xs
xsm
sm
md
lg

[ค่อต่อคำ] SONDHI TALK EP. 231 : 7 ประเด็นจับโกหก “โจ๊ก” - "ตะวัน" ควรมีพ่อเมื่อพร้อม - "สมยศ" ได้อายแน่!- ธรรมนัส กับ ส.ป.ก.เขาใหญ่ - กฟผ.ปลูกป่าหรือปลูกสตรอว์เบอร์รี่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 1 มี.ค.2567 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยสิ่งที่จะเล่าในวันนี้เป็น

- "ตะวัน" ควรมีพ่อเมื่อพร้อม
- "บิ๊กอ๊อด" โดน อสส.สั่งฟ้อง ใครไม่อาย ผมอาย!
- สวนหมัดจับโกหก “โจ๊ก สุรเชษฐ์”
- ธรรมนัส กับ ส.ป.ก.เขาใหญ่
- จับโกหกคำโต กฟผ. “ปลูกไร่สตอเบอรี่”
- 2 ปีสงครามยูเครน  

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.230



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 231 [1 มี.ค. 67]

ช่องทางติดตาม "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2567 เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก ไม่ทันไรก็มีนาคมแล้ว ขอสวัสดีท่านผู้ชมที่ดูรายการสดอยู่ที่ Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok เหมือนเดิมครับ เข้าไปดูแล้วให้กดไลก์ กดแชร์ และ SUBSCRIBE ในช่องทาง Facebook, YouTube, TikTok และทุกๆ ช่องทางเพื่อจะได้กระจายข่าวสารออกไปในวงกว้างที่สุด

สำหรับรายการ “ความจริงมีหนึ่งเดียว” ครั้งที่ 1 ที่จะจัดในวันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2567 ที่หอประชุมเล็กธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เวลา 13.00-17.00 น.ตอนนี้บัตรหมดแล้ว ใครไม่ทันก็ขอให้รอไปรอบต่อไป ในช่วงเดือนมิถุนายน จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง เตือนว่าถ้าเปิดแล้วให้รีบจองเลย ใครไม่มีตั๋วไม่มีสิทธิเข้างาน จะอ้างความรู้จักคุ้นเคยไม่ได้ทั้งนั้น

ส่วนในครั้งแรก วันที่ 17 มีนาคม นี้ ผมก็จะมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มอบให้กับแฟนๆ ที่ซื้อบัตรเข้ามาชม ก็คือ “พระกรุนางพญาเข่าโค้ง” แต่จะมอบให้ทุกคนคงไม่ได้ ก็เลยจะจับฉลากจากหางบัตร จำนวน 30 ใบ มอบให้แฟนๆ ทั้งหมด 30 องค์ ย้ำเฉพาะคนที่อยู่ในงานเท่านั้น


อาทิตย์นี้มีข่าวฮอตๆ หลายชิ้น เรื่องแรกคืออุทาหรณ์จาก "ตะวัน ทะลุวัง" หัวข้อคือ "มีพ่อเมื่อพร้อม"

เรื่องที่สอง "ใครไม่อาย ผมอาย" อัยการสูงสุดสั่งฟ้องสมยศ กับพวก กรณีช่วย "บอส อยู่วิทยา" คดีชนตำรวจตาย อย่าพลาดนะครับเรื่องนี้สนุกสนานมาก

เรื่องที่สาม ท่านผู้ชมจำได้ไหมที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล พูดจาสวน "รองเต่า" ว่าตัวเองนั้นไม่ผิด ไม่ผิดอะไรบ้าง 1..2..3..4..5..6..7.. ผมก็ใช้เวลาศึกษาพอสมควร ปรากฏว่าสิ่งที่ "บิ๊กโจ๊ก" สวน "รองเต่า" นั้น ไม่ถูกต้องเลยแม้แต่ข้อเดียว มิหนำซ้ำ "บิ๊กโจ๊ก" ยังทำผิดกฎหมายอีก ที่ไปกล่าวหาว่ามีคนเอาข้อมูลในการสืบสวนออกมาเผยแพร่ ท่านไปดูนะครับ "บิ๊กโจ๊ก" ทำผิดอย่างหนักเลย แล้วใครอยากจะร้องเรียน "บิ๊กโจ๊ก" ในเรื่องนี้ อ่านเรื่องราวของผม ฟังเรื่องราวของผม แล้วก็เอาประเด็นตรงนี้ หลักฐานตรงนี้ ไปฟ้องร้องได้ทันที ว่า "บิ๊กโจ๊ก" คือตัวการในการเอาสำนวนการสอบสวนมาเล่าให้ประชาชนฟัง เอาคลิปวิดีโอมาเปิดให้สื่อมวลชนดู ทั้งๆ ที่มันอยู่ในสำนวนสอบสวน

เรื่องที่สี่ กรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กับ ส.ป.ก. เขาใหญ่ และคู่ชก คือ "ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร" เพราะฉะนั้นแล้ว ติดตามดูให้ดีๆ นะครับ ผมมีข้อคิดที่ตรงไปตรงมา ไม่เข้าข้างใครเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พูดบนพื้นฐานความจริงที่มีหนึ่งเดียว

เรื่องที่ห้า คือ กฟผ. ปลูกป่าทิพย์ หรือ สตรอเบอร์รี ผมจับโกหกคำโตผู้บริหาร EGAT ที่ออกมาโต้ผม

และเรื่องที่หก ครบ 2 ปีพอดี สงครามในยูเครน กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง

มีพ่อเมื่อพร้อม

ท่านผู้ชมครับ วันนี้จะพูดถึงเรื่อง "ตะวัน ทะลุวัง" หน่อย เพราะว่าเผอิญมีข่าวมาถึงความกล้าหาญที่คุณพ่อของ "ตะวัน ทะลุวัง" หรือ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ เขียนจดหมายถึงอธิบดีศาล ถามคำถามซึ่งไม่ควรจะถามเลย คือ "ถ้าลูกตายในคุก ใครจะรับผิดชอบ"


ท่านผู้ชมคงจำได้ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ ณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือ แฟรงค์ ถูกจับกุมตัวเหตุป่วนขบวนเสด็จ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ความผิดมาตรา 116 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ร่วมกันก่อความรำคาญในที่สาธารณะ แฟรงค์ นั้นถูกดำเนินคดี 5 ข้อหา โดย 3 ข้อหาคือความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 116 ผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ร่วมกันก่อความรำคาญในที่สาธารณะ บีบแตรรถยนต์โดยไม่มีเหตุอันควรตาม พ.ร.บ.จราจร

ทีนี้ ทั้งสองก็ตามที่ท่านผู้ชมคงจะรับรู้ ว่าใช้มุกของการอดอาหาร รู้สึกว่าเขาใช้มุกการอดอาหารแล้วศาลจะให้ประกันตัว

อาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายสมหมาย ตัวตุลานนท์ พ่อของ "ตะวัน" ได้เดินทางไปศาลอาญา พยายามยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว อ้างว่าทั้งสองคนอดอาหารจนร่างกายไม่ไหวแล้ว ร่างกายขาดน้ำ ขาดอาหาร เบลอไปหมด พูดไม่ได้ เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก พูดจาทำได้แค่กระซิบ แทบจะไม่ได้ยินเลย ถ้าปล่อยเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกไม่กี่วัน ไม่แน่ใจว่าจะรักษาชีวิตได้หรือเปล่า


ปรากฏว่าในช่วงบ่ายวันเดียวกันกับที่ยื่นขอปล่อยตัวตอนเช้า ศาลพิจารณายกคำร้อง ท่านให้เหตุผลว่าทั้งคู่อยู่ในความดูแลของแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ อยู่แล้ว ท่านบอกว่าปัญหาใหญ่ก็คือผู้ป่วยปฏิเสธการรักษา แล้วท่านเองก็พิเคราะห์ออกมาชัดเจนว่าการอดอาหารดังกล่าวเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่ใช่การป่วย ประกอบกับพนักงานสอบสวนยังมีความเห็นต้องดำเนินการสอบพยานอีก 5 ปาก และต้องตรวจสอบประวัติอาชญากรรมเพิ่มเติม จึงมีข้อวินิจฉัยให้ยกคำร้อง ไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม และรับฝากขังในผลัดที่สองต่ออีก 12 วัน จนถึงวันที่ 8 มีนาคมนี้


ทีนี้เกิดอะไรขึ้นล่ะ ? พ่อของตะวัน คือนายสมหมาย ตัวตุลานนท์ ก็มาขู่ศาล บอกว่าถ้าลูกตายในคุก ใครรับผิดชอบ ? ก็ปรากฏว่าเหมือนเดิม ไปกับ "ทนายด่าง" ทนายขี้แพ้ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รวมถึงว่าความให้บุคลากรของพรรคก้าวไกล เดินทางไปยื่นหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา นายสมหมาย ยื่นโดยเขียนด้วยลายมือว่า "ตามที่ศาลมีคำสั่งไม่ปล่อยตัวชั่วคราว นางสาว ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ นายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร ข้าพเจ้าไม่มีคำโต้แย้งใด แต่อยากให้ศาลอาญาดูแลรับผิดชอบในชีวิตผู้ต้องหาทั้งสองท่านที่มีคำสั่งไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการสอบสวนต่อไปด้วย เขาทั้งสองเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา อัยการยังไม่มีคำสั่งฟ้องแต่อย่างใด ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ตามกฎหมาย ถ้าทั้งสองคนถึงแก่ความตายระหว่างการสอบสวนโดยคำสั่งศาลอาญา ขอให้ท่านได้โปรดพิจารณาให้ความเป็นธรรมแก่ดวงวิญญาณทั้งสองดวง ว่าใครต้องรับผิดชอบการตายจากการที่ท่านมีคำสั่งไม่ปล่อยตัวชั่วคราว และขอได้โปรดพิจารณาหาทางออก"


ท่านผู้ชมครับ ผมก็เป็นพ่อคนเหมือนกัน เราเข้าใจดีถึงความรักลูก รักหลาน แต่กรณีของคุณสมหมาย ตัวตุลานนท์ พ่อของ "ทานตะวัน" นั้น ผมเห็นภาพสะท้อนของคุณมาที่ลูกเลยว่า ลูกสาวของคุณเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เดินมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร ซึ่งคำตอบอยู่ที่คุณสมหมาย เอง คุณคือต้นเหตุที่ทำให้ลูกสาวเดินมาถึงจุดนี้ ที่สำคัญ แทนที่คุณจะมากดดันศาล คุณควรจะไปบอกลูกตัวเองว่ากินข้าวเถอะ จะถูกต้องกว่าไหม เพราะคำพิเคราะห์ของศาลท่านชัดเจนว่า สิ่งที่ลูกคุณเป็นอยู่นั้น ไม่ใช่การป่วย แต่เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง แค่กินข้าว กินน้ำ ก็จบ หรือเดี๋ยวทางโรงพยาบาลก็ให้น้ำเกลือ ให้สารอาหารทางเส้นเลือดเอง

แล้วที่พ่อ "ตะวัน" ถามศาลว่าใครต้องรับผิดชอบการตายจากการที่ท่านมีคำสั่งไม่ปล่อยตัวชั่วคราว ท่านผู้ชมครับ ผมอยากถามถึงคุณสมหมาย ว่า คุณสมหมาย แล้วที่ผ่านมา การกระทำของลูกสาวคุณ ในฐานะพ่อ ได้รับผิดชอบกับการกระทำของลูกสาวคุณบ้างหรือเปล่า คุณมาโยนความรับผิดชอบให้ศาลได้อย่างไร ศาลนี่ปลายเหตุ ลูกคุณทำระยำขึ้นมา


คุณสมหมาย-คุณกาหลง ตัวตุลานนท์ ลูกคุณโดนคดียาวเป็นหางว่าว ศาลให้ปล่อยตัวชั่วคราวแต่ก็ไม่ยอมกลับไปเรียนหนังสือหรือทำมาหากินเหมือนคนอื่นเขา ยังเคลื่อนไหว ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ร่วมมือกับ "แก๊งทะลุวัง" บุ้ง หยก สายน้ำ ใช้ความรุนแรง ใช้ความถ่อย เถื่อน หยาบคาย "อ้างสิทธิเสรีภาพเพื่อไปละเมิดสิทธิเสรีภาพคนอื่น"

คุณสมหมาย-คุณกาหลง ครับ ถ้าคุณรับผิดชอบลูกคุณไม่ได้ คุณจะเรียกร้องให้ศาลและสังคมมารับผิดชอบลูกคุณได้อย่างไร ก็คุณพ่อเป็นคนบอกเอง ถ้าศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จะดูแลลูกไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองอีก จะใช้ชีวิตตามประสาวัยรุ่นและเรียนหนังสือให้จบ คำถามมีอย่างนี้ครับ คุณสมหมาย-คุณกาหลง แล้วที่ผ่านมาทำไมคุณไม่ดูแล ? คุณย้อนแย้งตัวคุณเองมากๆ เลย คุณอยากจะได้คุณก็อ้างให้คนรับผิดชอบ

ผมเอาการ์ตูนของบัญชา คามิน ให้ดู ถ้าคิดแบบนี้สมัยก่อน ตอนที่ "ตะวัน" ยังเป็นเด็กอยู่ ถ้า "ตะวัน" ไม่กินนม คุณสมหมาย จะโวยวายกับบริษัทผลิตนมหรือเปล่าว่าถ้าลูกไม่ยอมกินนม ถ้าลูกเป็นอะไรไป จะรับผิดชอบอย่างไร


อีกอย่างหนึ่ง ท่านผู้ชมครับ คุณสมหมายครับ ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ผมเคยพูดและนำเสนอข้อมูลผ่านรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ไปแล้ว มีข้อน่าสังเกตว่า รถกระบะที่เสริมแค็บ ที่ขนอุปกรณ์ทั้งพลุ ทั้งสี และอุปกรณ์ต่างๆ ที่กลุ่มทะลุวังใช้ประกอบการประท้วงแต่ละครั้ง ที่เคยไปเผาโน่นเผานี่ สาดสีหรือทำอะไร แล้วก็มีสื่อมวลชนเก็บภาพได้ ว่ารถคันนี้ไปจอดอยู่หน้าตึกไทยซัมมิท และคุณสมหมาย รู้ใช่ไหมว่ารถคันนี้จดทะเบียนในชื่อใคร ? ชื่อคุณนั่นล่ะ คุณสมหมาย


จริงๆ แล้วคุณจะต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาสมรู้ร่วมคิดในการทำผิดกฎหมายต่างๆ ของลูกคุณ กับนายแฟรงค์ และกลุ่มทะลุวัง ถึงวันนี้คุณก็ยังไม่สำนึก ส่วน "พ่อทิพย์" ของตะวัน ที่เคยลั่นวาจาว่า "ทุกครั้งที่ผมไปหาคุณตะวัน และคุณแบม ผมมองตาตะวันแล้วเห็นพิพิม ลูกสาวผม อยู่ในนั้น" วันนี้ "พ่อทิพย์" คนนี้เงียบกริบ หายไปอยู่ไหน ทำไมไม่มายื่นประกันตัว "ตะวัน" เหมือนครั้งก่อนๆ อีก หรือว่าตัวเองนั้นคือของปลอม


ผมอยากจะเตือนพวกเด็กสามนิ้ว พวกทะลุวัง เอาไว้นะครับ เลิกเถอะ ไอ้มุกอดข้าวประท้วง มันไม่ได้ผลแล้ว ศาลท่านรู้ทัน ท่านพูดชัดเจน อดข้าวประท้วงคือการเคลื่อนไหวทางการเมือง ชัดเจน

ทำไมไม่มองในมุมกลับบ้างล่ะ คุณสมหมาย ถ้าศาลยอมปล่อยตัวลูกสาวคุณ อีกหน่อยใครอยากให้ศาลปล่อยตัวก็อดข้าวกันทั้งคุกเลยไม่ดีหรือ ศาลก็ต้องให้ประกันตัวทั้งหมดสิ ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าประชาชนคนไทยทั้งประเทศจะไม่ยอมเหมือนกัน

อัยการสั่งฟ้อง สมยศ ใครไม่อาย ผมอาย!


ท่านผู้ชมครับ อังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายประยุทธ เพชรคุณ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ซึ่งท่านมีอีกตำแหน่งหนึ่ง ท่านเป็นโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กับคณะ ได้ร่วมกันแถลงข่าวว่า อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 กับพวกอีก 8 คน ตามมติของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ


เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมเล่าสั้นๆ จำเลยที่ 1 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จำเลยที่ 2 พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข สมัยที่ยังดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐาน จำเลยที่ 3 พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี สมัยนั้นเป็นพนักงานสืบสวนสอบสวน สบ.3 สน.ทองหล่อ เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 7 


คนที่ 4 นายเนตร นาคสุข เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอัยการสูงสุด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 10 คนที่ 5 คือ นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม พนักงานอัยการ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 9 คนที่ 6 คือนายธนิต บัวเขียว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 12 


คนที่ 7 คือ นายชูชัย หรือ พิชัย เลิศพงศ์อดิศร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 13 ซึ่งนายชูชัย มีฉายาว่า "สว.ก๊อง" เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ อดีตสมาชิกวุฒิสภา เป็นประธานกรรมาธิการแรงงาน เป็นประธานสโมสรฟุตบอลเชียงใหม่ คนที่ 8 รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม (อาจารย์สายประสิทธิ์ เป็นคนแรกที่มาบิดเบือนความเร็วของรถของบอส จากร้อยกว่ากิโลฯ ให้เหลือแค่ 80


สำหรับผู้ถูกกล่าวหาอื่นๆ นั้น มี พล.ต.ท.มนู เมฆหมอก ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 พ.ต.อ.วิวัฒน์ สิทธิสรเดช ผู้ถูกกล่าวหาที่ 6 ทั้งสองคนนี้ กรรมการ ป.ป.ช. กันเอาไว้เป็นพยาน

ส่วน พ.ต.ท.ปัณณ์ภณ นามเมือง หรือ คทาธร พัชรนามเมือง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 8 พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 14 พล.อ.ท.สุรเชษฐ ทองสลวย ผู้ถูกกล่าวหาที่ 15


ยังมี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในโควตาของพรรคภูมิใจไทย ตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นคนที่มีความเห็นไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้อง "บอส อยู่วิทยา" ของนายเนตร นาคสุข ผู้ถูกกล่าวหาที่ 11

ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ ก็มีมติไม่ชี้มูลความผิด เช่น นายธานี อ่อนละเอียด ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 พ.ต.ท.ทรงวุฒิ เจริญวิชยเดช ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 นายวรพล โสคติยานุรักษ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 16 นายอุสาห์ ชูสินธ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 17 นางสาวณัฎณิชา ทองชื่น ผู้ถูกกล่าวหาที่ 18 พวกนี้ ป.ป.ช. ชี้ว่าไม่มีมูลความผิด

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมไม่กล้าเอาเป็นเครดิตผมหรอก แต่ผมเป็นคนแรกที่พูดเรื่องนี้ รื้อฟื้นคดี "บอส อยู่วิทยา" ขึ้นมา ต้องถือว่าได้ทำหน้าที่สื่อมวลชนจากต้นจนจบ ถึงขั้นที่ ป.ป.ช. เริ่มชี้มูลและส่งฟ้องศาลแล้ว อัยการเห็นด้วย อัยการก็ส่งฟ้องศาล


เรื่อง "บอส อยู่วิทยา" มันเป็นมหากาพย์การทุจริตประพฤติมิชอบ ความฉ้อฉลของระบบการเมือง วงวิชาการ ที่ดัดแปลงความเร็วของรถ ระบบอุปถัมภ์ ความเน่าเฟะของระบบกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ชั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเรื่อยไปจนถึงอัยการ แถมยังพิสูจน์ให้เราเห็นว่าเงินนั้นฟาดหัวได้หมด ไม่เว้นแม้แต่คนในชั้นนิติบัญญัติ ในสภานิติบัญญัติฯ กรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้นเป็นตัวตั้งตัวตีเปิดช่องให้ลูกมหาเศรษฐีตระกูล "อยู่วิทยา" ยื้อคดีมาได้เกือบสิบปี เอาอาจารย์สายประสิทธิ์ มาเปลี่ยนความเร็วรถ เพื่อเป็นเงื่อนไขให้รองอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องในที่สุด

ทั้งหมดนี้ หนึ่งในหัวเรือที่เกี่ยวข้อง และถือว่าเป็นคนในกระบวนการยุติธรรมที่มียศ มีตำแหน่งสูงสุด ที่การกระทำนั้นน่าอับอายขายหน้าที่สุด ผมเห็นว่าหนีไม่พ้นคนชื่อ "พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง" เคยดำรงตำแหน่งเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วย

ท่านผู้ชมจำได้ใช่ไหม คุณสมยศ เคยปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่รู้เรื่องนี้ ไม่เกี่ยวข้องเลย อ้างว่าระหว่างที่เกิดเรื่องนี้ ในปี 2559 หรือแปดปีที่แล้ว อ้างว่าในช่วงที่ถูดพาดพิงระหว่างวันที่ 23-28 กุมภาพันธ์ 2559 ตัวคุณสมยศ ไม่อยู่ในประเทศไทย แต่เดินทางไปประชุมฟีฟ่าที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ได้อยู่ในห้องสอบสวนคดี และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยคดี "บอส"


แต่! คุณสมยศ คุณเคยบอกว่าคุณไม่เกี่ยวข้อง แต่วันนี้ทำไมคุณตกเป็นจำเลยที่ 1 คนแรกที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้องได้ แสดงว่าคุณใช่ไหมที่พาตำรวจเจ้าของสำนวนเข้าไปเจรจาเรื่องการเปลี่ยนความเร็วรถเฟอร์รารี จาก 177-179 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้เหลือไม่ถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แสดงว่าคุณโกหกอีกแล้วสิ คุณสมยศ เพราะการเจรจาเรื่องนี้เกิดขึ้นในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งคุณกลับมาจากสวิตเซอร์แลนด์แล้ว แต่มีการสั่งให้เปลี่ยนวันสอบ เปลี่ยนความเร็วเฟอร์รารี เป็นวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เพื่อคุณจะได้อ้างว่าคุณไม่เกี่ยว คุณไม่อยู่เมืองไทย ผมจะไม่ย้อนเรื่องราวให้เสียเวลา เพราะเคยพูดมาหลายครั้งแล้ว และเคยสรุปให้ฟังอย่างละเอียดไปแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 49 ตอน "ปาหี่ประเทศไทย"

คุณสมยศ คุณนี่มันสุดยอดจริงๆ โกหกซ้ำแล้วซ้ำอีก ยังไม่ละอายแก่ใจ ยังเชิดหน้าชูตาในสังคมได้ เอาเถอะ คุณจะโกหกอย่างไรก็โกหกไป เพราะความจริงที่เกี่ยวกับคุณ เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีคนที่รู้ข้อเท็จจริงอีกจำนวนหนึ่ง เรื่องรายละเอียดในการวิ่งเต้นช่วยเหลือ "ลูกกระทิงแดง" นั้น มีรายละเอียดและเบื้องลึกที่น่าสนุกอีกหลายเรื่อง เอาไว้โอกาสเหมาะๆ ผมจะเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ให้ท่านผู้ชมและประชาชนชาวไทยได้ทราบว่า คนที่เป็นเจ้าของคำพูดที่ว่า "ใครไม่อาย ผมอาย" นั้น ธาตุแท้เป็นอย่างไร

ตั้งแต่มีข่าวของสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นจำเลยที่ 1 มีคนเข้ามาคอมเมนต์ออกความเห็นในข่าวชิ้นนี้หลายร้อยคน ท่านผู้ชมครับ คุณสมยศครับ ผมไม่รู้ว่าประชาชนคนไทยเขาเกลียดคุณเยอะจริงๆ นะ ไม่ใช่ธรรมดา นี่เฉพาะคดีนี้นะ ยังไม่นับกับสมัยที่คุณเป็นนายกสมาคมฟุตบอลไทยฯ คนเขาเอือมระอากับคุณที่ชอบใช้วาทกรรมว่าอาชีพตำรวจเป็นอาชีพไซด์ไลน์ โน่นนี่นั่น คุณอาจจะรวยจริงนะ คุณสมยศ ผมเชื่อว่าคุณรวย คุณเคยพูดไงว่าจริงๆ แล้วอาชีพตำรวจเป็นไซด์ไลน์ อาชีพหลักของคุณคือเล่นหุ้น แต่ให้คุณรวยฉิบหายวายป่วงไปเลย ให้คุณรวยแบบบิล เกตส์ แล้ววันนี้เป็นอย่างไร คุณอายบ้างหรือเปล่า คุณสมยศ คุณอายบ้างหรือเปล่า วันนี้สังคมเขาตราหน้าคุณกันหมด วันนี้คุณถูกประทับตรามาเรียบร้อยแล้ว ว่าคุณเป็นคนที่ผิด ช่วย "บอส อยู่วิทยา" ชื่อเสียงคุณ ที่คุณคิดว่าโด่งดัง ความร่ำรวยของคุณ ที่คุณคิดว่าประชาชนเขาจะชอบในความร่ำรวยของคุณ ให้คุณรู้สักนิดหนึ่ง ประชาชนเขาไม่ได้ตื่นเต้นกับความร่ำรวยของคุณเลย เขาทุเรศทุรังเสียด้วยซ้ำ

วันนี้อย่าให้ผมต้องพูดอะไรอีกต่อไป คุณสมยศ คุณนี่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คุณรู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าคนเขาเกลียดคุณกันทั่วประเทศ

สวนหมัด จับโกหก "โจ๊ก สุรเชษฐ์"

เรื่องที่ผมจะพูดตอนนี้ ต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ผมไม่สบายใจ เพราะเดี๋ยวท่านผู้ชมจะมองว่าผมมานั่งทะเลาะเบาะแว้งอะไรกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐษ์ หักพาล หรือ "บิ๊กโจ๊ก" แต่ถ้าท่านผู้ชมติดตามข่าวของผมมาตลอด ผมเป็นคนไม่ชอบให้คนโกหก ผมสู้เรื่องนี้มาตลอด ตั้งแต่ฟาดฟันกับคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แล้วจับโกหกคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้แทบจะทุกเรื่อง แล้วผมก็จับโกหกพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้อีก สื่อมวลชนอื่นๆ ไม่มีใครเขากล้าพูดเรื่องพวกนี้หรอก แต่ผมคิดว่าความจริงที่มีหนึ่งเดียว เราจำเป็นที่จะต้องยึดถือตรงนี้เอาไว้ เพราะฉะนั้นแล้ว อะไรที่ในช่วงนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล พูดออกมาแล้ว ถ้าผมคิดว่าเขาโกหกอยู่ ผมต้องขออนุญาตท่านผู้ชมครับ เอามาชี้แจงให้ท่านผู้ชมฟังว่าเขาโกหกอย่างไร อะไรบ้าง โกหกแบบไหนบ้าง


คือถ้าคุณสุรเชษฐ์ ไม่พูด ไม่ออกมาแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ ตอบโต้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือที่เรียกกันว่า "บิ๊กเต่า" ผมก็ยังเฉยๆ อยู่ แต่สิ่งที่คุณสุรเชษฐ์ หักพาล ออกมาตอบโต้นั้น มันไม่เป็นความจริง เพราะฉะนั้นผมจำเป็นที่จะต้องเอาคำพูดที่คุณสุรเชษฐ์ หักพาล ใช้เวลา 40 นาที แก้ตัว ดิสเครดิต พยายามกล่าวหาพนักงานสอบสวนคดีเครือข่ายเว็บพนันมินนี่อยู่หลายประเด็น ซึ่งผมฟังอยู่ แล้วผมเห็นว่า สุรเชษฐ์ หักพาล บิดเบือนความจริงและข้อเท็จจริงอยู่หลายเรื่อง ผมจะคัดมาเป็นข้อๆ ให้เห็นชัดว่ามีเรื่องอะไรบ้าง

ข้อที่หนึ่ง ตามที่คุณสุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์กรณีจับลูกน้องใกล้ชิดตัวเอง สุรเชษฐ์ พูดว่า "ถ้าพูดเรื่องนี้ ขอออกหมายจับลูกน้องผม 8 คน ก็ใช้ชื่อว่านาย ไม่ระบุยศตำรวจ ถ้าเป็นข้าราชการทุกส่วนต้องไปขอที่ศาลอาญาทุจริตกลางเท่านั้น"


ประเด็น แม้จะเป็นถึงรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่มีความรู้ทางกฎหมายแค่หางอึ่ง ยังสู้ผมไม่ได้เลย หรือไม่ก็มีวาระซ่อนเร้นส่วนตัว ก็เลยโชว์โง่ ฆ่าตัวตายออกสื่อตลอดเวลา ข้อเท็จจริงในเรื่องการขอออกหมายจับในเรื่องนี้ เป็นอย่างนี้ครับ กรณีข้าราชการ หรือชาวบ้านทั่วไป กระทำผิด หรือร่วมกระทำผิด กฎหมายที่อยู่ในอำนาจคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) จึงอยู่ในอำนาจของศาลอาญาทุจริต และไม่จำเป็นต้องขอหมายไปที่ศาลอาญาทุจริตเท่านั้น ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับเขตอำนาจของศาลเป็นสำคัญ

แต่ถ้าเป็นกรณีการทำผิดกฎหมายอาญาทั่วไป ซึ่งกรณีนี้คือลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่เป็นนายตำรวจ ไปมีส่วนเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับเครือข่ายเว็บพนันมินนี่ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ หรือชาวบ้านทั่วไป ก็ไปขอหมายศาล ไม่ว่าจะขอหมายจับ หมายค้น ตามเขตอำนาจศาลที่มีอยู่ในท้องที่นั้นๆ ได้ อย่างในกรณีนี้คือศาลอาญากรุงเทพใต้ ไม่ใช่ว่าเป็นข้าราชการทำผิดกฎหมายแล้วต้องไปขอหมายจับ หมายค้น จากศาลอาญาทุจริตเท่านั้น ทำความเข้าใจตรงกันนะครับคุณสุรเชษฐ์

ถ้าท่านผู้ชมเชื่อตามสุรเชษฐ์ หักพาล พูดอย่างนี้ ถ้าเจ้าหน้าที่ไปยิงคนตาย ก็ต้องไปขอหมายค้นจากศาลอาญาทุจริตอย่างนั้นหรือ คุณสุรเชษฐ์ ครับ คุณอย่าแถ อย่าโชว์โง่บ่อยนัก นักกฎหมาย ทนาย อัยการ ผู้พิพากษา หรือแม้กระทั่งลูกน้องพวกคุณที่คลุกคลีในกระบวนการยุติธรรม เขาได้ฟังตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพูดอย่างนี้ ได้แต่ส่ายหัวเอือมระอากันไปหมด


ข้อที่สอง การที่คุณออกมาโวยวายกรณีการเข้าค้นบ้านพัก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ภายในหมู่บ้าน ซอยวิภาวดี 60 หลังสโมสรตำรวจ เมื่อวันที่ 25 กันยายน ปีที่แล้ว (2566) คุณอ้างว่า "เจ้าหน้าที่ตำรวจเขาปกปิดข้อเท็จจริงว่าเป็นบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยอ้างว่าถ้าศาลรู้ว่าเป็นบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็จะไม่ออกหมายค้นให้หรอก" เอ้าตาย หลงตัวเองขนาดนั้นเชียวหรือครับ ถ้าหลักฐานของการขอหมายค้นมันมีมาก อย่าว่าแต่บ้านคุณเลย แม้กระทั่งบ้านของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เขาก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับหมาย

ประเด็นครับ ชุดสืบสวนสอบสวนคดีเครือข่ายเว็บพนันมินนี่ เขาไปเจอความเกี่ยวข้องทางการเงินของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ซึ่งเป็นลูกน้องมือขวาของคุณ สุรเชษฐ์ เขาได้ติดตามความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.คริษฐ์ พบว่าปกติพักอยู่ในบ้านพัก 5 หลังนี้ หลังสโมสรตำรวจ ซึ่งเจ้าของจริงๆ คือ "เสี่ยแต๋ม อุดร" คือ นายชินรัตน์ วัฒนกูล กับภรรยา ชื่อ นางสิริกาญจน์ วัฒนกูล ผมยังจำได้ ตอนเขาไปค้นใหม่ๆ "มีหลักฐานพิสูจน์ชัด ทั้งหมดนี้เป็นบ้านของผม" บ้านนี้ไม่ได้มีชื่อคุณเลยแม้แต่นิดเดียว

คำถามที่น่าตอบมากกว่าหมายค้นออกโดยชอบหรือมิชอบ ก็คือว่า บ้านนั้นไม่ใช่บ้านของคุณ คุณสุรเชษฐ์ แล้วคุณทะลึ่งมาบอกว่า "ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นบ้านผม" อ้างว่าเป็นบ้านของตัวเอง หลักฐานในสื่อเพียบไปหมด


นอกจากเสี่ยแต๋ม และภรรยา ที่มีชื่อเป็นเจ้าของบ้านทั้ง 5 หลัง ในโครงการดังกล่าวแล้ว ยังมีชื่อเป็นผู้จ่ายค่าส่วนกลางอีกปีละกว่า 142,000 บาท แล้วใช้ชื่อเสี่ยแต๋ม และภรรยา ในการขอใช้ไฟฟ้าทั้ง 5 หลัง อีกด้วย บ้านพักหลังที่คุณสุรเชษฐ์ พักอาศัยอยู่นั้น จ่ายค่าส่วนกลางเป็นเงินรวม 62,000 บาท ส่วนหลังอื่น หลังละ 26,000-27,000 บาท รวมค่าส่วนกลาง 5 หลัง จำนวนทั้งหมดที่จ่ายไปคือ 142,000 บาท แล้วคุณจะมาอ้างแบบข้างๆ คูๆ ว่าเช่าอยู่ เขาให้ผมอยู่ เสี่ยแต๋ม เป็นญาติห่างๆ ของผม คุณลืมไปแล้วใช่ไหมว่าคุณเป็นข้าราชการตำรวจ เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ด้วย เป็นถึงรอง ผบ.ตร. อย่างนี้ ผิดระเบียบการรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ใดๆ โดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่รัฐที่ห้ามทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ใดมูลค่าเกิน 3,000 บาท หรือเปล่า


เอาล่ะ แล้ว "เสี่ยแต๋ม" นายชินรัตน์ วัฒนกูล เป็นใคร ? ก็เป็นคนใกล้ชิดของคุณ เป็นที่รับรู้โดยทั่วกัน นอกจากนี้ "เสี่ยแต๋ม" ยังเข้ามาเป็นพยานให้คุณอีกในคดีส่วยคาราโอเกะในภาคอีสาน สมัยที่คุณยังดำรงตำแหน่งผู้กำกับ 3 บก.ปคม. ปราบปรามการค้ามนุษย์ ปี 2553-2554 จนในที่สุดได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ไต่สวนระดับกลางของ ป.ป.ช. ที่คุณสนิทสนมด้วย ก็ตีคดีนี้ตกไปอย่างมีเงื่อนงำ ซึ่งหลายคนเชื่อว่า ป.ป.ช. ด่วนสรุป และกรรมการ ป.ป.ช. บางคน ซึ่งตอนนี้ไม่อยู่แล้ว ให้น้ำหนักกับคำให้การของพยานที่เป็นคนของคุณสุรเชษฐ์ มากอย่างผิดปกติ


ยิ่งไปกว่านั้น ปรากฏภาพและคลิปเสียงชัดเจนว่า ระหว่างที่ตำรวจเข้าไปตรวจค้นบ้าน 5 หลังดังกล่าว คุณสุรเชษฐ์ หักพาล ได้มีการดุด่า ขับไล่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นำหมายค้นไปเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งศาล กรณีนี้ต้องถือว่าเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติตามหน้าที่ เป็นความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 136 หรือเปล่า "ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทำตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่น หรือทั้งจำทั้งปรับ

ส่วนการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานในการเข้าตรวจค้นตามคำสั่งศาล เป็นความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 136 "ผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน หรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่น หรือทั้งจำทั้งปรับ

คุณสุรเชษฐ์ ครับ จริงๆ แล้วเรื่องคุณนั้น ความผิดสำเร็จไปเรียบร้อยแล้ว หลักฐานเป็นภาพและคลิปเสียงชัดเจนมาก

ผมก็จะถามต่อถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อีกครั้งนะครับ ว่า ท่านแน่ใจนะว่าการที่ท่านคุยกับ "พี่โจ๊ก" ของท่านทุกวัน ออกมาการันตี "พี่โจ๊ก" ยังบริสุทธิ์ 100% โดยเมื่อวันศุกร์ที่แล้วท่าน ผบ.ตร. พูดอย่างนี้ครับ "ใครเจ๋งก็ต้องเก็บไว้ ของแท้ไม่ต้องออกมาพูด นักเลงเขาไม่พูดกัน ตอบโต้กันองค์กรมันเสียหาย หากพนักงานสอบสวนมีข้อมูลก็ใช้ข้อมูลไม่ต้องมาโชว์ ส่วน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ผิดก็คือไม่ผิด วันนี้ยังบริสุทธิ์อยู่ 100% ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา ผมไม่ได้ลอยตัว ผมคุยกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทุกวัน" ท่านผู้ชมครับ ผมถามว่าถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไป ป่านนี้ติดคุกไปตั้งนานแล้ว ท่านผู้ชมว่าจริงไหม แต่นี่เป็น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล นอกจากยังไม่ถูกดำเนินคดีอาญาแล้ว ยังมีหน้าออกมาสวนคนโน้นคนนี้เป็นรายวัน ไม่เว้นแม้แต่ ผบ.ต่อศักดิ์


คุณต่อศักดิ์ ต้องระวังให้ดี วันดีคืนดีมีพวกหมาบ้าออกมาโวยวายเรื่องนี้ แล้วคุณเองอาจจะโดน 157 ที่ไม่ดำเนินการเรื่องนี้กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ท่าน ผบ.ครับ อย่าสองมาตรฐานมากนัก

ข้อที่สาม ตามที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งโดยเปรียบเทียบเรื่องที่ตัวเองและลูกน้องทั้งหมดนั้นเหมือนกับบัตรสนเท่ห์ คุณพูดอย่างนี้ครับ "แล้วผมจะบอกว่าที่ส่งเรื่องผมไปทั้งหมดนั้นมันเหมือนอะไร ผมเปรียบเทียบมันเหมือนบัตรสนเท่ห์ หรือใบปลิว" คุณสุรเชษฐ์ครับ คุณชักจะเลอะเทอะใหญ่แล้ว ภาษานักเลงเขาเรียกว่าคุณกำลังเมาหมัด เรื่องของคุณไม่ได้เหมือนบบัตรสนเท่ห์หรือใบปลิวหรอกครับ ไม่เหมือนเลยแม้แต่นิดเดียว บัตรสนเท่ห์ หรือใบปลิว ต้องไม่มีการลงลายมือชื่อ ทำขึ้นมาลอยๆ ไม่รู้ว่าใครทำ ใครร้อง แบบนี้เขาเรียกว่าอีแอบ แต่กรณีของคุณมันเป็นการกล่าวหาโดยเจ้าหน้าที่รัฐ โดยพนักงานสอบสวน แล้วมีหลักฐานอย่างละเอียด มีหลักฐาน มีพยานบุคคล มีผู้ต้องหาคือพวกลูกน้องที่เกี่ยวข้อง มีเส้นทางทางการเงินแบบละเอียดยิบ อย่างนี้จะเรียกว่าบัตรสนเท่ห์ได้อย่างไร


คุณดูตัวอย่างความเชื่อมโยง แผนผังเจ้าแม่เว็บพนันมินนี่กับลูกน้องคุณ 8 คน กับบัญชีม้า แล้วใช้บัญชีม้าไปจ่ายค่าโน่นค่านี่ให้คุณ ค่ารักษาพยาบาลให้แม่ ให้น้องชาย จ่ายค่าโทรศัพท์มือถือให้คุณ

ท่านผู้ชมครับ จริงๆ แล้วที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พูดเปรียบเปรยเรื่องของบัตรสนเท่ห์นั้น ผมสงสัยว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร รู้ไหม ? หรือเป็นเพราะว่าคุณสุรเชษฐ์ ชอบทำกับคนอื่นด้วยวิธีนี้ คุ้นๆ หรือเปล่า คุณสุรเชษฐ์ ถ้าคุณนึกไม่ออกว่าเรื่องไหนบ้างที่คุณทำไว้ คุณไปเปิดดูคอมพิวเตอร์ของ พ.ต.ท.คริษฐ์ ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือพนักงานสอบสวนและสืบสวนอยู่ ลูกน้องที่ติดตามคุณ สนิทมาสิบกว่าปี ไปดู


ข้อที่สี่ อีกส่วนหนึ่งตามที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แถลงว่า "ผมทำคดีมาเยอะ ผมยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน ผมดำเนินคดี เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตำรวจ ตม. 107 นาย ท่านเห็นไหมครับว่าผมส่งไปไหน ไป ป.ป.ช. แล้วผมเคยออกมาแถลงข่าวไหม"

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นอกจากจะเป็นพวก Jerk (ประสาท) แล้ว คุณน่าจะเป็นคนขี้ลืม ผมเสนอให้คุณไปกินแปะก๊วยเยอะๆ นะ จะได้ไม่เป็นคนมีโรคความจำสั้น พูดอะไรไว้ ทำอะไรไว้ ลืมหมด ถ้าคุณไม่เคยแถลงข่าว ไม่เคยให้สัมภาษณ์แล้ว เพื่อนคุณ พล.ต.ท.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ กับ พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ฟ้องหมิ่นประมาทคุณ เรื่องคาอยู่ในศาล คุณจะว่าอย่างไร คุณสุรเชษฐ์ คุณต้องแมนกว่านี้ ไม่ใช่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นตลอดเวลา แล้วผมกำลังจะขุดเรื่อง "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" ที่คุณอ้างว่าคุณเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนสมัยที่คุณเป็น พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล

คุณสุรเชษฐ์ คุณพอจะรู้ใช่ไหม คุณอายใช่ไหม แต่คุณไม่กล้าพูด ผมจะขุดเรื่องนี้ขึ้นมาให้ท่านผู้ชมและประชาชนทั่วไปได้เห็น ว่าในยุคหนึ่งสมัยหนึ่งเวลาคุณไปเล่นงานใครแล้ว คุณออกสื่อออกแสงเลย กระทืบพวกเขาจนกระทั่งเขาเหมือนอั้งยี่ เหมือนโจรผู้ร้ายที่เลวทรามต่ำช้า ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า ท่านผู้ชมคงรู้แล้วใช่ไหม คดีนี้ในที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง และศาลฎีกาก็ยกฟ้องทั้งหมด คุณสุรเชษฐ์ครับ นี่คือจุดดำของคุณ ผมจะขุดเรื่องนี้มาพูดให้ฟัง มีวัน ว. เวลา น. เหตุการณ์ที่ชัดเจน คุณให้สัมภาษณ์สื่อมาตลอดเวลา โอหังมมังการมาก


ข้อที่ห้า คุณสุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์ว่า คดีตัวเองอยู่ในอำนาจของดีเอสไอ ไม่ใช่ตำรวจ คุณสุรเชษฐ์ พูดอย่างนี้ครับ "ท่านรองผู้บัญชาการผู้ทรงพลัง (หมายถึงบิ๊กเต่า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ) เขาบอกว่ามีเงินหมุนเวียน 300 ผมก็จะพูดหลักกฎหมายให้ฟังว่า คดีมูลฐานความผิดฐานฟอกเงินที่ 300 ขึ้นไป มันเป็นอำนาจของดีเอสไอแล้วนะ เขาเรียกว่าเป็นคดีพิเศษ ท่านไม่มีอำนาจสอบสวน มันจะติดคุกกันหมด วันนี้ท่านต้องส่งสำนวนไปที่ดีเอสไอ"

คุณสุรเชษฐ์ ครับ ประเด็นนี้คุณพูดไม่หมด บิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะคุณต้องการเบี่ยงประเด็น ไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดการเรื่องคุณ คุณเลยดึงเรื่องไว้ที่ ป.ป.ช. บ้าง อ้างเรื่องดีเอสไอบ้าง ที่สังกัดอยู่กระทรวงยุติธรรม การจะรับเป็นคดีพิเศษของดีเอสไอ ต้องเข้าข่ายความผิดที่อยู่ในอำนาจดีเอสไอตามบัญชีท้ายของดีเอสไอ ทางดีเอสไอถึงจะมีอำนาจ ผมย้ำนะครับ "แค่มีอำนาจ" แต่ท่านผู้ชมฟังให้ดีๆ ประการที่สำคัญที่สุด อยู่ในอำนาจดีเอสไอต้องรับเป็นคดีพิเศษด้วย เพราะคดีเว็บพนันมินนี่ไม่ได้เริ่มทำคดีเองตั้งแต่ต้น ตำรวจเขาทำมาก่อน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสามร้อยล้านบาทเลย ผมเช็กมาหมดแล้ว คดีเว็บพนันมินนี่ มีช่องทางเดียวที่จะตกอยู่กับดีเอสไอ คือต้องมีการวิ่งให้ ป.ป.ช. ต้องเป็นคนชี้ แล้วส่งเรื่องให้ดีเอสไอสอบสวนแทนเท่านั้น

ถามต่อ แล้วเพราะอะไรที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ต้องพยายามปัดคดี โดยเข้า ป.ป.ช. หรือดีเอสไอ เป็นหน่วยงานที่ทำคดี ผมจะชี้ให้ดู

ในกรณีของ ป.ป.ช. นั้น เป็นที่ทราบและเปิดเผยมาก่อนหน้านี้แล้วว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้นมีเส้นมีสายและซี้ปึ้กกับกรรมการ ป.ป.ช. บางคนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว สายสัมพันธ์นี้ยังไล่ถึงระดับผู้อำนวยการ พนักงานไต่สวนระดับสูง พนักงานไต่สวนระดับกลาง ที่คอยชงเรื่องต่างๆ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วย แต่ในกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ นั้น ท่านผู้ชมทราบว่าดีเอสไอนั้นอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งปัจจุบันคนที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชื่ออะไร ทุกคนทราบแล้ว คือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เจ้าเก่าในการช่วยให้ทักษิณพักโทษได้


ข้อที่หก คุณสุรเชษฐ์ แถลงตอนหนึ่งว่า "เรื่องสำนวนส่วนหนึ่ง ความลับในสำนวนมันเปิดเผยออกมาอย่างนี้ได้อย่างไร" คุณสุรเชษฐ์ กำลังกล่าวหาแล้ว คุณสุรเชษฐ์ พูดว่า "ผมทำคดีทุกคดี ผมไม่เคยทำแบบนี้ ผมเคยไหม แพลมโผล่นี่ อันโน้นโผล่ที เนื้อในสำนวนโผล่ชื่อคนโน้นคนนี้ เพื่อให้เสียชื่อ แต่คุณรู้ไหมว่าคุณทำอย่างนี้มันผิด พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร และมันโยงกับระเบียบเรื่องการรักษาความลับทางราชการ หัวหน้าพนักงานสอบสวนต้องรับผิดชอบ" ผมเห็นด้วยกับคำพูดของคุณสุรเชษฐ์ ครับ คุณช่วยหาตัวคนปล่อยให้เจอแล้วดำเนินคดีด้วย

แต่ผมอยากจะทวนความจำนิดหนึ่งนะคุณสุรเชษฐ์ อะไรที่คุณเสียเปรียบ คุณจะขี้ลืม คุณไม่พูดเลยแม้แต่นิดเดียว สมัยคุณคุมงานสืบสวนสอบสวน สมัย "ผบ.เด่น" พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ในคดี "กำนันนก" นายประวีณ จันทร์คล้าย คดียิงสารวัตรทางหลวงเสียชีวิตในวันที่ 6 กันยายน 2566 คุณสุรเชษฐ์ คุณจำได้หรือเปล่า อย่าลืมสิ คุณได้เอาภาพวงจรปิดมานั่งเปิดแถลงข่าว คุณเปิดเองเลย หรือคุณจะบอกว่าคุณทำได้ ไม่ผิด แต่คนอื่นทำไม่ได้ ผิด


ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังว่าทำไมผมต้องออกมาสวนเขา เพราะนายคนนี้โกหกตลอดเวลา ผมจะแถมให้อีกนิด นอกจากผิดตามที่ว่าแล้ว ความผิดก็สำเร็จไปแล้ว ตาม ป.อาญา มาตรา 164 คุณทำผิดไปแล้ว คุณสุรเชษฐ์ หลักฐานพิสูจน์ชัด "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานรู้หรืออาจรู้ความลับทางราชการ กระทำโดยประการใดอันมิชอบด้วยหน้าที่ ให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" เพราะภาพกล้องวงจรปิดมันเป็นพยานหลักฐานสำคัญ ความลับในสำนวนการสอบสวน คุณสุรเชษฐ์ แล้วคุณเอามาเปิดให้สื่อมวลชนไปออกข่าวได้อย่างไร

ข้อที่เจ็ด คุณสุรเชษฐ์ คุณแถลงข่าวข้างๆ คูๆ อีกประเด็นหนึ่ง คุณบอกว่า "แล้ววันนี้ผมต้องเรียนท่านอีกส่วนหนึ่งว่า ผมไม่ได้คุมปราบเว็บพนัน สื่อมวลชนก็รู้อยู่แล้ว ผมไม่ได้มีหน้าที่ ผมไม่ได้คุมกองบัญชาการไซเบอร์ แล้วใครจะมาจ่ายค่าตำรวจ จ่ายส่วยให้ผม"

คุณสุรเชษฐ์ ครับ ผมไม่รู้หรอกว่าใครจ่ายใคร หรือใครจ่ายคุณสุรเชษฐ์ เพราะถึงเว็บไหนจ่ายคุณ หรือใครต่อใครจ่ายคุณ ผมก็ไม่รู้ แต่คุณต้องรู้ดีอยู่แก่ใจ ผมอยากจะตั้งข้อสังเกตให้คุณ และตั้งข้อสังเกตให้กับท่านผู้ชม ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่าคดีเว็บพนันมินนี่มันมาโป๊ะแตกเอาตอนเดือนกันยายน ปีที่แล้ว (2566) จนมีการจับกุมลูกน้องคนสนิททั้ง 8 คน ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นี่มันหมายความว่าอย่างไรครับ ? มันหมายความว่าเว็บพนันมินนี่มันรุ่งเรืองในยุคที่คุณมีอำนาจสืบสวนสอบสวนอยู่ในมือ คุณสุรเชษฐ์ ตอนคุณมีอำนาจอยู่ในมือคุณถึงไม่จับเว็บพนันมินนี่ แถมลูกน้องคนสนิทของคุณยังไปโอบเอว กินข้าว ดินเนอร์ หอมแก้ม ยอมรับว่ามีความสัมพันธ์แบบลึกซึ้ง มิหนำซ้ำยังมีภาพมินนี่ยืนร้องคาราโอเกะอยู่กับคุณอีก ไหนคุณพูดบอกว่าคุณเป็นศัตรูตัวฉกาจกับเว็บพนันไงล่ะ แล้วหลักฐานพวกนี้แปลว่าอะไร


ที่น่าตลกขบขันไปกว่านั้น อย่างที่ผมเกริ่นไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วคือ คุณอ้างว่าตัวคุณเองไม่เคยคุมหน่วยงานตำรวจที่ปราบปรามเรื่องเว็บพนันเลย เลยไม่สามารถให้คุณให้โทษเว็บพนันได้ คุณพูดว่า "ผมไม่ได้มีหน้าที่ ผมไม่ได้คุมกองบัญชาการไซเบอร์ ผมไม่ได้มีหน้าที่ปราบเว็บพนัน แล้วใครจะมาจ่ายค่าตำรวจ จ่ายส่วยให้ผม ผมไม่มีอำนาจหน้าที่ ใครจะมาจ่ายให้ผม รอง ผบ.ตร. คุมมั่นคง รอง ผบ.ตร. คุมกฎหมาย ใครจะมาจ่ายค่าเว็บพนัน ก็มันไม่ได้คุมหน่วยปราบ ให้คุณให้โทษก็ไม่ได้ แล้วผมก็ไม่เคยคุมตรงนี้เลย ผมก็พูดเรียนท่านตรงๆ"


คุณสุรเชษฐ์ ครับ ในความเป็นจริงแล้วคุณสุรเชษฐ์ เคยคุมหน่วยเฉพาะกิจ เรียกว่า TACTICS ที่เป็นหน่วยปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในยุคของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วไม่รู้ว่าคุณลืมแบนเนอร์ประชาสัมพันธ์อันนี้ไปหรือยัง เป็นแบนเนอร์ประชาสัมพันธ์ของ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ตอนนั้นคุณดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และรองผู้บัญชาการศูนย์ TACTICS อยู่

แบนเนอร์นั้นเขียนชัดเจนว่า "13 หน้างาน ที่อยู่ในความรับผิดชอบของทีมงาน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล" ประกอบด้วยอะไรบ้าง ใน 13 หน้างาน เอาเฉพาะ 3 ข้อก็พอ ข้อ 3. การพนัน ข้อ 7. พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ข้อ 13. อื่นๆ อาชญากรรมทั่วไป (ครอบจักรวาล) หลักฐานชัดขนาดนี้แล้วคุณยังกล้าออกมาโกหกหน้าด้านๆ อีกหรือว่าคุณไม่เคยคุมหรือเกี่ยวข้องกับการปราบปรามเว็บพนัน ไม่สามารถให้คุณให้โทษกับคนพวกนี้ได้


คุณบอกว่า "ถ้าผมลงเลือกตั้งอีสาน ผมได้เป็น สส. แน่" คุณสุรเชษฐ์ คุณหลงนึกไปเองหรือคิดว่ามีคนชอบคุณอยู่มากมาย ถึงกับคุยโวโอ้อวดระหว่างการแถลงข่าวแบบนั้น แต่มองอีกมิติหนึ่ง คุณไม่รู้หรอกว่ามีคนเกลียดคุณมากขนาดไหน เจ้านายคุณ อดีตเจ้านายคุณ คนใกล้ตัวคุณ คนใกล้ชิดคุณ เพื่อนร่วมรุ่นคุณ รุ่นพี่-รุ่นน้อง ตำรวจชั้นผู้น้อยที่มีอยู่ทั่วประเทศไทยสองแสนกว่าคน ยังไม่นับลูก-เมีย ญาติพี่น้องของเขาอีก ที่โดนคุณกระทำ คุณอย่านึกว่าพวกเขาจะเป็นที่ระบายอารมณ์หรือกระสอบทรายให้คุณกระทำฝ่ายเดียวนะ คุณสำเหนียกไว้ด้วย

ล่าสุด คุณส่งทนายมาฟ้องผมหมิ่นประมาทแล้ว 2 คดี ผมไม่ว่าอะไร เพราะอย่างที่ผมเคยบอกแล้วว่า ในชีวิตการเป็นสื่อมวลชนของผม การโดนฟ้องหมิ่นประมาท เหมือนการเข้าไปนั่งขี้ในยามเช้า มันอยู่ในวิถีชีวิตไปแล้ว เพราะชีวิตผมโดนฟ้องมาแล้ว 164 คดี

ที่สำคัญ ผมอยากจะเตือนคุณสุรเชษฐ์ ว่าในคดีเป็นร้อยๆ คดีที่ผมโดนฟ้องมาก่อนนั้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติฟ้องผม 3 คน คนแรกคือ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ศาลชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา ยกฟ้องหมด คนที่สอง คือ พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ฟ้องผม 27 กรรม ศาลยกฟ้องเช่นกัน คนที่สาม พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข


ซึ่งฟ้องแล้วถอนฟ้อง ขอไกล่เกลี่ย เพราะว่าตัวเองเกษียณอายุแล้ว ไม่อยากค้าความกับผม ก็เลยไปไหว้วานคุณสุรเกียรติ์ เสถียรไทย มาขอร้องให้ผมประนีประนอมกับคุณสุวัฒน์ คุณสุวัฒน์ ก็ขอถอนฟ้องไปแล้ว วันนี้คุณเป็นแค่รอง ผบ.ตร. ยังไม่ถึงขั้น ผบ.ตร. ฟ้องผมไปเถอะครับ ฟ้องผมเยอะๆ ผมไม่เคยหวาดหวั่นหรือหวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะผมเชื่อมั่นว่าความจริงนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว และเมื่อถึงที่สุดแล้วความจริงก็จะปรากฏ

ท่านผู้ชมครับ การที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือ "บิ๊กเต่า" ออกมาเดินหน้าสวน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. งานนี้ต้องจับสัญญาณว่า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ต้องการสื่ออะไร


การที่ 'พลตำรวจตรี' มียศต่ำกว่า 'พลตำรวจเอก' แต่เป็นรุ่นพี่ คือเป็นนักเรียนนายร้อยรุ่น 45 สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่น 47 กระโดดลงมาเล่นเกมนี้เต็มตัว เรียกว่าเปิดหน้าชก แลกหมัดกับสุรเชษฐ์ หักพาล แบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมนั้น หมายความว่า "บิ๊กเต่า" มั่นใจว่างานนี้มีหมัดเด็ดที่พร้อมจะปล่อยไปแบบไม่ต้องรอผลคะแนนจากกรรมการข้างเวที เข้าทางเมื่อไร พล.ต.ต.จรูญเกียรติ พร้อมปล่อยหมัดน็อก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทันที เกมที่มีเดิมพันสูงแบบนี้ เรียกว่าใครพลาดต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เชื่อผมนะท่านผู้ชม งานนี้ไม่มีเสมอ ออกได้ 2 หน้า ไม่แพ้ก็ชนะ

การที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ แสดงภาวะผู้นำออกมายืนหน้าแถว ปักหลักซดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ งานนี้เขาต้องการปลุกขวัญสร้างความเชื่อมั่นให้กับชุดสอบสวน โดยไม่ต้องเกรงกลัวคำขู่ของสุรเชษฐ์ งานนี้ได้ใจไปเต็มๆ ชุดสอบสวนเดินหน้าทำคดีต่อได้ด้วยความมั่นใจว่าผู้บังคับบัญชาพร้อมยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ไปตลอดทาง ที่สำคัญอย่าลืมว่าใครยืนอยู่ข้างหลัง "บิ๊กเต่า"

ประเด็นที่สำคัญที่สุด สังคมต้องการคำตอบอย่างยิ่ง มีพยานหลักฐานสามารถเอาผิดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และทีมงานอย่างแน่นอน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ถึงกับหลุดปาก "เห็นหลักฐานแล้วรู้สึกเศร้าและสะเทือนใจ" และการที่ชุดสอบสวนมอบให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ออกมาแถลงคดี เพราะรู้ว่า "บิ๊กโจ๊ก" วางแผนเล่นเกมดังคำท้าทายของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้คนตัวใหญ่ระดับ 'พลตำรวจเอก' ออกมา อย่าเป็นอีแอบ

สุรเชษฐ์ สื่อถึง 'พลตำรวจเอก' ระดับหัวแถว สตช. เหมือนกับเป็นการขุดบ่อล่อปลา ผมไม่แน่ใจว่าหมายถึงใคร หมายถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ หรือว่า พล.ต.อ.ธนา รอง ผบ.ตร. กันแน่ ถ้า 'พลตำรวจเอก' คนดังกล่าวหมายถึง พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ ออกตัวเมื่อไร ก็เข้าทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่จะอ้างว่า พล.ต.อ.ธนา อิจฉา ต้องการเตะตัดขา ด้วย พล.ต.อ.ธนา เป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. ที่มาแรงคนหนึ่ง มีสไตล์การทำงานที่เด็ดขาด ดุดัน ที่สำคัญพูดน้อย ต่อยหนัก เรียกว่าเข้าตากรรมการสูง มีโอกาสเข้าวินสูง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะเล่นเกมใต้ดินตามที่ตัวเองถนัด อาจจะสาดโคลนใส่ พล.ต.อ.ธนา ต้องการเตะตัดขา สกัดไม่ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้เป็น ผบ.ตร. เนื่องจากเป็นรอง ผบ.ตร. ที่มีอาวุโสสูงสุด

ขณะเดียวกัน จากการที่ 'อีแอบ' จากคำยั่วยุของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เดินเกมหงายไพ่ "บิ๊กเต่า" ออกมาเดิมพันงานนี้จึงถือว่าเป็นเกมระดับเซียนเรียกพี่ ไม่อย่างนั้นมีหวังเข้าทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้สวนหมัดได้แบบเต็มๆ

วิเคราะห์คำสั่งที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ออกมากำชับเรื่องการแถลงข่าวล่าสุด ดูเหมือนเป็นการหย่าศึกระหว่าง "บิ๊กโจ๊ก" กับ "บิ๊กเต่า" แต่ถ้าวิเคราะห์กันในเนื้อหาแล้วจะเห็นว่าคนที่ต้องหยุดแถลงข่าวรายวันเห็นจะไม่พ้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะตัวเองนั้นไม่มีอำนาจหน้าที่ ที่ผ่านมาการที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกมาแถลงข่าวรายวัน ก็ไม่ได้ทำเพื่อองค์กรหรืองานในหน้าที่รับผิดชอบ แต่ทำเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองเสียมากกว่า อาศัยเครื่องแบบและสโมสรตำรวจเป็นที่แถลงข่าว ต่างกับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ อย่างฟ้ากับดิน ซึ่ง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ได้รับแต่งตั้งเป็นโฆษกชุดสอบสวน ยังมีอำนาจหน้าที่ในการแถลงข่าวได้


นอกจากนี้ หากวิเคราะห์คำสั่ง ผบ.ตร. ให้ 8 ลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไป ศปก.ตร. โดยแม้จะให้ขาดจากตำแหน่งเดิม แต่ก็ต้องเรียกว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ยังคงคอนเซปต์ "ต่อเฟรนด์ลี่" ไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ

สรุป ศึกนายพลสีกากี "บิ๊กเต่า จรูญเกียรติ" เปิดหน้าชน "บิ๊กโจ๊กหวานเจี๊ยบ" คงจะพอมองออกแล้วว่าในที่สุดใครจะจนมุมในเกมนี้

เรื่องเครือข่ายเว็บพนันมินนี่ ที่ลูกน้อง "บิ๊กโจ๊ก" 8 คน โดนแจ้งข้อหากันแบบยกก๊วน หรือแม้กระทั่งเจ้านายตัวเอง อย่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็กำลังจะหลบเลี่ยงไม่ให้ถูกดำเนินคดีอาญา จนหาที่พิงอาญา ป.ป.ช. หรือพยายามดึงคดีไม่ให้ดีเอสไอทำคดี ยื้อคดีเพื่อซื้อเวลา แต่คดีนี้มันกำลังเดินเข้าสู่ภาคต่อไปที่จะมาถึงในช่วงสัปดาห์หน้านี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะเจอแจ้งข้อหาฟอกเงิน ซึ่งบอกได้ว่าคดีฐานความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินนั้น เป็นคดีอาญาหนัก และความผิดข้อหาฟอกเงิน เป็นอำนาจของตำรวจชุดสอบสวนในคดีนี้อย่างเต็ม 100% กรณีฟอกเงินนี้ ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจตรวจสอบสำนวนคดี ไม่มีอำนาจเรียกสำนวนไปทำเอง หลักฐานพยานเอาผิดข้อหาฟอกเงินปรากฏในเส้นเงินชัดเจนจากคดีเว็บ VENUS Master เตาปูน ที่บริหารโดย น.ส.พิมพ์พิไล โดยมีการจับกุมเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2566 และพบการโอนเงินจากบัญชีม้าของ น.ส.พิมพ์พิไล เข้าบัญชีม้าของรองฯ คริษฐ์ มือขวา คนสนิทของบิ๊กโจ๊ก ที่สำคัญคือมีเส้นเงินที่เชื่อมโยงเข้ากับตัว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยตรงด้วย

คาดว่าเจอไม้เด็ดนี้ ทั้งแก๊งตายเรียบ ตั้งแต่นายตำรวจระดับชั้นประทวน จนถึง 'พลตำรวจเอก' เลยทีเดียว

ธรรมนัส กับ ส.ป.ก.เขาใหญ่

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ความจริงผมตั้งใจจะพูดตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่ผมขอดูรายการ เหตุการณ์ต่างๆ ให้มันลงตัวเสียก่อน ผมจะได้อธิบายเรื่องราวให้มันเป็นรูปธรรม คือกรณีปัญหาที่ดินทับซ้อน เกิดข้อพิพาทกันระหว่างกรมป่าไม้ กับ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับ ส.ป.ก. ภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บริเวณพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ผู้ที่ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีอดีตอธิบดีกรมป่าไม้ เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ชื่อเล่นชื่อ "เอี้ยง" นายดำรงค์ พิเดช


สัปดาห์ที่แล้ว วันที่ 21 กุมภาพันธ์ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เรียก ร.อ.ธรรมนัส นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รวมทั้ง พล.ท.ชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผนที่ทหาร โดยมาหารือทางออกในเรื่องนี้

ต่อมา วันเดียวกัน ร.อ.ธรรมนัส พร้อมด้วยนายวิณะโรจน์ นายจตุพร นายอรรถพล และ พล.ท.ชาคร ร่วมกันแถลงภายหลังหารือกับนายกฯ สรุปเป็นประเด็น ดังนี้

ข้อที่หนึ่ง หากพิสูจน์แล้วว่าพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดิน ซึ่งตามหลักฐานเดิมตั้งแต่ปี 2527 มาถึง 2530 จนถึงปี 2534 เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน เมื่อเกิดปัญหาแล้ว ข้อพิพาทมันเกิดขึ้นเนื่องจากว่าเป็นพื้นที่ที่ติดกัน ที่เรียกว่า แนวกันชน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในฐานะเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน จะออกนโยบายว่า ต่อไปนี้พื้นที่ที่เป็นแนวกันชน หรือพื้นที่ที่ติดประชิดกัน จะไม่จัดให้พี่น้องเกษตรกรทำกินเป็นอันขาด นี่คือข้อตกลงที่คุยกันไว้ทั้งสองหน่วยงาน


พื้นที่ที่มีปัญหา ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เบื้องต้นจะให้เลขาธิการ ส.ป.ก. ออกคำสั่งยกเลิกทั้งหมดในเอกสารที่ออกแล้ว แล้วตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเกษตรกรตัวจริงหรือไม่ใช่ตัวจริง หากมีมูลก็ตั้งคณะกรรมการดำเนินการเอาผิดทั้งวินัยและวินัยร้ายแรง และดำเนินคดีอาญา

แนวทางการทำงานในอนาคตจะมีบันทึกข้อตกลง หรือ MOU ระหว่าง ส.ป.ก. กับกรมอุทยานฯ ในการที่จะกระทำใดๆ ก็ตามในพื้นที่ที่จะจัดสรรให้กับเกษตรกร ต้องมีคณะกรรมการเป็นรูปธรรม ต่อไปจะมอบให้ ส.ป.ก.จังหวัด ที่ประกอบด้วยทุกหน่วยงาน ทั้ง ส.ป.ก. กรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ กรมธนารักษ์ และหน่วยงานรัฐที่ดูแลพื้นที่ของรัฐทั้งหมด จะได้มีความโปร่งใส

ในการแถลงข่าวดังกล่าว ร.อ.ธรรมนัส ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจด้วยว่า การรังวัดเริ่มตั้งแต่ 5 กรกฎาคม 2566 ก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะเข้ามาดำเนินการ 2 เดือน รัฐบาลเศรษฐาเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณในวันที่ 5 กันยายน 2566 กล่าวคือ ที่ดินในพื้นที่ทับซ้อนในขอบป่าที่ออก ส.ป.ก. นั้น ออกมาก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะเข้า ก่อนที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ แน่นอนที่สุด ก็ต้องออกโดยรัฐบาลชุดที่แล้ว คนที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงก็น่าที่จะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ คุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน รวมทั้งคุณประภัตร โพธสุธน ด้วย


ร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่าไม่ใช่ประเด็นการเมือง เพราะรัฐมนตรีทั้งสองมาจากพรรคเดียวกัน แต่เป็นการผิดพลาดที่ทำงานไม่คุยกัน ทางแก้คือ อธิบดีกรมอุทยานฯ และเลขาฯ ส.ป.ก. ต้องคุยกัน มีกรรมการกลางคือ กรมแผนที่ทหาร

ในการแถลงข่าว ร.อ.ธรรมนัส ก็ยอมรับแบบแมนๆ เลยว่า เห็นด้วยกับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ที่ชี้แจงมีเหตุมีผล และตอนที่ตัวเองลงพื้นที่ก็เห็นสภาพเป็นป่าฟื้นขึ้นมา เกษตรกรไม่ได้เข้าทำกินมานาน โดยจิตสำนึกมนุษย์ไม่ควรจะจัดให้เกษตรกร จึงจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนแน่นอน หากมีมูลว่าผิดต้องดำเนินคดีอาญา

ท่านผู้ชมครับ แม้เรื่องนี้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหู เรื่องปัญหาการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เพื่อจัดสรร ส.ป.ก. รวมทั้งอุทยานและพื้นที่อื่นๆ ที่ร่ำลือกันว่ามีมากถึง 150,000 ไร่ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ แม้ตอนแรกจะออกแนวดุดัน ล้ำเส้นไปบ้าง แต่สุดท้ายเมื่อได้นั่งโต๊ะพูดคุยกันก็ยอมถอยเร็ว และผมเชื่อว่าน่าจะเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง

ศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ ร.อ.ธรรมนัส ได้ลงนามในบันทึกข้อความส่วนราชการของกระทรวงเกษตรฯ เรื่อง นโยบายดำเนินการบริเวณเขตพื้นที่กันชน (Buffer Zone) กับเขตปฏิรูปที่ดิน ทั้งนี้ ร.อ.ธรรมนัส ได้มอบนโยบาย และขอให้ ส.ป.ก. ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจโดยเคร่งครัด ดังต่อไปนี้

หนึ่ง ตรวจสอบการจัดที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินบริเวณพื้นที่ตามแนวเขตปฏิรูปที่ดิน ที่ติดต่อกับเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ พื้นที่ต่อเนื่อง ว่าเป็นการจัดที่ดินโดยผิดกฎหมายหรือไม่ หรือจัดที่ดินให้เกษตรกรโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือยังมีที่ดินที่ยังไม่ได้ดำเนินการจัดให้แก่เกษตรกรแต่อย่างใด


สอง จัดทำพื้นที่กันชน (Buffer Zone) ระหว่างพื้นที่ ส.ป.ก. พื้นที่อุทยานแห่งชาติ และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ โดยกันพื้นที่ดังกล่าวให้จัดทำเป็นป่าในเขตปฏิรูปที่ดิน ก็คือพูดง่ายๆ ว่าไม่มีการออก ส.ป.ก. ให้ ตรวจสอบการจัดที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินบริเวณรอยต่อกับพื้นที่ในความรับผิดชอบของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบที่ดินของรัฐอื่นๆ โดยให้ดำเนินการทั่วทั้งประเทศว่ามีกรณีจัดที่ดินโดยผิดกฎหมายหรือไม่ หรือจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หรือยังมีที่ดินที่ยังไม่ได้ดำเนินการจัดให้แก่เกษตรกรแต่อย่างใด

สาม หากพบว่ามีการจัดที่ดินดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องโดยเคร่งครัด

สี่ เตรียมการสำรวจพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการจัดสรร หรือที่ดินว่างเปล่า รองรับเกษตรกร กลุ่มเปราะบาง หรือกลุ่มผู้ด้อยโอกาสที่ไม่มีที่ดินทำกิน โดยให้จัดสรรที่ดินให้กับกลุ่มเหล่านี้ตามระเบียบ ส.ป.ก. ต่อไป


ท่านผู้ชมครับ ผมเอาเรื่องนี้มาพูด ประเด็นหลักอยู่ที่ว่า แรกสุด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ดึงดันที่จะเดินหน้าไป เพราะคิดว่าตัวเองทำไม่ผิดกฎหมาย แต่เมื่อได้รับการท้วงติงแล้ว เขาก็ยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าเขาถอยได้ ซึ่งการตัดสินใจถอยและจัดระเบียบขึ้นมาใหม่นี้ ก็ต้องชื่นชม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ถึงแม้ว่าคนจะมองเขาในแง่ลบก็ตาม อะไรที่เป็นความจริง เราต้องยอมรับความจริงไป

ท่านผู้ชมครับ ที่ดินนั้น การที่ ร.อ.ธรรมนัส ออกมายืนยันว่าที่รอย Buffer Zone นั้นจัดทำเป็นป่าชุมชนได้ ก็เท่ากับยอมรับแล้วว่าจากนี้ไปจะไม่มีการออกโฉนดที่ดิน ส.ป.ก.ให้กับพื้นที่ในบริเวณเหล่านั้นอีกต่อไปทั่วประเทศ ผมถือว่านี่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง และต้องขอขอบคุณ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่กล้าพอที่จะถอยออกมาก้าวหนึ่ง แล้วก็ร่างแนวป้องกันขึ้นมา เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหานินทา แต่อย่างที่ผมเรียนให้ทราบครับ รัฐบาลชุดนี้เข้ามารับผิดชอบเดือนกันยายน 2566 แต่โฉนดที่ดินของ ส.ป.ก. ที่มีปัญหานั้น เกิดขึ้นก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะเข้ามา เกิดขึ้นมาก่อน ร.อ.ธรรมนัส จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ถ้าจะถาม ต้องไปถามคุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ และคุณประภัตร โพธสุธน ต้องถามสองคนนั้น ไปดู วัน ว. เวลา น. ว่าโฉนดออกในช่วงไหน ก็จะรู้ทันทีเลยว่ายุคนั้นใครรับผิดชอบ ส.ป.ก. ถ้าเป็นคุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน หรือคุณประภัตร โพธสุธน ก็เป็นหน้าที่ของสองคนนี้ต้องตอบคำถามให้สังคม โชคร้ายของธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งตัวเองนั้นมีปัญหาในเรื่องภาพพจน์ในบางส่วน ต้องมารับเผือกร้อนเรื่องนี้ แต่ก็ต้องขอชมเชยว่าเขากล้าพอที่จะถอย


แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมครับ กรมแผนที่ทหารได้สำรวจพื้นที่ ส.ป.ก. ว่ากรมแผนที่ทหารได้ทำหนังสือถึงนายกฯ แล้ว หลังจากทำแผนที่ที่เขาเรียกว่า One Map กรณีนี้เสร็จแล้ว นายกฯ เลยสั่งการให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงข่าว สรุปว่า ทั้งสองหน่วยงานไม่มีใครผิด-ใครถูก เนื่องจากถือแผนที่คนละฉบับ แต่ ร.อ.ธรรมนัส ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ บอกว่าได้มีการตั้งกรรมการสอบเจ้าหน้าที่ปฏิรูปที่ดินที่มีพฤติกรรมส่อผิดกฎหมายในการออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. มอบหมายที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หากตรวจสอบพบการกระทำผิดตามกฎหมาย จะดำเนินคดีตามกฎหมายมาตรา 157 และเรื่องวินัยร้ายแรง

นอกจากนี้แล้ว ร.อ.ธรรมนัส ยังสั่งการให้ตรวจสอบพื้นที่ ส.ป.ก. รอบเขาใหญ่ทั้งหมดว่ามีการจัดสรรที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือเปล่า หากพบว่าเป็นรีสอร์ตหรือโรงแรม อาจจะยึดคืน ซึ่งได้ให้สำรวจทั่วประเทศ หากพื้นที่ใดไม่ได้จัดสรรให้เกษตรกร ทั้งสองหน่วยงานมีแนวทางจะทำเป็นป่าชุมชน หากพื้นที่ใดทำผิดวัตถุประสงค์ ก็จะทำการเพิกถอน

หนังสือที่เจ้ากรมแผนที่ทหารนำเสนอต่อนายกฯ ระบุชัดเจนว่า พื้นที่ ส.ป.ก. ไปปักหมุดอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน นี่คือแผนที่ทหารยืนยันมานะครับ ไม่ได้อยู่ในเขตอุทยาน แต่เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ใกล้กับพื้นที่อุทยานฯ เขาใหญ่ จึงเห็นว่าควรจะกันเป็นพื้นที่กันชน ซึ่งตรงกับนโยบายที่คุณธรรมนัส พรหมเผ่า ต้องการ ไม่ควรเอาพื้นที่นี้มาทำ ส.ป.ก. ท่านนายกฯ ลงมาสั่งการด้วยตัวเอง ไม่ให้เกิดข้อพิพาทระหว่างเจ้าหน้าที่ เมื่อเช้าผมประชุมที่ดิน 72 จังหวัด ได้ข้อสรุปว่า ต่อจากนี้สองหน่วยงานจะจับมือพิทักษ์ป่า พื้นที่อุทยานด้วยกัน ทำกันชนทั้งประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา

และนี่คือปัญหา ส.ป.ก. ซึ่งผมคิดว่าจบแล้ว และผมก็ต้องขอชมเชย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ว่า รู้จักถอย และยอมรับ แล้วก็แก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อาจจะถูกเข้าใจผิดได้ วันนี้มีกรมแผนที่ทหารแล้ว ทำแผนที่ขึ้นมา 1 ฉบับ ให้ทั้งสองฝ่ายยอมรับซึ่งกันและกัน


ท่านผู้ชมครับ เมื่อเราพูดถึง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แล้ว เราจำเป็นต้องพูดถึง "ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร" เราต้องยอมรับว่า ระหว่าง ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กับ ธรรมนัส พรหมเผ่า ถ้าถามประชาชนแล้ว ประชาชนจะยืนข้างชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อย่างแน่นอนที่สุด แต่ที่ผมต้องเอาเรื่องนี้มาพูด ผมเอาเรื่องธรรมนัส พรหมเผ่า มาพูด เพื่อชี้ให้เห็นวา เขา จะอย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนที่ถ้าเขาทำไม่ถูก หรือเขาทำไม่เหมาะสม เขาถอยเป็น และเขาแสดงการถอยของเขาอย่างชัดเจนว่าเขาพร้อมที่จะถอยและแก้ไขสิ่งที่เขาทำผิดพลาดไป บกพร่องไป แต่คุณชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ในขณะนี้ประชาชนหลายคนชื่นชมในตัวเขามาก คุณชัยวัฒน์ มีประเด็นน่าสนใจเยอะ แต่พอเวลาทอดไป ผ่านออกไป มีท่านนายกรัฐมนตรีออกมาชี้แจง ด้วยความขัดแย้งของสองหน่วยงาน หน่วยงานหนึ่งก็คือกรมอุทยานแห่งชาติฯ มีแผนที่ของตัวเอง หน่วยงาน ส.ป.ก. ก็มีแผนที่ของตัวเอง ท่านนายกฯ ก็เลยหาทางออกที่ดีที่สุด คือใช้กรมแผนที่ทหารมาจัดการ เอาแผนที่ทหารเป็นหลักในการแก้ไขปัญหา

ซึ่งถ้าพูดถึงความแม่นยำกันแล้ว กรมเชื่อมั่นในกรมแผนที่ทหารมากกว่า กรมแผนที่ทหารจะไม่แม่นยำได้อย่างไร เพราะมันเป็นพื้นที่ของประเทศไทย การตั้งกำลัง การถูกรุกเข้ามา โน่นนี่นั่น กรมแผนที่ทหารบกจะมีความแม่นยำมาก

สรุปแล้วท่านนายกฯ ก็เลยบอกว่า ทั้งสองหน่วยงาน ทั้งกรมอุทยานฯ และ ส.ป.ก. ไม่มีใครผิด-ใครถูก เพราะถือแผนที่กันคนละฉบับ ก็มีเหตุผลครับ แล้วใครล่ะที่จะสามารถเอาแผนที่ฉบับที่เป็นกลางและให้ความชัดเจนได้ นั่นคือกรมแผนที่ทหารบก ส่วนในด้านของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พูดไปแล้วว่าเขาได้ดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ เขามีการตั้งกรรมการสอบเจ้าหน้าที่ปฏิรูปที่ดินที่มีพฤติกรรมส่อผิดกฎหมายในการออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. เขามอบที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ว่าถ้าตรวจพบการกระทำผิดตามกฎหมาย ต้องดำเนินคดีตามมาตรา 157 และเรื่องวินัยอย่างร้ายแรง

นอกจากนี้แล้ว รัฐมนตรีฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า ยังสั่งการให้ตรวจสอบพื้นที่ ส.ป.ก. รอบเขาใหญ่ทั้งหมดว่ามีการจัดสรรที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ถ้าพบว่าเป็นรีสอร์ตหรือโรงแรม จะยึดคืน แล้วได้สั่งให้สำรวจทั่วประเทศ หากพื้นที่ยังไม่ได้จัดสรรให้เกษตรกร ทั้งสองหน่วยงานมีแนวทางทำเป็นป่าชุมชน พื้นที่ใดขัดวัตถุประสงค์ก็ทำการเพิกถอนต่อไป

นอกจากนี้ ธรรมนัส พรหมเผ่า ยังบอกว่า ต่อไปนี้ข้อตกลงที่กระทรวงเกษตรฯ คุยกับกระทรวงทรัพยากรฯ คือพื้นที่ที่เป็นแนวกันชน หรือพื้นที่ที่ติดประชิดกัน จะไม่ให้พี่น้องเกษตรกรทำกินเป็นอันขาด ก็คือว่าอะไรที่เป็นข้อสงสัยว่า นี่เป็นป่าเสื่อมโทรมนะ ก็ไม่ให้แล้ว ไม่ให้มีการออก ส.ป.ก. ความจริงแล้วเรื่องนี้มันน่าจะคลี่คลายไปได้ระดับหนึ่งแล้ว 

แต่คุณชัยวัฒน์ กลับออกมาแถลงตอบโต้กรมแผนที่ทหาร ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่ท่านนายกฯ ส่งเข้ามาแก้ปัญหา เข้าไปชี้แจง 28 กุมภาพันธ์ ต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ตอบโต้กรมแผนที่ทหาร ระบุว่า ไม่มีแนวกันชน และยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อุทยาน 100% การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ หรือ One Map


นายชัยวัฒน์ ก็บอกว่ายังไม่ได้ประกาศใช้ คนที่อยู่ในคณะกรรมการ One Map ก็เป็นคนเดียวกันกับที่มาอ้าง แล้วยังเรียกร้องขอเข้าไปชี้แจงกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยตรง แล้วจะจับตาดูว่าเอกสารที่นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีจะเป็นเอกสารที่ถูกต้องหรือไม่ พร้อมกันนั้น กล่าวหากรมแผนที่ทหารว่าเป็นการตัดสินใจที่ ต้องพูดความจริงทั้งหมด เอารายละเอียดมาคุยกันเรื่องจะจบง่าย ถ้าเป็นเช่นนี้เรื่องไม่จบแน่นอน

ท่านผู้ชมครับ ผมคิดว่าคุณชัยวัฒน์ เริ่มจะเกเรมากขึ้นไปแล้ว คือจริงๆ แล้วผมไม่ทราบว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในฐานะเจ้านายโดยตรงของคุณชัยวัฒน์ ทำไมถึงเงียบไป คุณพัชรวาท คุณต้องไปถามพี่ชายคุณ ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่าเชื่อใจในกรมแผนที่ทหารบกหรือเปล่า เขาเป็นทหาร เขาต้องเชื่อใจทหารด้วยกัน 


ส่วนการที่คุณชัยวัฒน์ ไม่เชื่อ คุณชัยวัฒน์ ก็สามารถจะดำเนินการในช่องทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่มาโวยวาย ออกมาดิสเครดิตท่านนายกฯ หาว่าข้อมูลต่างๆ ที่ท่านนายกฯ ได้รับไปนั้นอาจจะเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ผมเป็นห่วงเรื่องนี้ คุณชัยวัฒน์ พูดต่อ บอกว่าพี่น้องประชาชนผู้ไม่มีที่ทำกินสบายใจได้ ถ้า ส.ป.ก. ตั้งใจจะทำงานนี้ด้วยความถูกต้อง แม่นยำ ก็ต้องเอาคนที่เป็นกลุ่มนายทุนและกลุ่มที่ได้ไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ยึดกลับมา

ก็จริง ผมเห็นด้วย แล้วผมเชื่อว่าคุณธรรมนัส พรหมเผ่า ก็กำลังจะทำเช่นนี้เช่นกัน แต่มาถึงจุดนี้แล้วผมคิดว่าคุณชัยวัฒน์ กำลังเคลื่อนไหวอยู่ คุณเกเรมากแล้ว การออกมาไม่ยอมรับแผนที่ของกรมแผนที่ทหาร ทำไมคุณไม่ยอมรับตั้งแต่ต้นล่ะ ที่ประชุมร่วมกันไง คุณเสนอไอเดียไปสิว่าไม่ยอมรับ เพราะอะไร พูดในที่ประชุมไปเลยกับท่านนายกฯ แต่กลับยอมรับกัน แล้วคุณใช้เวลาที่เขาประชุมตกลงกันเรียบร้อยแล้ว คุณมาบอกว่าคุณไม่เชื่อแผนที่ทหาร ทำไมแผนที่กรมอุทยานฯ ถึงจะแม่นยำกว่าทุกๆ คนล่ะ คนอื่นเขาไม่แม่นยำบ้างหรืออย่างไร แล้วกรมอุทยานแห่งชาติฯ ไม่มีแผลบ้างหรือ ก็มีเยอะแยะไปหมด อย่าให้ผมต้องขุดเรื่องขุดราวขึ้นมาพูดเลย

มิหนำซ้ำคุณยังจัดทัวร์ไปด่านปากช่อง คุณเรียกเสียงร้องมวลชนสร้างแรงกดดันเพิ่มเติม ฝั่งกระทรวงเกษตรฯ เขาถอยแล้ว กรมอุทยานฯ ทำไมไม่ถอยบ้าง เอาคนกลางมาเป็นคนตัดสิน แล้วที่สำคัญ เวลาเขาประชุมร่วมกันทำไมคุณไม่ค้านไปเลย พอเจอวิธีของคุณที่หิวแสงและพยายามเอาประชาชนมายืนข้างคุณ ผมนึกถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล คุณกับสุรเชษฐ์ หักพาล นี่คล้ายๆ กันเลยนะ ให้ตาย! ผมไม่ได้พูดเล่นนะ


ตอนนั้นที่เข้าประชุม คุณจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเจ้านายคุณ คืออธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ก็คืออรรถพล เจริญชันษา ซึ่งเขาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ และเป็นคนที่ถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาของคุณ ถ้าเขายอมรับ ทำไมคุณไม่รายงานเขาล่ะว่าคุณไม่ยอมรับเพราะอะไร แล้วก็ให้เขาส่งเรื่องส่งราวไปที่นายกฯ แต่คุณก็มาป่าวประกาศเพื่อเรียกเสียงให้ประชาชนเข้าข้างคุณ เพราะว่าวันนี้คุณพูดอะไร คุณเชื่อว่าประชาชนจะเชื่อคุณ เหมือนกัน เหมือนสุรเชษฐ์ หักพาล ไม่มีผิดเลย

คุณมีฐานะเป็นผู้อำนวยการสำนักงานอุทยานแห่งชาติ ทำงานกับกระทรวงทรัพยากรฯ มาตั้งนมตั้งนาน คุณก็รู้ใช่ไหมว่าในการออก ส.ป.ก. ตามจังหวัด ผลประชุมคณะกรรมการจะออกมาต้องมีเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้อยู่ร่วมด้วย แล้วถ้ามีเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้อยู่ร่วมด้วยแล้วออก ส.ป.ก. ถ้ามันผิด คุณต้องไปเล่นงานเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ เฮ้ย! ทำไมละเลยอย่างนี้ เอา 157 ไป ตอนนี้คุณกำลังทะเลาะกับกรมแผนที่ทหารเขาแล้ว

ในบ้านของตัวเอง ในกรมอุทยานฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีขี้เน่าเหม็นโฉ่กองอยู่ คุณกลับเที่ยวไปชี้ว่าขี้คนอื่นเขาเหม็น เดี๋ยวผมช่วยไปทำความสะอาดให้ คุณดูแลในบ้านตัวคุณเองเสียก่อน ท่าทีขึงขังของคุณทำให้ผมย้อนนึกไปถึงวันที่พิพากษาจำคุกคุณ 3 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานผิดมาตรา 157 เมื่อปีที่แล้ว วันที่ 28 กันยายน 2566 แต่ผมก็แสดงความดีใจกับคุณนะที่ศาลยกฟ้องข้อกล่าวหาว่าคุณฆ่านายบิลลี่ โดยศาลให้เหตุผลว่าพยานหลักฐานมีไม่พอเพียง


ผมรู้ว่าคุณอุทธรณ์คดี 157 สามปี ที่ถูกจำคุกโดยไม่มีรอลงอาญา ด้วยเงิน 8 แสนบาท ออกไป แต่ผมก็ยังสงสัยว่า คุณนี่ต้องมีผู้หลักผู้ใหญ่คอยสนับสนุนคุณอยู่แน่นอน เพราะว่าขนาดคุณโดนศาลจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา คุณยังมานั่งทำงานอยู่ตำแหน่งนี้ได้เหมือนเดิม เดี๋ยวผมจะเล่าให้ท่านผู้ชมฟังว่า คุณชัยวัฒน์ ไม่ใช่ธรรมดา ขาใหญ่จังหวัดเพชรบุรีเลย


ผมจะบอกอะไรให้อย่างนะครับ ภายในกรมอุทยานแห่งชาติฯ มีโครงการปลูกป่าล้านไร่ ปลูก "ป่าทิพย์" ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ใช้งบประมาณหลายร้อยหลายพันล้านบาท เกี่ยวข้องโดยตรงกับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ภายใต้การดูแลของกรมอุทยานแห่งชาติฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปรากฏว่าใช้เงินไปหลายร้อยล้านบาท ไม่ได้ปลูกจริง ปลูกแค่ด้านหน้า ส่วนด้านในเป็นทุ่งหญ้า ป่าเสื่อมโทรม มีการทำไร่มันสำปะหลัง ทำโน่นทำนี่ ทั้งๆ ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่ป่าสงวน แล้วป่าเสื่อมโทรมนั้น คุณชัยวัฒน์ คุณต้องยอมรับว่าลูกน้องคุณเองมีส่วนทำให้พื้นที่ป่าอันชุ่มชอุ่มนั้น กลายเป็นป่าที่เสื่อมโทรม เพราะว่าลูกน้องคุณเอาเข็มฉีดยาไปฉีดต้นไม้ให้มันทรุดโทรม เพราะว่าลูกน้องคุณเองก็ร่วมมือกับนายทุนเหมือนกันในการที่จะทำให้ป่าส่วนนี้เป็นป่าที่เสื่อมโทรม เพื่อที่จะออก ส.ป.ก. ส่วนลูกน้องคุณจะได้เท่าไร ผมไม่รู้


เรื่องในความรับผิดชอบตรงๆ อย่างนี้ เรื่องในบ้านของคุณเอง คุณชัยวัฒน์ ต้องเข้าไปเคลียร์ เข้าไปช่วยแก้ไขด้วย ไม่ใช่เอาแต่หิวแสง แสวงหามวลชนเพื่อเป็นเกราะคุ้มกันให้ตัวเอง ที่สำคัญก็คือ คุณรู้อยู่แล้วว่าภาพพจน์คุณได้เปรียบมากกว่า ธรรมนัส พรหมเผ่า คุณก็เลยไม่หยุดเรื่องนี้ ผมยังยืนยันนะครับ ในการประชุม 3 ฝ่ายนั้น กรมแผนที่ทหาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ท่านนายกรัฐมนตรี และ ส.ป.ก. เจ้านายคุณ คือปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และอธิบดีกรมอุทยานฯ เข้าประชุมด้วย และเขายอมรับแผนที่ของกรมแผนที่ทหาร เมื่อคุณไม่ยอมรับ เป็นสิทธิ์ของคุณ และคุณมีข้อมูลที่ดีก็จริง คุณก็รายงานให้เจ้านายคุณฟังหน่อยสิ แต่คุณไม่สน คุณจะแหกโค้ง ตีโพยตีพายกับประชาชนเพื่อเอาเสียงเอาแสงเข้าตัวคุณเอง ว่าคุณคนเดียวในโลกนี้ที่ปกป้องป่า คนอื่นจ้องทำลายป่าอยู่อย่างเดียว ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง

ผมชื่นชมที่คุณยืนหยัดในสิ่งที่คุณคิดว่าถูกต้อง และต้องการปกป้องป่า แต่วิธีการของคุณและความเจ้าเล่ห์แสนกลของคุณก็ไม่ใช่ธรรมดา ไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ มิหนำซ้ำคุณยังบอกว่าคุณจะต้องดูว่าเอกสารส่งอะไรผิดไปให้นายกฯ หรือเปล่า คุณจะจับตาดู คุณนี่จะมากไปหน่อยแล้วมั้ง คุณไปบอกปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ สิ คุณจตุพร ท่านครับ ผมไม่เห็นด้วย โน่นนี่นั่น นี่ผมมีหลักฐานอย่างนี้ๆๆ ท่านต้องต่อสู้นะ เพื่อกระทรวง ถ้าปลัดไม่ทำ คุณก็ด่าปลัดไปสิ ตามสไตล์ที่คุณชำนาญไม่ใช่หรือว่าคุณปกป้องป่า แต่ปลัดของคุณไม่ปกป้องป่า

ผมไม่ได้เห็นใจธรรมนัส แต่ว่าผมคิดว่าเขาเป็นมวยรองคุณ แต่การที่เป็นมวยรอง แล้วคุณจะเล่นนอกเกม มันไม่ถูกต้อง คุณชัยวัฒน์ อย่าลืมนะ ผมก็เชียร์คุณมาตั้งแต่ต้นนะ แต่ผมมีนิสัยอย่างหนึ่ง อะไรที่มันถูกต้อง ผมยืนให้ แต่ถ้าหิวแสงแล้วใช้แสงมาทำร้ายคนอื่น ผมไม่เห็นด้วย


ท่านผู้ชม คุณชัยวัฒน์ จะ 60 ปีแล้ว เดือนกันยายนนี้ จะเกษียณอายุแล้ว ลึกๆ แล้วคุณชัยวัฒน์ เป็นลูกเลี้ยงของคุณยุทธ อังกินันทน์ เจ้าพ่อเมืองเพชร ผู้กว้างขวาง ยิ่งใหญ่มากในเมืองเพชร ในจังหวัดเพชรบุรี ไม่มีใครกล้าแหยมกับคุณชัยวัฒน์ ตำรวจกลัวคุณชัยวัฒน์หมด คุณชัยวัฒน์ ไม่ได้เป็นแค่เจ้าหน้าที่อุทยาน ข้าราชการป่าไม้ธรรมดา แต่มีบารมีเป็นที่เคารพยำเกรงในหมู่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เรื่อยไปถึงข้าราชการกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งสื่อมวลชนในเพชรบุรีทั้งหมด

คุณชัยวัฒน์ เคยเป็นจำเลยในคดีหลายๆ คดี คดีอุ้มฆ่านายบิลลี่ เคยถูกเปิดเผยว่ามีไร่ราชพฤกษ์ บ้านพักตัวเอง ซึ่งคุณชัยวัฒน์ อ้างว่าเป็นบ้านของพ่อให้มา แต่ว่ามีการกล่าวหาคุณชัยวัฒน์มาตลอดเวลา ปี 2555 ตกเป็นข่าวอีกครั้งหนึ่ง เกิดเหตุการณ์เผานั่งยางช้างป่าเพื่อเอางา โดยจับผู้ต้องหาได้ 5 คน ซึ่ง 5 คนนั้นเป็นลูกจ้าง เจ้าหน้าที่ รวมทั้งผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และคุณชัยวัฒน์ ก็ได้เอาตำแหน่งตัวเองเข้าไปประกันตัว แล้วก็บอกว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ เหมือนกับคุณสุรเชษฐ์ หักพาล ที่บอกว่าลูกน้องตัวเอง 8 คน เกี่ยวกับเว็บพนัน แต่ตัวเองไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้

ชัยวัฒน์ เป็นคนฉลาด มีไพ่ในมือหลายใบ เลือกเล่นได้ เล่นกับกระแสสื่อ กระแสสังคม ได้อย่างชาญฉลาด ที่สำคัญก็คือว่า คุณชัยวัฒน์ ชอบเลี้ยงกระแสให้ตัวเองอยู่ในสปอตไลต์ไว้ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร เพราะอย่างไรก็ตาม เรื่องที่คุณอุทธรณ์คดี 157 นั้น อีกไม่เกิน 1-2 ปี ศาลอุทธรณ์ก็คงมีคำสั่งลงมา แล้วค่อยดูกันตอนนั้นก็แล้วกัน กันยายนนี้ คุณก็เกษียณอายุแล้ว ผมจะปรบมือให้คุณ ในฐานะที่คุณออกมาปกป้องป่า แต่ผมตั้งข้อสงสัยในวิธีการของคุณ ไม่ใช่วิธีการที่แมนๆ ผมมีข้อคิดไว้เพียงแค่นี้ล่ะครับ

แล้วคุณไม่รู้ใช่ไหมว่าคุณกำลังตกเป็นเครื่องมือของความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ เจ้านายใหญ่ของคุณ ก็คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีข่าวว่าไม่ถูกกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อย่างแรง แล้วเจ้านายคุณมีที่ปรึกษาชื่อ ดำรงค์ พิเดช เจ้านายเก่าคุณไม่ใช่หรือ แล้วผมจะเรียนให้คุณทราบ ท่านพี่น้องที่ดูรายการนี้อยู่


ท่านจำนายเอี้ยงได้ไหม ดำรงค์ พิเดช เขาเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ในยุคของยงยุทธ ติยะไพรัช เขาเป็นคนพาเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาป่วนการชุมนุมของพวกเราที่สวนลุมฯ เจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ามาปะทะกับประชาชนของเรา มีการเอาประทัดยักษ์ขว้างเข้ามา แล้วงานครั้งนั้น ดำรงค์ พิเดช จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ และดำรงค์ พิเดช วันนี้มาเป็นที่ปรึกษาของพัชรวาท วงษ์สุวรรณ เพราะฉะนั้นแล้ว การที่พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ไม่สั่งห้ามชัยวัฒน์ ว่ามากไปแล้ว เพลาๆ หน่อย เราต้องยอมรับกรมแผนที่ทหาร แต่ผมเชื่อว่ากลับส่งเสริมให้เดินสุดซอย ให้เดินเต็มแม็ก แสดงว่าพัชรวาท วงษ์สุวรรณ กำลังเตะตัดขาธรรมนัส พรหมเผ่า อย่างแรง ส่วนธรรมนัส ก็รู้ทางปืนดี พอมีเรื่องนี้เกิดขึ้นมาก็เลยถอย พอถอยออกมาแล้วก็สั่งแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทันทีเลย

แล้วคิดว่าการที่นายกรัฐมนตรีเสนอกรมแผนที่ทหารบกมานั้น ก็เป็นทางออกที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่ดันมีคุณชัยวัฒน์ เข้ามาบอกว่าไม่เห็นด้วย โดยข้ามหัวปลัดกระทรวงตัวเอง อธิบดีตัวเอง ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ให้สัมภาษณ์ฉะหน้าฉะหลังฉะซ้ายฉะขวา รบสิบทิศ เพื่อให้ประชาชนฮือฮาว่านี่คือคนที่ปกป้องอุทยานแห่งชาติ สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้จริงเถอะครับ

จับโกหกคำโต กฟผ.ปลูกไร่สตรอว์เบอร์รี่ ?

ท่านผู้ชมครับ หลังจากรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 229 ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกผมได้เปิดโปงโครงการ CSR ปลูกป่าล้านไร่ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ หรือ กฟผ. ซึ่งเซ็น MOU กับกรมป่าไม้ ใช้เงินงบประมาณกว่า 5 พันล้านบานท เป็นเวลา 10 ปี คิดเป็นเงินเบิกจ่ายกัน 5 ร้อยกว่าล้านบาทต่อปี แต่เราพบว่างานนี้มีกลิ่นไม่ดีโชยออกมาตั้งแต่เริ่มดำเนินการ ส่อไปในทางจะมีประเด็นสงสัยว่าจะมีการทุจริตครั้งมโหฬาร เพราะเมื่อลงพื้นที่ตรวจสอบ ซึ่งเป็นของ กฟผ. เอง ถึงกับผงะ พื้นที่ป่าที่ปลูกตามโครงการมีแนวต้นไม้แค่ด้านหน้า ลึกเข้าไปกลับไม่มี เป็น "ป่าทิพย์"


พอออกอากาศไปไม่นาน วันที่ 20 กุมภาพันธ์ นายชัยวุฒิ หลักเมือง ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน ในฐานะรองโฆษกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ออกมาชี้แจง ออกเป็นแถลงการณ์ว่า ตั้งแต่ทำมา 2 ปี (2565-2566) สามารถดำเนินการปลูกป่า บำรุงรักษาป่า คิดเป็นพื้นที่กว่า 188,692 ไร่ มิหนำซ้ำ ผู้ช่วยผู้ว่าฯ คุณชัยวุฒิ บอกว่า กฟผ. ยึดมั่น ให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามหลักธรรมาภิบาล คุณธรรม โปร่งใสตลอดมา รวมทั้งพร้อมรับการตรวจสอบจากหน่วยงานทั้งภายในและภายนอก

สำหรับกระแสข่าวที่ออกมา กฟผ. ไม่นิ่งนอนใจ มีการตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริง และอยู่ระหว่างกระบวนการสอบหาข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน


สรุปอย่างนี้ครับท่านผู้ชม นายชัยวุฒิ ยืนยันว่า กฟผ. ทำการปลูกป่าล้านไร่จริง แต่ไม่ยอมตอบคำถามว่าปลูกป่าทิพย์หรือเปล่า พูดทำนองว่า ถ้าสงสัยให้มาตรวจสอบได้ แล้วตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน

เอาล่ะ ท่านผู้ชมครับ ในฐานะสื่อเราจะเกาะติดต่อไป เราส่งทีมงานลงไปอัปเดต สุ่มตรวจในบางพื้นที่หลายๆ จังหวัดแถบภาคอีสาน ที่เป็นพื้นที่ปลูกในโครงการล้านไร่ กฟผ. ดูตามภาพที่ทีมงานผมถ่ายมา จะเห็นได้ชัดว่าป่าทิพย์อีกแล้ว ด้านหน้าเป็นแถว เป็นแนว เดินเข้าไปสำรวจภายในพบแต่ความว่างเปล่า พื้นดินแห้งแล้ง มีหินระเกะระกะเต็มไปหมด ปลูกอะไรก็ปลูกไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ต้นไม้ทิพย์ ท่านผู้ชมดูตามภาพเลยนะครับ ผมเอาภาพมาตบหน้า กฟผ. และคุณชัยวุฒิ


ไหนคุณบอกปลูกป่า 500 ไร่ ผมเห็นแต่ต้นไม้ขึ้นหรอมแหรมเป็นแนวด้านหน้ากับขอบๆ เท่านั้น ข้างในเป็นทุ่งโล่ง มีคนเอาขยะมาทิ้งอีกต่างหาก


เรามาดูอีกที่หนึ่ง อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น ท่านผู้ชมเห็นแล้วตั้งคำถามเหมือนผมไหมว่า ไหนล่ะ ป่า 500 ไร่ ของคุณ ที่น่ากังวลที่สุดคือ ช่วงนี้หน้าแล้งมาถึง ไฟป่าเกิดขึ้นได้ง่าย แต่ก็ต้องให้ระวังการเผาป่าทิพย์ ทำลายหลักฐานให้ดี โดยจะมีการอ้างว่าโดน "ไฟป่าเผา" เชื่อผมสิท่านผู้ชม จะต้องมีการอ้างแน่ เรื่องนี้เท่าที่รับทราบ ภายใน กฟผ. ก็ว้าวุ่นหนัก ผู้บริหารโบ้ยว่า เกิดจากข่าวหลุดทางรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เพราะพนักงานชุดตรวจสอบขัดแย้งกัน พูดง่ายๆ ตามสันดานของผู้บริหารระดับสูง โยนบาปให้พนักงาน


เท่าที่ทราบจากคนภายในเช่นกัน นายชัยวุฒิ ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน เป็นคนที่ต้องรับผิดชอบต่อโครงการนี้ แล้วเขาเป็นเพื่อนซี้ย่ำปึ้กของนายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ ถึงได้ร่วมมือกันชงโครงการนี้มาด้วยกัน ต้องมีคำตอบให้สาธารณชนดีกว่านี้หรือเปล่า

จากที่นายชัยวุฒิชี้แจงมา ยิ่งทำให้ประชาชนสงสัยหนักยิ่งขึ้นว่า กฟผ. นอกจากปลูกป่าทิพย์แล้ว ยังปลูกไร่สตรอว์เบอร์รีด้วยหรือเปล่า สตรอว์เบอร์รี เป็นอย่างไร มาดูกัน


ประเด็นที่หนึ่ง การปลูกป่าในโครงการปลูกป่าล้านไร่ กฟผ. เป็นการปลูกป่าเพียงแถวหน้าป้าย ข้างในไม่มีการปลูกป่าจริง ซึ่งคณะกรรมการตรวจรับงานไม่ให้ผ่านถึง 3 ครั้ง แต่พอเปลี่ยนคณะกรรมการตรวจงาน กลับผ่านได้ทันที แล้วท่านผู้ชมคิดว่านี่คือความขัดแย้งหรือเปล่า ? ใช่สิ ขัดแย้ง เพราะว่าคณะกรรมการตรวจงานชุดแรกไม่ยอมคอร์รัปชัน ชุดที่สองทำตามคำสั่งผู้ใหญ่ว่าให้ผ่านๆ ไปซะ

จากการชี้แจงประเด็นนี้ คุณชัยวุฒิ หลงประเด็นที่รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ได้สื่อสารออกมา เพราะที่นำเสนอออกมานั้นเป็นข้อมูลเรื่องการทุจริตงบ CSR การปลูกป่าบกในปี 2545 ที่ได้รับการจัดสรรพื้นที่จากกรมป่าไม้ 97,000 ไร่ ทุกภูมิภาค ท่านผู้ชมเชื่อหรืเปล่า 97,000 ไร่ แต่มีคณะกรรมการตรวจรับการปลูกป่าทั้งหมด แค่ 2 คน สองคนนี้เป็นพนักงาน กฟผ. 1 คน และอีกคนเป็นลูกจ้างเหมาของบริษัท นี่มันส่อเจตนาอะไรหรือเปล่า

เอาล่ะ ถึงไม่มีการทุจริตอะไรก็ตาม ก็ส่อเจตนาถึงการบริหารที่ล้มเหลว คุณตรวจสอบรับงานป่า 97,000 ไร่ คุณใช้พนักงาน 2 คน เป็นเจ้าหน้าที่ กฟผ. 1 คน อีกคนหนึ่งรับเหมาจ้างมา

สาระสำคัญของประเด็นนี้คือ เป็นไปได้จริงหรือที่การตรวจป่าจำนวน 97,000 ไร่ มีเพียง 2 คน และคณะกรรมการตรวจรับชุดที่สองนี่ต้องเอาเข้าตะราง ผ่านครบหมดทุกแปลง มีต้นไม้ครบตาม TOR แล้วที่ผมเอารูปให้ดู ท่านผู้ชมเห็นไหม มีต้นไม้อะไรที่ไหน ของปลอมทั้งนั้น ถ้าดูจาก TOR เป็นไปได้ยากมากที่จะตรวจได้ครบตามข้อกำหนด จึงเป็นที่มาว่า ไปตรวจรับเฉพาะบริเวณแถวป้าย ก็คือป้ายปักตรงไหนก็ปลูกป่าตรงนั้นสัก 1-2 แถว แล้วถ่ายรูปตรงจุดนั้นให้เป็นหลักฐานในการเข้าพื้นที่ นำเสนอรายงานต่อผู้บังคับบัญชา แท้ที่จริงแล้วกรรมการไม่ได้ลงตรวจพื้นที่จริงและตรวจรับงานตาม TOR เท่ากับคณะกรรมการตรวจรับไม่รักษาผลประโยชน์ให้ กฟผ. สูญเงินไปกว่า 400 ล้านบาท รวมค่าใช้จ่ายเดินทาง เบี้ยเลี้ยง ที่พัก ล่วงเวลา คณะกรรมการตรวจรับทุกที


ส่วนที่ชี้แจงเป็นตัวเลขเป็นเปอร์เซ็นต์การตรวจรับคิดเป็นร้อยละเท่านี้เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องี้เลย เพราะว่าได้จ่ายเงินให้กับผู้จ้างปลูกป่า 97,000 ไร่ ถือว่าเป็นความผิดที่สำเร็จแล้ว นี่คือการคอร์รัปชันครับท่านผู้ช่วยผู้ว่าฯ พนักงาน กฟผ. ครับ นี่คือการคอร์รัปชันของผู้หลักผู้ใหญ่ในองค์กรคุณ อาจจะร่วมมือกับกรมป่าไม้ด้วย ใครจะไปรู้

ที่เป็นประเด็นเมื่อไปตรวจ 3 ครั้ง ไม่ผ่าน คือเมื่อตรวจรับปลูกป่าผ่านทั้งหมด 97,000 ไร่แล้ว ทุกแปลงปลูกป่าในปี 2565 (1) ต้องมีชนิดพันธุ์ไม่น้อยกว่า 5 ชนิด (2) ต้องมีต้นไม้รวมไม่ต่ำกว่า 200 ต้นต่อไร่ (3) ต้องขึ้นกระจายและเติบโตแข็งแรงแล้ว ท่านผู้ชมดูรูปสิ อย่าว่าแต่มี 200 ต้นต่อไร่ กระจายเจริญเติบโตแล้ว มันเป็นขยะ เป็นที่ว่าง แต่คณะกรรมการชุดที่ไปตรวจไม่ผ่าน 3 ครั้ง เพราะไม่มีการปลูกต้นไม้จริงในปี 2565 ไม่ใช่เรื่องของการปลูกใหม่ในปี 2566 เกิดดรามาลงโซเชียลผ่านเฟซบุ๊ก คนทำงานก็น้อยอกน้อยใจ

เวลาตรวจป่าจะมีคน 3 ฝ่าย กฟผ. ป่าไม้ และผู้รับจ้าง นี่แสดงว่าป่าไม้ร่วมมือด้วยใช่ไหม ส่วนเงินของป่าไม้ที่เตะเข้าปากหมาที่ไหน จะเป็นหมาตัวใหญ่ระดับผู้หลักผู้ใหญ่ในกรมป่าไม้หรือเปล่า ผมไม่รู้ แล้วบอกว่าการตรวจรับงานเป็นการสุ่มตรวจ 1% ของพื้นที่ ท่านผู้ชมดูนะครับภาพปลูกป่าทิพย์อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น


เรื่องการตรวจ 1% ของพื้นที่ ก็ไม่มีระบุใน MOU / TOR คุณไปมั่วสุ่มตัวเลขนี้มาจากไหน คิดเลขง่ายๆ แบบเด็ก ป.1 เขียนว่า 1% ของ 97,000 ไร่ คือ 970 ไร่ สุ่มตรวจเท่านี้ แต่จ่ายเงินมหาศาล คิดแบบนี้ได้หรือ เพราะฉะนั้นแล้ว การตรวจรับงานนี้จึงขาดความเป็นเหตุเป็นผลอย่างสิ้นเชิง

นอกจากนี้แล้ว ด้วยวิธีปฏิบัติของการรับพัสดุ ต้องตรวจตามกายภาพก่อนว่ามีจำนวนครบตามที่กำหนดไว้หรือไม่ เมื่อครบตามจำนวน ค่อยมาตรวจสอบคุณภาพว่าตรงตามคุณสมบัติและข้อกำหนดตาม TOR หรือไม่ อย่างไร แถมยังสุ่มตรวจอัตราการรอดตายของต้นไม้ ต้องไม่น้อยกว่า 85% ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันทั้งสามฝ่าย นี่ยิ่งมีความผิดมากขึ้นอีก ท่านผู้ชม นี่เป็นการคอร์รัปชันชั้นมโหฬารเลยนะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เพราะเท่ากับมีการสมรู้ร่วมคิดกันทุจริต เอาเงิน กฟผ. ไปโดยมิชอบ เป็นจำนวนเงินหลายร้อยล้านบาท เพราะอะไร ? เพราะจ่ายค่าจ้างปลูกเต็มจำนวนแปลง ตามการตรวจรับของกรรมการทั้ง 3 คน ที่ลงนามรับรองแล้ว สามคนนี้วันหลังผมจะหาชื่อมา แต่ไม่มีต้นไม้จริง ไม่ได้เป็นการปลูกป่าตามเงื่อนไข ตามข้อกำหนดการปลูกป่าปี 2565 ก็เลยเป็นที่มาของทุจริตงบ CSR กฟผ. ปลูกป่าทิพย์

สำหรับหนังสือทวงถามจากผู้รับจ้างที่เป็นประชาชนในพื้นที่นั้น ก็ไม่มีจริง เป็นการให้ข้อมูลเท็จ สร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อโยนความผิดให้คณะกรรมการตรวจรับว่าทำงานล่าช้า ทั้งๆ ที่คณะกรรมการตรวจรับเองยังไม่เคยเห็นหรือได้รับรู้หนังสือทวงถามจากผู้รับจ้างเลย คณะกรรมการฯ ได้ถามไปยังผู้รับจ้างแล้ว ได้ยืนยันว่าไม่มีการทำหนังสือเข้ามาแต่อย่างใด แล้วทำไมต้องทำหนังสือ ก็คุยกันเข้าใจ รู้เรื่องแล้ว จึงไม่รู้ว่าผู้บร้ิหารสร้างเรื่องนี้เท็จเพื่อให้ดูดีมีเหตุผลในการชี้แจงหรือไม่


ประเด็นที่สอง คณะกรรมการตรวจรับชุดเก่าถูกสั่งย้ายมาอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานปลูกป่า ท่านผู้ชมครับ ชุดแรกที่ตรวจแล้วเขาไม่ยอมรับ ก็ย้ายไปซะ เหตุผลที่แท้จริงในการย้ายครั้งนี้ไม่ใช่เพราะสับเปลี่ยนหมุนเวียนภายในกอง ซึ่งเป็นข้ออ้างของผู้ใหญ่ แต่ต้องการกีดกันไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานโครงการปลูกป่า และไม่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลงานปลูกป่าในภาพรวมแต่อย่างใด แม้ยังมีชื่อเป็นกรรมการตรวจรับในส่วนสัญญาจ้างปลุกป่าเช่นเดิม แต่ไม่ได้รับมอบหมายให้ทำงานใดๆ เลยนับตั้งแต่มีคำสั่งสับเปลี่ยนหมุนเวียน เพราะนายใหญ่สั่งมาว่า ไม่ต้องให้มันเข้ามายุ่งเกี่ยว และไม่ต้องให้ใครเข้ามายุ่งด้วย

1 ใน 3 กรรมการมีเพียงคนเดียวที่ถูกสับเปลี่ยน อีก 2 คน ยังอยู่ในตำแหน่งเดิม พอถามถึงเหตุผลจากผู้บังคับบัญชา ก็ให้เหตุผลว่าเพื่อความสะดวกในการทำงานโครงการ และเพื่อสร้างบรรยากาศในการทำงาน ฟังแล้วดูดี มีธรรมาภิบาลจริงๆ

ประเด็นที่สาม ในปี 2565 มีพื้นที่ปลูกป่าที่ต้องตรวจรับประมาณ 97,000 ไร่ แต่มีคณะกรรมการตรวจรับ 2 คน ทั้งประเทศ สมเหตุสมผลหรือเปล่า

จากข้อชี้แจง มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับ ทั้งในสัญญาจ้างปลูกป่า บำรุงรักษาป่า จำนวน 3 คน ซึ่งต้องเป็นพนักงาน กฟผ. ถึง 3 คน และไม่สามารถแต่งตั้งลูกจ้างเป็นกรรมการตรวจรับได้ตามมาตรฐานการจ้างงานภาครัฐทั่วไป นี่เป็นคำตอบที่ชัดเจน

ข้อเท็จจริงในการปฏิบัติ กรรมการตรวจรับซึ่งเป็นพนักงาน กฟผ. อีก 2 คน ไม่ได้ไปตรวจรับงานด้วยเลย แต่ต้องลงชื่อตรวจรับทิพย์ โดยบังคับขู่เข็ญจากผู้บังคับบัญชา หอบเอาไปให้เซ็นตรวจรับ ทั้งที่ทำงานและไปถึงบ้านพักด้วย อย่างนี้ถือว่าเป็นการผิดไปนากแนวทางปฏิบัติงานตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ด้วยหรือเปล่า


ประเด็นที่สี่ โครงการปลูกป่าล้านไร่ของ กฟผ. มีการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับภารกิจนี้ ทำให้ผู้ดูแลรับผิดชอบโครงการนี้เจริญเติบโตกันทั่วหน้า ตั้งแต่ระดับหัวหน้ากอง ไปจนถึงระดับสูง โครงการนี้หากบริหารจัดการด้วยหลักธรรมาภิบาล มีคุณธรรม มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ จะส่งผลดีต่อสังคม ประเทศชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาร ดังนั้นผู้ที่บ้ริหาร กฟผ. เขียนหนังสือชี้แจงมา พร้อมจะรับการตรวจสอบจากหน่วยงานทั้งภายใน-ภายนอก ผมก็หวังว่าขอให้ท่านทำจริงอย่างที่พูด อย่าทำแต่เพียงผักชีโรยหน้าและปลูกไร่สตรอว์เบอร์รีไปวันๆ

ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้เป็นการชำแหละโครงการปลูกป่าทิพย์ 5 พันล้านบาท ผู้บริหาร กฟผ. ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ครับ อย่าลืมนะครับว่า "กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา" "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ถ้ามีคนไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เตรียมชี้แจงให้ดีก็แล้วกัน ถึงวันนั้นก็ตัวใครตัวมัน ผมก็อยากจะฝากถึงท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งดูแล กฟผ. อยู่ คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ท่านมีชื่อในเรื่องของการไม่ยอมให้มีการทุจริตอย่างเด็ดขาด เรื่อง กฟผ. นั้น ไม่ทราบว่าท่านได้เห็น ได้รับทราบหรือยัง และท่านได้ดำเนินการอะไรไปบ้างตามที่ท่านได้สัญญาเอาไว้ตลอดเวลา เป็นสัญญาประชาคมว่า คนอย่างท่านไม่ยอมรับการทุจริตในหน่วยงานใดๆ ที่ท่านดูแลอยู่อย่างแน่นอนที่สุด

ท่านพีระพันธุ์ ครับ ท่านอย่าพูดแต่ปาก ท่านกระทำ มีแอกชันให้ดู เป็นตัวอย่างให้เห็นได้ชัดหน่อยได้ไหมครับท่านรัฐมนตรีครับ

ครบ 2 ปี สงครามยูเครน

ท่านผู้ชมครับ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มันครบรอบ 2 ปี สงครามยูเครน-รัสเซีย ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ปีที่สามแล้ว

ประธานาธิบดีตัวตลกของยูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี เรียกร้องให้พันธมิตรชาติตะวันตกส่งอาวุธให้อย่างไม่หยุดหย่อน มิหนำซ้ำยังคุยโวว่ายูเครนจะต่อสู้จนกระทั่งถึงคนสุดท้ายชนะ แต่วันนี้ ทุกคนในยุโรปและในโลกนี้ไม่มีใครเชื่อแล้วว่ายูเครนจะชนะได้


วันเสาร์ที่ผ่านมา 24 กุมภาพันธ์ ผู้นำชาติตะวันตกเดินทางไปเยือนกรุงเคียฟ ในโอกาสครบรอบ 2 ปี มีนายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา จอร์จา เมโลนี นายกรัฐมนตรีอิตาลี นางอัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป นายอาเล็กซันเดอร์ เดอ โกร นายกรัฐมนตรีเบลเยียม ผู้นำชาติตะวันตกไปให้กำลังใจนายเซเลนสกี ให้สู้ต่อไป ยังมีข้อตกลงเซ็นกัน ทวิภาคี ด้านความมั่นคงกับประเทศ G7 ทั้งอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส มีเพียงสหรัฐฯ และญี่ปุ่นเท่านั้นที่ยังไม่ได้ทำ


ข้อตกลงทวิภาคีความมั่นคง มีเนื้อหาที่ระบุว่า ชาติตะวันตกจะสนับสนุนยูเครนในการต่อต้านรัสเซีย ทั้งส่งมอบอาวุธ ฝึกอบรมทางทหาร แลกเปลี่ยนข่าวกรอง รวมทั้งใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย อายัดทรัพย์สินรัสเซีย ข้อตกลงส่วนใหญ่จะมีอายุ 10 ปี มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ส่วนหนึ่งจะเป็นเงินให้เปล่า อีกส่วนหนึ่งเป็นเงินกู้ให้กับยูเครน นี่แสดงว่าชาติตะวันตกทั้งหลายที่ให้ความช่วยเหลือยูเครนนั้น ไม่ได้ใจดีให้ฟรีๆ แต่ล้วนคาดหวังผลตอบแทนบางอย่าง ทั้งการขายอาวุธ หรือการมีส่วนร่วมในโครงการบูรณะฟื้นฟูยูเครน อาจจะหวังผลถึงการยึดทรัพย์สินของรัสเซียด้วย


ท่านผู้ชมครับ ปรากฏว่ามีผลสำรวจจากสภายุโรปด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พบว่ามีประชาชนในยุโรปเพียง 10% เท่านั้นที่คิดว่ายูเครนชนะสงครามได้ ต่างกว่าปีที่แล้วที่มีประชาชนชาวยุโรปครึ่งหนึ่งที่คิดว่าชนะได้ การสำรวจที่ออกมาในแง่ลบนี้ เป็นเพราะสถานการณ์ทางการเมืองในอเมริกา ซึ่งงบประมาณในการให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่ยูเครนต้องเจออุปสรรค ถูกขัดขวางโดยสภาคองเกรส รวมทั้งอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มจะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งปี 2567 และเขามีเจตนารมณ์ชัดเจนจะยกเลิกการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน


นายเซเลนสกี นอกจากเล่นตลกเก่งแล้ว ยังเป็นคนช่างฝัน เรียกร้องให้ประชาคมนานาชาติร่วมมือกดดันรัสเซียหนักขึ้น บอกว่าหนทางเดียวที่จะเกิดสันติภาพคือ นายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย จะต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ประเทศตัวเอง ทหารเสียชีวิตไปแล้วเกือบ 5 แสนคน พิสูจน์ได้ แล้วเงินทองก็ต้องพึ่งพาอาศัย ทำตัวเองเป็นขอทานเที่ยวไปขอคนโน้นคนนี้ ซึ่งถ้าชาวตะวันตกและยูเครนไม่หลอกตัวเอง รู้ว่าการที่ผู้นำยูเครนตั้งเป้าว่ารัสเซียต้องแพ้ คืออุปสรรคสำคัญในการสร้างสันติภาพ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ยูเครนเสียพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการเสียเมือง Avdiivka ซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญ


นอกจากนี้แล้ว ยูเครนยังเป็นรองรัสเซียด้านอาวุธ กำลังพล กระสุนปืนใหญ่มีน้อยกว่ารัสเซีย 1 ต่อ 10 ทหารมีน้อยกว่ารัสเซีย 1 ต่อ 5 ที่สำคัญที่สุดคือ ชาติตะวันตกไม่กล้าส่งขีปนาวุธระยะไกล เครื่องบินรบที่ทันสมัยให้ยูเครน เพราะกลัวว่ายูเครนจะเอาไปยิงใส่รัสเซีย แล้วจะกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3

จากข้อมูลความช่วยเหลือที่ชาติตะวันตกสัญญาให้ยูเครน พบว่าสหภาพยุโรปจะจ่ายมากที่สุด คือ 92,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 3.3 ล้านล้านบาท ตามด้วยสหรัฐฯ ราว 73,000 ล้านดอลลาร์ แต่ถ้าดูการสนับสนุนทางการทหารและยุทโธปกรณ์ คือไม่รวมด้านการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและการเงิน สหรัฐฯ จะเป็นรายใหญ่ที่สุด สนับสนุนอาวุธให้ยูเครนมากถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์


ด้วยเหตุนี้ ท่านผู้ชมเชื่อไหมว่านายดมิโทร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศของยูเครน ถึงบอกว่า 90% ของการช่วยเหลือของสหรัฐฯ ให้กับยูเครน จะเป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ เอง อันหมายถึงบรรดานักธุรกิจอุตสาหกรรมการทหารในสหรัฐฯ ที่ผมเคยเปิดเผยไปแล้วว่าร่ำรวยขึ้นอย่างมากจากสงครามยูเครน

นอกจากนี้แล้ว ความเพี้ยนของนายเซเลนสกี ก็ยังถ่ายทอดลงไปต่อเนื่องถึง สส. ยูเครน มี สส. ยูเครนคนหนึ่งห้าว ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่ามันบ้าถึงกับท้ารบกับอิหร่าน เกาหลีเหนือ และจีน เป็นเรื่องตลกขบขับที่สุดในสภาพยูเครนเอาตัวแทบไม่รอด แต่ สส. ยูเครนรายหนึ่งที่หิวแสง พูดจาหาเรื่องใส่ตัว หาเหาใส่หัว ว่ายูเครนพร้อมช่วยสหรัฐฯ รบกับอิหร่าน เกาหลีเหนือ รวมทั้งจีนด้วย


ไอ้หมอนี่ชื่อ อเล็กซีย์ กรอนชาเรนโก ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า ยูเครนพร้อมจะช่วยเหลือสหรัฐฯ ในการรบกับประเทศต่างๆ เหล่านี้ ทั้งหมดนี้ที่พูด ไม่ใช่อะไรหรอก เรียกร้องไปยังสหรัฐฯ ให้ส่งมอบความช่วยเหลือด้านการทหารเพิ่มเติมกับยูเครน ท่ามกลางปัญหาภาวะชะงักงันของสภาคองเกรส เป็นเหมือนกับการทวงสัญญาที่อเมริกาบอกจะยืนหยัดข้างยูเครนนานเท่าที่จำเป็น

นายอเล็กซีย์ กรอนชาเรนโก ยังพูดจาเหน็บแนมนักการเมืองสหรัฐฯ ว่าให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 มากเกินไป สส. ยูเครนคนนี้สำคัญตัวผิด คิดว่ายูเครนเป็นพันธมิตรที่มีค่ายิ่งของสหรัฐฯ หลงเชื่อว่าอเมริกาต้องการคนที่ยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่ แต่พฤติกรรมของอเมริกาในอดีตได้พิสูจน์แล้วว่าอเมริกาทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ตัวเองเท่านั้น ไม่เคยเห็นค่าพันธมิตร และพร้อมจะเททิ้งได้ทันทีเมื่อเห็นว่าตัวเองไม่ได้ประโยชน์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการถอนทหารออกจากเวียดนาม อิรัก ซีเรีย หรืออัฟกานิสถาน และนี่คือสิ่งที่ประธานาธิบดีปูติน เคยเตือนแล้วว่า ยูเครนกำลังปกป้องผลประโยชน์ของประเทศอื่นๆ แทนผลประโยชน์ของตนเอง ชาติตะวันตกกำลังใช้ยูเครนเป็นไม้ทุบพังประตูและสมรภูมิทดสอบกับรัสเซีย

มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่เกิดขึ้นในสองปีที่ผ่านมา ทำให้รัสเซียกลายเป็นประเทศเดียวในโลกนี้ที่ถูกมาตรการคว่ำบาตรที่ดุเดือดที่สุด มากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก แต่กลับไม่สามารถจะทำอะไรรัสเซียได้ในเรื่องเศรษฐกิจ เพราะว่าเศรษฐกิจรัสเซียกลับดีวันดีคืน แม้กระทั่งกองทุน IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจรัสเซียจะโตถึง 2.6% ปรับเพิ่มจากที่เคยประเมินไว้เมื่อเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว ถึงสองเท่าตัว


คุณเยฟกินี โทมิคิน เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ซึ่งเข้ามาพบผมที่บ้านพระอาทิตย์เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา บอกกับผมเลยว่า ช่วงที่ลำบากยากที่สุดของรัสเซียได้ผ่านไปแล้ว ขณะนี้ชีวิตประจำวันทุกอย่างในรัสเซียเป็นปกติดี รัสเซียได้สร้างห่วงโซ่อุปทานของตัวเองขึ้นมาแทนที่สิ่งที่ถูกคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก ในทางตรงกันข้าม สหรัฐฯ และยุโรปต่างหากที่เป็นผู้สูญเสียอำนาจผูกขาดที่เคยมีจากเงินดอลลาร์ ระบบการเงิน SWIFT รวมทั้งธุรกิจต่างๆ ที่เคยมีในรัสเซีย และทรัพยากรอย่างน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติราคาถูกที่ชาติตะวันตกเคยซื้อจากรัสเซีย

ท่านทูตรัสเซียท่านบอกว่า สหรัฐฯ กำลังฆ่าตัวตาย ฆ่าสหภาพยุโรปด้วย เพราะยุโรปเคยหวังจะเป็นขั้วอำนาจที่สาม แต่วันนี้อ่อนแอมากและแตกแยก ล่าสุด นายแอมานุแอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส หิวแสงจัด เสนอว่าอียูน่าที่จะต้องส่งทหารราบเข้าไปช่วยยูเครนเข้าไปรบกับรัสเซียโดยตรง ปรากฏว่าพอนายมาครง พุดจบ คนที่ฟังเงียบสนิทแล้วก็เดินหนีหมดเลย เพราะว่าทุกคนต่างปฏิเสธหมด ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนี โปแลนด์ บอกว่าไม่เอาด้วย


ตอนนี้เกษตรกรในหลายประเทศยุโรป โปแลนด์ เบลเยียม ฝรั่งเศส สาธารณรัฐเชก ออกมาประท้วงสินค้าเกษตรจากยูเครนที่หลั่งไหลเข้ามาขายในยุโรปจนเกษตรกรชาวยุโรปสู้ไม่ไหว เพราะยุโรปได้ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรเพื่อช่วยยูเครน แต่อียูกลับมาตั้งเงื่อนไขมากมายกับเกษตรกรของตัวเอง

ผมจะขึ้นภาพเกษตรกรที่ประท้วงในยุโรป เช่น โปแลนด์ ออกมาต่อต้านการนำเข้าสินค้าเกษตรยูเครนในสัปดาห์ที่แล้ว

นอกจากมาตรการคว่ำบาตรแล้ว อเมริกาและชาติยุโรปยังมีความพยายามจะอายัดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซีย โดยระบุว่ารัสเซียมีทรัพย์สินมากกว่า 280,000 ล้านดอลลาร์ อยู่ในชาติสมาชิกกลุ่ม G7 สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย ซึ่งอเมริกา-ชาติตะวันตกขู่ว่าจะยึดทรัพย์สินรัสเซีย แต่จขณะนี้ทำได้แค่อายัดทรัพย์ไว้ เพราะรัสเซียบอกว่าถ้าชาติตะวันตกยึดทรัพย์สินของรัสเซีย รัสเซียก็จะตอบโต้ด้วยการยึดทรัพย์สินของชาติตะวันตกที่อยู่ในรัสเซียเช่นเดียวกัน มูลค่าใกล้เคียงกัน 288,000 ล้านดอลลาร์


นายเซอร์เก อเลกชาเซนโก อดีตรองผู้ว่าการธนาคารกลางรัสเซีย ระบุ เขาไม่เชื่อว่าจะสามารถยึดทรัพย์รัสเซียได้โดยไม่มีคำสั่งศาล แล้วถ้ามีการยึดทรัพย์โดยใช้อำนาจฝ่ายบริหารรัฐบาลสหรัฐฯ หรือยุโรป แสดงว่ารัฐบาลตะวันตกไม่ยึดหลักนิติรัฐ ไม่ปกป้องทรัพย์สินเอกชน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของชาติทุนนิยมประชาธิปไตย


ท่านผู้ชมครับ นาย Djoomart Otorbaev อดีตนายกรัฐมนตรีคีร์กิซสถาน ให้ความเห็นกับสื่อว่า การยึดทรัพย์สินของรัสเซียจะยิ่งซ้ำเติมความขัดแย้งในยูเครน แนวทางที่ดีกว่าคือใช้ทรัพย์สินที่ยึดไว้เป็นเครื่องมือต่อรองในการเจรจาสันติภาพ โดยอาจจะทยอยคืนทรัพย์สินที่อายัดไว้ตามความคืบหน้าของกระบวนการสันติภาพ แนวทางนี้จะเพิ่มโอกาสการประนีประนอมและยุติความขัดแย้ง แต่ถ้าชาติตะวันตกยึดทรัพย์สินรัสเซีย รัสเซียก็ยึดครองดินแดนยูเครนได้มากขึ้นเพื่อเป็นการตอบโต้ และจะเรียกร้องค่าชดเชยความเสียหายทางเศรษฐกิจมากขึ้นในการเจรจา ยิ่งจะทำให้ทางชาติตะวันตกเจอกับความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากขึ้น การบรรลุการเจรจาสันติภาพก็จะยากขึ้น

ในประวัติศาสตร์มีหลายกรณีที่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ เช่นในปี 2350 สหรัฐฯ ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อฝรั่งเศส และอังกฤษ โดยอ้างว่าเพื่อตอบโต้การขยายแสนยานุภาพทางทะเลของสองชาติ จนกระทั่งนำไปสู่สงครามในปี 2355 ประมาณเกือบสองร้อยปีที่แล้ว

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ อดีตประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ของสหรัฐฯ อายัดทุนสำรองระหว่างประเทศของญี่ปุ่น และใช้มาตรการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันและก๊าซ เป็นผลทำให้ญี่ปุ่นตัดสินใจโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ ทำให้สหรัฐฯ ต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเต็มตัว

ท่านผู้ชมครับ ชาติตะวันตกชอบอ้างว่าต้องเคารพกฎระเบียบระหว่างประเทศ แต่ว่าการอายัดทรัพย์สินคนอื่นเป็นพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามกับหลักการที่อ้างกัน หรือหลักการที่ชาติตะวันตกอ้างนั้นใช้เฉพาะกับคนอื่น แต่ไม่ใช้กับตัวเอง


สรุป สองปีแล้ว สื่อมวลชนทั้งหลายรายงานเรื่อง "2 ปีสงครามยูเครน" ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วสงครามยูเครนไม่ได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 เหมือนกับที่ประธานาธิบดีปูติน บอกว่า บรรดาชาติตะวันตกไม่ต้องการสูญเสียสถานะมหาอำนาจบงการโลกของตัวเอง จึงขยายวงอำนาจขัดขวางการเจริญเติบโตของรัสเซีย นาโตขยายตัวถึง 5 ครั้ง ทั้งๆ ที่เคยมีสัญญาระหว่างนายมิคาอิล กอร์บาชอฟ และ นายเจมส์ เบเกอร์ ที่กรุงมอสโก เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2533 หรือเมื่อ 34 ปีที่แล้ว โดยบอกว่านาโตจะไม่ขยายตัวไปทางตะวันออกแม้แต่นิ้วเดียว แต่ล่าสุด สวีเดนกลับกลายเป็นชาติล่าสุดชาติที่ 32 เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกนาโตเรียบร้อยแล้ว


นอกจากนี้ ยูเครนซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตเก่า ก็ทำทุกอย่างเพื่อลบล้างความเป็นรัสเซีย เชิดชูวีรบุรุษที่ต่อต้านรัสเซีย ทำลายรูปปั้นเลนิน ยกเลิกการเรียนภาษารัสเซีย นำหนังสือภาษารัสเซียออกจากห้องสมุดยูเครน เหมือนกับที่ชาติตะวันตกเคยยุยงคนฮ่องกงว่าเขาไม่ใช่คนจีน

ทุกวันนี้การคว่ำบาตรต่างๆ ด้วยวิธีการต่างๆ เหล่านี้แทบจะไม่ได้ผลแล้ว รัสเซีย รวมถึงจีน และชาติอื่นๆ ปฏิเสธจะยอมสิโรราบตามกฎที่ชาติตะวันตกกำหนดขึ้น ชาติเหล่านี้ที่ผมเอ่ยชื่อไป พยายามจะสร้างเทคโนโลยีของตัวเอง พึ่งพาตัวเอง และรวมกลุ่มกับประเทศที่มีแนวทางที่สอดคล้องกับตัวเอง เช่น BRICS นี่คือบทสรุปของ "2 ปี สงครามยูเครน" ครับ

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้ก็สิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ เหมือนเดิมครับ อาทิตย์หน้า วันศุกร์เราเจอกันใหม่ และผมรับประกันได้ว่าจะมีแต่เรื่องสนุกสนาน น่าสนใจมาก เพราะว่ามาที่นี่ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เป็นที่ๆ ความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น