ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แม้จะถูกคำสั่งของ “นายกฯ นิด” เศรษฐา ทวีสิน เด้งไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี แต่ดูเหมือนว่าอิทธิฤทธิ์ของ “บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังคงดำรงอยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ก่อนหน้านี้ “บิ๊กโจ๊ก” ใช้ “สารพัดเหลี่ยม” ในการป้องกันตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการจับ “บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นตัวประกัน จนคดีต้องหยุดชะงัก และ “นายกฯ นิด” ต้องตัดสนใจ “เด้งคู่” เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าต่อไปได้ หรือการที่ส่ง “ลูกน้อง” ไปข่มขู่ “อัยการ” ที่ทำคดีเว็บพนันออนไลน์มินนี่จนสำนักงานอัยการสูงสุดต้องส่งหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับทราบถึงพฤติกรรมอันไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย
ทว่า ก็ยังมีอีกหลายเหลี่ยมที่ได้เห็นในเวลาถัดมา
เหลี่ยมที่ 1 หนีหมายป่วนกระบวนการยุติธรรม
เหลี่ยมแรกที่สังคมได้เห็นก็คือ เรื่อง “หมายเรียก” ซึ่ง “บิ๊กโจ๊ก” ไม่ได้เข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 ทำให้เจ้าพนักงานต้องนำหมายเรียก “ครั้งที่ 2” ไปติดที่บ้านย่านซอยวิภาวดี 60 ในวันถัดมา แต่ก็ไม่เจอตัว “บิ๊กโจ๊ก” อีกเช่นเคย
สิ่งที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะเดินทางเข้ามา พบรถเบนซ์ เอสคลาส สีบรอนซ์เงิน ทะเบียนหมายเลข 919 ซึ่งเป็นรถประจำตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขับออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเวลา 10.20 น.พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง พร้อมกับตำรวจสายตรวจ เดินทางด้วยรถกระบะ 2 คันมาถึงที่หมู่บ้าน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน ได้สอบถามกับตำรวจถึงเหตุผลการเดินทางเข้ามา พร้อมขอตรวจสอบบัตรเจ้าพนักงาน รวมถึงเอกสารหมายเรียก โดยแจ้งว่าเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน ที่ต้องทราบว่ามีหมายเรียกไปส่งที่บ้านของลูกบ้านหลังใด จึงขอความร่วมมือกับตำรวจ ก่อนจะประสานไปยังฝ่ายนิติบุคคลเพื่อให้ตำรวจไปปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนติดตามเข้าไปทำข่าว
อย่างไรก็ตาม การส่งหมายเรียกในครั้งที่สองเป็นไปอย่างราบรื่น ต่างจากการส่งหมายเรียกครั้งแรก ที่ รปภ.ของหมู่บ้าน ไม่อนุญาตให้ตำรวจเข้าไป จนเกิดการยื้อดึงกัน ซึ่งใช้เวลาในการพูดคุยหลายสิบนาที ก่อนจะอนุญาตให้ตำรวจนำหมายไปส่ง
ภายหลังใช้เวลาประมาณ 15 นาที พนักงานสอบสวนเดินทางออกมา พร้อมแจ้งว่า ไม่สามารถส่งหมายเรียกได้ เนื่องจากไม่มีผู้รับหมายอยู่ที่บ้าน จึงรายงานผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
“บิ๊กโจ๊ก” บอกว่า รู้ว่ามีมี “หมายเรียก” ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา แต่ต้องดูก่อนว่าเป็นหมายอะไร และ มีการสอบสวนโดยชอบหรือไม่ชอบ ถ้าเป็นการสอบสวนโดยมิชอบ การออกหมายเรียกก็เป็นการออกโดยมิชอบ พร้อมบอกด้วยว่า ตามกฎหมายนั้น หมายเรียกจะต้องส่งต่อตนเอง ลูกน้องซึ่งอยู่ที่บ้านไม่สามารถรับหมายเรียกแทนได้
นอกจากนี้ ยังมี “เหลี่ยมลาราชการ” เพื่อเลี่ยงการรับ “หมายเรียก” อีกต่างหาก ซึ่งแม้กระทั่ง “นายกฯ นิด” ก็ยังต้องทำหน้าตาเลิกลั่ก เพราะไม่รู้ว่าจะออกลูกนี้ โดยเจ้าตัวอธิบายว่าลาไปปฏิบัติภาคกิจส่วนตัวที่จังหวัดหนองคายและได้ลาล่วงหน้าไว้กับ “บิ๊กต่อ” แล้ว รวมทั้งได้แจ้งกับนายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้รับทราบแล้วเช่นกัน โดยหลังกลับจากหนองคายแล้วจะเดินทางไปพักผ่อนกับครอบครัวที่อังกฤษในวันที่ 26 มีนาคม และจะกลับมาประเทศไทย ในวันที่ 1 เมษายน ก่อนที่จะประกาศยกเลิกในเวลาต่อมาโดยอ้างว่า เพราะต้องทำภารกิจที่นายกฯ มอบหมาย เห็นแก่ความเดือดร้อนเรื่องที่ดินทำกินของประชาชน มาก่อนส่วนตัว
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ถ้าเป็นประชาชนคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ จะสามารถทำอย่าง “บิ๊กโจ๊ก” ได้หรือไม่ เพราะเท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมาก็ไม่พบมาก่อนเลยว่า มีใครใช้วิธีการลักษณะนี้
จะใช้คำว่า “รู้มาก” ก็คงจะใช่ เพราะจริงๆ แล้วก็คือมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับหมาย หรือสรุปสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า มีเจตนาไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ดังนั้นแนวทางหลังจากนี้ อาจมีการออกหมายเรียกครั้งที่ 3 เพื่อเป็นการตอกย้ำการดำเนินการในครั้งที่ 2 ว่า ผู้ต้องหาจงใจหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับหมาย การไปราชการต่างจังหวัด ไม่ยอมเข้าที่ทำงาน หรืออยู่ระหว่างการลา ล้วนแล้วแต่เป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผล และหากพนักงานสอบสวนไปขอหมายจับ ก็จะเป็นเหตุให้ศาลได้ใช้ดุลยพินิจว่า การส่งหมายของ พนักงานสอบสวน ชอบแล้วหรือไม่ เป็นเรื่องที่ผู้ต้องหารู้หรือควรรู้ว่า มีหมายเรียกผู้ต้องหาให้ไปพบ พนักงานสอบสวน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว แต่ไม่ยอมไป มีเจตนาหลบหนีหรือไม่ต้องการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
นี่อาจเป็นการการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับผู้ต้องหาอื่น ๆ ในอนาคตได้ ซึ่งจะทำให้ระบบนิติรัฐผิดเพี้ยนไปเพราะคนคนเดียว
คนที่ไม่ได้ตามเรื่องก็อาจเห็นอกเห็นใจ “บิ๊กโจ๊ก” แต่ในความเป็นจริงแล้วต้องบอกว่าเรื่อง “หมาย” นั้น “โจ๊กและทีมงาน” แก้ต่างๆ ไปแบบข้างๆ คูๆ เพราะถ้าหากพิจารณาด้วยจิตใจของวิญญูชน ก็คงต้องตระหนักว่า เป็นหมายที่ออกโดย “ศาล” ถ้า “ศาล” ไม่เห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอจะอนุมัติหมายออกมาได้อย่างไร ขณะเดียวกัน ศาลก็ย่อมต้องรู้ว่า พนักงานตำรวจมีอำนาจในการทำคดีหรือไม่ ไม่ใช่มาอ้างว่าเป็นคำสั่งคำแถลงของ “บิ๊กต่อ” ว่าให้ส่งสำนวนคดีไปให้ ป.ป.ช.
“บิ๊กโจ๊ก” จะรู้ดีกว่า “ศาล” ได้อย่างไร
และกรณีนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า จะเป็นการ “หมิ่นศาล” หรือไม่อย่างไร
เหลี่ยมที่ 2 หนีตายพึ่ง “ป.ป.ช.” คุ้มภัย
ไม่จบเพียงเท่านั้น “บิ๊กโจ๊ก” ยังได้มอบให้ “ทนายราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ” เดินทางมายื่นฟ้องผู้มีคำสั่งแต่งตั้ง และคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีเว็บพนัน BNK Master ของ สน.เตาปูน รวม 30 นาย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยอ้างว่า คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนชุด สน.เตาปูน ไม่มีอำนาจในการดำเนินการสืบสวนสอบสวน
แต่ที่แสบไปกว่านั้นก็คือทนายบิ๊กโจ๊กได้อ้างว่าในการแถลงข่าวร่วมกัน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ประกาศต่อหน้าธารกำนัลและสาธารณชนว่า คดีที่อยู่ในกลุ่มเว็บพนันที่กล่าวหาเกี่ยวพันกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าพนักงานในการกระทำความผิดที่อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. จะรวบรวมสำนวนส่งไปยัง ป.ป.ช. แต่คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนก็ยังดำเนินการออกหมาย และไม่ได้มีการรวบรวมสำนวนทั้งหมดส่ง ป.ป.ช.
ใครที่ติดตามความเคลื่อนไหว ก็จะพบว่า นี่เป็น “เหลี่ยมสำคัญ ซึ่ง “ทีมโจ๊ก” มุ่งมั่นที่จะให้ ป.ป.ช.ทำคดีมาอย่างต่อเนื่อง
ต้องย้ำกันอีกครั้งว่า การที่ “ทีมโจ๊ก” ต้องการให้คดีไปอยู่ในมือของ ป.ป.ช.ก็เพราะเขามีความสัมพันธ์อันดีกับองค์กรแห่งนี้ในหลายระดับ จนมีการเรียกขานกันว่า ป.ป.ช.อาจจะย่อมาจาก “ป้อม ป้อง สุรเชษฐ์” ก็เป็นได้ ด้วยป.ป.ช. ในยุคของ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ หรือ “บิ๊กกุ้ย” เป็นประธาน ถูกเพ่งเล็งถึงความเป็นกลางและในการทำหน้าที่เที่ยงตรงหรือไม่ เริ่มตั้งแต่การเข้ามาสู่ตำแหน่งประธาน ป.ป.ช. ของ พล.ต.อ.วัชรพล เมื่อปี 2558 ก็มีข้อครหาพอสมควร เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าก่อนมาทำหน้าที่นี้เคยเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองให้กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อครั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ทำให้ ป.ป.ช.ต้องตกอยู่ในมรสุมเรื่อง คดีการยืมนาฬิกา ซึ่งสั่นคลอนความน่าเชื่อถือของ ป.ป.ช. มาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกที่ “บิ๊กโจ๊ก”, ทีมทนาย กับ ลูกน้องตำรวจ ที่ต้องคดีถึงไม่อยากให้คดีที่พัวพันกับเว็บการพนันออนไลน์ต่าง ๆ นั้นเป็นทีมงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นคนทำ แต่พยายามทุกวิถีทางที่จะให้ ป.ป.ช. ดึงไปทำให้หมด ทั้ง ๆ ที่ ป.ป.ช. เองก็ขาดศักยภาพในการทำคดี เจ้าหน้าที่ก็มีจำกัด คดีเลยถูกดองเค็มเอาไว้เต็มไปหมด
ขณะเดียวกัน การฟ้องคณะพนักงานสอบสวนสืบสวนเป็นอีก “เหลี่ยม” ที่ “ทีมโจ๊ก” ใช้ ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้เกิดกรณีที่ “พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิสมัย หรือ เปียก” ผกก.ตม.จ.จันทบุรี ลูกน้องคนสนิท “บิ๊กโจ๊ก” เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.กับชุดพนักงานสอบสวน รวม 244 คน รวมทั้งพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ด้วย โดยกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ,รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ , พยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาเชื่อว่าได้มีความผิดอาญาอย่างใดเกิดขึ้น หรือเชื่อว่าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นความจริง ฯ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83, 91,157, 162 (4), 179 , 200พรป. ป.ป.ช. พ.ศ. 2561มาตรา4 ,172
เป็นคดีที่ “ผู้กำกับเปียก” และชาวคณะถูกฟ้องเกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่
ทว่า คดีนี้ไม่เป็นไปตามเป้าประสงค์ของ “บิ๊กโจ๊ก” จะเรียกว่า “หน้าแหกชนิดหมอไม่รับเย็บ” ก็คงจะว่าได้ เพราะเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลางมีคำพิพากษา “ยกฟ้อง” ในทุกข้อกล่าวหา ซึ่งเมื่อพิจารณารายละเอียดของคำพิพากษาก็จะพบว่า มีสาระสำคัญอยู่ไม่น้อย
กล่าวคือศาลเห็นว่า “ที่โจทก์อ้างว่าไม่ปรากฏหลักฐานการกระทำความผิด การแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมไม่ชอบ มีการปรุงแต่งเรื่องราวนำมากล่าวหาโจทก์กับพวก ล้วนแต่เป็นข้อต่อสู้ที่โจทก์ต้องนำไปพิสูจน์ว่าโจทก์กับพวกมิได้กระทำความผิด มิใช่ข้อที่จะนำมาฟ้องจำเลยกับพวกในคดีนี้ และการวินิจฉัยสั่งคดีของพนักงานสอบสวนในชั้นสอบสวนนี้มิใช่การวินิจฉัยว่าจำเลย (โจทก์คดีนี้) มีความผิดหรือเป็นผู้บริสุทธิ์ดังเช่นกระบวนการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ทั้งเป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวนที่จะเรียกบุคคลใดมาเป็นพยานหรือไม่ก็ได้ หรือจะรวบรวมหรือไม่รวบรวมพยานหลักฐานใดเข้าไว้ในสำนวนการสอบสวนก็ได้ และการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมนั้นหมายความว่า ข้อกล่าวหาเดิมยังคงอยู่มิใช่ต้องตกไปเพราะพยานหลักฐานรับฟังไม่ได้ตามที่โจทก์เข้าใจ ส่วนที่ข้อกล่าวหาเดิมจะขัดแย้งหรือซ้ำซ้อนกับข้อกล่าวหาใหม่หรือไม่ ก็เป็นข้อกฎหมายที่ศาลจะเป็นผู้วินิจฉัย สำหรับการยื่นคำร้องต่อศาลขอออกหมายจับและหมายค้นต่างศาลกันเป็นเพราะศาลที่มีอำนาจออกหมายจับ คือศาลที่มีเขตอำนาจชำระคดีหรือศาลที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่ที่จะทำการจับ ส่วนศาลที่มีอำนาจออกหมายค้น คือศาลที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่ที่จะทำการค้น”
“ส่วนการยื่นขอออกหมายจับโดยไม่ระบุอาชีพ ยศ และตำแหน่ง ในหมายจับนั้น เห็นว่า ยศของข้าราชการตำรวจเป็นเพียงการแสดงถึงจำนวนปีที่รับราชการเท่านั้น อีกทั้งฐานความผิดที่ระบุในหมายจับก็เป็นฐานความผิดที่ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาคดีของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ กับทั้งการที่ศาลอาญากรุงเทพใต้จะพิจารณาออกหมายจับตามคำร้องของผู้ร้องหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานของผู้ร้องที่เสนอมาตามสมควรซึ่งเป็นสาระสำคัญยิ่งกว่าการระบุยศ ตำแหน่ง หรืออาชีพ ที่มิได้เกี่ยวข้องกับฐานความผิดดังได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น”
“ส่วนจำเลยที่ 60 ที่มียศร้อยตำรวจเอกจึงเป็นการลงชื่อในคำร้องขอออกหมายจับที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว สำหรับการนำตัวโจทก์กับพวกไปฝากขังต่อศาลในเวลาใกล้ปิดทำการ การคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว และเหตุอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับคำร้องขอฝากขังนั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว กรณีจึงไม่ใช่เหตุถึงขนาดที่จะฟังว่าจำเลยกับพวกปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย การยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อจำเลยที่ 244 (พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ )เพื่อเปลี่ยนคณะพนักงานสอบสวนนั้น โจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงให้เห็นว่า จำเลยที่ 244 ได้ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการอย่างใดในหน้าที่ อันจะแสดงให้เห็นว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่วนข้อกล่าวอ้างอื่น ๆได้แก่ การค้นบ้านพล.ต.อ.สุรเชษฐ์เป็นเหตุให้ไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ดี การโอนคดีไปอยู่ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ก็ดี และการนำพยานหลักฐานเดิมมาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ก็ดี ล้วนแต่เป็นเพียงมูลเหตุจูงใจที่ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยกับพวกกระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง”
คำพิพากษาอันนี้ถือเป็น “หมัดเด็ด” ที่ทำให้ “บิ๊กโจ๊ก” และชาวคณะกำลังวิ่งเต้น และขู่ฟ่อ ๆ เกี่ยวกับการดำเนินคดีว่ามิชอบโดยกฎหมาย ต้องหงายเงิบ และแผนที่จะผลักดันให้คดีทุกอย่างวิ่งเข้าไปที่ ป.ป.ช. นั้นต้องพังครืนลงทั้งหมด ถึงขนาดที่เจ้าตัวต้องโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กในวันเดียวกันว่าจะไม่มีการแถลงข่าวเปิดใจใด ๆ ทั้งสิ้น พร้อมตบท้ายด้วยว่า “เรามาสร้างสังคมแห่งความสามัคคีด้วยกันนะครับขอบคุณครับ”
เหลี่ยมที่ 3 ส่ง “ทนายตั้ม” เดินเกมแฉ?
เหลี่ยมที่สามคือ “เหลี่ยมตั้ม” ซึ่งถือเป็น “เหลี่ยมใหญ่” เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า “ทนายตั้ม-ษิทรา เบี้ยบังเกิด” นั้น มีความสัมพันธ์อันดีกับ “บิ๊กโจ๊ก” จนหลายคนอยากเปลี่ยนนามสกุลให้ใหม่จาก “เบี้ยยังเกิด” เป็น “เบี้ยของโจ๊ก” ให้รู้แล้วรู้รอด ซึ่งการที่ “ทนายตั้ม” ออกมาเดินเกมแฉเรื่อง “บิ๊กตำรวจ” ที่ไปพัวพันกับคดีเว็บพนันออนไลน์และสารพัดส่วยในห้วงจังหวะเวลา ย่อมถูกโยงว่าเป็นส่วนหนี่งของ “ทีมโจ๊ก” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในวันแถลงข่าว “ทนายตั้ม” ออกตัวก่อนเลยว่า ไม่ได้เป็นการช่วย “บิ๊กโจ๊ก” ไม่ได้มีใครอยู่เบื้องหลัง และไม่มีคนว่าจ้างแต่อย่างใด พร้อมประกาศอย่างสวยหรูดูดีว่า “ยอมเจ็บเพื่อให้สังคมมีการเปลี่ยนแปลง” ทว่า ผู้คนในวงการตำรวจต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันอึงมี่ว่า “ช่างเป็นคนดีศรีแผ่นดินเสียนี่กระไร”
เรื่องใหญ่ใจความสำคัญหรือเป้าประสงค์หลักของการออกมาแฉครั้งนี้อยู่ที่ “บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล
ทนายตั้งแฉว่า ตัวละครในเรื่องนี้มีหลายคน ที่สำคัญคือ “ดาบยาว คอมมานโด” มีหน้าที่รวบรวมส่วยขั้นต้นทั้งหมดเพื่อนำส่งต่อไปยัง “รองฟาง” คนสนิทของ “บิ๊กต่อ” ซึ่งมีบทบาทสำคัญ และยังเป็นรุ่นเดียวกับพ่อบ้านของ พล.อ.อ.สุรเชษฐ์ รวมถึงบรรดาญาติของ “บิ๊กตำรวจ” ที่ไปมีเส้นเงินพัวพันกับบัญชีม้า
นอกจากนี้ยังโชว์หลักฐานเส้นทางเงินที่มีการโอนเงินผ่านบัญชีม้า และหลักฐานการโอนเงินให้นายตำรวจ โดยดาบยาว คอมมานโด จะเป็นผู้ถือบัญชีม้า ทั้งนี้พบว่าบัญชีม้าบางบัญชีเจ้าของบัญชีเสียชีวิตแล้ว แต่ยังมีคนทำธุรกรรม อีกทั้งยังมีอีก 2 กองบังคับการและหนึ่งกองบัญชาการได้ออกตั๋วที่มีการเก็บยอดตั๋วส่งหน่วยงานต่างๆ อาทิ เว็บพนัน,บ่อนการพนัน,เงินกู้ไทย-แขก,หวยใต้ดิน,สถานบันเทิง สถานบริการ ผับ,ร้านนวดแฝงขายบริการ,อาบ อบ นวด,โรงซาวน่า,ร้านเหล้าที่มี PR,บุหรี่ไฟฟ้า,บุหรี่หนีภาษี,ตลาดนัด เลียบด่วน ตลาดนัด ตลาดไท,สถานประกอบการที่มีแรงงานต่างด้าวทำงานที่แอบเพิ่มแรงงานที่ไม่มีบัตร,จุดคอกรับซื้อน้ำมันเถื่อน โคมแดงข้างทาง,น้ำมันเขียวที่รัฐช่วยชาวประมง แต่จะมีเจ้าใหญ่ๆ ไม่กี่เจ้าที่ทำเป็นยี่ปั๊ว,โต๊ะสนุ๊กเกอร์,หัวหน้าแขกที่เอาแขกมาขายถั่วโรตี,คนขายยา sex และมีเพศสัมพันธ์ไลฟ์สดเพื่อขายยา sex
“ทนายตั้ม” แจกแจงว่า ส่วยทั้ง 18 รายการ จะมีทีมทำงาน 5 ภาค ทีมภาคเหนือ ทีมภาคอีสาน ทีมภาคกลาง ทีมภาคใต้ และทีมภาคตะวันออก ซึ่งทีมงานที่สามารถทำยอดหรือผลงานได้มากที่สุด คือ ทีมภาคตะวันออก ที่มีตำรวจภาค 2 และตำรวจนครบาล 1 กับ 4 และ ปทุมธานี โดยมีหัวหน้าทีม คือ “จ่ากอล์ฟ” ซึ่งการเก็บเป็นรายเดือน ค่าตั๋วจะขึ้นอยู่กับความสำคัญของหน่วย ซึ่งแต่ละพื้นที่จะมีทีมที่ดูแล ซึ่งหัวหน้าทีมจะมีทั้งที่เป็นนายตำรวจและบุคคลที่ไม่ใช่ตำรวจ และจะมีส่งยอดทุกวันที่ 25 ของทุกเดือน ที่ตึก สอท.
ที่แสบสันต์ไปกว่านั้นคือ ทนายษิทราทำเท่ห์ด้วยการต่อสายถึง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. และนัดหมายเพื่อนำนำเอกสารต่างๆ ไปยื่นเพื่อให้มีการตรวจสอบในวันที่ 28 มี.ค.นี้
เรื่อง “บัญชีม้า” ที่ไปโยงใย “บิ๊กตำรวจ” รวมถึงขบวนการส่วย ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ไม่ทราบได้ แต่ถ้า “ทนายตั้ม” มีหลักฐานที่สามารถโยงใยเอาผิดได้จริง ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะจัดการอย่างไร เพราะนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่อาจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยขณะนี้ต้นสังกัดของ “ดาบยาว-ด.ต.อภิชาต สุวรรณเพ็ชร” และ “รองฟาง-พ.ต.ท.สุรกุล ธัญสิริดำรง” คือ “กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” ได้มีคำสั่งให้มาประจำศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) และมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนเรื่อง “เงินบริจาค” ที่ “ทนายตั้ม” ออกมาแฉก็เห็นชัดว่าต้องการ “เอาคืน” เพราะเป็นเส้นเรื่องเดียวกับการที่ “บิ๊กโจ๊ก” ก็ถูกแฉว่าใช้เงินส่วยไปทำบุญที่วัดศาลาปูน ซึ่งงานนี้ “ทนายตั้ม” ก็บอกว่าชัดเจนว่า ถ้า “บิ๊กโจ๊ก” ผิด “บิ๊ก ต.” ก็ต้องผิดด้วยเพราะมีพฤติกรรมเดียวกัน ถ้าไม่ดำเนินการก็ต้องบอกว่า “สองมาตรฐาน”
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวมีคำอธิบายจาก “พระครูสมุห์นิพัทธ์” รองเจ้าอาวาสวัดเที่ยงพิมลมุข หรือหรือวัดใหม่บางขวัญ จ.ฉะเชิงเทรา ว่า จากการตรวจสอบไม่พบว่ามีการโอนเงินทำบุญเข้าบัญชีของวัดแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นการทำบุญด้วยการถวายผ่านมือของหลวงพ่อเจ้าอาวาส ซึ่งเพิ่งจะมรณะภาพเมื่อวันที่ 28 ก.พ.67 ที่ผ่านมาด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน และเชื่อว่าข้อมูลที่ทนายตั๊มนำมาแฉนั้นน่าจะเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และขอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ กล่าวสำหรับ “บิ๊กต่อ” หลังจากถูก “ทนายตั้ม” ออกมาแฉแบบไม่ยั้ง ก็ประกาศออกมาชัดเจนว่า จะดำเนินคดีกับทนายตั้มอย่างแน่นอน
เมื่อถามว่า เครียดหรือไม่กับการแถลงของทนายตั้ม พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า “ไม่เครียดเลย อยากให้ดูว่ามีเส้นทางการเงินถึงตนจริงไหม มันก็เป็นการดิสเครดิตไปเรื่อย ตนไม่เป็นไร และรู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้ให้น้ำหนักอะไรอยู่แล้ว”
สรุปรวมความก็คือ “ทีมโจ๊ก” ก็ยังคงมีการเคลื่อนไหวอย่างหนักหลังจากถูกเด้งไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยไม่แตกต่างจากก่อนหน้าแต่ประการใด
ทั้งนี้ เหตุที่ยังไม่สงบปากสงบคำเพราะวิเคราะห์แล้วว่า ใกล้ถึงตาจนเข้ามาทุกที ดังนั้น จึงจำต้องระดมสรรพกำลังออกมาปะฉะดะในทุกรูปแบบ ซึ่งถามว่า ข้อมูลที่ “ทนายตั้ม” แฉมีประโยชน์หรือไม่ ก็ต้องบอกว่ามีประโยชน์กับประเทศชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ต้องดำเนินการให้สังคมสิ้นสงสัยว่า “จริง” หรือ “เท็จ”
ที่สำคัญคือ ถ้าผิดจริงก็ต้องดำเนินคดีตามกระบวนการของกฎหมาย มิใช่มาเล่น “ละคร” พอเรื่องเงียบ แล้วทุกอย่างก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น