เปิดแผนร้าย สมุน “บิ๊ก ตร.” ลากคดีแก้เกมฟอกเงิน

เปิดแผนร้าย สมุน “บิ๊ก ตร.” ลากคดีแก้เกมฟอกเงิน

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2567 มีรายงานว่า พ.ต.อ.ดุสิต พรหมสิน ผู้กำกับการ (สืบสวน) ตำรวจภูธร จ.สงขลา (ผกก.สส.ภจว.สงขลา) ได้เดินทางเข้า กทม.มาที่ สน.เตาปูน เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ อดีตรอง ผกก.สส.สภ.สำโรงเหนือ ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 และมาตรา 157 สืบเนื่องจากไปพัวพันกับเว็บพนันออนไลน์ BNKMaster

มองผิวเผินก็เป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากคดีที่ พ.ต.ท.คริษฐ์ กับพวก ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมฟอกเงิน และเป็นเจ้าพนักงานสนับสนุนให้มีการฟอกเงินพนันออนไลน์ BNKMaster ที่มีคดีอยู่ในความรับผิดชอบของ สน.เตาปูน แต่สภ.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในสังกัดตำรวจภูธร จ.สงขลา ที่ พ.ต.อ.ดุสิต เป็นผู้กำกับสืบสวนจังหวัดสงขลา อยู่ ได้อานิสงส์ ตำรวจนครบาลให้เข้าร่วมจับกุมกลุ่มนางพิมพิลัย ที่เป็นคนทำเว็บพนัน BNKMaster แล้วต่อมาดุสิตก็อ้างพบการกระทำของพ.ต.ท.คริษฐ์ เป็นความพยายามอีกด้านหนึ่งที่จะลากป.ป.ช.เอาคดีไปดอง

ซึ่งคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์ BNKMaster นั้น ก่อนหน้านี้ศาลอาญาอนุมัติหมายจับ 3 นายตำรวจและ 1 พลเรือน ทั้งหมดได้เข้ามอบตัวกับ สน.เตาปูน ซึ่งจำนวนนี้มี พ.ต.ท.คริษฐ์ รวมอยู่ด้วยแล้ว ขณะเดียวกัน สน.เตาปูน ก็ได้ออกหมายเรียก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดีเดียวกันด้วย

แม้ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการแจ้งความเพิ่มเติมของ พ.ต.อ.ดุสิต ในการเอาผิด พ.ต.ท.คริษฐ์ แต่เมื่อลงลึกถึงสายสัมพันธ์ของผู้แจ้งความกับผู้ต้องหาแล้วก็ดูเหมือนจะมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น

เพราะในขณะที่ พ.ต.ท.คริษฐ์ ถูกมองเป็นลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หรือ บิ๊กโจ๊ก ส่วนตัว พ.ต.อ.ดุสิต ก็อยู่ในสถานะที่ไม่แตกต่างกับ พ.ต.ท.คริษฐ์ เพราะเป็นดุสิตผู้กำกับสืบสวนปล่อยประละเว้นให้มีบ่อนพนันออนไลน์ไปตั้งฐานทำบ่อนในท้องที่

ยิ่งไปกว่านั้นฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 และมาตรา 157 นั้นมีความแตกต่างจากฐานความผิดคดีฟอกเงิน ที่ พ.ต.ท.คริษฐ์ ถูกตั้งข้อหาโดย สน.เตาปูน อยู่พอสมควร โดยเฉพาะประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ที่มีโทษแรงที่สุดถึงประหารชีวิตเลยทีเดียว

คำถามมีว่า เหตุใดนายตำรวจที่ถือเป็นกลุ่มลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เหมือนกัน จึงไปแจ้งความเอาผิดเพื่อนในก๊วนถึงขั้นประหารชีวิต

โดยมีการพิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของ พ.ต.อ.ดุสิต ครั้งนี้ว่า เข้าทำนองทฤษฎีสมคบคิด โดยเริ่มจากแจ้งความซ้อนคดี เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจเข้าถึงข้อมูลการสืบสวนสิบสวนทำสำนวน ก่อนที่จะใช้ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 และมาตรา 157 เพื่อพันคดีจากอำนาจของ สน.เตาปูน ไปเป็นอำนาจของ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการชี้มูลความผิด และพิจารณาส่งฟ้องคดี

เช่นเดียวกับคดีพนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ที่กลุ่มนายตำรวจลูกน้องคนสนิท พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 และมาตรา 157 ที่ ป.ป.ช.ไม่ส่งสำนวนคืนให้ทางตำรวจตามที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ได้ร้องขอไป โดยให้เห็นผลว่า สำนวนในชั้นพนักงานสอบสวนของตำรวจได้สิ้นสุดอำนาจหน้าที่แล้ว และเป็นอำนาตหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในการพิจารณาสำนวนส่งฟ้องคดี

สอดรับกับกระแสข่าวที่มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูว่า นายตำรวจคนดังมีสายสัมพันธ์อันดีกับ ป.ป.ช. จึงต้องการยืมมือ “องค์กรปราบโกง” ลากคดีต่างๆที่ตัวเอง และลูกน้องถูกกล่าวหาให้ไปอยู่ในมือของ ป.ป.ช.

จนดูเหมือนยิ่งนับวัน “องค์กรปราบโกง” อย่าง ป.ป.ช.จะถูกมองเป็นเครื่องมือของนายตำรวจคนดังมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังถูกลากเข้าไปชุลมุนกับความขัดแย้งใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกด้วย.