ข่าวปนคน คนปนข่าว
**คณะ "ร้องไป ตบทรัพย์ไป" งานนี้จาก "พี่ศรี-เจ๋ง-การ์ตูน" จะลาก "ผู้ใหญ่" มาด้วย ?!
หมองูตายเพราะงู นักร้องจะตายด้วยเรื่องร้องเรียน!?
กรณีของ "พี่ศรี" ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน หรือ ที่รู้จักกันในนามของนักร้องเบอร์ 1 ถูกซ้อนแผนจับกุมหลังร่วมกันกับ "เจ๋ง ดอกจิก" ยศวริศ ชูกล่อม และ "การ์ตูน" "น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์" อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ข่มขู่เรียกเงิน "ณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์” อธิบดีกรมการข้าว จำนวน 1.5 ล้าน ยังคงมีประเด็นที่ต้องติดตาม
ใครๆก็ว่างวดนี้ "พี่ศรีเงินติดรั้ว" รอดยาก แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธบอกว่า ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง
ใครกันแกล้งใครก็ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ มีทั้งคลิปวีดีโอขณะส่งมอบเงินสดงวดแรกจำนวน 1 แสนบาทก่อนนี้ ตามมาด้วยล่าสุด "คลิปเสียง" ปูดออกมาเสียงคล้ายอดีตดาวตลก พูดคุยกับภรรยาอธิบดีผู้เสียหาย ออกมาแพร่ทางโซเชียลฯ อีกหลายไฟล์
ฟังแล้วก็หนาวแทนพี่ศรีและพรรคพวก เพราะเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่า นักร้องตัวตึงจัดอยู่ในประเภท “ร้องไปตบทรัพย์ไป”หรือไม่ ?!
แถมงานนี้ไม่ใช่แค่ตบมาแบ่งแค่พรรคพวกในคลิปเสียง ยังเอ่ยอ้างเผื่อแผ่ไปถึง "ผู้ใหญ่" นักการเมืองระดับสูง ในลักษณะว่า เงินที่ได้เหล่านี้จะนำไปดูแลผู้ใหญ่
ไม่รู้ว่า "ผู้ใหญ่" ที่พูดถึง จะหมายถึงใคร? เข้ามาเกี่ยวข้องกับขบวนการนี้หรือไม่? ย่อมต้องมีคนสืบสาวราวเรื่องอย่างแน่นอน
ว่ากันว่า นอกจากคลิปวีดีโอ และไฟล์เสียงแล้ว เห็นว่า เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ยังมีหลักฐานสำคัญอีกหลายอย่างโดยเฉพาะข้อความ "แชตไลน์" ระหว่าง “น.ส.พิมณัฏฐา” กับ ภรรยาของอธิบดีกรมการข้าว ที่เจรจาต่อรอง รวมถึงพูดหว่านล้อม ข่มขู่ให้ยอมจ่ายเงิน
น่าสนใจว่า "พี่ศรี" ที่เคยร้องคนอื่นมานับไม่ถ้วน เจอหลักฐานรัวๆ แบบนี้จะเอาอะไรมาต่อสู้?
ถามว่า เรื่องที่พี่ศรีคิดจะร้องเรียน เป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้าแค่ไหน ถึงขนาดทำให้ "การเมือง" เอื้อมมือมากลั่นแกล้ง พี่ศรีและพลพรรคได้
ก่อนหน้า "สมชัย ศรีสุทธิยากร" โพสต์เฟซบุ๊กไขปม "ศรีสุวรรณ" ร้องอะไร "กรมการข้าว" เอาไว้ว่า
มาจาก การใช้งบประมาณ กรมการข้าว 19,609 ล้านบาท ซึ่งมีรายการหลัก คือ โครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการเกษตรสำหรับ เกษตรกรผู้ปลูกข้าว 15,260 ล้านบาท ตามเอกสารงบประมาณ ปี2566
รายการดังกล่าว เป็นรายการที่ “สมชัย” เคยตั้งข้อสังเกตในการประชุม กมธ.งบประมาณ 2566 ว่า เป็นงบที่เพิ่มมาแบบผิดปกติ ถึง 15,260 ล้าน โดยเป็นการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการเกษตร ให้แก่ศูนย์ข้าวชุมชน 5,000 แห่ง แห่งละ 3 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ศูนย์ข้าวชุมชนในขณะนั้นมีเพียง 2,400 แห่งเศษ และที่เข้มแข็งจริงมีไม่ถึง 1,000 แห่ง
ต่อมารายการดังกล่าว ถูกยกเลิก และโอนไปให้กระทรวงพาณิชย์ เพื่อสมทบเงินช่วยเหลือชาวนารายย่อย ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินรายละ 20 ไร่ ตามมติ ครม. 15 พ.ย.65
สุดท้าย กรมการข้าว ได้จ่ายเงิน 15,225 ล้านบาทให้ ธ.ก.ส. เพื่อไปแจกจ่ายชาวนาตามมติ ครม. เท่ากับว่า กรมการข้าว มีแค่ตัวเลขงบประมาณ แต่ตัวเงินถูกไปบริหารโดย ธ.ก.ส. ดังนั้น อธิบดีกรมการข้าว จึงไม่รู้สึกว่า ทำไมตัวต้องเดือดร้อน เมื่อ “พี่ศรี” จะแฉความไม่ชอบมาพากล เพราะไม่เกี่ยวแล้วจนเป็นที่มาของการวางแผนจับกุม
สรุปว่า ถ้ามีใครแกล้งใคร ก็น่าจะตระเตรียมการกันมาเป็นอย่างดีแน่แท้ แต่ในแง่เจ้าหน้าที่ ที่รวบรวมหลักฐานก็มั่นอกมั่นใจเอาผิดได้ เพราะ พฤติการณ์มีครบจบขบวนการ ทั้งคนทำเอกสารร้อง คนเจรจาต่อรองเรียกเงิน คนติดตามทวงเงิน และคนรับเงิน
"พี่ศรี" และ พรรคพวกรวมไปถึง"ผู้ใหญ่" ที่ถูกระบุว่ามีส่วนพัวพันเกี่ยวข้องจะถูกกระชากหน้ากากออกมาหรือไม่ ? โปรดติดตามกันต่อไป
**ก้าวไกลมามุกเดิม ใช้ไอโอปั่นหัวด้อมส้ม ชี้นำสังคม กดดันศาล ปม 112 “แก้ไข ไม่ใช่ล้มล้าง”
บ่ายวันที่ 31 ม.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญ นัดวินิจฉัย “คดีล้มล้างการปกครอง” ที่ “ธีรยุทธ สุวรรณเกสร” ทนายความ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยตามรธน. มาตรา 49 ว่า การกระทำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล ที่เสนอ ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ.... เพื่อยกเลิก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง เป็นการใช้สิทธิ เสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรธน. มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่
เรื่องแก้ ม.112 นี้ พรรคก้าวไกลนอกจากใช้หาเสียงเลือกตั้งแล้ว ช่วงจัดตั้งรัฐบาลยังยืนกรานว่า จะใช้เป็นนโยบายของรัฐบาล จนพรรคการเมืองอื่นๆ รวมทั้งสว. ต่างเบือนหน้าหนี ไม่เอาด้วย ในที่สุดแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจึงตกมาอยู่ที่พรรคเพื่อไทย และเป็นรัฐบาลในปัจจุบัน
คดีนี้ ถือเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับ “ความมั่นคง” อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งจะนำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกลได้
แต่บรรดาแกนนำพรรคก้าวไกล ยังเชื่อมั่นว่า คำวินิจฉัยของศาลรธน. จะไม่ถึงกับยุบพรรค เพราะผู้ร้อง มิได้ร้องให้ยุบพรรค เพียงแต่ร้องว่า “ให้หยุดการกระทำนั้นเสีย”
ต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้านี้เคยมีคำวินิจฉัยศาลรธน. ที่ 19/2564 ที่เกี่ยวกับคดี 112 มาแล้ว คือ “คดีทะลุเพดาน” ที่พอจะนำมาเทียบเคียงกับ กรณีของพรรคก้าวไกลได้
กรณีเมื่อวันที่ 10 ส.ค.63 “กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” จัดเวที ที่ลานพญานาค ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ใน 10 ข้อ
ผู้ถูกร้องในครั้งนั้น ได้แก่ นายอานนท์ นำภา, นายภาณุพงศ์ จาดนอก และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยไม่สุจริต ละเมิดกฎหมาย มีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ ตามรธน. มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
ศาลรธน. มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสาม รวมทั้งกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกการกระทำดังกล่าว และที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ตามมาตรา 49 วรรคสอง
สำหรับกรณีของ “พิธา และพรรคก้าวไกล” ที่ศาลรธน.จะพิจารณาวินิจฉัย ในวันที่ 31 ม.ค.นี้ หากมีคำสั่งให้ “หยุดการกระทำนั้นเสีย” แม้จะไม่มีคำสั่ง “ยุบพรรค” ก็ตาม แต่รายละเอียดที่บ่งชี้ถึงความผิดนั้น อาจจะเป็น “สารตั้งต้น” ที่จะนำไปยื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อยุบพรรคก้าวไกลอีกครั้งหนึ่ง เพราะการหาเสียงให้แก้ไข มาตรา 112 เป็นการประทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) (2)
สอดคล้องกับความเห็นของ “สว.สมชาย แสวงการ” ที่มองว่า จากคำวินิจฉัยศาลรธน. ที่19/2564 สั่งห้ามการกระทำดังกล่าวแล้ว แต่ยังปรากฏการเคลื่อนไหวขององค์กรเครือข่ายต่อเนื่อง อาทิ การกำหนดเรื่องการแก้ไข ม.112 เป็นนโยบายพรรค การเดินสายในเวทีหาเสียงต่างกรรม ต่างวาระ การพูดอภิปรายในรัฐสภา การให้สัมภาษณ์สื่อไทย และต่างประเทศ มี การเคลื่อนไหวต่างๆ ที่อาจถูกชี้ให้เห็นว่า มีส่วนร่วมอย่างไม่เป็นทางการ ในหลายกรณี โดยมีเจตนาซ่อนเร้น เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป การใช้สิทธิ หรือเสรีภาพของผู้ถูกร้องโดยสุจริตแต่อย่างใด
ดังนั้น จึงมีความเห็นว่า “พิธา และพรรคก้าวไกล” มีความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง!!
ด้านพรรคก้าวไกล ก็เคลื่อนไหวในเรื่องนี้ โดยปล่อยคลิปชุดความคิดเพื่อให้ “ด้อมส้ม” นำไปเผยแพร่ แชร์ ต่อในโซเชียลฯ ว่า "ปฏิรูป ต้องไม่เท่ากับล้มล้าง" แก้ไข 112 ไม่เท่ากับล้มสถาบัน แต่คือหน้าที่ตามระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา พรรคก้าวไกล ขอยืนยันว่า การแก้ไข ม.112 เป็นไป เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ ธำรงอยู่คู่สังคมประชาธิปไตย โดยสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองประมุข กับการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน เพราะการวางสถาบันไว้ในที่สูง ไม่ได้ใช้กฎหมายที่รุนแรงและโทษสูง แต่คือการธำรงสถานะของพระมหากษัตริย์ไว้บนฐานของเหตุผล สติปัญญา และความยินยอมพร้อมใจของประชาชน
#แก้ไขไม่ใช่ล้มล้าง
เป็นการปล่อยคลิปก่อนถึงวันที่ศาลรธน.นัดวินิจฉัยคดี “ล้มล้างการปกครอง” ในวันพุธที่ 31 ม.ค.นี้ ทั้งที่ศาลรธน.ก็เคยเตือนมาครั้งหนึ่งแล้วจากกรณี “หุ้นไอทีวี” ว่าไม่ควรกระทำการใดที่เป็นการชี้นำสังคมและกดดันศาลฯ