xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ]SONDHI TALK : ตอกฝาโลง “ก้าวไกล” - ภูมิใจไทยส้วมแตก! - เบื้องลึกเชือด “พี่ศรี” - กิตติ์ธเนศ vs บิ๊กโจ๊ก ใครจริงใครเก๊ - จับโป๊ะราชทัณฑ์โยกย้ายช่วยคนหนีคุก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 2 ก.พ.2567 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่
- ตอกฝาโลง “ก้าวไกล” ล้มล้างการปกครอง!
- ภูมิใจไทยส้วมแตก! ส่อไม่รอดยุบพรรค "ศักดิ์สยาม" เสี่ยงคุก
- เบื้องลึก เชือด “พี่ศรี” กระทรวงเกษตรฯ แหล่งรวมทุจริต
- กิตติ์ธเนศ vs บิ๊กโจ๊ก  ใครจริง ใครเก๊
- จับโป๊ะราชทัณฑ โยกย้ายช่วยคนหนีคุก
- สหรัฐฯ เสี่ยงสงครามกลางเมือง เทกซัสประกาศอัยการศึก ต้านรัฐบาลกลาง

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.226



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 227 [2 ก.พ. 67]

ช่องทางติดตาม "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK

แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 สวัสดีท่านผู้ชมที่ชมรายการสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok ท่านผู้ชมที่เข้ามาอย่าลืมช่วยกันกดไลก์ กดแชร์ และ SUBSCRIBE ในช่องทาง Facebook, YouTube และ TikTok กับทุกๆ ช่องทาง เพื่อกระจายข่าวสารออกไปในวงกว้างที่สุด

ท่านผู้ชมครับ อย่าช้า Sondhi App ยกเลิกการเก็บเงิน เปิดฟรีให้ดูได้แล้ว ทั้งวิดีโอคลิป ข่าวสารต่างๆ ท่านผู้ชมไม่มีอะไรเสียหายเลย แค่ดาวน์โหลดแอปฯ Sondhi App ผ่าน App Store สำหรับ iOS หรือ Play Store สำหรับ Android ค้นหาคำว่า 'Sondhi App' เพียงแค่ลงทะเบียนเท่านั้น ฟรีๆ ไม่เสียอะไรเลย เนื้อหาในแอปฯ จะต่างจากใน Facebook เรามีเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่ถูกปิดกั้น และพูดได้ทุกเรื่อง ตอนนี้สามารถติดตามข่าวสารได้รวดเร็วทันใจ บทวิเคราะห์เจาะลึก ได้ที่ 'SONDHI X' ในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" และทางเว็บไซต์ sondhitalk.com ซึ่งจะรวมทุกอย่าง ทั้งข่าวและคลิปวิดีโอ

ท่านผู้ชมครับ ขอพูดถึงรายการ "ความจริงที่มีหนึ่งเดียว" ที่จะจัดในไตรมาสแรก ครั้งแรก วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2567 หอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ตั้งแต่บ่ายโมง ถึงห้าโมงเย็น ผมประกาศไปยังไม่ทันครบสัปดาห์เลย มีคนติดต่อเข้ามาซื้อบัตรแล้ว 450 ที่นั่ง เหลือจริงๆ 50 ที่นั่ง ไม่มาก ใครอยากมาดูให้รีบซื้อบัตรได้เลยที่ไลน์ (LINE) @sondhitalk

"ก้าวไกล" ไม่รอด ล้มล้างการปกครอง


ท่านผู้ชมครับ เมื่อวานซืน วันที่ 31 มกราคม มีเรื่องราวที่ผมคิดว่าเรื่องนี้ใหญ่มาก ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส. บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกลในขณะนั้น และ พรรคก้าวไกล จากการที่เสนอร่างกฎหมายเพื่อยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นอกจากนี้แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญยังมีคำสั่งให้นายพิธา และพรรคก้าวไกล แสดงความคิดเห็น การพูด การพิมพ์ การเขียน การโฆษณา และการสื่อความหมาย ด้วยวิธีอื่น เพื่อให้ยกเลิกมาตรา 112 อีก ทั้งไม่ให้แก้มาตรา 112 โดยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

สำหรับคดีนี้ไม่ใช่คดียุบพรรคตามที่สังคมหรือกองเชียร์บางคนเข้าใจ ต่อจากนี้ไป พรรคก้าวไกลจะถูกยุบ สส. จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองหรือไม่ ต้องมีนักร้องไปร้อง 2 หน่วยงาน ซึ่งผมทราบดีว่าคุณเรืองไกร ได้ไปร้องเรียนร้อยแล้วกับ กกต. เพื่อยื่นเรื่องให้ยุบพรรคก้าวไกล แต่ผมต้องขอเตือน กกต. ก่อนนะครับ ถ้าดึงเอาเรื่องพรรคก้าวไกลขึ้นแซงหน้าพรรคภูมิใจไทย เดี๋ยวจะโดนกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติ พรรคภูมิใจไทยต้องถูกพิจารณาในเรื่องการยุบพรรคก่อน แล้วค่อยต่อมาด้วยพรรคก้าวไกล ที่มันล่าช้าอาจจะเป็นเพราะท่านเลขาธิการ กกต. เป็นลูกศิษย์คนสนิทของนายชัย ชิดชอบ บิดานายเนวิน ชิดชอบ และเผอิญเป็นคนบุรีรัมย์เหมือนกัน ก็อาจจะดึงเกมเอาไว้ แต่ถ้าท่านดึงเอาพรรคก้าวไกลมาแซงหน้าพรรคภูมิใจไทยแล้ว ผมเชื่อว่าจะมีปัญหาแน่


ผมมีรายละเอียดที่จะชี้แจงให้ท่านผู้ชมฟัง หนึ่ง กกต. ให้พิจารณาคำร้องตาม พ.ร.ป. พรรคการเมือง มาตรา 92 ที่ระบุว่ามีการกระทำ 13 ข้อ เป็นเหตุให้การเสนอการยุบพรรคการเมือง ได้แก่ (1) การกระทำล้มล้างการปกครอง หรือให้ได้มาซึ่งอำนาจ โดยไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ (2) การกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค

สอง ป.ป.ช. พิจารณาประเด็นจริยธรรมร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 219 วรรคสอง และมาตรา 235 ประกอบมาตรฐานทางจริยธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ จากนั้นก็จะส่งศาลฎีกาให้วินิจฉัย หากเห็นว่าฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม โทษสูงสุด ตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต


ทั้งนี้ นายพิธา และสมาชิกพรรคก้าวไกลอีกรวม 44 คน จะต้องลุ้นว่าโดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตหรือไม่ ยกตัวอย่าง นายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ สส. บัญชีรายชื่อ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส. บัญชีรายชื่อ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ สส. บัญชีรายชื่อ


นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส. พิษณุโลก รองประธานสภาฯ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล สส. บัญชีรายชื่อ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. บัญชีรายชื่อ และ นายรังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ เป็นต้น

ที่ผ่านมามีนักการเมืองโดนตัดสิทธิ์ฯ ตลอดชีวิต ยกตัวอย่างเช่น ปารีณา ไกรคุปต์ ครอบครองที่ดิน ส.ป.ก. โดยมิชอบ กนกวรรณ วิลาวัลย์ รุกป่าเขาใหญ่ ธนิกานต์ พรพงษาโรจน์ เสียบบัตรแทนกัน ช่อ-พรรณิการ์ วานิช โพสต์ข้อความพาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และกรมสมเด็จพระเทพฯ ผมจะไม่ย้อนถึงอดีตว่าคดีเป็นอย่างไร เพราะท่านผู้ชมสามารถหาอ่านได้อย่างละเอียดตามเว็บไซต์ข่าวต่างๆ 

แต่ผมมีจุดน่าสนใจอย่างหนึ่ง คือว่า 22 พฤษภาคม 2566 ปีที่แล้ว เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป ทนายความ คุณธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อประธาน กกต. ให้ตรวจสอบพรรคก้าวไกลกรณีดำเนินการเพื่อยกเลิกมาตรา 112 อย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะสำเร็จ ซึ่งเป็นการกระทำที่อาจจะเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 (1) (2) หรือไม่

นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร
ปรากฏว่าภายหลัง ในวันที่ 11 มิถุนายน 2566 ปีที่แล้ว กกต. ได้ตีตกคำร้องของนายธีรยุทธ นายธีรยุทธ จึงยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด และส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงต่อ หลังจากที่อัยการสูงสุดเงียบไปเกิน 15 วัน

ต่อมา วันที่ 12 กรกฎาคม 2566 ศาลรัฐธรรมนูญสั่งรับคำร้องนายธีรยุทธไว้พิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสาม


เอาล่ะสิท่านผู้ชม ประเด็นมีอยู่ว่า กกต. จะรับผิดชอบอย่างไร ท่านผู้ชมรู้ไหม ก่อนหน้านี้ กกต. วินิจฉัยว่าใช้มาตรา 112 เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้งได้ แต่วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาในทิศทางตรงกันข้าม คำถามคือ กกต. ท่านจะรับผิดชอบอย่างไร ณ วันนี้ ที่พอจะทำได้คือ กกต. จะต้องรีบเสนอยุบพรรคก้าวไกล ตามมาตรา 92 (1) แต่ต้องตามลำดับเวลาที่ผมบอก ต้องพิจารณาพรรคภูมิใจไทยก่อน แล้วค่อยพิจารณาพรรคก้าวไกล


คุณแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ครับ อย่าลืมเรื่องนี้นะครับ ละเว้นความสนิทสนมและความเป็นคนบุรีรัมย์ และเป็นลูกศิษย์ลูกหาของคุณชัย ชิดชอบ สลัดทิ้งไปเลย เอาชาติบ้านเมืองเป็นหลัก รีบดำเนินการให้เร็ว อย่าให้คนเคลือบแคลงในตัวท่าน

กลับมาถึงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเป็นเอกฉันท์ ผมมีความเห็นอย่างนี้ครับ ท่านผู้ชม ประเด็นศาลรัฐธรรมนูญท่านตัดสินไว้อย่างละเอียดมาก ท่านผู้ชม หรือบรรดา สส. พรรคก้าวไกล หรือสาวกพรรคก้าวไกล เพื่ออ่านข่าวเรื่องนี้แล้วต้องกลับมาอ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม กรุณาใช้สติปัญญาถ้ายังมีอยู่ พิจารณาอย่างละเอียด อย่าไปเชื่อคำปลุกระดม คำให้ร้ายศาลอย่างพรรคก้าวไกลชอบทำตลอดเวลา

ประการแรก คือ ผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญเขาก็ไม่ได้โง่ หรือหลงกลคุณ เขาไม่ได้ดูแค่ร่างกฎหมาย หรือสิ่งที่คุณยื่น หรือกำลังจะยื่นแก้ไข แต่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาจากพฤติการณ์ของพวกคุณตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น พวกคุณเข้าไปมีพฤติกรรมร่วมมือกับกลุ่มล้มเจ้า ก็ที่ไปประกันตัวกลุ่มล้มเจ้าทั้งหลาย ก็พวกคุณทั้งนั้น ก้าวไกล อมรัตน์ นี่ตัวดีเลย


พิธา ก็เคยไปประกัน พรรคก้าวไกลมี สส. หมิ่นเจ้าเต็มไปหมดเลย มีคำพูดที่หมิ่นเหม่ สุ่มเสี่ยงต่อการกระทบกระเทือนต่อสถาบัน จุดนี้ศาลฯ วินิจฉัยว่า พบว่าพรรคก้าวไกลได้แสดงบทบาทเคลื่อนไหวทางการเมืองสอดรับกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆ โดยการรณรงค์ปลุกเร้าและยุยงปลุกปั่นเพื่อสร้างกระแสในสังคมให้สนับสนุนให้ยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112


โดยพบว่ามีกลุ่มบุคคลที่มีชื่อทำกิจกรรม "ยืนหยุดขัง" เรียกร้องให้พรรคการเมืองทุกพรรคเสนอนโยบายยกเลิกมาตรา 112 มีกลุ่มบุคคลปัจจุบันเป็น สส. พรรคก้าวไกล จัดชุมนุมโดยแนวร่วมคณะราษฎร ให้ยกเลิกมาตรา 112 มีการรณรงค์ให้ยกเลิกมาตรา 112 มีพฤติการณ์สนับสนุนเรียกร้องให้ยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 มีพฤติการณ์ที่สนับสนุนเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 โดยโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมเป็นนายประกันให้กับผู้ต้องหาหรือจำเลยคดี 112 ผมเรียนให้ทราบนะครับ มีพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชัยธวัช ตุลาธน รังสิมันต์ โรม อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล นายธีรัจชัย พันธุมาศ เป็นต้น

ขณะที่เป็นหรือเคยเป็น สส. พรรคก้าวไกล อีกทั้งมีสมาชิกพรรคก้าวไกล กระทำความผิดตามมาตรา 112 อีกหลายราย ได้แก่ โตโต้ นายปิยรัฐ จงเทพ จำนวน 2 คดี "ลูกเกด" น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว 2 คดี "ไอซ์" รัชนก ศรีนอก เป็นต้น


ย่อมแสดงว่าพรรคก้าวไกลเป็นกลุ่มการเมืองที่มีอุดมการณ์ต้องการเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือยกเลิกกฎหมายที่คุ้มครองสถาบัน

นอกจากนี้แล้ว ในวันที่ 24 มีนาคม 2566 มีการจัดกิจกรรมปราศรัยครั้งใหญ่ที่สวนสาธารณะแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ปรากฏว่ามี น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ อรวรรณ ภู่พงษ์ แกนนำทะลุวัง ขึ้นปราศรัยเชิญชวนนายพิธา และผู้สมัคร สส. พรรคฯ ร่วมกิจกรรม โดยบอกว่าคุณคิดว่ามาตรา 112 ควรยกเลิก หรือ แก้ไข ? นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยกสติกเกอร์สีแดง ติดลงในช่อง "ยกเลิก" มาตรา 112 แม้นายพิธา จะชี้แจงกับศาลฯ ว่า เป็นเพียงการแสดงออกเพื่อโน้มน้าวให้ผู้ตั้งกระทู้ถาม และผู้ฟังการปราศรัยทั่วไปสงบสติอารมณ์ ก่อนจะฟังเหตุผลที่สมควรแก้ไขมาตรา 112 และบริหารสถานการณ์ไม่ให้เกิดความรุนแรงนั้น แต่ข้อเท็จจริงปรากฏในหนังสือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า นายพิธา กล่าวปราศรัยความต่อเนื่องว่า "พี่น้องประชาชนเสนอกฎหมายยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เข้ามา พรรคก้าวไกลก็จะสนับสนุนเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นต้องขอโทษน้องทั้งสองที่พี่ต้องแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ในสภาฯ ก่อน ถ้าสภาฯ ยังไม่ได้รับการแก้ไข ก้าวไกลจะออกไปสู้ด้วยกันครับ"


ท่านผู้ชมครับ นี่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของนายพิธา ที่พร้อมจะสนับสนุนยกเลิกมาตรา 112 ทำให้บทบัญญัติแห่งการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์หมดสิ้นไป เพราะหากไม่ได้รับการแก้ไขในสภาผู้แทนราษฎร ก็พร้อมจะดำเนินการด้วยวิถีทางอื่นนอกเหนือจากทางนิติบัญญัติ ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยไว้แล้วในปี 2564 ว่า การกระทำที่มีเจตนาทำลายล้างสถาบันโดยชัดแจ้ง เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ประการต่อมา สิ่งที่นายพิธา กับ สส. พรรคก้าวไกล 44 คน เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ยื่นต่อประธานสภาฯ เพื่อแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ตั้งแต่ 25 มีนาคม 2564 แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เนื้อหานั้นต้องการลดสถานะของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ตรงจุดนี้ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า แม้การเสนอร่างกฎหมายต่อสภาฯ เป็นวิธีการทางนิติบัญญัติที่มีอำนาจเสนอร่างกฎหมายระดับพระราชบัญญัติโดยตรงผ่านการตรวจสอบโดยฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือเปล่า คุณเสนอกฎหมายได้ แต่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือเปล่า ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญมาตรา 49 มุ่งหมายปกป้อง คุ้มครองระบอบการปกครองของประเทศให้เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คุ้มครองไม่ให้ใช้สิทธิหรือเสรีภาพที่จะส่งผลบั่นทอน ทำลายหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ และสั่นคลอนคดีรากฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ดำรงอยู่ ให้เสื่อมทรามหรือสิ้นสลายไป

เพราะฉะนั้นแล้ว การที่นายพิธา และ สส. พรรคก้าวไกล 44 คน เสนอแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติมยกเลิกมาตรา 112 แบ่งลักษณะความผิดเป็น 13 ลักษณะ เรียงลำดับความสำคัญและความร้ายแรงในแต่ละหมวดไว้แต่ละมาตรา แม้นายพิธา และ พรรคก้าวไกล โต้แย้งว่า ไม่ได้กำหนดลำดับศักดิ์ของหมวดหมู่ ลักษณะของกฎหมาย แต่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่า มาตรา 112 อยู่ในลักษณะหนึ่งความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร เนื่องจากต้องการคุ้มครองความมั่นคงของราชอาณาจักร และเกียรติยศของประมุขรัฐ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญในมาตรา 2 ที่บัญญัติรับรองว่าประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สถาบันพระมหากษัตริย์จึงมีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ เพราะพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยหรือชาติไทยดำรงอยู่คู่เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ ธำรงไว้ซึ่งความเป็นปึกแผ่นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในประเทศ การกระทำความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จึงเป็นการกระทำความผิดต่อความมั่นคงของประเทศชาติด้วย

นอกจากนี้ ศาลยังเห็นว่า การที่นายพิธา และ พรรคก้าวไกล เสนอให้เอามาตรา 112 ออกจากลักษณะหนึ่งความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร มุ่งหวังให้มาตรา 112 ไม่มีความสำคัญ และไม่ให้ถือเป็นความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศอีกต่อไป มุ่งหมายที่จะแยกสถาบันพระมหากษัตริย์กับความเป็นชาติไทยออกจากกัน ซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐอย่างมีนัยสำคัญ

ท่านผู้ชมครับ ท่อนที่ผมเพิ่งกล่าวไปเมื่อกีนี้ สำคัญมากนะครับ


นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังกล่าวด้วยว่า แม้มีการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายมาตรา 112 จะเป็นหน้าที่อำนาจ สส. ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ และถึงจะไม่ได้บรรจุวาระในการประชุม สส. ก็ตาม แต่เมื่อร่างกฎหมายนี้กลับถูกดำเนินการโดย สส. พรรคก้าวไกล เพียงพรรคเดียว นายพิธา และพรรคก้าวไกล ยอมรับว่า พรรคก้าวไกลเสนอนโยบายแก้มาตรา 112 แก่ กกต. เพื่อใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ยังปรากฏในเว็บไซต์พรรคก้าวไกล ถึงแม้จะไม่มีร่างแก้ไขว่าจะแก้ไขในประเด็นใด แต่ตามเว็บไซต์พรรคก้าวไกลกลับมีเนื้อหาร่างฯ ที่จะให้แก้ไขมาตรา 112 ทำนองเดียวกับที่เสนอให้กับสภาฯ ในปี 2564

เพราะฉะนั้น จึงถือได้ว่านายพิธา และกลุ่ม เสนอร่างแก้ไขมาตรา 112 ดูจากเนื้อหาแล้ว เป็นพฤติการณ์ที่แสดงออกถึงเจตนาต่อการลดทอนการคุ้มครองสถาบันลงโดยผ่านร่างกฎหมายและอาศัยกระบวนการนิติบัญญัติ เพื่อสร้างความชอบธรรมโดยซ่อนเร้น โดยใช้วิธีการผ่านกระบวนการทางรัฐสภา

ท่านผู้ชมจำตรงนี้นะครับ พรรคก้าวไกล นายพิธา อาศัยกระบวนการนิติบัญญัติเพื่อสร้างความชอบธรรมโดยซ่อนเร้น

ประการที่สาม คือ ศาลฯ บอกว่าคุณเอาประเด็นเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นหาเสียง ซึ่งเท่ากับว่าการดึงประเด็นเรื่องพระมหากษัตริย์มาเป็นประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง เพราะในข้อเท็จจริงแล้ว พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข จะถูกดึงลงมาเป็นประเด็นการเมืองไม่ได้

จุดนี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชัดเจนว่า พรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์รณรงค์หาเสียงเพื่อเสนอแนวคิดให้กับประชาชนทั่วไป ผ่านรูปแบบนโยบายพรรคก้าวไกลอย่างต่อเนื่อง ประชาชนทั่วไปซึ่งไม่รู้เจตนาที่แท้จริงอาจจะหลงตามความคิดเห็นที่แสดงออกผ่านการเสนอร่างกฎหมายและนโยบายของพรรค จึงเป็นการใช้นโยบายพรรคการเมืองโดยนำสถาบันลงมาเพื่อหวังผลคะแนนเสียงทางการเมือง และประโยชน์ในการชนะการเลือกตั้ง มุ่งมั่นให้สถาบันอยู่ในสถานะ "คู่ขัดแย้งกับประชาชน" ทำให้สถาบันต้องเข้าไปเป็นฝักใฝ่การต่อสู้แข่งขันกันรณรงค์ทางการเมือง อาจจะนำไปสู่การโจมตี ติเตียน โดยไม่คำนึงถึงหลักการพื้นฐานสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีหลักสำคัญว่า พระมหากษัตริย์ต้องดำรงสถานะอยู่เหนือการเมืองและความเป็นกลางทางการเมือง

ด้วยเหตุนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การกระทำของนายพิธา และ พรรคก้าวไกล ใช้เสรีภาพความคิดเห็นเพื่อทำลายระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยซ่อนเร้นหรือผ่านการเสนอกฎหมายแก้ไขมาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายพรรค แม้คำร้องจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่การรณรงค์ยังดำเนินการต่อเนื่องเป็นขบวนการ โดยใช้หลายพฤติการณ์ ทั้งการชุมนุม การจัดกิจกรรม การรณรงค์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร การใช้เป็นนโยบายหาเสียงการเลือกตั้ง ซึ่งศาลฯ บอกว่า หากยังปล่อยให้กระทำการดังกล่าวต่อไป ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง จึงเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ซึ่งวรรคสอง ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งการให้เลิกกระทำการดังกล่าวที่เกิดขึ้น


วันพุธที่ 31 ทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมา นายชัยธวัช ตุลาธน สส. บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมนายพิธา สส. พรรคก้าวไกล แถลงข่าวหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย นายชัยธวัช ขู่ว่าคำวินิจฉัยของศาลฯ ในวันนี้อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนต่อการเมืองระยะยาวด้วย เช่น อาจกระทบความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับศาลรัฐธรรมนูญในอนาคต อาจกระทบต่อความเข้าใจความหมายตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่มีความชัดเจนที่แน่นอน มีความคลุมเครือในการตีความข้อเท็จจริง


ท่านผู้ชมครับ ข้อสังเกตของการแถลงของนายชัยธวัช และพรรคพวกพรรคก้าวไกล แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งเลิกการกระทำเพื่อให้มีการยกเลิกมาตรา 112 เพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่าท่าทีของนายพิธา และ พรรคก้าวไกล รวมทั้งนายชัยธวัช ยังทะลึ่งทำตัวไขสือ อวดดี ข่มขู่ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะเกิดผลกระทบต่อการเมืองไทย และยังทำเป็นไม่เข้าใจว่าอะไรคือการล้มล้างการปกครอง ทั้งๆ ที่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาละเอียดถี่ยิบ อ่านแล้วชัดแจ้ง ฟ้าแจ้งจางปาง

นอกจากนี้แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญยังเคยวินิจฉัยมาแล้วว่าการเคลื่อนไหวปฏิรูปสถาบันของพวกม็อบสามนิ้ว เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง คำวินิจฉัยปี 2564 ก็ออกมาแล้ว แต่พวกคุณก็ยังดันทุรังจะยกเลิกมาตรา 112 ให้ได้ แล้วใช้เป็นนโยบายหาเสียง แสดงว่านายพิธา และ พรรคก้าวไกล ไม่ได้เกรงกลัวต่อคำวินิจฉัยนี้เลย เคลื่อนไหวทั้งในสภาฯ และนอกสภาฯ ให้ได้


นี่คือตัวตนที่แท้จริงของนายพิธา นายชัยธวัช และ พรรคก้าวไกล ว่าคุณต้องการอะไร ผมจะเตือนคุณเอาไว้นะ คุณชัยธวัช คุณเป็นอดีต บก. "ฟ้าเดียวกัน" คุณคือตัวแทนของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เพื่อคุมเกม โดยเชิดคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คุณชัยธวัช อย่าทำตัวเป็นอีแอบ อ้างโน่นอ้างนี่ บอกว่าแก้ไขเพื่อธำรงไว้ซึ่งสถาบัน ไม่ได้เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน แยกสถาบันออกจากประชาชน ทั้งๆ ที่ความคิด พฤติกรรม การพูด การกระทำของพวกคุณ ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่คุณทำเป็น บก. หนังสือพิมพ์ฟ้าเดียวกัน จากวันนั้นถึงวันนี้ การกระทำ พฤติการณ์ของคุณ เจตนา พฤติการณ์ และการกระทำ มันชี้ชัดเจน


ส่วนพิธา นั้น คุณเป็นคนที่หิวแสง มีความสามารถในการพูดโกหกได้ทุกเรื่อง ก็ยินยอมพร้อมใจเป็นเครื่องมือให้เขา แม้ว่าจะเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติบ้านเมืองและสังคมไทยก็ตาม

สิ่งที่ต้องจับตาดูคือการยื่นยุบพรรคก้าวไกล และการตัดสิทธิ์ทางการเมืองของสมาชิกพรรคก้าวไกลตลอดชีวิต ที่จะต้องเกิดขึ้นจากนี้ต่อไปอย่างแน่นอน


สิ่งที่เกิดขึ้นจากนี้ไปจะเป็นจุดเปลี่ยนว่าพรรคการเมืองคนรุ่นใหม่ที่จะมาสืบทอดจากพรรคก้าวไกล จะคิดได้ คือละวางประเด็นเรื่องสถาบัน ล้มเจ้า หันไปขับเคลื่อนประเด็นที่เกี่ยวกับประชาชนโดยตรงได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง ปัญหาคอร์รัปชัน ปัญหาสังคม ปัญหาความเดือดร้อนในสังคม รวมไปถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือพวกคุณ คุณธนาธร คุณพิธา คุณชัยธวัช จะถือโอกาสใช้คำวินิจฉัยของศาลฯ เพื่อจุดชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ด้วยการปลุกม็อบลงถนนตามมาในวันข้างหน้า คุณชัยธวัช อย่านะครับ อย่าช้า ให้มันเห็นดำเห็นแดงกันไปเลยดีไหม คุณชัยธวัช คุณจะได้รู้ว่าคนที่เขาต้องการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นมีพลังเงียบอยู่มหาศาล ที่คุณเองก็รู้อยู่แล้ว แต่คุณไม่เชื่อ อย่า คุณชัยธวัช อย่าลงถนน อย่าช้า อย่าลงช้า รีบๆ ลงซะ

ภูมิใจไทย ส้วมแตก!

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาสักพักหนึ่งแล้ว ผมตัดสินใจที่จะมาพูดครั้งนี้ ผมคิดว่าผมจะให้คำจำกัดความของหัวข้อเรื่องนี้ ท่านผู้ชมคงเห็นด้วยกับผม ก็คือว่า ถึงเวลา "ภูมิใจไทยส้วมแตก" ส้วมแตก คือ ส่งกลิ่นเหม็นฉาวโฉ่ไปหมดเลย

สื่อส่วนใหญ่วิเคราะห์เรื่องนี้แบบผิวเผิน ขาดการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ ผมเลยคิดว่ามีความจำเป็นที่รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ต้องพูดถึงเรื่องนี้สักครั้งหนึ่ง เพื่อแจกแจงให้เห็นที่มาที่ไปและผลกระทบทางการเมืองในภาพใหญ่ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้


กรณีเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 17 มกราคม 2567 มีมติในการวินิจฉัย 7 ต่อ 1 ให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และอดีตเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย สิ้นสุดสมาชิกภาพตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หลังจากสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นี้มาแล้วตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 เนื่องจากกระทำความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 ประกอบพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี มาตรา 4 (1) คงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น ทำให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้น หรือกิจการห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นการกระทำที่ต้องห้าม หรือพูดง่ายๆ ตามประสาชาวบ้านก็คือว่า คุณศักดิ์สยาม ทำความผิดด้วยการซุกหุ้นนั่นเอง


คำวินิจฉัยนี้ทำให้คุณศักดิ์สยาม ไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้เป็นเวลา 2 ปี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งสำคัญกว่าการที่นายศักดิ์สยาม ไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้ 2 ปี คือ รายละเอียดของความผิดที่นายศักดิ์สยาม ได้กระทำลงไปนั้นร้ายแรง แน่นอนที่สุด ถึงขั้นต้องยุบพรรคภูมิใจไทย และจะส่งเป็นลูกโซ่ต่อถึงสมการการเมืองเมืองไทยครั้งใหญ่ เนื่องจากพรรคภูมิใจไทยนั้น ถือว่าเป็นพรรคใหญ่อันดับ 3 สัดส่วน สส. มีถึง 71 เสียง


คำถามที่น่าสนใจ คือ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 17 มกราคม ที่ผ่านมานั้น ชี้ว่าอย่างไร ? ร้ายแรงแค่ไหน ? ท่านผู้ชมตามผมมา

ก่อนอื่นเอาแบ็กกราวนด์เรื่อง ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น มาเล่าให้ฟังก่อน ก่อตั้งขึ้นเมื่อเกือบ 28 ปีที่แล้ว 8 มีนาคม 2530 ทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท ก่อนจะเพิ่มมาเป็น 159 ล้าน 5 แสนบาท ในปัจจุบัน


ปมซุกหุ้นของนายศักดิ์สยาม ถูกขุดคุ้ยและตั้งข้อสังเกตโดยสำนักข่าวอิศรา ตั้งแต่ปี 2564 ว่าช่วงการเลือกตั้งปี 2562 นั้น นายศักดิ์สยาม ในฐานะผู้ก่อตั้ง ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น โอนหุ้นที่ตัวเองถือครองอยู่ 119 ล้านบาท ก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง สส. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่โอนไปนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือเปล่า ? โดยชี้ว่าผู้รับโอนหุ้นนั้น ชื่อ นายเอ นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ ซึ่งเป็นพนักงาน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น นอกจากนี้แล้ว นายศักดิ์สยาม ยังใช้ที่อยู่บ้านของตัวเองเป็นที่ตั้งของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญฯ และเพิ่งเปลี่ยนที่ตั้งบริษัทเพียง 23 วัน ก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม


เรื่องนี้มีความเชื่อมโยงกับกรณีที่ดินเขากระโดง ซึ่งเป็นกรณีที่ดินอื้อฉาวในจังหวัดบุรีรัมย์ ด้วย

ต่อมา สำนักข่าวอิศราชี้ว่า ในช่วงระหว่างปี 2558 และ 2562 ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ยังได้เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐอย่างน้อย 60 รายการ รวมเป็นเงินถึง 1,261 ล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ ห้างหุ้นส่วนจำกัดแห่งนี้ใช้ที่อยู่ของนายศักดิ์สยาม เป็นที่ตั้ง อีกทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่า ในการยื่นประกวดราคาของห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญฯ พบว่ามีคู่เทียบ เป็นบริษัทหน้าเดิม คือ บริษัท บุรีรัมย์พนาสิทธิ์ จำกัด โดยบริษัท บุรีรัมย์พนาสิทธิ์ ปรากฏชื่อเป็นผู้ที่บริจาคเงินเข้าพรรคภูมิใจไทยด้วย


ต่อมา ในปี 2565 ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สส. พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายโดยนำข้อมูลของสำนักข่าวอิศราไปใช้ โดยผู้อภิปรายได้ตั้งคำถามต่อนายศักดิ์สยาม ว่า ตั้งนอมินี คือ นายเอ ศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ ขึ้นมาเพื่อปกปิดทรัพย์สินของตัวเองหรือไม่ จากกรณีที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ที่ก่อตั้งมาในปี 2539 โดยมีครอบครัวตระกูล "ชิดชอบ" ถือหุ้นอยู่ 80 เปอร์เซ็นต์ ใช้บ้านนายศักดิ์สยาม เป็นที่ตั้งของสำนักงาน และชี้ปมว่า นายศักดิ์สยาม ได้โอนหุ้นบริษัทแห่งนี้ออกไปทั้งหมดให้กับนายศุภวัฒน์ เป็นจำนวนเงิน 119 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2561 โดยไม่ปรากฏหลักฐานการชำระเงินใดๆ การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการขายกิจการออกไปจริงๆ หรือเป็นแค่เปลี่ยนชื่อ เพื่อหลีกเลี่ยงทางกฎหมาย

ซึ่งในข้อเท็จจริง ทางภาษีผมบอกแล้วว่า ถ้าสืบกันจริงๆ น่าจะเป็นจุดตายของนักการเมืองและพวกพ้อง ที่ร่วมกันคอร์รัปชัน คือระหว่างปี 2558-2563 เป็นช่วงที่นายศักดิ์สยาม โอนหุ้นให้นายศุภวัฒน์ นายศุภวัฒน์ แจ้งต่อกรมสรรพากรว่ามีรายได้เพียงเดือนละประมาณ 9,000 บาท หรือคิดเป็นเงินปีละ 100,000 บาท เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตอนหนึ่ง ในวันที่ 17 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ก็เลยระบุว่า สำหรับข้อเท็จจริงการบริจาคเงินของนายศุภวัฒน์ ให้กับพรรคภูมิใจไทย ในระหว่างที่ผู้ถูกร้อง เป็นเลขาธิการพรรค จากเอกสารพรรคภูมิใจไทย ปรากฏว่า นายศุภวัฒน์ บริจาคเงินหรือทรัพย์สิน ประโยชน์อื่นให้พรรค ในนามส่วนตัว มูลค่า 2,270,000 บาท และในปี 2562 บริจาคในนามห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญฯ เป็นเงิน 4 ล้าน 8 แสนบาท และจำนวนเงิน 6 ล้านบาท ในปี 2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลาภายหลังที่ผู้ถูกร้องโอนหุ้นให้นายศุภวัฒน์ ในปี 2561 แล้ว ซึ่งไม่ปรากฏว่าก่อนเวลานั้น ก่อนโอนหุ้น ทั้งนายศุภวัฒน์ และห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญฯ เคยบริจาคเงิน/ทรัพย์สินให้กับพรรคภูมิใจไทย หรือมีความเกี่ยวข้องใดๆ มาก่อนเลย


ประกอบกับที่นายศุภวัฒน์ เบิกความว่า ก่อนที่ตัวเองจะได้รับโอนหุ้น ตัวเองไม่เคยบริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย กรณีมีข้อพิรุธสงสัยว่านายศุภวัฒน์ และห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญฯ ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับพรรคภูมิใจไทย แต่ในช่วงเวลาที่ผู้ถูกร้องโอนหุ้นให้กับนายศุภวัฒน์ นั้น นายศุภวัฒน์ และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญฯ กลับบริจาคเงินและทรัพย์สินให้พรรคการเมืองที่ผู้ถูกร้องเป็นเลขาฯ พรรค

นอกจากนั้นแล้ว ตอนท้ายคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญยังระบุว่า ดังนั้น จากข้อพิรุธหลายประการดังกล่าว ประกอบกับพฤติกรรมแวดล้อมทั้งปวงของคดี จึงฟังได้ว่า นายศักดิ์สยาม และ นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ ตกลงนำเงินของนายศักดิ์สยาม ทำธุรกรรมต่างๆ ในนามนายศุภวัฒน์ โดยขั้นตอนสุดท้ายนำเงินนั้นมาซื้อกองทุนต่างๆ ในชื่อนายศุภวัฒน์ แล้วขายกองทุนดังกล่าวชำระค่าหุ้นให้กับนายศักดิ์สยาม เพราะฉะนั้นแล้ว เงิน 119.5 ล้านบาท ยังเป็นของนายศักดิ์สยาม จึงยังคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นใน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น โดยมีนายศุภวัฒน์ เป็นผู้ครอบครองหุ้น ดูแลกิจการ คือพูดง่ายๆ ว่าเป็นนอมินีมาตลอด

สรุปแบบเข้าใจง่ายๆ คือ ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อพิจารณาเอกสารหลักฐานต่างๆ แล้ว นายศุภวัฒน์ หรือ นายเอ เป็นนอมินีของนายศักดิ์สยาม เท่านั้น

นอกจากนี้แล้ว ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ในช่วงปี 2558-2562 ยังเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐอย่างน้อย 60 รายการ รวมเป็นวงเงินกว่า 1,200 ล้านบาท และนี่เองเป็นสาเหตุให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญฯ บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทยออกมามากมายเป็นจำนวนหลายสิบล้านบาท


ท่านผู้ชมครับ ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญฯ ซึ่งศักดิ์สยาม ชิดชอบ ใช้ลูกน้องของตัวเองเป็นนอมินีนั้น ท่านผู้ชมรู้ไหมว่ารับงานรัฐอื้อซ่า กว่า 4,800 ล้านบาท เมื่อผมไปสืบค้นข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ก็พบว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น เป็นคู่สัญญา จะพบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ห้างหุ้นส่วนจำกัดนี้ กวาดสัญญาภาครัฐไปถึง 332 รายการ คิดเป็นมูลค่าเงิน 4,800 ล้านบาท ผมยกตัวอย่าง 10 สัญญาในปี 2566 ตามกราฟิกที่ขึ้นบนหน้าจอ


สัญญาที่ 1 เลขที่สัญญา/มูลค่าตามสัญญา 16,979,000 บาท หน่วยงานจัดซื้อ คือ กรมทางหลวงชนบท ชื่อโครงการ "ประกวดราคาจ้าง" ผู้ชนะการเสนอราคา ก็คือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น วันที่ลงนาม 11 มกราคม 2566 วันสิ้นสุดสัญญา 11 เมษายน 2566

สัญญาที่ 2 มูลค่าตามสัญญา 14,980,000 บาท หน่วยงานจัดซื้อคือ กรมทางหลวงชนบท

สัญญาที่ 3 มูลค่าตามสัญญา 11,988,000 บาท หน่วยงานจัดซื้อก็คือ กรมทางหลวงชนบท ผู้ชนะการเสนอราคาก็คือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น

สัญญาที่ 4-5 ลักษณะเดียวกันหมด สิบกว่าล้านบาท และเป็นของหน่วยงานกรมทางหลวงชนบททั้งนั้น และบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น เป็นผู้ได้รับการประมูล ผู้ชนะในการเสนอราคา

ข้อสังเกต ทั้งหมดเป็นสัญญากับกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม รวม 10 สัญญา มูลค่า 157,200,000 บาท นอกจากนี้ พอเราย้อนไปดูระบบค้นหาข้อมูลโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ในเว็บไซต์ ACTAI ซึ่งทำโดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ก็จะพบว่าตั้งแต่ปี 2557 ที่มีการรัฐประหารเป็นต้นมา ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ของนายศักดิ์สยาม รับงานภาครัฐ คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมาพีกสุดในปี 2566 ปี 2557 รับมา 5 ล้านกว่าบาท ปี 2558 รับมา 110 ล้านบาท ปี 2559 รับ 155 ล้านบาท ปี 2560 รับ 323 ล้านบาท ปี 2561 รับ 426 ล้านบาท ปี 2562 รับ 458 ล้านบาท ปี 2563 รับ 558 ล้านบาท ปี 2564 รับ 591 ล้านบาท ปี 2565 รับ 520 ล้านบาท และปี 2566 รับ 654 ล้านบาท รวม 10 ปีแล้ว มูลค่าทั้งหมด 3,800 ล้านบาท


ที่สำคัญที่สุด ช่วงที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น รับงานหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม โกยโปรเจกต์รัฐอย่างเป็นล่ำเป็นสันเพิ่มขึ้นทุกปีนั้น นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ นั่งอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมด้วย ซึ่งถ้าคิดว่าในช่วงปี 2562-2566 ที่นายศักดิ์สยาม นั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ได้โครงการรัฐไป 174 โครงการ เป็นวงเงิน 2,783 ล้านบาท เพราะฉะนั้น จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงเท่ากับว่าเงินที่นายเอ ศุภวัฒน์ บริจาคให้พรรคภูมิใจไทย ก็คือเงินของนายศักดิ์สยาม นั่นเอง


ทีนี้เรามาดูโดมิโนศักดิ์สยาม ลามถึงภูมิใจไทย เป็นอย่างไรบ้าง

เมื่อศาลวินิจฉัยออกมาอย่างนี้แล้ว เท่ากับเงินที่พรรคภูมิใจไทยรับบริจาคจากนายเอ ศุภวัฒน์ และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น นั้น เป็นเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 72 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ระบุว่า "ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย" มาตรา 126 ในหมวดบทกำหนดโทษ ระบุว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 72 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น"

กรณีพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่ต่างจากกรณีพรรคอนาคตใหม่ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ หรือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรคตามคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในกรณีที่กู้เงินนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 191.2 ล้านบาท พร้อมเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคมาเป็นเวลา 10 ปี ดังนั้น เมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมีผลผูกพันต่อทุกองค์กรเป็นเช่นนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไป กกต. ต้องยื่นคำร้องจากกรณีพรรคภูมิใจไทยกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 72 ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย


เพราะฉะนั้นแล้ว วันนี้วิบากกรรมของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ จึงยังไม่จบ เพียงแค่พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี หรือถูกห้ามเป็นรัฐมนตรี 2 ปี หรือการที่เจ้าตัวต้องลาออกจาก สส. บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เท่านั้น แต่ต้องถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่คดีความและคดีอาญาอื่นๆ เช่น การแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ การจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน การฮั้วประมูลหรือสมยอมในการเสนอราคา การประพฤติมิชอบโดยที่ตัวเองดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี แล้วใช้บริษัทภายใต้การควบคุมของนอมินีตัวเองเข้าประมูลงานในกระทรวงและกรมที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตัวเอง

ท่านผู้ชมครับ พ.ร.บ. การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 ระบุว่า "ผู้ใดทำผิดในมาตรานี้จะต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 1 แสน ถึง 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" ซึ่งพบว่าในระหว่างที่นายศักดิ์สยาม ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ได้งานหน่วยงานรัฐจำนวนมากนับร้อยโครงการ ซึ่งเท่ากับศักดิ์สยาม เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐเสียเอง เข้าข่ายความผิดขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนตัว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 เช่นเดียวกันกับพรรคภูมิใจไทย


แม้ภายหลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล จะทำปากแข็ง โดยวันที่ 26 มกราคม 2567 เมื่อถูกถามว่ากังวลเรื่องยุบพรรคหรือไม่ นายอนุทิน บอกว่า เรื่องนี้ต้องแยกให้ชัดเจนระหว่างพรรคกับเรื่องส่วนตัว สิ่งที่พรรครับรู้ รับทราบในปัจจุบันนั้นไม่มีตรงไหนที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย พรรคก็ขับเคลื่อนดำเนินกิจการของพรรคอย่างถูกต้อง หากมีอะไรค่อยพิสูจน์ข้อกล่าวหา แต่ในข้อเท็จจริงปรากฏชัดดังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาแล้ว

นอกจากนี้ นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง และนายทะเบียนพรรคการเมือง ออกมาอธิบายในเรื่องนี้ ว่า โดยข้อกฎหมายเรื่องการเงินของพรรค อันเป็นเหตุให้ยุบพรรคนั้น ต้องมี 3 องค์ประกอบหลัก คือ 1. วิธีการที่พรรคได้รับเงินต้องเป็นไปตามกฎหมายกำหนด เช่น บริจาค หรือระดมทุน 2. ผู้ให้ที่เป็นบุคคลหรือนิติบุคคล ต้องมีคุณสมบัติและไม่เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายพรรคการเมือง 3. แหล่งที่มาของเงินต้องชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในส่วนแหล่งที่มา กกต. ไม่ได้เป็นผู้วินิจฉัย เป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่นจะต้องวินิจฉัย


ท่านผู้ชมครับ จากหลักฐานและคำชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญที่ปรากฏชัดแล้วว่า มีผลผูกพันธ์กับทุกองค์กร คือนายศักดิ์สยาม ใช้นอมินีถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญฯ แล้วมารับงานรัฐ จากนั้นก็นำเงินจากนอมินีและห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญฯ มาบริจาคเข้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งก็เท่ากับว่าเงินบริจาคที่นายเอ ศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ ซึ่งเป็นนอมินีนายศักดิ์สยาม และห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญฯ นายศักดิ์สยาม นั้น เข้าสู่องค์ประกอบหลักทั้ง 3 องค์ประกอบที่เลขาฯ กกต. ได้ระบุไว้ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่แน่ชัดว่าชะตากรรมของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ นอกจากมีโอกาสที่จะติดคุกแล้ว พรรคภูมิใจไทยก็มีโอกาสจะถูกยุบพรรคด้วย

หาก กกต. ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคภูมิใจไทย แล้วศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิด นายศักดิ์สยาม และ พรรคภูมิใจไทย ก็ไม่รอด อาจจะทำให้นายศักดิ์สยาม และ กรรมการบริหารพรรค ต้องเสี่ยงจบชีวิตทางการเมืองอย่างรวดเร็ว อาจจะถึงขั้นต้องถูกเว้นวรรคทางการเมืองเป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี

รายชื่อกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเซียนที่คร่ำหวอดในวงการเมือง อันดับ 1 อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค อันดับ 2 นายทรงศักดิ์ ทองศรี รองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 และเหรัญญิกพรรค อันดับ 3 นายบุญลือ ประเสริฐโสภา รองหัวหน้าพรรคคนที่ 2 อันดับ 4 นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รองหัวหน้าพรรคคนที่ 3 อันดับ 5 นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคคนที่ 4 อันดับ 6 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองหัวหน้าพรรคคนที่ 5 อันดับ 7 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค อันดับ 8 นายรังสิกร ทิมาตถุกะ รองเลขาธิการพรรค และ อันดับ 9 นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนและสมาชิกพรรค อันดับ 10 นายสรอรรถ กลิ่นประทุม กรรมการบริหารพรรคอีกคนหนึ่ง

ประเด็นศักดิ์สยาม อาจจะนำไปสู่การยุบพรรค เป็นเรื่องใหญ่ ทำให้บิ๊กเนมในพรรคตายเรียบทั้งแก๊ง จะส่งผลต่อภูมิทัศน์ทางการเมืองครั้งใหญ่ เพราะฉะนั้นแล้ว การที่จะเอารุ่นที่ 2 ขึ้นมารับผิดชอบแทนรุ่นที่ 1 ถ้าถูกยุบพรรคและต้องหมดสิทธิ์ไป ก็คงจะใช้เวลาอีกนานกว่าจะบ่มฟักให้กับรุ่นที่ 2 ดีขึ้น


แล้วถ้ามีการยุบพรรคภูมิใจไทย เรื่องก็ไม่สงบ ผมเชื่อว่าวันนี้ 71 เสียงในพรรคภูมิใจไทยนั้น พอที่จะอ่านเกมออกแล้ว เชื่อผมสิท่านผู้ชม ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย หรือพรรคพลังประชารัฐ กำลังติดต่อ สส. ในพรรคภูมิใจไทย ให้ไปอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว ถึงจะตั้งพรรคใหม่อย่างไรก็ตาม ผมยังเชื่อว่า สส. 71 คนนั้น จะไม่เหลือ อาจจะอยู่ได้ไม่เกิน 30 คน อีก 41 คน ต้องหายไป ไปเพิ่มเอาโควตาของพรรคพลังประชารัฐ และเอาตามโควตาของพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะทำให้บทบาทของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งตั้งขึ้นมาในนามพรรคใหม่นั้น ไม่ได้ดีเด่นไปกว่าพรรคประชาธิปัตย์เลย อันนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนที่สุด

แต่ผมขอฟันธงไว้ตรงนี้เลย วิธีการของคุณเนวิน ชิดชอบ เจ้าของพรรคภูมิใจไทยที่แท้จริง ก็จะงัดเกมถนัดออกมาเล่น คือยื้อเวลาไปเรื่อยๆ ถ่วงกระบวนการฟ้องร้องคดีน้องชายตัวเอง การยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย การตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคออกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหาทางออกที่สวยที่สุดให้กับตัวเองและพวกพ้องได้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งพรรคอะไหล่ขึ้นมาทดแทน หรือควบรวมพรรคอื่น รวมทั้งบ่มเพาะบุคลากรแถว 2-3 ให้พร้อมขึ้นมายืนแถวหน้าเสียก่อน ซึ่งไม่รู้ว่าจะสำเร็จเสร็จสิ้นเมื่อไร

ทั้งหมดนี้ก็คือการวิเคราะห์เจาะลึกเรื่องกรณีศักดิ์สยาม ที่มีหลายมิติที่ยังไม่ค่อยมีใครพูดออกมาเท่าไรนัก เพราะฉะนั้นแล้ว ภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิทัศน์ของการเมืองไทยกำลังจะเปลี่ยนไปอีกแล้ว ผมเชื่อว่าจะยื้ออย่างไรก็ตาม ภายในปี 2567 กกต. ต้องมีมติแล้ว ว่ากรณีของศักดิ์สยาม จะมีผลต่อการที่จะต้องถูกยุบพรรค และกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด 10 คน ที่ผมเอ่ยชื่อไปนั้น จะต้องหลุดพ้นจากวงการเมืองไปเป็นเวลา 10 ปี หรือเปล่า ถ้าจะยื้อ อย่างไรก็ยื้อได้ไม่เกินสิ้นปีนี้ เพราะว่าพรรคภูมิใจไทยนั้นก็มีศัตรูอยู่เยอะพอสมควร ก็คงจะต้องมีคนไปบี้ ไปจี้ ไปกดดันให้ กกต. รีบทำหน้าที่ที่เที่ยงตรงและเที่ยงธรรมเสียที

เบื้องลึกเกมจับ "พี่ศรี" กระทรวงเกษตรฯ แหล่งรวมทุจริต

ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้เป็นข่าวใหญ่มาก ตั้งแต่ช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วมาจนถึงสัปดาห์นี้ มันเป็นภาพสะท้อนและส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสถานการณ์การเมืองและสังคมไทย เนื่องจากประเทศไทยนั้น อย่างที่เรารับรู้ รับทราบกัน รายการนี้นำเสนอมาตลอด คือถูกกัดกินด้วยการคอร์รัปชันและทุจริตประพฤติมิชอบ มีตัวการสำคัญก็คือนักธุรกิจ และบรรดาข้าราชการ นักการเมือง ข้าราชการประจำ รวมถึงข้าราชการการเมืองด้วย ที่รวมหัวกันทำตัวเป็นกาฝาก กัดกินประเทศชาติและประชาชนอย่างไม่หยุดไม่หย่อน


ภาวการณ์แบบนี้มันก็เลยเกิดอาชีพ "นักร้อง" ขึ้นมา ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาปรากฏเป็นที่รู้จักมักจี่ของประชาชน สื่อมวลชน สังคมไทยหลายคน เช่น อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ทนายตั้ม-ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ วีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน แจ๊ค-วัชระ เพชรทอง อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์ แต่ในบรรดานักร้องทั้งหมดทั้งมวลไม่มีใครที่เกินคนที่ชื่อ "ศรีสุวรรณ จรรยา"

ศรีสุวรรณ จรรยา ร้องเรียนมาก บ่อยครั้ง จนกระทั่งในรอบ 1 ปี มีคนดักทำร้ายถึง 2 ครั้ง เฉลี่ยแล้วในปี 2565 ศรีสุวรรณ จรรยา ร้องเรียนเรื่องต่างๆ รวม 57 ครั้ง สัปดาห์ละมากกว่า 1 ครั้ง


วันที่ถูกทุบตีชกต่อยนั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในวันที่ 18 ตุลาคม 2565 โดยนายวีรวิทย์ รุ่งเรืองศิริผล อายุ 62 ปี ชกต่อยนายศรีสุวรรณ บริเวณใต้ตึกกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ระหว่างที่นายศรีสุวรรณ ยื่นหนังสือร้องเรียน บก.ปอท. ให้ตรวจสอบ โน้ส-อุดม แต้พานิช กรณีเนื้อหาใน "เดี่ยว 13" สนับสนุนการชุมนุม


ครั้งที่สองที่นายศรีสุวรรณ โดนทำร้ายร่างกาย คือวันที่ 11 พฤษภาคม 2566 ถูกนายทศพล ธนานนท์โสภณกุล อายุ 67 ปี ก่อเหตุตบหน้านายศรีสุวรรณ หลังจากเข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง กรณีร้องสอบนโยบายเงินดิจิทัลพรรคเพื่อไทย โดยผู้ก่อเหตุอ้างว่า การร้องเรียนของนายศรีสุวรรณ ในเรื่องต่างๆ นั้น เป็นการขัดขวางการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย


จริงๆ แล้ว ถ้าท่านผู้ชมจำได้ เรื่องพฤติกรรมของศรีสุวรรณ จรรยา ผมเคยเตือนไปตรงๆ แล้วครั้งหนึ่ง ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 140 เรื่อง "ชัชชาติ VS ศรีสุวรรณ ความพอดีของนักร้อง อยู่ตรงไหน ?" ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2565 หรือเมื่อกว่า 1 ปี 7 เดือนที่แล้ว โดยตอนนั้นศรีสุวรรณ ไปยื่นร้องเรื่องให้ กกต. ตรวจสอบคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. กรณีชักชวนให้คนเก็บป้ายหาเสียงมาทำเป็นกระเป๋า พร้อมกับโพสต์ยั่วยุแฟนคลับคุณชัชชาติ ว่าเป็นข้อความที่ไม่เหมาะสม ตอนนั้นผมพูดว่าอย่างไร ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า ?


ผมเตือนคุณศรีสุวรรณ ว่า "สถานการณ์บ้านนี้เมืองนี้ยังจำเป็นต้องมีนักร้องมืออาชีพอย่างศรีสุวรรณ จรรยา แต่การร้องผมแนะนำว่าต้องดูความเหมาะสมเป็นกรณีๆ ไป ไม่ใช่สักแต่ว่าตื่นเช้ามาเปิดหน้าหนังสือพิมพ์ แล้วเขียนจดหมายไปร้องเรียนเรื่องโน้นเรื่องนี้ โดยไม่มีข้อมูลอะไรมากไปกว่าข้อมูลข่าว และนี่คือสิ่งที่ศรีสุวรรณ จรรยา ทำทุกวัน เปิดหนังสือพิมพ์อ่าน มีอะไรเป็นประเด็นก็ขีดเส้นใต้ เอาประเด็นตรงนั้นมาร้อง ที่สำคัญคือ เราต้องดูข้อมูลข้อเท็จจริง พิจารณาถึงผลได้ผลเสียด้วย"

ทีนี้ เมื่อคุณศรีสุวรรณ ไม่ยอมฟังสิ่งที่ผมแนะนำและตักเตือน ยังไม่ปรับเปลี่ยนวิธี พฤติกรรม ทั้งๆ ที่เจ้าตัวเพิ่งจะเข้าทำพิธีอุปสมบทที่วัดป่ามะไฟ จังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 เป็นเวลา 15 วัน เพิ่งสึกออกมาเมื่อต้นปีนี้เอง พอสึกออกมาได้ก็เกิดเรื่องทันที


วันศุกร์ที่แล้ว 26 มกราคม 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้จับกุมผู้ต้องหาร่วมขบวนการข่มขู่เรียกเงินจากเจ้าหน้าที่รัฐ เบื้องต้นผู้ต้องหามี 3 คน คือ (1) ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน (2) นายยศวริศ ชูกล่อม หรือมีฉายาว่า เจ๋ง ดอกจิก สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (3) น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ หรือ การ์ตูน อดีตผู้สมัคร สส. อุตรดิตถ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ และเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมกับนายเจ๋ง ดอกจิก


ความผิดคือ ข่มขู่เรียกรับเงินจากนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว จำนวน 3 ล้านบาท ก่อนจะเจรจาต่อรองให้ลดเหลือ 1 ล้าน 5 แสนบาท แลกกับการยุติเรื่องร้องเรียนโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการปลูกข้าว และโครงการปรับปรุงการผลิตสำหรับผู้ปลูกข้าว อ้างว่าพบข้อพิรุธที่ส่อไปในทางทุจริต


หลังจากเจ้าหน้าที่ใช้เวลาสอบปากคำศรีสุวรรณ และ เจ๋ง ดอกจิก เป็นเวลานานเกือบ 9 ชั่วโมง ศรีสุวรรณ แน่นอนที่สุด ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ก่อนวางเงินสด 4 แสนบาท เพื่อขอประกันตัวออกไป

นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์
อย่างไรก็ดี หลังจากการบุกจับนายศรีสุวรรณ และพวก ก็มีนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ได้ออกมาเปิดเผยว่า นายศรีสุวรรณ จรรยา และ เจ๋ง ดอกจิก มายื่นหนังสือร้องเรียนต่อกรรมาธิการติดตามงบฯ ในวันที่ 20 ธันวาคม 2566 เรื่อง การขอให้ตรวจสอบการใช้งบฯ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร มาแล้ว แต่เรื่องของกรมฝนหลวงฯ ยังไม่ถูกบรรจุเป็นวาระพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ เนื่องจากยังอยู่ในระยะเวลาของการตรวจสอบหาข้อมูลข้อเท็จจริง


ทางฝั่งตำรวจเองก็ออกมาให้ข้อมูลเรื่องนี้ ยืนยันว่ากรณีศรีสุวรรณ กับ เจ๋ง ดอกจิก ได้กระทำกันเป็นขบวนการ คือนักรีดทรัพย์ที่แอบแฝงมาในคราบ "นักร้องเรียน"

วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2567 ฝั่งตำรวจ คือ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า พฤติการณ์ของขบวนการนายศรีสุวรรณ และพวก ชัดเจนว่ามีการวางแผนทำกันเป็นขั้นตอน ทั้งคนชี้เป้า คนเคลียร์ คนรับเงิน และยังพบผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอีกหลายคน ซึ่งจะต้องเรียกเข้ามาสอบปากคำ โดยมีคนหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นคนให้ข้อมูลกับระดับผู้สั่งการในขบวนการดังกล่าว มีการร้องเรียนในที่ต่างๆ และยังมีข้อมูลว่า หน่วยงานอื่นที่ถูกเรียกรับทรัพย์จากกลุ่มดังกล่าวในระดับร้อยล้านบาท แต่ยังไม่มีการจ่ายเงิน


พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า เชื่อว่าน่าจะมีผู้สั่งการในระดับสูงขึ้นไปอีก นอกเหนือจากผู้ต้องหา 3 คน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจนก่อน ยืนยันว่า ตำรวจยังต้องการตัวปลาใหญ่กว่านี้ แต่ไม่ขอระบุว่าเป็นนักการเมืองหรือไม่

ประเด็นครับท่านผู้ชม พฤติกรรมการข่มขู่รีดทรัพย์โดยใช้อาชีพ "นักร้อง" ของตัวเองเป็นเครื่องมือ ของศรีสุวรรณ กับพรรคพวกนั้น ต้องเป็นเวรกรรมที่แต่ละคนต้องรับผิดชอบกันไป ว่ากันไปตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง แต่ตอนนี้เรื่องยังไม่จบ ยังมีข้อมูลเชิงเปิดเผยและเชิงลึก ที่ทยอยถูกคายออกมาแต่ละฝ่าย โดยผมและทีมงานที่ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น พบเห็นว่าเรื่องนี้มีความผิดปกติ น่าเคลือบแคลงสงสัยในหลายๆ ประเด็น


ข้อแรก ทั้งนี้ทั้งนั้นงานนี้ไม่เพียงแต่ฝั่งศรีสุวรรณ ต้องเข้าสู่กระบวนการทางคดีความเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่ฝั่งข้าราชการเอง โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำลังถูกกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นกรมฝนหลวงฯ หรือกรมการข้าว หรืออื่นๆ ก็ต้องถูกสอบสวนข้อเท็จจริงด้วย หากผิดจริงต้องรับโทษ ไม่ใช่แค่สอบกันแค่ในกรม สอบกันในกระทรวง แล้วก็บอกว่าจบแล้ว โปร่งใส บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรในกอไผ่ ผิดปกติมาก ท่านผู้ชมครับ

ข้อที่สอง ที่สำคัญ ตามข่าวที่แพร่สะพัดยังมีการลือว่า มี "นายหมู" ซึ่งเป็นคนใกล้ชิด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นั้น เป็นคนพาภรรยาของอธิบดีกรมการข้าว นำเงินไปมอบให้กับนายศรีสุวรรณ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 โดยอ้างว่าต้องการให้การร้องเรียนนั้นยุติลง และไม่ทำให้เสื่อมเสียชื่อต่อองค์กร ซึ่งเรื่องนี้ในเวลาต่อมาอธิบดีกรมการข้าว พยายามออกมาปฏิเสธเสียงแข็ง ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง


อธิบดีกรมการข้าว ชี้แจงกรณีมีการพาดพิง "นายหมู" ที่ปรึกษารัรฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าเป็นผู้พาภรรยาอธิบดีกรมการข้าวนำเงินไปมอบให้นายศรีสุวรรณ ยืนยันว่า ตนเองและภรรยาได้รวบรวมข้อมูลมานานพอสมควรก่อนแจ้งความดำเนินคดี โดยทีมงานที่ปรึกษารัฐมนตรีไม่มีใครทราบเรื่องนี้สักคน จนวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ด้วยความรำคาญใจ ตัวเองและภรรยาจึงชวน "นายหมู" ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ธรรมนัส ไปหานายศรีสุวรรณ ที่บ้านด้วย เพื่อให้เป็นพยานว่าไม่ได้จ่ายเงินและไม่ได้คุยเรื่องเคลียร์เงิน

จริงๆ แล้วในข้อมูลที่ผมได้มานั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำเรื่องนี้ให้ข้อมูลมาว่า ครั้งนั้นที่ไป อธิบดีมีการจ่ายเงินไปแล้ว 5 แสนบาท โดยอธิบดีบอกว่า จากนั้นศรีสุวรรณ ก็ได้แถลงข่าวร้องเรียนเรื่องฝนหลวงที่สภาฯ และไม่ได้พบกันอีก มีเพียงภรรยาที่ไปพบ ซึ่งการให้เงินนายศรีสุวรรณ เป็นการล่อซื้อ ที่ให้ไปหลายครั้งเพื่อเป็นการล่อซื้อทั้งสิ้น โดยทุกครั้งได้หารือกับตำรวจ ทั้งที่ด้วยความคับแค้นเจ็บใจ ความที่ตัวเองเป็นคนหัวร้อน ตัวเองกับภรรยาจึงวางแผนเพื่อไม่ให้รัฐมนตรีต้องเดือดร้อน จึงจ้างทนายความมาสู้คดี ตายเป็นตาย ซึ่งผลการสอบสวนก็ชี้ชัดว่าตนเองไม่ได้ทำผิด หลังนายศรีสุวรรณ ถูกจับ ตนเองโทรศัพท์ไปแจ้งให้รัฐมนตรีทราบ และกราบขอโทษในเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งรัฐมนตรีก็ให้กำลังใจตนเอง บอกว่าจะต้องตั้งคณะกรรมการสอบอีกครั้ง เราขอโทษ "นาย" ที่ไม่ได้บอกก่อน เพราะกลัวทีมงาน "นาย" เดือดร้อน


นั่นคือสิ่งที่อธิบดีกรมการข้าว เรียกรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า "นาย" ซึ่งผมไม่เห็นด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องศักดิ์ศรีของข้าราชการคนหนึ่ง ทั้งกับตัวเอง กับครอบครัว ที่ต้องมาเผชิญกับเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ข้าราชการ ชื่อก็บอกแล้วว่า เป็น "ข้า ราชการ" เป็น "ข้า" รับใช้ "ราชการ"

"นาย" ของอธิบดีกรมการข้าว คือ ผม และท่านผู้ชม เราเป็นผู้เสียภาษีอากรให้ แต่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หรือรัฐมนตรีคนไหนก็ตาม ที่ดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เขาไม่ใช่ "นาย" ของคุณ เขาเป็นผู้บังคับบัญชาในภาพรวม และตำแหน่งที่คุณควรจะเรียกเขา คือ "ท่านรัฐมนตรี" ไม่ใช่ "นาย" คำว่า "นาย" ของคุณ ที่คุณเรียกเขา แสดงว่าความสัมพันธ์ของคุณกับรัฐมนตรีฯ ธรรมนัส ลึกซึ้งมาก และที่ผมรู้มา คุณกับเฉลิมชัย ศรีอ่อน ก็โคตรจะลึกซึ้งเช่นกัน


เพราะฉะนั้น จะเรื่องอะไรก็ตาม ขอให้คุณดำรงศักดิ์ศรีของความเป็นข้าราชการ ถ้าคุณเป็นข้าราชการที่สุจริต ไม่เคยทำงานให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ในการหาเศษหาเลยแล้วส่งเข้าหาตัวรัฐมนตรีแล้ว คุณต้องเรียกเขาแค่ "ท่านรัฐมนตรี" ก็พอ นี่คุณเรียก "นาย" เลย "นาย" คือคนที่คุณต้องไปรับใช้เขาทุกเรื่อง ไม่ว่าจะถูกหรือผิด คุณระมัดระวังคำพูดของคุณหน่อยก็แล้วกัน

ในวันเดียวกันนั้น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กลับให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องนี้กระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้เสียหาย ตนเป็นผู้บังคับบัญชา และสนิทสนมกับอธิบดีกรมการข้าว รวมถึงภรรยา ทุกเรื่องที่ผู้ใต้บังคับบัญชามีปัญหา จะมาปรับทุกข์กับตนตั้งแต่ต้นเรื่องจนปลายเรื่อง ตนรับรู้มาตลอด แต่ไม่อยากพูดมาก ไม่เกิดประโยชน์ เพราะจะเป็นการแทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่ ย้ำว่า สารตั้งต้นในการจับกุมไม่ได้เริ่มจากพนักงานสอบสวน แต่เริ่มจากการมาปรับทุกข์กับตน จึงแนะนำให้ปรึกษาทีมกฎหมาย

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมเอะใจบ้างไหม ? เรื่องศรีสุวรรณ จรรยา คงไม่ต้องเถียงกันแล้ว ตอนนี้ตายสนิท กว่าจะสู้คดีได้ กว่าจะออกมาได้ อีกนาน แต่ข้อสังเกตผมมีหลายเรื่อง มีคำถามชวนสงสัย หนึ่ง ทำไมในการให้สัมภาษณ์วันเดียวกัน อธิบดีกรมการข้าว บอกว่าทำเองกับภรรยาทั้งหมด เรื่องนี้ "นาย" คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ไม่เกี่ยวข้อง ไม่รับรู้ พอศรีสุวรรณ ถูกจับ เขาถึงไปแจ้งข่าว ขณะเดียวกัน ร.อ.ธรรมนัส กลับบอกว่าตัวเองรับรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นจนปลาย ย้อนแย้งกันไหม ท่านผู้ชม ? แถมธรรมนัส ยังบอกว่าตัวเองแนะนำให้อธิบดีไปปรึกษาฝ่ายกฎหมายเอง แต่อธิบดีบอกว่า เรื่องนี้ "นาย" (ก็คือธรรมนัส) ไม่เกี่ยวข้อง ไม่รับรู้ พอศรีสุวรรณ ถูกจับก็ไปแจ้งข่าว แสดงว่าปรึกษาหารือกันแล้ว กำหนดตัวละคร กำหนดบทที่เล่นนั้น มันไม่ตรงตามบทละคร ไม่ตรงต่อข้อเท็จจริง


สอง ประเด็นทุจริตต่างๆ ที่ศรีสุวรรณ ยื่น และกำลังยื่นสอบ ทั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กรมการข้าว ท่านผู้ชมคิดเหมือนผมไหมว่า ป.ป.ช. เองต้องเข้าไปสอบให้กระจ่าง ถ้าทำผิดต้องรับโทษ ที่อธิบดีกรมการข้าวบอกว่ามีการตั้งคณะกรรมการสอบ และผมไม่ผิด ถามว่าเป็นการสอบในกระทรวงหรือเปล่า ? ถ้าไม่ผิด ไม่ผิดอย่างไร เพราะเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว ถ้ามีให้กระทรวงต้นสังกัดเป็นคนสอบแล้ว ก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่เป็นปกติธรรมดา

ป.ป.ช. จริงๆ แล้วผิดปกติมาก ที่คุณทำหน้าที่ไปจับ ธรรมดา ป.ป.ช. ไม่ได้มีหน้าที่ทำสิ่งนี้นะ มันเป็นกระบวนการหรือเปล่าที่จะไปเตะตัดขานักการเมืองบางคน จับศรีสุวรรณ แล้ว ต้องไปดำเนินการตรวจสอบอธิบดีกรมการข้าว ในเรื่องอื่นๆ ให้ครบถ้วน ให้กระจ่างแจ้งด้วยกันทั้งสองฝ่าย

สาม นอกจากนี้ ผมขอเตือนท่านอธิบดีกรมการข้าวเรื่องหนึ่ง ผมพูดไปแล้วนะครับ คุณเป็นระดับอธิบดี เวลาสัมภาษณ์ออกสื่อ คุณเรียกธรรมนัส พรหมเผ่า ว่า "นาย" ทุกคำ ผมเตือนอีกครั้งนะครับ พูดซ้ำไปแล้ว รัฐมนตรีมีมาแล้วจากไป แต่เจ้านายที่แท้จริงของคุณคือประชาชน

นอกจากนั้นแล้ว ระหว่างที่ผมฟังอธิบดีกรมการข้าวแถลงข่าว ผมเกือบเชื่อแล้ว แต่อุแม่เจ้า! ผมเหลือบไปเห็นคุณวรัญชัย โชคชนะ ยืนเป็นแบ็กกราวนด์ข้าวหลัง ทำให้ผมฉุกคิดได้หน่อยว่า เวลาคุณวรัญชัย ไปยืนหลังใครก็ตาม เรื่องนี้น่าจะมีกลิ่นตุๆ สุดท้ายแล้วหลายเรื่องก็จบไม่ค่อยดี ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า คุณวรัญชัย ชอบไปยืนข้างหลังคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตอนแถลงข่าวอยู่เป็นประจำ


ท่านผู้ชมครับ เรื่องศรีสุวรรณ จรรยา กับ อธิบดีกรมการข้าว ไม่ได้มีนัยเฉพาะในเรื่องกระบวนการร้องเรียนตบทรัพย์ เรียกทรัพย์จากข้าราชการที่มีจุดอ่อนเรื่องข้อครหาการทุจริตในการดำเนินโครงการต่างๆ เท่านั้น แต่ในทางการเมืองแล้วมีประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย คำถามมีอยู่ว่า ถ้าผู้ต้องหาทั้ง 3 คน มีความผิดจริง ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ ?


เบื้องต้น คนที่ค่อนข้างจะโชคร้ายเพราะโดนขี้กระเด็นมาโดน คือ คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้รับผลกระทบทางการเมืองอย่างเต็มๆ อย่างแน่นอน


โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของ เจ๋ง ดอกจิก นอกจากเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว ยังเคยเป็นหนึ่งในคณะทำงานเขตราชการที่ 11 ด้วยเช่นเดียวกันกับ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ หรือ การ์ตูน คุณพีระพันธุ์ เพิ่งตั้งเป็นคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 เพิ่มเติม อยู่ทีมเดียวกับ เจ๋ง ดอกจิก ลงนามเมื่อวันที่ 26 มกราคม คือวันที่เกิดเหตุตำรวจรวบตัวคนทั้งสองนั่นเอง ล่าสุด หลังเกิดเรื่องดังกล่าว ก็มีการยกเลิกคำสั่ง


เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณเจ๋ง ดอกจิก ไม่เกี่ยวกับพรรค และไม่เกี่ยวกับคุณพีระพันธุ์ เลยเพราะว่า เจ๋ง ดอกจิก เข้ามาร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เพราะว่าเป็นเพื่อนสนิทของ "แรมโบ้" ซึ่งแรมโบ้ ก็คือทีมงานลุงตู่

อีกประการหนึ่ง เป็นที่รู้กันว่า ร.อ.ธรรมนัส นั้น ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นั้น ก็เหมือนกับเป็นตัวตายตัวแทนของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำการเมืองต่อไป การจะทำเรื่องนี้แล้วพาดพิงถึงคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ย่อมกระทบไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วย เขาเรียกว่าความแค้นนี้เป็นแค้นสั่งฟ้า ก็เลยตกเป็นเป้าโจมตี

เรื่องนี้จะมีเกี่ยวพันกับสภาวะทางการเมืองไทย จะเชื่อมโยงไปอีกหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นกรณีพรรคก้าวไกล คุณศักดิ์สยาม พรรคภูมิใจไทย คดีหมูเถื่อน ตีนไก่เถื่อน ที่เชื่อมโยงและเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์

กล่าวโดยสรุป นี่คือบทสรุปที่สำคัญมาก ศรีสุวรรณ ติดกับดักเพราะ เจ๋ง ดอกจิก รับงานมาจากคุณธรรมนัส พรหมเผ่า วงในทราบกันดีว่าทั้งคู่ คุณธรรมนัส กับ เจ๋ง ดอกจิก สนิทสนมกันมาก สนิทกันมานานแล้ว


ส่วนเมื่อถามว่าตัวอธิบดีกรมการข้าวนั้นบริสุทธิ์หรือเปล่า ผมเปรียบเทียบอย่างนี้ให้ดีกว่า ผมไม่ตอบคำถามนี้ แต่ผมจะเล่าเรื่องให้ฟัง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าผมทำงานสื่อมวลชนมาตั้งแต่ผมอายุก่อน 30 ปี ปีนี้ 76 สี่สิบกว่าปีแล้วที่ผมอยู่ในแวดวงนี้ ผมผ่านมาหมดแล้ว สำหรับผมแล้ว กระทรวงเกษตรฯ ถือเป็นกระทรวงเกรด A เป็นแหล่งทำมาหากินของบรรดานักการเมืองอยู่แล้ว ถือว่าเป็นกระทรวงที่มีปัญหาการคอร์รัปชันมากที่สุด ทุกยุคทุกสมัย แตะที่ไหนเป็นเงินทั้งนั้น ท่านผู้ชมไม่สังเกตหรือว่านักการเมืองแข่งกันที่จะมานั่งเป็นเสนาบดีกระทรวงเกษตรฯ จำได้ไหม คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน อยากมาจนตัวสั่น คุณธรรมนัส พรหมเผ่า เคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ มาก่อน ย่อมรู้แผนที่ เส้นทางภายในกระทรวงเกษตรฯ ดี ว่ามีอะไรบ้าง จุดใดบ้าง รู้เส้นสนกลในดี


ท่านผู้ชมครับ นักการเมืองถ้าเดินเข้าไปในกระทรวงเกษตรฯ แล้วจะเห็นแต่เงินเห็นแต่ทอง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตำแหน่งแห่งที่ อธิบดีในกระทรวงเกษตรฯ นั้น บางครั้งบางครั้ง อธิบดีกรมชลประทานจะได้ตำแหน่งขึ้นมา ผมไม่พูดถึงยุคไหนสมัยไหน และไม่พูดถึงคนไหนนะครับ แต่เป็นข้อเท็จจริงว่า กรมชลประทานนั้น อธิบดีมีงบประมาณที่จะต้องดูแลในการสร้างเขื่อนเป็นหลายหมื่นล้าน จนถึงแสนล้าน และการก่อสร้างนั้นมีเปอร์เซ็นต์เยอะมาก บางคนยอมเสียเงินถึง 1-2 พันล้านบาท เพื่อดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมชลประทาน นี่เป็นข้อเท็จจริง

อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กรมวิชาการเกษตรนี่โปรเจกต์เยอะมาก เงินทองมีเยอะแยะไปหมด อธิบดีกรมฝนหลวงฯ กรมฝนหลวงฯ นี่คอร์รัปชันกันทุกเม็ด ทุกเม็ดเลย การจัดซื้อจัดจ้าง การจัดซื้อเครื่องบิน นักบิน โน่นนี่นั่น เน่าเฟะจนไม่รู้จะเน่าอย่างไร

ยังมีอีกหลายกรม กรมปศุสัตว์ไง ท่านผู้ชมจำไม่ได้หรือ หมูเถื่อน ตีนไก่เถื่อน ฝีมือกรมปศุสัตว์ทั้งนั้น จนวันนี้อธิบดีกรมปศุสัตว์ก็ยังอยู่รอดปลอดภัย ไม่เดือดร้อน อาจจะเป็นเพราะว่ามี "นาย" อย่างเช่นเฉลิมชัย ศรีอ่อน และ "นาย" อย่างเช่นธรรมนัส พรหมเผ่า ที่มารับไม้ต่อไป อธิบดีกรมประมงล่ะ เช่นกัน

หลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการกล้ายาง โครงการโคล้านตัว โครงการจำนำข้าว มาจากกระทรวงเกษตรฯ ทั้งนั้น ถึงแม้จะไม่ได้ใช้งบประมาณของกระทรวงเกษตรฯ แต่ต้องผ่านการเห็นชอบจากหน่วยงานภายในกระทรวงเกษตรฯ ที่เกี่ยวข้อง ล่าสุด มหากาพย์หมูเถื่อน ไก่เถื่อน ตีนไก่เถื่อน มีผลประโยชน์เป็นแสนล้าน ท่านผู้ชมสังเกตให้ดีๆ หมูเถื่อน ไก่เถื่อน เห็นข่าวมาตั้งหลายเดือน เป็นปีแล้ว และผมก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าเป็นการบูรณาโกงระหว่าง 3 กรม คือ กรมศุลกากร สังกัดกระทรวงการคลัง กรมประมง และกรมปศุสัตว์ ซึ่งสังกัดอยู่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์


ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่า ถ้ากรมปศุสัตว์ไม่เล่นด้วย กรมประมงไม่เล่นด้วย กรมศุลกากรไม่เล่นด้วย มันจะมีหมูเถื่อน ไก่เถื่อน ได้อย่างไร จนวันนี้อธิบดี 3 กรม ยังไม่ได้ถูกตรวจสอบอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือประเทศไทย ระยำไหมท่านผู้ชม

ผมกล้าฟันธงเลย ผมยังหาไมม่เจอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ที่มีความซื่อสัตย์ ไม่คดโกง ไม่ทุจริต ไม่คอร์รัปชัน ผมยืนยันคำนี้

พิจารณาจากอดีตถึงปัจจุบันแล้ว ตำแหน่งอธิบดีต่างๆ ในกระทรวงเกษตรฯ ไม่ได้มากันง่ายๆ ต้องพึ่งบุญนักการเมือง แล้วพึ่งบุญนักการเมือง อะไรพึ่งดีที่สุดล่ะ ? ถ้าไม่ใช่การให้เงินใต้โต๊ะ อิงแอบผลประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น

อธิบดีบางอธิบดี อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ท่านผู้ชมรู้ไหม พ่อค้าเต๊ยกันเลย ลงขันกันให้รัฐมนตรีเพื่อช่วยแต่งตั้งคนของตัวเองเป็นอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เพื่ออะไร ? เพื่อสั่งของ สินค้าจากกลุ่มพ่อค้าพวกนี้


เมื่อมีการเปลี่ยนยุคของกระทรวงเกษตรฯ จากนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน พรรคประชาธิปัตย์ มาเป็น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พรรคพลังประชารัฐ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าช่วงที่เฉลิมชัย อยู่ ก็จะมีข้าราชการบางคน อย่าให้ผมเอ่ยชื่อเลย เดาๆ กันไปเถอะ ผมพูดมาทั้งรายการ เดินหน้าเก็บตังค์โครงการต่างๆ แล้วส่งต่อให้นักการเมืองบางคน เขาเรียกว่า "เงินไหลตามท่อ" พอเปลี่ยนรัฐมนตรีจาก เฉลิมชัย มาเป็นธรรมนัส พรหมเผ่า โครงการหลายโครงการมันไม่สิ้นสุด มันจะได้ก็ต่อเมื่อใช้เวลาอีกสักพักหนึ่ง มันก็เลยมีปรากฏการณ์ที่ศัพท์เขาเรียกว่า "เงินค้างท่อ"

เงินค้างท่อ เป็นการปฏิบัติการหลอกกันไปล่อกันมา คนที่มีอำนาจในกระทรวงเกษตรฯ สมัยก่อนก็ต้องบอกคนของตัวเอง เฮ้ย เดี๋ยวงานนี้จบแล้วมึงเอาเงินมาให้กูนะ ครับนาย เดี๋ยวผมส่งให้ คนที่เข้ามาใหม่ก็บอกว่า เฮ้ย เงินค้างท่อเรื่องนี้มึงเอามาให้กู อย่าเอาไปให้คนเก่านะ ครับนาย ท่านผู้ชมเห็นหรือยังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นความขัดแย้งในเรื่องคนดี-คนเลว มันเป็นความโลภของนักการเมือง และความงี่เง่า ความเห็นแก่ตัว ความมีกิเลสของข้าราชการประจำที่ต้องการลาภยศสรรเสริญ วิ่งเข้าไปรับใช้ ผมจะเก็บเงินท่านให้ตรงนี้ ผมจะเอาโครงการตรงนี้มา กรมนี้มา ได้ส่วนแบ่งเท่าไร ผมเป็นนายหน้า หน้าเสื่อ นี่ล่ะคือ "เงินไหลตามท่อ"

ท่านผู้ชมครับ ผมเชื่อว่าท่านผู้ชมฟังผมมาแล้วท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมแน่นอน ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น มันคอร์รัปชันเยอะที่สุด สังเกตไหมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา การประชุมคณะรัฐมนตรี นายกฯ เศรษฐา ถึงกับหลุดปากออกมาเลยว่า ยังอยู่ที่กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงเดียวที่ไม่ยอมเขียนว่ารายละเอียดโครงการในกระทรวงเกษตรฯ มีอะไรบ้าง กลัวจะเปิดเผยไปไง ว่ามีเงินอยู่ตรงไหนบ้าง ที่ใด อย่างไร

ท่านผู้ชมครับ เราจะล้างบางนักการเมืองชั่วๆ ระยำตำบอนพวกนี้ และข้าราชการเลวๆ ตัวเหี้ยทั้งหลายที่สนับสนุนให้นักการเมือง แล้วหวังตำแหน่งแห่งที่ อธิบดีกรมการข้าวคนนี้ได้รับการแต่งตั้งจากเฉลิมชัย ศรีอ่อน ให้ขึ้นมาเป็นอธิบดี แล้วภรรยาก็เป็นเจ้าของฟาร์มหมู ฟาร์มไก่ ก็ไปคิดดูเอาเองก็แล้วกัน ที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ก็คือปัญหาตีนไก่ กับหมูเถื่อน ไม่ใช่หรือ ผมไม่ได้กล่าวหาว่าภรรยาของท่านอธิบดีเกี่ยวข้อง แต่น่าจะให้ดีเอสไอ ไหนๆ ก็ทำเรื่องนี้แล้ว ตรวจสอบซ้ำลงไปได้ไหม ให้ละเอียด เพือความโปร่งใส เพื่อความแจ้งจางปาง ยืนยันในความซื่อสัตย์สุจริตกันฉิบหายเลย

สำหรับศรีสุวรรณ นั้น ต้องบอกว่าโลภและโง่บัดซบ ชะตากรรมในคดีนี้ต้องพึ่งพยานหลักฐาน ถ้าผิดก็ต้องถูกจัดการตามกฎหมาย ตอนนี้เหมือนน้ำลดตอผุด สื่อมวลชนทั้งหลายเริ่มขุดคุ้ย บ้านเรือนไทยของศรีสุวรรณ ที่พิษณุโลก 6 ล้านบาท มีที่มาที่ไปอย่างไร


พอมีเหตุแบบนี้เกิดขึ้น ประชาชนย่อมจะเกิดข้อกังวขาว่า ที่ผ่านมาการร้องของศรีสุวรรณ มันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสังคม หรือเพื่อทำมาหากินส่วนตัว

ท่านผู้ชมครับ ผมจะเล่าความจริงให้ฟังเรื่องหนึ่ง สมัยก่อนนอกจากผมตำหนิ แนะนำศรีสุวรรณ ไปแล้วว่าคุณอย่าซี้ซั้วร้อง คุณอย่าร้องเหมือนกับคุณเดินเข้าห้องน้ำตอนเช้าแล้วก็ปัสสาวะตามกิจวัตรประจำวัน คือมีเรื่องอะไร เล็ก ใหญ่ น้อย สำคัญ ไม่สำคัญ คุณร้องมันหมด ผมเห็นใจเขา ท่านผู้ชมรู้ไหม ผมอุตส่าห์ให้เงินเขาก้อนหนึ่ง 4 แสนบาท ผมให้คนสนิทของผม คือคุณสุรวิชช์ วีรวรรณ ถือไปให้เขา บอกว่าคุณสนธิ ให้มา เพื่อเป็นกำลังใจ เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงาน เพราะผมยังเชื่อว่าเขาทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ ท่านผู้ชมครับ รู้จักคน รู้จักหน้า แต่ไม่รู้จักใจ นี่คือบทเรียนที่ผมได้ แต่ผมช่วยเขาด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ เพราะผมสงสารเขา ผมไม่รู้ว่าเขาได้รายได้มาจากไหน อุตส่าห์หาเงินมา 4 แสนบาท เอาไปให้เขา

ท่านผู้ชม ตอนนี้เห็นด้วยกับผมไหมว่า ต่อให้หมดศรีสุวรรณ ไป เมืองไทยก็ยังคงต้องการ "นักร้อง" แต่ต้องเป็นนักร้องเรียนที่ใจซื่อ มือสะอาด บริสุทธิ์ ยุติธรรม และตรวจสอบได้ เพราะประเทศไทยนั้น ข้าราชการ นักการเมือง ตำรวจ ล้วนไว้ใจไม่ได้ทั้งสิ้น

ท่านผู้ชมครับ ถ้าผมเสนอให้ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ใช้มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินเป็นหลักในการร้องเรียนเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าจริงหรือเปล่า ท่านผู้ชมเห็นด้วยไหม มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน มีผลงานในการระดมเงินมา 70 ล้านบาท มาจากพ่อแม่พี่น้อง แจกจ่ายฟ้าทะลายโจรไปทั่วประเทศ คนเป็นหมื่นๆ คน แสนๆ คน รอดตายเพราะยาฟ้าทะลายโจร หลักฐานการใช้จ่ายเงินมีทั้งหมด ผมฝากให้คิด ต้องมีคนร้องเรียน แต่ต้องเป็นคนร้องเรียนที่โปร่งใสและรู้หลักการในการร้องเรียน มีหลักฐานประกอบ มีแบ็กกราวนต์ ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวแล้วไปยื่น ท่านผู้ชมครับ คิดเห็นอย่างไรบอกมาด้วยก็แล้วกัน

กิตติ์ธเนศ VS บิ๊กโจ๊ก

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมมีเรื่องราวมาอัปเดตเกี่ยวกับกรณีความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีนายตำรวจอีกคนหนึ่งที่ถูกกลั่นแกล้งโดยตำรวจชั้นผู้ใหญ่อย่าง "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ


คราวนี้ตัวชน คู่ปรับออกมากับรอง ผบ.ตร. โดยตรง เป็นนายตำรวจยศพลตำรวจตรี อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ชื่อ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน

พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน คือใคร ? พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ชื่อเล่นชื่อ สันต์ ชื่อเดิมท่านชื่อ สุขสันต์ ส่งประเสริฐ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นหลัง 2 รุ่น จากบิ๊กโจ๊ก คือบิ๊กโจ๊ก รุ่น 47 ส่วนคุณกิตติ์ธเนศ รุ่น 49 เคยเป็นรองผู้บังคับการภูธรจังหวัดตรัง ก่อนจะย้ายมาเป็นรองผู้บังคับการนครบาล 2 ช่วยราชการสำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร (นายชวน หลีกภัย) แล้วค่อยขยับเป็นรองผู้บังคับการ อก.บช.น. ก่อนที่จะขึ้นเป็นผู้บังคับการภูธรจังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565


ทีนี้ มันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ? ปลายปี 2565 ชื่อของ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ตกเป็นข่าวโด่งดัง กรณีตกเป็นข่าวว่ามีการสับเปลี่ยนผู้ต้องหาคดีเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 ที่มีชายฉกรรจ์ 6 คน บุกทวงหนี้ภายในพูลวิลล่าแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี โดยผู้ต้องหากระทำความผิด ใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์คู่อริ รวมทั้งทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ


ผู้ต้องหามามอบตัว 2 คน ก็เป็นตัวปลอม ซึ่งจากการสอบสวนซักปากคำ เจ้าตัวรับสารภาพว่าได้รับค่าจ้างให้มาเป็นผู้ต้องหาแทน โดยเวลานั้นมีการให้ข่าวมีการเรียกรับเงินสินบนจำนวน 1 ล้านบาท ทำให้เวลาต่อมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ก็ชงเรื่องให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกคำสั่ง ตร. ที่ 543/2565 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 โยกย้าย พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็พูดง่ายๆ ว่าแขวนนั่นล่ะ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาล่วงไป ความจริงก็ปรากฏ การทำงานให้โครมคราม หิวแสง ระดับโปลิสจับตำรวจของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กำลังกลับกลายเป็นหอกที่ไปทิ่มแทงตัวเอง และเป็นกรรมที่กำลังตามล่าตัวบิ๊กโจ๊กนั่นเอง


ประเด็นก็คือว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 29 มกราคม ที่ผ่านมา พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน อดีตผู้บังคับการชลบุรี ได้ขึ้นศาลเพื่อไต่สวนมูลฟ้องคดีที่เขายื่นฟ้องบิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จากการให้สัมภาษณ์ออกสื่อเมื่อปี 2565 ในเวลานั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวหาว่า พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ มีพฤติกรรมเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาคดีคนร้าย 6 คน ยกพวกยิงรถคู่อริ ที่พูลวิลล่าแห่งหนึ่งย่านจอมเทียน แล้วจัดการดำเนินคดีกับ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ จน พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ต้องเผชิญวิบากกรรมมาจนทุกวันนี้ ต้องกระเด็นหลุดจากเก้าอี้สำคัญอย่างผู้การชลบุรี มาอยู่ในกรุ เป็นผู้บังคับการประจำกองบัญชาการสันติบาล ทั้งยังต้องคดีอาญา ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คาอยู่ในชั้น ป.ป.ช.

ด้วยเหตุนี้ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศเป็นคนไม่ยอมคนง่ายๆ เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ผิด ไม่งอมืองอเท้า แจ้งความคดีอาญากับบิ๊กโจ๊ก ที่ สภ.เมืองชลบุรี เช่นกัน และเป็นคดีอยู่ใน ป.ป.ช. เช่นกัน

ความจริงเป็นอย่างไร ? ความจริงที่มีหนึ่งเดียว คดีอาญาที่ทั้งสองฝ่ายแจ้งจับกันไปมา ยังไม่รู้จะจบวันไหน แต่ที่จบลงเรียบร้อยแล้วคือการสอบสวนทางวินัย คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยมีมติ 8 ต่อ 0 เมื่อเดือนกันยายน 2566 ว่า พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่บิ๊กโจ๊กตั้งเรื่องขึ้นมากล่าวหา ทั้งนี้ เหตุการณ์ยิงกันที่พูลวิลล่านั้น พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ชี้แจว่า ทางตำรวจชลบุรีไม่ได้มีพฤติกรรมเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ความวุ่นวายเกิดขึ้นเพราะฝ่ายผู้ต้องหาดันส่งผู้ต้องหาตัวปลอมมา 2 คน มาแสดงตัว รับสมอ้างว่าเป็นคนลงมือ แต่พนักงานสอบสวนก็พิสูจน์เบื้องต้นด้วยการตรวจสอบใบหน้าคนร้ายเทียบกับกล้องวงจรปิดแล้ว พบว่าเป็นคนละคนกัน

จากนั้นก็มีการเรียกตัวเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานมาตรวจลายมือ เขม่าดินปืน เก็บ DNA เอาไว้ ไปเปรียบเทียบกับที่เกิดเหตุ

ในวันเดียวกันนั้น ผู้ต้องหาอีก 2 คน ก็โผล่มามอบตัวอีก ตอนนั้นยังไม่มีการออกหมายจับใคร จึงไม่สามารถจับกุมใครได้ จนพิสูจน์ได้แน่ชัดในเวลาต่อมาว่าผู้ต้องหา 2 คนแรก เป็นตัวปลอม ส่วน 2 คนหลังนั้นเป็นตัวจริง

พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย
ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะในขั้นตอนการตรวจสอบ ใครเป็นคนร้ายตัวจริง/ตัวปลอมนั่นเอง นายตำรวจที่หิวแสงอย่างบิ๊กโจ๊ก ที่เป็นมือขวาบิ๊กโจ๊ก ก็คือ พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย หรือ ผู้กำกับเปียก ซึ่งโดนข้อหาเรื่องฟอกเงินกับเจ้าแม่เว็บพนัน "มินนี่" ถูกส่งมาสังเกตการณ์ในการสอบสวนด้วย แล้วไปๆ มาๆ ปรากฏว่าข้อเท็จจริงถูกพลิกไปอีกทาง กลายเป็นว่า ผู้การชลบุรี พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ เปลี่ยนตัวผู้ต้องหาเสียอย่างนั้น

ผู้กำกับเปียก หรือ พ.ต.อ.เขมรินทร์ ณ เวลานั้น ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก แต่ปัจจุบันนี้เป็นคนที่ดังไปทั่วเมืองแล้ว ในฐานะหวานใจของเจ้าแม่เว็บพนัน "มินนี่" อายุน้อยร้อยเว็บ และ พ.ต.อ.เขมรินทร์ ก็โดนข้อหารับเงินส่วยจากเว็บพนัน รวมถึง ปปง. เพิ่งออกคำสั่งให้มีการยึดทรัพย์แก๊งมินนี่ รวมทั้งทรัพย์สินของผู้กำกับเปียก ไปแล้วมากมาย คิดเป็นวงเงินถึง 41 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2567


ด้วยเหตุดังกล่าว พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ จึงแจ้งความจับบิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล พร้อม พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้บัญชาการภาค 2 ขณะนั้น ข้อหาว่า สมคบกันช่วยเหลือหรือสนับสนุนให้ พ.ต.อ.เขมินทร์ พิศมัย กับพวก เข้าไปทำคดี โดยไม่มีอำนาจหน้าที่ เป็นความผิดทางกฎหมาย พ.ร.ป. ป.ป.ช. 2561 มาตรา 171 ประกอบด้วย ป.วิ. อาญา มาตรา 83 และ 85

นอกจากนี้แล้ว ยังกลั่นแกล้งให้ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ได้รับความเสียหาย ต้องได้รับโทษทางอาญา-วินัย เป็นความผิดทาง ป.วิ. อาญา มาตรา 200, 267 และมาตรา 157 ประกอบกับมาตรา 83 และ 86

ส่วนเรื่องเงินสินบน 1 ล้านบาทนั้น พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ระบุชัดเจนว่า สำหรับคดีโด่งดังขนาดนี้ เพียงใช้สามัญสำนึก ก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ นี่คือคำพูดของ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ว่า "ผมถามว่าเงิน 1 ล้านบาท ที่เขาตั้งเป็นประเด็น ลองเช็กฐานะของรองผู้บังคับการชลบุรี คนที่ถูกกล่าวหา ลองไปเช็กดูว่าฐานะทางบ้านเขา ครอบครัวเป็นอย่างไร เงิน 1 ล้านบาท มันกระจอกมากสำหรับตำรวจยศพันตำรวจเอกชึ้นไป หรืออย่างผม มันกระจอกมาก ยิ่งเป็นคดีโด่งดังขนาดนี้ มีผู้บังคับบัญชาลงมาด้วขนาดนี้ ผมถามว่าใครจะกล้า นี่คือแค่สามัญสำนึกเฉยๆ


พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ให้สัมภาษณ์ด้วยว่า ผม ตอนนี้ต่อสู้คดี ไม่ได้ต่สู้ว่าผมไม่ได้ผิดนะ แต่ผมต่อสู้ว่าผมไม่ได้ทำ ผมบริสุทธิ์ ผมสู้เพื่อพิสูจน์ความจริง เพราะฉะนั้นถึงจะเป็นรองฯ โจ๊ก ผมจะใช้สิทธิทางกฎหมายในทุกกรณี แล้วเขาย้ำว่า "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ซึ่งไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ คือผม เพราะความจริงมีหนึ่งเดียวนั้น คือรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"

ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ จะพ้นข้อหาเกี่ยวกับความผิดทางวินัยไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีเรื่องค้างคาอยู่ใน ป.ป.ช. ซึ่งตัวเขาเองก็พร้อมจะสู้ไม่ถอย แม้ว่าจะมีคลิปเสียงของนายตำรวจใหญ่ที่อ้างว่าสนิทสนมกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. หลุดออกมาก็ตาม พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ พูดอย่างเปิดอกกับทีมงานผม ว่า ถ้า ป.ป.ช. ชี้ว่าผมผิด ผมก็ยอม ผมวัดเลย ไม่มีเสมอ เกมนี้ เพราะมันจะถูกทั้งคู่ ผิดทั้งคู่ ไม่ได้ ความจริงมีหนึ่งเดียว ถ้าตัดสินว่าผมแพ้ ผมยอมสู้แบบหัวก้อยเลย ถ้าว่าผมแพ้ ผมก็ต้องไปสู้ในชั้นศาล สู้จนถึงที่สุด ผมไม่ถอยเลย ผมจะสู้เพื่อให้ความจริงนั้นปรากฏ

ท่านผู้ชมครับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ครับ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ไม่เหมือนกับตำรวจหลายคนที่โชคร้ายโดนคุณเล่นงานไป ตั้งแต่อดีตรองผู้กำกับสอบสวนที่จังหวัดนครพนม ที่ทำเรื่องคดีค้ามนุษย์ แล้วไม่ยอมทำตามคำสั่งคุณ แล้วคุณย้ายเขาไปที่เชียงใหม่ ทั้งๆ ที่เขามีลูก 2 คน เป็นออทิสติก แล้วเขาก็ออกจากราชการที่จังหวัดเชียงใหม่ทันทีที่ถูกย้าย และตอนนี้กลับมาปิ้งไก่ย่างขาย รองผู้กำกับสอบสวนนครพนม ซึ่งผมให้คนของผมไปพูดคุยมาเรียบร้อยแล้ว มีเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจอย่างยิ่้ง คิดไม่ถึงว่าตำรวจอีกหลายต่อหลายคนจะเจอชะตากรรมจากที่มีเจ้านายที่เฮงซวยและอำมหิตแบบนี้

จับโป๊ะราชทัณฑ์ ย้ายข้าราชการช่วยคนหนีคุก

ท่านผู้ชมครับ สัปดาห์ที่แล้วผมคุยเรื่องเกี่ยวกับขบวนการโกงคุก ที่เกี่ยวพันกับทั้งนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งต้องโทษจำคุก 8 ปี ได้รับอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี แล้วเจ้าตัวไม่ยอมติดคุกเลยแม้แต่วันเดียว หาช่องทางออกมานอนโรงพยาบาลตำรวจกว่า 160 วันแล้ว ภายใต้การช่วยเหลือขององคาพยพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง อย่างเช่น พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ข้าราชการการเมืองอย่างนายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และอดีตที่ปรึกษากฎหมายของบีทีเอส


รวมไปถึงข้าราชการประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในกรมราชทัณฑ์ ที่ผมต้องชี้ให้เห็นชัดๆ ไปเลยว่าหัวขบวนคือท่านอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ กับรองอธิบดีอีกบางคน ซึ่งตอนนี้เริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังร่วมกันกระทำความผิด อยากจะกระโดดหนี ด้วยการย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง แทนที่จะต้องมานั่งรับเผือกร้อน ล่มหัวจมท้ายไปกับรัฐมนตรีและอธิบดีกรมราชทัณฑ์


ท่านผู้ชมครับ หลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา ผมเตือนไปแล้วหลายครั้ง ถึงทักษิณ ชินวัตร คนรอบตัวทักษิณ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ข้าราชการทั้งหลาย ตอนล่าสุดผมพูดด้วยความหวังดีไปถึงข้าราชการและเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ทั้งหลาย ซึ่งหลายคนรู้จักผมดี ว่าอย่าเห็นแก่ลาภ เห็นแก่ยศ เห็นแก่การสรรเสริญ มาร่วมขบวนการโกงคุกให้ทักษิณ เลย ให้เห็นแก่ประเทศชาติ แก่ส่วนรวมบ้าง เพราะเรื่องนี้มันทำลายหลักการของกระบวนการยุติธรรมอย่างให้อภัยไม่ได้

เรื่องนี้มีการบิดเบือนระเบียบข้อบังคับ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมประเทศ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับคนๆ เดียว สักวันหนึ่ง เวลามันผ่านไป พวกนี้ต้องถูกเช็กบิลย้อนหลังอย่างแน่นอน อาจจะหลังจากเกษียณเสียด้วยซ้ำ ก็อาจจะต้องถูกเช็กบิล เพราะว่ามีคนจดบัญชีพวกนี้เอาไว้เยอะมาก

ศุกร์ที่แล้วผมพูดถึงเรื่องหนังสือโยกย้ายข้าราชการกรมราชทัณฑ์ 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งเป็นการโยกย้ายข้าราชการผู้หญิง อายุยังน้อย 3 คน ซึ่งถูกย้ายเข้ามายังส่วนกลางเพื่อมาดำเนินเรื่องให้เอื้ออำนวยแก่การจัดการเรื่องทักษิณ ชินวัตร ผมบอกว่า ผมฝากไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ไม่ว่าจะเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ท่านผู้หญิงสุภาพสตรีทั้่ง 3 ท่าน และหมู่ข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมืองที่ร่วมขบวนการโกงการติดคุกให้ทักษิณ และกำลังวางแผนเผื่อไปถึงน้องสาว คือ ยิ่งลักษณ์ อีกครั้งหนึ่ง ว่า ผมบอกว่า พวกคุณอย่าทำเรื่องโง่ๆ อย่างนี้ได้ไหม คุณอย่าคิดว่าสิ่งที่พวกคุณทำอยู่นี้ คนอื่นและประชาชนเขารู้ไม่ทัน


รายการศุกร์ที่แล้วผมพูดด้วยความหวังดีจริงๆ แต่ท่านผู้ชมรู้ไหม แค่สองวันเท่านั้น กรมราชทัณฑ์ออกแถลงการณ์สื่อมวลชนตอบโต้ผม เอ่ยชื่อผมเลย ทันทีเลย ผมจะอ่านให้ฟังสั้นๆ

จากกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก สนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2567 พูดพาดถึงกรมราชทัณฑ์ ในกรณีที่ได้มีคำสั่งย้ายข้าราชการ ว่าเป็นการย้ายข้าราชที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายที่คุมขังอื่น และย้ายข้าราชการที่ตอบสนองนโยบายได้เข้ามาแทน เพื่อรองรับ "อดีตนายกทักษิณ" นั้น จาก "นักโทษชาย" กลายเป็น "นาย" ตอนนี้อธิบดีพูดเองแล้วนะว่าเป็นอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร


เขาก็อ้างต่อว่า การโยกย้ายครั้งนี้เป็นการดำเนินการเพื่อมอบหมายข้ราชการเพื่อสนับสนุนภารกิจในงานราชทัณฑ์ให้ครอบคลุมในทุกมิติอย่างมีประสิทธิภาพ ... ซึ่งได้พิจารณาจากผู้มีความรู้ความสามารถ ทักษะ และความชำนาญในงานที่ได้รับมอบหมาย อันช่วยสนับสนุนและช่วยขับเคลื่อนภารกิจของกรมราชทัณฑ์ในภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิผล เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และเป็นไปตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ... เป็นปกติวิสัยของการบริหารงานบุคคลของหน่วยราชการ มิได้เป็นไปตามที่นายสนธิ กล่าวอ้างแต่อย่างใด

ท่านผู้ชมครับ คุณทวี สอดส่อง ครับ ท่านอธิบดีกรมราชทัณฑ์ครับ คุณสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ พวกคุณกลับไปฟังคำพูดของผมอีกทีหนึ่ง ผมบอกว่าพวกคุณอย่าทำเรื่องโง่ๆ อย่างนี้ได้ไหม คุณอย่าคิดว่าสิ่งที่คุณทำอยู่นี้คนอื่นหรือประชาชนเขารู้ไม่ทัน


ท่านอธิบดีครับ คุณทวี สอดส่อง ครับ คุณลองเดินไปตามท้องถนน ถามชาวบ้านที่ไหน ใครๆ เขาก็รู้ว่าสิ่งที่ทักษิณ กระทำอยู่นั้นคือการโกงการติดคุก ใช่หรือเปล่า เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเขาทำกัน ไม่มีใครเขารับได้ และผมจะชี้พิรุธบางอย่างเกี่ยวกับแถลงการณ์ของกรมราชทัณฑ์

ประการที่หนึ่ง ท่านผู้ชมสังเกตในย่อหน้าแรกของแถลงการณ์ฉบับนี้ เขาเขียนว่าอย่างไร ? เขาเขียนว่า "จากกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก สนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2567 พูดพาดพิงถึงกรมราชทัณฑ์ ในกรณีที่ได้มีคำสั่งย้ายข้าราชการ ว่าเป็นการย้ายข้าราชการที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายสถานที่คุมขังอื่น และย้ายข้าราชการที่ตอบสนองนโยบายได้เข้ามาแทน เพื่อรองรับอดีตนายกทักษิณนั้น" ท่านผู้ชม เขาใช้คำนำหน้าทักษิณ ชินวัตร ว่า "อดีตนายก" เขาไม่ใช้คำว่า "นาย" หรือ "นักโทษชาย" อีกแล้ว ผมอยากให้ท่านอธิบดีกรมราชทัณฑ์ คุณทวี สอดส่อง และบรรดาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์บางคนที่ตั้งใจจะช่วยทักษิณ ชินวัตร กลับไปอ่านราชกิจจานุเบกษา ฉบับวันที่ 1 กันยายน เรื่อง พระราชทานอภัยลดโทษ ที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า "นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร"


ทั้งยังแตกต่างจากคำอธิบายของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ในวันที่ 17 มกราคม หลังจากที่โดนออกมาทักท้วงว่ากรมราชทัณฑ์ไม่ยอมเรียกทักษิณ ชินวัตร ว่า นักโทษชาย แต่ใช้คำว่า "นาย" แทน ซึ่ง พ.ต.อ.ทวี ก็ตะแบงไปว่า ไม่ต้องการให้กระทบเรื่องสิทธิมนุษยชน แล้ววันนี้คุณทวี และอธิบดีสหการณ์ ยกระดับนักโทษชายทักษิณ ให้เป็น "อดีตนายกทักษิณ" นี่ก็เผยพิรุธอีกครั้งในแถลงการณ์ฉบับล่าสุด ด้วยการเรียก "นักโทษชายทักษิณ" ว่า "อดีตนายกทักษิณ" เสียเลย

ประการที่สอง พวกคุณก็รู้ว่าผมรู้เรื่องในกรมราชทัณฑ์ดี การจะออกมาตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ เขียนแถลงการณ์สั่วๆ แถลงการณ์ที่คุณโต้มานี้สั่วๆ มาก โหลยโท่ย ว่าเหตุการณ์เป็นปกติวิสัยการบริหารบุคคลหน่วยราชการ ไม่ได้มารองรับนักโทษชายทักษิณ นั้น คนในวงในราชการราชทัณฑ์เขาอ่านแล้วเขาหัวเราะ น่าจะฟันร่วงไปหลายซี่แล้ว เพราะว่าคำสั่งที่ท่านอธิบดีออก คำสั่งที่ 74/2567 และ 75/2567 ลงวันที่ 10 มกราคมนั้น มีพิรุธ พิรุธอะไร ? 1. เป็นการโยกย้ายนอกฤดูกาล เพราะปกติแล้วกรมราชทัณฑ์จะโยกย้ายข้าราชการกันปีละ 2 ครั้ง ปกติจะทำกันในช่วงปิดเทอม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบการเล่าเรียนของลูกหลาน ความยุ่งยากของครอบครัว แต่นี่ดันทะลึ่งกลับมาโยกย้ายในเดือนมกราคม ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการตัดสินการให้สิทธิพิเศษในการพักโทษ 2. บางคนถูกย้ายกลับมาส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานเลขานุการกรม สำนักผู้ตรวจราชการกรม หรือกองกฎหมาย ท่านผู้ชมรู้ไหม เขาเพิ่งจะย้ายไปดำรงตำแหน่งเก่าแค่ไม่ถึง 6 เดือน ไม่ถึง 6 เดือน ย้ายอีกแล้ว 3. การโยกย้ายนอกฤดูกาลครั้งนี้ ท่านอธิบดียังเน้นข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทัณฑวิทยาชำนาญการพิเศษ ย้ายเอามากองรวมกัน จากเดิมมีแค่ 1 คน ตอนนี้เอามากองรวมกัน 6-7 คน เอามาเพื่อปฏิบัติการพิเศษ ใช่หรือเปล่าท่านอธิบดี

4. ที่สำคัญที่สุด เมื่อผู้ใหญ่ในกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ ไม่ได้กระทำการนี้ด้วยความสุจริต โปร่งใส และบริสุทธิ์ใจแล้ว แต่ทำเพื่อช่วยเหลือและเอื้อประโยชน์ให้คนๆ เดียวนั้น ย่อมส่งผลกระทบต่อข้าราชการราชทัณฑ์อย่างกว้างขวาง ท่านอธิบดี นี่เป็นตราบาปในการบริหารงานของพวกท่านอย่างสิ้นเชิง โดยอย่างยิ่ง ผลกระทบล่าสุดถือว่าเป็นโศกนาฏกรรม คือกรณีการฆ่าตัวตายของผู้คุมเรือนจำปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยถือว่าเป็นศพที่ 3 ในรอบ 30 วัน เมื่อวันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา


คุณทวี สอดส่อง คุณสหการณ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ การที่คุณโยกย้ายเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จากส่วนภูมิภาคกลับมาส่วนกลาง ก่อให้เกิดปัญหาอย่างร้ายแรง คือตำแหน่งเต็ม แต่อัตรากำลังขาด เพราะเจ้าหน้าที่ถูกดึงมาส่วนกลางเพื่อช่วยคนๆ เดียว นั่นคือทำภารกิจเพื่อช่วยคนหนีคุก อย่างคำสั่งที่ 74/2567 และ 75/2567 นั่นเอง

ท่านอธิบดี ท่านเคยลงไปดูสารทุกข์สุขดิบของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ตามท้องถิ่นบ้างหรือเปล่า ว่าลูกน้องคุณหมื่นกว่าคนเขามีความเป็นอยู่อย่างไร ทำงานหนักแค่ไหน เป็นตายร้ายดีอย่างไร คุณรู้หรือเปล่าว่าบางเรือนจำเจ้าหน้าที่มีจำนวนมากเกินจำนวนผู้ต้องขัง บางเรือนจำเจ้าหน้าที่ขาดแคลน ตรากตรำ เครียด เป็นเหตุให้มีการฆ่าตัวตาย บางหน่วยงานในกรมในส่วนกลางกลับเอาข้าราชการระดับชำนาญการพิเศษมานั่งขี่คอกัน แต่ไม่มีงานทำ ท่านอธิบดี ท่านลงไปดูบ้างนะ ดูแลเพื่อนร่วมงานท่านบ้าง ลูกน้องท่านบ้าง ไม่ใช่จะพุ่งเป้าเอาใจและเป็นหนทางที่จะช่วยเหลือนักโทษชายคนเดียวที่พยายามหนีคุก นอนอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ให้พ้นจากคุกได้ไวๆ

เทกซัส "สงครามกลางเมือง"

ท่านผู้ชมครับ ผมมักจะเล่าเรื่องนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาที่พังพินาศไปและล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าแล้ว วันนี้เรามาดูเรื่องความวุ่นวายของการเมืองในประเทศของสหรัฐฯ ที่สับสนวุ่นวายยิ่งกว่าการเมืองระหว่างประเทศ เป็นที่น่าสนใจ น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่าสื่อหลักของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น CNN หรือ CNBC หรือแม้กระทั่งหนังสือพิมพ์อย่างเช่น นิวยอร์กไทมส์ หรือวอชิงตันโพสต์ นั้น จงใจที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย แล้วสื่อกระแสหลักในไทยก็ไม่สนใจที่จะรายงานพวกนี้ เพราะว่าสื่อกระแสหลักไทยนั้นพึ่งพาสติปัญญาและข้อมูลจากสื่อกระแสหลักของอเมริกา อย่างเช่น CNN หรือ CNBC หรือวอชิงตันโพสต์ ต่างๆ นานา

ความจริงแล้วเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นภาพความสับสนวุ่นวายทางการเมืองภายในสหรัฐฯ ที่กระทบกระเทือนต่อสถานการณ์โลกเป็นอย่างยิ่ง

ทุกวันนี้มันมีข่าวจากสื่ออิสระและสื่อทางเลือกเยอะแยะไปหมด ที่ตีแผ่ความวุ่นวายระหว่างรัฐบาลกลางที่อเมริกา ที่มีเรื่องราวกับรัฐเทกซัสอย่างมหาศาล


ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ? มันเกิดขึ้นจากนายเกร็ก แอบบอต ผู้ว่าการมลรัฐเทกซัส ประกาศกฎอัยการศึกและชูธงประกาศเอกราช คือเทกซัสสมัยก่อนเป็นประเทศเอกราชมาแล้ว 9 ปี ก่อนที่จะมาร่วมกับอเมริกาเป็นประเทศเดียวกัน สมัยก่อนเทกซัสมีธง มีดาวดวงเดียว เขาเรียกว่า Lone Star State มลรัฐดาวเดี่ยว


นายแอบบอต ต้องการเดินหน้าแยกตัวเป็นอิสระจากสหรัฐฯ เนื่องจากความขัดแย้งเกี่ยวกับปัญหาชายแดนเทกซัส กับ เม็กซิโก ซึ่งผู้ว่าการรัฐเทกซัสสั่งให้มีการเพิ่มเติมรั้วลวดหนาม กีดขวางไม่ให้ผู้อพยพชาวเม็กซิโกหลั่งไหลเข้ามาในรัฐเทกซัสได้อย่างสะดวก พร้อมกับดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับผู้ที่หลบหนีเข้าเมือง ในเดือนธันวาคม 2566 เพียงเดือนเดียว มีผู้อพยพเดินทางผ่านเม็กซิโกเข้าไปยังรัฐเทกซัสกว่า 3 แสนคน ซึ่งเป็นภาระที่หนักอกมาก


อย่างไรก็ตาม การดำเนินการสกัดกั้นผู้อพยพดังกล่าวไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลกลางของนายโจ ไบเดน ซึ่งเป็นพรรคเดโมแครต ส่วนนายเกร็ก แอบบอต นั้นเป็นพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน นายโจ ไบเดน ก็เลยดำเนินการส่งฟ้องร้องถึงศาลฎีกา และ 22 มกราคม ที่ผ่านมา ศาลฎีกามีคำตัดสินชี้ว่าอนุญาตให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางรื้อถอนบางส่วนของรั้วลวดหนามที่สร้างขึ้นตามแนวชายแดนที่ติดกับเม็กซิโก ตามนโยบายเปิดพรมแดนของประธานาธิบดีไบเดน ที่ไม่ปกป้องรัฐเทกซัสจากการบุกรุกของผู้อพยพลี้ภัย ด้วยเหตุที่่ว่า เบื้องหลังคือการเมือง การหาเสียง เพราะว่าชาวเม็กซิโกนั้นกลายเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเดโมแครต มีส่วนให้เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2563 และน่าจะเป็นฐานเสียงสำคัญของเขาในปี 2567 ในการเลือกตั้งครั้งนี้


ท่านผู้ชมครับ นายเกร็ก แอบบอต ผู้ว่าการรัฐเทกซัส จากพรรครีพับลิกัน ออกมาระบุว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ได้เปลี่ยนชายแดนทางใต้ของประเทศให้เป็นจุดเสี่ยงของการอพยพย้ายถิ่นฐานอย่างผิดกฎหมาย แทนที่จะรักษากฎหมายและปกป้องชายแดน กลับสนับสนุนให้มีการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่ชายแดนติดกับประเทศเม็กซิโก และผู้ก่อการร้ายเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา

ถ้อยแถลงของผู้ว่าการรัฐเทกซัส ถือว่าเป็นการตั้งป้อมและปฏิเสธคำสั่งของรัฐบาลกลาง และท้าทายอำนาจหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมศุลกากรและป้องกันชายแดน และกระทรวงความมั่นคงสหรัฐฯ


ขณะที่ฝ่ายโจ ไบเดน นั้น ฝ่ายบริหารของรัฐบาลกลาง มีฟ้องร้องรัฐเทกซัสต่อศาล ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งระงับการสร้างรั้วยาวเพื่อปกป้องพลเมืองอเมริกัน และรัฐบาลไบเดน ให้เวลาผู้ว่าการรัฐเทกซัส 24 ชั่วโมง ในการปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐฯ

นอกจากนี้ รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ยังสั่งการให้กระทรวงกลาโหมส่งกองทัพรถถังและรถหุ้มเกราะ มุ่งไปยังชายแดนเทกซัส ที่มีกองกำลังพิทักษ์ของรัฐเทกซัสประจำการอยู่ และได้รับคำสั่งให้สกัดกั้นกองกำลังทหารรัฐบาลกลางตรงชายแดนติดกับเม็กซิโก


มลรัฐทุกมลรัฐจะมีกองพิทักษ์รักษาชายแดน เรียกว่า National Guard ทุกมลรัฐจะมีหมด จะมีมากหรือน้อย ตามแต่ความจำเป็น สำหรับเทกซัสนั้นมีอยู่ประมาณ 102,000 คน

รัฐเทกซัสก็เลยสู้กลับด้วยการประกาศกฎอัยการศึก ติดตั้งรั้วลวดหนามและเครื่องกีดขวางชายแดนเพิ่มเติม ปิดกั้นผู้อพยพลี้ภัยที่หนีเข้าไปยังรัฐเทกซัส ขณะที่รัฐบาลกลางก็สั่งห้ามไม่ให้ผู้อพยพเดินทางออกจากรัฐเทกซัสไปสู่มลรัฐและหัวเมืองใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ


(รูปด้านล่าง) มีอยู่รูปหนึ่ง วันศุกร์ที่ 26 มกราคม กองกำลังพิทักษ์ชายแดนของรัฐเทกซัสรออยู่บริเวณริมน้ำในจุด Eagle Pass รัฐเทกซัส ซึ่งมีการลักลอบข้ามพรมแดนจากเม็กซิโกมายังสหรัฐฯ โดยผู้ว่าการรัฐ เกร็ก แอบบอต สั่งให้กองกำลังรัฐเทกซัสฝ่าฝืนคำสั่ง คำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐฯ ที่ตัดสินให้รัฐบาลกลางสามารถส่งเจ้าหน้าที่ตระเวนชายแดนรัฐบาลกลางเข้าควบคุมพื้นที่ดังกล่าว


ท่านผู้ชมครับ ข่าวทั้งสื่อทางเลือกและสื่ออิสระ เท่าที่ผมดูมา ในขณะนี้รัฐเทกซัสก็มีการเคลื่อนรถถังตัวเองเหมือนกัน อย่างเช่น เอบรามส์ (Abrams) รถถังที่ทางรัฐบาลกลางก็ใช้ พร้อมประจัญหน้ากับกองกำลังของรัฐบาลกลางที่เข้ามา

จากการที่ผู้ว่าการรัฐเทกซัสลุกขึ้นมาขัดคำสั่งศาลสูงและคำสั่งรัฐบาลกลาง ปรากฏว่ามีผู้ว่าการรัฐอีก 25 รัฐ ได้ออกมาแสดงจุดยืนเป็นแนวร่วมรัฐเทกซัสต่อต้านรัฐบาลกลาง และสนับสนุนแนวทางของรัฐเทกซัสในการต่อสู้กับคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย และขัดแย้งกับรัฐบาลกลาง


(แผนที่) สีแดงที่ท่านผู้ชมเห็นคือแผนที่มลรัฐต่างๆ ของอเมริกาที่ผู้ว่าการรัฐลงชื่อให้การสนับสนุนแก่ผู้ว่าการรัฐเทกซัส นายเกร็ก แอบบอต ในข้อขัดแย้งอย่างรุนแรงกับรัฐบาลกลางของนายโจ ไบเดน

ขณะที่เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา นายดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานสภาความมั่นคงของรัสเซีย ได้เผยแพร่ความคิดเห็นผ่านแพลตฟอร์ม X เขากล่าวเตือนว่า ความขัดแย้งครั้งนี้เรียกกันสั้นๆ ว่า เทกซิต (Texit) เหมือนอังกฤษที่จะออกจากอียู ก็เรียกว่า เบร็กซิต (Brexit) อาจจะจุดชนวนสงครามกลางเมืองที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง และชี้ว่า นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความชัดเจนของความอ่อนแอของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นจากปัญหาการเมืองภายใน และเป็นผลงานของการกระทำของคนอเมริกาเอง


นายเมดเวเดฟ ระบุในแพลตฟอร์ม X ว่า สิ่งที่ผมเคยเขียนเล่นๆ ถึงการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนเทกซัส เริ่มกลายเป็นความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายบริหารของสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าไม่สามารถรับมือกับวิกฤตการณ์อพยพย้ายถิ่นฐาน ซึ่งเกิดขึ้นในรัฐที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของอเมริกาได้ ผู้ว่าการรัฐจึงเลิกพึ่งทำเนียบขาว และเลิกคำนึงถึงสิ่งที่นายไบเดน ชายชราแห่งทำเนียบขาว คิด โดยหันมาซ่อมแซมรั้วลวดหนามด้วยตัวเอง เพื่อหยุดยั้งการหลั่งไหลของผู้อพยพที่ข้ามพรมแดนเข้ามา

นายเมดเวเดฟ พูดต่อว่า นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนของอำนาจนำของสหรัฐอเมริกาที่อ่อนแอลง ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากภายใน และเป็นผลมาจากการกระทำของชาวอเมริกันเอง นอกจากนั้น เขายังพูดต่อว่า มีหลายกรณีในประวัติศาสตร์ที่บางรัฐพยายามแยกตัวออกมาและก่อตั้งสมาพันธรัฐ ผลสุดท้ายคือสงครามกลางเมือง นองเลือด ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด สหรัฐอเมริกาจะต้องเผชิยกับวิกฤตรัฐธรรมนูญที่มิอาจแก้ไขได้ และต้องตกอยู่บนทางแพร่งแห่งความขัดแย้ง การเผชิญหน้าครั้งใหม่อาจจะสร้างความเสียหายยิ่งกว่านั้นไปอีกนาน


ท่านผู้ชมครับ สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองภายในสหรัฐฯ ณ เวลานี้ ที่มีผู้สังเกตการณ์ และสื่อมวลชนของสหรัฐฯ หวั่นเกรงว่าอาจจะลุกลามบานปลาย จนนำไปสู่สภาวะสงครามกลางเมืองในสหรัฐฯ ก็ได้ อาจจะเรียกว่าเป็นกฎแห่งกรรม ก็คงไม่ผิดนัก

ถ้าท่านผู้ชมได้เคยดูรายการผม "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" มาตลอด ท่านผู้ชมคงจำได้ว่าครั้งหนึ่ง เมื่อสามปีครึ่งมาแล้ว ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 37 ตอน "2020 จุดเสื่อมอาณาจักรอเมริกา (จุดเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์โลก)" ซึ่งออกอากาศไปเมื่อวันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 ผมเคยเล่าเรื่องประวัติศาสตร์อเมริกาและรัฐเทกซัสไว้อย่างไรบ้าง ผมจะทบทวนให้ฟัง ผมพูดมาตั้งสามปีกว่าแล้ว


ผมบอกว่า หลังจากที่พวกผิวขาวชาวอังกฤษ ชาวยุโรป ทั้งฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส แย่งแผ่นดินอเมริกามาจากชาวอินเดียนแดงแล้ว ก็เกิดการสู้รบและปฏิวัติอเมริกาขึ้นมา จนในที่สุดอเมริกาสามารถประกาศอิสรภาพได้ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย มลรัฐเพนซิลเวเนีย ทำให้เกิดประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา ที่ชื่อ จอร์จ วอชิงตัน ขึ้นมา


หลังจากที่อเมริกาได้เริ่มมีประธานาธิบดีคนแรก คือ จอร์จ วอชิงตัน แล้ว อเมริกาซึ่งเป็น DNA โบราณ และมาถ่ายทอด DNA นี้มาถึงคนอเมริกายุคปัจจุบัน ก็เริ่มขยับขยายดินแดนตัวเองซึ่งอยู่ในภาวะการณ์ที่อเมริกาต้องการจะสร้างชาติในขณะนั้น หลังจากที่ชนะอังกฤษแล้ว ฝรั่งเศสก็เริ่มถอนตัวออกมา เพราะตอนที่อเมริการบกับอังกฤษนั้น ฝรั่งเศสก็เป็นพันธมิตรร่วมรบกับอเมริกาด้วย ตอนนั้นฝรั่งเศสยึดถือคลองบางส่วนในอเมริกาด้วย หลังจากนั้นอเมริกาก็กลับมาซื้อพื้นที่บางส่วนจากฝรั่งเศสไป


ผมเอาแผนที่อันแรกให้ดู แผนที่อันแรกจะเห็นได้ว่าสีชมพูคือที่สหรัฐอเมริกามีพื้นที่อยู่ นอกนั้นแล้วไม่ใช่ของอเมริกาทั้งสิ้น นั่นคือปี 2332 หรือช่วงต้นยุครัตนโกสินทร์


หลังจากนั้นอีก 56 ปี ไม่ถึง 60 ปี สีชมพูซึ่งเป็นแผนที่อเมริกานั้นก็ได้รุกคืบออกมา จนกินเข้าไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของอเมริกาแล้ว หลังจากนั้นอเมริกาก็เริ่มจะยึดแคลิฟอร์เนียจากเม็กซิโก ซึ่งเคยเป็นของเม็กซิโกมาก่อน แล้วก็เข้าไปยึดพื้นที่ที่ต่างๆ ที่เป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ที่เขาเรียกว่า เทร์ริทอรี (Territory) คือยังไม่มีใครเป็นเจ้าของอะไรมากมาย รวมทั้งมลรัฐเทกซัส

ถ้าท่านผู้ชมไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์อเมริกามาก่อน คงไม่ทราบว่าแต่ก่อนนั้นเทกซัสเป็นประเทศเอกราช เมื่อถึงจุดหนึ่งต้องตัดสินใจแล้ว ระหว่างที่จะเป็นประเทศเอกราชต่อไป หรือจะต้องเข้ามาร่วมกับอเมริกา แต่ในที่สุดแล้วก็ตัดสินใจที่จะเข้ามาร่วมกับสหรัฐอเมริกาอย่างมีเงื่อนไข ก็คือว่า สามารถจะแยกตัวออกมาได้ภายหลัง เป็นอิสระได้ ถ้าไม่พอใจการกระทำหรือพฤติกรรมของรัฐบาลกลาง

ทีนี้ ถ้าเราดูเส้นทางเวลาทางประวัติศาสตร์ แนวคิดเรื่องการแยกตัวออกจากรัฐเทกซัสนั้น เกิดขึ้นมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่รัฐเทกซัสจะเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกาในปี 2388


ก่อนศตวรรษที่ 20 ปี 2379 หรือ ค.ศ. 1836 เทกซัสเกิดสงครามกลางเมืองที่เรียกว่า ศึกอลาโม (ALAMO) ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์โด่งดังไป ทหารเทกซัสมีจำนวนแค่ 187 คน ใช้ป้อมอลาโมเป็นสถานที่ต่อสู้ ชนะกองทัพเม็กซิกันกว่า 7 พันนาย ของประธานาธิบดีซานตา อันนา นำไปสู่การสถาปนาเอกราช และสถาปนาสาธารณรัฐเทกซัส ปกครองตนเองยาวนานถึง 9 ปี โดยมีธงเอกราชเป็นรูปดาว 1 ดวง เป็นธงประจำตัวเทกซัส นั่นคือชื่อ Lone Star State

ต่อมาในปี 2388 หรือ ค.ศ. 1845 ประธานาธิบดีของเทกซัส กับประธานาธิบดีเจมส์ น็อกซ์ โพลก์ (James Knox Polk) ของสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในสนธิสัญญาผนวกรวมเทกซัสกับสหพันธรัฐ เทกซัสก็เลยกลายเป็นรัฐที่ 28


โดยมีเงื่อนไขว่าสามารถให้เทกซัสแยกตัวเป็นเอกราชได้ถ้าถูกคุกคามจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ และตรงนี้เองเป็นพื้นฐานทางกฎหมายที่ผู้ว่าการรัฐ นายเกร็ก แอบบอต ของเทกซัส ตัดสินใจที่จะแยกตัวและตัดสินใจที่จะปฏิเสธคำสั่งของศาลฎีกา

แนวคิดของการแยกเทกซัสออกมาเป็นรัฐเอกราช เป็นประเทศแยกนั้น ได้รับการสั่งสมบ่มเพาะเรื่อยมา แต่ถูกสกัดกั้นจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่อ้างว่าประเทศอเมริกาแบ่งแยกไม่ได้ แต่เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ แบ่งแยกได้ สมัยก่อนเวียดนามเหนือ-เวียดนามใต้ ก็แบ่งแยกได้ ในสายตาของผู้มีอำนาจในโลกนี้ คือสหรัฐอเมริกา ปัญหาชองตัวเอง ตัวเองไม่ยอมให้มีการแบ่งแยก แต่ปัญหาของชาติอื่นๆ ในโลกที่ตัวเองต้องการเข้าไปครอบงำ ไปมีอิทธิพลในฐานะเจ้าโลก ตัวเองก็ส่งเสริมสนับสนุนให้แบ่งแยกกัน

ศาลสูงสหรัฐฯ ได้ลงคำพิพากษาว่า รัฐเทกซัสแบ่งแยกไม่ได้แน่นอน แต่สุดท้ายแล้ว ความเห็นและคำตัดสินเหล่านี้ก็มิอาจหยุดยั้งความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศสหรัฐฯ ที่ตอนนี้คุกรุ่นใกล้ถึงจุดแตกหัก อันมีตัวแทนความขัดแย้งคือนายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต และ นายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ได้


จนสุดท้ายความขัดแย้งที่ยืดเยื้อเรื้อรังมาอย่างยาวนาน ก็อาจจะนำไปสู่ระบบเทกซิต ที่รัฐเทกซัสเดินหน้ากระบวนการแบ่งแยกตัวดินแดนออกจากสหรัฐฯ ทั้งต่อต้านและปฏิเสธอำนาจรัฐบาลกลาง ซึ่งไม่ยินยอมให้มีการแบ่งแยกออกไป บางทีอาจจะบานปลายนำไปสู่ความรุนแรง เข้าไปสู่วิกฤตสงครามกลางเมืองที่อเมริการบกันเองก็ได้ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วนี่ก็คือความแตกแยกในอเมริกา ระหว่างพรรคเดโมแครต กับ พรรครีพับลิกัน ซึ่งจะไม่มีทางเชื่อมต่อกันได้เลยแม้แต่นิดเพียว เพราะว่าพรรครีพับลิกัน จริงๆ แล้ว เทกซัสนั้นเป็นที่อยู่ของคนผิวขาวส่วนใหญ่ และมีความคิดค่อนข้างจะสุดโต่ง แต่อเมริกาพรรคเดโมแครตนั้น ซึ่งเป็นรัฐบาลกลางอยู่ขณะนี้ กลับมีส่วนผสมของคนที่มีนโยบายเสรีนิยมรุ่นใหม่ที่สามารถที่จะทำอะไรก็ตามที่ให้เข้าไปสู่หลักการของเสรีนิยม ซึ่งเทกซัสไม่ยอม

 เรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ ท่านผู้ชมครับ ถึงแม้จะจบลง แต่ความแตกร้าว หมางเมิน และความร้าวฉาน ของความรู้สึกของคนที่เทกซัส กับความรู้สึกของคนที่ไม่ได้อยู่ในเทกซัส และเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลกลางนั้น จะไม่มีวันเชื่อมต่อกันได้ ที่สำคัญ 25 มลรัฐ ที่มีผู้ว่าการเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน ให้การสนับสนุนเทกซัส และเริ่มส่งทหารรักษาชายแดน แต่ละรัฐจะส่งไป แล้วแต่มีมาก/มีน้อยแค่ไหน ไอดาโฮส่งไป 4 พันคน รัฐโน่นรัฐนี่่ส่งไป รวมเบ็ดเสร็จแล้ว ทหารรักษาพิทักษ์ชายแดน หรือที่เรียกว่า National Guard ถ้ารวมทุกๆ มลรัฐ 25 มลรัฐ ที่ส่งมา บวกกับของเทกซัสเอง จำนวนก็จะมีประมาณ 2 แสนกว่าคน

ท่านผู้ชมครับ สำหรับรายการวันนี้ เผ็ดมันเข้มข้นดุเดือด อย่าลืมนะครับ ดูแล้วแชร์ไปให้เยอะๆ รายการวันนี้สำคัญมาก ทุกอาทิตย์สำคัญหมด เพราะว่าที่นี่ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ก็คือที่นี่ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น