xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK Ep.229 : ทิม ทะลุวัง - คำพิพากษา ครูอ้อยเข็มทิศหัก - กฟผ. ”ปลูกป่าทิพย์“ - “ปูติน-ทัคเกอร์“ บทสัมภาษณ์สะเทือนโลก! - “บิ๊กต่อ” เบรก “บิ๊กโจ๊ก”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 16 ก.พ.2567 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่

- "ทิม ทะลุวัง" ความเชื่อมโยง "พิธา - ตะวัน"
- คำพิพากษา ครูอ้อยเข็มทิศหัก ชี้ชัดใช้หลักศาสนามาค้ากำไร
- “บิ๊กต่อ” เบรก “บิ๊กโจ๊ก” ลุแก่อำนาจ
- กฟผ. ”ปลูกป่าทิพย์“
- "ไบเดน" สมองเสื่อม จุดอ่อนอเมริกา
- “ปูติน-ทัคเกอร์“ บทสัมภาษณ์สะเทือนโลก!

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.229



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 229 [16 ก.พ. 67]

ช่องทางติดตาม "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 สวัสดีครับท่านผู้ชมที่ดูรายการสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok ท่านผู้ชมที่เข้ามาชมแล้วอย่าลืมกดไลก์ กดแชร์ SUBSCRIBE ในช่องทาง Facebook, YouTube, TikTok และทุกๆ ช่องทาง ส่วนใครยังไม่มี Sondhi App อย่าลืมดาวน์โหลด เพราะว่าเราเปิดฟรี ดูได้ทั้งคลิป วิดีโอ และข่าวสารต่างๆ เนื้อหาในแอปฯ เราจะไม่ถูกปิดกั้น พูดได้ทุกเรื่อง ท่านผู้ชมใจเย็นๆ อีกไม่นานนะครับ เราจะพัฒนาให้เป็นโซเชียลมีเดียของเราเอง ไม่ต้องง้อแพลตฟอร์มต่างประเทศอีกต่อไป

นอกจากนี้แล้ว ท่านผู้ชมยังสามารถติดตามข่าวสารรวดเร็วทันใจ บทวิเคราะห์เจาะลึก ได้ที่ 'SONDHI X' ในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" และทางเว็บไซต์ sondhitalk.com


อาทิตย์นี้มีเรื่องฮอตหลายเรื่อง เรื่องแรก คือ "ทานตะวัน" กลุ่มทะลุวัง ผมเอาธาตุแท้ของนายทิม หรือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ทะลุวัง กับปฏิบัติการทิ้งทานตะวัน

เรื่องที่สอง ผมลงโพสต์ข่าวนี้ไปแล้ว แต่ผมจะมาพูดอีกครั้งหนึ่ง คือศาลท่านยกฟ้องผู้จัดการคดีที่คุณอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง เข็มทิศชีวิต ฟ้องหมิ่นประมาท ศาลท่านชี้ว่า คุณอ้อยนั้นแอบอ้างเอาศาสนามาทำมาหากิน ท่านผู้ชมลองฟังคำพิพากษา ลึกซึ้งมาก ความเข้าใจของผู้พิพากษาที่รู้ทางธรรม แล้วเชื่อมโยงเป็นสะพานต่อไปยังทางโลกได้อย่างกลมกลืนและเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

เรื่องที่สาม ท่าน ผบ.ตร. แจกอั่งเปาวันตรุษจีน ห้าม "บิ๊กโจ๊ก" เรียกประชุมตำรวจโดยพลการ เพราะเรียกเข้ามาประชุมแล้วหลายครั้งตัวเองก็มาบ้าง ไม่มาบ้าง นัดเก้าโมงเช้า มาสองทุ่ม สามทุ่ม ทำให้ผู้กำกับที่ สภ.นครสวรรค์ คนหนึ่งต้องหัวใจวายตาย เพราะว่ามานั่งรอบิ๊กโจ๊ก

เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องที่ผมคิดไม่ถึง เพราะผมเอาข้อมูล กฟผ. ปลูกป่าทิพย์ มีเงินมีทอง มีงบประมาณแล้ว แต่มีการคดโกงการปลูกป่า ก็คือว่าเมื่อรับภาระในการปลูกป่าแล้วก็ปลูกเฉพาะแถวหน้า แต่ข้างในไม่ได้ปลูกเลย

เรื่องสุดท้าย วลาดิมีร์ ปูติน ให้สัมภาษณ์ ทัคเกอร์ คาร์ลสัน เป็นบทสัมภาษณ์ที่เรียกได้ว่าสะเทือนโลก ใช้ความจริงตบหน้าชาติตะวันตกและลิ่วล้อ แล้วผมเอาความเห็นของอดีต CIA ที่บอกว่า ชี้ชัดฟันธงว่า ไบเดน คือความเสี่ยงของอเมริกา


ท่านผู้ชมครับ ไม่ได้พูดถึง "น้องพลอยเพชร" มานานแล้ว ตอนนี้น้องพลอยเพชร ติดทีมชาติแล้วนะครับท่านผู้ชม อายุ 12 ขวบ รุ่น 12 ปี น้องพลอยเพชร เป็นนักเทนนิสที่มีความสามารถมาก ท่านผู้ชมจำเรื่องน้องพลอยเพชร ได้ไหม ผมตัดสินใจที่จะสนับสนุนน้องพลอยเพชร ผ่านมูลนิธิไชย้งฯ ให้ค่าเล่าเรียน ค่ากินอยู่ ค่าซ้อมเทนนิส ทุกอย่าง เผลอแป๊บเดียวดูแลกันมา 4 ปีแล้ว

เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา วันแข่ง แม่น้องพลอยเพชร เล่าให้ฟังว่าเป็นการคัดเลือก ตัดสินแชมป์เด็กอายุ 12 ปี ตั้งแต่รอบแรก ตอนรอบคัด 8 คนสุดท้าย น้องพลอยเพชร ไม่เสียเกมเลย แต่หลังจากนั้นเธอมีอาการบาดเจ็บที่สะโพก แต่ยังไม่หนัก แข่งชนะมาได้จนเข้ารอบชิงชนะเลิศ วันรอบชิงอาการเจ็บกำเริบหนัก กำเริบมากจนโค้ชและคุณแม่บอกว่าหยุดแข่งดีกว่า เพราะอย่างไรก็ติดทีมชาติอยู่แล้ว คือตามกฎแล้วเขาจะคัดเฉพาะที่ 1 และที่ 2 เข้าทีมชาติ แต่น้องพลอยเพชร ไม่ยอมแพ้ ใจสู้ จะทำอย่างไร บอกอย่างไร ก็ไม่ยอมหยุดแข่ง ปรากฏว่าผลในการชิงชนะเลิศ เซ็ตแรกเธอชนะไป 6-1 เซ็ตที่สองแพ้คู่แข่ง 2-6 เซ็ตที่สาม ตอนแรกเสมอกัน 6-6 สุดท้ายมาชนะกันตอนไทเบรก คว้าแชมป์มาได้สำเร็จ


พอแข่งเสร็จ น้องพลอยเพชร มาบอกแม่ว่า ที่ยังไงๆ ก็ไม่ยอมเลิกแข่ง เพราะต้องการจะเอาแชมป์มาให้คุณตาสนธิ (คือผม) ให้ได้ และทุกคนรวมทั้งผมเพิ่งทราบ นี่คือความอดทนที่น้องพลอยเพชร กัดฟันทนเพื่อเอาแชมป์มาให้ผมให้ได้ เอามาให้ผม ก็เท่ากับเอามาให้ท่านผู้ชมนั่นล่ะครับ เพราะน้องพลอยเพชร เป็นเด็กในอุปการะของท่านผู้ชมด้วย ผมภูมิใจในตัวน้องพลอยเพชร และผมเชื่อว่าเธอจะเป็นเพชรเม็ดงามในวงการเทนนิสไทยต่อไป

ก็ถือโอกาสขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งสมาคมลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย นายกฯ สุชัย พรชัยศักดิ์อุดม เลขาธิการ ไทยทนุ วรรณสุข อุปนายกฯ อุชุกร สาครนาวิน ประธานฯ ธานี แสนยาอุโฆษ และเจ้าหน้าที่ทุกคน ตอนนี้ทราบมาว่าโค้ชต้อง คุณสรรค์ชัย รติวัฒน์ ฝาแฝดนักเทนนิสระดับโลก เข้ามาดูแล เป็นโค้ชช่วยแก้เกมให้พลอยเพชร อย่างใกล้ชิด ยังมีเทรนเนอร์ที่ Troop Tennis Academy ชื่อ นภัส สังข์ทอง และ วีรภัทร สังข์ทอง ก็อยู่ในทีมงานด้วย ที่สำคัญ ผมต้องขอบคุณโค้ชแจ๊ค ที่ดูแลน้องพลอยเพชร มาโดยตลอด ขอบคุณคุณหมออมร กายภาพ ที่ดูแลอาการบาดเจ็บของพลอยเพชร และขอบคุณท่านอาจารย์เกียรติวรรณ อมาตยกุล อาจารย์กบ เจ้าของโรงเรียนอมาตยกุล ซึ่งน้องพลอยเพชร ก็คงจะต้องเรียนอยู่ที่นี่จนจบ


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจำเรื่องยาต่อมลูกหมากปลอมได้ไหม Prosherb วันนี้ไปแจ้งความแล้ว ใครอ่านเจออย่าไปหลงเชื่อเป็นอันขาด แต่วันนี้ผมมาพูดเรื่องนี้ ผมอยากจะเชิญชวนท่านผู้ชมหรือผู้เสียหายคนไหนที่ดูโฆษณาปลอมนี้แล้วหลงไปซื้อ ช่วยแจ้งรายละเอียดเข้ามาใน inbox "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" มาเป็นโจทก์ร่วมกับผมเพื่อดำเนินคดีต่อไป

ทิม ทะลุวัง

ท่านผู้ชมครับ กรณีป่วนขบวนเสด็จของเด็กสามนิ้ว เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นำโดย "ตะวัน ทะลุวัง" ชื่อจริงเธอชื่อ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ ซึ่งตอนนี้อายุ 23 ขับรถไล่จี้ ก่อกวน บีบแตรลากยาวใส่ขบวนเสด็จของกรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตำรวจบอกว่า พฤติการณ์ที่อุกอาจของเด็กเปรตคนนี้กับพวก คือ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ โดยสารมากับรถยนต์ยี่ห้อ MG รุ่น New MG 3 สีขาว ทะเบียน 8กจ 1711 กทม มีคนที่ไม่ทราบชื่อเป็นคนขับ ไปบีบแตรรถยนต์ลากยาว ระหว่างตำรวจถวายความปลอดภัยภารกิจ 095 ของกรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และตลอดภารกิจมีการปล่อยรถประชาชนร่วมในเส้นทาง พบว่ารถยนต์คันดังกล่าวบีบแตรลากยาวระหว่างขบวน 095 เสด็จฯ ผ่านทางร่วมต่างระดับมักกะสัน และขับเร็วมาก เพื่อไปให้ทันขบวน 095 แต่เมื่อถึงบริเวณทางลงทางด่วนพหลโยธิน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่รถปิดท้าย สกัดกั้นไม่ให้รถยนต์คันดังกล่าวลงไปร่วมขบวนกับ 095 ได้


จากรายงานดังกล่าว ปรากฏคลิปโต้เถียงที่ ตะวัน ทะลุวัง อัดไว้และเผยแพร่เพื่อหวังกระแส แต่ปรากฏว่ากระแสตีกลับ โลกโซเชียลก่นด่า ตะวัน กับเพื่อนที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมและจงใจหาเรื่อง ตอนหลังเธอออกมาตอแหลอีกว่าไม่ได้ตั้งใจป่วน แค่ขับรถเร็ว แต่ชั่วโมงนี้ไม่มีใครเชื่อเธอหรอก


ประเด็นครับ เหตุการณ์ทั้งหมดชัดเจนว่าถนนไม่ได้ปิด ให้รถยนต์วิ่งตามปกติ เห็นได้ชัดว่ารถคันอื่นเขาไปกันหมดแล้ว ยกเว้นรถของ ตะวัน ทะลุวัง ปากอ้างว่ารีบ แต่แทนที่จะรีบไป กลับจอดรถเถียงกับตำรวจ พร้อมถ่ายคลิปทำคอนเทนต์

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความเห็นที่แตกต่าง ทุกประเทศมีมาตรการอารักขา ถวายความปลอดภัยผู้นำประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นราชวงศ์ด้วย ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ถ้าคุณไปทำอย่างนี้ที่ประเทศอื่น ดี ไม่ดี คุณถูกเจ้าหน้าที่ยิงไปแล้ว


ยิ่งไปกว่านั้น ตะวัน ทะลุวัง กับพวก ยังไม่หยุดพฤติกรรมท้าทายเพียงแค่นี้ วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เธอยังเปิดกิจกรรมทำโพล "คุณเดือดร้อนหรือไม่กับขบวนเสด็จที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน" จนเกิดการปะทะกันกับกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน หรือ ศปปส.


แน่นอนครับท่านผู้ชม การเคลื่อนไหวของ ตะวัน ทะลุวัง และกลุ่มทะลุวัง ย่อมถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงกับพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ที่เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งจะวินิจฉัยว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ที่เอาการแก้มาตรา 112 มาเป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยระบุว่า มันเป็นเรื่องของการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังสั่งการให้เลิกการกระทำ เลิกการแสดงความคิดเห็นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขมาตรา 112


ท่านผู้ชมครับ ผมเคยพูดไปแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 227 ออกอากาศไปเมื่อวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ว่า คำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญนั้น ถ้าอ่านอย่างละเอียด จะกระจ่างแจ้งว่าศาลท่านไม่ได้วินิจฉัยเฉพาะเรื่องการขอแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่ศาลท่านพิจารณาถึงพฤติกรรม พฤติการณ์ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาของพรรคก้าวไกล สมาชิกพรรคก้าวไกล ย้อนไปถึงตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ รวมไปถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งมีพฤติกรรมชัดเจนว่าเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

แต่พอหลังจากเรื่อง ตะวัน ทะลุวัง ป่วนขบวนเสด็จ แล้วก็มีกระแสสังคมต่อต้านแรงมาก ก็เลยมีการขุดเรื่องราวย้อนหลังว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จอมโกหกแห่งยุค สส. และแคนดิเดตนายกฯ ทิพย์ พรรคก้าวไกล ถูกถามหาความรับผิดชอบจากที่ตัวเองเป็นนายประกัน น.ส.ทานตะวัน แต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธแบบไร้ความรับผิดชอบว่า เรื่องประกันกับการเคลื่อนไหวของตะวัน เป็นคนละส่วนกัน ว่าแล้วก็ตีกรรเชียงเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น


ผมจะเผยธาตุแท้ของพิธา อีกครั้งหนึ่ง ไอ้คนเฮงซวยแบบนี้ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ นายพิธา ให้สัมภาษณ์ถึงการกระทำของ น.ส.ทานตะวัน บอกว่า "กังวล แต่เข้าใจ" คุณเข้าใจอะไร ? คุณไม่ได้เข้าใจอะไรเเลย นายพิธา พอคุณถูกจับได้คุณก็คิดคำพูดที่สวยหรูขึ้นมา แต่เมื่อสื่อจี้ถามต่อว่า จะมีการยื่นประกันตัวกลุ่มเยาวชนคดีมาตรา 112 หรือไม่ เพราะในพรรคก้าวไกลมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เขาตอบอีกว่า "เรื่องนี้ต้องแยกสิทธิในการประกันตัว ทุกคนมีสิทธิจะถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน ส่วนจะอารักขาบุคคลสำคัญของประเทศ ก็เป็นอีกเรื่อง แต่การแสดงออกก็เป็นอีกเรื่องเช่นกัน อย่าไปผูกรวมกัน"

ท่านผู้ชม ไอ้คนที่มันสับสนแบบนี้ พูดจาเลอะเลือน ไม่รู้เรื่อง ถ้าได้มาเป็นนายกฯ ของประเทศไทยนี่ ประเทศไทยซวยฉิบหายเลย

สรุปความแล้ว คำพูดของนายพิธา คือ เด็กก้าวร้าวเหล่านี้จะทำอะไร แด๊ดดี้พิธา ก็จะเข้าใจดี แต่พอมาถึงถามหาความรับผิดชอบในฐานะนายประกัน นายพิธา กลับตีกรรเชียงหนี บอกว่าเป็นคนละเรื่องกัน


ที่ผ่านมา ตะวัน เคยถูกจับกุมคดีมาตรา 112 มาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกกรณีทำโพลติดสติกเกอร์เรื่องขบวนเสด็จ ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 แต่ได้รับการประกันตัว ครั้งต่อมาถูกดำเนินคดีกรณีไลฟ์สดเฟซบุ๊กรอรับขบวนเสด็จ บริเวณถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2565 ก็ได้รับการประกันตัวเช่นกัน แต่ภายหลังถูกถอนประกัน ตะวัน โพสต์และแชร์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ที่เข้าข่ายความผิดมาตรา 112 และมีพฤติกรรมขับรถเข้าใกล้พื้นที่รับเสด็จ


ก่อนที่วันที่ 20 เมษายน 2565 ศาลได้สั่งเพิกถอนการประกันตัว และนำตัวส่งเข้าสู่ทัณฑสถานหญิงกลาง ระหว่างนั้น ตะวัน อดอาหารประท้วงเป็นเวลา 37 วัน จนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อาสาเป็นนายประกันให้ ตะวัน ได้รับการประกันตัว

แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่า นายพิธา เป็นนายประกัน แล้วศาลสั่งว่าอย่างไร ? ศาลสั่งให้นายพิธา เป็นผู้กำกับดูแลความประพฤติจำเลย มีอำนาจในการว่ากล่าวตักเตือน ควบคุมมิให้จำเลยทำผิดเงื่อนไข ถือว่าผู้ร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวผิดสัญญาประกัน

ในชั้นศาล คุณพิธา พูดว่าอย่างไร จำได้หรือเปล่า หรือวันนี้ไม่อยากจะจำแล้ว ศาลสอบถามว่า ถ้าปล่อยตัวชั่วคราว ตะวัน นายพิธา ในฐานะนายประกัน จะให้ความมั่นใจต่อศาลได้อย่างไรว่าจะกำกับดูแลจำเลยได้ นายพิธา ตอบว่า ตนยินดีทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแลเพื่อให้ตะวันปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาล และจะทำหน้าที่คอยตักเตือนและดูแลตะวันเอง โดยพ่อและแม่ตะวันยินยอมให้ศาลแต่งตั้งพิธา เป็นผู้กำกับดูแลตะวัน ศาลเลยถามต่อว่า ถ้าตะวัน ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกไปแล้วทำผิดเงื่อนไขของศาล นายพิธา ในฐานะนายประกัน ผู้กำกับดูแล จะทำอย่างไร นายพิธา ตอบว่า จะรับผิดชอบอย่างเต็มที่ตามที่กฎหมายให้อำนาจรับรองเอาไว้


พอต่อมา วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 พิธา กล่าวยกย่องตะวัน แบบเท่ๆ เลยว่า "ทุกครั้งที่ผมไปหาคุณตะวัน และ คุณแบม ผมมองตาตะวันแล้วเห็นพิพิม ลูกสาวของผมอยู่ในนั้น" ยิ่งไปกว่านั้น 5 เมษายน 2566 สื่อออนไลน์ The People จัดงานประกาศผล 10 คนแห่งปีที่ได้รับรางวัล The People Award 2023 โดย น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน และ น.ส.อรวรรณ ภู่พงษ์ หรือ แบม ติด 1 ใน 10 ของผู้ได้รับรางวัล นายพิธา ก็ไปร่วมแสดงความยินดีกับเขาด้วย




พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา ป่วนขบวนเสด็จ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราสุดาฯ มันเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ในสังคมไทย

วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายพิธา ให้นายกฤษฎางค์ นุตจรัส หรือ ทนายด่าง ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ออกมาปฏิเสธว่านายพิธา ไม่ได้เป็นนายประกัน ตะวัน ทะลุวัง มานานแล้ว เพราะศาลพิจารณาเพิกถอนหมายขัง ไม่ต้องมีนายประกัน โดยอ้างว่าหลังจากนั้นศาลไม่ได้ออกหมายขัง ตะวัน อีก จึงถือว่าเป็นการปล่อยตัวชั่วคราวตลอดไป ไม่ต้องมีนายประกัน


ท่านผู้ชมครับ แก้ตัวอย่างนี้ ใครฟังก็ต้องเหวอ ใช่ไหม หลายคนบอกว่าคนที่กล้าโกหกหน้าตายออกมาพูดอย่างนี้ไม่ใช่สุภาพบุรุษ จริงๆ แล้วเป็นไอ้คนเฮงซวยคนหนึ่งเท่านั้นเอง

เอาเถอะ วันนี้คุณพิธา กับพรรคก้าวไกล และ ทนายด่าง จะอ้างอะไรก็อ้างไป แต่พฤติการณ์ที่ผ่านมาของพิธา ที่สนับสนุนการกระทำของกลุ่มทะลุวังปรากฏอยู่ชัดเจนจากหน้าสื่อ ทั้งข่าวและภาพถ่ายต่างๆ คุณพิธา อาจจะพูดเอาเท่ อยากปั่นให้เด็กรุ่นใหม่ฟังแล้วประทับใจ แต่ผมขอเตือนคุณนะว่าปากพ่อแม่นั้นศักดิ์สิทธิ์มาก คุณบอกว่ามองตาตะวัน แล้วเห็นลูกสาวคุณอยู่ในนั้น ผมถามจริงๆ คุณอยากให้ลูกสาวคุณเป็นอย่างตะวัน หรือเป็นวาทกรรมหลอกใช้ลูกคนอื่นเพื่อสนองเจตนารมณ์ทางการเมืองคณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล เท่านั้น ไม่นับที่ไปแปะสติกเกอร์ให้กับตะวัน และ แบม ในช่องที่เห็นด้วยกับการยกเลิกมาตรา 112 แต่ต้องขอโทษที่ต้องแก้ไขก่อน บนเวทีหาเสียงของพรรคก้าวไกล 24 มีนาคม 2566 ที่สวนสาธารณะเทศบาลนครแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี


ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนไปขุดจดหมายนายพิธา เขียนด้วยลายมือ ถึงตะวัน และ แบม เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ข้อความในจดหมายนายพิธานั้นเป็นหลักฐานในการมัดตัวเองเข้ากับกลุ่มทะลุวังและขบวนการล้มเจ้าชัดๆ เลย ผมยกตัวอย่างหนึ่งในข้อความที่นายพิธา เขียน "ผมขอคารวะหัวจิตหัวใจความกล้าหาญทั้งคู่มาก ผมเองละอายใจ ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าสังคมได้ลืมตาตื่นขึ้น เห็นถึงความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เพราะผม เพราะพรรคก้าวไกลของเราทำน้อยไป คุณคือคนที่ผลักดันสังคมมาถึงจุดนี้ ภารกิจในส่วนของคุณสำเร็จแล้ว และจากนี้ไปเป็นหน้าที่พวกเราและพรรคก้าวไกล เราจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จด้วยกัน ผมต้องการให้คุณอยู่ร่วมฉลองชัยชนะของประชาชนร่วมกับเราทุกคน"


ท่านผู้ชมครับ คนนี้มันโกหก แม้กระทั่งข้อความในจดหมายที่มันเขียน มันก็ยังหน้าด้านโกหก นายพิธา เขียนเพิ่มเติมอีกว่า "เป้าหมายการยกเลิกมาตรา 112 ชัดเจนว่า ภารกิจของคุณสมบูรณ์แล้ว จากนี้ไปหน้าที่พวกเราที่จะทำในส่วนของพวกเรา ผมและพรรคก้าวไกลจะทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อผลักดันการยุติการใช้กฎหมาย 112, 116 และกฎหมายอื่นๆ ที่กดขี่ ลิดรอนเสรีภาพประชาชน เราจะทำเต็มที่ในสภาฯ และเชื่อว่าจะมีคนอีกมากที่ถูกเรื่องราวของคุณผลักดันออกมาต่อสู้นอกสภาฯ เราจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จด้วยกัน ผมต้องการให้คุณอยู่ร่วมฉลองชัยชนะของประชาชนร่วมกับเราทุกคน ขอคารวะในความกล้าหาญของคุณทั้ง 2 คน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 28 มกราคม 2566"


คุณพิธา ครับ มาถึงขั้นนี้แล้วคุณยังหน้าด้านฉิบหายเลย ปฏิเสธว่าคุณไม่เกี่ยวข้องกับตะวัน และแก๊งทะลุวัง ผมว่าคุณปัดความรับผิดชอบนี้ไม่ได้นะ ประเด็นที่สำคัญที่สุด ผมขอเน้นย้ำอีกครั้ง คือ พฤติกรรมของนายพิธา ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ที่พบว่านายพิธา และพรรคก้าวไกล มีพฤติการณ์รณรงค์ให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกมาตรา 112 เข้าร่วมชุมนุมกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง เป็นนายประกันผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 เคยแสดงความคิดเห็นทั้งให้แก้ไขและยกเลิกมาตรา 112 ผ่านการจัดกิจกรรมทางการเมืองและสื่อสังคมออนไลน์ ชัดไหมครับคุณพิธา ชัดไหม คุณธนาธร คุณปิยบุตร คุณชัยธวัช พรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า และคนที่เลือกพรรคก้าวไกลทั้งหลาย


ส่วนตะวัน ทะลุวัง หลังจากวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ตำรวจ สน.ดินแดง เรียก น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ นายณัฐนนท์ ไพโรจน์ สองผู้ต้องหาคดีคุกคามขบวนเสด็จ มาสอบปากคำและรับทราบข้อกล่าวหา แต่ทั้งสองคนไม่มา ให้ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มาขอเลื่อน อ้างว่าติดเรียน แต่ตำรวจบอกว่าข้ออ้างไม่สมเหตุผล ก็เลยโดนออกหมายจับ และถูกจับตัวไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

ท่านผู้ชมครับ วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ เมื่อวานซืนนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจนำ น.ส.ทานตะวัน หรือ ตะวัน นายณัฐนนท์ หรือ แฟรงค์ นักกิจกรรมทางการเมืองกลุ่มทะลุวัง ที่ก่อเหตุขับรถป่วนขบวนเสด็จ ไปฝากขังต่อศาลอาญา และผู้ต้องหาทุกคนถูกตำรวจคัดค้านการประกันตัวจากพนักงานสอบสวน ด้วยเหตุที่เป็นคดีที่มีโทษสูง เกรงจะหลบหนี อาจจะกลับออกไปก่อเหตุในลักษณะซ้ำเดิมอีก ซึ่งพฤติกรรมของทานตะวัน ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็คือว่า แต่ก่อนได้รับการประกันตัว แล้วบอกจะไม่ทำแบบนี้ แต่นี่ก็มาทำอีก ศาลพิจารณาคำร้องฝากขังและคำร้องขอประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน เกือบทั้งวัน อนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหา มีกำหนด 12 วัน ไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราว ศาลให้เหตุผลว่า ความผิดที่กระทำลงไปมีโทษร้ายแรง มีอัตราโทษสูง พฤติการณ์ก่อเหตุไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหาย ที่สำคัญ ถ้าประกันตัวออกไป อาจจะไปทำอะไรให้เกิดความไม่เรียบร้อยและเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็คุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ สำหรับผู้ชาย และทัณฑสถานหญิงกลาง สำหรับผู้หญิง


ส่วน "สายน้ำ" ศาลพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราว มีเงื่อนไขว่า ห้ามไปกระทำการในลักษณะก่อความวุ่นวายหรือก่อเหตุซ้ำแบบเดิมอีก "ทนายด่าง" ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน บอกว่า ทั้งตะวัน แฟรงก์ ตั้งใจไม่ขอยื่นประกันตัวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ที่ยื่นเพราะเพื่อนผู้ต้องหาและญาติๆ ขอยื่น หลังจากนี้จะคุยกันอีกครั้งว่าจะให้ยื่นประกันตัวอีกหรือไม่ และจะอุทธรณ์คำสั่งศาลหรือไม่

ตะวัน และ แฟรงค์ เขียนจดหมายด้วยลายมือยืนยันจะต่อสู้ตามกระบวนการทางกฎหมายและไม่ยื่นประกันตัว มิหนำซ้ำ เฟซบุ๊กของทานตะวัน มีการโพสต์ภาพข้อความ จดหมายจากตะวัน ระบุว่า "นี่คือคำตอบที่ผู้ใหญ่ในประเทศนี้ให้กับหนู แต่หนูยืนยันที่จะสู้ต่อไป การก้าวขาเข้าเรือนจำ เราไม่เหลืออะไรนอกจากร่างกายที่มีไว้ต่อสู้ หนูจะใช้ร่างกายและจิตวิญญาณที่เหลือสู้ต่อไป หนูและแฟรงค์ จะอดอาหารและน้ำประท้วง เพื่อ 3 ข้อเรียกร้อง โดยจะไม่ยื่นประกันตัว 1. ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม 2. ต้องไม่มีใครติดคุกเพราะเห็นต่างอีก" ทานตะวัน คุณติดคุกไม่ใช่เพราะคุณเห็นต่าง แต่คุณติดคุกเพราะคุณไปก้าวล่วงละเมิดขบวนเสด็จ ผิดมาตรา 116 และ "3. ประเทศไทยไม่ควรได้เป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน" เดี๋ยวผมจะเฉ่งพวกคุณในเรื่องสิทธิมนุษยชนอาทิตย์หน้า คุณใจเย็นๆ แล้วผมจะเอาความลับคุณมาเปิดเผย ให้รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของคุณนั้นมันคืออะไร และคือใครกันแน่


จริงๆ แล้วแก๊งทะลุวังนี่ผมเปิดเผย ฉีกหน้ากากแบบหมดเปลือกไปแล้วตั้งหลายเดือนก่อน เมื่อครั้งกรณีของ "บุ้ง ทะลุวัง" น้องหยก กับโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 195 ตอน "หยก = เหยื่อผลผลิตของก้าวไกล" ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2566 และยังมีตอนต่ออีกหลายตอนถัดมา ซึ่งพฤติกรรมของแก๊งนี้คุกคาม กล่าวโกหกเป็นนิจ ให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์และสมาชิกราชวงศ์จักรีแทบจะทุกพระองค์มานานแล้ว ผมจะเอาหลักฐานให้ดู

13 ตุลาคม วันคล้ายวันสวรรคตของรัชกาลที่ 9 หยก ทะลุวัง เข้าร่วมกิจกรรมชุมนุม 13 ตุลาฯ หวังว่าสายฝนจะพาล่องไปที่เสาชิงช้า หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร หยก ได้เขียนข้อความบนพื้นบริเวณเสาชิงช้า ล้วนมีเนื้อหาอันเป็นเท็จเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม โดยให้ร้ายพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ รวมทั้งกรมสมเด็จพระเทพฯ ด้วย


งานนี้ผมต้องถามไปถึงท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คือ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ท่านเพิ่งจะออกมาเทกแอกชัน หลังจากที่เข้าพบนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา หลังจากที่เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงไปได้ 2-3 วัน ท่าน ผบ.ตร. ท่านเงียบสนิท ไม่พูด แต่พอท่านนายกรัฐมนตรีเรียกเข้าไปแล้วบี้ มีแต่ประชาชนและกลุ่มที่รักสถาบันเขาทนไม่ไหว ต้องออกไปลงไม้ลงมือเอง จนเกือบจะเกิดความรุนแรง ประชาชนทุกหมู่เหล่าออกมาปกป้องกรมสมเด็จพระเทพฯ ใส่สีม่วงกัน นักเรียนนายร้อย จปร. ทุกรุ่นออกมาชุมนุม ถวายพระพร ให้กำลังใจ และพร้อมจะปกป้อง แต่ ผบ.ตร. ของผมคนนี้เงียบสนิท พอโดนท่านนายกฯ บี้เข้ามาก็เลยบอกว่าขอเวลารวบรวมหลักฐาน เรื่องเกิดตั้งแต่ 4 กุมภาพันธ์ เกือบสัปดาห์แล้ว เป็นไปไม่ได้ถ้า ผบ.ตร. จะไม่ทราบเรื่อง แต่กลับเงียบสนิท เกิดอะไรขึ้น


ท่าน ผบ.ตร. ครับ ท่านจำได้หรือเปล่า ก่อนจะขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ท่านพูดเสมอว่า ท่านจำเป็นต้องเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญๆ เพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ ท่านจำได้อยู่หรือเปล่า วันนี้เกิดอะไรขึ้น ท่านจะใส่เกียร์ว่างแล้วให้ประชาชนลุกขึ้นมาปกป้องสถาบันกันเอง เอาอย่างนี้ใช่ไหม


ปัญหาแก๊งทะลุวัง แก๊งแนวร่วม และเครือข่ายล้มเจ้า ที่เชื่อมโยงไปพรรคก้าวไกล กับคณะก้าวหน้า ทาง บช.น. โดยทีมงานของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เขาเก็บข้อมูลมานานแล้ว มีข้อมูลอย่างละเอียดยิบ ครบหมด ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะได้รับไฟเขียวจากท่าน ผบ.ตร. อย่างไร เมื่อไร


ท่านมัวแต่เฟรนด์ลี่ไปตลอด รายการวันศุกร์หน้าผมจะเอากางทีละเรื่องๆ ชี้ให้เห็นเลยว่าขบวนการนี้มันเชื่อมโยงใครบ้าง ใครใช่สื่อหรือไม่ใช่สื่อ ใครที่แอบอ้างว่าตัวเองเป็นสื่อ แต่จริงๆ แล้วเป็นแค่แนวร่วมของกลุ่มล้มเจ้า รวมทั้งสื่อหลายๆ คน สมาคมสื่อที่บ้าจี้ออกแถลงการณ์บ้าๆ บอๆ อะไรออกมา โดยไม่รู้ ไม่ดูหลักฐานข้อมูลข้อเท็จจริงอะไรเลย ข้อมูลเขาเก็บสะสมมาจนครบแล้ว ขึ้นอยู่กับท่าน ผบ.ตร. จะเอาอย่างไร เพราะคดีนี้เป็นคดีนโยบาย ไหนคุณบอกว่าปกป้องไง คุณทำเป็นอยู่อย่างเดียวก็คือเอาข้าราชการออกมาถวายบังคมพระรูป หรือรูปภาพ แล้วให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะดูแลปกป้อง เจตนา พฤติการณ์ และ การกระทำนั้น มันไม่ตรงปกเลยนะครับท่าน ผบ.ตร.

ท่านต่อศักดิ์ ครับ พูดเสมอว่าจะเข้ามาปกป้องสถาบัน แต่เข้ามาแล้วท่านเกียร์ว่าง ท่านเกียร์ว่างจริงๆ แล้วท่านก็เกียร์ว่างหลายๆ เรื่องด้วย อย่าช้าเลยครับ ท่านต่อศักดิ์ เวลาท่านเหลือน้อยลง อย่าให้ท่านได้เกษียณอายุไปด้วยฉายาที่ว่าเป็น ผบ.ตร. ที่โหลยโท่ยที่สุดคนหนึ่ง

คำพิพากษา "ครูอ้อย" แอบอ้างศาสนาค้ากำไร

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจำ "ครูอ้อย" ได้ไหม ? หรือ คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ครูอ้อย เป็นคนเขียนหนังสือชื่อ "เข็มทิศชีวิต" แล้วผันตัวเองมาเป็นไลฟ์โค้ช หาเงินหาทองได้มหาศาล ในอดีตเธอมีลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นคนในวงการบันเทิงมากมาย อย่างเช่น ตุ๊ยตุ่ย-พุทธชาด พงศ์สุชาติ, ครูเงาะ-รสสุคนธ์ กองเกตุ, อุ๋ย บุดดาเบลส, เอ๋-มณีรัตน์ และ กาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ เป็นต้น แต่สุดท้ายวงแตก ค่อยๆ หนีหายไปทีละคน หลายคนบอกว่ากว่าจะหลุดออกมาได้ก็สะบักสะบอม แทบหมดเนื้อหมดตัว


เรื่องราวเหล่านี้ผมเคยเล่าให้ท่านผู้ชมฟังไปแล้ว และกล่าวเตือนไปแล้วผ่านรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ในหลายตอนด้วยกัน กลางปีที่แล้ว ครูอ้อย ทะลึ่งยื่นฟ้องสื่อในเครือผู้จัดการฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และละเมิด พร้อมเรียกค่าสินไหมทดแทนจำนวน 5,022,777 บาท (ห้าล้านห้าหมื่นสองพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดบาท) โดยอ้างว่าเพจเฟซบุ๊กของผู้จัดการสุดสัปดาห์ ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 โพสต์ภาพ น.ส.ฐิตินาถ และบุคคลในวงการบันเทิงอื่นๆ และมีข้อความในภาพว่า "รวมคนดังชีวิตหวิดพังเพราะเข็มทิศ" และเขียนข้อความประกอบภาพว่า "เป็นประเด็นต่อเนื่องสำหรับคอร์สหลักสูตรเข็มทิศชีวิตของครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง หลังคนในวงการต่างทยอยถอนตัวออกจากวงจรของเจ้าตัวมากขึ้น ทั้งนี้ หากย้อนกลับไป ต้องบอกว่าคอร์สการจัดสัมมนาปรึกษาปัญหาชีวิตของเจ้าตัวนั้นมีปัญหามาตั้งแต่แรกๆ แล้ว และก็มีคนดังหลายคนชีวิตต้องพังเพราะเข็มทิศ"


ท่านผู้ชมครับ เมื่อครูอ้อยฟ้องมา เราก็ต้องสู้ เหมือนสุภาษิตจีนที่บอกว่า "เมื่อมีน้ำหลากไหลมา ก็ต้องสร้างเขื่อนเพื่อกันน้ำ"

วันจันทร์ 12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว ทำไมผมต้องเอาเรื่องนี้มาพูด ? เพราะว่ารายละเอียดคำพิพากษาที่เขียนออกมานั้นลึกซึ้ง น่าสนใจมาก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้อ่านคำพิพากษาที่อ้างอิงหลักธรรม แล้วก็ต่อเรื่องมาทางหลักโลก โดยใช้หลักธรรมเป็นฐานสำคัญ เป็นหลักสำคัญในการพิพากษาเรื่องทางโลก น่าสนใจมาก เป็นครั้งแรกจริงๆ ท่านผู้ชม และผมไม่รู้จะพูดอย่างไรกับท่านผู้พิพากษาซึ่งพิพากษาคดีนี้ เพราะว่าท่านรู้เรื่องธรรมจริงๆ


ท่านผู้ชมครับ ที่ผมจะอ่านต่อไปนี้ เป็นข้อความที่อยู่ในคำพิพากษาฉบับย่อ ท่านผู้ชมช่วยตั้งใจฟังหน่อยได้ไหม อย่าเพิ่งเบื่อ ท่านเขียนว่า

"ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่พระโพธิสัตว์ยอมละทิ้งราชสมบัติ บุตร และภรรยาเสด็จหลีกออกผนวชแสวงหาทางพ้นทุกข์ จนได้ปัญญาตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นองค์พระอรหันตระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนได้ปัญญาตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นองค์พระอรหันตระสัมมาสัมพุทธเจ้าและตั้งพระศาสนาหรือพระธรรมวินัยขึ้น โดยมีองค์ประกอบสำคัญ คือ พระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ไว้ให้พระพุทธศาสนิกชนได้ยึดถือเป็นสรณะนั้น เป็นการกระทำเพื่อโปรดเหล่าสรรพสัตว์ที่จะได้ศึกษาเรียนรู้ตามจนเกิดปัญญารู้เห็นสัจธรรม ทำให้ทุกข์ในใจเบาบางลงไปจนหมดสิ้นอันเป็นที่สุดแห่งทุกข์ โดยพระตถาคตไม่ได้กระทำไปด้วยความปรารถนาในลาภ ยศ คำสรรเสริญ หรือทรัพย์สินเงินทองใดๆ

ซึ่งการเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนไปสู่ผู้มีศรัทธา ก็ทรงให้เป็นหน้าที่ของเหล่าสงฆ์สาวกหรือนักบวชในธรรมวินัย ที่ได้รับการศึกษาธรรมวินัยจนสำเร็จเป็นประโยชน์แก่ตน มีคุณสมบัติเป็นผู้มักน้อย สันโดษในลาภสักการะ เลี้ยงขึ้นด้วยปัจจัยสี่ที่ผู้ครองเรือนมอบให้ด้วยใจศรัทธา เที่ยวจาริกไปเผยแผ่คำสอนและชี้ทางแห่งความสุขความเจริญในชีวิตให้แก่คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัยมีความเห็นชอบเป็นสัมมาทิฏฐิ ได้ตาปัญญาเป็นแสงสว่างของชีวิต ก็ย่อมจะพบชีวิตใหม่ที่มีคุณค่ากว่าการได้ทรัพย์สินอันใดในโลก เพราะแม้จะยังทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ไม่ได้ในอัตภาพนี้ ก็ต้องได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติในอัตภาพต่อๆ ไปอย่างแน่นอน


ส่วนการดำรงอยู่อย่างมั่นคงของพระศาสนาเป็นที่พึ่งของเหล่าสรรพสัตว์ชั่วกาลนาน พระองค์ทรงมอบให้เหล่าพุทธบริษัท 4 อันประกอบด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ช่วยกันกระทำ โดยภิกษุและภิกษุณีต้องอยู่ในพระธรรมวินัย อุบาสกและอุบาสิกามีความเคารพในพระรัตนตรัย เป็นต้น ดังนั้น เมื่อน้อมใจเข้าไปพิจารณาหลักการสำคัญของพระศาสนาตามพระประสงค์ที่กล่าวมาข้างต้นและความต้องการอยากพ้นทุกข์ของมนุษย์เข้าด้วยกัน ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนย่อมต้องยอมรับว่าพระธรรมคำสั่งสอนที่ได้ประทานไว้ให้โดยมหากรุณานั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐสูงสุดมีคุณค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ในโลก และเป็นการประทานให้เปล่าๆ ไม่ต้องใช้เงินหรือทองเข้าแลก

ดังนั้น จึงไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่เหล่าพุทธบริษัท 4 ผู้หนึ่งผู้ใด ที่ได้เรียนรู้พระธรรมแล้วจะอาศัยเอาพระธรรมนั้นออกแสดงเพื่อการค้า หรือเพื่อแสวงหาผลกำไร เพราะเป็นการตีราคาพระธรรมคำสอนเทียบค่ากับเงินทอง เป็นการกระทำที่ไม่เคารพต่อพระรัตนตรัยประการหนึ่ง เป็นหนทางที่จะนำไปสู่การเบียดเบียนในทางทรัพย์สินเงินทองได้ประการหนึ่ง ทำให้บุคคลที่ยังไม่ได้มั่นคงในพระรัตนตรัยพากันเสื่อมถอยหนีห่างไปจากศาสนาประการหนึ่ง และประการสำคัญอีกประการหนึ่ง ในการสั่งสอนหรือถ่ายทอดธรรมะให้บุคคลอื่น ผู้ตั้งตนเป็นครูอาจารย์ต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ เป็นผู้ได้เปรียญธรรมหรือศึกษาปฏิบัติธรรมจนเป็นผู้ข้ามโคตรจากปุถุชนเป็นอริยะบุคคลอย่างชอบขั้นโสดาบัน มีคุณธรรมวิเศษในใจ มีดวงตาเห็นธรรมรู้เห็นอยู่ในแนวทางแห่งพระนิพพาน มีมรรคองค์ 8 เป็นปฏิปทาในตนแล้วจึงค่อยสามารถให้การอบรมสั่งสอนปุถุชนผู้ยังมีปัญญามืดบอดแต่มีศรัทธาได้ เพราะคนที่ยังเป็นปุถุชนและยังไม่ได้เปรียญธรรมหากเที่ยวไปสั่งสอนคนอื่น ก็เท่ากับคนตาบอดเดินจูงคนตาบอดไป ย่อมจะไม่สามารถถึงจุดหมายตามที่ปรารถนาได้ แต่กลับต้องประสบกับทุกข์และคลาดเคลื่อนออกนอกทางแห่งพรหมจรรย์ที่ทรงแสดงไว้ให้อย่างแน่แท้ และยิ่งหากเข้าลักษณะเป็นการใช้เงินจ้างในการจูง ก็เป็นการพ้นวิสัยที่จะเอาผิดเอาโทษกับบุคคลผู้จูงทั้งในทางแพ่งและทางอาญาได้ ด้วยเหตุผลที่เขาอ้างเอาว่าการชำระเงินเป็นความสมัครใจของผู้อยากเรียนรู้ธรรม และที่ใครไม่สามารถสร้างปัญญาได้ก็เป็นเรื่องของวาสนาแต่ละบุคคลเท่านั้น ดังนี้ หากมีบุคคลใดได้แสดงตนกระทำการดังกล่าวเช่นนั้นจึงไม่นับว่าเป็นบุคคลที่สมควรจะได้รับการยกย่องจากสาธุชนทั่วไปว่า เป็นผู้ประกอบคุณงามความดีหรือนำประโยชน์ทางศาสนามาให้สังคมแต่ประการใด ในขณะเดียวกัน ก็ย่อมเป็นผู้ไม่สมควรที่จะได้ไปซึ่งเงินของบุคคลที่แสวงหาที่พึ่งทางใจจากคำสอนในพระพุทธศาสนาอีกด้วย


ดังนั้น คดีนี้ โจทก์ (ครูอ้อย) เป็นผู้ยังไม่ได้เปรียญธรรม แต่มีปริญญาทางโลก ได้ยอมรับว่าได้เอาหลักศาสนาพุทธมาเป็นปัจจัยในการประกอบธุรกิจ มีรายได้ผลกำไรจากการเปิดคอร์สอบรมเข็มทิศชีวิตเป็นเงินไม่น้อย ประมาณปีละ 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยการเก็บเงินค่าสมาชิกเข้าอบรมคอร์สเข็มทิศชีวิตนั้น จะกำหนดค่าสมัครตามจำนวนผู้สมัคร ถ้ามีผู้สมัครจำนวนน้อยจะคิดค่าสมัครแพงกว่ากรณีที่มีผู้สมัครจำนวนมาก ค่าคอร์สรายบุคคลในราคาหลักหมื่น ไม่ก็หลักแสน โดยเพียงบุคคลคนเดียวถ้าเรียนหลายคอร์สจะต้องใช้เงินประมาณ 3 ล้านบาท ย่อมเท่ากับเป็นการรับรองอยู่ในตัวต่อผู้มีจิตศรัทธาในพระศาสนาว่าตนเองมีภูมิจิตภูมิธรรมสูงเลยขั้นปุถุชนคนหนึ่งด้วยกิเลสไปแล้ว ซึ่งอย่างไรก็ตาม คุณธรรมภายในใจเช่นที่ว่ารู้ได้เฉพาะตนเอง ส่วนคนอื่นไม่สามารถจะรู้เห็นได้ ทำได้เพียงคาดเดาเอาจากบุคลิกภาพ อันประกอบด้วย วาจา กริยาท่าทาง การแต่งกาย

อย่างไรก็ดี พอจะมีเครื่องหมายที่บ่งชี้ว่าอริยสาวกผู้ใดเป็นผู้มีคุณธรรมภายในเช่นนั้นได้ กล่าวคือ อริยสาวกผู้นั้นจะต้องเป็นผู้มีจิตใจเมตตา กรุณา ไม่กระทำสิ่งที่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจประการใดๆ ทั้งสิ้น

คดีนี้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่าบุคคลผู้มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงเคยเข้าคอร์สอบรมเข็มทิศชีวิตกับโจทก์ มีความสนิทสนมรักใคร่ในตัวโจทก์ แต่ต่อมาก่อนที่จำเลยที่ 1 จะลงข่าวกล่าวถึงโจทก์ด้วยคำตามฟ้อง บุคคลเหล่านั้นก็ร้องขอให้โจทก์ลบรูปของตนที่ถ่ายคู่กับโจทก์ออกจากเว็บไซต์ประชาสัมพันธ์คอร์สอบรมเข็มทิศชีวิตของโจทก์ และแสดงออกให้สังคมทราบว่า ไม่ยอมที่จะโจทก์ใช้ชื่อเสียงของตนไปประชาสัมพันธ์คอร์สอบรมของโจทก์อีก และเมื่อพิจารณาจากเอกสารข่าวของสำนักข่าวรวม 4 สำนัก ที่ลงข่าวในเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน 2566 มีเนื้อความกล่าวถึงพฤติการณ์ที่มีผู้เข้าคอร์สเข็มทิศชีวิต กล่าวถึงพฤติกรรมของโจทก์ในการดำเนินงานเปิดคอร์สอบรมในทางเป็นลบต่อตัวโจทก์ สอดคล้องกับคำตอบ-คำถามค้านของพยานโจทก์ว่า โจทก์เป็นไลฟ์โค้ชชื่อดัง มีรายได้จากการเปิดคอร์สอบรมเข็มทิศชีวิตหลายสินล้านบาทต่อปี ได้ประสบปัญหาในเรื่องความไว้วางใจจากบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคนที่เคยใกล้ชิดสนิทสนม และเคยเปิดคอร์สอบรมเข็มทิศชีวิตของโจทก์ ต่างทยอยถอนตัวออกไปอยู่ห่างโจทก์ และไม่ยินยอมให้โ๗ทก์ใช้ภาพถ่ายของเขาเหล่านั้น ที่เคยถ่ายรูปกับโจทก์ในขณะที่เข้าอบรมในคอร์สเข็มทิศชีวิต นำไปใช้ในการโปรโมตคอร์สอบรมของโจทก์ และบางคนถึงขั้นขัดแย้งในทางกฎหมยากับตัวโจทก์ด้วย


ซึ่งเห็นว่าการที่โจทก์ต้องหยุดเปิดคอร์สเข็มทิศชีวิตไปก่อนหน้านี้ประมาณหนึ่งปีเศษ ก็น่าเชื่อว่าเป็นผลจากข้อเท็จจริง การที่ผู้เข้าอบรมได้สัมผัสหรือได้เห็นปฏิปทาในทางธรรมของโจทก์ที่ปรากฏในข่าว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจำเลยที่ 1 จะลงข่าว

ดังนี้ พฤติกรรมแห่งรูปคดีย่อมจะน่าเชื่อได้ว่า บรรดาบุคคลที่มีชื่อเสียงดังกล่าว นอกจากไม่ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์การเข้าคอร์สแล้ว ยังถึงขั้นตั้งตัวรังเกียจในตัวโจทก์อีกด้วย และโดยที่หลักการสำคัญของศาสนาพุทธและทุกศาสนาที่ให้มนุษย์ปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันด้วยความเมตตากรุณา ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ เพื่ออยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความผาสุกแล้ว เมื่อพิจารณาตามพฤติกรรมแห่งการกระทำของโจทก์ตามดังกล่าวข้างต้น จึงเชื่อได้ว่าตัวโจทก์เป็นคนที่ได้กระทำให้บุคคลผู้เสียเงินสมัครเข้าอบรมคอร์สเข็มทิศชีวิตได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ทั้งในด้านชื่อเสียงและเงินทอง จึงนับว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยหลักธรรม อันเป็นหลักการของศาสนาพุทธดังนี้

โจทก์จึงไม่อาจอาศัยการกระทำที่ขัดแย้ง ไม่ตรง และไม่เป็นไปตามคำสอนด้วยคำสอนของพระศาสดา มีเจตนามุ่งหวังและแสวงหากำไรเป็นประโยชน์เฉพาะตนมาใช้เป็นฐานรองรับในการขอใช้อำนาจทางกฎหมายคุ้มครอง การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพของตนโดยชอบธรรมเพื่อให้ลงโทษบุคคลอื่นที่กล่าวประกาศ ตีแผ่ และตำหนิติเตียนเฉพาะ แต่การกระทำและผลการกระทำของโจทก์ โดยไม่ใช่เป็นการใส่ร้ายในเรื่องส่วนตัวของโจทก์แต่ประการใด ดังนั้น โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ทั้งโดยนิตินัย และพฤตินัยในคดีอาญาที่จะมีสิทธิ์นำคดีมาฟ้องศาล ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ขอพิพากษายกฟ้อง"

ท่านผู้ชมครับ นี่ไงล่ะครับ "ความจริงที่มีหนึ่งเดียว" คำพิพากษาฉบับนี้ผมอ่านอย่างละเอียดทุกตัวอักษรแล้ว ผมต้องขอคารวะท่านผู้พิพากษาว่าเป็นผู้ที่มีธรรมอยู่ในใจ นอกจากใจจะมีธรรมแล้ว ยังสามารถเชื่อมธรรมเข้ากับเหตุการณ์ทางโลกได้ และสามารถถ่ายทอดธรรมนั้นออกมาได้ชัดเจน แจ่มแจ้งทุกจุด

สำหรับครูอ้อย เมื่ออ่านคำพิพากษาแล้ว หากจะกลับไปทำมาหากินแบบเดิม ตั้งตัวเป็นอาจารย์สอนธรรมทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นปุถุชนคนธรรมดา คราวนี้อาจจะยากหน่อย เพราะศาลท่านกล่าวชัดแล้วว่า พระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งประเสริฐสุด มีคุณค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการประทานให้เปล่า ไม่ต้องใช้เงินหรือใช้ทองเข้ามาแลก

บิ๊กต่อ เบรก บิ๊กโจ๊ก เรียกตำรวจคุยพลการ

ท่านผู้ชมครับ มีข่าวๆ หนึ่ง ท่านผู้ชมคงได้เห็นแล้ว ถ้าติดตามข่าว แต่ผมจะพูดเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง เพราะว่ามันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังเยอะมาก คือช่วงตรุษจีนที่ผ่านมานี้ วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งด่วนที่สุด ที่ 0001(ผบ)/33 ลงว่า เรื่อง งดเว้นการเรียกผู้ควบคุมการบังคับบัญชา เพื่อให้การบริหารราชการเป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง นโยบายและแนวทางการปฏิบัติราชการที่กำหนด


สำหรับประชาชนทั่วไป คำสั่งนี้อาจจะไม่มีความหมาย แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่าสองแสนนายทั่วประเทศนั้น คำสั่งดังกล่าวเหมือนอั่งเปาซองใหญ่ที่ ผบ.ตร. แจกให้ช่วงตรุษจีนปีมังกรทองก็ว่าได้

คำสั่งนี้ถึงแม้ว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล จะแจ้งต่อรอง ผบ.ตร. ทุกคน จเรตำรวจแห่งชาติ และ ผู้ช่วย ผบ.ตร. หรือตำแหน่งเทียบเท่า ได้รับทราบ แต่คนในวงการสีกากีรู้ว่าคำสั่งนี้เป็นข้อสั่งการคุมกำเนิดกระบวนการลุแก่อำนาจของนายตำรวจระดับสูงเพียงหนึ่งเดียว คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล


ในวงการตำรวจเขารู้กันมานานนับปีแล้วว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถือวิสาสะใช้ห้องที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดี เป็นศูนย์บัญชาการส่วนตัว ใช้ในการแถลงข่าวผลงาน ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ตลอดจนนัดพบข้าราชการตำรวจจากทั่วประเทศที่พลั้งพลาดมีแผลถูกร้องเรียน หรือบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ก้ำกึ่งจะกระทำความผิด หรือบริหารงานไม่ตรงเป้า ก็จะถูก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เรียกมาพบเป็นการส่วนตัว โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการมาชี้แจง มาประชุม ดูงาน และปรับทัศนคติ ณ ที่ทำงานเถื่อน (สำหรับผม) ที่บิ๊กโจ๊กเรียกว่า ออฟฟิศสโมสรตำรวจมานานตั้งสองปีแล้ว


ท่านผู้ชมครับ มีข้าราชการตำรวจแฟนคลับ SONDHI TALK ได้ inbox เข้ามายังรายการ ระบุถึงวิธีการเรียกตำรวจจากทั่วสารทิศมาพบในที่ทำการเถื่อนของบิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เขาบอกว่าแต่ละวันตำรวจถูกเรียกมาพบมีจำนวนหลายสิบนาย จนเป็นร้อยนาย ตำรวจที่ถูกรอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เรียกเข้ามาพบ มีตั้งแต่ระดับสารวัตร ยันรองผู้การ วิธีการเรียกคือ บิ๊กโจ๊กใช้ตำรวจหน้าห้องโทรตาม บอกนายให้มาพบ ให้มาในวันนี้ เวลานี้ โดยการสั่งจะให้นายเวรโทรศัพท์สั่งทางวาจา ไม่มีบันทึกเป็นหนังสือเพื่อกันตัวเองออกเผื่อมีปัญหาภายหลัง

ท่านผู้ชมรู้ไหม ตำรวจที่อยู่ห่างไกล ต่างจังหวัด จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ก็ลำบากลำบน มีค่าใช้จ่ายสูง เพราะเบิกงบไม่ได้ การเรียกเข้ามาพบส่วนตัวนี้ ตำรวจจะเบิกค่าเดินทางเป็นค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้ ต้องเสียเงินเสียทองส่วนตัวเดินทางมาเอง เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา เสียทั้งอัตรากำลังพลที่ต้องดูแลพื้นที่ เมื่อตำรวจที่ถูกเรียก มาถึงสโมสรตำรวจ ก็จะมีทีมงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ถ่ายรูปส่งทางไลน์ให้เซ็นชื่อ แจ้งคนสั่งให้รู้ว่ามาแล้วนะ เหมือนเป็นการรายงานตัว จากนั้นทีมงานจะให้รอ ... รอ ... และก็รอ ...

เยอะเลยครับท่านผู้ชม นัดเก้าโมงเช้า แต่กว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะมาก็สามหรือสี่ทุ่ม ท่านผู้ชมลองหลับตาวาดภาพดู ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสามทุ่ม สิบสองชั่วโมงที่นั่งรอ ตำรวจส่วนใหญ่พอเจอหน้ารอง ผบ.ตร. ถูกตำหนิ ถูกด่า พร้อมไล่กลับ บางคนโดนเรียกมา พอคนสั่งรู้ว่ามาแล้วก็แกล้งให้รอ ก่อนยกเลิก และยังนัดใหม่ติดๆ กันอีก 3-4 วัน หรือถูกแกล้งสั่งให้เดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัด คิดเป็นเวลาต่อเนื่องนานนับเดือนก็มี

ประเด็น วิธีการเรียกตัวพบด่วนอย่างนี้ ตำรวจที่ไหว ที่ทำงานใกล้ เดินทางง่าย อาจจะแค่หงุดหงิดใจ แต่พวกที่ทำงานไกลๆ อยู่ต่างจังหวัดนั้น ปฏิเสธไม่ได้ เพราะว่าเป็นคำสั่งนายเรียกให้เข้ามาพบ ที่ผ่านมาจึงเกิดข่าวสะเทือนวงการ ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า มีนายตำรวจระดับผู้กำกับโรงพักเกิดวูบเสียชีวิตคาสโมสรตำรวจระหว่างเดินทางมารอพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เพื่อร่วมประชุมรับข้อสั่งการคดีค้ามนุษย์และจับกุมคนต่างด้าว


ตำรวจคนนั้นคือ พ.ต.อ.วัฒนกิจ เฉลาประโคน ผู้กำกับการ สภ.ลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ อายุ 55 ปี วูบหมดสติเสียชีวิตระหว่างการรอการประชุมคดีที่สโมสรตำรวจ ก่อนหน้าที่ พ.ต.อ.วัฒนกิจ จะจบชีวิตเพียง 1 วัน มีผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นว่า พ.ต.อ.วัฒนกิจ ขะมักเขม้นรวบรวมข้อมูล สถิติคดีปราบปรามการค้ามนุษย์และผลการจับกุมบุคคลต่างด้าวที่โรงพัก หวังมาชี้แจงในที่ประชุม ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร. พึงพอใจ วันรุ่งขึ้นเจ้าตัวตื่นตั้งแต่ตีห้า เดินทางจากโรงพักลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ มาที่สโมสรตำรวจ ที่กรุงเทพฯ เข้าร่วมประชุมตามคำสั่ง ท้ายสุดเกิดวูบ เสียชีวิตระหว่างรอเพื่อแจ้งผลงานชิ้นสุดท้าย

นอกจากนี้ ยังมีความยากลำบากของนายตำรวจระดับผู้กำกับการซึ่งประจำการอยู่ต่างจังหวัด ห่างไกลจากกรุงเทพฯ อีกคนหนึ่ง มีแฟนคลับรายการ SONDHI TALK เล่าให้ฟังว่า ถูก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เรียกมาพบเป็นการส่วนตัว ทั้งๆ ที่ผู้กำกับฯ คนนั้นกำลังติดพันอยู่กับการจัดพิธีศพคุณพ่อที่เพิ่งวายชนม์ เมื่อถูกบีบบังคับถึงขั้นนี้ เจ้าตัวไม่เสียดายชีวิตราชการแล้ว ขอลาออกจากตำรวจเลย ไปใช้ชีวิตเงียบๆ ด้วยความเจ็บปวดใจ ตำรวจคนนี้ก็คือ พ.ต.อ.พรพรหม จักษุรักษ์ อดีตผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรเมืองระนอง นายตำรวจรุ่น 49 ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นน้องของบิ๊กโจ๊ก


ท่านผู้ชมครับ ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เรียกมาเพื่อตำหนิติเตียน ด่าว่า ทำงานอย่างโน้นอย่างนี้ จริงๆ แล้วท่านผู้ชมรู้ไหม ถ้า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีข้อมูลอย่างนั้นจริง สิ่งที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ น่าจะรวบรวมก็คือ รวบรวมข้อมูลของตำรวจในแต่ละภาค แล้วก็เรียกผู้บัญชาการภาคมาเลย ภาค 1 ภาค 2 ภาค 3 ภาค 4 ภาค 5 ภาค 6 ภาค 7 ภาค 8 ภาค 9 บอกเลย เฮ้ย! ผมได้ข้อมูลมาว่าตำรวจในภาคคุณ เป็นผู้กำกับคนนี้ สารวัตรคนนี้ รองคนโน้นคนนี้ มีข้อบกพร่องในการทำหน้าที่ดังต่อไปนี้ 1..2..3..4..5..6.. และเอาให้เขากลับไปจัดการ ผู้บัญชาการภาคก็จะเรียกผู้การจังหวัดมาพบ บอกว่าท่านรอง ผบ.ตร. ท่านเรียกมา ตำหนิพวกเรา อย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น เพราะฉะนั้นรีบไปแก้ไขซะ หรือรายงานให้ผมทราบ แล้วผู้บัญชาการก็จะรายงานกลับมาที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ท่านผู้ชมว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีกว่าจะยกหูโทรศัพท์แล้วเรียกมาหรือเปล่า แล้วทำไมต้องทำอย่างนั้นล่ะ ยกหูโทรศัพท์แล้วเรียกมาด่าต่อหน้าต่อตา แล้วตัวเองนัดเขาเก้าโมง แต่ตัวเองกลับมาสาม-สี่ทุ่ม ก็เพราะตัวเองต้องการจะมีผลงาน หิวแสง อยากให้สื่อมวลชนเห็นว่าตัวเองนั้นตั้งใจทำงาน


แต่นี่คือการทำความเดือดร้อนให้กับประชาชน ให้กับตำรวจ ทุกคนไม่มีความสุขเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ เรื่องแค่นี้ เมื่อคุณมีข้อมูลแล้ว แล้วคุณไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาโดยตรง คุณเป็นรอง ผบ.ตร. ถ้าคุณจะด่า คุณเรียกผู้บัญชาการแต่ละภาคมาแล้วคุณด่าเขาสิ คุณดูแลลูกน้องคุณอย่างไร อย่างนี้ๆๆ เอานี่ หลักฐานอยู่ที่ผม คุณเอาไปเลย ไปจัดการซะ รายงานมาให้ผมทราบภายใน 7 วัน ท่านผู้ชมว่าวิธีนี้ดีกว่าหรือเปล่า ที่จะเจาะจงเรียกผู้กำกับคนนั้นมา เรียกรองผู้การคนนี้มา เรียกคนโน้นคนนี้มา ที่สำคัญ เรียกมาแล้วปล่อยให้นั่งรอทั้งวัน ตัวเองไปไหนก็ไม่รู้ แต่นัดเขาให้มาเก้าโมงเช้า นี่คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อีกพฤติกรรมหนึ่ง วันนี้ตำรวจทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เชื่อผมสิท่านผู้ชม 99% ไม่ชอบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เลยแม้แต่นิดเดียว

กฟผ. ปลูกป่าทิพย์

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมประหลาดใจมาก ปกติแล้วผมมององค์กร การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ค่อนข้างที่จะบวก ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยพอใจในความเห็นแก่ตัวของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ที่สะสมกำไรเอาไว้มากจนเกิน แต่พูดถึงพฤติกรรมแล้ว ผมยังคิดว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เป็นองค์กรที่โปร่งใส มีธรรมาภิบาล แต่เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้ มันทำให้ความเชื่อมั่นของผมสั่นคลอน

มีคนที่รับไม่ได้กับปัญหาทุจริตประพฤติมิชอบของการฝ่ายไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ได้ร้องเรียนมาที่ทีมงานของผมผ่าน inbox เขาระบุว่า พบการทุจริตในโครงการปลูกป่าและบำรุงรักษาป่าอย่างยั่งยืน หรือที่เรียกกันว่า "โครงการปลูกป่าล้านไร่" ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ทำ MOU ร่วมกับกรมป่าไม้ และอื่นๆ ผมดูรายละเอียดแล้วผมก็เลยบอกพรรคพวกว่า เฮ้ย ไม่ได้นะ ให้ส่งคนของเราลงไปเลย ไปสำรวจพื้นที่ตามที่กล่าวหามา


วิธีการทุจริตมีตั้งแต่ขั้นตอนการปลูกป่า ที่พบว่าที่ปลูกนั้นเป็นป่าทิพย์ เพราะว่ามีต้นไม้เฉพาะด้านหน้า เข้าไปด้านในกลับไม่ได้มีการปลูกป่าให้เป็นไปตามร่างขอบเขตงาน ท่านผู้ชมรู้ไหม เมื่อกรรมการตรวจรับงานไม่อนุมัติผ่านถึง 3 ครั้ง แล้วส่งเรื่องไปให้ผู้บังคับบัญชา ระบุว่าพบการทุจริต แล้วเกิดอะไรขึ้น ? คนที่อายุหลายสิบปี และทำงานอยู่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ หลายสิบปี และทำงานเพื่อองค์กรจริงๆ ต้องการความโปร่งใส พอไปตรวจสอบแล้วก็บอกว่าไม่อนุมัติให้ผ่าน คือพูดง่ายๆ ว่าไปตรวจรับงาน 3 ครั้ง พอรายงานขึ้นไปข้างบนปรากฏว่าถูกกลั่นแกล้ง ถูกสั่งย้ายไปอยู่ในตำแหน่งอื่นๆ เพื่อกีดกันไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานโครงการปลูกป่าฯ แล้วรีบเปลี่ยนกรรมการตรวจรับชุดใหม่ เพื่อให้ตรวจรับงานของโครงการฯ ให้ผ่านทุกพื้นที่และเบิกเงินจาก กฟผ. ได้

คนที่ถูกย้ายนั้น อายุงานแต่ละคนหลายสิบปี บางคนใกล้เกษียณ อายุงานอีกไม่กี่ปี เขาพยายามรักษาผลประโยชน์ขององค์กร ไม่ให้เงินทองรั่วไหลไปกับขบวนการทุจริตอันแสนอุบาทว์นี้ กลับถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่ง

ท่านผู้ชมครับ เพื่อความเข้าใจ เรามาดูที่ไปที่มาของเรื่องราว คือ กฟผ. มีแผนปลูกป่าปีละ 1 แสนไร่ เป็นระยะเวลา 10 ปี รวมแล้ว 1 ล้านไร่ ทั้งป่าอนุรักษ์ ป่าชุมชน ป่าเศรษฐกิจ และป่าชายเลน โดยต้องเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ไม่มีบ้านคนอาศัยอยู่ และไม่ใช่ที่ดินทำมาหากินของชาวบ้าน


กรมป่าไม้ หน่วบงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ป่าชายเลน รับผิดชอบโดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พื้นที่อุทยานแห่งชาติ ก็จะเป็นของกรมอุทยานฯ จะจัดสรรและส่งมอบพื้นที่ป่าให้ กฟผ. แล้วรับไปดำเนินการจ้างชาวบ้านในพื้นที่ปลูกป่า จากนั้นจะมีกรรมการตรวจรับงานของกรมป่าไม้ และ กฟผ. ลงพื้นที่ตรวจ ถ้าตรวจรับผ่านก็เบิกจ่ายงบประมาณได้ตามปกติ

รายละเอียดของ TOR ระบุว่าต้องปลูกป่าให้ได้ 200 ต้น ต่อ 1 ไร่ โดย 100 ไร่ เท่ากับ 20,000 ต้น ต้องมีการทำแนวกันไฟ เส้นทางตรวจการณ์ และต้นไม้ต้องโตไม่น้อยกว่า 80% หรือยืนต้นตายได้ไม่เกิน 20 ต้นต่อไร่ ส่วนการปลูกป่าไม่ใช่ว่าจะปลูกตอนไหนก็ได้ นึกอยากจะปลูกก็ปลูก โดยต้องปลูกก่อนช่วงฤดูฝนอย่างน้อยประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อให้ต้นกล้าได้มีโอกาสยืนต้นได้ เพราะถ้าปลูกในช่วงฤดูแล้ง ต้นกล้าไม้ก็จะตายหมด ซึ่งจะไปขัดกับเงื่อนไข TOR

สำหรับโครงการ "ปลูกป่าล้านไร่" ของ กฟผ. มีการจัดสรรงบประมาณเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก ค่าปลูกต้นไม้ในปีแรก ตั้งราคากลางไว้ที่ 4,020 บาทต่อไร่ เพราะฉะนั้นถ้าปลูกปีละ 1 แสนไร่ เท่ากับใช้งบประมาณไป 402 ล้านบาท ถ้าปลูกต่อเนื่องไป 10 ปี ใช้งบประมาณทั้งหมด 4,020 ล้านบาท ส่วนที่สอง คือค่าบำรุงรักษาต้นไม้เป็นเวลา 10 ปี ตั้งราคากลางไว้ที่ 1,250 บาทต่อไร่ สมมุติว่าปลูก 1 แสนไร่ เท่ากับปีละประมาณ 125 ล้านบาท ดูแลต่อเนื่องไป 10 ปี รวมแล้วอีก 1,250 ล้านบาท


ทั้งหมดนี้ ทั้งค่าดูแลบำรุงรักษา และค่าปลูก 10 ปี รวมแล้วยอดเงิน 5,270 ล้านบาท งบประมาณนี้ยังไม่นับรวมงบประมาณส่วนอื่น เช่น งบประมาณทีมงานเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจทั่วประเทศ ที่จะต้องมีค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก ค่าโอที ค่าเดินทาง ค่าตั๋วเครื่องบินให้ กฟผ. ได้ตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบขึ้นมา เรียกว่า "กองส่งเสริมมาตรการปลูกป่าอย่างมีส่วนรวม" จัดตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับภารกิจนี้โดยตรง

ในปีงบประมาณ 2565 กรมป่าไม้ได้มีการจัดสรรพื้นที่ให้ กฟผ. ดำเนินการโครงการ "ปลูกป่าล้านไร่" จำนวน 97,000 ไร่ ทำการปลูกป่าไปแล้วทั้งหมดก่อนที่ กฟผ. จะตรวจรับงาน แต่การดำเนินโครงการในปีงบประมาณ 2565 นั้น มีความผิดปกติ

ความผิดปกติแรก คือในปีงบประมาณ 2565 กรรมการตรวจรับพื้นที่ปลูกป่าจำนวน 97,000 ไร่ ทั้งประเทศ มีเพียง 2 คน ที่เข้าไปตรวจรับงาน คนหนึ่งจาก กฟผ. ได้แต่งตั้งหัวหน้าปฏิบัติการภาคเหนือ และอีกคนหนึ่งเป็นลูกจ้างเหมาของบริษัท ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏว่าป่าที่ปลูกตามโครงการ "ปลูกป่าล้านไร่" ในปีงบประมาณ 2565 คณะกรรมการฯ ตรวจผ่านให้หมด ทุกแปลงไม่มีปัญหา ส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่เบิกจ่ายงบประมาณไปแล้ว 394 ล้านบาท


การตรวจรับแต่ละครั้ง ปกติถ้าตรวจอย่างละเอียด ให้เป็นไปตามข้อกำหนด TOR ยกตัวอย่างเช่น พื้นที่ป่า 100 ไร่ ต้องเดินเท้าประมาณ 500 เมตร พื้นที่ป่าไม่ใช่ทางเรียบ แต่เป็นภูเขา มีโขดหิน มีเหว ต้องนั่งรถมอเตอร์ไซค์ นั่งรถไถ เข้าไปยังจุดที่มีการปลูก ด้วยเหตุนี้ แต่ละแปลงปลูกจึงต้องใช้เวลาอย่างน้อยแปลงละประมาณ 4 ชั่วโมง แต่ผลการตรวจรับ กรรมการที่ให้ผ่าน พบว่าแค่ไปถ่ายรูปหน้าป้ายแปลงปลูกป่าร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้เท่านั้น แต่ไม่ได้มีการลงสำรวจจริง

คำถามที่น่าสนใจ คือ ในปีงบประมาณ 2565 กรรมการตรวจรับมีเพียง 2 คน แต่ตรวจรับพื้นที่ป่าทั่วประเทศ 97,000 ไร่ เป็นไปได้หรือเปล่า สมเหตุสมผลหรือเปล่า หรือแท้จริงแล้วกรรมการตรวจฯ ไม่ได้ตรวจอย่างละเอียดตามข้อกำหนด TOR แค่เซ็นชื่อไปให้จบๆ เท่านั้นเอง

ถัดมา งบประมาณปีที่แล้ว 2566 กรมป่าไม้จัดสรรพื้นที่ กฟผ. อีก 98,000 ไร่ แต่เผอิญมีการเปลี่ยนชุดผู้บริหารโครงการฯ เนื่องจากมีการเลื่อนตำแหน่ง แต่งตั้งผู้บริหารคนใหม่เข้ามารับหน้าที่ดูแลโครงการนี้แทน งบประมาณก็เหมือนเดิม 2 ส่วน ส่วนแรก งานปลูกต้นไม้ ไร่ละ 4,020 บาท รวมประมาณ 393.96 ล้านบาท งานบำรุงต้นไม้ งบประมาณที่จ่ายไปแล้วคือ 394 ล้านบาท รวมงบประมาณปี 2566 ทั้งสิ้น 515 ล้านบาท ก็อย่างนี้ล่ะ เหมือนกัน ไม่รวมงบประมาณอื่น งบประมาณค่าเดินทาง นู่นนี่นั่น


ปี 2566 การตรวจรับงานไม่ได้มีแค่ 2 คน คือคน กฟผ. 1 คน กับลูกจ้างเหมาอีก 1 คน เหมือนในปี 2565 แล้ว แต่ กฟผ. ตั้งกรรมการตรวจรับ 3 ชุด ชุดที่หนึ่ง นำโดยหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการภาคเหนือ ชุดที่สอง นำโดยหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการภาคอีสาน ชุดที่สาม หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการภาคใต้

การตั้งกรรมการตรวจรับงานในปีที่สองนี้เอง จึงนำมาสู่การโป๊ะแตก คือคณะกรรมการตรวจรับชุดหนึ่งมีอยู่ 3 คน ลงพื้นที่เฉพาะจังหวัดแพร่ จังหวัดน่าน พบว่าพื้นที่แปลงบำรุงรักษา 4,570 ไร่ ผ่านการตรวจ 3,304 ไร่ ไม่ผ่านการตรวจ 1,116 ไร่ คิดเป็นจำนวนพื้นที่มากกว่า 30% ปัญหาที่เจอคือ หลายแปลงไม่มีต้นไม้ครบถ้วนตามจำนวนไร่ที่ระบุในสัญญาจ้าง บางแปลงปลูกต้นไม้เฉพาะด้านหน้าแปลงปลูก แต่พอเข้าไปถึงด้านในลึกๆ กลับไม่พบว่ามีต้นไม้ที่แปลงปลูกเลย หรืออาจจะเรียกว่า "ปลูกป่าทิพย์" ก็ได้

นอกจากนี้ ยังพบว่าพื้นที่แปลงปลูก ไม่สามารถปลูกต้นไม้ได้จริง เช่น พบไร่มันสำปะหลัง หรือสวนยางพารา อยู่ในพื้นที่แปลงปลูก นอกจากนี้แล้ว งานปลูกต้นไม้ บำรุงรักษาต้นไม้ไม่เป็นไปตาม TOR กฟผ. ได้แก่ ไม่มีต้นไม้ตามจำนวนไร่ที่ระบุในสัญญาจ้าง ไม่มีแนวกันไฟและเส้นทางตรวจการณ์ ไม่มีแม้กระทั่งหลักไม้ และไม่มีต้นไม้ เป็นต้น


ลักษณะการตรวจงานบำรุงรักษาไม่สอดคล้องกับการตรวจรับงานปลูกป่าปีงบประมาณ 2565 ที่มีกรรมการตรวจรับ 2 คน ตรวจรับงานผ่านทุกแปลง จำนวน 97,000 ไร่ จึงสันนิษฐานว่า กรรมการที่ตรวจรับชุดที่แล้ว (ปี 2565) นั้น อาจจะไม่มีการตรวจรับจริง

ความผิดปกติประการต่อมา คือ เมื่อมีการตรวจรับงานไม่ผ่าน เฉพาะบางแปลงมีปัญหา กรรมการก็เลยตรวจแบบไม่ให้ผ่าน แม้จะมีการต่อสัญญา คืองานบำรุงป่า ถึง 30 พฤศจิกายน 2566 และขยายระยะเวลาสัญญาการปลูกใหม่ วันที่ 20 ธันวาคม 2566 แล้วก็ตาม กรรมการฯ ยังพบว่าไม่มีการแก้ไขให้เป็นไปตาม TOR กำหนด จึงยืนยันตรวจไม่ให้ผ่านเหมือนเดิม

สุดท้าย ท่านผู้ชมรู้ไหม ผู้บริหาร กฟผ. กลับแก้ปัญหาปลูกป่าทิพย์ ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดและลึกลับที่สุด คือ เปลี่ยนกรรมการยกชุด ตรวจไม่ให้ผ่าน ก็เปลี่ยนออกไป เพื่อให้ตรวจรับงานทุกแปลง เพื่อให้สามารถดำเนินการเบิกค่าใช้จ่ายได้หมด ท่านผู้ชมครับ เจ้าพนักงาน กฟผ. ครับ คุณไปสืบเอาเองก็แล้วกันว่าผู้ใหญ่จาก กฟผ. คนนั้นคือใคร ? ต้องมีเงินเศษตกหล่น แม้กระทั่งปลูกป่า ก็ยังโกงกันเลยท่านผู้ชม

นอกจากนี้ ที่กรรมการตรวจรับฯ ไม่ให้ผ่าน ที่ว่าเป็นความผิดปกติ กลับถูกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งอื่นที่ไม่กี่ยวข้องกับโครงการนี้ เพื่อกีดกันไม่ให้เข้าไปตรวจสอบโครงการได้อีก ทั้งๆ ที่กรรมการตรวจรับพวกนี้ยอมรับความลำบาก เดินเข้าป่าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ ช่วยรักษาผลประโยชน์ของ กฟผ. ไม่ให้งบประมาณรั่วไหล


ท่านผู้ชมครับ ผมส่งลูกน้องเข้าไปดูเหตุการณ์ แล้วก็มีข้อมูลทั้งหมดแล้ว มีหมดทุกอย่างเลย เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นความจริง

พฤติกรรมผิดปกติดังกล่าว 2-3 ข้อ ของโครงการ "ปลูกป่าล้านไร่" ไม่ว่าจะเป็นการตรวจรับงาน และการจ่ายเงินทั้งๆ ที่งานไม่ได้เสร็จจริงหรือเป็นไปตาม TOR นั้น ในทางปฏิบัติถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้ว ตามมาตรา 157 นอกจากนี้แล้ว ยังมีความผิดตามข้อบังคับ กฟผ. ฉบับที่ 428 ฉบับแก้ไข 353 คือ ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ เป็นเหตุให้ กฟผ. เสียหายอย่างร้ายแรง และทุจริตต่อหน้าที่


ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จำนวนเงินอาจจะมีการเบียดบังหรือคอร์รัปชันในหลักร้อยล้าน แต่โกง 1 บาท ก็ถือว่าโกง สรุปแล้วโครงการ "ปลูกป่าล้านไร่" ของ กฟผ. นั้น ถ้ามองอย่างผิวเผินสำหรับคนที่มองโลกสวย เดินบนทุ่งลาเวนเดอร์ ถือว่าเป็นการทำกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ CSR อย่างหนึ่ง โดยอ้างว่าเพื่อช่วยแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ เพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างประโยชน์จากการดูดซับ กักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยส่งเสริมฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ ยกระดับคุณภาพชีวิตด้านเศรษฐกิจ สังคม ของคนในชุมชน แต่เบื้องหลังเหตุผลที่สวยหรูเหล่านี้กลับเป็นความเน่าเฟะ มีวาระซ่อนเร้น เกิดการทุจริตงบประมาณ กฟผ. ทำให้ กฟผ. สูญเสียงบประมาณนับร้อยนับพันล้านบาท เงินพวกนี้เป็นเงินค่าไฟที่พวกเราจ่ายกัน จากการขายส่งไฟ กฟผ. ที่แพงหูฉี่

เราจ่ายเงินค่าไฟแพง เพื่อให้ กฟผ. ไปทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เพื่อให้ผู้ใหญ่ใน กฟผ. ทำมาหารับประทานกับผลประโยชน์เต่างๆ เหล่านี้ ท่านผู้ชมฟังแล้วคิดว่าเป็นตลกร้ายของสังคมไทยหรือเปล่า มันบัดซบไปหมดแล้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งองค์กรที่ควรที่จะมีคุณธรรม ความโปร่งใส ธรรมาภิบาลในการทำงาน อย่างเช่น กฟผ. ครับ

"ไบเดน" จุดอ่อนอเมริกา


ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้ ท่านผู้ชมเชื่อไหม ประเด็นคือ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐอเมริกา ลึกๆ แล้วเริ่มเป็นอัลไซเมอร์แล้ว และถ้ายังเสนอไบเดน เป็นตัวแทนเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตแล้ว มันมีความเสี่ยงของอเมริกามาก ผมเคยเกริ่นเรื่องนี้มาให้ท่านผู้ชมรับทราบไว้แล้ว ในปี 2567 ผมบอกว่าปีนี้จะมีสภาวะการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์โลกอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมากที่สุดในรอบหลายทศวรรษ คือปีนี้จะมีการเลือกตั้งเยอะมาก ไต้หวัน ซึ่งเลือกตั้งไปแล้ว มีเลือกตั้งผู้นำอินเดีย ปากีสถาน อินโดนีเซีย อียู รัสเซีย แต่การเลือกตั้งทั้งหมดนี้ ไม่มีเรื่องอะไรยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด และมีคนสนใจมากที่สุด เท่ากับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 มีแนวโน้มสูงอย่างยิ่งว่าพรรคเดโมแครตจะเสนอ โจ ไบเดน ส่วนพรรครีพับลิกันนั้นก็น่าจะเสนอ โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมา ซึ่งเป็นคู่แข่งของกันและกันในคราวที่แล้ว


ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้ท่านที่เคยติดตามข่าวต่างประเทศอย่างใกล้ชิด ท่านจะทราบว่าความไม่แน่นอน หรือความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในโลกขณะนี้คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ความเสี่ยงดังกล่าวถึงขั้นมีกลุ่มบริษัทชื่อ ยูเรเซีย กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงทางการเมือง มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่มหานครนิวยอร์ก เผยแพร่บทวิเคราะห์ออกมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว พูดชัดเจนว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ เป็นบททดสอบประชาธิปไตยของอเมริกา ในระดับที่ประเทศนี้ไม่เคยพบมาก่อนในรอบ 150 ปี ซึ่งหมายถึงนับตั้งแต่สงครามกลางเมืองของอเมริกาในช่วงศตวรรษที่ 19 นั่นเอง


รายงานของยูเรเซีย กรุ๊ป ระบุชัดเจนว่า อเมริกานั้นถือว่าเป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้าที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ประสบความแตกแยก และมีความบกพร่องมากที่สุดในโลกอยู่แล้ว โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีปลายปีนี้จะทำให้ปัญหานี้รุนแรงขึ้น ไม่ว่าผู้สมัครคนใดก็ตามจะเข้าสู่ทำเนียบขาว

ข้อความการวิเคราะห์ของยูเรเซีย กรุ๊ป ระบุว่า ขณะที่ผลการเลือกตั้งยังไม่มีใครรู้หรือคาดเดาได้ เพราะมีความสูสีในขณะนี้ ล่าสุด โจ ไบเดน ตาม โดนัลด์ ทรัมป์ อยู่ประมาณ 5 จุด แต่สิ่งเดียวที่มีความแน่นอนที่สุดที่บทวิเคราะห์ยูเรเซีย กรุ๊ป ระบุ ก็คือว่า สายใยทางสังคม สถาบันทางการเมือง และสถานะบนเวทีโลกของอเมริกา จะได้รับความเสียหาย ถูกทำลาย และจะต้องอยู่ในสภาวะถดถอยต่อไป ไม่เพียงแต่ระบบการเมือง การต่งาประเทศ หรือภาวะสังคมของชาวอเมริกันที่ตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ และสุ่มเสี่ยงที่สุด แม้กระทั่งผู้นำสหรัฐฯ เองก็ยังก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมหาศาลอีกด้วย


ท่านผู้ชมครับ ผมกำลังสรุปว่า ไบเดน คือจุดอ่อนของอเมริกา ท่านผู้ชมที่เป็นแฟนพันธุ์แท้รายการผมคงจะจำได้ว่าผมเคยพูดเรื่องนี้มาในตอนที่ 147 ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2565 เกือบสองปีที่แล้ว ผมเคยเล่าให้ฟังว่า นายแพทย์รอนนีย์ ลินน์ แจ็กสัน (Ronny Lynn Jackson) ซึ่งเป็นอดีตหมอประจำทำเนียบขาวในช่วงประธานาธิบดี 3 คน ตั้งแต่จอร์จ ดับเบิลยู บุช บารัก โอบามา และ โดนัลด์ ทรัมป์ ปัจจุบันเขาเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน และเป็นวุฒิสมาชิกด้วย

เขาเป็นคนที่เรียกร้องให้ ไบเดน ลาออก เขาได้ให้สาเหตุทางการแพทย์แล้ว เขาบอกว่าเขาเชื่อ 100% ว่า ไบเดน ไม่มีความสามารถเพียงพอจะรับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไป ไม่ว่าทางกายภาพ อารมณ์ ความรู้สึก โดยเฉพาะการรับรู้ทางสมองที่เสื่อมโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด จนไม่น่าจะอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีได้ครบ 14 ปี และไม่ควรจะเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาอีกต่อไป

เขายกตัวอย่างพฤติกรรมที่สับสนหลายครั้งหลายหนของนายไบเดน ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการอ่านสคริปต์จาก Teleprompter (เครื่องบอกบท / เครื่องอ่านสคริปต์ สำหรับงานถ่ายทอดสด) คือจออันหนึ่งซึ่งจะวางอยู่ข้างหน้าคนที่พูด แล้วบทพูด บทสัมภาษณ์ บทสนทนาจะถูกพิมพ์ขึ้น teleprompter ตัวใหญ่ๆ พูดง่ายๆ ว่าไม่ต้องดูต้นฉบับก็อ่านจาก teleprompter ในขณะเดียวกัน กล้องก็จะส่องตรงหน้ามา ก็เลยทำให้ดูเหมือนพูดออกมาอย่างธรรมชาติที่สุด


เขาบอกว่าใน teleprompter นั้น มันจะมีคำพูดซึ่งคนเขียนบทเขาเขียนบอกว่า อ่านถึงตอนนี้จบแล้วให้พูดซ้ำอีกทีหนึ่ง ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า End of quote, repeat the line ปรากฏว่านายโจ ไบเดน พูดตาม teleprompter แล้วก็พุดย้ำว่า อ่านถึงตอนนี้จบแล้วให้พูดซ้ำอีกทีหนึ่ง ทำให้ผมอดนึกถึงคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้ แต่คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สมองไม่ได้เสื่อม เพียงแต่เอ๋อเท่านั้นเอง


การบอกบทเน้นไปที่ไบเดน ย้ำให้ไบเดน ทำเช่นนั้นเช่นนี้ หันไปถามคนโน้นคนนี้ แสดงการขอบคุณผู้ร่วมประชุม ซึ่งเป็นบทที่เขาเขียนกำกับให้โจ ไบเดน ทำตาม แต่ขนาดบอกบทละเอียดอย่างนี้แล้ว ไบเดน ยังหลุดคิวที่ทีมงานเขียนให้ แล้วหลายๆ ครั้ง เมื่อเสร็จการแสดงสุนทรพจน์ ไม่มีใครอยูรอบตัว โจ ไบเดน หันกลับไปจับมืออากาศ แล้วเพิ่งนึกออกว่าไม่มีใครอยู่ ก็เลยเดินลงเวทีแบบหลงทิศหลงทาง

ล่าสุด กุมภาพันธ์ 2567 มีการปราศรัยที่เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา โจ ไบเดน พูดจา ว่าตัวเองได้พูดคุยกับอดีตผู้นำของฝรั่งเศส นายฟร็องซัว มีแตร็อง เขาพูดจาสับสน สลับระหว่างนายแอมานุแอล มาครง นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส กับ นายฟร็องซัว มีแตร็อง เขาบอกว่าอเมริกากลับมาแล้ว คำพูดดังกล่าวทำให้สื่อมวลชนทุกคนตกใจหมด รวมทั้งทีมงานของ โจ ไบเดน ถึงกับประสาทเสียเลย ทุกคนเหวอกันหมด เพราะว่านายฟร็องซัว มีแตร็อง เป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสในช่วงปี 2524-2538 และเขาได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2539 หรือตายไปตั้ง 28 ปีที่แล้ว นายไบเดน ยังเรียกนายแอมานุแอล มาครง ว่าเป็นนายฟร็องซัว มีแตร็อง


ปัญหาเรื่องสุขภาพที่ถดถอยนั้น ทำให้นายแลร์รี จอห์นสัน (Larry C. Johnsom) อดีตเจ้าหน้าที่ CIA ออกมาชี้ให้เห็นถึงความถดถอยทางระบบสมองจิตและประสาทของประธานาธิบดีไบเดน อันจะก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงสหรัฐฯ แลร์รี จอห์นสัน อ้างอิงว่า หลังจากพฤหัสบดีที่แล้ว วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 มีการแต่งตั้งอัยการพิเศษ ชื่อ นายโรเบิร์ต เฮอร์ (Robert K. Hur) เพื่อตรวจสอบว่านายโจ ไบเดน เอาความลับทางทหารสมัยที่เป็นรองประธานาธิบดี ยุคของนายบารัก โอบามา เอากลับบ้านไป


ไบเดน อายุ 81 ถูกกล่าวหาว่าจงใจเก็บเอกสารลับสุดยอดเกี่ยวกับการปฏิบัติการทางทหารในอัฟกานิสถาน และความมั่นคงของชาติ หลังจากหลุดพ้นตำแหน่งรองประธานาธิบดีไป ยุคประธานาธิบดีบารัก โอบามา เอาเก็บไว้ที่บ้านที่เดลาแวร์ กลับสรุปการสอบนายไบเดน ว่า นายไบเดน เป็นผู้ที่มีอายุมากแล้ว มีเจตนาดี แต่ความจำไม่ดี มีภาวะหลงๆ ลืมๆ นี่คืออัยการพิเศษนะครับ หลังจากไปสอบนายไบเดน เป็นเวลาถึง 5 ชั่วโมง เขาสรุปในการสอบสวนว่า เรา (ทีมงานอัยการพิเศษ) พิจารณาแล้วว่า หากมีการไต่สวนในชั้นศาล นายไบเดน จะแสดงตนเองต่อหน้าลูกขุนในฐานะชายสูงวัยที่มีเมตตา จิตใจดี แต่ความทรงจำไม่ค่อยดี เช่นเดียวกับเวลาที่เราสอบปากคำเขา

รายงานสอบสวนจำนวน 345 หน้า อัยการพิเศษได้ระบุถึงตอนหนึ่ง นายโรเบิร์ต เฮอร์ รายละเอียดการสอบปากคำผู้นำสหรัฐฯ ยาวนานถึง 5 ชั่วโมง ในระหว่างวันที่ 8-9 ตุลาคม 2566 นายโรเบิร์ต เฮอร์ ระบุว่า นายไบเดน จำไม่ได้ว่าเขาดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีเมื่อใด แสดงว่าเขาแทบไม่เหลือความทรงจำใดๆ เลยในช่วงที่เป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ


ประวัติของโจ ไบเดน สมัยที่เขาอายุ 46 ปี เขาเคยได้รับการผ่าตัดสมองเพื่อรักษาโรคเลือดโป่งพองในหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองซีกขวา

หลังจากที่อัยการพิเศษ นายโรเบิร์ต เฮอร์ ออกมาแถลง โจ ไบเดน ฉุนขาด โกรธ ออกมาโต้แย้งคำกล่าวหาของ โรเบิร์ต เฮอร์ อัยการที่ปรึกษาพิเศษของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ชี้แจงผ่านการถ่ายทอดสดและการแถลงข่าวทางโทรทัศน์ในช่วงค่ำของวันพฤหัสดบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ว่า ความทรงจำผมไม่ได้แย่ลง ความทรงจำผมยังดีอยู่ ผมเห็นพาดหัวข่าวต่างๆ ตั้งแต่รายงานการสืบสวนที่กล่าวหาผมจงใจเก็บเอกสารลับ คำกล่าวอ้างพวกนี้ไม่ใช่เพียงแค่ชี้นำให้เข้าใจผิดเท่านั้น แต่ทั้งหมดนี้ไม่เป็นความจริง ผมเป็นคนแก่ แต่ผมรู้ดีว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมเป็นประธานาธิบดี และผมทำให้ประเทศนี้กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง ผมไม่ต้องการคำแนะนำจากเขา

นอกจากนั้นแล้ว โจ ไบเดน ยังโกรธ ทำท่าทีเดือดดาลอย่างชัด เมื่อถูกถามในประเด็นของลูกชาย ตามรายงานที่นายโรเบิร์ต เฮอร์ อัยการพิเศษ ระบุว่า นายไบเดน ยังจำไม่ได้เลย ลูกชายสุดที่รักคนโต ชื่อ โบ ไบเดน เสียชีวิตจากไปในปีใด เมื่อถูกถามในเรื่องดังกล่าว ไบเดน ก็ตอบว่า อย่าเสือก ผมคิดว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพวกเขาเลยสักนิด ผมไม่ต้องให้ใครมาเตือนผมว่าลูกชายผม คือ โบ ไบเดน เสียชีวิตไปเมื่อไร


อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของการแถลงข่าวของนายไบเดน ที่ลาสเวกัส เนวาดา นายไบเดน มีอาการสับสน พูดจาพาดพิงผิดคน เขาเรียกประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ อัลซิซี ซึ่งเคยเป็นประธานาธิบดีของประเทศอียิปต์ กับเรียกว่าเป็นผู้นำเม็กซิโกแทน เมื่อถูกถามความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของสงครามในกาซา โจ ไบเดน เรียกประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ อัลซิซี ของอียิปต์ ว่าเป็นประธานาธิบดีของเม็กซิโก

นอกจากนี้แล้ว โจ ไบเดน ยังตอบคำถามสื่อด้วยความโกรธ โกรธมาก ส่งเสียงดัง หลังจากที่มีนักข่าวถามว่า คนอเมริกันกังวลเกี่ยวกับอายุของเขามาก ไบเดน บอกตลอดเวลาว่า ผมยังมีความทรงจำดีอยู่ ไม่ได้แย่ลง

อย่างไรก็ตาม ยิ่งไบเดน พยายามแก้ตัวเรื่องความทรงจำของตัวเองว่ายังดีอยู่ แต่ก็ยิ่งเผยให้เห็นสัญญาณครั้งแล้วครั้งเล่าของความแก่ชราของสังขาร ความทรงจำของเขาทำให้เกิดข้อสงสัยในหมู่ชาวสหรัฐฯ และชาวโลก ในเรื่องความเหมาะสมที่นายไบเดน จะเป็นประธานาธิบดีต่อไป


ส่วนนายแลร์รี จอห์นสัน อดีต CIA ให้สัมภาษณ์นายสตีเฟน การ์ดเนอร์ (Stephen Gardner) ผ่านช่อง YouTube: Stephen Gardner ซึ่งมีผู้ชมอยู่ประมาณเกือบ 2 ล้านคน นายจอห์นสัน เน้นย้ำถึงประวัติข้อผิดพลาดด้านนโยบายต่างประเทศของไบเดน ก่อนที่เขาจะก้าวไปสู่ภาวะสมองเสื่อมระยะแรก ซึ่งเขายืนยันว่า ระยะต่อไปคือโรคอัลไซเมอร์นั่นเอง

นายแลร์รี จอห์นสัน ระบุว่า ทุกประเด็นด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของชาติ ของนายไบเดน นั้น ผิดพลาด และปัญหาความมั่นคงของชาติในช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมา


อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนพูดออกมา คือ นายโรเบิร์ต เกตส์ (Robert Gates) อดีตรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ในช่วง 2549-2554 เกตส์ ยังเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักข่าวกรอง CIA ที่ทำงานยาวนานถึง 26 ปี เขากล่าวในหนังสือบันทึกความทรงจำของเขา ในรายการ 60 นาทีของ CBX เขาเชื่อว่า ไบเดน ทำข้อผิดพลาดในอัฟกานิสถาน กับวิธีการจัดการถอนทหารออกมาระหว่างปี 2563-2564 หลังจากทำสงครามในอัฟกานิสถานยืดเยื้อนานถึง 20 ปี

ท่านผู้ชมครับ แลร์รี จอห์นสัน อดีต CIA ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ความเสื่อมถอยทางสมองและสติปัญญาของ โจ ไบเดน จะส่งผลกระทบทำให้สถานการณ์โลกเลวร้ายลง เป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติด้วย มีความสับสนวุ่นวายแน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นในการเมืองสหรัฐฯ และการหลงลืม แน่นอน เกี่ยวกับผู้นำสหรัฐฯ การเผยแพร่ข่าวเรื่องนี้จาก FOX News ของพรรครีพับลิกัน ได้เจาะจุดอ่อนเรื่องความเสื่อมถอยด้านความจำที่หลงๆ ลืมๆ และพฤติกรรมที่เลวลงของไบเดน ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

แลร์รี จอห์นสัน ชี้ว่า โจ ไบเดน คืออันตรายต่อความมั่นคงของชาติ แม้แต่การให้สัมภาษณ์ล่าสุดของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กับ นายทัคเกอร์ คาร์ลสัน (Tucker Carlson) ยังกล่าวถึงความกังวลของรัสเซีย รัสเซียกังวลมากว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบถ้านายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอำนาจในการตัดสินใจจริงๆ ที่จะกดปุ่มหรือไม่กดปุ่มอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก


จอห์นสัน ยังพูดถึงประเด็นที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่พูดถึงไบเดน ในวันที่ออกจากทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการ ทรัมป์ บอกกับสื่อมวลชนว่า การใช้บทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ 25 หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า The 25th Amendment ไม่ได้มีปัญหากับตัวเขา แต่จะเป็นปมปัญหาที่ตามมาหลอกหลอนรัฐบาลของนายโจ ไบเดน

รัฐธรรมนูญการแก้ไขฉบับที่ 25 นั้น คือการใช้บทบัญญัติการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ 25 เปิดทางให้โอนอำนาจจากประธานาธิบดี ให้รองประธานาธิบดี และคณะรัฐมนตรี หากรองประธานาธิบดี และคณะรัฐมนตรี เกินกว่าครึ่งหนึ่งพิจารณาแล้วว่าประธานาธิบดีเป็นบุคคลไร้ความสามารถที่ไม่สามารถบริหารประเทศได้ต่อไปอีก พวกเขาก็เลยแค่ถอด นายโจ ไบเดน ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี แล้วส่งนางกมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) รองประธานาธิบดี ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน


นอกจากนี้แล้ว นายแลร์รี จอห์นสัน ยังชี้ให้เห็นว่า ประเด็นที่เคยมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ประธานาธิบดี และสภาคองเกรส มักจะซ่อนตัวอยู่ข้างหลังกองทัพบ่อยจนเกินไป เดิมทีนั้น อเมริกามีศักยภาพทางการทูตสูงมาก แต่ปัจจุบันนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ กลับไม่ได้นำด้วยการทูต กลับถูกนำด้วยการทหารและกองทัพ การเอาทหารนำการทูต ผลที่จะเกิดขึ้นคือ ผู้ที่ได้ประโยชน์ที่สุดคือ พ่อค้าอาวุธสงคราม ผมพูดไปตอนที่แล้วว่าสถิติยอดขายยุทโธปกรณ์ในต่างประเทศของอเมริกาปีที่แล้วทะลุถึง 238,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 8.44 ล้านบาท เกือบ 3 เท่าของงบประมาณแผ่นดินประเทศไทย

แต่จากการติดตามข่าวของผมมาตลอด มีสัญญาณออกมาแล้วว่า คณะกรรมการการเลือกผู้สมัครที่จะลงแข่งขันในตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ เริ่มมีแนวความคิดที่จะไม่เลือกนายโจ ไบเดน แล้ว อาจจะรวมหัวกัน แล้วใครที่เขากำลังจะเสนอขึ้นมาแทนนายโจ ไบเดน ? คือ มิเชล โอบามา สตรีผิวดำ อดีตสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐอเมริกา

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ศึกสงครามภายใน-ภายนอกที่หลากหลายมารุมเร้านายโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ในวัย 81 ปีนั้น กำลังประสบปัญหาหนักทางด้านสุขภาพและความทรงจำ ซึ่งอาจจะไม่สามารถที่จะได้รับเลือกให้เข้ามาลงแข่งตำแหน่งประธานาธิบดีอีก

เพราะฉะนั้น การเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ เลยกลายเป็นความเสี่ยงภัยอันดับหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นไบเดน หรือ ทรัมป์ ที่สามารถกลับมาสู่ทำเนียบขาว อาจจะเป็นตัวเลือกที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตอเมริกันชนที่ต้องเลือก ส่วนพวกเราชาวโลกทั้งหลายหนีไม่พ้น ต้องก้มหน้ารับความเสี่ยงที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว

"ปูติน-ทัคเกอร์" บทสัมภาษณ์สะเทือนโลก!


ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดวันนี้เป็นเรื่องสะเทือนโลกเลย ท่านผู้ชมหลายท่านคงได้ทราบข่าวแล้ว บางท่านก็เข้าไปดู แต่บางท่านอาจจะไม่รู้เรื่อง

ปกติธรรมดาแล้ว ข่าวเรื่องรัสเซีย-ยูเครน เป็นข่าวที่สื่อกระแสหลักทางตะวันตกควบคุมอยู่ แล้วก็เซ็นเซอร์ แล้วก็ออกไปในทิศทางที่ ปูติน เป็นพญามาร เป็นคนที่รุนแรง ก้าวร้าว ต้องการจะสร้างสงคราม ต้องการจะยึดยุโรป โน่นนี่นั่น แล้วสิ่งที่สื่อหลักทางตะวันตกพูดถึงเรื่อง ปูติน และพูดถึงสงครามนั้น ตั้งแต่วันแรก จนกระทั่งตอนหลังเริ่มซาไป เพราะความจริงเริ่มปรากฏแล้วว่า รัสเซียชนะเด็ดขาด แต่ ปูติน ไม่เคยได้รับโอกาสจากสื่อตะวันตกที่จะมาคุยกันอย่างเปิดอก และที่สำคัญ ต้องลงของเขาอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เอาไปตัดต่อ

ท่านผู้ชมที่ติดตามเรื่องยูเครนกับรัสเซีย ผมเคยพูดให้ฟังตั้งแต่ต้นแล้ว ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า ผมเป็นคนบอกเองว่าเมืองไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสื่อตะวันตก ไม่ว่าจะเป็น บก. ข่าวต่างประเทศของช่องไหนก็ตาม เป็นทั้งนั้น รวมทั้งประเภทไลฟ์สด สำหรับคนบางคนที่เชียร์มาตลอดเวลา


เมื่อวันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 มีแขกสำคัญคนหนึ่งมาเยือนผม แขกสำคัญคนนี้คือท่านทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ท่านมาเพราะว่าท่านอยากจะมานานแล้ว แต่ว่าผมติด ท่านก็ติด ท่านผู้ชมรู้ไหม ท่านมาตอนที่มีการสัมภาษณ์สด ผมกำลังเอาโทรศัพท์มือถือฟังการสัมภาษณ์สดอยู่ แล้วก็ยืนต้อนรับท่านที่รถมาจอด ผมบอกว่าผมกำลังฟัง ปูติน ให้สัมภาษณ์ทัคเกอร์ คาร์ลสัน อยู่ ท่านหัวเราะร่วนเลย


ก็เป็นการประชุมกัน พบกัน ทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้งมากกว่าเก่า ท่านก็เชิญผมที่ไปเยี่ยมรัสเซีย มอสโก หรือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และท่านบอกว่าหรือจะไปดอนบาสเลยไหม ที่รัสเซียยึดมาจากยูเครน ท่านบอกว่าไปที่ๆ ไม่อันตรายหรอก ไม่ต้องกังวล ผมก็เลยไปเสนอให้พรรคพวก คุณโสภณ โองการณ์ ว่าไปรัสเซียไหม ไปดอนบาสไหม แล้วก็ไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และมอสโก พี่โสภณ ก็ตัดบทเอาง่ายๆ ว่า ผมขอไปแค่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก กับมอสโก ดีกว่า


ท่านผู้ชมครับ นายทัคเกอร์ คาร์ลสัน คือใคร ? ทัคเกอร์ คาร์ลสัน เป็นสื่อมวลชนในระดับแนวหน้าของอเมริกา ประวัติเขาไม่ธรรมดา เขาถูกกล่าวหาว่าเขาเป็นคนที่เชียร์ทรัมป์ ซึ่งดูแล้วก็ไม่ได้ผิด เพราะว่าเขาใกล้ชิดสนิทสนมกับทรัมป์มาก แต่สิ่งที่เขาพูดถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เป็นความจริงหลายๆ อย่าง เขาเคยเป็นพิธีกรชั้นแนวหน้าอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ FOX News แล้วปรากฏว่า ตื่นมาเช้าวันหนึ่ง เจ้าของ FOX News คือ รูเพิร์ต เมอร์ด็อก ประกาศไล่เขาออก ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าไล่ออกเพราะอะไร ? เพราะว่ามีบริษัทเงินลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่คุมเศรษฐกิจโลกอยู่ ชื่อ BlackRock


BlackRock ติดต่อไปทางเจ้าของ FOX News เพราะ BlackRock มีธุรกิจเยอะมาก และมีโฆษณากับ FOX News เยอะ เขาให้ปลดหรือไล่นายทัคเกอร์ คาร์ลสัน ออก เพราะทัคเกอร์ คาร์ลสัน ไปพูด จากคำให้สัมภาษณ์ของกรรมการผู้จัดการ BlackRock ซึ่งพูดบอกว่า รัสเซีย-ยูเครนยิ่งบาดเจ็บมาก ยิ่งแพ้มาก ยิ่งดี เพราะเป็นช่วงที่ BlackRock จะได้ทำมาหากินได้ เข้าไปในยูเครนเพื่อพัฒนาโครงการต่างๆ ทำเกษตรกรรม ทำโน่นทำนี่ ทัคเกอร์ เขาก็พูดกระแนะกระแหน แดกดัน BlackRock ก็เลยใช้อิทธิพลทางด้านโฆษณาบังคับให้ FOX News ไล่ทัคเกอร์ ออก


พอทัคเกอร์ ออกมา เขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาก็ตั้งเว็บไซต์ของเขาเอง และเขาก็มีช่องของเขาเอง tuckercarlson.com ปรากฏว่ายอดคนดูติดตามเขาหลายสิบล้านคน ไม่ใช่ธรรมดา คาร์ลสัน พยายามที่จะติดต่อขอสัมภาษณ์ปูติน มานานแล้ว หลายครั้ง แต่ล้มเหลวเพราะ CIA และหน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา สภาความมั่นคงแห่งอเมริกา ที่เขาเรียกว่า National Security Agency (NSA) เข้ามาแฮกอีเมลของเขา แล้วเอาอีเมลของเขาไปเปิดเผย จากการติดต่อปูติน ก็เลยทำให้ทางปูติน และทางรัสเซียต้องระวังตัว ก็เลยเลื่อนมาเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาตัดสินใจว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรเขาต้องสัมภาษณ์ ปูติน ให้ได้ เพราะว่าทั่วโลกได้ยินแต่คำพูดของ โจ ไบเดน ได้ยินแต่คำพูดของ บอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ ได้ยินแต่คำพูดของผู้นำในอียู โอลัฟ ช็อลทซ์ เยอรมนี และหลายต่อหลายคน แต่ไม่เคยรับทราบที่มาที่ไปของความขัดแย้งนี้จากปาก ปูติน เลยแม้แต่นิดเดียว


ส่วนอียู อเมริกา และสหราชอาณาจักรนั้น คำพูดที่ออกมาก็คือ รัสเซียเป็นผู้ก้าวร้าว เป็นผู้เริ่มสงครามก่อน โดยไม่ยอมพูดถึงประวัติศาสตร์ว่าสงครามมันเกิดขึ้นเพราะอะไร สงครามมันเกิดขึ้นเพราะว่าการที่รัสเซียไปยึดไครเมียนั้น เพราะไครเมียนั้น 98% ของคนที่อยู่ที่นั่นเป็นคนรัสเซีย ส่วนบริเวณดอนบาส ทางภาคตะวันออกของยูเครนนั้น มีคนรัสเซียอยู่ประมาณ 80 กว่าเปอร์เซ็นต์


แล้วก็ต่อต้านยูเครนมาตลอด แล้วมีสงครามระหว่างประชาชนชาวดอนบาสซึ่งสนับสนุนอาวุธจากรัสเซียเพื่อต่อสู้กับยูเครนมาตลอด จนกระทั่งมีการประชุมกันเพื่อให้สงครามยุติ แล้วมีข้อตกลงที่เรียกว่า Minsk Agreements

ก็คือพูดง่ายๆ ว่าให้ดอนบาสเป็นรัฐอิสระ แต่อยู่ภายใต้การกำกับ เฉยๆ ไม่ได้เข้าไปปกครอง ของยูเครน แต่ปรากฏว่าทุุกคนเซ็นสัญญาหมด ฝรั่งเศส เยอรมนี เซ็นสัญญารับรองสนธิสัญญา Minsk Agreements


 แต่ในที่สุดแล้ว ยูเครนโดยการสนับสนุนของอียู ก็ทรยศหักหลัง ฉีกสัญญานี้ทิ้ง ทำลาย ทำร้าย ฆ่าประชาชนชาวรัสเซียที่พำนักอยู่ในภูมิภาคดอนบาส พำนักมาตลอด นานมาแล้ว ปี 2014 ยูเครนใช้ทหาร ปืนใหญ่ เครื่องบิน ถล่มย่านดอนบาส ฆ่าคนรัสเซียตายไป 14,000 คน ปูติน เตือนแล้วเตือนอีก ให้หยุดฆ่าชาวรัสเซียเสียที แต่ว่าทางตะวันตกและยูเครนไม่ยอม (นี่ผมเล่าถึงประวัติก่อนแล้วค่อยมาถึงเรื่องการสัมภาษณ์)


ในที่สุดแล้ว แม้กระทั่งการเลือกตั้งที่นายเซเลนสกี ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี การเลือกตั้งนั้นถูกวางแผนและถูกยึดอำนาจโดย CIA โดยรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นางวิกตอเรียน นูแลนด์ (Vicroria Nuland) เป็นตัวการวางแผนให้ใช้อาวุธยึดอำนาจ เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือที่มาที่ไป รัสเซียในยุค ปูติน เขาใช้เวลา 20 ปี เพื่อฟื้นฟูการล่มสลายของโซเวียต กลุ่มโซเวียต คือกลุ่มประเทศเครือข่าย ที่เขาเรียกว่า Satellite Nations รอบรัสเซีย


 มีใครบ้างล่ะ ? มีโปแลนด์ ลิทัวเนีย เอสโตเนีย ฮังการี แอลบาเนีย บัลแกเรีย แม้กระทั่งยูเครนก็ใช่ พอล่มสลายแล้วก็เหลือเฉพาะรัสเซียอย่างเดียว และตอนนั้น คนที่เป็นประธานาธิบดีหลังจากการล่มสลาย คนแรกคือนายเยลต์ซิน ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ หรือเป็นผู้อาวุโสของ ปูติน

เยลต์ซิน หลังจากที่ตัวเองหมดวาระแล้ว ไม่เล่นการเมืองแล้ว ก็เสนอให้ ปูติน เล่นการเมืองแทน


ปูติน อดีตเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของ KGB มาก่อน เคยถูกส่งตัวไปประจำที่เยอรมนีตะวันออก ปูติน ถึงพูดภาษาเยอรมันได้ดี และเข้าใจคนเยอรมันดี แต่เผอิญ ปูติน ไม่เหมือนผู้นำรัสเซียในอดีต ปูติน เป็นคนรักชาติ เขารักรัสเซีย ในเมื่อรัสเซียตอนนี้มีเฉพาะรัสเซียอย่างเดียวแล้ว ไม่มีชาติอื่นมาพ่วงให้มันหนัก มาห้อยคอ มาห้อยเอว ปูติน ก็เลยดูว่ารัสเซียจะอยู่ได้ เจริญเติบโตได้ และยืนอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี รัสเซียต้องดึงเอาทรัพยากรต่างๆ ซึ่งถูกชาติตะวันตกไปยึดครองและทำมาหากินจากการล่มสลายของโซเวียต อันไหนสัมปทานหมดแล้ว ปูติน ไม่ต่อ อันไหนถ้าเจออันใหม่มา ปูติน ให้รัสเซียเข้าไปทำแทน ในช่วงนั้นก็เลยมี โอลิการ์ก (Oligarch) คือผู้มีอิทธิพล War lord ขุนศึกต่างๆ ในรัสเซีย ซึ่งไปยึดเอาบ่อน้ำมัน ทำธุรกิจ ขาย แล้วก็เป็นเครื่องมือของตะวันตก ปูติน ปราบพวกนี้เรียบ แล้วในที่สุด ปูติน ก็มองว่ารัสเซียจะอยู่อย่างอ่อนแอไม่ได้ ปูติน ก็เลยเสริมสร้างแสนยานุภาพต่างๆ ของตัวเองให้เข้มแข็งขึ้น พัฒนาอาวุธต่างๆ จากประเทศรัสเซียเมื่อสมัยนั้นอ่อนแอมาก ตอนปูติน ขึ้นใหม่ๆ ค่อยๆ เพิ่มเขี้ยวเล็บขึ้นมาทีละนิดๆ


ตอนที่โซเวียตรัสเซียล่มสลาย ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ผู้พ่อ ให้คำมั่นสัญญากับผู้นำรัสเซียตอนนั้นว่า นาโตจะไม่มีวันขยายไปทางตะวันออกอีกแม้แต่ก้าวเดียว ก็คือพูดง่ายๆ ว่า นาโตอยู่ตรงไหนก็จะอยู่ตรงนั้น นั่นคือคำมั่นสัญญาที่เขาให้ แต่พอมาถึงยุค ปูติน อเมริกาและนาโตตระบัดสัตย์ ย้ายเอาประเทศที่อยู่รอบรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นโปแลนด์ ไม่ว่าจะเป็นฮังการี ไม่ว่าจะเป็นเอสโตเนีย ไม่ว่าจะเป็นลิทัวเนีย และไม่ว่าจะเป็นลัตเวีย เข้ามาอยู่ในนาโตหมด เป็นองค์กรสนธิสัญญาที่เอายุโรปตะวันออก ซึ่งเคยเป็นประเทศบริวารของรัสเซียเข้ามา แล้วก็เอากองทัพไปตั้งเอาไว้

จุดเดือดที่แตกหักก็คือ ยูเครน ตะวันตกหนุนหลัง โดย CIA ล้มรัฐบาลที่โปรรัสเซีย แล้วเอาเซเลนสกี ขึ้นมา เซเลนสกี จะเข้าไปอยู่นาโต จะเอานาโตมาชนกับรัสเซีย คือถ้าเข้านาโตปั๊บ ขีปนาวุธ กองทัพต่างๆ ของนาโตสามารถเข้าประชิดพรมแดนรัสเซียได้ ปูติน มองว่านี่คือชีวิตของรัสเซียทั้งประเทศ รัสเซียมีประวัติความเป็นมาร่วมพันกว่าปี ปูติน ไม่ยอม ปูติน เตือนแล้วเตือนอีก เตือนทั้งหมด 5 ครั้ง อย่านะ ... จนกระทั่งเริ่มมีการขนย้ายทหารและเตรียมพร้อมที่จะแฝงเข้ามาในยูเครน โดยทหารนาโตจะเปลี่ยนตัวเองเป็นทหารยูเครน ปูติน ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นเขาจะบุกยูเครน เขาต้องการบุกยูเครน เขาใช้เวลา 1-2 อาทิตย์ เขาก้าวเข้าไปล้อมเมืองเคียฟด้วยทหารเพียง 90,000 คน แล้วจู่ๆ เขาก็ถอนทหารออกจากเคียฟที่ล้อมอยู่ ตรงนี้ที่ทำให้คนไทยที่ค่อนข้างจะโง่ และสื่อมวลชนไทยที่ค่อนข้างจะบัดซบ เชื่อสื่อมวลชนฝรั่ง บอกว่ารัสเซียแพ้แล้ว


ไม่ใช่ ข้อเท็จจริงก็คือว่า ปูติน แจ้งให้ทราบว่าเขาต้องการนั่งเจรจาเพื่อไม่ให้ยูเครนกลายเป็นนาโต ให้ยูเครนเป็นประเทศที่เป็นกลาง ไม่ต้องยืนข้างรัสเซีย และไม่ต้องไปยืนข้างนาโต ก็เลยมีการวิ่งเต้นกัน ประธานาธิบดีเออร์โดอาน ของตุรกี บอกว่าความคิดนี้ดี ไปเจรจากันในอิสตันบูล ที่ตุรกี แต่การเจรจาเขาก็ยื่นเงื่อนไขว่า ถ้าคุณยังล้อมเคียฟอยู่เราจะเจรจาได้อย่างไร และนั่นคือเหตุผลที่ ปูติน สั่งให้กองทัพรัสเซียถอยออกจากเคียฟ แต่ถูกแปลผิดไปว่ารัสเซียแพ้แล้ว นี่ไงท่านผู้ชม ข้อมูลที่ผิดพลาดเต็มไปหมด

แล้วในการเจรจานั้น (เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟัง) ปูติน บอกว่าเอกสารทางยูเครนเขาเตรียมไว้แล้วนะ พร้อมที่จะเซ็นสัญญากัน ให้ยุติสงคราม แล้วยูเครนจะทำอะไร ยูเครนจะไม่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ดอนบาส แต่ไครเมีย รัสเซียไม่ยอมคืนให้ พร้อมที่จะเซ็น ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกิดอไะรขึ้น ? โจ ไบเดน ส่งไอ้หัวยุ่งเหมือนหมาตกน้ำ บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ไปที่ตุรกี ไปที่อิสตันบูล เพื่อไปบอกเซเลนสกี ว่า เฮ้ย! มึงห้ามเซ็นนะสัญญานี้ มึงต้องรบกับรัสเซีย อังกฤษ อียู และอเมริกา จะให้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ สู้กับรัสเซีย ล่มมันให้ได้ และนั่นคือการไม่ยอมเซ็นสัญญาทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายยูเครนระดับสูงพร้อมแล้วที่จะเซ็นสัญญา แต่นายบอริส จอห์นสัน ได้รับคำสั่งจากนายไบเดน มาบอกเซเลนสกี ไม่ให้เซ็นสัญญา


แล้วทำไมอเมริกาถึงทุ่มเทในยูเครน ท่านผู้ชม ท่านไม่รู้ นายไบเดน สมัยที่เป็นรองประธนาธิบดีอยู่ที่อเมริกา เป็นลูกน้องของบารัก โอบามา นายไบเดน ได้รับมอบหมายให้ดูยุโรปตะวันออก ไอ้หมอนี่กับลูกชายที่ชื่อ ฮันเตอร์ ไบเดน ก็มาทำมาหารับประทานในยูเครน ตั้งบริษัท ซื้อบริษัท ถือหุ้นอยู่ในบริษัทพลังงาน ที่สำคัญ ไปลงทุน เอาเงินทุนอเมริกามาลงทุนเรื่องห้องแล็บอาวุธชีวภาพ (Chemical Weapon) เพราะฉะนั้นแล้ว ไบเดน ก็เลยมีข้อผูกพันอย่างหนัก ผ่านทางลูก และตัวเอง ก็ได้ประโยชน์จากยูเครนสมัยที่มาดูแลยุโรปตะวันออก เพราะฉะนั้น ไบเดน ก็จะไม่ปล่อยยูเครนให้หลุดจากมือ เพราะว่าทุกคนอ่านเกมผิดหมด ว่า ถ้าตะวันตก (อียู) เข้ามาช่วยยูเครน รวมทั้งอเมริกา ส่งอาวุธให้ ใช้เครือข่ายทางการทหารสอดแนม รัสเซียสู้ไม่ได้ เมื่อสู้ไม่ได้แล้ว เซเลนสกี ต้องยกยูเครนทั้งยูเครนให้ทางตะวันตก แล้วตะวันตก รวมทั้งอเมริกา ก็มีบริษัทที่ชื่อ BlackRock ด้วย


ซึ่ง BlackRock ผมอธิบายให้ฟังล้วว่ามันก็คือคนที่จะได้ประโยชน์จากยูเครน มันบอกว่าสงครามดี มีคนตายไม่เป็นไร พอสงครามจบแล้วยูเครนชนะรัสเซีย มันจะได้เข้าไปฟื้นฟูยูเครน แล้วก็ไปยึดสัมปทาน ไปยึดที่ดิน ไปทำนู่นทำนี่ ทำการเกษตร ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า มอนซานโต ที่เลวร้าย ระยำ ที่มีการตัดต่อพันธุกรรมพืชนั้น เจ้าของคือ BlackRock นี่คือประวัติศาสตร์ย่อๆ ที่เล่าให้ฟัง

จนกระทั่ง ทัคเกอร์ คาร์ลสัน สงสัย เพราะไม่มีสื่อมวลชนคนไหนพูดถึง ปูติน ดีเลยแม้แต่นิดเดียวในสื่อกระแสหลัก ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์กไทมส์ ไม่ว่าจะเป็นวอชิงตันโพสต์ ไม่ว่าจะเป็น CNN ไม่ว่าจะเป็น NBC, CBS, CNBC โดยเฉพาะอย่างยิ่ง BBC ของอังกฤษ ไปในแนวทางเดียวกันหมดเลย รัสเซียแพ้แล้ว สามเดือนแรก ปูติน แพ้แล้ว กำลังจะหนีออกนอกประเทศ ผู้บัญชาการทหารของ ปูติน ตายไปตั้งไม่รู้กี่คน เศรษฐกิจรัสเซียล่มสลาย ไบเดน ยังพูดเลยว่าเมื่อเราตัดเรื่องความสัมพันธ์ทางการเงินออก ไม่ให้รัสเซียเข้าไปสู่โลกการเงินในโลกนี้ได้ เงินรูเบิลจะเปรียบเสมือนกับก้อนดิน ก้อนหิน ที่อยู่บนพื้นดิน ตรงกันข้ามหมด

สองปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจรัสเซียเจริญรุ่งเรือง จนกระทั่งเงินรูเบิลแข็งค่า และ IMF ทำนายว่าปีนี้ (2024) จะอยู่อันดับหนึ่งของยุโรป ชนะเยอรมนี ส่วนเยอรมนีก็ตกต่ำเอาๆ อเมริกาก็บังคับอียูไม่ให้ซื้อก๊าซจากรัสเซีย ก๊าซราคาถูก ทุกคนก็ไม่ซื้อ แล้วอเมริกาก็เอาก๊าซเหลวแช่แข็ง ที่เขาเรียกว่า LNG บรรทุกเรือไปขายให้พวกยุโรป บวกราคาเข้าไปอีก 4-5 เท่า บริษัทก๊าซร่ำรวย บริษัทผลิตอาวุธที่ขายให้กับอเมริกาโดยใช้เงินอเมริกามาซื้อแล้วส่งให้ยูเครน มาให้รัสเซียทำลาย ก็ร่ำรวยกันหมดทุกคน

สงครามยูเครน ตะวันตก พวกจักรวรรดินิยม อเมริกา อังกฤษ อียูนั้น รวย ขายอาวุธจนรวย แต่ในที่สุดแล้วกรรมตามสนอง เพราะว่ารัสเซีย เมื่อไม่ซื้อก๊าซ เขาก็ไม่ง้อ เมื่อไม่ง้อแล้ว สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็คือว่า ต้นทุนในการผลิต ค่าพลังงานมันแพง ค่าครองชีพสูงขึ้นมาก เยอรมนีอุตสาหกรรมล่มสลายเรียบร้อยแล้วตอนนี้ ค่าครองชีพหลายประเทศ ยุโรปตอนนี้ทุกประเทศ ชาวไร่ ชาวนา ประท้วงกันทุกประเทศ แต่สื่อตะวันตกไม่มีใครรายงานเลยแม้แต่คนเดียว นี่คร่าวๆ นะท่านผู้ชม

ท่านผู้ชมครับ ผมได้กล่าวถึงแบ็กกราวนต์ที่มาที่ไปของความขัดแย้งอย่างสั้นๆ ความจริงรายละเอียดมีอีกเยอะ แต่ผมยืนยันกับท่านผู้ชมได้ว่า ที่นี่ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ที่ผมพูดไปเป็นความจริง ไม่ใช่ความโกหกของสื่อตะวันตกที่บรรดาคนที่อยู่ในวงการสื่อหลักของประเทศไทยงมงาย โง่เง่า ไปเชื่อตามสื่อตะวันตกหมดทุกอย่าง

ท่านผู้ชมรู้ไหม การไปสัมภาษณ์ของทัคเกอร์ คาร์ลสัน ที่ไปที่มอสโก ไปสัมภาษณ์วลาดิมีร์ ปูติน ถูกแรงกระแทกกดดันอย่างรุนแรง ถูกต่อต้านจากสื่อในสหรัฐฯ นักการเมืองในอเมริกา คาร์ลสัน ถูกกล่าวหาว่าไปยุ่งเกี่ยวกับ ปูติน จอมโกหกผู้รุกรานยูเครน


นางฮิลลารี คลินตัน ตัวจี๊ดพรรคเดโมแครต พ่ายแพ้ให้กับโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกทัคเกอร์ คาร์ลสัน ว่า "A useful idiot" หรือไอ้โง่ที่เป็นประโยชน์ต่อปูติน เพราะอะไร ? เพราะนางคลินตัน กำลังจะถูกเปิดโปงว่าในอีเมลที่โดนแฮกออกมาในอดีตนั้น มันมีข้อมูลที่ชี้ให้เห็นชัดว่า นางฮิลลารี คลินตัน มีความลับทางการทหารของอเมริกาอยู่ในอีเมลนี้ด้วย

ทัคเกอร์ คาร์ลสัน เขาพูดตอบโต้กับคำกล่าวหาต่อตัวเขาว่า คนอเมริกันไม่มีสิทธิ์รู้หรือ ก็ในเมื่ออเมริกาทุ่มเงินนับแสนล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยก็หลายล้านล้านบาท แล้วชาวอเมริกันไม่อยากรู้หรือว่ายูเครนรบไปเพื่ออะไร และถ้าจะฟังความเห็นอีกด้านจาก ปูติน จะเสียหายตรงไหน

สื่อต่างๆ ไม่ยอมเผยแพร่บทสัมภาษณ์นายปูติน ของคาร์ลสัน ทั้งๆ ที่เป็นบทสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องกับอเมริกาและชาวอเมริกันโดยตรง ที่สำคัญ เป็นการสัมภาษณ์ที่สะเทือนโลก ทั่วโลกสนใจเรื่องนี้ มิหนำซ้ำยังมาขู่ว่าจะดำเนินคดีกับทัคเกอร์ คาร์ลสัน


เฟซบุ๊กเองก็ปิดกั้นโพสต์ของทัคเกอร์ คาร์ลสัน ถึง 50% แต่มี อีลอน มัสก์ เจ้าของแพลตฟอร์ม X เขาบอกว่าให้เอามาออกที่ X ได้ ไม่ปิดกั้นอะไรทั้งสิ้น ออกมาได้เต็มที่


นายบอริส จอห์นสัน ที่ถูกปูติน พูดถึง ออกมาต่อว่าการให้สัมภาษณ์ เขาบอกว่าอย่าเชื่อปูติน เพราะเขาโกหก ท่านผู้ชมครับ พวกมันโกหกมาสองปีกว่าๆ โกหกชาวโลก มันกินปูนร้อนท้อง เพราะปูติน แฉว่าสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครนเกือบจะบรรลุข้อตกลงได้แล้วในปี 2565 หรือสองปีที่แล้ว แต่ไอ้หัวยุ่งนี่ไปขัดขวางแผนสันติภาพ แจ้งว่าอย่าไปลงนามนะ ให้สู้รบต่อไป อเมริกา นาโต อังกฤษ จะเอาอะไร ให้หมดทุกอย่าง แม้กระทั่งสหภาพยุโรปก็เดือดร้อน เพราะความจริงปรากฏออกมาแล้ว ถึงกับพูดว่าจะแซงก์ชัน ไม่ให้นายคาร์ลสัน เดินทางไปเข้ายุโรป

ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า ยิ่งห้าม คนยิ่งสนใจ บทสัมภาษณ์ของนายทัคเกอร์ คาร์ลสัน กับ ปูติน เผยแพร่ไปในวงกว้าง มีคนชมบทสัมภาษณ์นี้ไปแล้ว 200 ล้านกว่าครั้ง ที่สำคัญ คนอเมริกันเหมือนกับได้มาถามนายปูติน ด้วยตัวเอง เพราะทัคเกอร์ คาร์ลสัน เป็นคนดำเนินรายการที่เก่งมาก สามารถหยิบยกคำถาม ข้อสงสัยคาใจชาวอเมริกามาถามปูติน ตรงๆ ซึ่งชาวอเมริกันและชาวโลกก็ได้ฟังคำตอบ รวมทั้งฟังเรื่องราวที่เป็นข้อเท็จจริง ความเห็นตรงๆ จากปากผู้นำรัสเซียเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี


ผู้เชี่ยวชาญความมั่นคงการเมืองโลก ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซีย อย่างนายสกอตต์ ริตเตอร์ (Scott Ritter) เปรียบเปรยว่าบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ช่วยเปิดโลกให้ชาวอเมริกันหลายล้านคนเข้าในรัสเซียในยุคปัจจุบันได้มากขึ้น เข้าใจความคิดของวลาดิมีร์ ปูติน เข้าใจถึงเบื้องหลังการตัดสินใจต่างๆ ของผู้นำรัสเซียเกี่ยวกับสงครามยูเครน และบทบาทสหรัฐฯ กับนาโต และที่สำคัญ บทสัมภาษณ์นี้ถ้าฟังให้ดีๆ อาจจะช่วยปกป้อง ป้องกันไม่ให้เกิดสงครามระหว่างอเมริกา-นาโต กับรัสเซีย ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า


บทสัมภาษณ์นี้ยาวตั้งสองชั่วโมง ผมฟังบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้หลายต่อหลายรอบ ฟังความเห็นผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ผมสรุปอย่างนี้ดีกว่า ง่ายๆ เป็นข้อๆ

ความจริงที่มีหนึ่งเดียวจากปากวลาดิมีร์ ปูติน

หนึ่ง ปูติน บอกว่ายูเครนมีวันนี้เพราะว่าโซเวียตรัสเซียในอดีตเป็นคนให้ ปูติน ใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วโมงเล่าถึงประวัติศาสตร์รัสเซีย ย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 8 แสดงว่า ปูติน รู้ประวัติศาสตร์รัสเซียเป็นอย่างดี ตั้งแต่สมัยจักรวรรดิรัสเซีย ก่อนจะมีการสถาปนาเป็นสหภาพโซเวียต ปูติน บอกว่า ยูเครนไม่เคยเป็นประเทศที่มีตัวตนมาก่อน ที่ยูเครนมีวันนี้ได้ก็เพราะผู้นำโซเวียตอย่างเลนิน สตาลิน มอบดินแดนให้ และให้สิทธิการปกครองในฐานะรัฐอิสระภายใต้สหภาพโซเวียต


คำว่า "ยูเครน" จริงๆ แล้วหมายถึงคนที่อาศัยอยู่เขตรอบนอกรัฐ เพราะฉะนั้นชาวยูเครนก็หมายถึงกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ ชายแดน ไม่ได้เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใดๆ เลย แต่ว่าต่อมามีความพยายามปลูกฝังความคิดว่าประชากรกลุ่มนี้ไม่ใช่ชาวรัสเซีย คนบ่มเพาะความคิดที่แบ่งแยกนี้ คือ โปแลนด์ ที่พยายามทำทุกวิถีทางให้ดินแดนรัสเซียส่วนนี้กลายเป็นดินแดนของโปแลนด์ให้ได้ แล้วปฏิบัติการต่อชาวยูเครนอย่างโหดร้าย รุนแรง จนทำให้ยูเครนเริ่มต่อสู้เพื่อสิทธิของตน เขียนจดหมายถึงวอร์ซอ (แต่ก่อนมีสนธิสัญญาวอร์ซอ) เรียกร้องให้เคารพสิทธิพวกเขา

ท่านผู้ชมครับ สงครามโลกครั้งที่ 1 ฝ่ายเสนาธิการออสเตรีย ประเทศออสเตรีย ได้ปลุกแนวคิดรัฐชาติยูเครนขึ้นมาอีกครั้ง โดยบอกว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ที่ชายแดนนั้นไม่ใช่ชาวรัสเซียจริงๆ แต่เป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่ง คือชาวยูเครน ซึ่งเป็นเรื่องที่โกหกพกลม


ท่านผู้ชมครับ ผมไม่ลงประวัติศาสตร์ทางด้านนี้เยอะ เอาเป็นหัวข้อเลย เอาเป็นว่า ปูติน พูดถึงประวัติศาสตร์รัสเซียถึงครึ่งชั่วโมง เปิดโลก เปิดสมองให้กับ ทัคเกอร์ คาร์ลสัน

ปูติน เป็นคนที่รู้ประวัติศาสตร์ของชาติตัวเองอย่างดีที่สุด รู้ทุกเม็ด รู้กลับไปตั้งแต่ปี ค.ศ. แปดร้อยกว่า รู้หมด เป็นช่วงๆ

หัวข้อที่สอง ปูติน บอกว่า รัสเซียเดิมที่ต้องการจะเป็นสมาชิกนาโต หลังจากที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย ปูตอน บอกว่า บิล คลินตัน ประธานาธิบดีของอเมริกาตอนนั้น ให้ความสนใจต่อข้อเสนอของปูติน แต่คนที่ขัดขวาง ที่ไม่ให้เข้าคือ CIA

ท่านผู้ชมครับ 35 ปี ล้างแค้นยังไม่สาย การล่มสลายของสหภาพโซเวียต กับคำโกหกของอเมริกา ท่านผู้ชมดูแผนที่ เมื่อนายบอริส เยลต์ซิน ประธานาธิบดีคนแรกของรัสเซีย ไม่พอใจมากที่นาโตสยายปีก เพิ่มจำนวนสมาชิกขึ้นเรื่อยๆ


ท่านผู้ชมจะเห็นว่าสีเขียว สีเหลือง สีส้ม ในแผนที่ คือชาติที่นาโตทยอยรับเข้ามาเป็นสมาชิกตั้งแต่ปี 2533 หรือ ค.ศ. 1990 มี 15 ชาติ ปี 2542 มีเช็ก ฮังการี โปแลนด์ 2547 มีบัลแกเรีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย โรมาเนีย สโลวาเกีย และ สโลเวเนีย 2552 มีอัลแบเนีย โครเอเชีย มอนเตเนโกร 2563 มีนอร์ธมาซิโดเนีย 2566 มีฟินแลนด์


การให้สัมภาษณ์กับทัคเกอร์ คาร์ลสัน ปูติน บอกทัคเกอร์ คาร์ลสัน ว่า คุณหลอกเรา เพราะตลอดระยะเวลาสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา นาโตมีการขยายตัวและสมาชิกเพิ่มรวม 5 ระลอก รัสเซียก็กัดฟันทนมาตลอด ปูติน บอกว่าเขาเป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ 2543 เขาพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ อย่างที่ผมบอก ปูติน ถามคลินตัน ว่า คิดอย่างไรกับรัสเซียขอเข้าร่วมนาโต คลินตัน บอกว่า เดี๋ยว ขอคิดดูก่อน แต่น่าสนใจ เขาขอปรึกษาหารือก่อน กลับมาเขาปฏิเสธ


ข้อที่สาม สหรัฐฯ กลับกลอก บิดพลิ้วข้อเสนอรัสเซียที่ร่วมกันพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธ ปูติน พูดถึงการสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธของอเมริกา ซึ่งอเมริกาอ้างว่าเอาไว้ต่อต้านอิหร่าน แต่ความจริงแล้วมีแผนจะติดตั้งใกล้พรมแดนรัสเซีย

ปูติน เล่าว่า เขาได้เชิญประธานาธิบดีบุช ให้ไปเยี่ยมบ้านที่ริมมหาสมุทร ปูติน เสนอให้อเมริกา รัสเซีย และยุโรป ร่วมกันสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธ บุช บอกว่าจะพิจารณาเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ยอมทำตาม ปูติน ก็เลยบอกว่ารัสเซียจะสร้างระบบการโจมตี จะเอาชนะระบบป้องกันขีปนาวุธได้อย่างแน่นอน คือคุณสร้างได้ คุณอยากจะป้องกัน แต่ผมจะสร้างระบบโจมตีที่คุณจะป้องกันไม่ได้


นี่คือเหตุผลว่าทำไมรัสเซียถึงพัฒนาขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิคเป็นคนแรกของโลก ขีปนาวุธข้ามทวีป และปูติน ให้สัมภาษณ์ทัคเกอร์ คาร์ลสัน ชัดเจนว่า ขณะนี้เรานำหน้าทุกคนในเรื่องไฮเปอร์โซนิค นำหน้าไปไกล พวกคุณตามผมไม่ทันหรอก

ข้อสี่ มูลเหตุของการปฏิบัติการในยูเครน ทัคเกอร์ คาร์ลสัน ถามว่าทำไมรัสเซียต้องบุกยูเครน ? ปูติน ตอบว่า รัสเซียพยายามอดทนกับการขยายตัวของนาโตมาตลอด อย่างที่บอกไปแล้วว่า สามสิบปีกว่าที่ผ่านมา นาโตขยายตัว รับสมาชิกเพิ่ม 5 ระลอก จนกระทั่ง 2551 หรือสิบห้าปีที่แล้ว นาโตประกาศว่าประตูสำหรับยูเครน และจอร์เจีย เข้าร่วมนาโตได้เปิดแล้ว ตอนนั้นเยอรมนี ฝรั่งเศส ชาติยุโรปบางประเทศมีท่าทีคัดค้าน แต่ว่าอเมริกากลับกดดันให้นาโตรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกด้วย


ปูติน บอกว่า การแทรกแซงชาติตะวันตก โค่นล้มผู้นำที่ใกล้ชิดรัสเซีย คือ นายวิกเตอร์ ยาคูโนวิช ในยูเครน เพื่อให้ยูเครนมีผู้นำเป็นมิตรกับตะวันตก คือ นายวิกเตอร์ ยูเชนโก

ปูติน บอกว่ารัฐประหารในยูเครนได้รับการสนับสนุนจาก CIA อย่างแน่นอนที่สุด ปูติน บอกว่าในช่วงปี 2557 นาโต ยูเครน มีผู้นำแอบอิงตะวันตกสร้างภัยคุกคามต่อไครเมีย และดอนบาส รัสเซียเลยต้องเข้าไปคุ้มครอง "คนของเรา" (คือคนรัสเซียที่อาศัยอยู่ในนั้น)

ปูติน บอกว่า พวกเขา (ยูเครน และนาโต) เป็นผู้เริ่มสงครามในปี 2557 เป้าหมายของเราคือการหยุดสงครามนี้ เราไม่ได้เริ่มสงครามในปี 2565 นี่คือความพยายามที่เราต้องการหยุดสงคราม

ปูติน พูดว่า ผู้นำทางการเมืองในอเมริกาผลักดันเราเข้าไปสู่เส้นแบ่งที่เราไม่สามารถข้ามได้ เพราะการทำเช่นนั้นอาจทำลายรัสเซียเองได้ นอกจากนี้ เราไม่สามารถละทิ้งพี่น้องชนชาติเดียวกันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชาวรัสเซียที่อยู่ในยูเครน


เรื่องที่ห้า คือเป้าหมายกำจัดลัทธินาซีในยูเครน ปูติน ให้สัมภาษณ์ว่าเป้าหมายการปฏิบัติการในยูเครนคือการขจัดนาซี เขาเล่าให้ฟังว่า หลังจากได้รับเอกราช ยูเครนเริ่มค้นหาอัตลักษณ์ของตัวเอง เพราะยูเครนไม่เคยมีอัตลักษณ์ ก็เลยเชิดชูวีรบุรุษที่ต่อต้านรัสเซีย ที่เคยเป็นคนร่วมมือกับฮิตเลอร์ เช่น นาย Bandera และนาย Shukhevich ทำทุกอย่างเพื่อลบความเป็นรัสเซียในยูเครน เช่น ทำลายรูปปั้นเลนิน ยกเลิกการเรียนภาษารัสเซีย นำหนังสือภาษารัสเซียออกจากห้องสมุดในยูเครน

ปูติน บอกว่า ฮิตเลอร์ตายไปแล้ว 80 ปี แต่ตัวอย่างที่คนทำแบบเดียวกับฮิตเลอร์ยังคงอยู่ ได้รับการเชิดชูในยูเครน และนี่คือเป้าหมายรัสเซียที่ต้องการกำจัดลัทธินาซีในยูเครน ปูติน บอกว่ายังไม่บรรลุเป้าหมาย

ข้อที่หก โต้ข้อกล่าวหาว่ารัสเซียจะไม่หยุดแค่ยูเครน เรื่องนี้ปูติน ยืนยันว่า เราไม่มีความสนใจในโปแลนด์ ลัตเวีย หรือที่อื่น รัสเซียจะโจมตีชาติยุโรปเมื่อรัสเซียถูกโจมตีเท่านั้น


ข้อที่เจ็ด ทัคเกอร์ ถามว่าใครระเบิดท่อก๊าซธรรมชาติ ปูติน ตอบตรงไปตรงมาเลย คนที่ระเบิดท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม (Nord Stream) คือ CIA และ นาโต เขาให้เหตุผลว่าสององค์กรนี้คือผู้ที่อยากจะทำ และมีศักยภาทพี่จะทำได้ คือพูดง่ายๆ ว่า ปูติน ใช้หลักว่าถ้าท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีมพังทลายไป ใครได้ประโยชน์ ? นาโต และ อเมริกา ได้ประโยชน์

ปูติน ย้ำว่า เยอรมนีเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการระเบิดท่อก๊าซ แต่ผู้นำเยอรมันปัจจุบันถูกชี้นำโดยผลประโยชน์ของกลุ่มตะวันตกมากกว่าผลประโยชน์ของเยอรมนี

ข้อที่แปด ปูติน บอกว่าคว่ำบาตรเศรษฐกิจรัสเซีย แต่ยิ่งเร่งการอวสานของเงินดอลลาร์ ปูติน บอกว่า การคว่ำบาตรรัสเซียได้เปลี่ยนแปลงสถานะเงินดอลลาร์ในโลก การใช้เงินดอลลาร์เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ด้านนโยบายต่างประเทศ เป็นหนึ่งในข้อผิดพลาดเชิงกลยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดโดยผู้นำทางการเมืองของอเมริกา


ปูติน ให้ข้อมูลสรุปว่า จนถึงปี 2565 ประมาณ 80% ของอุตสาหกรรมการค้าต่างประเทศของรัสเซียเกิดขึ้นในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และยูโร ดอลลาร์สหรัฐคิดเป็น 50% ของธุรกรรมรัสเซียกับประเทศที่สาม แต่ปูติน บอกว่า ตอนนี้สัดส่วนจาก 50% ลดเหลือแค่ 13%

ปูติน บอกว่า การบอยคอตรัสเซีย เขาอาจจะคิดว่าทำเช่นนี้จะนำไปสู่การล่มสลายอย่างสมบูรณ์ของรัสเซีย แต่ปูติน บอกว่า ไม่มีอะไรพังหรือล่มสลายเลย ชาวอียู ยุโรป ถูกฆ่าด้วยน้ำมือของอเมริกาเอง

ข้อที่แปด จีนใช้อำนาจบาตรใหญ่ครอบงำประเทศอื่น เป็นเรื่องหลอกเด็ก ทัคเกอร์ คาร์ลสัน ถาม ปูติน ว่าการแยกตัวจากสหรัฐฯ ไปใกล้ชิดกับจีนอาจจะเป็นการหนีเสือปะจระเข้ เพราะถูกจีนครอบงำทางเศรษฐกิจและส่งผลต่ออธิปไตยของชาติ ปูติน ตอบง่ายๆ และหัวเราะไปด้วยว่า เรื่องหลอกเด็ก


ปูติน เล่าให้ฟังว่า จีน-รัสเซียเป็นเพื่อนบ้านกัน มีพรมแดนร่วมกันพันกว่ากิโลเมตร ทั้งสองประเทศมีประวัติศาสตร์การอยู่ร่วมกัน มีมายาวนานหลายศตวรรษ หลายร้อยปีแล้ว ปรัชญาด้านนโยบายการต่างประเทศของจีนคือไม่ก้าวร้าว และมองหาวิธีการประนีประนอมตลอดเวลา

ข้อที่เก้า บอริส จอห์นสัน เสี้ยมยูเครนรบรัสเซีย อีกเรื่องหนึ่งที่ ปูติน เปิดเผยกับทัคเกอร์ คาร์ลสัน และสร้างความฮือฮามาก ก็คือเรื่องรัสเซียเคยมีการเจรจาสันติภาพกันแล้ว แต่ว่ามีคนที่รับงานจากอเมริกามาเป็นบ่างช่างยุให้ยูเครนสู้ต่อ ก็คือ นายบอริส จอห์นสัน ไอ้หัวยุ่ง อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ นั่นเอง


ปูติน พูดเลยว่า ได้เคยมีการเจรจา รัสเซีย ยอมที่จะถอนทหาร หากยูเครนถอนตัวไม่เข้าร่วมนาโต และรักษาสถานะที่เป็นกลางไว้ แต่ก่อนการลงนามสัญญา นายบอริส จอห์นสัน เข้ามาสกัดกั้น บอกยูเครนว่าเป็นการดีกว่าถ้าต่อสู้กับรัสเซีย เราจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นเท่าที่คุณต้องการให้ ด้วยเหตุนี้ นายเซเลนสกี ถึงละทิ้งข้อตกลงทั้งหมด ปฏิบัติตามคำสั่งของประเทศตะวันตก

คนที่จะยืนยันคำพูดของปูติน ได้คือ นาย Davyd Arakhamia ประธานพรรค Servant of the People ของนายเซเลนสกี ซึ่งเป็นผู้นำการเจรจาของยูเครน เขายอมรับเองว่า เราอาจจะหยุดสงครามได้ตั้งแต่หนึ่งปีครึ่งที่แล้ว แต่ชาติตะวันตกต้องการให้เราสู้ต่อ


สรุป สิ่งที่ผู้นำรัสเซีย นายวลาดิมีร์ ปูติน ต้องการบอกกับโลก คือ สหรัฐฯ ชาติตะวันตก ได้ใช้นโยบายกดดัน ทำให้รัสเซียตกต่ำมาตลอด ทั้งการขยายตัวของนาโต สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนในคอเคซัส การสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธ การเปิดประตููให้ยูเครนเข้าสู่นาโต ประธานาธิบดียูเครน ใช้ความกดดันหลายครั้งเพื่อบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในปีนี้ (2565) ที่รัสเซียบุกเข้าไป แต่มันมีที่มาที่ไป เป็นความกดดันที่สั่งสมจากพฤติกรรมอันโกหก ปลิ้นปล้อน กลับกลอก ไม่ทำตามคำมั่นสัญญาของชาติตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานั่นเอง

ผมฟังคำให้สัมภาษณ์คำหนึ่งของ ปูติน ผมต้องเล่าให้ท่านฟัง ปูติน พูดถึงอเมริกา ทำให้ผมคิดถึงสุภาษิตของคนแต้จิ๋ว ปูติน บอกว่า ประเทศอเมริกา ประเทศคุณ (เขาชี้ไปที่ทัคเกอร์ คาร์ลสัน) ปัญหาเยอะมาก คนไร้บ้าน หนี้สินมีอยู่ 33 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ปัญหาคนยิง ฆ่าคนตายทุกวัน ปัญหาผู้อพยพลี้ภัยเข้ามาในอเมริกา ดินแดนทางใต้ของอเมริกา ที่ผิดกฎหมาย พวกคุณสบายดีหรือ ไม่มีอะไรทำหรืออย่างไร ถึงเที่ยวมากดดันรัสเซีย หาเรื่องให้เกิดสงครามตลอดเวลานอกบ้านคุณ เหมือนกับคนแต้จิ๋วที่บอกว่า เจี๊ยะป้าบ่อสื่อ สบายดีหรือ กินข้าวอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ

ท่านผู้ชมครับ ยาวมากเรื่องนี้ เอาเพียงแค่นี้ แล้ววันนี้ก็พอเพียงแค่นี้ รอพบกันอาทิตย์หน้า สนุกสนานแน่นอนครับ ผมจะเอาเบื้องหน้าเบื้องหลังมาเปิด ซึ่งไม่เคยมีใครรับทราบมาก่อน สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น