ดังกล่าว หากนำมาเปรียบเทียบกับไท่เหอเหมินแล้วก็จะเห็นได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งพระองค์ยังทรงพระชนม์ชีพจนถึงเมื่อพระศพของพระองค์ถูกทำลายนั้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการไม่ “บรรสาน” ของการเมืองและการปกครองนั้นเอง คำว่า “บรรสาน” ในที่นี้จึงมีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก

อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านไท่เหอเหมินหรือประตูบรมบรรสานมาแล้ว สิ่งปลูกสร้างต่อมาก็คือ  ไท่เหอเตี้ยนหรือพระที่นั่งบรมบรรสาน  พระที่นั่งนี้จะรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า  จินหลวนเตี้ยนหรือพระที่นั่งบัลลังก์ทอง (The Hall of the Golden Throne) ถือเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่ที่สุดภายในพระราชวังต้องห้าม กล่าวเฉพาะองค์พระที่นั่งจะมีความสูง 26.92 เมตร แต่ถ้านับจากฐานรองรับพระที่นั่งแล้วจะสูงถึง 35.05 เมตร

ส่วนขนาดของพระที่นั่งนั้นจะนับแบบโบราณคือ กว้าง 11 ห้อง ลึก 5 ห้อง มีเนื้อที่ 2,377 ตารางเมตร โดยขนาดที่เป็นห้องนี้มาจากคำจีนว่า เจียน (间) ภาษาอังกฤษใช้ว่า bay ขนาดห้องที่ว่านี้จะวัดจากพื้นที่ของเสาสี่ต้นเท่ากับหนึ่งห้อง ซึ่งเสาสี่ต้นนี้จะห่างกันประมาณห้าถึงหกเมตร ชาวจีนสมัยก่อนจะส

ไท่เหอเตี้ยนหรือพระที่นั่งบรมบรรสาน(ภาพ : วิกิพีเดีย)
ร้างอาคารด้วยพื้นที่ขนาดที่ว่านี้

 แต่ก็มีระเบียบปฏิบัติที่เคร่งครัดมิให้สร้างอาคารที่เรียกว่า “เก้าห้าสูงสุด” (จิ๋วอู่จื้อจวิน, 九五至尊) อันเป็นคำเรียกขนาดอาคารที่สงวนให้เฉพาะองค์จักรพรรดิ นั่นคือ อาคารที่มีความกว้างเก้าห้องและลึกห้าห้อง เพราะฉะนั้น ขนาดของพระที่นั่งบรมบรรสานหรือไท่เหอเตี้ยนที่กว้าง 11 ห้องและลึก 5 ห้องจึงจัดเป็นพระที่นั่งโบราณที่ถูกสร้างให้มีขนาดในขั้นสูงสุด 


เนื่องจากเป็นสิ่งปลูกสร้าง (พระที่นั่ง) ที่ใช้โดยจักรพรรดิ ขนาด การออกแบบ การจัดสร้าง และการตกแต่งทั้งหมดจึงเป็นไปด้วยความประณีตและวิลิศมาหรา

เริ่มจากชายคาของมุมหลังคาพระที่นั่งที่จะมีสัตว์มงคลประดับเอาไว้ สัตว์มงคลเหล่านี้เป็นสัตว์ในตำนานที่มีชีวิตอมตะ ที่โดยทั่วไปแล้วจะประดับไว้ตั้งแต่สาม ห้า เจ็ด จนถึงสูงสุดที่เก้าตัว แต่ที่พระที่นั่งนี้กลับมีทั้งสิ้นสิบตัว ซึ่งถือว่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับพระราชวังอื่นในจีน

 สัตว์มงคลทั้งสิบนี้ประกอบไปด้วยมังกร นกฟีนิกซ์ สิงห์ ม้าบิน ม้าน้ำ ไกรสรจำแลง (ซวนหนี) ปลามังกร (ยาอี๋ว์) เซี่ยจื้อ (มีลำตัวคล้ายม้า มีดวงตาเทพ บนเศียรมีเขาหนึ่งเขา) โต่วหนิว (วัวมังกรที่มีเกล็ดบนลำตัว) และสิงซื่อ (รูปลักษณ์คลายลิงและมีปีก)  

อย่างไรก็ตาม ยอดหลังคาของพระที่นั่งนี้จะถูกสร้างเป็นสันนูนรูปมังกรขนาดใหญ่ที่มีความยาว 3.4 เมตร และมีน้ำหนักถึง 3.4 ตัน ส่วนระเบียงชั้นล่างจะมีท่อระบายน้ำล้อมรอบพระที่นั่ง 1,142 ท่อ ท่อนี้เป็นท่อหินอ่อนรูปหัวมังกร และที่ต้องมีจำนวนมากเช่นนี้ก็เพราะพระที่นั่งมีระเบียงถึงสามชั้น แต่ละชั้นมีขนาดลดหลั่นกันไปก็จริง แต่ก็เป็นระเบียงที่ใหญ่ทั้งสามชั้น เวลาฝนแต่ละครั้งจึงขังน้ำเอาไว้ในปริมาณมาก จนทำให้การเร่งระบายน้ำโดยเร็วเป็นสิ่งจำเป็น ท่อที่มีจำนวนมากจึงมากด้วยเหตุนี้

ถัดลงมาบนพื้นด้านล่างหน้าพระที่นั่งตรงมุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือที่ติดกับราวบันไดนั้น จะมีนาฬิกาแดดตั้งไว้หนึ่งเรือน และด้านตะวันตกเฉียงเหนือจะมีเครื่องตวงตั้งไว้หนึ่งถัง สิ่งประดิษฐ์ทั้งสองนี้ทำขึ้นเพื่อชี้ให้เห็นถึงอำนาจของจักรพรรดิว่า ทรงเป็น  เจ้าแห่งกาละและเทศะ (time and space) อย่างหลังนี้หมายถึงมาตรฐานที่คงที่และเที่ยงธรรมในทางโลก เทศะจึงถูกสื่อด้วยเครื่องตวงด้วยเหตุนี้

นอกจากนี้ ก็ยังมีประติมากรรมสำริดเต่าและนกกระเรียนตั้งอยู่อย่างละตัว สัตว์ทั้งสองนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของอายุมั่นขวัญยืน ซึ่งหมายถึง พระชนมายุที่ยิ่งยืนนานขององค์จักรพรรดิ เพื่อที่พระองค์จักได้ทรงอำนาจไว้ปกครองราษฎรอย่างยาวนาน

เมื่อได้ยลเยือนสิ่งที่อยู่รอบนอกจนเข้าใจความหมายแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะได้เข้าไปภายในพระที่นั่งองค์นี้ ภาพที่เห็นภาพแรกจนละลานตาไปหมดก็คือ  มังกร  ที่จะปรากฏผ่านอิริยาบถต่างๆ แทบในทุกที่ที่อยู่ภายในพระที่นั่ง และทั้งหมดล้วนเป็นสีทองทั้งสิ้น ภาพที่โดดเด่นที่สุดก็คือ บัลลังก์จักรพรรดิที่ตั้งอยู่กึ่งกลางด้านในพระที่นั่งเข้าไป

บัลลังก์นี้ตั้งอยู่บนพระแท่นที่มีบันไดขั้นเล็กๆ เจ็ดขั้นสำหรับให้จักรพรรดิก้าวขึ้นไปประทับ โดยด้านข้างซ้ายขวาของพระแท่นจะมีสัตว์ในตำนานชื่อ  ลู่ตวน ตั้งอยู่ข้างละตัว ลู่ตวนเป็นสัตว์สี่เท้ามีเขาอยู่บนเศียรหนึ่งเขา สามารถเดินทางไปได้ไกล 9,000 กิโลเมตรภายในหนึ่งวัน และสามารถเข้าใจทุกภาษาที่มนุษย์ใช้กันทั่วโลก

ส่วนบัลลังก์ที่เป็นที่เท้าพระกรและพนักพิงนั้นจะมีมังกรทองประดับอยู่สามตัว โดยด้านหลังจะมีฉากขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ฉากนี้มีอยู่เจ็ดบานโดยมีบานกลางเป็นบานที่ใหญ่ที่สุด ถัดไปอีกข้างละสามบานจะมีขนาดเล็กลงลดหลั่นกันไป แน่นอนว่า ฉากนี้ย่อมสลักลวดลายเป็นรูปมังกรทองเช่นกัน ซึ่งย่อมรวมถึงมังกรทองที่ประดับอยู่เหนือฉากนี้ด้วย

พ้นไปจากบัลลังก์ที่ดูโดดเด่นแล้ว สองข้างพระแท่นบัลลังก์ก็ยังมีเสาสี่ต้นค้ำพระที่นั่งเอาไว้ เสานี้จะสลักลวดลายรูปมังกรพันเลื้อยรอบเสาและมีสีทองทั้งสี่ต้น มังกรที่พันรอบเสานี้มีความยาวมากกว่าสิบเมตร ถัดจากพระแท่นก็จะมีเสาอีกหกต้นทาด้วยสีแดงชาดค้ำพระที่นั่งเอาไว้ข้างละสามต้น

 ที่สำคัญ เสาที่ยืนค้ำพระที่นั่งองค์นี้มีอยู่ทั้งสิ้น 72 ต้น แต่ละต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตร และมีทั้งที่ตั้งอยู่ภายในและภายนอกพระที่นั่ง  



กำลังโหลดความคิดเห็น