ปิดฉากมหากาพย์ 11 ปี เชคสเปียร์(ไม่)ต้องตาย “กองเซ็นเซอร์” ตายแทน
เป็นเวลากว่า 11 ปีเต็ม การต่อสู้ของ เชคสเปียร์ต้องตาย (Shakespeare Must Die) ภาพยนตร์ไทยอินดี้นอกกระแส ที่ถูกคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ หรือที่คุ้นหูกันว่า “กองเซ็นเซอร์”ให้เรท "ห" หรือ ห้ามเผยแพร่ในประเทศไทย
ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่มีโอกาสได้เข้าฉายตามกำหนดเดิม เม.ย.2555 มาจนถึงปัจจุบัน และกลายเป็นคดีฟ้องร้องที่ต่อสู้มาอย่างยาวนาน
โดยเป็นคดีที่ฝ่ายผู้สร้างภาพยนตร์ ฟ้องต่อ ศาลปกครอง เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งห้ามฉายภาพยนตร์ และให้ คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ชดใช้ค่าเสียโอกาส และค่าเสียหายทั้งหมด
ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ก.พ.67 ศาลปกครองสูงสุด ได้พิพากษาให้ผู้สร้างหนัง ชนะคดีละเมิด ยกคำสั่งแบน รวมทั้งให้ กองเซ็นเซอร์ ชดใช้ค่าเสียหาย
ศาลสั่งให้ กองเซนเซอร์ ชดใช้ค่าเสียหายส่วนละเมิดเป็นเงินจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย เท่านั้น จากค่าเสียหายไปเรียกร้องไปทั้งสิ้น 7,530,388.55 บาท ซึ่งเป็นเงินทุนที่ใช้ในการสร้างภาพยนตร์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีก็ตาม แต่ก็ถือเป็นการเปิดไฟเขียวให้หนังเรื่องนี้สามารถเข้าฉายได้
หลังรับฟังคำพิพากษา มานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ได้โพสต์ประกาศชัยชนะทันที พร้อมระบุด้วยว่า จะแจ้งโปรแกรมเข้าฉายในโรงภาพยนตร์อีกครั้ง
ทั้งนี้ หนังเรื่องเชคสเปียร์ต้องตาย เป็นหนังที่ได้รับการสนับสนุนทุนสร้างจำนวน 3 ล้านบาท จากกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้โครงการไทยเข้มแข็ง เมื่อปี 2553 (รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)
โดยเนื้อหาดัดแปลงจากบทละครโศกนาฏกรรมแม็คเบ็ธ ของวิลเลียม เชกสเปียร์ ให้เข้ากับบริบทสังคมไทย รวมถึงเสียดสีการเมืองไทย มีการอ้างอิงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และสถานการร์ชุมนุมทางการเมืองช่วงปี 2552-53 ด้วย
เป็นเหตุให้ คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ หรือกองเซนเซอร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัด กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม จัดเรทห้ามเผยแพร่ในประเทศไทย ช่วงปี 2555 ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเหตุผลว่า มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ
กลายเป็นตลกร้ายที่หนังเรื่องนี้ได้ทุนจากภาครัฐ แต่ก็ถูกภาครัฐสั่งแบน และทั้ง 2 หน่วยงานก็อยู่ในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม จนเป็น “หนังต้องห้าม” นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ผลลัพธ์ของคดีจึงทำให้เกิดปรากฎการณ์ “ทัวร์ลง” คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ทันที ด้วยเดิมที “กองเซนเซอร์” ก็มักถูกตั้งคำถามถึงการทำหน้าที่มาโดยตลอดอยู่แล้ว
เป็น กองเซนเซอร์ ที่แม้จะมีระเบียบหรือประกาศกำหนดกรอบการพิจารณาภาพยนตร์หรือวีดิทัศน์ต่างๆที่จะเผยแพร่ แต่ที่สุดก็เป็น “ดุลยพินิจ” ของกรรมการที่มีหลายคณะ แต่ละคณะจะมีประธานและกรรมการรวม 7 คนเท่านั้น หลายๆ ครั้งการเซนเซอร์ภาพยนตร์มักค้านสายตาสังคม จนถูกถล่มว่าเป็นตัวฉุดพัฒนาการวงการจอเงินไทย
เชื่อว่า คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด จะเป็นการเปิดประตูสิทธิและเสรีภาพของผู้สร้างหนังไทยให้กว้างมากขึ้น สวนทางกับการทำหน้าที่ของ กองเซนเซอร์ ที่ย่อมมีคำถามตามมาว่า ระบบเซนเซอร์ยังจำเป็นอยู่อีกหรือไม่
โดยก่อนหน้านี้ก็มีแนวทางออกมาจาก คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่กำหนดการศึกษาและแก้ไขกฎกระทรวงและประกาศที่ออกตามความในพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.ศ. 2551 โดยมีประเด็นเกี่ยวกับการแก้ไขกฎกระทรวงในส่วนของภาพยนตร์ที่ห้ามฉายในประเทศไทยเหลือเพียงข้อกำหนดเดียว คือ เนื้อหาที่กระทบกระเทือนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ขณะที่ประเด็นอื่น ๆ เรื่องศาสนา, ความมั่นคง รวมถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ จะถูกจัดอยู่ในเรทผู้ชมที่เหมาะสมแทนการห้ามฉาย คาดการณ์ว่า การแก้ไขจะเสร็จสิ้นในช่วงกลางปี 2567 นี้.