xs
xsm
sm
md
lg

“โจ๊ก888” จะ “หมู่” หรือ “จ่า” คำตอบสุดท้ายอยู่ที่ “ป.ป.ช.”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:




ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -
หลังตกเป็นข่าวครึกโครมเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมากับกรณีที่ตำรวจบุก “บ้านบิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2566 เพื่อตรวจค้นหลังพบมีเส้นทางการเงินเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ “เครือข่ายเว็บมินนี่” แต่ในที่สุดเรื่องก็ทำท่าจะเงียบหายไปหลัง “บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ขึ้นเป็น “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” จนเกิดข้อครหานินทาไปทั้งบ้านทั้งเมืองว่า “เกิดอะไรขึ้น”
สิ่งที่สังคมไม่เข้าใจก็เพราะในจำนวนผู้ต้องหาที่ถูกออก “หมายจับ” มี “ตำรวจ” ที่เป็น “ลูกน้อง” ของ “บิ๊กโจ๊ก” ถึง 8 คน ทว่า กลับไม่สามารถเชื่อมโยงหรือขยายผลให้มากไปกว่านี้ เพราะไม่มีใครเชื่อว่า ทั้ง 8 คนจะทำได้ตามลำพัง หากแต่ต้องมี “นายใหญ่” ยืนทะมึนสั่งการอยู่เบื้องหลัง

ลูกน้องของ “บิ๊กโจ๊ก” ทั้ง 8 คนประกอบด้วย พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ พ.ต.อ.อาริศ คูประสิทธิ์รัตน์ พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว และส.ต.อ.อภิสิทธิ์ คนยงค์

โดยเฉพาะนายตำรวจที่ถือเป็นลูกน้องคนสนิทคือ พ.ต.อ.ภาคภูมิ ที่นอกจากจะปรากฏภาพถ่ายยืนยันถึงความใกล้ชิดกับ “น.ส.สุชานันท์ หรือ ธนัยนันท์ สุจริตชินศรี” หรือ “มินนี่” ฉายา เจ้าแม่เว็บพนัน ผู้ต้องหารายสำคัญเท่านั้น หากยังมีข้อมูลด้วยว่า พ.ต.อ.ภาคภูมิ ส่งเลขที่บัญชีม้าให้ “มินนี่” ผ่านการแชท

อย่างไรก็ตาม คดีเครือข่ายเว็บพนันมินนี่กลับมาเป็นที่สนใจของสังคมอีกครั้งเมื่อปรากฏเรื่องใหญ่เรื่องโต 2 ข่าว

“ข่าวแรก” เป็นผลมาจากการที่ “นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และนายสุริยน ประภาสะวัต อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1” ทำหนังสือถึง “นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์” อัยการสูงสุด และ “พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ว่าถูก “พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย กับพวก” ที่เป็นผู้ต้องหาในคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ซึ่งร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสวนสอบสวน แต่กลับแนบเอกสารภาพถ่ายในลักษณะคุกคามข่มขู่ และขอหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสอบสวนคดีดังกล่าวไว้ชั่วคราว

จากนั้นอัยการสูงสุดได้มีหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยระบุชัดเจนว่า จากการตรวจสอบของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน มีหลักฐานเพียงพอเชื่อได้ว่า การกระทำของผู้ต้องหาทั้งแปดมีลักษณะเป็นการข่มขู่ ติดตามชีวิตส่วนตัว และอาจไม่ปลอดภัยต่อตนเองและครอบครัว พร้อมแจ้งให้มีมาตรการในการป้องกันคุ้มครองความปลอดภัยของบุคคลดังกล่าว และให้พิจารณาดำเนินมาตรการไม่ให้ผู้ต้องหา ผู้ร้องเรียนทั้งแปดคนที่ยังคงรับราชการเป็นตำรวจ มีพฤติการณ์กระทำในเชิงคุกคามข่มขู่พนักงานอัยการที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ และขัดขวางกระบวนการสืบสวนสอบสวน โดยหากพบการกระทำความผิดให้มีการดำเนินคดีและรายงานผลคดีให้อัยการสูงสุดทราบด้วย
กรณีนี้ถือเป็นเรื่อง “ร้ายแรง” ที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าจะมีผู้ต้องหาเหิมเกริมถึงขั้นข่มขู่อัยการชั้นผู้ใหญ่ในการทำคดี แถมยังเป็นถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายระดับ มีหน้าที่รักษากฎหมายของบ้านเมือง

ส่วน “ข่าวที่สอง” ซึ่งถือเป็น “จุดพีค” ก็คือการที่ “บิ๊กเต่า-พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว” รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคลี่คลายคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มาดูแลในคดีนี้ ออกมายอมรับในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 ว่า มีการตั้งข้อหา “บิ๊กโจ๊กและพวก” ว่า กระทำความผิดผิดตามมาตรา 157 และมาตรา 149 และหากทาง ป.ป.ช. พิจารณาส่งสำนวนกลับมาให้พนักงานสอบสวนทำก็จะมีการแจ้งข้อหาในความผิดฐานฟอกเงินเพิ่มเติม

 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขา ป.ป.ช.

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว
ประเด็นที่ต้องรับรู้เป็นลำดับแรกก็คือ คดีเครือข่ายเว็บพนันมินนี่แยกเป็น 2 สำนวนคดี คดีแรกมีผู้ต้องหา 61 คน มีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชน ซึ่งเป็นคดีหลัก มีพนักงานสอบสวนตำรวจเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนอีกคดีเป็นการสืบสวนขยายผลพบผู้ต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเพิ่มอีก 5 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีการร้องทุกข์กล่าวโทษ สำนวนอยู่ในความรับผิดชอบของ ป.ป.ช.

ประเด็นที่ต้องรับรู้ถัดมาก็คือ คดีที่สองซึ่ง “บิ๊กเต่า” ยอมรับว่ามีชื่อ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” รวมอยู่ด้วยนั้น อยู่ระหว่างการพิจารณาของทาง ป.ป.ช. ว่าจะส่งกลับมาให้ทางตำรวจดำเนินการต่อ หรือจะรับดำเนินการเอง แปลไทยเป็นไทยก็คือ ถ้า ป.ป.ช.ตัดสินใจดำเนินการเอง คดีก็หลุดไปจากมือของตำรวจ

ตรงนี้คือสิ่งที่สังคมกำลังเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ ป.ป.ช. เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยมีการเปิดเผยคลิปเสียงของ “บิ๊กตำรวจ” รายหนึ่งอวดเบ่งบารมี อ้างสนิทกรรมการ ป.ป.ช. ถึงขนาดกล่าวอ้างว่า คดีที่โดนร้องถ้าส่งไป ป.ป.ช.ก็โดนตีตกหมด

อย่างไรก็ดี ในเบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนตำรวจได้ทำหนังสือไปยัง ป.ป.ช. เพื่อขอรับสำนวนคดีดังกล่าวกลับมาดำเนินการเนื่องจากมองว่าเป็นคดีเกี่ยวพันต่อเนื่องกับคดีแรก

ทั้งนี้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยืนยันว่า การที่ตำรวจต้องการนำสำนวนคดีนี้กลับมาดำเนินการเองนั้นเนื่องจากคดีดังกล่าวได้มีการสืบสวนสอบสวนมาเป็นเวลานานแล้ว ตั้งแต่สมัยพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนก่อน อีกทั้งคดีหลักที่มีผู้ต้องหา 61 รายนั้น ยังมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท โดยตำรวจมีพยานหลักฐานว่า เงินจากบัญชีม้าของเว็บไซต์พนันออนไลน์มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงไปถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ อีกทั้งเงินจากบัญชีม้าดังกล่าวยังเชื่อมโยงไปถึงญาติพี่น้องของผู้ต้องหาที่เป็นตำรวจที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าซื้อบ้าน ซื้อรถ ค่าเทอม ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการขยายผล และเชื่อว่ายังมีเว็บไซต์พนันออนไลน์อื่นที่เกี่ยวข้องกับตำรวจคนนี้ด้วย และหากพบพยานหลักฐานก็จะถือว่าเป็นคดีใหม่ ซึ่งหากทาง ป.ป.ช.ได้มีมติว่าจะส่งสำนวนในคดีกลับมาให้ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการก็จะแจ้งข้อกล่าวหาฐานฟอกเงินเพิ่มเติมทันที ส่วนเรื่องระยะเวลาที่ ป.ป.ช.ใช้พิจารณานั้น ปกติแล้วใช้เวลาไม่นานก็จะมีผลการพิจารณาออกมาทันที

“ตำรวจและ ป.ป.ช.ได้ทำงานโดยเป็นอิสระต่อกัน ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งหรือเล่นนอกเกม แต่ต้องการให้เรื่องนี้จบโดยเร็วเพราะมีหลายฝ่ายนำเรื่องนี้มาโจมตีสำนักงานตำรวจแห่งชาติทำให้เกิดความเสียหาย” พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ตำรวจและ ป.ป.ช.ต้องการทำสำนวนนี้เพื่อประโยชน์ของฝ่ายตัวเองหรือไม่

ที่น่าสนใจคือก่อนหน้านี้แค่เพียงวันเดียว คือวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 “ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว” หนึ่งในแปดผู้ต้องหาคดีมินนี่ พร้อมด้วย “พล.ต.ต. ไพโรจน์ กุจิระพันธ์” นายกสมาคมพนักงานสอบสวน พร้อมด้วยทนายความ เดินทางไปที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ตรวจสอบนายตำรวจ ยศ พ.ต.อ. ที่ โทรศัพท์มากล่อมให้กลับคำให้การโดยมีการขอให้เอาผิดทั้ง ม. 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และ ม.200 เป็นพนักงานสอบสวน กระทำการ หรือ ไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ในตำแหน่ง เป็นการมิชอบ

งานนี้เห็นได้ชัดว่า “ไม่ธรรมดา”เพราะเป็นเกมที่ชิงไหวชิงพริบในทุกมิติเลยทีเดียว โดยเฉพาะจากฝั่งบิ๊กโจ๊กที่เปิดตัว “ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ” ออกมาปะทะ ก่อนที่ “ผู้การเต่า” จะออกมาเปิดข้อมูลเรื่องการแจ้งข้อหากับ “บิ๊กโจ๊กและพวก”

อย่างไรก็ดี ถ้าหากย้อนกลับไปที่ “คดีที่สอง” ที่ปรากฏชื่อ “บิ๊กโจ๊ก”ตกเป็นผู้ต้องหาตามข่าวรวมอยู่ด้วยนั้น มีอุปสรรคขวากหนามสำคัญอยู่ที่ “ป.ป.ช.” เพราะคิดวิเคราะห์แยกแยะอย่างไรก็ไม่เข้าใจ โดยผู้ต้องหา “ชุดแรก” ทาง ป.ป.ช. คืนให้ตำรวจรับไปทำคดี ไม่มีปัญหาใดๆ แต่พอผู้ต้องหา “ชุดที่สอง” ปรากฏชื่อบิ๊กโจ๊กรวมอยู่ด้วย ทาง ป.ป.ช. ที่รับเรื่องจากตำรวจไปตั้งแต่ปลายปี 2566 กลับดองเรื่องไว้ ไม่ยอมดำเนินการใดๆ

แถมล่าสุดบอกว่าจะเอาคดีบิ๊กโจ๊กมาดำเนินการเองอีกต่างหากดังที่ “นายนิวัติไชย เกษมมงคล” เลขา ป.ป.ช. อ้างว่าเพราะเป็นคดีที่นายตำรวจอย่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นถึงรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถูกกล่าวหา กลัวตำรวจจะกลั่นแกล้งกันเอง และเกรงว่าบิ๊กโจ๊กจะไม่ได้รับความเป็นธรรม

แน่นอน ฟังดูแล้วประหนึ่งมีจิตเจตนาที่ดี แต่ในห้วงยามที่ ป.ป.ช.เองก็มีคำถามจากสังคมอยู่ไม่น้อย เพราะเห็นๆ กันอยู่ว่า มีคนในป.ป.ช.สินทสนมกับ “บิ๊กโจ๊ก” เพียงใดดัง แม้วันนี้ “เจ๊ใหญ่” ไม่อยู่ แต่ “บิ๊ก ก. ไก่”คนโตตัวจริงได้ยื่นมือมาอุปถัมภ์ค้ำชูแทนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น จึงเกิดกระแสนินทาว่าจะเป็นรายการมวยล้มต้มคนดู หรือไม่ เพราะตามหลักการก็ควรส่งให้ตำรวจทำคดีเหมือนผู้ต้องหาก้อนแรก เพราะเป็นคดีเดียวกันคือ เจ้าพนักงานรับส่วยเว็บพนันออนไลน์มินนี่ และกระทำการฟอกเงิน

ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปดู “เรื่องร้องเรียน” ของ “บิ๊กโจ๊ก” ที่อยู่ในมือ ป.ป.ช.ก็พบว่า มีถึง 6 สำนวนด้วยกัน แบ่งเป็นเรื่องที่ตรวจรับแล้วจำนวน 3 เรื่อง โดยทั้ง 3 เรื่องล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงกับเครือข่ายเว็บพนันทั้งสิ้น ที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบเบื้องต้นและตรวจสอบในเชิงลึกโดยเกิดเหตุมาเป็นเวลาพอสมควร แต่ก็มิได้มีความคืบหน้าเท่าใดนัก เช่น กรณีโครงการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ (191) ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีการขยายเวลาของสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 สัญญาเพื่อการต่อขยายโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วนดี) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางประอิน-ปากเกร็ด เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน เป็นต้น

ขณะที่ในฝั่งของ “บิ๊กโจ๊ก”เองนั้น หลัง “บิ๊กต่าย-พล.ต.ต.จรูญเกียรติออกมาให้ข่าวว่ามีการตั้ง 2 ข้อหากับเขาและเตรียมแจ้งเพิ่มอีก 1 ข้อหาถ้า ป.ป.ช.ส่งสำนวนคดีมาให้ตำรวจทำ ก็ตั้งโต๊ะแถลงข่าวตอบโต้ในวันรุ่งขึ้นทันที โดยพยายามแจงต่อสาธารณชนว่า สาเหตุที่ทำให้ตนเองต้องไปพัวพันกับคดีทั้งๆ ที่ “ผมนี่แหละเป็นศัตรูตัวฉกาจของเว็บพนัน” เป็นผลมาจาก “ตำรวจทะเลาะกันเอง”

“การที่ตำรวจส่งสำนวนไปที่ ป.ป.ช.ตั้งแต่ปีที่แล้ว และทางป.ป.ช.ไม่ได้ส่งสำนวนกลับมา เพราะตนเชื่อว่า ป.ป.ช.กำลังคิดว่าตำรวจทะเลาะกันเอง ป.ป.ช.ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของตำรวจหรอก เพราะเขาเป็นหน่วยงานที่ผดุงความยุติธรรม ตรวจสอบการทุจริตโดยตรง ดังนั้น การไปพูดแบบนั้น มันเสียหาย วันนี้สรุปได้ว่า วันนี้ไม่มี การแจ้งข้อหาใดๆ กับผมทั้งสิ้น ไม่มีสักข้อหา ผมยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ 100% มีการแจ้งเฉพาะลูกน้องของผมเท่านั้น

“พนักงานสอบสวนต้องย้อนไปดูดีๆ เพราะเดี๋ยวจะติดคุกกันหมด ทั้งนี้ขอสอนให้ฟังว่า ท่านรู้หรือไม่ว่าสำนวนที่ท่านทำ ท่านมีอำนาจหรือไม่ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รอง ผบช.ก. ระบุว่า มีเงินหมุนเวียนกว่า 300 ล้านบาท แต่ในหลักกฎหมาย คดีมูลฐานความผิดฐานฟอกเงินที่มีมูลค่า 300 ล้านบาทขึ้นไป เป็นอำนาจของดีเอสไอ เป็นคดีพิเศษ ตำรวจไม่มีอำนาจสอบสวน เดี๋ยวจะติดคุกกันหมด วันนี้ท่านต้องส่งสำนวนไปดีเอสไอ ท่านถือไว้วันนี้ท่านก็ผิดตามหลักของกฎหมาย”บิ๊กโจ๊กกล่าวเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ตรงนี้ เห็นได้ชัดเจนว่า “บิ๊กโจ๊ก” ยึดเอา “ป.ป.ช.” เป็นเกราะกำบังตนเองอย่างตรงไปตรงมา ไม่เช่นนั้นคงไม่พยายามหยิบยกประเด็นเรื่อง “ตำรวจทะเลาะกันเอง” มาใช้เป็นเส้นเรื่องหลัก

ขณะที่ “บิ๊กเต่า” ก็สวนกลับอย่างไม่หวั่นเกรงถึงเหตุที่ไม่โอนเป็นคดีพิเศษว่า เป็นคนละเคสกัน เพราะเส้นเงินที่พบ 200-300 ล้านบาท มีหลายเว็บพนัน ส่วนเว็บพนันมินนี่พบเส้นเงิน 70 กว่าล้านบาท พร้อมยืนยันย้ำอีกครั้งว่า เหตุที่ต้องการดึงคดีกลับมา เพราะเป็นเรื่องเดียวกัน โดยระบุเหตุผลเพื่อประโยชน์ต่อรูปคดีและการสืบสวนต่อเนื่อง แต่ ป.ป.ช.จะพิจารณาส่งเรื่องกลับหรือไม่ก็เป็นสิทธิ ก้าวล่วงอำนาจไม่ได้

พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย ลูกน้องคนสนิทที่ถ่ายรูปอย่างใกล้ชิดกับ “น.ส.สุชานันท์ หรือ ธนัยนันท์ สุจริตชินศรี” หรือ “มินนี่” ฉายา เจ้าแม่เว็บพนัน ผู้ต้องหารายสำคัญ

ลูกน้องทั้ง 8 คนของบิ๊กโจ๊กที่ตกเป็นผู้ต้องหา
พร้อมยิ่งประโยคเด็ดที่ลือลั่นไปทั้งบ้านทั้งเมืองว่า “โปรดอย่าทำร้ายองค์กร ทรยศองค์กรเหมือนที่ท่านทรยศเจ้านายมาแล้วหลายคน”

อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวของ “บิ๊กโจ๊ก” ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเอาไว้ก็คือ ในวันที่ “สมเด็จฯ ฮุนเซน” มาเยี่ยมเยือน “ทักษิณ ชินวัตร” มีรายงานข่าวยืนยันตรงกันว่า “บิ๊กโจ๊ก” ไปปรากฏตัวที่นั่น

คงไม่ต้องสงสัยกระมังว่า “บิ๊กโจ๊ก” ไปทำไม เพราะคงไม่ใช่แค่หน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลงานด้านความมั่นคงประการเดียว ความเป็นไปได้มากที่สุดซึ่งสังคมน่าจะสันนิษฐานตรงกันก็คือ บ้านจันทร์ส่องหล้าคือที่พึ่งสุดท้ายของบิ๊กโจ๊ก เพราะได้กลายเป็นศูนย์กลางอำนาจของประเทศไทยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญคือ จะว่าไป “บิ๊กโจ๊ก” ก็มีสายสัมพันธ์อันดีกด้วย “ผู้เป็นพ่อ” คือ “ด.ต.ไสว หักพาล” เคยทำงานให้กับ “พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์” บิดาของ “คุณหญิงอ้อ-คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์”

และหากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้เมื่อคราวที่คุณหญิงพจมานควงลูกสาว แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกงานแสงนำใจไทยทั้งชาติ เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 9 เฉลิมพระเกียรติ ที่ท้องสนามหลวง เช้าวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2566 “บิ๊กโจ๊ก” ก็เข้าไปคุกเข่าไหว้ “คุณหญิงพจมาน” อย่างนอบน้อมให้เห็นมาแล้ว

แน่นอน การที่ “บิ๊กโจ๊ก” ถูกตั้ง 3 ข้อหาตามที่ “ผู้การเต่า” ว่าไว้นั้นถือเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเลยทีเดียว เพราะโทษทัณฑ์ที่จะได้รับหากมีคำพิพากษาว่ากระทำผิดจริงนั้นรุนแรง ดังนั้น จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงต้องสู้อย่างยิบตา

กล่าวคือ ความผิดตาม ม.157 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ขณะที่ความผิดตาม ม.149 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือประหารชีวิต”

มิพักต้องกล่าวถึงข้อหาฟอกเงินที่จะต้องมีการยึดทรัพย์สินให้ตกมาเป็นของแผ่นดิน ซึ่งนั่นเป็นข้อหาที่ผู้กระทำผิดทุกคนเกรงกลัว เว้นเสียแต่ว่าจะมีเตรียมการยักย้ายถ่ายเทเอาไว้ล่วงหน้า

ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า บทสรุปสุดท้ายของคดีเว็บพนันมินนี่ที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ “ป.ป.ช.” ว่าจะตัดสินใจอย่างไร และต้องรีบชี้แจงแถลงไขออกมาให้สังคมได้รับรู้ถึงเหตุผลให้กระจ่างแจ้ง ไม่เช่นนั้นแล้ว ข้อครหาทั้งหลายทั้งปวงก็จะตกอยู่กับองค์กรของตนเองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ขณะที่ตัว “บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” เอง ก็ต้องเลือกว่าจะ “หยัดตรงดั่งปลายทวน” เพื่อสร้างตำนานให้กับตัวเองก่อนลงจากเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือเลือกที่จะเป็น “ต่อเฟรนด์ลี่” ตามสมญานามที่ได้รับ ด้วยเจ้าตัวได้แย้มไต๋ออกมาแล้วว่า “ถ้าเป็นเรื่องทางคดีก็ให้ทาง ป.ป.ช. เป็นผู้ชี้ผิดไป....ทุกสิ่งทุกอย่างว่ากันไปตามพยานหลักฐาน จะปั้นแต่งอย่างไรก็สามารถพิสูจน์ได้ แต่ถ้า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ผิดจริง ก็ต้องยอมรับผิด แต่ถ้าไม่ผิด คณะพนักงานสอบสวนก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ว่าใช้หลักฐานเท็จในการแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดสามารถตรวจสอบได้ โดย ป.ป.ช.จะเป็นผู้ตรวจสอบชี้มูลความผิด”

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.


กำลังโหลดความคิดเห็น