xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : จับพิรุธ รวบ “แก๊งพี่ศรี” - ท่านชายพระตะบอง บิดเบือนคดีพันธมิตรฯ - ราชทัณฑ์การละคร อายัดตัวแม้ว - "บุ้ง" อดข้าวสร้างคอนเทนต์ - มาเฟีย มสธ. ภาค 2

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 9 ก.พ.2567 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่

- จับพิรุธ รวบ “แก๊งพี่ศรี” ทำไมไม่สอบอธิบดีกรมการข้าว
- ท่านชายพระตะบอง บิดเบือนคดีพันธมิตรฯ
- "บุ้ง" สร้างคอนเทนต์อดข้าว
- "ลูกน้องโจ๊ก" คุกคามอัยการ
- ราชทัณฑ์การละคร ตอน อายัดตัวแม้ว
- มาเฟีย มสธ. ภาค 2
- สหรัฐฯ พ่อค้าความตายตังจริง 

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.227



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 228 [9 ก.พ. 67]

ช่องทางติดตาม "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK

แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 สวัสดีท่านผู้ชมที่รับชมรายการสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok

วันนี้ วันศุกร์ที่ 9 ตรงกับเทศกาลตรุษจีนพอดี เป็นวันไหว้ วันที่ผู้คนเชื้อสายจีนจะไหว้เทพเจ้าเพื่อขอพรให้ชีวิตรุ่งเรือง รวมทั้งไหว้บรรพบุรุษ ผู้มีพระคุณ เพื่อแสดงถึงความกตัญญู ส่วนพรุ่งนี้ วันเสาร์ที่ 10 วันชิวอิก หรือวันขึ้นปีใหม่จีน เป็นวันเที่ยว เป็นวันที่คนพากันออกไปท่องเที่ยว ใส่เสื้อผ้าสีสดไปไหว้ขอพระญาติผู้ใหญ่

เนื่องในโอกาสนี้ขออวยพรให้แฟนๆ รายการทุกท่านประสบแต่ความสุข ความสำเร็จ ทุกประการ เนื่องในวาระโอาสวันตรุษจีนนี้

ท่านผู้ชมที่เข้ามาชมแล้วช่วยกันกดไลก์ กดแชร์ SUBSCRIBE ทางช่องทาง Facebook, YouTube, TikTok และทุกๆ ช่องทาง ถ้าใครยังไม่มี Sondhi App ท่านดาวน์โหลดไปเลย ไม่ต้องเสียเงิน Sondhi App มีทีเด็ดข้างใน มีเรื่องหลายเรื่องที่เราไม่สามารถจะออกใน Facebook หรือ YouTube ได้ เป็นเรื่องที่ถูกปิดบังมาตลอด ท่านเข้าไปดูได้เลย ไม่ได้เสียหายอะไรทั้งสิ้น แค่ดาวน์โหลด ถ้าท่านใช้ iOS ก็เข้าไปใน App Store หาคำว่า 'Sondhi App' ถ้าท่านใช้ Android ก็เข้าไปที่ Google Play หาคำว่า 'Sondhi App' แล้วลงทะเบียนเท่านั้นเอง แล้วท่านเก็บเอาไว้ วันดีคืนดีท่านอยากจะดูว่า Sondhi App มีรายการอะไรที่พิเศษ ที่ไม่ได้ออกตามปกติ เปิดเข้าไปดูได้เลย


ช่วง 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ผมกับอาจารย์ปานเทพ โดนอ้างอิงจากมิจฉาชีพ มีคน inbox เข้ามาเยอะเลย พูดถึงยารักษาอาการต่อมลูกหมาก เอารูปผมกับอาจารย์ปานเทพไปลง ปรากฏว่ากลายเป็นมิจฉาชีพปลอมหน้าเว็บไซต์ mgronline.com แอบอ้างผมและอาจารย์ปานเทพ มีการตัดต่อ รีทัชภาพผลิตภัณฑ์ยาที่อ้างว่ารักษาอาการต่อมลูกหมาก ชื่อว่า Proherb พร้อมบรรยายสรรพคุณที่มีลักษณะเหมือนผ่านการแปลจากภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยมั่วๆ ว่าผมได้ใช้ยาดังกล่าวนี้ ทั้งหมดนี้เป็นความเท็จทั้งสิ้น

วิธีการของคนพวกนี้มันเอาภาพผมกับอาจารย์ปานเทพ จากวิดีโอคลิปเรื่องการดูแลตัวเราเอง และการรักษาต่อมลูกหมากโตด้วยแพทย์ทางเลือกของคุณสนธิ ที่เผยแพร่ทางช่อง YouTube : Sondhi Talk เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2563 (4 ปีที่แล้ว) ไปทำการตัดต่อ ใส่ภาพผลิตภัณฑ์พวกนี้เข้าไปให้ดูเป็นว่าผมกับอาจารย์ปานเทพ ถือยาตัวนี้ไว้ในมือ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ อย่างชัดเจน


เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ท่านผู้ชมครับ ผมรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังต้นตอทั้งหมดแล้ว เจ้าของบริษัทนี้ชื่อ บริษัท โนวาโก มีกรรมการ 2 คน คือ น.ส.พจนา ใหม่ละมัย และ น.ส.วู ถิ ธู เฮียน คนเวียดนาม พฤติกรรมทั้งหมดน่าสงสัยว่าเป็นบริษัทนอมินีของคนเวียดนามที่สร้างขึ้นมาเพื่อหลอกผู้บริโภคคนไทย พอสืบลงไปลึกๆ แล้ว จากการปลอมแปลงเว็บ รวมทั้งเนื้อหาต่างๆ ที่ดูเหมือนไม่ใช่คนไทยเขียนขึ้นแล้ว ผมยังให้ทีมงานตรวจสอบเชิงลึกไปด้วยว่าคนเวียดนามกลุ่มนี้ ที่ใช้คนไทยเป็นนอมินี น่าจะไปจ้างบริษัทโฆษณาในยูเครนให้ทำโฆษณาให้ เพื่อมาหลอกคนไทยอีกทีหนึ่ง

ข้อมูลที่ผมพูดให้ฟังนี้เป็นเพียงส่วนน้อย ส่วนหนึ่งทางทีมทนายผมได้ประสานงานกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางไว้หมดแล้ว จะต้องมีการจับกุมอย่างเด็ดขาดต่อไป เนื่องจากเข้าข่ายเป็นขบวนการหลอกลวงข้ามชาติ และจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด คนที่เป็นบริษัทนอมินี รับงานเขามาแล้วบอกไม่รู้ไม่ชี้นี่ฟังไม่ขึ้น คุณจะต้องโดนทุกดอกเลยงานนี้ ทั้งฉ้อโกง ทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ผมมั่นใจว่าคุณติดคุกติดตะรางอย่างแน่นอน

ส่วนใครที่หลงไปอ่านเจอ อย่าเชื่อเด็ดขาด เพราะขนาดโฆษณามันยังกล้าปลอมสรรพคุณอย่างนี้ อย่างอื่นอย่าไปหวังความจริง

ผมย้ำตรงนี้นะครับ ยาชื่อ Proherb ไม่ใช่ยารักษาต่อมลูกหมาก ไม่ได้มีสรรพคุณรักษาโรคอะไรเลย เป็นแค่อาหารเสริมเท่านั้นเองครับ ท่านผู้ชมระวังตัวไว้ ส่วนพวกนอมินีทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทย คุณไปบอกหุ้นส่วนของคุณ หรือเจ้านายของคุณ คนเวียดนาม ว่า ซวยแล้ว อิ๊บอ๋ายแล้ว และคุณก็มีสิทธิ์ติดคุกติดตะรางอย่างแน่นอน รับรองว่างานนี้ผมจัดให้ แล้วผมจะไปให้สุดซอย เตรียมรับสึนามิเอาไว้ดีๆ ก็แล้วกัน

"พิธา-ก้าวไกล" บิดเบือนความจริง

เรื่องที่ผมจะพูดนี้ จริงๆ ผมก็เบื่อหน่ายมากนะ ก็คือเจ้าเก่า โกหกพกลมมาตลอด งานนี้เห็นจะต้องจัดหนักเสียทีแล้ว นั่นคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคพวกของเขา


เหตุเกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ ศาลแขวงปทุมวัน แขวงถนนนครชัยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ อ่านคำพิพากษาจำเลย 8 คน เป็นผู้จัดการชุมนุม ชักชวนคนมาทำกิจกรรม ไม่ถอย ไม่ทน ของอดีตนักการเมืองพรรคอนาคตใหม่ จำเลย 8 คน มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล น.ส.พรรณิการ์ วานิช นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ฯลฯ ศาลตัดสินว่านายธนาพร และพวก มีความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ เนื่องจากการจัดการชุมนุมในระยะไม่เกิน 150 เมตร จากพระราชวัง (จากการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ปี 2562 บริเวณสกายวอล์กสี่แยกปทุมวัน)พิพากษาลงโทษจำคุก 4 เดือน ปรับคนละ 1 หมื่นบาท ให้รอลงอาญา 2 ปี และปรับอีก 1 หมื่นบาท จำเลยทั้งหมดต่อสู้ในขั้นอุทธรณ์


หลังฟังคำพิพากษา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส. พรรคก้าวไกล และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ได้พูดเปรียบเทียบว่าชุมนุมสกายวอล์กสี่แยกปทุมวัน ถูกตัดสินจำคุก 4 เดือน ไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ

นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความของกลุ่มธนาธร-นายพิธา บอกว่า ผมยกตัวอย่างว่า สมมุติว่าผิด คุณยึดสนามบิน ศาลอาญาปรับแค่ 2 หมื่นบาท แต่ทำไมไปสกายวอล์ก คุณบอกชุมนุมสั้นๆ หากจะขัดขวางจริงจัง อาจจะนิดหน่อยในเวลาช่วง 45 นาที แต่ทำไมลงโทษจำคุกตั้ง 4 เดือน


ท่านผู้ชมครับ ทนายคนนี้ชื่อ ทนายด่าง เป็นคนเดือนตุลาฯ อดีตนักศึกษาธรรมศาสตร์ ที่ผ่านมา เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เรียนอยู่คณะนิติศาสตร์ มีตำแหน่งเป็นสมาชิกสภานักศึกษาธรรมศาสตร์ ตอนนี้อายุ 66 ปีแล้ว เป็นทนายอาวุโสให้กับศูนย์ทนายความสิทธิมนุษยชน ผมจะบอกทนายด่างไว้ เดี๋ยวผมจะเล่าความจริงให้ท่านผู้ชมฟัง ผมจะเล่าให้ฟังแล้วผมจะตบหน้าคุณด้วย คุณรู้ไหมทำไมพรรคก้าวไกลแพ้คดีแล้วแพ้คดีอีก เพราะทนายห่วย สู้คดีไม่เป็น ว่างๆ คุณลองมาปรึกษาหาความรู้จากทนายผมหน่อยสิ คุณสุวัตร อภัยภักดิ์ แต่ผมไม่รู้ว่าเขาจะให้คำปรึกษาคุณหรือเปล่านะ แล้วผมจะบอกพวกพรรคก้าวไกลด้วย ชีวิตพวกคุณต้องขึ้นศาลต่อไปในอนาคต ถ้าคุณใช้ทนายห่วยๆ แบบนี้ คุณก็แพ้ตลอดกาล

แล้วผมอยากจะตบปากพิธา กับทนายด่าง ก็เพราะบิดเบือน อ่อนหัด ด้วยเหตุนี้สู้เท่าไรก็แพ้

อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในฐานะอดีตแกนนำ และอดีตโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ของขึ้นทันทีที่มีการพาดพิงถึงคดีความเรื่องสนามบิน ว่าทำไมพวกผมถูกปรับ 2 หมื่นบาท


การกล่าวให้สัมภาษณ์พาดพิงไปเปรียบเทียบคดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหลายครั้งว่าศาลชั้นต้น 17 มกราคม ที่ผ่านมา ตัดสินให้ปรับ 2 หมื่นบาท เปรียบเทียบว่าไม่เป็นธรรม บิดเบือนข้อเท็จจริงในหลายๆ ประเด็น ซึ่งเป็นความถนัดของพวกคุณอยู่แล้ว ทนายด่าง และคุณพิธา พวกคุณนี่จอมบิดเบือนข้อเท็จจริงเลย มันเป็นคนละเรื่องและเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย เกิดขึ้นคนละเวลาและสถานที่ ต่างสถานการณ์ ต่างสาเหตุ อีกทั้งข้อเท็จจริงก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เดี๋ยวผมจะแจกแจงให้ฟังทีละข้อ หวังว่าคงมีสติและมีปัญญามากพอที่จะเข้าใจสิ่งที่ผมพูดนะ

ประการแรก มีการบิดเบือนหลายครั้งจนปัจจุบัน ว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปิดสนามบิน แต่สู้กันมาตั้งหลายปีติดกัน สิบปี แล้วศาลพิพากษาบอกว่าพันธมิตรฯ ไม่ได้เป็นผู้ปิดสนามบิน แล้วคุณจะมาว่าผมปิดสนามบินได้อย่างไร

การชุมนุมในพื้นที่ทั้งหมดเป็นพื้นที่เขตนอกการบิน ที่เขาเรียกว่า Landside เข้าใจหรือไม่ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขตการบิน หรือ Airside ใดๆ เลย และมีการสืบพยานทั้งโจทก์และจำเลย ส่วนใหญ่โจทก์ยอมรับได้ข้อยุติทางเทคนิคและกายภาพทั้งหมดเกิดจากการซักค้านของพยานโจทก์ทั้งสิ้น พยานโจทก์ยอมรับว่าไม่ได้ปิดสนามบิน


ทีนี้ คุณธนาธร คุณพิธา รวมไปถึงติ่งพรรคก้าวไกล คุณเปิดกะโหลกของคุณที่ไม่รู้ว่ามีสมองมากน้อยแค่ไหน อัปเดตข้อมูลข้อเท็จจริงเสียที คุณเลิกโกหก เลิกบิดเบือน สร้างวาทกรรมให้ร้ายพวกผมตามที่พยายามทำกันมาหลายปีแล้ว

ประการที่สอง พวกผมชุมนุม เนื้อหาการชุมนุมเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เป็นการทำหน้าที่ประชาชนชาวไทย คือการชุมนุมเพื่อต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้างคดีทุจริตคอร์รัปชันในสมัยรัฐบาลทักษิณ เป็นการปกป้องอธิปไตยของชาติ ต่อต้านการทุจริต ซื้อเสียง โกงการเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชน แล้วพวกคุณรู้หรือเปล่า สิ่งที่พวกผมสู้ตามรัฐธรรมนูญนั้น กาลเวลาผ่านมาได้พิสูจน์ด้วยคำพิพากษาศาลฎีกาว่า เนื้อหาที่พวกเราต่อสู้ดังกล่าวเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น รวมทั้งการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ สารภาพสำนึกผิดของนักโทษชายเด็ดขาด ทักษิณ ชินวัตร ว่าเขาได้กระทำผิดจริง การชุมนุมจึงชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทุกประการ

ดังนั้น การชุมนุมของพันธมิตรฯ จึงใช้สิทธิและทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการชุมนุมสาธารณะ ซึ่งเป็นเสรีภาพที่กำหนดไว้ตามมาตรา 63 ซึ่งถ้าหากมีการจำกัดขอบเขตของเสรีภาพในการชุมนุม มีจำกัดว่าต้องสงบ ปราศจากอาวุธ

การลงโทษผู้ชุมนุมนั้น รัฐธรรมนูญปี 2550 กำหนดให้มีกฎหมายเฉพาะการชุมนุมสาธารณะเท่านั้น จึงจะจำกัดขอบเขตได้ ซึ่งขณะนั้น ปี 2551 ยังไม่มีกฎหมายชุมนุมสาธารณะ แต่ของคุณมีกฎหมายชุมนุมสาธารณะแล้ว สมัยผมไม่มี จะอาศัยกฎหมายฉบับอื่นมาลงโทษผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธไม่ได้ ประเด็นนี้ก็เป็นข้อกฎหมายเช่นกัน ต่างจากยุคคุณ คุณจัดในปี 2562 ซึ่งมีการตราพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ไว้แล้ว เรื่อง พ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะ มีการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการชุมนุม อย่างละเอียด ว่าสิ่งใดทำได้และทำไม่ได้ มีบทลงโทษอย่างไร ใครละเมิดก็ผิดกฎหมาย ใครทำถูกต้องตามกระบวนการ ก็ย่อมถูกต้องตามกฎหมาย


คุณเข้าใจหรือยัง ที่คุณโดนก็เพราะว่ามีพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ สมัยนั้นพวกผมชุมนุมสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ ตามมาตรา 63 แต่ว่าในสมัยที่ผมชุมนุมนั้น กฎหมายเรื่องเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะยังไม่ได้ร่างออกมา มันต่างกัน เข้าใจหรือยัง ตอนพวกผมชุมนุมเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว พวกคุณยังแก้ผ้าเล่นน้ำฝนกันอยู่เลย มาถึงวันนี้พอคุณอยากจะปลุกม็อบ ไม่ดูตาม้าตาเรือ ดันทำผิดกฎหมายง่ายๆ พวกคุณนี่มันอ่อนหัด โหนวเกี้ย จะมาโทษพวกผมว่าทำไมผมทำแล้วไม่ถูกลงโทษ

ประการที่สาม อย่าคิดว่าคดีของพันธมิตรฯ จะชนะเสมอไป เพราะคดีการชุมนุมของพันธมิตรฯ หลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่น มีการล่วงล้ำเข้าไปสถานีโทรทัศน์ NBT การเข้าไปชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล และศาลฎีกาก็ลงโทษจำคุกแกนนำ ผมก็โดนด้วย 8 เดือน เช่นเดียวกับคดีแพ่งที่ศาลสั่งให้ยึดทรัพย์แกนนำ เพราะฉะนั้นแล้ว เฮ้ย! ธนาธร พิธา ปิยบุตร พวกผมไม่ได้อภิสิทธิ์ใดๆ พวกผมยังใช้สิทธิ์ต่อสู้ เคารพตามกระบวนการยุติธรรม ไม่เคยงอแง โวยวาย เหมือนเด็กพวกคุณทั้งหลาย ทำผิดก็พร้อมจะรับผิดไปตามกระบวนการยุติธรรม


ประการที่สี่ อาจารย์ปานเทพเองเคยมีประสบการณ์ถูกดำเนินคดีความในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในข้อหายื่นหนังสือเรียกร้องความเป็นธรรมต่อประชาชนเรื่องกฎหมายปิโตรเลียม ที่หน้ารัฐสภา เดิมว่าอยู่ในรัศมี 150 เมตร จากพระราชวังเช่นกัน และถูกดำเนินคดีในข้อหาชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาตในกรณีเข้าไปยื่นหนังสือเรียกร้องการปฏิรูปพลังงาน ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล แปลว่ากฎหมายเหล่านั้นไม่ได้เลือกปฏิบัติเฉพาะพรรคก้าวไกล อาจารย์ปานเทพก็โดน แต่คนอื่นสามารถถูกดำเนินคดีได้ตามกฎหมาย ทั้งสองคดีที่อาจารย์ปานเทพถูกฟ้องร้อง หลายคนคิดว่าไม่น่าจะชนะได้ แต่อาจารย์ปานเทพก็แสดงหลักฐานซักค้านด้วยตัวเอง คดีนั้นอาจารย์ปานเทพเป็นทนายให้ตัวเอง จนชนะคดีความ อัยการก็ยังไม่ยอม อุทธรณ์ต่อ อาจารย์ปานเทพก็สู้จนชนะอีก ทำให้อัยการไม่สามารถยื่นฎีกาได้


เพราะฉะนั้นแล้ว วันนี้คุณพูดอย่างนี้ กับข้อเท็จจริงที่ผมเล่าให้ฟัง มันตบหน้าทนายด่างและพวกทนายของพรรคก้าวไกล และพรรคอนาคตใหม่ หรือม็อบสามนิ้ว ว่าพวกคุณมันอ่อนหัด

นอกจากนี้แล้ว เมื่อย้อนไปดูคดีอื่น ยกตัวอย่างเช่น ทนายอานนท์ นำภา ตอนนี้ติดคุกอยู่เช่นกัน ขึ้นชื่อลือชาในหมู่นักเคลื่อนไหวว่า ถ้าทนายอานนท์ให้สู้คดีไหน เห็นแววก่อนว่าแพ้แน่ ตั้งแต่คดีอากง หรือนายอำพล ตั้งนพกุล คดีนายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล หรือ หนุ่มเรดนนท์ คดีนายเอกชัย หงส์กังวาน จนถึงคดีของตัวเอง คือทนายอานนท์ นั่นเอง


หลักฐานเชิงประจักษ์นี้พิสูจน์ให้เห็นได้ชัดว่าพวกคุณนอกจากชอบบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะแล้ว ในทางกฎหมายยังอ่อนประสบการณ์ สู้ไม่ถูกประเด็น บางประเด็นก็ไม่ได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะจริงตามที่กฎหมายกำหนด ที่สำคัญ เวลาเคลื่อนไหวพวกคุณมีจิตที่ไม่บริสุทธิ์ มีวาระซ่อนเร้นในการทำหรือไม่ทำอะไรตลอดเวลา อย่างนี้คุณสู้ไปก็แพ้ ไม่เหมือนพวกผม พวกผมไม่มีวาระซ่อนเร้น พวกผมสู้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่ผมสู้นั้นถูกต้อง จากคำพิพากษาศาลฎ๊กาที่ออกมา พิสูจน์ชัดเจนว่าสิ่งที่ผมสู้นั้นถูกต้อง

เอาจริงๆ นะ พวกคุณ ธนาธร ปิยบุตร คุณพิธา รวมทั้งทีมทนายความ แทนที่คุณจะใช้เวลาสัมภาษณ์มั่วๆ บิดเบือนความจริง ทำได้แค่ปลุกระดมชั่วครั้งชั่วคราว แต่ก็ไม่สามารถชนะคดีได้อยู่ดี ลองใช้เวลากลับไปทบทวนดูตัวเอง ทำการบ้าน อ่านคำพิพากษาคดีย้อนหลังว่าเขาแพ้หรือชนะด้วยการต่อสู้อย่างไร น่าจะเพิ่มพูนสติปัญญา เกิดประโยชน์มากกว่า เผื่อเอาไว้สู้คดีในขั้นอุทธรณ์หรือฎีกาได้

ท่านผู้ชมครับ สำหรับนายพิธานั้น มีข้อมูลล่าสุดพิสูจน์ชัดว่า นายคนนี้สร้างโลกมโน โลกเสมือนสมมุติ หลงตัวเองอย่างหนัก ผมอยากจะพูดต่อไปเลย เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับคุณผุดขึ้นมาในโลกออนไลน์ กรณีนักข่าวโซเชียลเขาขุดไปเจอโพสต์เก่าๆ ในอินสตาแกรมของคุณ ถึงแม้ว่าจะเป็นโพสต์ที่ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่มันมีข้อคิดให้คนปะติดปะต่อและตั้งคำถามถึงว่าคุณมีอาการหลอกตัวเอง หลงตัวเองมาตั้งแต่หนุ่มเลยนะ นานมาแล้วนะ ตั้งแต่คุณยังไม่เข้าการเมือง และนี่คือสันดานของคุณจริงๆ โกหก มโนตัวเอง หลงตัวเอง ไม่ใช่เพิ่งมาเป็นตอนนี้


ยกตัวอย่าง 2 เรื่องล่าสุดที่เขาเอามาแชร์กันอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็น Talk around town เรื่องแรก มีคนเขาเห็นโพสต์อินสตาแกรมของคุณเมื่อปี 2559 หรือ 8 ปีที่แล้ว วันที่ 14 มกราคม เป็นภาพที่คุณถ่ายงานศิลปะ เขียนแคปชันว่า "i #donateartforcancer ศิลปะเพื่อเป็นทุนรักษาโรคมะเร็งให้ผู้ป่วยที่ยากไร้ รูปนี้ผมวาดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว รูปแม่ลูก เดินเล่น ชานเมืองปารีส (ขอให้ผลบุญไปหาลูกสาวที่กำลังจะเกิด) เพื่อนๆ ที่รักศิลปะทุกท่านสนใจลองดูที่ #artforcancer ครับ"

ฟังและดูเผินๆ แล้วก็น่าจะชื่นชมนะครับ แต่ที่มันกลายเป็นประเด็น Talk of the town ระบุว่าเป็นภาพที่ตัวเองวาด แม่ลูกเดินเล่นชานเมืองปารีส ก็คือการบรรยายเสมือนหนึ่งตัวเองนั่งอยู่แล้วมีแม่ลูกเดินผ่าน ก็เลยวาดภาพนี้ออกไป แต่อย่างไรรู้ไหมท่านผู้ชม ภาพนี้เป็นภาพที่คุณพิธาวาดลอกเลียนแบบงานชิ้นสำคัญของ Monet จิตรกรชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อก้องโลกในคริสตศตวรรษที่ 19-20


ภาพ WOMAN WITH A PARASOL, MADAME MONET AND HER SON เป็นภาพที่ Monet วาดไว้เมื่อปี ค.ศ. 1875 หรือ 2418 บุคคลดังกล่าวเป็นบุตรชายและภรรยาของเขาที่กำลังเดินเล่นอยู่แถบชานเมืองอาร์ฌ็องเตย (Argenteuil) ประเทศฝรั่งเศส

ถ้าคุณพิธาวาดเลียนแบบได้ขนาดนี้ ถือว่าพอมีฝีมืออยู่บ้าง ในกรณีที่วาดเองจริงๆ นะ แต่การไม่เคยอ้างอิงว่าคุณลอกมาจากต้นฉบับและเจ้าของภาพเลย ทั้งๆ ที่เขาเป็นจิตรกรระดับโลก ผมประหลาดใจมาก แต่มาวันนี้ผมไม่ประหลาดใจแล้ว เพราะคุณหลงตัวเอง คุณต้องการให้คนที่ไม่รู้เรื่องที่มาที่ไปของภาพนี้ อวยคุณ ว่า แด๊ดดี้ เก่งจัง วาดรูปได้ซึ้งมาก ผมยอมรับว่าคุณวาดรูปได้ดี แต่คุณไปเลียนแบบเขา เลียนแบบ Monet ที่ภรรยาและลูกชายของเขาเดินเล่นอยู่

เรื่องที่สองเป็นเรื่องที่ประเด็นสุดย้อนแย้ง มีคนไปขุดโพสต์อินสตาแกรมของคุณพิธามาอีกแล้ว เป็นโพสต์เมื่อประมาณปี 2558 วันที่ 20 พฤษภาคม เก้าปีที่แล้ว เป็นภาพอาคารโบราณหลังใหญ่โต ซึ่งคุณพิธาอ้างว่าเป็นบ้านเก่าคุณยาย คุณพิธาเขียนแคปชันว่า "my grandmother used to live in this house almost 1 century ago บ้านเก่าคุณยาย" ก็คือ คุณยายเคยอยู่บ้านหลังนี้มาประมาณเกือบร้อยปีที่แล้ว


คุณพิธา น่าสงสารคุณจริงๆ คุณโกหก แต่คุณกลบเกลื่อนหลักฐานและร่องรอยที่คุณโกหกไม่สำเร็จ ภาพนี้ แคปชันนี้ ไม่รอดพ้นนักสืบโซเชียล เขาไปหาความจริงได้ความว่า บ้านหลังนั้นที่แท้เป็นอดีตศาลากลางจังหวัด แต่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยด้วยนะ เป็นศาลากลางจังหวัดที่พระตะบอง ประเทศกัมพูชา และเคยเป็นทำเนียบที่พักของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม อภัยวงศ์) ซึ่งตอนนั้นมีศักดิ์เป็นพระยาคฑาธรธรนินทร์ เจ้าเมืองพระตะบอง ต่อมาท่านได้อพยพกลับมาไทยพร้อมครอบครัว มาสร้างตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่จังหวัดปราจีนบุรี รูปร่างของตึกทั้งสองเลยคล้ายคลึงกันมาก


ภาพบน เป็นภาพตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร พระตะบอง กัมพูชา ภาพล่าง เป็นภาพตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี ส่วนตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่พระตะบอง ประเทศกัมพูชา จะเกี่ยวข้องกับคุณยายของคุณพิธาอย่างไรไม่ทราบ หรือว่าฝั่งคุณแม่คุณพิธามีเชื้อสายเขมร อันนี้หลายคนก็เลยตั้งข้อสงสัย เพราะเรื่องนี้มีคนสงสัยเยอะ

อาจารย์อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ แกก็สงสัย เลยไปถามคนรู้จักในสกุลอภัยวงศ์ ซึ่งเป็นลูกหลานของท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม อภัยวงศ์) ผมเอารูป ชุ่ม อภัยวงศ์ ขึ้นให้ดู เจ้าเมืองพระตะบองคนสุดท้ายภายใต้การปกครองของสยาม


ปรากฏว่าเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ถามกันให้วุ่นในกลุ่มลูกหลานตระกูลอภัยวงศ์ เพราะไม่มีใครทราบเลยว่านายพิธา มาเกี่ยวข้อง เป็นญาติกับสกุลอภัยวงศ์ตอนไหนกันแน่ ยกตัวอย่าง นายคทา อภัยวงศ์ หรือ คุณต๊ะ อายุ 88 ปีแล้ว เป็นบุตรชายของท่านควง อภัยวงศ์ ส่งข้อความผ่านกลุ่มไลน์ประจำตระกูล โดยมีสมาชิก 97 คน โดยมีข้อความดังกล่าวระบุว่า "เรื่องคุณพิธา ถ้ามีใครถาม ตอบได้เลยว่า 1 ไม่ใช่บุคคลในตระกูลอภัยวงศ์ 2 การแอบอ้างว่าเคยอยู่ในตึกในภาพ เป็นการโอ้อวดสร้างภาพถานะตามปกตินิสัยเขมร เพราะแม้แต่เคยอยู่ในบริเวณจวนเจ้าเมืองก็ยังไม่มี 3 ตึกที่พระตะบองเป็นที่ทำการของฝรั่งเศสมา ๑๒๐ กว่าปี คุณยายเกิดแล้วหรือยัง"


นอกจากนี้แล้ว อาจารย์ตรีดาว อภัยวงศ์ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ลูกหลานตระกูลอภัยวงศ์ ยังออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องนี้ด้วย

"เรื่องคุณพิธาที่กล่าวว่าบ้านเก่าคุณยาย My grandmother used to live in this house almost a century ago เป็นภาพถ่ายตึกที่เป็นของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ต้นตระกูลอภัยวงศ์ ทำเอาสองวันนี้ ตรีดาว และญาติๆ ชุลมุนกันมากว่าจะตอบคำถามเมื่อมีคนมาถามว่าเป็นญาติกันหรืออย่างไร ขออธิบายอย่างนี้ค่ะ

1. คุณยายคุณพิธาชื่ออะไร นามสกุลเดิมอะไร ถ้าทราบพอจะเชื่อมโยงกันได้ เนื่องจากตอนนี้ยังหากันไม่เจอ ไม่มีใครรู้จักคุณพิธา

2. คุณยายเคยอาศัยบ้านหลังนี้เมื่อไร สถานะอะไร

3. เนื่องจากตึกนี้ถูกรัฐบาลกัมพูชาในการปกครองของฝรั่งเศสยึดไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ตอนที่ไทยต้องยอมเสียมณฑลบูรพา อันได้แก่ พระตะบอง เสียมราฐ และ ศรีโสภณ ให้กับฝรั่งเศส ในช่วงสงคราม ร.ศ. 112 หรือ พ.ศ. 2436

4. เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) อพยพครอบครัวกลับมาอาศัยที่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2450 โดยยังไม่มีโอกาสได้อาศัยอยู่บ้านหลังนั้น ท่านยอมกลับเพราะท่านไม่ต้องการเป็นข้ารับใช้ฝรั่งเศส คนในตระกูลอภัยวงศ์ได้รับการสั่งสอนอบรมให้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์มาทุกชั่วอายุคน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ และวางพระราชหฤทัย ให้บรรพบุรุษของตระกูลไปปกครองเมืองพระตะบอง จนถึงสมัยที่ไทยต้องเสียดินแดน

5. ช่วงสงครามอินโดจีนระหว่างปี 2484-2489 ไทยได้ดินแดนส่วนนี้คืนมา นายควง อภัยวงศ์ บุตรชายเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยนำธงชาติไทยกลับไปชักขึ้นเหนือดินแดนแห่งนี้ด้วตัวเอง จากนั้นรัฐบาลไทยส่งนายเขียด อภัยวงศ์ หลานเจ้าพระยาฯ ให้เป็นผู้แทน ซึ่งในระหว่างนั้น นายเขียด และครอบครัว ได้กลับไปใช้บ้านหลังนั้นเป็นที่ทำการอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นก็ทรุดโทรมมาก

6. สมัยสงครามอินโดจีนเรามีผู้แทนราษฎรจังหวัดพระตะบอง ชื่อ นายชวลิต อภัยวงศ์ และ นายประยูร อภัยวงศ์ เป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดพิบูลสงคราม คือเสียมราฐในปัจจุบัน ทั้งสองจังหวัดอยู่ในประเทศไทย

7. ถ้าคุณยายคุณพิธาอาศัยอยู่บ้านหลังนี้ช่วง 100 ปีที่แล้ว น่าจะรู้จักกับญาติๆ อภัยวงศ์ที่ไปเป็นผู้แทนและทำงานให้บ้านเมืองในเวลานั้น

8. แม้คนในตระกูลจะไปอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้น ก็ไม่ใช่ในฐานะเจ้าของ จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าคุณยายคุณพิธาจะเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้น

9. หากคุณยายคุณพิธาเคยอยู่ที่นี่ และเรียกว่าเป็นบ้านคุณยาย เรามีเหตุให้สงสัยว่าคุณยายของคุณพิธาเป็นใครกัน หรือพวกเราไม่รู้ คงต้องรอให้คุณพิธามาอธิบายเชื่อมโยงให้คนในตระกูลฟังเสียแล้ว

ถ้ามีอะไรคลาดเคลื่อนก็เป็นเพราะความเขลาและความไม่รู้ของอิฉันเองค่ะ"

อาจารย์ตรีดาว พูด อาจารย์อักษรศาสตร์นะ แต่บทเธอแดกดันก็เจ็บจี๊ดเข้าไปในกระดูกเลยนะ

นี่คือคำชี้แจงจากสายตรงและคนในตระกูลอภัยวงศ์ เกี่ยวกับโพสต์ของคุณพิธา


ขณะเดียวกัน อาจารย์อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ แกโพสต์เฟซบุ๊กตั้งข้อสังเกตว่า "ถ้าคุณพิธามีเชื้่อสายอภัยวงศ์จริงๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกผิดแผกไปจากบรรพบุรุษมาก เป็นข้าวนอกกอ ลูกหลานผ่าเหล่าโดยแท้ เพราะว่า คุณพิธาเกี่ยวข้องกับพรรคล้มเจ้า ทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่ต้นตระกูลอภัยวงศ์ คือ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ท่านเป็นผู้จงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่ยอมเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย อพยพกลับประเทศไทย ทิ้งทรัพย์สมบัติรวมถึงจวนที่พระตะบองที่คุณพิธาโพสต์ว่าคุณยายเคยอาศัยอยู่ นอกจากนี้ ตระกูลอภัยวงศ์ยังมีความใกล้ชิดพระมหากจักรีบรมราชวงศ์ เป็นอย่างยิ่ง พระนางเจ้าสุวัทนาวรราชเทวี ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชาติกำเนิดเป็นสามัญชน นาม เครือแก้ว อภัยวงศ์ ทรงเป็นพระชนนีของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาสิริโสภาพัณณวดี ดังนั้น หากคุณพิธามีเชื้อสายตระกูลอภัยวงศ์จริง ก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกและมีพฤติกรรมที่บรรพบุรุษคงจะตำหนิติเตียนลูกหลานเยี่ยงคุณพิธาอย่างรุนแรง" (ที่ต้นตระกูลบรรพบุรุษรัก เคารพ จงรักภักดีต่อเจ้า ถ้าคุณเป็นลูกหลานจริง ปู่ย่าตาทวดคงสาปแช่งคุณว่า ไอ้เหลนระยำกลับต้องการจะล้มเจ้า)

ดร.อานนท์ พูดต่อ ว่า "แต่ถ้าคุณพิธาไม่ใช่ลูกหลานตระกูลอภัยวงศ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำไมคุณพิธาถึงพยายามแอบอ้างว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลอภัยวงศ์ ทั้งๆ ที่พฤติกรรมของคุณพิธาเองคือการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข ทำไมคุณพิธาถึงได้ดูย้อนแย้งไปเสียทุกทาง"

ประเด็น วันนี้สิ่งที่คุณพิธาเคยโอ้อวด เคยโม้ เคยมโน เคยพูดกลับกลอกไปมาในอดีต ค่อยๆ ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเองทีละดอกๆ ทีละเรื่องๆ ผมจะทบทวนความจำให้ฟัง


มาตรา 112 ที่ก้าวไกลอ้างว่าแก้ไข ไม่ใช่ยกเลิก แต่วันที่ 24 มีนาคม ที่สวนสาธารณะเทศบาลนครแหลมฉบัง คุณปราศรัยปิดท้าย พอเด็กสามนิ้วให้คุณเลือกแปะสติกเกอร์ซึ่งมีอยู่ 2 อัน คือ ให้แก้ไข หรือ ยกเลิก มาตรา 112 คุณแสดงความกลับกลอก คุณลืมไปว่าคุณอ้างว่าแก้ไข ไม่ใช่ยกเลิก แต่คุณปิดสติกเกอร์ที่ยกเลิกทันที เอาใจเด็ก เรื่องนี้ วันที่ 31 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็มีคำวินิจฉัยเรื่องของคุณ พรรคก้าวไกล ที่จะแก้ไข 112 มาหาเสียงเลือกตั้ง ก็ระบุไว้ชัดเจน

เรื่องที่สอง เรื่องเก่า แต่ไม่มีใครลืมเรื่องนี้ของคุณเลย อ้างว่าสมัยรัฐประหาร 2549 คุณโดนกักตัว มาไม่ทันงานศพพ่อ โดนอายัดบัญชี ไม่มีเงินจัดงานศพ พวกติ่งพิธาน้ำหูน้ำตาไหล โกรธแค้นเกลียดชังคู่ต่อสู้ทางการเมืองของคุณพิธาทันทีเลย ซึ่งเป็นข้อโกหก


ข้อที่สาม คุณพูดกลับกลอกเรื่องกัญชา ตอนแรกบอกสนับสนุนกัญชาเสรีเพื่อสันทนาการ แม้แต่ตัวคุณเองยังยอมรับว่าใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคลมชัก แต่พอวันหาเสียงคุณไปพูดกับชูวิทย์ว่าไม่เอากัญชาเสรี ขอให้กลับไปเป็นยาเสพติด

ข้อที่สี่ คุณอ้างว่าแก้หนี้บริษัทครอบครัว 100 ล้านบาท แต่ความจริงเป็นตรงกันข้าม เงินบริษัทที่นายพิธาดูแลอยู่นั้น หายไปร้อยกว่าล้านบาท

ปีที่แล้วคุณใส่เสื้อสีรุ้งออกงาน Bangkok Pride 2023 สร้างคะแนนนิยมทางการเมือง ทั้งๆ ที่ในอดีตคุณเคยสั่งห้ามภรรยาของคุณไม่ให้คบเพื่อนเพศที่สาม

ยังมีอีกหลายเรื่องที่รอให้ความจริงเปิดเผยออกมา ประชาชนที่มีปัญญาคงจะมองเห็นข้อเท็จจริงและตาสว่าง แต่คุณโชคดีเพราะคุณมีติ่งโง่ๆ ด้อยปัญญา ที่เรียกคุณว่า แด๊ดดี้ ยังคงลุ่มหลง หลงใหลกับภาพจอมปลอมที่นายคนนี้สร้างขึ้น น่าจะปล่อยไปตามยถากรรม

คุณพิธาครับ คุณไม่มโน คุณไม่หลงตัวเองด้วยการโกหก ไม่มีใครเขาว่าคุณหรอก คุณหัดปิดปากเงียบๆ ผมเชื่อว่าคุณไม่ออกมาแก้ตัวหรอกครับ เพราะคุณแก้ตัวไม่ออก

ชาติกำเนิดคนเรานะ คุณพิธา คุณจำเอาไว้เลยนะ ผมมีความภูมิใจในปู่ในย่าของผม คุณถามว่าผมเป็นใคร ผมเป็นลูกเจ๊ก ปู่ผมมาจากเกาะไหหลำ ย่าผมเป็นลูกกำนันอยู่ที่จังหวัดสุโขทัย แม่ผมเป็นคนจีนมาจากเกาะไหหลำ ผมมีเลือดไทยอยู่หนึ่งในสาม อีกสองในสามนั้นเป็นจีน ผมไม่เคยโกหกใคร แล้วถ้าผมมีเชื้อสายจีน คุณพิธาครับ มันเป็นอะไร แล้วยังไง ? แล้วคุณลืมไปแล้วหรือว่าคุณนามสกุลอะไร "ลิ้มเจริญรัตน์" แต่ "ลิ้มทองกุล" คนนี้ไม่เคยมโนหลงตัวเอง "แซ่ลิ้ม" เหมือนกัน คุณพิธา คุณก็คือลูกเจ๊กคนหนึ่ง อย่าได้หลงตัวเองอีกต่อไปเลย

"บุ้ง" อดข้าวสร้างคอนเทนต์

เราไม่ได้พูดถึงคุณบุ้ง ทะลุวัง มานานพอสมควรแล้ว เผอิญมันมีเรื่องบางเรื่องที่จะต้องพูด อธิบายความเคลื่อนไหวสักนิดหนึ่ง

ตอนนี้ บุ้ง ทะลุวัง ยังเร่งสร้างคอนเทนต์ไม่เลิก อดข้าวประท้วงอยู่ในคุก แล้วประกาศว่าจะทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ หยก ไม่ทราบว่าสมบัติที่ได้มานั้น ได้มาจากการที่คนที่อยู่เบื้องหลัง จ่ายเงินจ่ายทองให้ แล้วก็มีเงินส่วนต่างเก็บเอาไว้หรือเปล่า


เมื่อวันที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งเพิกถอนปล่อยตัวชั่วคราว น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง ทะลุวัง จำเลยในคดีหมิ่นเบื้องสูง เนื่องจากไปชุมนุมเรียกร้องให้ถอดถอนนายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ สว. ออกจากศิลปินแห่งชาติ และปรากฏหลักฐานภาพถ่ายว่าเป็นบุคคลที่ไปพ่นสีธงสัญลักษณ์เบื้องสูง นอกจากนี้ ยังมีคดีละเมิดอำนาจศาล ที่มีเหตุกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ภายในบริเวณศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลเลยตัดสินใจถอนประกันและให้จำคุกเพิ่มอีก 1 เดือน คดีละเมิดอำนาจศาล และถูกส่งตัวไปที่ทัณฑสถานหญิง


พอวันศุกร์ที่ 26 มกราคม ถูกถอนประกัน เข้าไปในคุก เจ้าตัวก็เริ่มสร้างคอนเทนต์ อดอาหาร-น้ำประท้วงตั้งแต่วันเสาร์ที่ 27 มกราคม 18.00 น. เสนอข้อเรียกร้อง 2 ข้อ คือ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และต้องไม่มีใครติดคุกเพราะการแสดงความเห็นต่างทางการเมืองอีก แต่ก็ยังมีคนที่รู้ทัน คนที่เคยอยู่ในแวดวงการชุมนุมออกมาแฉว่า เมื่อถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ การประกาศอดอาหารเหมือนกับเป็นสูตรสำเร็จของผู้ชุมนุมในยุคนี้ เป็นมาตั้งแต่แกนนำสามนิ้วยุคเพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เรื่อยมา รวมถึงในอดีตแกนนำกลุ่มทะลุวังก็เคยใช้สูตรนี้มาก่อน ทั้งแบม ตะวัน หรือแม้แต่บุ้ง และใบปอ ต่างเคยอดอาหารมาแล้ว แต่พอออกมา เห็นกินได้ นอนหลับ อ้วนท้วนกว่าก่อนเข้าเสียอีก


ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คนที่รู้ทันเขารู้ว่าการอดอาหารคือการสร้างคอนเทนต์เพื่อดึงจุดสนใจคนในสังคมให้หันมาดู มาสนใจ สอง แนวร่วมสื่อที่อยู่ข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นสื่อในเครือมติชน ข่าวสด ประชาไท บีบีซีไทย ที่เป็นแนวร่วม ก็ใช้เนื้อหานี้พูดในเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย ปลุกกระแสรายงานไปเรื่อยๆ สาม จากนั้นก็มีทีมทนายความคอยยื่นเรื่องขอประกัน มีเงินกองทุนประกันตัวสู้คดี โดยเมื่อก่อนอาจจะมี สส. ก้าวไกล พร้อมใช้ตำแหน่งประกัน แต่ระยะหลังนี้ไม่กล้า แล้วยิ่งตามที่ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาออกมาแล้ว ยิ่งไม่กล้าใหญ่


สี่ มีองค์กรภายนอก พร้อมองค์กรสิทธิฯ ทั้งกลุ่มในและต่างประเทศร่วมกดดัน ห้า และกลุ่มที่เคลื่อนไหวการอดอาหารพวกนี้มักจะแจ้งเลขที่บัญชี เพื่อให้คนที่เห็นด้วยโอนเงินเข้าไปสนับสนุน นี่อาจจะเป็นพินัยกรรมที่บุ้งทิ้งไว้ให้น้องหยก

พูดง่ายๆ การประกาศอดอาหารก็มีผลต่อการเปิดรับบริจาค รวมทั้งสามารถเอาไปเคลมเพื่อขอทุนจากต่างประเทศได้อีก

วันศุกร์ที่แล้ว 2 กุมภาพันธ์ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งผมเคยเปิดหลักฐานว่ารับเงินท่อน้ำเลี้ยงจาก NGO กองทุนและสถานทูตต่างชาติในไทย รีบรายงานข่าวเลยว่า บุ้ง เนติพร อดอาหารและน้ำประท้วงกระบวนการยุติธรรมกว่า 7 วันแล้ว ร่างกายทรุดลงต่อเนื่อง ต้องมีเพื่อนผู้ต้องขัง 3-4 คน คอยพยุงตลอดเวลา น้ำหนักลด ปัสสาวะแทบไม่ออก อาเจียน นอนไม่หลับ มีอาการมือชา เท้าชา ส่วนค่าเลือดรอพบแพทย์


ประเด็น ทั้งหมดนี้ตามสเตปเป๊ะเลย แต่ผมไม่ได้ดูถูกคุณบุ้งนะ เธออาจจะอดข้าวอดน้ำ อาการย่ำแย่จริงๆ ก็ได้ เพียงแต่นี่เป็นคนที่เคยอยู่ในแวดวงการชุมนุมและคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ดี ออกมาโพสต์ดักคอพวกคุณเอาไว้ก่อน ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ทั้งหมด ทั้งนี้ทั้งนั้น น่าสงสัยว่าการประกาศอดอาหารของแกนนำม็อบรอบนี้จะไม่ปังหรือสร้างกระแสได้ไม่มากเท่าที่ควร ก็เลยมีการคิดมุกเพื่อเรียกร้องความสนใจ คือเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ สื่อในเครือข่ายพวกเขา มีการประโคมข่าว "บุ้ง เนติพร" ได้ทำพินัยกรรมที่ทัณฑสถานหญิงกรุงเทพมหานคร พินัยกรรมดังกล่าวลงวันที่คือวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยบุ้งระบุว่า ยกทรัพย์สินที่เป็นเงินสดของตน ที่มีเงินเก็บรักษาไว้ ที่มีอยู่ในบัญชีเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง รวมทั้งทรัพย์สิน คือ นาฬิกาข้อมือ ต่างหู สัตว์เลี้ยง คือแมวชื่อโซ 1 ตัว ยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ น.ส.หยก ผู้ต้องหาคดี 112 ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ข้างต้น ที่ดิน สิทธิเรียกร้องและสิทธิตามมรดกที่ตนพึงมีอยู่ก่อนแล้ว ถ้าถึงแก่ความตายขอยกให้พี่สาวของตนแต่เพียงผู้เดียว


นอกจากนี้ เฟซบุ๊กทะลุวังยังเผยแพร่ข้อความจากบุ้ง เนติพร ซึ่งอ้างอิงไปถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับพ่อที่เป็นผู้พิพากษา ดดยบอกว่า "ถ้ากูตายขอให้เอาศพกูไปแขวนไว้หน้าศาล ให้มันเห็นไปเลยว่าลูกตุลาการนอนตายอยู่หน้าศาล และพวกมึงคือคนฆ่า"


กู่ไม่กลับแล้วใช่ไหม ท่านผู้ชม คนประเภทนี้กู่ไม่กลับ

ก็ดี คุณบุ้ง สุขภาพสมบูรณ์เกินไป อ้วนเกินไป ผมว่าอดอาหารสัก 2-3 อาทิตย์ พอเขาให้น้ำเกลือแล้วก็อาจจะทำให้ผอมลง อาจจะดีขึ้นก็ได้ แต่มุกนี้ ณ วันนี้ มาใช้กับเหตุการณ์ทุกวันนี้ ผมจะบอกให้รู้ก่อนนะครับ ใช้ไม่ได้หรอกครับ

ลูกน้อง "โจ๊ก" คุกคามอัยการ

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมยังจำเรื่องคดีส่วยพนันออนไลน์ มินนี่ เจ้าแม่เว็บพนัน น.ส.ธันยนันท์ สุจริตชินศรี หรือ น.ส.สุชานันท์ กุลวัฒนโยธิน ที่มี 8 นายตำรวจที่อยู่รอบกาย "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตกเป็นผู้ต้องหา กำลังงวดเข้ามาทุกขณะ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าล่าสุดคณะกรรมการสอบสวนชุดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยตำรวจ และอัยการ มีการเรียกประชุมตรวจสำนวน เพื่อเตรียมจะฟ้องคดีในชั้นอัยการในเร็ววันนี้ แต่ยังไม่ทันที่สำนวนจะอยู่ในการพิจารณาของอัยการ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่ามีการเคลื่อนไหวเหตุการณ์ที่ผิดปกติ มีการคุกคามอัยการที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ขึ้น


เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว 2 กุมภาพันธ์ 2567 มีจดหมายเลขที่ อส. 0033/8 จากสำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ส่งถึงหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน (พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์) หนังสือฉบับนี้ระบุถึงการปฏิบัติหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสวนสอบสวนจำนวน 2 หน้า

เนื้อหาหนังสือดังกล่าว คือตำรวจผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีจำนวน 8 นาย นำโดย พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย กับพวก ได้มีหนังสือร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสวนชั้นสอบสวนของพนักงานอัยการ แต่ท่านผู้ชมรู้ไหม หนังสือที่ขอความเป็นธรรมที่ พ.ต.อ.ภาคภูมิ ส่งไปนั้น ดันแทบภาพถ่ายของนายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ และนายสุริยนต์ ประภาสะวัต อัยการพิเศษฝ่ายการสืบสวน 1 ที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว ในลักษณะที่มีผู้เฝ้าติดตามแอบถ่ายขณะที่เดินทางมาปฏิบัติหน้าที่


ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมเคยดูหนังมาเฟีย เวลามาเฟียจะข่มขู่ใคร จะไปแอบถ่ายรูป บางทีก็แอบถ่ายรูปลูกสาวกำลังไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนอนุบาล แอบถ่ายรูปตัวเองกำลังเดินชอปปิงอยู่ แล้วส่งไปให้เจ้าตัวที่ต้องการข่มขู่ แล้วก็บอกว่า เฮ้ย กูจับตาดูมึงอยู่นะ ท่านผู้ชมครับ นี่คือลักษณะเดียวกันเลย

 หนังสือจากสำนักงานอัยการสูงสุด ส่งถึงหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตำรวจ ระบุชัดเจนว่า "การที่ผู้ต้องหาผู้ร้องเรียนทั้งแปดใช้ภาพถ่ายดังกล่าว เป็นพฤติการณ์ให้เห็นว่าต้องการให้พนักงานอัยการที่ปฏิบัติหน้าที่ได้พบเห็นและรู้ว่าถูกกลุ่มผู้ต้องหาเฝ้าติดตามการปฏิบัติหน้าที่รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันโดยตลอด เป็นการกระทำโดยมิชอบในเชิงการคุกคามข่มขู่ให้เกิดความกลัวว่าจะเกิดภยันตรายต่อชีวิตร่างกายของพนักานอัยการผู้ปฏิบัติหน้าที่และบุคคลภายในครอบครัว"

สรุปง่ายๆ คือลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล พอถูกดำเนินคดีเรื่องมินนี่ ก็ดำเนินการข่มขู่คุกคามอัยการที่มาร่วมทำคดี ส่งคนออกสะกดรอยตามพร้อมกับแอบถ่ายภาพระหว่างที่อัยการเป้าหมายในการเดินทางไปตามที่ต่างๆ เสร็จแล้วส่งรูปอัยการไปให้กลุ่มผู้ต้องหา ให้ตามไปข่มขู่อัยการ นอกจากนี้แล้ว ยังปั้นเรื่องเท็จขู่จะร้องเรียนอัยการคนดังกล่าวด้วย ทั้งๆ ที่อัยการที่ถูกสะกดรอยเหล่านี้้ต้องเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน เพราะเป็นไปตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้มีคณะกรรมการสอบสวนหลายฝ่ายมาช่วยทำคดี เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าคดีส่วยและเว็บพนันมินนี่ พัวพันตำรวจหลายระดับชั้น โดยมีอัยการเข้าร่วมด้วย เพื่อจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ใช่เรื่องของการที่ตำรวจจะจัดการกันเอง


จริงๆ แล้วผมมีข้อมูลของนายตำรวจที่ไปสะกดรอย แอบถ่ายอธิบดีอัยการ และอัยการพิเศษ ด้วยว่าเป็นใคร คนๆ นี้ชื่อ พ.ต.ท.กวีพัฒน์ ไกรเพิ่ม รองผู้กำกับการ (สอบสวน) กองกำกับการ 3 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 พฤติกรรมของ พ.ต.ท.กวีพัฒน์ คือติดตามแอบถ่ายภาพอัยการระดับผู้ใหญ่ที่ปรึกษาคดีมินนี่ แล้วนำภาพที่แอบถ่ายดังกล่าวไปให้หนึ่งในแปดตำรวจชุดลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อนำไปคุกคามและข่มขู่อัยการต่อ ท่านผู้ชม ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเรื่องบัดซบแบบนี้เกิดขึ้น แล้วเป็นฝีมือตำรวจทำด้วยนะ ท่านผู้ชมละเหี่ยใจเหมือนผมไหม ประเทศไทยจะพึ่งใครได้ล่ะนี่


ประเด็น การสะกดรอยแอบถ่ายคุกคามอัยการอย่างนี้ มันเป็นวิชาพื้นฐานของการแบล็กเมล เป็นวิชาที่ทางทีมงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ชอบใช้ ตั้งแต่กรณีถูกร้องเรียนเรื่องส่วยคาราโอเกะภาคอีสานเมื่อหลายปีมาแล้ว การเดินเกมใต้ดินอย่างนี้ การย่ามใจอย่างนี้ เป็นเรื่องประสาคนที่เคยทำเรื่องดำมืดมาอย่างโชกโชนโดยไม่มีใครแตะต้อง

แต่พอมาถึงวันนี้ พอเรื่องมันแดงขึ้น ก็เลยเกิดคำถามจากองค์กรอัยการ ถามไปที่องค์กรตำรวจ โดยเฉพาะ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ท่านคิดจะเอาแต่ภาพลักษณ์เฟรนด์ลีของท่าน เดินสายสร้างภาพ ทำบุญ สร้างพระ โดยไม่ทำงานจริงๆ แบบนี้จริงๆ หรือ ท่านขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. ตั้งหลายเดือนแล้ว เหลืออีกไม่กี่เดือนจะเกษียณอายุ ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ขนาดนายตำรวจโดนข้อหาหนัก รับส่วยพนันออนไลน์ เป็นข่าวอื้อฉาวสนั่นเมือง บางนายโดนหมายจับรับส่วยซ้ำสองรอบเข้าไปแล้ว ท่าน ผบ.ตร.ต่อศักดิ์ ครับ ไอ้พวกนี้ก็ยังอยู่รับราชการได้ แถมทุกนายยังชิลๆ อยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานของตัวเองต่อไป เป็นไปได้อย่างไร ทีตำรวจนายอื่นถูกคดีอาญา ต้องโดนเชือดกระเด็นกระดอนจากตำแหน่งเดิม ให้ออกจากราชการทันที จนกว่าผลการสอบจะเรียบร้อย


ผมยกตัวอย่างให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ได้ทราบพ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ คนใกล้ชิดบิ๊กโจ๊ก ถูกออกหมายจับ 2 ครั้ง ความผิดชัดเจน แต่ยังชิลๆ อยู่ ตำรวจ 8 คน มีความผิดชัดเจน ถูก ปปง. ยึดทรัพย์ไปแล้วด้วย ก็ยังชิลๆ อยู่ แถมตำรวจ 8 นาย ยังย่ามใจไปสะกดรอยคุกคาม แบล็กเมลอัยการชั้นผู้ใหญ่อีกหลายคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ มาถึงวันนี้ คุณต่อศักดิ์ สุขวิมล อยากขึ้นเป็น ผบ.ตร. นัก เหลือแค่ปีเดียว ทำทุกวิถีทาง แต่พอขึ้นมาแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ดำเนินการทางวินัยใดๆ ทั้งๆ ที่ควรจะให้ถูกออกเอาไว้ก่อน พอเป็นอย่างนี้แล้ว คุณต่อศักดิ์ คุณรู้ไหมว่าในแวดวงตำรวจที่เขาทำงานให้คุณอย่างถวายชีวิต รวมทั้งอัยการ เขาเลยตั้งคำถามกับการทำงานสองมาตรฐานของ ผบ.ตร. ซึ่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ท่านต้องระมัดระวังว่ามันจะลามไปถึงท่านราชเลขาฯ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ซึ่งมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ท่านขึ้นมาเป็น ผบ.ตร.


สรุปแล้ว คุณต่อศักดิ์ สุขวิมล ท่านยังชิลๆ อยู่ เดินสายทำบุญ เฟรนด์ลี่กับทุกคน สรุปจะให้ตำรวจและอัยการอยู่กันอย่างนี้จริงๆ หรือ ที่สำคัญคือลูกน้องคุณที่มุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ กลับถูกคุณทอดทิ้ง ไม่เหลียวแลเลยแม้แต่นิดเดียว หรือว่าคุณถูกใครบางคนจะแบล็กเมลว่าคุณเคยมีอดีตอะไรบ้าง คุณก็เลยต้องปล่อยให้มันเลยตามเลย คุณไม่ยึดถือหลักนิติธรรม ไม่ยึดถือความถูกต้องอีกต่อไปหรืออย่างไร


ผมอยากรบกวน ประทานกราบเรียนไปที่ท่านราชเลขาฯ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ช่วยสะกิดเตือนน้องชายท่านด้วยว่าทำอะไรให้ถูกต้อง ให้เรียบร้อย โปร่งใสเสียที เพราะข้าราชการตำรวจที่ภาพลักษณ์เน่าเฟะอยู่ พอมาเจอเรื่องนี้ แถมไปคุกคามบุคลากรของหน่วยงานอื่นอย่างอัยการ มันยิ่งเน่าและเหม็นคลุ้งไปอีก ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องสกัดไฟลามทุ่ง อย่าปล่อยให้ใครเกิดความย่ามใจว่าตัวเองมีแบ็กดี มีคนคุ้มกะลาหัว คิดจะทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องเห็นหัวใครเลย

ท่านผู้ชมครับ น่าเสียใจไหม ความจริงคดีนี้ เรื่องนี้ที่อัยการร้องเรียนนี่ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้วดำเนินคดีได้เลยนะ แล้วพันตำรวจโทที่ไปถ่ายรูป ควรจะให้ออกจากราชการเสีย ทำอย่างนี้ได้อย่างไร อ๋อ แน่นอน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ก็จะปฏิเสธตัวยาวเลยว่าผมไม่เกี่ยว ผมไม่รู้เรื่อง เขาทำกันเอง แล้วตำรวจ 8 คนที่เป็นจำเลย พวกคุณมีส่วนรู้เห็นไหม อย่างน้อยก็ 1 คนแล้ว ที่เป็นคนส่งเรื่อง ร้องขอความเป็นธรรม พร้อมแนบรูปไปด้วย พวกคุณเป็นตำรวจนะ 8 คน อายบ้างหรือเปล่า อาชีพคุณ ผมนี่อายฉิบหายเลย คุณอย่าลืมนะว่าเรื่องนี้เอามือปิดแผ่นฟ้าไม่มิดหรอก ไม่มิดจริงๆ คุณไม่จำเป็นจะต้องติดตามใครอีกแล้ว คุณต้องมุ่งมั่นที่จะสู้คดีอย่างเต็มที่ ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่ผิด

ราชทัณฑ์การละคร ตอน อายัดตัวทักษิณ

ท่านผู้ชมครับ มีเรื่องแถมพกให้อีกนิดหนึ่ง สัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องน่าจับตามองเรื่องหนึ่ง คือกรณีเมื่อวันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 อัยการสูงสุดแถลงข่าวความคืบหน้าคดีที่อดีตอัยการสูงสุดเคยมีความเห็นสั่งฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร ในคดีหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และร่วมกันเข้าไปสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งออกมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกับข่าวว่า นักโทษชายทักษิณ จะได้รับการพักโทษ ออกจากห้อง VIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ให้กลับไปอยู่บ้านในวันท่ 18 กุมภาพันธ์นี้ หรืออย่างช้า วันที่ 22 กุมภาพันธ์


เผอิญนายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ออกมาแถลงว่า แม้นักโทษชายทักษิณจะได้รับการพักโทษ ยังมีอีกคดี คืออัยการสูงสุดได้สั่งฟ้องเขาในความผิดตามมาตรา 112 จากการให้สัมภาษณ์สื่อที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2558 แล้วต่อมาอัยการสูงสุดมีความเห็นควรสั่งฟ้องหลังจากคดีนี้พิจารณามาตั้ง 8 ปี ดันมาสั่งฟ้องในช่วงที่ทักษิณกำลังจะได้รับการพักโทษ

จริงๆ แล้ว ตามหลักเกณฑ์การประชาสัมพันธ์ หรือการปั่นข่าว หรือการอาชญวิทยา อัยการสูงสุดกำลังช่วยทักษิณ นี่คือการย้ายความสนใจ เบี่ยงประเด็นทางคดี จากการที่ทักษิณจะได้รับการพักโทษไปอยู่บ้านกับครอบครัว ลูกหลาน ให้ลุ้นว่าทักษิณอาจจะถูกควบคุมตัวต่อไป เพราะถูกอายัดตัวจากคดี 112


ส่วนนายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ก็รีบออกมาตีปี๊บเลยว่า พนักงานสอบสวน อัยการ เข้าไปแจ้งข้อหานักโทษชายทักษิณเมื่อวันที่ 17 มกราคม ที่ผ่านมาแล้ว พร้อมเข้าสอบปากคำ ซึ่งเจ้าตัวให้การปฏิเสธ แล้วยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดไปแล้ว


ท่านผู้ชมรู้ไหม ไม่เคยมีใครรู้ ไม่เคยมีข่าวว่าพนักงานสอบสวนและอัยการไปพบทักษิณเพื่อสอบปากคำ ที่ไหน เมื่อไร แล้วทำไมถึงเพิ่งมาอายัดตัว มาอายัดเอาช่วงที่ทักษิณกำลังจะได้รับการพักโทษเป็นกรณีพิเศษ จริงๆ แล้วท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่านี่คือละครอีกฉากหนึ่ง ปาหี่อีกฉากหนึ่ง ที่อัยการ ตำรวจ และกรมราชทัณฑ์ ร่วมกันจัดฉากขึ้นมาเท่านั้น เพื่อเบี่ยงเบนกระแสพักโทษ แล้วท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า ในข้อเท็จจริง ถ้าทักษิณได้รับการพักโทษ แล้วโดนอายัดตัว สิ่งที่ทักษิณทำได้ทันที และผมเข้าใจว่าเขาเตรียมตัวให้เรียบร้อยแล้ว คือการขอประกันตัว ซึ่งก็จะได้รับการประกันตัวทันทีโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เอกสารเพื่อประกันตัวเขาทำไว้ให้เรียบร้อยแล้ว วันที่ได้รับพักโทษ เดินออกมาจากโรงพยาบาล ก็มีคนยื่นเอกสารขอประกันตัวทันทีจากการอายัดตัว แล้วก็จะมีคำสั่งให้ประกันตัวได้ ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง

อย่างที่ผมเตือนไปก่อนหน้านี้ ทั้งกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้ง ป.ป.ช. ด้วยว่า พวกคุณเล่นละครกันอย่างนี้ คุณอย่านึกว่าประชาชนเขาโง่นะ คุณทำให้คนติดคุก ไม่ต้องติดคุกเลยแม้แต่วันเดียว เอาออกมาอยู่บ้าน สักวันหนึ่งคนที่อยู่ในขบวนการช่วยทักษิณโกงคุกนั่นล่ะ กรรมจะไล่ล่าพวกคุณเอง


สาเหตุที่ผมต้องกล่าวถึง ป.ป.ช. ด้วยนั้น เพราะกระบวนการช่วยทักษิณโกงคุกนั้นเป็นกระบวนการที่ทำทุจริตประพฤติมิชอบในทางราชการอย่างชัดเจน มีคนเขาร้องเรียนคุณไปตั้งเยอะ แต่พวกคุณ ป.ป.ช. กลับเงียบ ไม่ส่งเสียงเตือนหรือทักท้วงใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เมื่อความผิดสำเร็จแล้ว กลายเป็นเรื่องราวไปแล้ว ป.ป.ช. เองก็จะถูกดูดเข้าไปในฐานะผู้ร่วมขบวนการอุบาทว์เช่นนี้ด้วย

ท่านผู้ชมครับ สรุป คดี 112 อายัดตัว ก็คือละคร ลิเกอีกตอนหนึ่งที่กรมราชทัณฑ์ ตำรวจ สำนักงานอัยการสูงสุด ออกมาเล่น เสร็จเรียบร้อยแล้วทักษิณก็ประกันตัวออกไปในวันที่ออกจากคุก โดยไม่ต้องถูกอายัดตัว ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง นี่คือประเทศไทย เรามีตำรวจข่มขู่อัยการ เรามีเลขาฯ ป.ป.ช. ออกมาชี้แจงเรื่องสินบน 1 ล้าน 5 แสนบาท แต่ไม่ยอมตอบคำถามว่าทำไม ป.ป.ช. ถึงไปร่วมวางแผนจับกุมทั้งๆ ที่ไม่ได้มีหน้าที่ เรามี ป.ป.ช. เรามีกรมราชทัณฑ์ เรามีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเรามีกระทรวงยุติธรรม ร่วมไม้ร่วมมือกันช่วยเหลือทักษิณ ท่านผู้ชม นี่คือประเทศไทย และพวกคุณที่ร่วมมือในขบวนการพวกนี้พวกคุณอายฟ้าอายดิน อายประชาชนคนไทยบ้างหรือเปล่า

จับ 5 พิรุธ กรณีรวบ “พี่ศรี-เจ๋ง-การ์ตูน”

ท่านผู้ชมยังจำเรื่องที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ได้ไหม ซึ่งยังไม่จบ คือกรณีจับศรีสุวรรณ จรรยา นายเจ๋ง ยศวริศ ชูกล่อม และ การ์ตูน น.ส.พิมพ์ณัฐฐา จิระพุทธิภาคย์ ข้อหาขู่เรียกรับเงินจากอธิบดีกรมการข้าว นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ ผมได้พูดไปแล้วว่างานนี้อย่าไปมองด้านเดียว เพราะมีข้อพิรุธเยอะมาก ซึ่งจะต้องมีคนเข้ามาชี้แจง รวมทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พูดยังไม่ทันขาดคำเลย ช่วงเย็นวันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ อาทิตย์ที่แล้ว ไฟไหม้บริเวณชั้น 2 กระทรวงเกษตรฯ ถนนราชดำเนินนอก บริเวณห้องทำงานของนายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตรฯ ต่อมา ร.อ.ธรรมนัส ให้สัมภาษณ์ เกิดจากการล้างแอร์ ทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งก็ตลกมาก เพราะผมยังไม่เคยเจอการล้างแอร์ที่ไไหนในประเทศไทยที่เกิดไฟฟ้าลัดวงจร


เอกสารสำคัญน่าจะได้รับความเสียหายทั้งหมด ในห้องของที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยฯ ไชยา แต่กลับไม่ใช่เอกสารสำคัญ ตัวนายไชยา รัฐมนตรีช่วยฯ เกษตรและสหกรณ์ เองก็บอกว่าจุดเพลิงไหม้อยู่ห่างห้องทำงาน 30 เมตร ไม่มีเอกสารสำคัญอะไรเสียหาย นายไชยา ยืนยันด้วยว่า กรณีที่จับกุมนายศรีสุวรรณ จรรยา และ เจ๋ง ดอกจิก และกลุ่มตบทรัพย์อธิบดีกรมการข้าวนั้น ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้อง เพราะไม่ได้รับมอบหมายให้ดูแลกรมการข้าว แต่จะออกมายืนยันแบบหัวชนฝาอย่างไร หัวชนฝา หลังชนกำแพง สุดแล้วแต่ ประเภทดั้นด้นกันแบบไม่สนใจอะไรกันทั้งสิ้น

กรณีรวบตัวนายศรีสุวรรณ กับ เจ๋ง และเหตุเพลิงไหม้ปริศนาที่กระทรวงเกษตรฯ มีสังคมตั้งข้อสงสัยและสมควรจะสงสัยว่ามีใครต้องการจะเผาทำลายหลักฐานอะไรหรือเปล่า เพราะว่าช่วงเวลามันช่างเหมาะเจาะเหมาะเหม็งเหลือเกิน นี่ยังไม่นับคดีที่ปราบปรามหมูเถื่อนและตีนไก่เถื่อนที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐมนตรีช่วยฯ ไชยา อีกด้วย


ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่า คุณไชยาครับ รัฐมนตรีธรรมนัสครับ ถึงวันนี้เรื่องราวที่ฉาวโฉ่ผ่านมาหลายเดือนแล้ว นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน บี้แล้วบี้อีก เขาเรียกว่าบี้จนเบื่อ ก็ยังไม่สามารถจับกุมหรือดำเนินคดีข้าราชการที่เกี่ยวข้องได้เลยแม้แต่คนเดียว คุณธรรมนัสครับ กรมใหญ่ 2 กรม กระทรวงเกษตรฯ กรมประมง และกรมปศุสัตว์ มีหน้าที่รับผิดชอบกับเรื่องเถื่อนๆ นี้โดยตรง แต่ไม่มีใครต้องเข้ามารับผิดชอบ และคุณก็ไม่ลงมาทำงานที่รับผิดชอบ

นอกจากปริศนาเรื่องไฟไหม้แล้ว ทุกวันนี้เรื่องราวที่ผ่านมาสัปดาห์กว่า การจับกุมศรีสุวรรณ จรรยา กับ เจ๋ง ดอกจิก และ การ์ตูน ยังมีอีกหลายประเด็นปริศนาที่สร้างความงงงวยให้คนที่รู้เรื่องนี้เช่นกัน

ท่านผู้ชมครับ ก่อนอื่นเราต้องพูดให้รู้เรื่องก่อนว่าอนาคตในการทำหน้าที่นักร้องของคนที่ชื่อ ศรีสุวรรณ จรรยา มาถึงจุดจบอย่างสิ้นเชิงแล้ว อันนี้เป็นความเข้าใจตรงกันนะครับ การพูดครั้งนี้ไม่ได้ออกมาปกป้องศรีสุวรรณ จรรยา แต่ข้อพิรุธที่จำเป็นต้องกล่าวถึงมีอีกมาก


ข้อพิรุธข้อที่หนึ่ง คือ สถานภาพของ เจ๋ง และ การ์ตูน จากข่าวของสื่อมวลชน การตั้งข้อหาต่อศรีสุวรรณ กับพวก คือ เจ๋ง และการ์ตูน การตั้งข้อหาของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นการดำเนินการตามคำให้การของอธิบดีกรมการข้าว และภรรยา และกล่าวหาว่า เจ๋ง เป็นเจ้าพนักงานรัฐ เพราะได้รับการแต่งตั้งจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ให้เป็นคณะทำงานตรวจราชการเขต 11


แต่มันมีคำถามที่ต้องตั้งคำถาม ข้อที่ 1 องค์ประกอบตามมาตรา 149 ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและ ป.ป.ช. ตั้งเอาไว้นั้น ไม่สมบูรณ์ องค์ประกอบที่ตั้งเอาไว้และเล่นงานนั้น มันไม่สมบูรณ์ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาอาจจะไม่มีความผิดตามมาตรา 149 เพราะมาตรา 149 ระบุว่า "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือประหารชีวิต"

จากองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ เจ๋ง จะมีความผิดตามมาตรา 149 ได้ และจะทำให้ศรีสุวรรณ กับ การ์ตูน ถูกตั้งข้อหาหนักขึ้น ว่าร่วมกระทำความผิดตามมาตรา 149 กับนายเจ๋งได้นั้น ตามกฎหมายแล้วต้องมีองค์ประกอบ 2 ประการ กล่าวคือ 1. นายเจ๋ง ต้องมีสถานะตามกฎหมายเป็นเจ้าพนักงาน 2. นายเจ๋ง มีตำแหน่งตามที่ได้รับแต่งตั้งที่นำไปใช้เรียกรับประโยชน์เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งนั้น


ท่านผู้ชมครับ ประเด็นที่ต้องถามต่อ คือ เจ๋ง ดอกจิก และ การ์ตูน มีสถานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ และทั้งคู่ใช้ตำแหน่งของการเป็นเจ้าพนักงานในการกระทำผิดหรือไม่ ตามองค์ประกอบของมาตรา 149 ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าแม้ เจ๋ง และ การ์ตูน จะมีสถานะเป็นเจ้าพนักงานตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวอ้าง แต่ถ้าสมมุติว่าเขาไม่ได้มีอำนาจและหน้าที่ในการกล่าวหาหรือร้องเรียนการดำเนินคดีหรือไม่ดำเนินคดีกับผู้ใด ยกตัวอย่าง กรณีอธิบดีกรมการข้าว เจ๋ง และ การ์ตูน ก็จะไม่มีความผิดตามมาตรา 149 ตามประมวลกฎหมายอาญา เพราะฉะนั้นแล้ว การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ พยายามแถลงข่าวย้ำแล้วย้ำอีกว่า เจ๋ง และ การ์ตูน เป็นเจ้าพนักงาน แต่ว่าเจ้าหน้าที่ไม่เคยขยายความถึงองค์ประกอบความผิดที่สำคัญ ที่ว่าทั้งคู่เรียกรับผลประโยชน์เพื่อกระทำหรือไม่กระทำการในตำแหน่งคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 ซึ่งครอบคลุมเฉพาะเขต 11 เพราะว่า เจ๋ง และ การ์ตูน ถูกตั้งเป็นคณะทำงาน (ไม่ใช่คณะกรรมการ) เขตตรวจราชการที่ 11 ครอบคลุมจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย นครพนม มุกดาหาร และ สกลนคร เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดอื่นๆ โดยมิชอบแต่อย่างใด และอำนาจตามตำแหน่งของนายเจ๋ง สามารถกระทำหรือไม่กระทำตามที่เรียกรับผลประโยชน์ได้หรือไม่ เพื่อให้ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 149 ตรงนี้เป็นเรื่องที่ผิดวิสัยปกติเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานสอบสวน


ทั้งนี้ ตามหลักการพื้นฐานการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมแล้ว การตั้งข้อกล่าวหาบุคคลใดว่ากระทำความผิดอาญา จะมีผลกระทบต่อชื่อเสียง เสรีภาพบุคคลนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานสอบสวนต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ รัดกุม และระมัดระวัง โดยเฉพาะเมื่อจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาที่มีโทษสูงกว่าการกระทำปกติ โดยอ้างว่า ทำโดยมีสถานภาพเป็นเจ้าพนักงาน เช่นกรณีนี้


ท่านผู้ชมครับ หลายคนที่ดู ก็บอกว่าท่านรัฐมนตรีฯ พีระพันธุ์ ท่านออกมาปกป้อง เจ๋ง ประเด็นไม่ใช่ว่าท่านมาปกป้องเจ๋ง หรือไม่ปกป้องหรอก ประเด็นก็คือว่า เราจะยึดถือความถูกต้องของกฎหมายเอาไว้หรือเปล่า นั่นคือประเด็นหลักมากกว่า เพราะความจริงมาตรา 149 นั้น ที่มีหนึ่งเดียวคือต้องมีองค์ประกอบ 2 องค์ประกอบที่ผมเล่าให้ฟัง


ซึ่งผมก็ต้องขอเตือนท่าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ หรือ รองเต่า รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินคดีนี้ ว่า ถึงแม้จะมีการอ้างว่าได้ส่งให้มีการตีความไปที่ ป.ป.ช. แล้ว ป.ป.ช. ระบุออกมาว่าสองคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ผมขอกราบเรียนด้วยความเป็นห่วงว่าคุณไม่ใช่คนตัดสินนะ ศาลจะเป็นคนตัดสิน แล้วศาลจะยึดตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัด แล้วดูการแต่งตั้งของ เจ๋ง ซึ่งอยู่ในหน่วยตรวจราชการที่ 11 แล้วหน้าที่ของ เจ๋ง ที่ถูกแต่งตั้งนั้น เป็นคณะทำงาน ไม่ได้เป็นกรรมการเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าศาลตัดสินไปเช่นนั้น ผมกลัวว่าคดีจะโอละพ่อ เพราะจะถูกยกฟ้องหมดทั้งยวง รวมไปจนถึงศรีสุวรรณ จรรยา ด้วย

อย่าได้รับงานของนักการเมืองอีกฟากหนึ่ง เพื่อมาทำลายล้างพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะการที่ตั้งข้อหาว่าเป็นเจ้าพนักงานนั้น แท้ที่จริงแล้วคือการส่งสัญญาณตีวัวกระทบคราดไปยังพรรครวมไทยสร้างชาติ และเป็นที่รู้กันว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นั้น เกลียด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยิ่งกว่าขี้ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นั้นเป็นตัวแทนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คำถามมีอยู่ว่า จู่ๆ ทำไม ป.ป.ช. กระโดดเข้ามาร่วมเล่นงานนี้ด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ ป.ป.ช. ป.ป.ช.วางแผนการจับด้วยนะ แล้วมีการแถลงข่าว เลขาธิการ ป.ป.ช. ออกมาแถลงเป็นเรื่องเป็นราวเลย ผมไม่เคยเห็นเลขาธิการ ป.ป.ช. ออกมาแถลงข่าวแบบนี้


คำถามมีอยู่ว่า ประธาน ป.ป.ช. นั้นสนิทสนมกับใคร ? พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือเปล่า เป็นไปได้ไหม ว่าในที่สุดแล้ว เมื่อกระชากพรรครวมไทยสร้างชาติลงมาได้แล้ว คำถามที่เราต้องถาม ท่านผู้ชมครับ เราต้องถามกันว่า ใครจะได้ประโยชน์จากงานนี้ แน่นอนที่สุด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ได้ พรรคพลังประชารัฐ ได้ไปเต็มๆ เพราะฉะนั้นแล้วผมอยากให้ดูอีกหลายๆ มิติ

ประเด็นพิรุธข้อที่สอง การจับกุม และสถานที่จับกุม การจับกุมผู้กระทำความผิดในกรณีนี้มี 3 ราย คือ (1) นายศรีสุวรรณ จรรยา (2) นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก (3) การ์ตูน น.ส.พิมพ์ณัฐฐา จิระพุทธิภาคย์ เรารู้กันอยู่แล้วว่าคนที่ทำความผิดทั้ง 3 ราย ที่ถูกกล่าวหาว่าทำความผิดทั้งสามรายนี้ มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เจ้าหน้าที่สามารถดักจับกุมได้ทันที เจ้าหน้าที่ไปจับกุมศรีสุวรรณ ที่บ้านพัก ในช่วงเช้าของวันศุกร์ 26 มกราคม ถ้าเจ้าหน้าที่ประสงค์จะจับกุมนายยศวริศ และ น.ส.พิมพ์ณัฐฐา ด้วยความสุจริตใจแล้ว ก็สามารถจะเข้าไปจับกุมทั้งสองคนตอนเช้าที่บ้านพักได้เช่นกัน เป็นกรณีเดียวกับการจับกุมนายศรีสุวรรณ แต่กลับไม่ดำเนินการ


พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้ด้วยว่า เจ้าหน้าที่ได้ติดตาม เจ๋ง ไปยังสถานที่ต่างๆ ถึง 4 แห่ง ก่อนที่จะมาเตรียมจับกุม นายเจ๋ง และ น.ส.การ์ตูน ที่ทำเนียบรัฐบาล

ท่านผู้ชมครับ มันพิลึกไหม ? ก็คุณติดตามเขาถึง 4 แห่ง คุณสามารถจะจับเขาได้ทุกเมื่อ ทำไมคุณไม่ขับรถแล้วก็เรียกให้เขาจอดรถแล้วก็จับกุมเขา ยื่นหมายจับให้เขาเลย สิ้นเรื่องสิ้นราว ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจจริงๆ นะครับ ท่านรองฯ จรูญเกียรติ จับกุมเจ๋ง การ์ตูน ดำเนินการได้ก่อนจะเดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาล แต่พวกคุณกลับรอให้ เจ๋ง และ การ์ตูน เดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาลก่อนจึงดำเนินการเข้าจับกุม เพื่ออะเไร ? เพื่อจะโยนขี้ สิ่งสกปรกเข้าไปหาพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีพิรุธ น่าสงสัยอย่างยิ่งว่าการบุกจับครั้งนี้ของคุณ เพื่อสร้างฉากเชื่อมโยงทางการเมือง ทำให้คนคิดไปว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และพรรครวมไทยสร้างชาติ ใช่หรือเปล่าครับ ท่านรองฯ จรูญเกียรติ ผมชักไม่แน่ใจว่าท่านรับงานใครมาหรือเปล่า

ประเด็นพิรุธที่สาม การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีของ ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. เรารู้กันว่าอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของ ป.ป.ช. กำหนดไว้ที่เจ้าพนักงานของรัฐ ที่มีตำแหน่งตั้งแต่ระดับ ซี 9 ขึ้นไป และอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ท. ถูกกำหนดดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตั้งแต่ระดับ ซี 8 ลงมา

ด้วยเหตุนี้ ถ้าเจ๋ง กับ การ์ตูน จะมีสถานภาพเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ แต่ในข้อเท็จจริง เจ๋ง กับ การ์ตูน เป็นแค่คณะทำงาน ไม่ใช่คณะกรรมการ เมื่อเป็นเช่นนั้นจะไปเทียบชั้นว่านายเจ๋ง เทียบเท่าข้าราชการระดับ ซี 9 ได้อย่างไร นายเจ๋ง จึงไม่อยู่ในอำนาจดำเนินการของ ป.ป.ช. แล้วทำไม ป.ป.ช. เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้


นอกจากนี้ คดีนี้ความผิดตามข้อกล่าวหา เป็นเพียงการรับสินบนวงเงิน 1.5 ล้านบาท แค่นั้นเอง แล้วท่านผู้ชมเชื่อไหม เลขาธิการ ป.ป.ช. ออกมาเกี่ยวข้องตั้งแต่วางแผนและการจับกุม รวมทั้งร่วมแถลงข่าวการจับกุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แถลงข่าวร่วมด้วยนะ คดีใหญ่ๆ ที่ใหญ่กว่านี้ไม่เคยเจอเลขาธิการ ป.ป.ช. เข้ามายุ่งเกี่ยวและร่วมแถลงข่าวเช่นคดีนี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่านายเจ๋ง มีสถานะเทียบเท่าข้าราชการ ซี 9 ที่อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. หรือไม่ ผมคิดว่าคนที่จะให้คำตอบเรื่องนี้ดีที่สุดน่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เพราะเลขาธิการ ป.ป.ช. จะออกมาพูดอย่างนี้ได้อย่างไรถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ใน ป.ป.ช. ไม่บอกให้ทำเช่นนี้

ท่านผู้ชมเริ่มเห็นความทะแม่งๆ ของเรื่องนี้หรือยัง เรื่องรับสินบนนั้น ศรีสุวรรณ จรรยา จบไปแล้ว แต่ผมกำลังพูดถึงความจริงที่มีหนึ่งเดียวว่า กระบวนการ ขั้นตอนที่ถูกต้องมันควรจะเป็นเช่นใด แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนี้ นอกจากไม่เป็นเช่นนี้แล้ว มันยังพิลึกกึกกือ ป.ป.ช. ใช้อำนาจเหนือกว่ากฎหมายที่กำหนดเอาไว้ ตลกมากท่านผู้ชม

แล้วในขณะเดียวกัน เวลาคุณจะจับคนที่คุณเข้าใจว่าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ คุณเข้าใจเช่นนั้น สมมุติคุณจะเข้าใจผิดก็ตาม ถ้าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐแล้ว ควรหรือไม่ควร ตามมารยาท ที่คุณจะต้องถามคนที่แต่งตั้งนางเจ๋ง และ น.ส.การ์ตูน คือ รองนายกรัฐมนตรีพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เสียก่อนว่า คนของท่าน 2 คนนี้ มีหมายจับนะครับ เรื่องนี้ๆ ตามมารยาทคุณควรทำหรือเปล่า ท่านรองฯ จรูญเกียรติ ท่านอาจจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำ เพราะว่ามีหมายจับออกมาแล้ว มีหมายจับออกมาแล้ว ทำไมท่านไม่จับเขาล่ะ ท่านบอกว่าท่านตามเขาไปตั้ง 4 จุด ตลอดเวลา ก็จับสิ ทำไมท่านรอให้เขาเข้าทำเนียบฯ ก่อนแล้วค่อยไปจับ ผมถึงบอกว่าคนที่ซวยจริงๆ คือ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค โดนพวกคุณเอาขี้มาป้าย เพื่อให้คนรับรู้ว่าคุณพีระพันธุ์ อยู่เบื้องหลัง

ประเด็นพิรุธข้อที่สี่ สำคัญมาก รองฯ จรูญเกียรติ ครับ ธรรมนัส พรหมเผ่า ครับ วัชรพล ประธาน ป.ป.ช. ครับ อาจจะรวมไปถึง พล.อ.ประวิตร ด้วย ทำไมพวกคุณถึงไม่ดำเนินคดีกับอธิบดีกรมการข้าว และภรรยา จากข้อเท็จจริงที่เผยแพร่มาสู่สื่อมวลชน ปรากฏว่านายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว และภรรยา นางธัญญรัตน์ ไชย์ศิริคุณากร ออกมายอมรับ พร้อมกับให้การว่าได้นำเงินให้นายศรีสุวรรณ ผ่านการติดต่อของนายเจ๋ง เพื่อไม่ต้องการให้นายศรีสุวรรณ ร้องเรียนการกระทำทุจริตของอธิบดีกรมการข้าว


ก็เท่ากับคุณยอมรับแล้วไม่ใช่หรือว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้ให้เงินนายศรีสุวรรณ ผ่านนายเจ๋ง เพื่อไม่ต้องการให้นายศรีสุวรรณ ร้องเรียนตนเอง แล้วก็ถือว่าเป็นการกระทำที่สำเร็จผลแล้วตั้งแต่ก่อนเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ใช่การล่อซื้อ คุณแก้เกมด้วยการอ้างว่าเป็นการล่อซื้อ ข้ออ้างนี้ ขอประทานโทษท่านรองอธิบดี สถุนมาก คนที่ไม่รู้เรื่องกฎหมายยังรู้เลยว่าคุณกำลังช่วยอธิบดีกรมการข้าว

แล้วที่ทราบมา อธิบดีกรมการข้าวมีเรื่องร้องเรียน นายไชยา รัฐมนตรีช่วยฯ ก็มีเรื่องร้องเรียนเรื่องกรมฝนหลวงฯ ข้อร้องเรียนมีเยอะแยะไปหมด ทำไม ป.ป.ช. ถึงไม่ลงไปจับเรื่องนี้ล่ะ ทำไมถึงกันอธิบดีกรมการข้าวออก คำร้องเรียนทุกอย่าง เมื่อเรื่องเกิดขึ้นตำรวจต้องพิจารณาทุกข้อร้องเรียนไม่ใช่หรือ ป.ป.ช. ก็ต้องพิจารณาไม่ใช่หรือ ซึ่งคุณผิดพลาดตั้งแต่ต้น คุณเข้ามาเสือกเรื่องนี้ทำไม ป.ป.ช. ที่คุณเข้ามาเสือกเพราะว่าคุณได้รับงานมาว่าต้องทำอย่างนี้ๆ นะ เลขาฯ ป.ป.ช. เดี๋ยวแถลงข่าวเลย สินบน 1 ล้าน 5 แสนบาทเอง ป.ป.ช. ออกมาแถลงข่าว ท่านผู้ชมว่าตลกไหมเรื่องนี้ นี่ผมดูละครกรมราชทัณฑ์ยังไม่พอนะ ผมยังได้ดูละครของสำนักงาน ป.ป.ช. ท่านผู้ชม แล้วจะให้ผมเชื่อใจ ป.ป.ช. ได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้านายเจ๋ง เป็นเจ้าพนักงาน มีตำแหน่งหน้าที่ให้คุณให้โทษได้ ก็ต้องถือว่าอธิบดีกรมการข้าวและภรรยาร่วมกันให้สินบนเจ้าพนักงาน อันเป็นความผิดสำเร็จแล้ว ตามมาตรา 144 ตามประมวลกฎหมายอาญาแล้วด้วยเช่นกัน แต่ไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินคดีกับอธิบดีกรมการข้าวตามมาตรา 144 อ้างเหตุผลสถุนๆ ว่า มันเป็นการล่อซื้อเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี มีที่ไหนอย่างนี้

มาตรา 144 ระบุว่า "ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทำการไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

เอาล่ะ อ่านมาตรา 144 แล้ว จะนำไปสู่ประเด็นข้อพิรุธข้อที่ห้า

ข้อพิรุธข้อที่ห้า ตำรวจพยายาม ป.ป.ช. เบี่ยงเบนประเด็นการทำผิดของอธิบดีกรมการข้าว คดีนี้อธิบดีกรมการข้าวอ้างว่าถูกข่มขู่ว่าจะร้องเรียนให้มีการสอบสวนการกระทำทุจริต ซึ่งอธิบดีกรมการข้าว ข้าราชการ ซี 10 อยู่ในอำนาจ ป.ป.ช. เต็มตัวอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นการเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องของ ป.ป.ช. ก็น่าที่จะควรเข้ามาดำเนินการในส่วนอธิบดีกรมการข้าว แต่เลขาธิการ ป.ป.ช. หน้าด้าน กลับไม่กล่าวถึงประเด็นการกระทำของอธิบดีกรมการข้าวที่ถูกร้องเรียนเลย


นอกจากนี้ ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและ ป.ป.ท. ก็หลีกเลี่ยงในการพูดถึงประเด็นกล่าวหาเรื่องการทำทุจริตของอธิบดีกรมกาข้าว อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเรียกรับทรัพย์สินจากนายศรีสุวรรณ และพวก แม้ว่าอธิบดีกรมการข้าวเป็นผู้ถูกเรียกผลประโยชน์ แต่ไม่ได้แปลว่าอธิบดีกรมการข้าวพ้นจากความผิดด้วยคำพูดที่อ้างว่าถูกเรียกสินบน เพราะฉะนั้นตนเองจึงเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่ อธิบดีกรมการข้าวยังไม่ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ต้องเข้าไปตรวจสอบ สอบสวน รวมไปถึงทรัพย์สมบัติของภรรยาที่มีตั้งไม่รู้กี่บริษัท บางบริษัทมีเงินนับร้อยๆ ล้านบาท คุณต้องไปตรวจสอบว่าเงินพวกนี้มาจากไหน แล้วข้อกล่าวหาที่มี คำร้องเรียนเยอะแยะไปหมด มีมูลหรือไม่มีมูล

ท่านผู้ชม ผมสรุปอย่างนี้ก็แล้วกัน เหตุพิรุธและปริศนาเหล่านี้ตอกย้ำซ้ำด้วยไฟไหม้อีกอย่าง มันบังเอิญจริงๆ โหมไหม้กระทรวงเกษตรฯ ในเวลาพอเหมาะพอเจาะ แล้วอ้างโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งผมเห็นพวกช่างแอร์ทั้งหมด เยอะแยะแล้ว คนที่ทำแอร์ประจำที่ออฟฟิศ เขาบอกวว่ามีที่ไหนกันล้างแอร์แล้วไฟฟ้าลัดวงจร ไม่มี มันทำให้พวกเราอดฉุกคิดไม่ได้ว่างานนี้ไม่ปกติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. พวกคุณต้องเดินหน้าทำความจริงให้ปรากฏ พิสูจน์ข้อเท็จจริงและข้อพิรุธทั้งหมดนี้ให้ประชาชนหายสงสัย ที่สำคัญที่สุด ทำไมคุณถึงไม่ตรวจสอบอธิบดีกรมการข้าวแม้แต่นิดเดียวเลยครับ ท่านผู้ชมว่ามันทะแม่งๆ ไหม แล้วผมจะบอกให้ท่านผู้ชมทราบ ท่านผู้ชมคงจะเห็นด้วยกับผม


วันนี้ถ้าผมให้คนเข้ามาออกความเห็นว่าท่านผู้ชมเชื่อถือรัฐมนตรีว่าการฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยฯ ไชยา เชื่อว่าเขาซื่อสัตย์สุจริตหรือเขาไม่ซื่อสัตย์สุจริต ผมไม่ต้องเล่าให้ฟังหรอกครับ ผมรู้คำตอบในใจผมแล้ว ถ้าจะท้าทายผม เดี๋ยวผมจะตั้งโพลขึ้นมา แล้วเอาคำถามนี้ออกมาให้ประชาชนลงคะแนนเสียง เอาไหมครับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ ป.ป.ช.

มาเฟีย มสธ. ภาค 2

เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ผมพูดมาเมื่อสิบเดือนที่แล้ว ตั้งแต่ตอนที่ 185 ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2566 อีกสองเดือนจะครบปีพอดี ผมไม่เคยนึกเลยนะว่าผมจะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่เลวทรามต่ำช้าและบัดซบมาก นั่นคือการแต่งตั้งอธิการบดี มสธ. ขึ้นมา ซึ่งผ่านการคัดสรรเรียบร้อย และมติก็มีเรียบร้อยแล้ว 7 ปี ไม่ได้รับการแต่งตั้ง สภามหาวิทยาลัยของ มสธ. ยื้อเรื่องนี้มาตลอด ทั้งๆ ที่มีข้อกฎหมายหลายข้อระบุชัดเจนว่าสามารถตั้งได้


รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เคยสั่งตั้งแต่สมัยเอนก เหล่าธรรมทัศน์ มาจนถึงปัจจุบันนี้ เป็นคนของภูมิใจธรรม สั่งไป 4-5 ครั้งหรือ 6 ครั้งแล้ว แต่พวกกรรมการสภามหาวิทยาลัยมันก็ยังดื้อแพ่งอยู่

เขาสรรหาอธิการบดีเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 เกือบเจ็ดปีที่แล้ว และเขาได้ว่าที่อธิการบดีคนใหม่ ชื่อ รศ.ดร.วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ ยังไม่สามารถทำงานได้ ท่านผู้ชมเชื่อไหม

ท่านผู้ชม ทั้งหมดนี้ไอ้พวกสภามหาวิทยาลัยจะมีความรู้มาก วิชาแก่กล้า แต่คนที่อยู่ในนั้นล้วนแล้วแต่มีอคติ ทิฐิมานะ อันนำไปสู่การเล่นพวกเล่นพ้องต่างๆ ผมจะเล่าให้ฟัง

 รศ.ดร.วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ
ประเด็นคือ มสธ. แต่ไหนแต่ไรมีผู้มีอิทธิพลตัวใหญ่ที่เป็นทั้งอธิการบดีผู้ก่อตั้ง และดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยมาต่อเนื่อง คือ นายวิจิตร ศรีสอ้าน

นายวิจิตร เสียชีวิตไปแล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2566 อายุ 89 ปี นั่งอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งตายคาเก้าอี้เลย แต่การจากไปของนายวิจิตร เป็นเวลา 5-6 เดือนแล้ว เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ (อว.) จากเอนก เหล่าธรรมทัศน์ มาเป็น ศุภมาส อิศรภักดี จากพรรคภูมิใจไทย ปัญหาก็ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่มีทางที่จะคลี่คลาย ยิ่งไปกว่านั้น กลับมีการสืบทอดอำนาจ ปกปิดความเน่าเฟะ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของพวกพ้อง จน มสธ. กลายเป็นดินแดนสนธยาที่ต้องรอวันสะสาง

นายวิจิตร ศรีสอ้าน
อันที่จริงแล้วปัญหานี้อยู่ที่สภามหาวิทยาลัย มสธ. ที่มีการประวิงเวลา ไม่ยอมเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดีคนใหม่ ถูกสรรหามาตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว อีกทั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปีที่แล้ว (2566) ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาเป็นที่สุดแล้วว่ากระบวนการสรรหาอธิการบดีและการลงมติการสรรหาอธิการบดี รวมทั้งคุณสมบัติของ รศ.ดร.วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ นั้นชอบด้วยกฎหมายทุกประการ ก็เลยเกิดคำถามว่าทำไมสภามหาวิทยาลัย มสธ. จึงไม่ยอมเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดีคนใหม่เสียที ทั้งๆ ที่ศาลปกครองสูงสุดก็พิพากษาเกือบปีแล้ว แต่สภามหาวิทยาลัยยังดื้อแพ่ง อ้างว่ามีกรณีคดีความกรณีการถอดถอนอธิการบดีรายเดิม คือ นายแพทย์ชัยเลิศ พิชิตพรชัย ยังไม่ยุติ ต้องรอศาลปกครองสูงสุดพิพากษาก่อน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วใครก็รู้ว่าข้ออ้างดังกล่าวเป็นเพียงวาทกรรมเท่านั้น ใช้ไสยศาสตร์ทางกฎหมายเท่านั้น แต่ถ้าพิจารณาถึงเหตุผลสำคัญที่ต้องเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดีคนใหม่เร็ว คือ

นายแพทย์ชัยเลิศ พิชิตพรชัย
ข้อที่ 1 เบื้องหลังคือ 7 ปีที่แล้ว มีการร้องเรียนต่อศาลปกครองชั้นต้นของ มสธ. ทั้งคดีการถอดถอนอธิการบดีรายเดิม และการสรรหาอธิการบดีคนใหม่ ปรากฏว่า ท่านผู้ชมรู้ไหมศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษาทั้งสองคดีไปในทางเดียวกันว่า มีคำสั่งไม่รับคำขอทุเลา หรือศาลไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวทั้งสองคดี จึงเท่ากับว่าการเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ถอดถอน สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องรอคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคดีให้ถึงที่สุด ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของกระทรวง อว. ซึ่งรัฐมนตรีสมัยนั้นคือนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ได้ลงนามให้ความเห็นชอบไว้แล้ว ตั้งแต่ปี 2562 เพื่อให้เป็นทางออกให้รองรับกับหนังสือเวียน ว.101 เรื่องแนวปฏิบัติการเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ถอดถอน ของสำนักเลขาฯ คณะรัฐมนตรี อีกทั้งยังปรากฏว่าแนวทางดังกล่าวนี้ได้นำไปใช้แก้ปัญหาการเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดีของสภาอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยมาแล้วหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วทำไมเขาไม่ใช้กับ มสธ. หรือสภา มสธ. เองไม่ยอมดำเนินการ

ายสุวิทย์ เมษินทรีย์
ประการที่สอง ย้อนกลับไปถึงกรณีคดีการสรรหาอธิการบดี มสธ. มีข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาเป็นที่ยุติแล้ว สรุปว่ากระบวนการสรรหาอธิการบดีชอบด้วยกฎหมาย มติที่ประชุมชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งคุณสมบัติผู้ถูกเสนอชื่อเป็นอธิการบดี ก็คือ รศ.วรรณธรรม ก็ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้กรณีการสรรหาอธิการบดีคนใหม่มีความชอบธรรมทุกประการ สภามหาวิทยาลัย มสธ. จึงควรเร่งดำเนินการเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการคนใหม่ต่อไปโดยไม่ชักช้า ไม่ควรจะใช้วิธีไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถา หาเหตุอื่นๆ มาประวิง โดยเฉพาะที่อ้างว่าต้องรอศาลปกครองสูงสุดพิพากษาคดีการถอดถอนก่อน

นอกจากนี้ หากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ถอดถอนอธิการบดีรายเดิมไม่ชอบด้วยกฎหมาย สมมุติศาลปกครองสูงสุดบอกว่าวถอดถอนไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ก็คือนายแพทย์ชัยเลิศ พิชิตพรชัย เป็นฝ่ายชนะ แต่ก็ไม่ได้ทำให้นายแพทย์ชัยเลิศ สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งอธิการบดีอีกแล้ว เพราะไม่มีสภาพบังคับ เนื่องจากวาระการดำรงตำแหน่งอธิการบดีของนายแพทย์ชัยเลิศ ได้พ้นไปตั้งนานแล้ว กว่า 7 ปี ประกอบกับที่ละเว้นมิได้ คือตามข้อบังคับการสรรหาอธิการบดี มสธ. พ.ศ. 2559 กำหนดว่า เมื่อไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี หรือวาระการดำรงตำแหน่งดังกล่าวใกล้ครบกำหนด โดยเหลือเวลาไม่น้อยกว่า 180 วัน ให้ มสธ. แต่งตั้งกรรมการสรรหา โดยที่อธิการบดีรายเดิมในขณะนั้น มีเวลาเหลืออยู่ก่อนหมดวาระประมาณ 180 วัน จึงทำให้กรรมการสภา มสธ. ในขณะนั้นจำเป็นต้องดำเนินการสรรหาอธิการบดีคนใหม่

เพราะฉะนั้นแล้ว จึงไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลยกับการที่สภา มสธ. ชุดปัจจุบันจะมีการประวิงเวลาไปเรื่อยๆ ท่านผู้ชมสงสัยไหมว่าประวิงเวลาเพื่ออะไร อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ คือมีการว่างลงของตำแหน่งอธิการบดีเกิดขึ้นจริง จวบจนถึงปัจจุบัน แล้วพวกสภามหาวิทยาลัยมันก็ตั้งรักษาการอธิการบดีของพวกมันมาแล้ว 6 คน ในเวลา 7 ปี ถ้าตำแหน่งไม่ว่างจริงจะรักษาการแทนกันได้อย่างไร ผมขอโทษที่ต้องพูดจาหยาบหน่อย คนมีการศึกษา เป็นถึงสมาชิกสภามหาวิทยาลัย มสธ. พฤติกรรมแบบนี้จะไม่ให้ผมพูดวะพูดเว้ยได้อย่างไร

สภา มสธ. แข็งข้อ กระทรวง อว. เขาสั่ง 5 ครั้ง ก็ยังไม่เสนอชื่ออธิการบดีมาให้เสนอโปรดเกล้าฯ

ประการต่อมา แม้ว่าสภา มสธ. ยังคงอ้างว่าไม่สามารถเสนอชื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดี ต้องรอคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในกรณีคดีการถอดถอนอธิการบดีรายเดิมให้เป็นที่ยุติก่อน มีข้อโต้แย้งที่สำคัญและมีความพยายามแก้ปัญหาจากกระทรวงการอุดมศึกษาฯ มาแล้ว ก่อนหน้าที่คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีสรรหาอธิการบดี ศาลปกครองสูงสุดชี้ชัดเจนเลย ตั้งได้ ไม่ผิด

ปลัด อว. เคยแจ้งสภา มสธ. ดำเนินการเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดีมาแล้ว 2 ครั้ง ต่อมาภายหลังคำพิพากษาคดีสรรหา ทางสภา มสธ. ทำหนังสือขอหารือการเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดีมายังกระทรวง อว. กระทรวง อว. ได้ตอบข้อหารือว่า ให้สภา มสธ. ดำเนินการเสนอโปรดเกล้าฯ ได้ เป็นครั้งที่ 3 ท่านผู้ชมว่าสมาชิกสภามหาวิทยาลัย มสธ. หน้าด้านไหม ?


ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ สั่งการเสนอแนะเรื่องการเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดี มสธ. แจ้งให้สภา มสธ. ว่าสามารถดำเนินการเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดีได้ โดยไม่ต้องรอคำพิพากษา จากศาลปกครองสูงสุด เป็นครั้งที่ 4

ล่าสุด วันที่ 8 ธันวาคม ปีที่แล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. คุณศุภมาส อิสรภักดี ได้มีหนังสือสั่งการเป็นครั้งที่ 5 เสนอแนะให้สภา มสธ. เร่งดำเนินการเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดี รศ.ดร.วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ มายังสำนักงานปลัดกระทรวง อว. เพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถบริหารจัดการในเรื่องต่างๆ ได้อย่างมีธรรมาภิบาล แต่ท่านผู้ชมรู้ไหม พวกแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นานในสภามหาวิทยาลัย มสธ. ก็ยังแข็งข้ออยู่


สรุป สภามหาวิทยาลัย มสธ. รับรู้เรื่องการเสนอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดีมาแล้ว 5 ครั้ง แต่ยังเพิกเฉย ไม่ดำเนินการ ยังคงประวิงเวลาหาเหตุต่างๆ เป็นข้ออ้าง เช่น ใช้วิธีการหารือไปยังสำนักงานกฤษฎีกา หารือกับกระทรวง อว. ในประเด็นปัญหาเดิมๆ กลับไปกลับมา ไม่มีท่าทีจะดำเนินการต่อไป

ล่าสุด สภาฯ นี้หาเหตุสกัด รศ.ดร.วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ ทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้เป็นอธิการบดี 15 ธันวาคม ปีที่แล้ว คนที่รักษาการอธิการบดีชุดปัจจุบัน มีคำสั่งตั้งสอบสวนวินัยร้ายแรง รศ.ดร.วรรณธรรม กรณีเบิกจ่ายเงินโครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทย และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ที่อาจารย์วรรณธรรม เป็นผู้อำนวยการโครงการ


คำสั่งที่ตั้งมา มีพิรุธ เห็นได้ชัดว่าผู้บริหาร มสธ. น่าจะมีพฤติการณ์กลั่นแกล้งอาจารย์วรรณธรรม ให้ได้รับโทษวินัยและมีมลทินมัวหมอง อันอาจเป็นเหตุให้ไม่สามารถเสนอขอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้

ที่น่าสนใจ ท่านผู้ชมอยากรู้ไหม มีเรื่องอะไรกันที่เป็นเรื่องที่ไม่ยอม ที่ยอมไม่ได้ให้บรรดามาเฟีย มสธ. จะให้ รศ.ดร.วรรณธรรม มาดำรงตำแหน่งอธิการบดี ตั้ง 7 ปี ไม่ยอมตั้ง

เรื่องต่อไปนี้มีที่มาที่ไป ท่านผู้ชมครับ เคยตกเป็นข่าวดังตั้งแต่สมัย ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน ยังมีชีวิตอยู่ เป็นข่าวหลายเรื่อง และสภา มสธ. ก็ยังดำเนินการต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่เกรงกลัวกฎหมายแต่อย่างใด วันนี้ผมจะนำมาวิเคราะห์ผลประโยชน์มหึมาที่ดูดี แต่ผิดกฎหมายมโหฬาร คือกรณีที่ มสธ. นำเงินรายได้ไปให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการ คิดเป็นจำนวนเงินกว่า 5,500 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา สภา มสธ. และคณะกรรมการบริหารมีมติเห็นชอบ และดำเนินการนำเงินรายได้และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย 5,500 ล้านบาท นั่นคือสภา มสธ. นะครับ สภามหาวิทยาลัย และคณะกรรมการบริหาร ไปลงทุนกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จัดการกองทุน โดยมีการเพิ่มการลงทุนเป็นระยะๆ


2562 ลงทุนไปสองพันล้าน ปี 2563 ห้าร้อยล้าน ปี 2564 หนึ่งพันห้าร้อยล้าน ปี 2565 หนึ่งพันห้าร้อยล้านบาท รวมทั้งสิ้น 5,500 ล้านบาท ซึ่งผมไม่รู้ว่าการไปลงทุนในกองทุนพวกนี้มีผลประโยชน์ตอบแทนอะไรหรือเปล่า และถ้าเกิดมี มันเข้ากระเป๋าสุนัขตัวไหน

มสธ. ชี้แจงมาว่า มหาวิทยาลัยได้รับผลตอบแทนในระยะเวลา 4 ปี เป็นเงินทั้งสิ้น 226 ล้านบาท คิดเป็นอัตราตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ 2.44-4.40 กล่าวอ้างว่าสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แต่การดำเนินการดังกล่าวมีความสุ่มเสี่ยงว่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ และมีพฤติการณ์ที่ขัดต่อระเบียบราชการ ยกตัวอย่าง พระราชบัญญัติวินัยการเงินและการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 มาตรา 44 และมาตรา 47 กำหนดไว้โดยสรุป ว่า การบริหารจัดการทรัพย์สินหรือเงินของหน่วยงานรัฐที่อยู่ในความครอบครอง ดูแลรักษาของหน่วยงานรัฐ ต้องกระทำด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ โดยมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินนั้น


แต่ทว่า ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ? สภา มสธ. กลับออกข้อบังคับ มสธ. ว่าด้วยการบริหารเงินได้และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2561 ประกาศเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ว่า สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ นอกจากนี้แล้ว 25 ธันวาคม 2561 ยังมีมติอนุมัติให้ มสธ. ดำเนินการจ้างบริษัทจัดการกองทุนให้เป็นผู้นำเงินได้ของ มสธ. ไปจัดการลงทุนเพื่อหาผลประโยชน์ให้กับ มสธ. และอนุมัติวงเงินการลงทุน และกรอบนโยบายการลงทุน และข้อจำกัดการลงทุนอีกด้วย

กล่าวโดยสรุป การที่สภา มสธ. ตั้งแต่สมัย ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน นำเงินรายได้ของ มสธ. ไปให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 4 แห่ง เป็นเงิน 5,500 ล้านบาท ยังไม่นับกับการที่นำรายได้ของมหาวิทยาลัยไปลงทุนประเภทหุ้นกู้อีกกว่า 361 ล้านบาท ท่านผู้ชมรู้ใช่ไหมครับภาวะหุ้นกู้ในประเทศไทยตอนนี้เป๋ไปแล้ว มีอยู่หลายอันเลยที่ไม่สามารถจะจ่ายเงินคืนหุ้นกู้ได้


การกระทำเหล่านั้นอาจจะเป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งๆ ที่มีการแจ้งข้อเท็จจริงต่างๆ จากกองกฎหมาย และเสนอวาระในที่ประชุม แต่ก็ละเลยเพิกเฉยไป เรื่องนี้ถ้ามีการสอบสวนสืบสวนขุดคุ้ยย้อนหลังว่าบรรดาสภา มสธ. รวมทั้งคณะกรรมการการเงินและทรัพย์สิน หรือคณะกรรมการบริหารเงินรายได้และทรัพย์สิน มสธ. ซึ่งมีเจตนาช่วยกันเอาเงินรายได้ มสธ. ไปลงทุนโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย และได้ดำเนินการก่อนมีการประกาศใช้ข้อบังคับการเงิน เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 4 ราย ก็สุ่มเสี่ยงว่าอาจจะต้องโดนคดีความร้ายแรงในหลายข้อหา อาจจะมีคนบางคนติดคุกติดตะรางไปด้วย

เพื่อให้ท่านผู้ชมสบายใจว่าที่นี่โปร่งใส ผมจะเอาภาพกรรมการ มสธ. และเอาชื่อให้ชมนะครับ ว่าหลังจาก ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน เสียชีวิตแล้ว มีใครบ้าง (1) นายนิรันดร์ จงวุฒิเวศย์ อุปนายกทำหน้าที่แทนนายกสภามหาวิทยาลัย (2) นายเขมทัศน์ พลเดช (3) น.ส.ทัศนา บุญทอง (4) นายประสาท สืบค้า (5) นายนนทพล นิ่มสมบุญ (6) นางปราณี สังขะตะวรรธน์ (7) นายมานิตย์ จุมปา (8) นายยืน ภู่วรวรรณ และ (9) นายศิริ การเจริญดี ซึ่งเป็นอดีตเจ้าพนักงานระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย


ทีนี้ท่านผู้ชมถึงบางอ้อหรือยังว่าทำไม มสธ. มหาวิทยาลัยเปิดของรัฐแห่งเดียวของประเทศไทย ปัจจุบันมีข้าราชการอยู่ 2,500 คน มีนักศึกษารวมทุกชั้นปีละ 60,000-80,000 คน มสธ. มีคนเรียนจบไปแล้ว ล้าน 5 แสนคน จากจำนวนผู้สมัคร 5 ล้านคน

ทำไมถึงไม่มีการแต่งตั้งอธิการบดีตัวจริงมาเกือบ 7 ปีเต็มๆ รักษาการอยู่ทุกปี เอาพวกคนของสภา มสธ. มานั่งรักษาการ รักษาการ รักษาการต่อไป ไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด พวกคุณไม่อายบ้างหรือ ให้ตายสิ แต่ละคนผมรู้จักดี อาจจะไม่มาก แต่ศิริ การเจริญดี คุณไม่อายบ้างหรือ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าการเอาไปลงทุนกองทุนฯ เป็นความคิดของคุณหรือเปล่า เพราะว่าคุณมาจากแบงก์ชาติ

คนที่ได้รับเลือกอย่างถูกต้อง อาจจะต้องกลับเข้ามาเก็บขี้ กวาดขยะที่ซุกไว้ใต้พรม ก็ทำไม่ได้เสียที กลายเป็นปัญหาคาราคาซังที่ยืดเยื้อยาวนาน กระทบต่อทั้งคณาจารย์ บุคลากร ไปจนถึงนักศึกษา และประเทศชาติ อย่างประเมินไม่ได้

จริงๆ แล้วเรื่องนี้ผมเล่าผ่านรายการนี้ได้ไม่หมด แต่ข้อมูลระดับ Exclusive ทั้งหลายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมจะนำเสนอเรื่องราวผ่านช่องทาง 'SONDHI X' ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ Facebook, TikTok, แอปพลิเคชันของเราให้คอยติดตามกันต่อไป และผมกำลังจะบอกกับท่านสมาชิกสภามหาวิทยาลัย มสธ. ที่ผมเอ่ยชื่อไปนั้น ขณะนี้ผมตั้งทีมทนายความ และอาจจะยื่นเรื่องนี้ต่อ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบว่าพวกคุณ 11 คนที่อยู่ในนี้ ทำถูกต้องตามกฎหมายหรือเปล่า ที่การเอาเงินของ มสธ. ไปลงทุน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าจะมีการประกาศนโยบายของพวกคุณ เจอกันแน่ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม ใครมีข้อมูลอะไรส่งมาได้เลย น่าเสียดาย เรื่องบัดซบ อุบาทว์แบบนี้เกิดขึ้นใน มสธ. แล้วต้นเหตุก็มาจากสภามหาวิทยาลัย มสธ. นั่นเอง แต่ไม่ต้องห่วง ผมกำลังตั้งทีมอยู่ ผมจะมีทนายความชั้นหนึ่ง เลย ตลอดจนผู้ที่เชี่ยวชาญ อดีตอัยการ มาดูว่าจะมีช่องทางทางกฎหมายที่ไหนบ้างที่จะฟาดฟันพวกคุณเสียที

เรื่องนี้ ถ้าพวกคุณยังนั่งอยู่ กรุณาอย่าอยู่ต่อไปนานๆ แล้วเจอพวกผมแน่นอน

"ตัวพ่อ" นายหน้าค้าความตาย

ไม่รู้ว่าท่านผู้ชมเคยชมภาพยนตร์เรื่องนี้หรือเปล่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ ชื่อ Lord of the War ชื่อภาษาไทยคือ นักฆ่าหน้านักบุญ เข้าฉายในปี 2548 หรือประมาณเกือบๆ ยี่สิบปีที่แล้ว นำแสดงโดยดาราดังฮอลลีวูด อย่างเช่น นิโคลัส เคจ อีธาน ฮอว์ก


เรื่องนี้กล่าวถึงชีวิตของ ยูริ ออร์ลอฟ นำแสดงโดยนิโคลัส เคจ พ่อค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซียที่อพยพมาจากยูเครน ในเวลาต่อมากลายเป็นพ่อค้าขายอาวุธสงครามที่มีชื่อกระฉ่อนในทั่วโลก

จริงๆ แล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงเรื่องราวจากพ่อค้าอาวุธชาวรัสเซีย สายทาจิกิสถาน มีตัวตนที่แท้จริงชื่อ วิกเตอร์ บูต ที่ถูกจำคุกในประเทศไทย แล้วตอนหลังก็ถูกส่งตัวกลับไปอยู่ที่อเมริกา แล้วก็มีการแลกเปลี่ยนนักโทษกันโดยที่รัสเซียยืนยันว่าจะเอาวิกเตอร์ บูต กลับ 1 คน เพื่อแลกกับคนอเมริกันที่ติดคุกอยู่ในรัสเซียอีก 2-3 คน


ใครที่โตไม่ทัน จำไม่ได้ ผมจะเล่าให้ฟังว่า ภายหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย วิกเตอร์ บูต (Viktor Bout) ชาวเร่ขายอาวุธของอดีตสหภาพโซเวียตไปกองกำลังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไม่สนว่าเป็นใคร สนอย่างเดียวจะมีเงินจ่ายให้เขาไหม ไม่ว่าจะเป็นประเทศแอฟริกา ไม่ว่าจะเป็นเซียร์ราลีโอน แองโกลา คองโก ซูดาน ลิเบีย รวันดา ทวีปอเมริกาใต้ก็มี เช่น โคลัมเบีย ในตะวันออกกลาง และเอเชีย โดยลูกค้าคือกลุ่มอัลกออิดะห์ ตอลิบาน รวมทั้งกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ในอัฟกานิสถาน เป็นต้น

ในแวดวงความมั่นคง บูต ได้รับฉายาว่าพ่อค้าแห่งความตาย ภาษาอังกฤษ เกิดว่า "Merchant of Dealth" และกลายเป็นผู้ที่ถูกหมายหัวจากสหรัฐอเมริกา จนในที่สุด็มาจนมุมที่เมืองไทย ในปี 2551 บูต ถูกจับกุมที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2551 ตามหมายจับของอินเตอร์โพล ด้วยข้อหาขนส่งอาวุธสงครามไปให้ขบวนการค้ายาเสพติดในโคลัมเบีย


ต่อมา 2553 ศาลอุทธรณ์ไทยมีคำสั่งให้ส่งตัว วิกเตอร์ บูต ไปดำเนินคดีที่อเมริกา ถัดจากนั้น ปี 2554 ศาลสหรัฐฯ ตัดสินว่า บูต มีความผิดฐานสมคบคิดสังหารชาวอเมริกันและเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้งส่งขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน และช่วยเหลือองค์กรผู้ก่อการร้ายฝ่ายซ้ายที่ผลิตยาเสพติด โคเคน นำเงินจากการจำหน่ายไปซื้ออาวุธจากจำเลย เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลโคลัมเบีย และโจมตีพลเมือง/ทรัพย์สินสหรัฐฯ วิกเตอร์ บูต ถูกจำคุก 25 ปี


จนเมื่อปลายปี 2565 ชื่อของ บูต กลับมาถูกกล่าวขวัญในแวดวงสื่อโลกอีกครั้ง เมื่อสหรัฐฯ ยอมปล่อยตัว วิกเตอร์ บูต เพื่อแลกตัวกับบริตนีย์ ไกรเนอร์ (Britney Griner) นักบาสเกตบอลหญิงชาวอเมริกันชื่อดัง ที่ถูกรัสเซียจับกุมและคุมขัง เนื่องจากละเมิดกฎหมายของรัสเซีย ด้วยการพกพาบุหรี่ไฟฟ้าที่มีส่วนผสมน้ำมันกัญชาเข้าประเทศรัสเซีย


ประเด็นครับ ต่อให้คุณจับวิกเตอร์ บูต ไปขังไว้แล้ว อย่างไร ต่อให้คุณจับอีก 100 วิกเตอร์ บูต ก็ไม่ได้ทำให้สงครามในโลกนี้สงบลงได้หรอก เพราะจริงๆ แล้วท่านผู้ชมรู้ไหม นายหน้าที่ค้าความตายตัวจริง ตัวใหญ่ที่สุด ก็คือประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วใครล่ะเป็นนายหน้าค้าความตายตัวพ่อ ? 


รายการนี้เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว คือวันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2567 ผมเคยกล่าวไว้แล้วว่า ปีนี้ ปี 2567 เป็นปีที่สุ่มเสี่ยงว่าจะมีการจุดกระแสสงครามขึ้นในแถบบ้านเรา หรือทวีปเอเชียหรือไม่ เนื่องจากในห้วงระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา บนโลกใบนี้ มีสงครามใหญ่ปะทุขึ้นแล้วต่อเนื่อง 2 จุด

จุดแรก คือสงครามยูเครน ปะทุตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 จะครบรองสองปีในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้

จุดที่สอง คือสงครามระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ ฮามาส ปะทุวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา และมีทีท่าว่าจะลุกลามขยายเป็นสงครามใหญ่ทั่วภูมิภาคตะวันออกกลางในเร็ววันนี้

ท่านผู้ชมครับ ขึ้นชื่อว่าสงครามแล้ว ต้องมีการพลัดพรากแยกจาก สูญเสีย และย่อยยับ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนา ยกเว้นเพียงบุคคลกลุ่มเดียว นั่นคือพ่อค้าอาวุธสงคราม ดังประโยคหนึ่งที่ตัวเองในภาพยนตร์ Lord of War ที่นิโคลัส เคจ เล่น เขาบอกว่า " I prefer people to fire my guns and miss. Just as long as they are firing." ผมอยากจะให้คนที่ซื้อปืนจากผมไปแล้วยิงพลาด เพียงแต่ขอให้เขายิงต่อไปเรื่อยๆ


อย่างที่ผมพูดเมื่อตอนต้นนะครับ ในโลกใบนี้ พ่อค้าอาวุธสงครามใหญ่ที่สุดในโลก ช่วงระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา คือสหรัฐอเมริกานั่นเอง ห้าปี ตั้งแต่ปี 2560-2564 อเมริกาคือชาติผู้ส่งออกอาวุธสงครามมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก คิดเป็นสัดส่วนถึงเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ ของอาวุธที่มีการส่งออกกันทั่วโลก อันดับที่สอง คือ รัสเซีย 18.6 เปอร์เซ็นต์ อันดับที่สาม คือ ฝรั่งเศส 10.7 เปอร์เซ็นต์ อันดับสี่ จีน 4.6 เปอร์เซ็นต์ อันดับที่ห้า คือ เยอรมนี 4.5 เปอร์เซ็นต์


จากตัวเลขดังกล่าวจะเห็นได้ว่าผู้ส่งออกอาวุธสงครามเบอร์หนึ่งของชาวโลก คือ อเมริกา ส่งออกรวมกันแล้วอาวุธมากกว่าผู้ส่งออกอาวุธเบอร์ 2 ถึง เบอร์ 5 คือ รัสเซีย ฝรั่งเศส จีน และ เยอรมนี รวมกันแล้วยังสู้อเมริกาไม่ได้ และนี่เองเป็นสาเหตุให้มีผู้ตั้งข้อสงสัยมานมนานแล้วว่า สาเหตุที่อเมริกาพยายามจะจุดกระแสสงคราม และกระพือในภูมิภาคทั่วโลกอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบสนองให้บรรดาผู้ผลิตอาวุธ หรือที่เขาเรียกว่า MILITARY INDUSTRIAL COMPLEX หรือกลุ่มอุตสาหกรรมทหาร ใช่หรือเปล่า


ท่านผู้ชมรู้ไหม หลังเกิดสงครามในยูเครนแล้ว กลุ่มอุตสาหกรรมทหาร อาวุธ ในสหรัฐฯ กำไรอื้อซ่า 30 มกราคม หนังสือพิมพ์โกลบอลไทมส์ เผยข้อเขียนชิ้นหนึ่ง น่าสนใจมาก แปลเป็นไทยก็คือ "วอชิงตัน ในฐานะนายหน้าค้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมค้าอาวุธ ได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน" 

เนื้อหาระบุว่า 2566 สถานการณ์โลกตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ และความขัดแย้งในฉนวนกาซาเกิดขึ้นซ้ำเติมอีก ก็เลยมีการกระตุ้นความต้องการของชาติต่างๆ ในการจัดซื้อ จัดหาอาวุธเพิ่มเติมขึ้นในหลายพื้นที่ของโลก จากสถานการณ์ดังกล่าวจึงผลักดันให้ปีที่แล้ว ปี 2566 สหรัฐฯ สามารถขายอาวุธสงครามให้กับกองทัพต่างๆ ทั่วโลกได้มากเป็นประวัติการณ์ 238,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยมากกว่า 8.4 ล้านล้านบาท มากกว่างบประมาณแผ่นดินของไทยเกือบ 3 เท่า


ตัวเลขยอดขายอาวุธสงครามดังกล่าวถูกเผยแพร่โดยกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา เมื่อวันจันทร์ที่ 29 มกราคม ที่ผ่านมา ตัวเลขดังกล่าวถือว่าเป็นการเพิ่มยอดขายอาวุธถึง 16 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อน การเพิ่มอย่างมากของยอดขายอาวุธสงครามของอเมริกาให้กับประเทศต่างๆ ปีที่แล้ว ตามรายงานของสื่อ POLITICAL สื่ออเมริกันที่เกาะติดด้านนโยบายการทหาร ระบุว่า มาจากข้อตกลงสำคัญที่เกิดขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยข้อตกลงใหญ่ที่สุดคือการขายอาวุธตาม 3 รายการ มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย เฮลิคอปเตอร์โจมตี อาปาเช่ เฮลิคอปเตอร์ขนส่ง ซีนุก ระบบยิงขีปนาวุธขนาดกลาง กับ 2 พันธมิตรใหญ่ในนาโต คือ โปแลนด์ และ เยอรมนี




ทั้งนี้ ขณะเกิดสงครามยูเครนขึ้น รัฐบาลอเมริกาถือว่าเป็นคนเติมเชื้อไฟให้กับสงครามครั้งนี้อย่างไม่หยุดไม่หย่อน ส่งผลให้พ่อค้าอาวุธของสหรัฐฯ ได้รับอานิสงส์จากยอดการสั่งซื้ออาวุธที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล นอกจากนี้แล้ว สงครามยูเครนยังจุดความหวาดกลัว สร้างความหวาดผวาให้กับประเทศในยุโรป ทำให้เกิด "โรคกลัวรัสเซีย" และยิ่งทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมการทหาร หรือ MILITARY INDUSTRIAL COMPLEX ของสหรัฐฯ สามารถกอบโกยผลประโยชน์จากสงครามครั้งนี้ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

ยิ่งปลายกุมภาพันธ์ 2567 ปีนี้ อีกไม่กี่วัน สงครามยูเครนจะครบ 2 ปี และย่างเข้าสู่ปีที่ 3 ยิ่งพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าอเมริกาคือจอมบงการ ผู้อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง อีกทั้งยังเป็นผู้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างเป็นล่ำเป็นสันจากสงครามใหญ่ในยุโรป ซึ่งกินเวลามานานกว่า 700 วัน เข้าไปแล้ว วอชิงตันมีเป้าหมายที่จะขยายขอบเขตของทฤษฎีภัยคุกคามของรัสเซียเพื่อข่มขู่ประเทศต่างๆ ในยุโรปให้แข่งขันกันสะสมอาวุธ ซึ่งในที่สุดแล้วคนที่ได้ประโยชน์ที่สุดก็คืออเมริกา คนเสียประโยชน์คือบรรดาชาติต่างๆ ในยุโรป และสูญเสียมากที่สุด คือ ยูเครน

ความยืดเยื้อ การทวีความรุนแรง และความสูญเสียจากสงครามตั้งแต่ยูเครน ไปจนถึงตะวันออกกลาง แม้จะเป็นสิ่งที่ทั่วโลกหวาดผวา แต่ข่าวร้ายเหล่านี้ของชาวโลกล้วนแต่เป็นข่าวดีของผู้ค้าอาวุธของอเมริกาที่ทำกำไรได้อย่างมากมายมหาศาลจากสงครามเหล่านี้ ที่สำคัญ อุตสาหกรรมการทหารสหรัฐฯ ยังมีความผูกพันอย่างใกล้ชิดกับการเมืองสหรัฐฯ โดยทำลายสถิติด้วยการขายอาวุธให้ต่างชาติได้ถึง 238,000 ล้านดอลลาร์ ในระยะเวลาเพียงปีเดียว


กลุ่มอุตสาหกรรมทหารแผ่อิทธิพลกว้างขวางต่อการเมืองสหรัฐฯ เป็นนายทุนของนักการเมืองทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพรรครีพับลิกัน หรือเดโมแครต ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม เมื่อก้าวขึ้นกุมอำนาจบริหารในทำเนียบขาว ไม่มีใครกล้าท้าทายกลุ่มอุตสาหกรรมทหารเหล่านี้ได้ ด้วยผลประโยชน์เช่นนี้ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมทหารของสหรัฐฯ จึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อนโยบายรัฐบาลสหรัฐฯ จนถึงขั้นมีการเปรียบเปรยว่ากลุ่มอุตสาหกรรมทหารของสหรัฐฯ ได้ไฮแจ็ก หรือเป็นเจ้าของที่แท้จริงของรัฐบาลสหรัฐฯ ไปเรียบร้อยแล้ว

แม้กระทั่งอเมริกาเอง กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว ยังระบุชัดเจนในตอนต้นของแถลงการณ์ว่า การซื้อขาย แจกจ่ายอาวุธสงครามนั้น เป็นเครื่องมือนโยบายต่างประเทศที่สำคัญของอเมริกา ซึ่งอาจมีผลกระทบระยะยาวต่อความมั่นคงระดับภูมิภาค และระดับโลก อเมริกามันเลวจริงๆ มันยังยอมรับเลย


ข้อความนี้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดและแนบแน่นระหว่างอุตสาหกรรมอาวุธสงคราม และนโยบายการต่างประเทศของอเมริกา หลายครั้งหลายหน วอชิงตันใช้นโยบายต่างประเทศของตนเพื่อปลุกปั่นให้เกิดความสับสนวุ่นวายและการเผชิญหน้า เพื่ออุปสงค์หรือความต้องการอาวุธสงครามในประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเรื่องภัยคุกคามจากรัสเซีย และภัยคุกคามจากจีน ด้วยเหตุนี้ พูดได้เลยว่าอเมริกาคือเซลส์แมนค้าอาวุธมือหนึ่ง สำหรับอุตสาหกรรมการทหารของอเมริกา ด้วยเหตุนี้ ตราบใดที่อุตสาหกรรมการทหารผู้ผลิตอาวุธสหรัฐฯ ยังสามารถจ่ายอาวุธได้ อเมริกาก็จะไม่เลิกยุยงก่อสงครามในภูมิภาคต่างๆ ของโลก คาดการณ์ได้ว่าในปีนี้ (2567) ยอดขายอาวุธสงครามของอเมริกาจะยังคงเจริญเติบโตต่อไป และเชื่อแน่ว่ายังต้องมีประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อทมิฬของนายหน้าค้าความตายเหล่านี้อีกมากมาย นับไม่ถ้วน ซึ่งในที่สุด บทสรุปของวันนี้ก็คือ อเมริกาคือคนที่นำความตายมาสู่ประชาชนชาวโลกนี้ และเป็นผู้ที่ทำลายสันติภาพอย่างแท้จริง

ท่านผู้ชมครับ วันนี้รายการมีเพียงแค่นี้ ขอโทษทีครับ วันนี้ดุเดือดเลือดพล่านมากหลายๆ เรื่อง เพราะประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่เราควรจะอยู่อีกต่อไปแล้ว อยู่ไม่ได้จริงๆ เอาไว้รอพูดคุยกันในอาทิตย์หน้า ท่านผู้ชมจะไม่ได้ความจริงที่มีหนึ่งเดียวจากสื่ออื่นเด็ดขาด ไม่มี มีที่นี่ที่เดียว คือ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" SONDHI X และจาก Sondhi App อาทิตย์หน้าเจอกันใหม่ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น