หน.ก้าวไกล ลั่น สู้เต็มที่ หลังศาล รธน. ให้เวลาแก้ต่าง 15 วัน ขออย่าด่วนสรุปผล จ่อ ยื่นชี้แจงควบคู่แถลงต่อสาธารณะ หลังสงกรานต์ เผย ประชุมสามัญพรรคเสาร์นี้ ถือโอกาสหารือ ส.ส. ตัวแทนสมาชิกพรรค
วันนี้ (3 เม.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญ ให้เวลา 15 วัน หลังรับคำร้อง จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นขอยุบพรรค กรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อว่า ล้มล้างการปกครอง
โดย นายชัยธวัช กล่าวว่า ได้ดูข่าวอยู่ในระหว่างที่ห้องประชุม ซึ่งศาลก็ให้เวลา 15 วัน ในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นขบวนการปกติ ที่เริ่มต้นด้วยหลังจากการที่ศาลรับคำร้อง ก็เปิดโอกาสให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาได้ยื่นชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
จริงๆ เราได้เตรียมการมาพอสมควรก่อนหน้านี้แล้ว ในเรื่องของการเตรียมชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ดังนั้น เมื่อเราได้รับเรื่องอย่างเป็นทางการจากศาลธรรมนูญ แล้วทางฝ่ายกฎหมายของพรรค รวมถึงแกนนำพรรคที่เกี่ยวข้อง จะต้องทำเอกสารให้ดีที่สุด หากดูจากระยะเวลาคงเป็นหลังสงกรานต์ เราคงจะถือโอกาสนี้ในระยะเวลาใกล้เคียงกันในการแถลงต่อสู้คดีต่อสาธารณะด้วยไม่ใช่แค่ยื่นต่อสู้ในศาลอย่างเดียว
ส่วนในการชี้แจงนั้น ขอรอแถลงทีเดียว เนื่องจากจะเป็นเรื่องของกฎหมาย แง่มุมของกฎหมายที่ต้องต่อสู้กัน ซึ่งไม่ได้กระทบต่อการทำงานของพรรคก้าวไกล ทุกอย่างต้องเดินหน้า ซึ่งหลังจากที่อภิปราย 152 เสร็จ เราจะมีประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นการประชุมที่ต้องทำทุกปีอยู่แล้ว คงจะเป็นโอกาสที่เราจะได้พูดคุยกับสมาชิกพรรคทางที่เป็นสส.และเป็นตัวแทนของสมาชิกพรรคทั่วประเทศ
นายชัยธวัช กล่าวว่า ตอนนี้เดินหน้าสู้คดีอย่างเต็มที่ ซึ่งเราคิดว่าอย่าพึ่งไปสรุปว่าคดีนี้ผลจะเป็นอย่างไร เรายังเห็นว่ายังมีข้อโต้แย้งในทางกฎหมายอยู่ประกอบกับข้อเท็จจริงที่จะมาเป็นเหตุผลในเรื่องของกฎหมายด้วย ว่าทำไมแม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 สั่งให้การกระทำที่ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า พวกเรากระทำการล้มล้างการปกครองและสั่งยุติการกระทำนั้น ไม่ว่าจะสั่งไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อมีการร้องให้มีการยุติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) พรรคการเมืองตามมาตรา 92 จะต้องดำเนินการตัดสิน ว่า ข้อเท็จจริงเพียงพอแล้ว และตัดสินยุบพรรคโดยอัตโนมัติ มันมีแง่มุมทางกฎหมายและข้อเท็จจริงที่จะต้องต่อสู้กันอยู่ ซึ่งเราเห็นว่าศาลมีดุลพินิจที่จะพิจารณา