วันที่ 26 ม.ค.2567 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยสิ่งที่จะเล่าในวันนี้เป็น
- 20 ปีเมืองไทยรายสัปดาห์ ชื่นมื่น เตรียมจัดไตรมาสละครั้ง
- คำเตือนจากสนธิ ถึง "พิธา" หลังหลุดคดีหุ้นสื่อ หยุดปลิ้นปล้อนได้หรือยัง
- ขบวนการโกงคุก วันนี้ “ทักษิณ” วันหน้า “ยิ่งลักษณ์”
- เรือดำน้ำส่อจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง
- ผังเมืองใหม่ กทม. ปล้นชาวบ้าน สังเวยนายทุน?
- สถานทูตยูเครนจัดม็อบต้านรัสเซีย ฝ่ายความมั่นคงไทยทำอะไรอยู่
- ระบบนำทาง "เป๋ยโต่ว" คู่แข่งจีพีเอสอเมริกา
- 2567 สงครามลุกลามเอเชีย?
ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.226
คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 226 [26 ม.ค. 67]
ช่องทางติดตาม "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2567 อีกไม่กี่วันก็หมดเดือนมกราคมแล้ว เร็วไหมท่านผู้ชม ผมยังคิดว่าเพิ่งจะขึ้นปีใหม่เมื่อวานนี้เอง วันนี้กำลังจะขึ้นเดือนกุมภาพันธ์แล้ว ขอสวัสดีท่านผู้ชมแฟนรายการที่กำลังรับชมสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok
ท่านผู้ชมครับ เวลาเข้ามาชมแล้วอย่าลืมกดไลก์ กดแชร์ SUBSCRIBE ทั้งช่องทาง YouTube, Facebook, TikTok และทุกๆ ช่องทาง เพื่อกระจายข่าวสารออกไปในวงกว้างที่สุด ตอนนี้ Sondhi App ยกเลิกการเก็บเงิน เปิดฟรีให้เข้าดูได้แล้วทั้งวิดีโอคลิป ข่าวสารต่างๆ แต่ท่านผู้ชมต้องโหลดแอปพลิเคชันก่อน โดยผ่าน App Store ของ iOS หรือถ้าใช้ Android ก็เข้า Play Store สำหรับ Android ให้ค้นหาคำว่า "Sondhi App" ท่านผู้ชมแค่ลงทะเบียนเท่านั้นเอง ท่านผู้ชมจะได้เข้ามาดูฟรี แล้ว Sondhi App นี่มีทีเด็ดเยอะมาก ท่านผู้ชมที่ยังไม่ได้เข้ามา ยังไม่รู้ มีเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่สามารถจะพูดได้ใน Facebook หรือในแพลตฟอร์มของตะวันตก รวมทั้งปัญหาเรื่องของโรคระบาดที่ในขณะนี้เป็นเรื่องราวใหญ่โตทั่วโลก แต่ว่าทั้ง Facebook และ YouTube ก็บล็อก แต่ท่านผู้ชมเข้าไปดูที่ Sondhi App ได้ เพราะ Sondhi App เป็นแพลตฟอร์มของเราเองที่ไม่มีใครมาบล็อกได้ เป็นความจริงที่มีหนึ่งเดียว
เนื้อหาของแอปฯ ไม่ถูกปิดกั้น พูดได้ทุกเรื่อง สัปดาห์นี้เราจะมีข่าวพิเศษที่ผมพูดอย่างไม่กั๊ก ในเรื่องของการฉีดยาเข้าไปในร่างกาย ป้องกันโรคระบาด ที่อาจารย์ปานเทพ และหมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา กำลังทำงานหนักในเรื่องนี้อยู่ แล้ววันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ที่หอศิลป์ฯ กรุงเทพ เวลาบ่ายโมงเป็นต้นไป ท่านผู้ชมจดลงไปในบันทึก ไดอารี เลยว่าในงานนี้จะมีคลินิกแพทย์เคลื่อนที่ มีทั้งหมอไทย หมอปัจจุบัน หมอที่เรียนมาทางการแพทย์ปัจจุบัน และหมอการแพทย์แผนไทย เขาจะมาดูท่านผู้ชมและรักษาผลกระทบจากโรคร้ายและสิ่งที่ฉีดเข้าไปในร่างกาย ใครสนใจ เข้ามาร่วมได้ ใครมีอาการหัวใจวาบหวิว ใครมีโรคต่างๆ หลังจากที่ฉีดเข้าไปในร่างกายแล้ว ก็มาได้ จะมีคนคอยให้คำปรึกษา
ตอนนี้ถ้าท่านผู้ชมสนใจบทวิเคราะห์เจาะลึก ก็เข้ามาได้ที่ 'SONDHI X' ทางเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" และทางเว็บไซต์ SODHI TALK ซึ่งรวมทุกอย่างทั้งข่าวและวิดีโอ อย่าลืมนะครับ Sondhi App ท่านผู้ชมไม่ต้องเสียเงิน แค่เสียเวลานิด ดาวน์โหลดแอปฯ มา เข้าไปใน App Store หรือว่า Google Play ลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อย ถ้าท่านผู้ชมเบื่อที่จะดู Facebook เข้ามาดู Sondhi App แล้วเลือกหัวข้อที่ผมพูดไม่ได้ใน Facebook และใน YouTube แล้วท่านผู้ชมจะได้ความจริงที่มีหนึ่งเดียว
วันนี้ผมมีเรื่องราวหลายเรื่อง เรื่องแรกก็คือว่า เมื่อวันที่ 21 มกราคม ที่ผ่านมา ผมไปจัดรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" ครบรอบ 20 ปี มันเป็นความจริงที่มีหนึ่งเดียว ผมเอาบรรยากาศมาให้ดู วันนั้นเป็นวันที่มีคนเข้ามาชมเต็มหอประชุมเล็กธรรมศาสตร์ ถึงขนาดนั่งบนทางเดิน บรรยากาศเก่าๆ ย้อนกลับมาอีก
เรื่องที่สอง คุณพิธา เพิ่งจะหลุดพ้นจากเชือกที่คล้องคอในเรื่องของหุ้นสื่อ โดยศาลรัฐธรรมนูญยกให้เป็นประโยชน์ต่อจำเลย แต่ผมมีคำเตือนถึงคุณพิธา บางประการ หลายๆ เรื่อง
เรื่องที่สาม ตอนนี้ทุกคนยังสนใจในเรื่องของทักษิณ ชินวัตร อยู่ คำถามมีว่า ใครล่ะที่กำลังช่วยให้ทักษิณ คดโกงการนอนคุก คำตอบของผมมีว่า ทุกคนที่กำลังทำงานช่วยทักษิณอยู่ ให้ระวังติดคุก ติดคุก ติดคุก ในอนาคตข้างหน้า หลายคนต้องการลาภยศปัจจุบัน แล้วก็ตัดสินใจทำสิ่งที่ผิด เพียงเพื่อให้ตัวเองได้ลาภยศนั้นๆ แต่ว่าลาภยศพวกนี้มันมาแล้วจากไป เหมือนลมที่พัดผ่านตัวเรา แล้วในที่สุดความจริงก็จะปรากฏ
เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องผังเมืองใหม่ของ กทม. ของคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผมศึกษาแล้ว จงใจปล้นชาวบ้านเพื่อนายทุน คอนโดฯ ทั้งหลายที่ต้องการจะไปสร้าง
เรื่องที่ห้า ท่านผู้ชมอาจจะไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ ใครเป็นคนปล่อยให้สถานทูตยูเครน ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่า สถานทูตยูเครนจัดม็อบเพื่อประท้วงหน้าสถานทูตรัสเซีย คำถามของผมมีอยู่ว่า เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? ประเทศไทยกลายเป็นเวทีให้สถานทูตมาจัดม็อบกันแล้วหรือ ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจไทย ทำอะไรกันอยู่ ?
เรื่องที่หก ท่านผู้ชมรู้จัก GPS ใช่ไหม ? คือดาวเทียมนำร่องแสดงสถานที่ พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ผมกำลังจะแนะนำให้รู้จักระบบนำร่องคู่แข่ง GPS ซึ่งขณะนี้แซง GPS ไปแล้ว คือระบบดาวเทียมนำร่อง ชื่อ เป๋ยโต่ว (Beidou) ของจีน โค่น GPS ไปได้แล้ว
เรื่องที่เจ็ด ผมเคยพูดมาแล้วว่า ปี 2567 สงครามจะลามในเอเชีย ปรากฏว่าได้รับการยืนยันจาก ศ.ดร.กีชอร์ มาห์บูบานี (Kishore Mahbubani) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ และเป็นคนที่พูดปาฐกถาทั่วโลกในเรื่องพวกนี้ ผมเล่าให้ฟังว่า ให้จับตาดู 5 จุดแตกหักในเอเชีย ในโลกนี้
ท่านผู้ชมครับ เหลืออีก 5 วันสุดท้าย โปรโมชั่นฟ้าทะลายโจร ยาลม ๓๐๐ จำพวก และยาขาว ยาลดไข้ ตรา อจ.ปานเทพ โปรโมชั่นตอนนี้ ซื้อยาลมฯ ยาขาว ทุกๆ 1 กล่อง จะได้รับยาขาว และยาลมฯ ที่ร่วมในพิธีพุทธาภิเษก อีกไม่กี่วันก็จะหมดเขตแล้วนะครับ
ตอนนี้มีโปรโมชั่นปีใหม่ ซื้อเป็นเซ็ตทั้ง 3 อย่าง คือ ฟ้าทะลายโจร ยาขาว ยาลมฯ ในราคาพิเศษเพียง 2,328 บาท ลดจากราคาปกติ 2,450 บาท หมดโปรฯ สิ้นเดือนนี้เช่นกัน ท่านผู้ชมสนใจ ติดต่อซื้อได้ที่ "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์" เพิ่มไลน์ (LINE) @sunherb มีจำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย
ท่านผู้ชมแวะไป SUN PAN บ้างหรือยัง SUN PAN มีเมนูรับเทศกาลตรุษจีน ขนมเปี๊ยะหมื่นเศรษฐี เขาทำเหมือนส้มเลย แต่ข้างในเป็นขนมเปี๊ยะ แป้งบางมาก หวานน้อย 1 กล่อง มี 4 ลูก มีขนมเปี๊ยะส้มซันคิสต์ 2 ลูก (ขนมเปี๊ยะไส้ผลไม้หอมผสมแครนเบอร์รี) ขนมเปี๊ยะส้มเขียวหวาน 2 ลูก (ขนมเปี๊ยะไส้พริกไทยไข่เค็มและหอมเจียว) ขนมเปี๊ยะนี้เก็บได้ 5 วัน ในห้องแอร์ หรือ 2 อาทิตย์ ในตู้เย็น นี่เป็นของเชฟเพนนี ท่านผู้ชมสนใจ ไปซื้อได้ที่ร้าน SUN PAN หรือไปซื้อได้ที่ร้านของเชฟเพนนี ชั้นใต้ดินสยามพารากอน
นอกจากนี้แล้ว SUN PAN ยังมีเมนูใหม่ เป็นพายหมูหยอง ของเชฟอิ่ง วางขายรับเทศกาลนี้ด้วยเช่นกัน
ส่วนสินค้ายอดนิยม ทั้งโอเลี้ยง หมูแท่ง ปลาแท่ง ProVita และขนมปังโชกุปังรสต่างๆ ก็สามารถซื้อได้ที่ร้าน SUN PAN อยู่ในปั๊ม ปตท. ราบ 1 ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต
ProVita ท่านผู้ชมอย่าลืม ผมทานวันละ 2 ขวด ดีกับท้อง ดีกับลำไส้ สุดยอด ผมไม่เคยเจอ เป็นรสส้มซึ่งมีวิตามิน C ใส่เข้ามา ขวดละ 15 บาท ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ รักษาสุขภาพให้ดี ProVita ตั้งเอาไว้ข้างนอก ไม่ต้องแช่ อยู่ได้ 4 เดือน มีจุลินทรีย์โพรไบโอติก มีประโยชน์ต่อสุขภาพ คนที่เป็นเบาหวาน ความดันสูง ดื่มได้ และที่ตลก ทานแล้วผายลมไม่เห็น เพราะว่า ProVita จะไปกัด ใช้แบคทีเรีย โพรไบโอติกไปกัดความเน่าของอาหารออกให้หมด หรือถ้าท่านผู้ชมจะซื้อออนไลน์ ไปที่เว็บไซต์ tpipolene.com เฟซบุ๊ก: TPIPOLENE ไลน์: @TPIPL หรือไปซื้อได้ที่ร้าน SUN PAN ครับ
20 ปีเมืองไทยรายสัปดาห์ ชื่นมื่น เตรียมจัดไตรมาสละครั้ง
ท่านผู้ชมครับ ผ่านไปด้วยความประทับใจอย่างที่สุด ในรายการ "2 ทศวรรษ เมืองไทยรายสัปดาห์" เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม ที่ผ่านมา จัดขึ้นที่หอประชุมเล็กศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ผมเชื่อว่าท่านผู้ชมที่มางานคงจะอิ่มเอมกับเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ที่ผมและคุณแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ เล่าให้ฟัง วันนั้น คุณแอน จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ เป็นผู้ดำเนินรายการให้
คนที่เข้ามาร่วมงานจะทราบว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการขายบัตรเข้าชม หักค่าใช้จ่ายแล้ว เรามอบให้คุณแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ เพื่อนำไปเป็นเงินรักษาตัวจากโรคมะเร็ง ซึ่งผมไม่ได้บอกคุณแอ้มไว้ก่อน แต่เซอร์ไพรส์ เพราะว่ามีบุคคลที่รักคุณแอ้มมาก เป็นผู้ใหญ่ใจดี 1-2 คน ร่วมสะสม จนกระทั่งสามารถมอบเงินให้คุณแอ้มได้ถึง 1.3 ล้านบาท โดยที่รายได้จากการขายบัตรนั้น เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว เหลือเงินเพียง 1 แสนบาทเอง แต่มีคนสนับสนุนให้ สมทบทุนให้คุณแอ้ม โดยไม่ต้องการจะออกชื่อ เป็นจำนวนเงิน 1.2 ล้านบาท เบ็ดเสร็จ 1.3 ล้านบาท
น้องแอ้ม สะอื้นไห้ด้วยความตื้นตันใจ บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความอบอุ่นชื่นมื่น พวกเราทุกคนเจอคนที่เราเคยรัก เคยคุ้นเคย ที่สำคัญ เป็นคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน คนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขมาตั้งแต่สมัยการชุมนุม ภาษานักเลงเขาเรียกว่า มองตาก็รู้ใจ
ส่วนศิลปินที่มาร่วมร้องเพลง ก็มากันด้วยใจจริงๆ ตั้งแต่น้าหงา สุรชัย จันทิมาธร มาร้องเพลง "2548" ซึ่งเป็นเพลงที่หน้าหงาแต่งขึ้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2548 ที่บ้านพระอาทิตย์นี่เอง
ส่วนคุณเทียรี ลาสเวกัส หรือคุณเธียรพงศ์ พลอยเพชร ก็มาร่วมร้องเพลง "เทียนแห่งธรรม" ซึ่งคุณเทียรี่แต่งขึ้นจากแรงบันดาลใจในการต่อสู้ของพันธมิตรฯ เมื่อปี 2549 โดยในวันงานมาร่วมขับร้องกับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
อีกเซอร์ไพรส์หนึ่ง คือ คุณธีร์ ไชยเดช มาขับร้องเพลง 'Home' เพลงสุดท้าย แต่เริ่มด้วยเพลง "คนดีที่ไม่มีวันตาย" ที่ไพเราะ ความหมายลึกซึ้ง จนทำให้พวกเราที่อยู่ในงานวันนั้นหลายๆ คนฟังแล้วอดเสียน้ำตาไม่ได้
มันเป็นน้ำตาของความขมขื่นบนเส้นทางการต่อสู้เพื่อชาติเพื่อแผ่นดินของพวกเรา ต้องบาดเจ็บล้มตาย ถูกกลั่นแกล้ง ถูกอายัดทรัพย์ โดนคดีความ โดนสังคมตัดสินผิดๆ มาเป็นสิบปี น้ำตาของความยินดีกับผลคำตัดสินของศาลอาญาชั้นต้น ที่ท่านได้พิพากษาคดีสนามบิน ที่สำคัญ น้ำตาแห่งความภาคภูมิใจที่กาลเวลาพิสูจน์แล้วว่า พวกเราคือผู้ที่รักและปกป้องสถาบันตัวจริงมาตลอด เราไม่เคยเปลี่ยนแปลง ถึงวันนี้คนจะเปลี่ยนไปอย่างไร เราก็ยังยืนหยัดอยู่ที่เดิม
แฟนๆ ที่อยากจะฟังเพลงและรับชมบรรยากาศบางส่วนจากงาน ให้ติดต่อได้ เข้าไปดูที่ Sondhi App ผมบอกแล้ว ท่านผู้ชมครับ ใครยังไม่ได้ดาวน์โหลด Sondhi App ไปดาวน์โหลดได้ มีเรื่องราวเด็ดๆ เยอะมาก และท่านสามารถจะชมรายการนี้ผ่าน Sondhi App ได้ หรือเข้าเว็บไซต์ sondhitalk.com เราจะลงคลิปวิดีโอไว้ ดูฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ท่านแค่ดาวน์โหลด Sondhi App แล้วลงทะเบียนเท่านั้นเอง
ข่าวดี เผอิญคุณนพรัฐ พรวนสุข ถามผมว่า มีสัญลักษณ์ สัญญาณอะไรหรือเปล่าที่จัดงานแบบนี้ ผมบอกไม่มี เราต้องการเอาความจริงที่เป็นหนึ่งเดียว คุณนพรัฐก็ถามต่อ แล้วจะจัดอีกไหม ? เผอิญมีท่านผู้ชมเยอะเลย ส่งความเห็นมาว่าอยากให้เราจัดต่ออีก พอเราจบงาน "2 ทศวรรษ เมืองไทยรายสัปดาห์" ไป ก็มีเสียงเรียกร้องจากแฟนๆ รายการมากเลย อยากให้จัดงานแบบนี้อีกบ่อยๆ ผมและทีมงานประชุมปรึกษากัน สรุปแล้ว ข่าวดีครับ เราจะจัดปีละ 4 ครั้ง ไตรมาสละ 1 ครั้ง ที่หอประชุมเล็กธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ รายไตรมาส เปลี่ยนชื่อรายการเป็น "ความจริงมีหนึ่งเดียว" รูปแบบรายการจะมีการทอล์กโชว์ของผม มีดนตรี รวมทั้งมีการเชิญแขกรับเชิญมาพูดคุยประเด็นร้อนๆ ของสังคม ที่หาฟังไม่ได้ อย่างเช่น อาจารย์ปานเทพ มาคุยกับ ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ในเรื่องที่ออกอากาศที่อื่นไม่ได้เลย ออกเฟซบุ๊กก็ไม่ได้ รายการวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ เจาะลึกกับอาจารย์ทนง ขันทอง แต่ทีเด็ดที่อยากให้มาฟังกันคือ การสนทนาระหว่างอาจารย์ปานเทพ กับนายแพทย์ธีระวัฒน์ ท่านผู้ชมจะได้รับข้อเท็จจริงอีกเยอะแยะเลยที่ท่านผู้ชมไม่เคยได้รับมาก่อน
นายแพทย์ธีระวัฒน์ และ อาจารย์ปานเทพนั้น เป็นคนที่กระทรวงสาธารณสุข และหมอทั่วไปรังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเป็นคนที่ไม่ยอมเดินตามรอยคำโฆษณาชวนเชื่อของบริษัทผลิตยา และเอาข้อมูลทั่วโลกมาตีแผ่ให้ดูกัน
ราคาบัตร เราจะขายไม่แพง 500 บาทเท่านั้น แฟนๆ จะได้มาชมกันสดๆ ที่หน้าเวทีได้อย่างมีความสุข เอาล่ะครับท่านผู้ชม จำเอาไว้นะครับ ครั้งแรกของรายการ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" จะจัดวันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2567 ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เวลาบ่ายโมงตรง ถึงห้าโมงเย็น
ผมเอาตัวอย่างให้ดูนะครับ ท่านผู้ชมฟังดูแล้วจะตื่นเต้น รายการทอล์กข่าวต่างประเทศโดยคุณทนง ขันทอง และ คุณนงวดี ถนิมมาลย์ รายการพูดเรื่องสุขภาพ เบื้องหน้าเบื้องหลังของบริษัทยาที่มีส่วนผูกพันกับหมอต่างๆ ที่ออกมาเสนอหน้า สนับสนุนบริษัทยาต่างประเทศ ว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร ระหว่างอาจารย์ปานเทพ กับอาจารย์หมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา รายการทอล์กข่าวลึก ข่าวลึกก็คือข่าวที่เกิดขึ้น แต่มีเบื้องหลังเยอะ โดยคุณนพรัฐ พรวนสุข และ คุณกรองทอง เศรษฐสุทธิ์ และทอล์กการเมือง เจ้าเก่า หนีไม่พ้นโสภณ โองการณ์ และ อุษณีย์ เอกอุษณีย์ แล้วจะจบลงด้วยการทอล์กโชว์ของผมเอง นอกจากนี้แล้ว เราจะสลับดนตรีจากวงดนตรี นักดนตรี ที่เราคุ้นเคยกัน
อีก 3 ครั้งในปีนี้ ครั้งที่ 2 เราจะจัดวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน 2567 เราจองสถานที่ไว้เรียบร้อยแล้ว ครั้งที่ 3 จัดวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2567 และครั้งสุดท้ายของปีนี้ วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2567
อย่าลืมนะครับท่านผู้ชม การจองบัตร ใบละ 500 บาท คราวที่แล้วเราขายบัตร 1,500 และ 2,000 บาท งวดนี้ไม่ใช่แล้ว ให้ทุกคนเข้ามา ค่าจัดงาน ค่าเช่าหอฯ 150,000 บาท ค่าเตรียมการ จอต่างๆ ก็ตกประมาณ 350,000-500,000 บาท บัตร 600 ใบ ที่เราขายนั้น นั่งกันเต็มที่ก็ได้ 300,000 บาท ผมเชื่อว่าเต็ม และจะล้น งานนี้ไม่มีบัตรเบ่ง ใครจะใหญ่แค่ไหนต้องจ่าย 500 บาท ไม่ใช่เดินมาให้คนจำหน้าได้แล้วขอเข้ามา ไม่มีครับ ทุกคนจ่ายเหมือนกันหมด ถ้าผมมีคนต้องการจะมาร่วม ขอจองบัตร 4 ใบ ผมจะต้องเป็นคนจ่ายเงินให้ เงินทุกบาททุกสตางค์ ทุกคนมีเท่าเทียมกันหมด ได้ความรู้ ได้สนุกสนาน ที่สำคัญคือ ได้ "ความจริงที่มีหนึ่งเดียว"
อย่าลืมนะครับ 17 มีนาคม "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ครั้งแรกปีนี้ วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2567 บ่ายโมง ถึงห้าโมงเย็น หอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์ เรากำลังพิจารณาว่าเราจะเลี้ยงอาหารเที่ยงท่านผู้ชมด้วยข้าวกล่องหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่ามีคนที่พร้อมที่จะสนับสนุนเรา โดยจัดข้าวกล่องให้เรา แล้วค่อยว่ากันอีกทีครับ
จองบัตรได้ที่ไลน์ @sondhitalk ท่านผู้ชมจองก่อน ส่งเงินมาก่อน จะได้ที่นั่งดีๆ ถ้าจองหลังๆ อาจจะต้องนั่งขั้นบันได ราคาเท่ากัน ไม่ใช่ว่านั่งขั้นบันไดแล้วจ่ายถูกกว่า ไม่ใช่ครับ 500 บาทเหมือนกัน แต่รับรองว่าคุ้มค่าที่สุด การใช้วันหยุดวันอาทิตย์ช่วงบ่าย บ่ายโมงถึงห้าโมงเย็น ด้วยเงิน 500 บาท คุ้มยิ่งกว่าคุ้มครับ ที่สำคัญ ท่านผู้ชมจะได้รับทราบ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ที่หาไม่ได้นอกจากที่นี่เท่านั้น
คำเตือนจาก "สนธิ" ถึง "พิธา"
ท่านผู้ชมครับ เมื่อวานซืนนี้ วันพุธที่ 24 มกราคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 1 วินิจฉัยว่า "ไอทีวี" ไม่ได้ประกอบกิจการสื่อมวลชน เนื่องจาก สปน. ได้ยกเลิกสัญญาและยึดคลื่นความถี่คืนตั้งแต่ปี 2550 ส่งผลให้สมาชิกภาพ สส. ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส. พรรคก้าวไกล ไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ
หลังจากฟังคำพิพากษาแล้ว พิธา ออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ระบุว่า คำวินิจฉัยครั้งนี้ไม่มีผลการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคก้าวไกล ซึ่งตอนนี้มีนายชัยธวัช ตุลาธน นั่งหัวหน้าพรรค และเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้นำอยู่ และพร้อมย้ำว่าตนเองยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล ยังมีความหวังอยู่เสมอ แต่จะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ พิธา บอกว่าแล้วแต่สมาชิกพรรค ซึ่งจะมีการประชุมใหญ่ช่วงปลายเดือนเมษายน 2567
อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลยังมีคดีความให้ต้องลุ้นอีก คือผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในสัปดาห์หน้า วันที่ 31 มกราคม ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดีการหาเสียงยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่าเป็นการใช้สิทธิ์เพื่อล้มล้างการปกครองหรือไม่
เอาล่ะ ไม่เป็นไรครับ 31 มกราคม ก็ยังอีกหลายวันกว่าจะถึง แต่วันนี้ผมต้องขอแสดงความยินดีกับคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่สมปรารถนา ได้กลับเข้ามาโลดแล่นในสภาฯ อีกครั้งหนึ่ง ไหนๆ ก็รอดแล้ว คุณพิธาครับ ผมขออย่างหนึ่งได้ไหม งวดนี้คุณหยุดโกหกได้หรือยัง หัดพูดความจริงบ้าง ที่ผ่านมาคุณโกหกจนได้ฉายา "พิธาคิโอ" มาแล้ว ผมเคยไล่เป็นข้อๆ วันนี้จะย้อนความทรงจำอีกที เพื่อคุณพิธาจะได้ไม่ทำผิดซ้ำซากว่าคุณได้โกหกอะไรบ้าง
ข้อแรก เรื่องมาตรา 112 สมัยหาเสียง พรรคก้าวไกลบอกว่า "แก้ไข" ไม่ใช่ "ยกเลิก" แต่เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2566 ที่สวนสาธารณะเทศบาลนครแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี คุณพิธาปราศรัยปิดท้าย พอเด็กสามนิ้วให้เลือกแปะสติกเกอร์ข้างแก้ไข หรือ ยกเลิก มาตรา 112 คุณพิธาแสดงความกลับกลอกเลือก "ยกเลิก" ทันทีเพื่อเอาใจเด็ก
เรื่องที่สอง คุณอ้างว่าสมัยรัฐประหารปี 2549 ตัวคุณเองโดนกักตัว มาไม่ทันงานศพพ่อ โดนอายัดบัญชีถึงขนาดไม่มีเงินไปจัดงานศพบิดา บรรดาติ่งทั้งหลายฟังแล้วสงสารจับใจ โกรธแค้น เกลียดชังคู่ต่อสู้ทางการเมืองของนายพิธา ซึ่งไม่เป็นความจริง
เรื่องที่สาม คุณพูดกลับกลอกเรื่องกัญชา ตอนแรกคุณบอกว่าคุณสนับสนุนกัญชาเสรีเพื่อสันทนาการ มิหนำซ้ำยังบอกว่าตัวเองเป็นโรคลมชัก แต่พอวันหาเสียงก็ไปพูดกับนายชูวิทย์ ว่า ไม่เอากัญชาเสรี ให้กลับเป็นยาเสพติด
เรื่องที่สี่ คุณอ้างว่าคุณแก้หนี้ให้ครอบครัว 100 ล้านบาท แต่ความเป็นจริงตรงกันข้าม เงินของบริษัทที่คุณพิธาดูแลอยู่นั้น หายไป 100 กว่าล้านบาท
เรื่องที่ห้า ปีที่แล้วคุณใส่เสื้อสีรุ้งไปออกงาน Bangkok Pride 2023 ของพวกเพศที่สาม คุณต้องการสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง ทั้งๆ ที่อดีตคุณเคยสั่งห้ามภรรยาคบเพื่อนเพศที่สาม
และจริงๆ แล้ว คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันพุธที่ผ่านมา แม้คำวินิจฉัยจะเป็นคุณกับตัวคุณ แต่เนื้อหาของคำวินิจฉัยก็เปลือยตัวตนที่แท้จริงของคุณว่าเป็นคนกะล่อน ไม่ว่าจะเป็นการอ้างว่าหุ้นไอทีวีที่ตัวเองถือนั้นอยู่ในฐานะผู้จัดการมรดก ซึ่งศาลชี้ว่าฟังไม่ขึ้น เพราะสถานภาพคุณนั้นเป็นทั้งผู้จัดการมรดก และเป็นทายาท มีสิทธิ์ในมรดก การอ้างว่าไม่ยอมโอนหุ้นต่อตั้งแต่ปีแรก (2562) ก่อนลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ในเวลาต่อมา พอเรื่องแดงขึ้น ในเดือนพฤษภาคม 2566 คุณกลับโอนให้น้องชายคุณเองได้ภายในวันเดียวกัน เป็นต้น
นอกจากนี้แล้ว ที่สำคัญคือ ก่อนอ่านคำพิพากษา คำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ท่านผู้พิพากษาวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้กล่าวชี้แจงถึงกระบวนการพิจารณาในคดีนี้ ว่า เรื่องที่หนึ่ง ศาลได้เคยแจ้งให้คู่กรณีฟังแล้วว่า ในการไต่สวนพยาน ผู้ถูกร้องได้มีการขอขยายเวลายื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหา 2 ครั้งด้วยกัน ครั้งละ 30 วัน 2 ครั้ง เป็น 60 วัน ซึ่งศาลก็อนุญาต ทั้งที่คดีนี้น่าจะสิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่ 60 วันก่อน ทำความเข้าใจนะครับว่าศาลไม่ได้ทำงานล่าช้า
เรื่องที่สอง ศาลได้แจ้งต่อคู่กรณีว่า การที่พิธา ไปแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคดีในสื่อต่างๆ นั้น ถือว่าไม่สมควร ไม่เหมาะสม เพราะการแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะบวกหรือลบก่อนคดีที่ศาลอ่าน อาจจะเป็นการชี้นำ เป็นการกดดันศาล ฉะนั้นการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสม จึงขอเตือนเอาไว้ คำเตือนนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้ใส่เอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรด้วย ในข่าวเผยแพร่ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ระบุว่า "อนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ก่อนศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย คู่กรณีไม่สมควรแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคดีเพราะอาจเป็นการชี้นำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้"
นี่ล่ะครับ คุณพิธา ผมเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะคุณพิธา ให้กลับตัวกลับใจเสีย คุณเลิกสร้างภาพได้หรือยัง เลิกโกหก หยุดเป็นคนที่ปลิ้นปล้อนตอแหลเสียที กลับไปทำหน้าที่ที่ซื่อสัตย์ในฐานะเป็น สส. ผู้ทรงเกียรติ ไม่มีอะไรถูกต้องเท่า "ธรรม" เพราะว่า "ธรรม" คือความจริงที่มีหนึ่งเดียว ที่คุณโกหกสร้างภาพตอแหลอะไรก็ได้ เพราะคิดว่า FC คุณจะหลงเชื่อ แต่อย่าลืมว่าถ้า FC พวกนี้หลงเชื่อ ก็แปลว่าคุณจะได้พวกติ่งโง่ๆ มาสนับสนุนคุณ
คุณพิธาครับ แม้กระทั่ง 1-2 วันก่อนจะมีการอ่านคำพิพากษา คุณให้ IO ของคุณโพสต์เฟซบุ๊กออกมาว่า ถ้าคำพิพากษาออกมาแล้วทำให้พิธาผิดนั้น แสดงว่าศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำสั่งจากมัน "มัน" นี่คือใคร คุณพิธา ? มันที่คุณพูดถึงนั้นคือใคร ? คือข้างบนใช่หรือเปล่า คุณใช้ IO จาบจ้วงตลอดเวลา กรณีถ้าคุณผิด คุณก็จะอ้างว่าเป็นคำสั่งจาก "มัน" ผมอยากถามคุณพิธาหน่อย ผมอยากถามติ่งคุณพิธาหน่อย พวกคอนด้อมส้ม "มัน" คือใคร ? แล้ววันนี้คุณหลุดได้ ทำไมคุณไม่โพสต์ต่อล่ะ ขอบคุณที่ "มัน" ทำให้ตัวเองหลุด ทุเรศทุรังมากคุณพิธา ผมเกิดมาไม่เคยเจอใครเหมือนคุณเลย คุณกลับเนื้อกลับตัวได้แล้วนะ ไอ้คนกะล่อนปลิ้นปล้อนแบบนี้
ขบวนการโกงคุก วันนี้ "ทักษิณ" วันหน้า "ยิ่งลักษณ์"
ท่านผู้ชมครับ ผมได้หยิบยกกรณีทักษิณ ชินวัตร ต้องโทษจำคุก แต่ไม่ยอมติดคุกสักวันเดียว มาพูดเป็นครั้งที่สามแล้ว ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 225 วันศุกร์ที่แล้ว ตอน "ระเบิดเวลา เทวดาชั้น 14" ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับว่าทีมงานรายการตัดเรื่องนี้เป็นคลิปสั้นลงเผยแพร่ช่องทางต่างๆ เช่น Sondhi App, Facebook, YouTube, TikTok ภายในระยะเวลาแค่ 2-3 วัน มีคนเข้ามาชมคลิปนี้เป็นล้านๆ คนแล้ว ยกตัวอย่าง TikTok 'SONDHI TALK' คลิปไฮไลต์รายการ "เปิดขบวนการปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ นักโทษเทวดาชั้น 14" มีคนเข้ามาชมตั้ง 8 แสนครั้ง คนกดไลก์กว่า 35,000 คน แสดงความคิดเห็นถึง 700 ความเห็น
ส่วน YouTube Sondhi Talk เฉพาะคลิปสั้นเรื่อง "ระเบิดเวลา เทวดาชั้น 14" มีผู้เข้าชมเนื้อหาคลิปเกือบ 2 แสนครั้ง เข้าไปแล้ว นี่ยังไม่นับรวมคลิปเนื้อหาลงแพลตฟอร์มอื่นๆ เมื่อบวกกันแล้วก็ทะลุล้านไปแล้ว นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก่อนที่ผมจะพูดเรื่องนี้ต่อไป เรามาดูผลของนิด้าโพลกันนิด เพราะว่าผลของนิด้าโพลน่าสนใจมาก เพราะคนไทยอ่านนิด้าโพลแล้ว ไม่อ่านให้ลึกให้ละเอียด
ท่านผู้ชมครับ นิด้าโพลออกมาเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2567 ไม่กี่วันมานี้ สื่อต่างๆ พากันพาดหัวอย่างนี้ครับ มติชนพาดหัวว่า "นิด้าโพลชี้กรณีทักษิณไม่ส่งผลต่อความอยู่รอดของรัฐบาล" สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น บอกว่า "นิด้าโพลเผยทักษิณนอน รพ.ตำรวจ ไม่มีผลต่อรัฐบาล" ไทยรัฐพาดว่า "โพลชี้ปมทักษิณไม่ส่งผลรัฐบาล ไม่ลุกลามสู่วิกฤตรอบใหม่" ส่วนช่อง 7 รายงานว่า "นิด้าโพลชี้ทักษิณนอนโรงพยาบาลไม่กระทบรัฐบาล"
ท่านผู้ชมครับ ฟังดูแล้วมันอาจจะเป็นเช่นนั้นจริง แต่ว่าในความเป็นจริง สื่อมวลชนและประชาชนจำนวนมากไม่ได้ดูรายละเอียดและไส้ในของผลสำรวจที่เน้นกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจประมาณ 1,300 กว่าตัวอย่าง ไปที่ภาคอีสาน ภาคเหนือ ที่เป็นฐานเสียงพรรคเพื่อไทย ที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอยู่ในปัจจุบันนี้
นอกจากนี้แล้ว ที่น่าสนใจจุดหนึ่งคือ จากคำถามที่นิด้าโพลถามว่า ท่านคิดว่าการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้ส่งตัวทักษิณกลับเข้าเรือนจำจะลุกลามไปสู่วิกฤตทางการเมืองรอบใหม่ เหมือนการชุมนุมพวกเสื้อเหลือง เสื้อแดง และ กปปส. ในอดีตหรือไม่ คำตอบที่ได้มีนัยสำคัญมาก แต่พวกเราไม่สนใจ ข้อที่ 1 จะไม่นำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่แน่นอน 41.60% ข้อที่ 2 จะนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่ แต่ไม่ใหญ่โตเหมือนในอดีต 41.30% ข้อที่ 3 จะนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่เหมือนในอดีตแน่นอน 11.15% และ เฉยๆ ไม่ตอบ ไม่สนใจ 5.95% ถ้ามองผิวเผินอาจจะมองได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ 41.60% มองว่าปัญหาเรื่องทักษิณไม่ยอมติดคุกจะไม่นำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่ แต่ในความเป็นจริงก็คือ เมื่อเรานำความเห็นประชาชนข้อ 2 และ ข้อ 3 มาบวกรวมกัน คือ 41.30% บวกกับอีก 11.15% จะได้เท่ากับ 52.45% ซึ่งเกินครึ่งและมากกว่าข้อ 1 อย่างเห็นได้ชัด
นั่นหมายความว่า แม้ส่วนใหญ่กลุ่มตัวอย่างผู้ตอบแบบสอบถามจะเป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยในภาคอีสานและภาคเหนือ แต่เขายังมองว่าการชุมนุมประท้วงกรณีที่ทักษิณไม่ยอมติดคุกจะนำไปสู่วิกฤตทางการเมืองรอบใหม่อย่างแน่ๆ เพียงแต่จะลุกลามหรือไม่ลุกลามใหญ่โตเท่านั้นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเรามองความเคลื่อนไหวทั้งในสภาฯ นอกสภาฯ และสถานการณ์แวดล้อมต่างๆ แล้ว ดังที่ผมเกริ่นไปแล้วว่าตั้งแต่กลุ่ม สว. กลุ่มฝ่ายค้าน การเคลื่อนไหวบนท้องถนน รวมไปถึงล่าสุด แม้กระทั่งคุณชวน หลีกภัย ก็ออกมากระทุ้งเรื่องนี้แรงๆ ด้วย กระทุ้งอย่างไร ? อาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2567 ที่เราจัดรายการ "20 ปี เมืองไทยรายสัปดาห์" อยู่ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ติดๆ กันกับหอประชุมใหญ่ที่คุณชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภา และอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ คือ "เหลียวหลังแลหน้าธรรมศาสตร์และประชาชน"
ตอนหนึ่งคุณชวน กล่าวถึงกรณีที่ทักษิณพักอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ มากว่า 150 วันแล้ว โดยไม่ยอมติดคุก ว่า คุณชวน ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ท. น.พ. อิทธิพร คณะเจริญ ซึ่งเป็นเลขาธิการแพทยสภา เมื่อช่วงเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว ในกรณีนี้แพทยสภาควรปกป้องน้องๆ ปกป้องแพทย์ไว้ก่อน ให้คำแนะนำที่ถูกต้องว่าอย่าไปเซ็นหรือรับรองอะไรที่ไม่ถูก ช่วยกรุณาป้องกันไว้ก่อน เรื่องนี้มีปัญหาแน่นอน เพราะความจริงยังเป็นความจริงวันยันค่ำ วันนี้ไม่ปรากฏ วันหน้าต้องปรากฏ รู้ว่าหลายคนไม่อยากทำผิด
ท่านผู้ชมครับ เรื่องของทักษิณ ชินวัตร กับเรื่องของกรมราชทัณฑ์ และกระทรวงยุติธรรมนั้น อย่างที่ผมเรียนให้ทราบคราวที่แล้วว่า จะพยายามที่จะให้มีการจำคุก กักขังนอกเรือนจำนั้น ความพยายามนี้ตกไปแล้ว เพราะคนที่เข้าร่วมประชุม 8 คนนั้นเขาไม่เห็นด้วย ไม่มีมติ ทางกรมราชทัณฑ์ โดยการสั่งการของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นคนรับใช้คุณทักษิณอย่างเต็มตัว ก็พยายามที่จะหาทางแก้ไข เพราะว่าถ้าการที่จะให้คุณทักษิณออกมาเร็วๆ นี้ ซึ่งต้องการออกเร็วๆ นี้ ไม่ต้องการที่จะรอให้ถึงเวลาพักโทษได้ ก็เลยคิดกระบวนการพักโทษกรณีพิเศษขึ้นมา
ทีนี้ การพักโทษกรณีพิเศษมันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้นแล้ว ทั้งกระทรวงยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์ ภายใต้การนำของทวี สอดส่อง พยายามขอพระราชทานอภัยโทษในวาระมงคลต่างๆ ที่ผ่านมา 13 ตุลาคม วันสวรรคตของรัชกาลที่ 9 มาถึง 5 ธันวาคม วันพระบรมราชสมภพของรัชกาลที่ 9 ก็ทำไม่สำเร็จ ระเบียบจำคุกนอกเรือนจำก็ทำไม่สำเร็จ มันติดตรงที่ว่าคณะทำงานพิจารณาการคุมขังในสถานที่คุมขัง คณะกรรมการดังกล่าวถูกแต่งตั้งโดยอธิบดีกรมราชทัณฑ์ โดยตำแหน่ง คณะกรรมการชุดนี้มี 8 คน และทุกคนไม่เห็นด้วย ไม่ยอมเซ็นอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่เป็นข้าราชการ เป็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์โดยอาชีพ ทำงานมายาวนาน แสดงผลงานตัวเองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไต่เต้าขึ้นมาถึงรองอธิบดี เป็นผู้อำนวยการกองโน้น กลุ่มนี้ ในกรมราชทัณฑ์ พวกเขาเห็นว่ามันทำไม่ได้ในการประชุมคณะกรรมการคัดกรองการคุมขังในสถานที่คุมขัง เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 จึงไม่มีการผ่านระเบียบจำคุกนอกเรือนจำใดๆ ทั้งสิ้นออกมา
ทีนี้ กรณีพักโทษกรณีพิเศษ โดยอ้างว่าทักษิณ ชินวัตร มีคุณสมบัติและหลักเกณฑ์การพักโทษกรณีมีเหตุพิเศษ เนื่องจากเจ็บป่วย พิการ หรือมีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป
ประเด็น การจะดำเนินการให้มีการพักโทษในกรณีพิเศษให้ผ่านได้โดยไม่ติดขัด เหมือนจำคุกนอกเรือนจำนั้น พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และทักษิณ จะต้องจัดการสะสางเรื่องภายในกรมราชทัณฑ์ ต้องหาคนที่เชื่อฟังคำสั่งและพร้อมที่จะทำสิ่งที่ตนเองต้องการเสียก่อน และนั่นคือที่มาของการออกคำสั่งกรมราชทัณฑ์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2567 ลงนามโดยอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์
คำสั่งฉบับดังกล่าวนั้นส่งมาเพื่อที่จะแนบ 9 รายชื่อ ซึ่งผมเอาขึ้นให้ดู ใน 9 รายชื่่อนี้ที่เขาจะโยกย้ายมาทำงาน ผมอยากให้โฟกัสไปที่ 3 คน ลำดับที่ 1 ที่ 3 และ ที่ 4 โดยเฉพาะคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่อะไร ลำดับที่ 1 คือ น.ส.สุวิมล แซ่อึ้ง เดิมตำแหน่งนักทัณฑวิทยาชำนาญการพิเศษ เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปฏิบัติหน้าที่เรือนจำพิเศษธนบุรี ให้มาทำหน้าที่ นักทัณฑวิทยาชำนาญการพิเศษ สำนักงานเลขานุการกรม เอาคุณสุวิมล เข้ามาอยู่ที่สำนักงานเลขานุการกรม ในตำแหน่งเดิม คือ นักทัณฑวิทยาชำนาญการพิเศษ
น.ส.แสงสุข ลิ่มพันธ์ เดิมตำแหน่งนิติกรชำนาญการพิเศษ กองกฎหมาย ให้มาปฏิบัติงานหน้าที่นิติกรชำนาญการพิเศษ สำนักผู้ตรวจราชการกรม ปฏิบัติหน้าที่กลุ่มงานรับเรื่องราวร้องทุกข์ น.ส.วริศรา กุญชร ณ อยุธยา เดิมตำแหน่ง นักทัณฑวิทยาชำนาญการพิเศษ เรือนจำจังหวัดนราธิวาส ปฏิบัติหน้าที่สถาบันพัฒนาข้าราชการราชทัณฑ์ ให้มาปฏิบัติหน้าที่ นักทัณฑวิทยาชำนาญการพิเศษ กองกฎหมาย
ท่านผู้ชมครับ การปรับย้ายบุคลากร 3 คนนี้มา เพื่ออะไร ? เพื่อให้ความชอบธรรมการดำเนินการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษให้กับทักษิณ ซึ่งกำลังดำเนินการอย่างแข็งขัน
นอกจากนั้นแล้ว อธิบดีกรมราชทัณฑ์ยังออกคำสั่งกรมราชทัณฑ์อีกครั้งหนึ่ง ที่ 75/2567 เรื่อง ให้ข้าราชการช่วยราชการ โดยสาระสำคัญคำสั่งฉบับนี้คือให้ นายเกษม ศัลยวุฒิ ตำแหน่ง นักทัณฑวิทยาชำนาญการพิเศษ กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร ปฏิบัติหน้าที่เรือนจำกลางสมุทรปราการ มาช่วยราชการที่ กองทัณฑวิทยา ให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการกลุ่มงานมาตรการควบคุมผู้ต้องขัง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567
คำสั่งนี้คนในกรมราชทัณฑ์รู้ทันทีว่า เขาชี้ว่าการโยกย้ายนายเกษม มาทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการกลุ่มงานมาตรการควบคุมผู้ต้องขัง เพื่อสานต่อการจำคุกนอกเรือนจำนั่นเอง เพื่ออะไร ? แว่วข่าวมาว่า เพื่อจะเตรียมรองรับในกรณีที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมาเมืองไทย เตรียมการเอาไว้ก่อน อันแรกไม่สำเร็จ อันที่สอง เตรียมการไว้ล่วงหน้าเลย ค่อยๆ ทำไปทีละขั้นตอนๆ ไม่ให้มีใครกระโตกกระตาก
เพราะฉะนั้นแล้ว ก็สามารถที่จะทำได้ ถ้าทำได้สำเร็จก็คือกลับมาปั๊บ ก็ไม่จำเป็นต้องติดคุกแม้แต่วันเดียวเหมือนพี่ชาย ผมฝากไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ไม่ว่าจะเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ท่านผู้หญิง สุภาพสตรีทั้ง 3 ท่าน และคุณเกษม หมู่ข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมือง ที่ร่วมขบวนการโกงการติดคุกให้ทักษิณ และกำลังวางแผนเผื่อไปถึงน้องสาว คือ ยิ่งลักษณ์ อีกครั้งหนึ่งว่า พวกคุณอย่าทำเรื่องโง่ๆ อย่างนี้ได้ไหม คุณอย่าคิดว่าสิ่งที่พวกคุณทำอยู่นี้ คนอื่นหรือประชาชนเขารู้ไม่ทัน ทุกวันนี้คุณกลับเข้าเมืองไทยได้อีกครั้งก็เพราะเงื่อนไขพิเศษ คนทั่วไปเขาไม่ได้รักคุณ หรือลืมสิ่งที่คุณทำเอาไว้หรอก แต่มันมีเงื่อนไขพิเศษ ที่สำคัญ คุณกำลังเปลี่ยนให้เงื่อนไขพิเศษดังกล่าวให้หมดไป แล้วจะกลายเป็นเชือกมัดคอคุณเอาไว้แบบดิ้นไม่หลุด
เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ที่หวังในตำแหน่ง ลาภยศ ยอมทำตามทั้งๆ ที่ไม่ถูกต้อง
เรื่องนี้ไม่นานหรอกครับ เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก เชื่อผมสิ ท่านสุภาพสตรีทั้งหลายอยากได้ตำแหน่งเหลือเกิน ยอมย้ายมา บางคนถึงกับเก่งกล้าสามารถ อ้างว่าอ่านกฎหมายแล้วไม่ผิด เอาล่ะ คุณทำไปเถอะ แล้ววันหนึ่งเมื่อกรรมมาถึง คุณต้องรับโทษแทนทักษิณ ชินวัตร คุณอย่ามาร้องแรกแหกกะเชอขอความเป็นธรรมก็แล้วกัน พวกคุณน่ะโอกาสติดคุกมีสูงมาก ไม่ใช่ตอนนี้ แต่ในอนาคตที่จะมาถึงนะครับ
เรือดำน้ำส่อจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง
วันนี้เรามาพูดเรื่องเรือดำน้ำของราชนาวีหน่อย หลังจากพูดถึงเรื่องเรือรบหลวงสุโขทัยไปแล้ว ตอนนี้การจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือที่ดำเนินการยืดเยื้อยาวนานใกล้จะปิดฉากในลักษณะที่บ่งชี้ว่าจบลงแบบ Happy ending หลังจากที่นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงในสภาฯ ในวันที่มีการพิจารณางบประมาณกระทรวงกลาโหม และกล่าวพาดพิงถึงโครงการเรือดำน้ำ โดยพรรคฝ่ายค้าน นายสุทินได้ลุกขึ้นตอบโต้ว่า แม้จะมีคนระบุให้ยกเลิกสัญญา แต่หากยกเลิกแล้วจะทำให้ได้เงินที่จ่ายไปหลายงวดคืน รวมทั้งเงิน 6,000 ล้านบาท ตนก็จะทำตั้งแต่วันนี้ เรื่องดังกล่าวต้องเห็นใจกองทัพเรือ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศจีนด้วย เศรษฐกิจที่ทำร่วมกับประเทศจีนจะมีประโยชน์ร่วมกัน 200,000 ล้านบาท เอาเรื่องปัญหาเรือดำน้ำมาทำนั้นมันไม่คุ้มในข้อขัดแย้ง
นี่คือคำชี้แจงกลางสภาฯ ของนายสุทิน รัฐมนตรีฯ กลาโหม เกี่ยวกับความคืบหน้าโครงการเรือดำน้ำ ซึ่งมีการส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาว่าสามารถแก้ไขสัญญาได้หรือไม่ กรณีที่จีนไม่สามารถติดตั้งเครื่องขับกำเนิดไฟฟ้า ตราอักษร MTU ที่ผลิตในเยอรมนี หรือต้องยกเลิกสัญญา อันเนื่องจากจีนไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุใน TOR ทำให้ไม่สามารถส่งมอบเรือดำน้ำให้แก่ไทยได้ ทั้งๆ ที่ถึงเวลาตามสัญญาแล้ว
วันที่ 16 มกราคม นายสุทินได้เปิดปากให้สัมภาษณ์สดผ่านสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง เกี่ยวกับความคืบหน้าเรือดำน้ำไทย โดยระบุว่า อัยการได้ส่งหนังสือตอบข้อสงสัยกองทัพเรือเกี่ยวกับการดำเนินโครงการเรือดำน้ำทั้ง 3 ประเด็น คือ ข้อที่หนึ่ง การแก้ไขสัญญาจากเครื่องยนต์ MTU ที่ผลิตในเยอรมนี เป็นเครื่องยนต์ MTU ที่ผลิตในจีน ถือเป็นสาระสำคัญในสัญญาหรือไม่ สอง หากไม่ใช่สาระสำคัญ ซึ่งจะทำให้สามารถแก้ไขสัญญาในเรื่องดังกล่าวได้ อำนาจการแก้ไขสัญญานั้นเป็นอำนาจของใคร และประเด็นสุดท้าย คือ ถ้าแก้ไขสัญญา เปลี่ยนแปลงจากเรือดำน้ำไปเป็นเรือฟริเกต สามารถทำได้หรือไม่ มีขั้นตอนการดำเนินการอย่างไร
ทั้งนี้ นายสุทิน อ้างว่าได้มีคำตอบทั้ง 3 ประเด็น จากอัยการสูงสุดมาแล้ว แต่ทางกระทรวงกลาโหมยังไม่มีเอกสาร จึงไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดได้ขณะนี้ แต่เชื่อว่าคำตอบของอัยการสูงสุดมีทิศทางไปในแนวทางที่ดี ซึ่งทางกลาโหมจะนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีให้ลงมติอีกครั้งหนึ่ง
นายสุทิน ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขใดๆ รัฐมนตรีกลาโหมไม่มีอำนาจ ต้องขึ้นอยู่กับมติคณะรัฐมนตรีเท่านั้น โดยส่วนตัวเชื่อว่าคณะรัฐมนตรีจะพิจารณาสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และฟังข้อคิดเห็น ความต้องการของกองทัพเรือเป็นองค์ประกอบควบคู่ไปกับการคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระหว่างจีนกับไทย
ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้กองทัพเรือเตรียมที่จะขอขยายระยะเวลาส่งมอบเรือดำน้ำออกไปอีกไม่น้อยกว่า 2 ปี หลังจากที่ในสัญญาเดิม เรือดำน้ำจะต้องส่งมอบภายในวันพุธที่ 31 มกราคม ที่จะถึงนี้ รวมทั้งกองทัพเรือจะชี้แจงข้อมูลทางเทคนิคเพื่อแสดงให้เห็นว่าเครื่องยนต์ MTU ของจีน เป็นเครื่องขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟสำหรับชาร์จแบตเตอรี ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพลังงานขับเคลื่อนเมื่อเรืออยู่ใต้ผิวน้ำ ดังนั้นเครื่องขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจึงไม่ใช่เครื่องจักรใหญ่ หรือเครื่องยนต์ที่ใช้ในการขับเคลื่อนเรือโดยตรง และไม่ใช่เครื่องยนต์ที่ใช้ในขณะเรือแล่นอยู่บนผิวน้ำ จึงไม่ใช่สิ่งที่ถือเป็นสาระสำคัญในสัญญาเดิมที่ลงนามกันไว้ อีกทั้งมีความน่าเชื่อถือ และกองทัพเรือไทยไม่ใช่กองทัพเรือแรกในโลกที่ใช้เครื่องยนต์ MTU ที่ผลิตในจีน เพราะเรือดำน้ำปากีสถาน ซึ่งจีนส่งมอบมาแล้วอย่างน้อย 1 ลำ จากจำนวนทั้งหมดที่ลงนามในสัญญา 6 ลำ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้กองทัพเรือมั่นใจว่า ครม. จะเห็นชอบกับการขออนุมัติแก้ไขสัญญาตามแนวทางที่อัยการสูงสุดตอบมาให้เป็นข้อยุติในการปฏิบัติ
ส่วนกองทัพเรือนั้น ระบุว่า พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ ค่อนข้างมั่นใจว่าโครงการเรือดำน้ำสามารถไปต่อจนถึงขั้นการส่งมอบเรือได้ การที่จะเปลี่ยนเรือดำน้ำ จากเรือดำน้ำ เป็นเรือฟริเกต ไม่น่าเกิดขึ้น จึงทำให้กองทัพเรือเดินหน้าเตรียมจัดหาเรือฟริเกตลำใหม่ มีข่าวว่าทั้งประเทศเกาหลีใต้ และสิงคโปร์ สนใจในโครงการนี้ และมีการเสนอแบบเบื้องต้น และคุณลักษณะของเรือ ให้กองทัพเรือได้พิจารณาแล้วเพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่อาจจะเป็นเครื่องชี้วัดความมั่นใจของกองทัพเรือ คือการเดินหน้าปรับปรุงเรือหลวงช้าง ซึ่งเป็นเรือพี่เลี้ยงเรือดำน้ำ ตามวัตถุประสงค์แรก แต่ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นเรือยกพลขึ้นบกเอนกประสงค์ ซึ่งเรือหลวงช้างนั้นมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ถึง 3 ลำ จะต้องติดเรดาร์อีก 3 มิติ ระบบอาวุธเพิ่มเติมภายใต้วงเงิน 900 ล้านบาท และเป็นที่สนใจของบริษัทในยุโรป และอเมริกา ตลอดจนในภูมิภาคอาเซียนเช่นกันกับการยื่นข้อเสนอเรือฟริเกต และมีข่าวว่าตัวแทนบริษัทรัสเซียก็มีความสนใจในการยื่นข้อเสนอปรับปรุงเรือหลวงช้างให้แก่กองทัพเรือไทยเช่นเดียวกัน
ผังเมืองใหม่ กทม. ปล้นชาวบ้าน สังเวยนายทุน
ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดนี้เป็นเรื่องที่ท่านผู้ชมตั้งใจฟังให้ดีๆ คือ ผังเมืองใหม่ กทม. ท่านผู้ชมฟังเหตุผลของผมดีๆ แล้วท่านผู้ชมจะเห็นด้วยกับผมว่า คนที่สร้างปัญหานี้ก็คือกระทรวงการคลัง ตัวการเลยที่ทำ จะทำด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ผมไม่รู้ แต่ว่าผังเมืองใหม่นี้ทำความลำบากยากเย็นและขมขื่นให้กับคนที่อาศัยอยู่ในย่านนั้น อยู่กันมาเป็นสิบๆ ปี ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย ทวด
เมื่อไม่นานมานี้มีผู้ชมรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" อาศัยอยู่ที่คอนโดฯ ผาสุข ซอยอารีย์ แขวงสามเสนใน ส่งข้อความ inbox มาถึงผม ขอให้ตีแผ่เรื่องผังเมืองรวม กทม. ปรับปรุงครั้งที่ 4 เพราะเรื่องนี้กำลังทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในซอยพระราม 6 ซอย 30 เริ่มจากปากซอยพหลโยธิน 5 ซอยราชครู ถึง กรมประชาสัมพันธ์ และผู้อยู่อาศัยคอนโดฯ ผาสุข มีความทุกข์ใจมากๆ เพราะคอนโดฯ นี้อยู่ในแนวเส้นแดงของผังเมือง ชาวคอนโดฯ ผาสุข อยู่กันมานานหลายสิบปีแล้ว ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย เกษียณจากงานแล้ว ชาวบ้านกังวลว่าจะได้รับความเดือดร้อน หากต้องมีการรื้อถอนคอนโดฯ ออกไป
ตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบได้รับทราบเรื่องจากกลุ่มอนุรักษ์พญาไท ทราบเรื่องกันเอง โดยไม่ใช่รัฐเป็นคนบอกให้ทราบ แจ้งให้ทราบว่าจะมีการปรับผังเมืองใหม่ ซึ่งจากที่เห็นตามผัง ส่วนสีแดง จะพบว่าจะมีการตัดขยายถนนในซอยอารีย์ จากเดิมเป็นถนน 2 เลน กว้าง 90 เมตร เป็นถนน 4 เลน กว้าง 16 เมตร ซึ่งเมื่อลองวัดจากกึ่งกลางถนนข้างละ 8 เมตร โดยการวัดกันเอง เพราะไม่เคยมีใครจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาแจ้งให้ทราบเลย นี่คือความชั่วร้ายของระบบราชการไทย เลวทรามต่ำช้าบัดซบมาก ก็พบว่าการขยายถนนดังกล่าวจะกินพื้นที่เข้ามาถึงเสาของอาคาร ซึ่งจะทำให้อาคารคอนโดฯ ถูกรื้อ ทุบทิ้งออกไป
ด้วยเหตุนี้ ในการจัดทำผังเมืองรวม กทม. ครั้งที่ 4 เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2561 กทม. ได้จัดการให้มีการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นและปรึกษาหารือกับประชาชน ในวันที่ 23 และ 24 ธันวาคม 2566 ที่ศาลาว่าการ กทม. 2 ตัวแทนกลุ่มชาวคอนโดฯ ผาสุข ซอยอารีย์ เข้าไปร่วมรับฟังด้วย เพราะอยากทราบรายละเอียดและต้องการทราบว่าเรื่องจริงหรือเปล่า
เป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มที่เข้ามารับฟังเป็นประชาชนทั่วไป มีเพียงกลุ่มของตนเอง ที่เหลือมาเป็นกลุ่มบริษัท ใส่ชุดยูนิฟอร์ม เอกสารที่ได้รับระบุว่า ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครฉบับปรับปรุงฉบับที่ 4 และเป็นฉบับรับฟังความคิดเห็นของประชาชน มีรายละเอียด มีแผนที่ผังเมืองซึ่งยากที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าใจได้ถ้าไม่มีการศึกษาหรือติดตามมากขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อกลับไปสอบถามเพื่อนบ้านในคอนโดฯ และประชาชนในละแวกพื้นที่ซอยอารีย์สัมพันธ์ กลับไม่มีใครรู้เรื่องเลย เรียกได้ว่าขาดการประชาสัมพันธ์อย่างหนัก โดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งแตกต่างจากการเสียภาษีที่มีหนังสือส่งถึงบ้าน การกระทำดังกล่าวไม่นึกถึงจิตใจคนที่อยู่ในละแวกนั้นได้รับผลกระทบอย่างมาก เวลานี้ชาวบ้านแถวนั้นกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะไม่อาจสู้แรงของหน่วยงานภาครัฐได้ จึงเครียดกันมาก
นอกจากนั้นแล้ว ในการประชุมรับฟังความคิดเห็นเมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา ชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างพากันไปคัดค้าน สอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ร่างผังเมืองใหม่ได้เคยลงสำรวจหรือเปล่า ได้เคยไปลงพื้นที่ถามใจคนที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นหรือเปล่า ชาวบ้านต้องใช้หนังสือกี่ฉบับถึงจะคัดค้านการกระทำดังกล่าวได้
พอเสียงค้านดังขึ้น ทาง กทม. นำโดยคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่างพากันเลือกเขาเข้ามาเป็นผู้ว่าฯ กทม. เชื่อมั่นในความสามารถของเขา ก็แก้เกี้ยวด้วยการขยายเวลารับฟังความคิดเห็นประชาชน จากเดิมหมดเขตวันที่ 22 มกราคม 2567 ยืดไปอีกเป็นเวลา 1 เดือน เป็นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 แทน แต่ว่าเหมือนกันกับการทำงานของคุณชัชชาติ ไม่มีคำตอบว่าประชาชนที่ได้รับผลกระทบต้องรวบรวมรายชื่อเท่าไรจึงจะยื่นคัดค้านการกระทำดังกล่าวได้
คนที่ได้รับผลกระทบตั้งข้อสังเกตว่า ในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชนในการประชุมได้ระบุในรายงานเอกสารว่า มีการประชุมกลุ่มเขตแยกเป็นกลุ่มๆ ครั้งที่ 1 กลุ่มกรุงเทพตะวันออก ครั้งที่ 2 กลุ่มกรุงเทพฯ กลาง ครั้งที่ 3 กลุ่มกรุงธนใต้ ครั้งที่ 4 กลุ่มกรุงเทพฯ เหนือ ครั้งที่ 5 กลุ่มกรุงธนเหนือ ครั้งที่ 6 กลุ่มกรุงเทพฯ ใต้ และครั้งที่ 7 กรุงเทพมหานคร (50 เขต) รวม 7 ครั้ง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วประชาชนในแต่ละกลุ่มได้นัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจริงๆ แค่ 1 หรือ 2 ครั้งเท่านั้น เพราะครั้งที่ 1-3 ประชุมพร้อมกัน เวลาเดียวกันทุกกลุ่ม แต่ต่างสถานที่ เช่นเดียวกับครั้งที่ 4-6 ก็ประชุมพร้อมกัน คนละสถานที่ แล้วกลับนับเป็นครั้งที่ 7 ได้อย่างไร
ประเด็นเรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนเลย มีการตั้งข้อสังเกตว่า การจัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นเพียงเพื่อให้เสร็จๆ ไป คุณชัชชาติครับ คุณฟังให้ดีๆ คุณน่ะหิวแสง คุณไม่ได้มีฝีไม้ลายมือบ้าบอคอแตกอะไรหรอก เหมือนกับลักไก่หรือเปล่า คือทำเพียงเพื่อให้เสร็จตามเงื่อนไขขั้นตอนว่าได้ทำแล้ว ทั้งๆ ที่วิธีการไม่ถูกต้อง เป็นการกระทำเพียงเพื่อให้เข้ากับขั้นตอนว่าประชาชนรับรู้แล้วและไม่คัดค้าน
อาคารคอนโดฯ 8 ชั้น ไม่ใช่ก้อนเค้กที่จะแบ่งเสาออกไปได้ บางคนเริ่มผ่อน บางคนเพิ่งผ่อนหมด แต่กลับต้องมาโดนแบบนี้ ส่วนที่มองว่าเป็นการแก้ปัญหาจราจร ไม่สมเหตุสมผล เพราะแม้ไม่ติดในจุดนี้ ก็ต้องไปติดในจุดอื่นอยู่ดี และช่วงบริเวณพื้นที่ดังกล่าวจราจรจะติดในช่วงเวลาเร่งด่วนตอนเช้าและเย็นเท่านั้น ก็เลยตั้งข้อสังเกตว่า ผังเมืองใหม่ต้องการตัดถนน ขยายให้กว้างขึ้น ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเพื่ออะไร ? นี่คือหลักเหตุผลที่แท้จริง เพื่อเอื้อในการสร้างตึกสูงแทนตึกเก่า ซึ่งใช่หรือไม่ใช่ว่าเป็นความต้องการของประชาชน ตอนนี้ทางผู้ได้รับผลกระทบกำลังอยู่ระหว่างการทำหนังสือคัดค้าน ชาวบ้านไม่อยากให้เรื่องเงียบ ตอนนี้ไม่ว่าคนแก่หรือคนทำงานก็อยู่ยากแล้ว เพราะเครียดและกังวลใจอย่างมาก
ท่านผู้ชมครับ ซอยนี้ถ้าท่านผู้ชมเคยสัญจรมา ซึ่งผมเชื่อว่าท่านผู้ชมหลายท่านเคยสัญจรไป ทราบดีว่า ปกติแล้วจากถนนต้นซอย ที่เข้ามาจากถนนพระราม 6 ก็จะมีกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน มาถึงกรมประชาสัมพันธ์ เฉพาะช่วงนี้จะเป็นถนน 4 เลน
พอผ่านหน้ากรมประชาสัมพันธ์ และซอยอารีย์ 6 ถนนจะหดแคบเหลือแค่ 3 เลน และ 2 เลน ยาวไปจนออกถนนพหลโยธิน 5 ซอยราชครู ก็จะเป็นถนน 2 เลน ซึ่งจากจุดนั้นไปถึงปากซอยราชครู ทะลุออกถนนพหลโยธิน ระหว่างนั้นจะประกอบด้วยบ้านคน มีตรอกซอกซอย มีคอนโดมิเนียม ทั้งฝั่งซ้าย-ฝั่งขวา เต็มไปหมด ด้วยเหตุนี้ทาง กทม. จึงจะกระทำการขยายถนนตามร่างผังเมือง กทม. ใหม่ เป็น 4 เลน ประมาณ 16 เมตร จากเดิม 2 เลน หรือ 8 เมตร
ประเด็น อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วกฎหมายผังเมืองจะต้องมีการประกาศให้ประชาชนรับทราบ และขีดเส้นสีแดง จะมีการติดประกาศ แต่ว่าการติดประกาศดังกล่าวกลับมีการติดเอาไว้เฉพาะสำนักงานเขตพญาไท บริเวณชั้น 5 ถามว่าประชาชนที่ไหนจะเห็น คนที่ติดประกาศแบบนั้นมันสมองหมาปัญญาควาย แน่นอนที่สุด เป็นข้าราชการ ถ้าทำบัตรประชาชนหาย อย่างมากก็ไปติดต่อแค่ชั้น 1 แม้ว่าจะมีการติดประกาศที่ศูนย์สาธารณสุขประดิพัทธ์ แต่ความจริงต้องติดประกาศให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบผลกระทบ ทุกบ้านเลยที่จะต้องได้รับผลกระทบจากการขยายเลนนั้น ต้องไปติดประกาศให้เขารับทราบ
ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาภายหลัง ทาง กทม. ได้อ้างว่า ก็ได้ติดประกาศแล้ว ก็คือทำงานชุ่ย บัดซบ ก็จะทำอย่างนี้ มีกฎหมายผังเมืองใหม่ นี่คือฝีมือคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นะท่านผู้ชม และพี่น้องทั้งหลายที่อยู่ซอยอารีย์ ไปจนถึงซอยราชครู ที่ได้รับผลกระทบ ก็นี่ไงคนที่คุณเลือกมาเป็นผู้ว่าฯ กทม. เชียร์กันนักเชียร์กันหนาไม่ใช่หรือ ผู้ว่าฯ ที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี แต่ขี้ขลาดตาขาวที่สุดในปฐพีเช่นกัน
แบบนี้มันส่อเจตนาไม่ดี ไม่ปกติ เหมือนไม่ใช่พยายามจะเผยแพร่ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน แต่เหมือนจงใจจะไม่ให้ข้อมูล ใช่ไหมคุณชัชชาติ
กรณีนี้ชาวคอนโดฯ ผาสุข ในซอยอารีย์ เพิ่งจะรับทราบเรื่องในช่วงธันวาคมที่ผ่านมานี้เอง ในคอนโดฯ ปกติจะมีความเป็นส่วนตัวสูง ต่างคนต่างอยู่ แต่เมื่อรู้ว่าจะได้รับความเดือดร้อน รวมตัวตั้งเป็นกลุ่มระดมทุน ประชุมกัน ทำป้ายคัดค้าน เพราะอะไร ? เพราะชาวบ้านนั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครรู้ แล้วเป็นความผิดของใคร ? เป็นความผิดของคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ท่านผู้ชมอย่าไปด่าพวกเจ้าหน้าที่ กทม. เลย ต้องเล่นงานชัชชาติ สิทธิพันธุ์
พี่น้องสองคน ฝาแฝด ทั้งชัชชาติ ทั้งฉันชาย คนหนึ่งทำให้ กทม. วุ่นวาย ไม่โปร่งใส อีกคนหนึ่งก็หาทางรังแกหมอที่ทำคุณงามความดี อย่างเช่น ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา นี่ล่ะครับ "2 สิทธิพันธุ์" ชัชชาติ และ ฉันชาย คนหนึ่งเป็นผู้ว่าฯ กทม. อีกคนหนึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ
พื้นที่บริเวณนั้นส่วนใหญ่จะเป็นบ้านคน มีพื้นที่เยอะ บ้านใหญ่ บ้านเก่า อยู่กันมาตั้งแต่ปู่ย่าตาทวด คนที่ได้รับผลเสียหายมากที่สุดคือชาวคอนโดฯ จะมีตึก A, B, C โดนตัดไปแล้ว ตึก A ทั้งตึกต้องโดนตัดไปหมด อาจจะไปถึงพื้นที่ตึก B เพราะมีโครงสร้างที่ต่อเนื่องกัน ต้องทำการรื้อถอนคอนโดฯ ออกไป
และข้อมูลที่ทราบมาจากที่ประชุมรับฟังความคิดเห็นล่าสุด เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 คือ จะไม่มีการเวนคืนให้ด้วย ด้วยเหตุนี้ก็เลยมีคนตั้งข้อสงสัยว่า การเตรียมขยายถนนครั้งนี้เอื้อประโยชน์เพื่อรองรับให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ คอนโดมิเนียมขนาดใหญ่หรือไม่ บางคนแพลมออกมาว่า คนที่จับจ้องตาเป็นมันเลย ก็คือกลุ่มโนเบิลเฮ้าส์ เพราะซอยอารีย์ 1 กำลังจะมีคอนโดฯ ขนาดใหญ่ที่กำลังสร้างอยู่ แต่ถนนคับแคบ หากต่อไปในอนาคตทำการขยายถนนได้ อาจจะสร้างคอนโดฯ สูงๆ อาจจะทำความเดือดร้อนให้กับผู้อยู่อาศัยเดิม
ด้วยเหตุนี้ คนที่อาศัยอยู่ในคอนโดฯ ผาสุข ซึ่งเดิมทีส่วนใหญ่เป็นข้าราชการเกษียณแล้ว เก็บเงินมาแล้ว มาซื้อคอนโดฯ อยู่กันมานาน ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของอยู่เอง ไม่ใช่แบบเช่า หากต้องรื้อถอน ถูกไล่จริง แล้วข้าราชการที่เกษียณอายุจะไปอยู่ที่ไหน
ผังเมืองใหม่ กทม. จากซอยอารีย์ เวนคืนลามไปถึงอินทามระ และถนน 148 สาย รวม 600 กิโลเมตร ทั่วกรุงเทพมหานคร แหล่งข่าวของผมบอกว่าตอนนี้ในไลน์กลุ่มชาวคอนโดฯ ผาสุข มีประมาณ 150 คน ผู้จัดการนิติบุคคลจึงไปเคาะประตูตามบ้าน เอาเอกสารคัดค้านไปให้ดู เพราะบางคนไม่รู้เรื่อง พอทราบเรื่องก็รวบรวมบริจาคเงินกันติดป้ายคัดค้านเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงแค่นี้เท่านั้น ซอยอินทามระ บริเวณถนนสุทธิสาร ก็โดนด้วย ตอนนี้เริ่มมีการรวมตัวของชาวบ้าน ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านเหมือนชาวคอนโดฯ ผาสุข แล้ว ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในละแวกนั้น คือกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในคอนโดฯ ที่ออกมาคัดค้านมากที่สุด
ท่านผู้ชมครับ นอกจากนี้ เมื่อกลับไปดูรายละเอียดเรื่องการรับฟังความเห็นประชาชนเกี่ยวกับการจัดทำผังเมืองรวมฉบับปรับปรุงฉบับที่ 4 ซึ่งรับฟังความคิดเห็นไปเมื่อปลายปีที่แล้ว 23 และ 24 ธันวาคม 2566 พบว่ามีเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมขนส่ง คือเรื่องถนนตรอกซอกซอยในกรุงเทพฯ จะมีการปรับเปลี่ยนกันขนานใหญ่ เช่น กำหนดให้เขตทางต้องกว้าง 12 เมตร 16 เมตร 20 เมตร 30 เมตร 40 เมตร ไปจนถึง 60 เมตร ด้วยเหตุนี้จะมีการขยายถนนให้กว้างขึ้นจำนวน 148 สาย รวมแล้วเป็นระยะทางกว่า 600 กิโลเมตร
ผมตั้งข้อสังเกตว่า แผนการขยายถนน 148 สาย ระยะทางกว่า 600 กิโลเมตร จะกระทบกับประชาชนชาว กทม. มากมายกี่แสนครัวเรือน กี่ล้านคน แล้วถามว่าชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจะรู้ตัวหรือเปล่า ประชาชนที่จะถูกผลของการรื้อถอนจากการขยายถนนนี้ ก็ให้รับทราบด้วยว่า นี่คือผลงานของคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.
ยังมีการตั้งข้อสงสัยว่า การจัดทำผังเมืองครั้งที่ 4 นี้ เป็นการเอื้อประโยชน์กับใครบ้าง เฉพาะกลุ่มหรือเปล่า ยกตัวอย่างเช่น ซอยราชครู ซอยอารีย์ ขณะนี้ตามกฎหมายผังเมือง สามารถสร้างอาคารสูงได้ไม่เกิน 8 ชั้น หรือ 23 เมตร ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเรือน บ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียมขนาดเล็ก ที่เขาเรียกว่า Low Rise แต่หากมีการขยายถนนเป็น 12 เมตร จะสามารถทำคอนโดมิเนียม High Rise จาก 8 ชั้น เป็นสูงถึง 34 ชั้น ถ้าขยายเป็น 16 เมตร จะสร้างตึกสูงมากกว่านั้น เหตุผลอ้างว่าเพื่อแก้ปัญหาจราจร กลับไม่มีการศึกษาว่า หากมีการขยายถนนจะช่วยแก้ปัญหาจราจรได้จริงหรือเปล่า ไม่มีการศึกษาหาความเป็นไปได้ ที่ศึกษาคือศึกษากับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สร้างคอนโดฯ ที่คอยกระซิบข้างหูว่าตรงนี้เอา 16 เมตร นะครับ จะได้สร้างคอนโดฯ ได้สูงกว่า 34 ชั้น ตรงนี้เอา 24 เมตร ก็ว่ากันไป
ที่สำคัญ นี่ไม่ใช่ความต้องการที่มาจากประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่เคยถามถึงความต้องการของชาวบ้านเลย หากมีเจตนาที่จะพูดคุยกันทำผังเมืองก็ต้องมาคุยกับผู้คน คุณชัชชาติ คุณเข้าใจหรือเปล่า ลงมาให้ข้อมูล คุยรายละเอียด ต้องพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แล้วข้อมูลต่อเนื่องไปที่ว่าผังเมืองใหม่เอื้อนายทุนก่อสร้างคอนโดฯ อย่างไร คำถามชาวบ้านถามมาว่า กรณีขยายถนนเป็น 12 เมตร หรือ 16 เมตรนั้น ทำอะไรได้ ? อยู่ๆ จะมาขยายถนนหน้าบ้านเพราะอะไร ? ถนนซอยอารีย์บางจุดกว้างไม่ถึง 10 เมตร มีอยู่ 6 จุดด้วยกันที่กว้าง 9 เมตรกว่า
กฎกระทรวงมีการแก้ไข ระบุว่า อาคารขนาดใหญ่ พื้นที่รวมกันไม่เกิน 30,000 ตารางเมตร ต้องมีด้านใดด้านหนึ่งของที่ดินยาวไม่น้อยกว่า 12 เมตร และติดถนนสาธารณะที่มีเขตวงกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร ยาวต่อเนื่องกันไปตลอดจนไปเชื่อมต่อกับถนนสาธารณะอื่นที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร นั่นหมายความว่า ตลอดแนวถนนเส้นนั้นๆ ถ้ากว้างน้อยกว่า 10 เมตร ไม่สามารถทำได้ เพราะฉะนั้นแล้ว อย่างถนนในซอยอารีย์ ตามกฎหมายสร้างอาคารสูงเกิน 8 ชั้น ไม่ได้ การขยายถนนจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ คือปลดล็อกเมื่อมีการกว้างซื้อที่เพื่อสร้างอาคารสูง 30 ชั้น ได้ตลอดเวลา
ท่านผู้ชมครับ ขณะนี้ในซอยอารีย์มีการดำเนินการสร้างตึกแล้วประมาณ 4 อาคาร จะขึ้นอีก 2 อาคาร มีการสร้างอาคารสูง 30-40 ชั้น ในซอยอารีย์ 1 ประชาชนมีการฟ้องร้องศาลปกครอง เพราะไม่ทราบว่ากระบวนการสร้างตึกสูงดังกล่าวมีการทำ EIA ตามกระบวนการหรือไม่
สำหรับตึกสูงที่มีเลข 27 ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างแปะอยู่นั้น (ที่ผู้ชมเห็นในภาพ) ชาวบ้านร้องต่อศาลโดยตั้งข้อสังเกตว่าไม่น่าจะทำได้ เพราะถนนกว้างไม่ถึง 10 เมตร และก่อนนี้ได้ทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าจบผ่านในวันเดียว แต่กว่ากระบวนการฟ้องจะจบคดีเป็นที่สิ้นสุด ต้องใช้เวลา ซึ่งถึงเวลานั้นผังเมืองก็น่าจะเสร็จแล้ว จุดนี้ประชาชนเลยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการขยายถนนเพื่อไปแก้ผิดย้อนหลังหรือเปล่า การขยายถนน สุดท้ายคนที่ได้รับประโยชน์คือ นายทุน อสังหาริมทรัพย์ คอนโดมิเนียม เพราะพอถนนกว้างปุ๊บ ก็ขึ้นอาคารใหญ่ได้ปั๊บ ก็ตั้งข้อสังเกตว่า ผังเมืองใหม่ในประเทศไทย ในกรุงเทพมหานคร ที่จะทำถึง 600 กิโลเมตร คุณทำไปเพื่อใครกันแน่ ?
นอกจากการเอื้อผลประโยชน์นายทุนแล้ว หน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่ากรมประชาสัมพันธ์ สตง. รวมถึงกระทรวงการคลัง ซึ่งเพิ่งสร้างตึกใหม่ สูง 21 ชั้น มูลค่า 1,600 ล้านบาท เสร็จ ล่าสุด ปี 2567 มีข่าวว่ารัฐบาลกำลังจะเพิ่มค่าตกแต่งภายในให้อีกเป็น 1,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่อาคารนี้ประชาชนร้องเรียนมานานหลายปีแล้ว คุณเศรษฐา ทวีสิน ครับ ฟังหน่อย ประชาชนร้องเรียนมาว่าการก่อสร้างก่อให้เกิดมลพิษ ทั้งฝุ่นและเสียง รวมทั้งสิ่งของหล่นมากระทบกับบ้านเรือนชาวบ้านโดยรอบ แต่ที่เป็นเรื่องบัดซบ คือ ตึกสูง 21 ชั้น ของกระทรวงการคลัง กลับได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำ EIA การก่อสร้างก่อให้เกิดปัญหา เพราะบริเวณนั้นเป็นซอยแคบทั้งหมด
เมื่อก่อสร้างเสร็จยิ่งก่อให้เกิดปัญหาจราจร เนื่องจากในแต่ละวันต้องรองรับรถยนต์ของข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลัง หลายพันคน คิดเป็นจำนวนรถยนต์กว่า 500 คัน ที่ต้องผ่านเข้า-ออกตลอดเวลา
ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ประเด็นคือหน่วยงานภาครัฐพวกนี้ ไม่สำคัญว่าเป็นใครก็ตาม กระทรวงการคลังก็ช่าง สตง. ก็ช่างมัน พวกนี้ไม่ควรจะอยู่ตรงนี้ เพราะมันมีตรอกซอกซอยคับแคบ ศูนย์ราชการนอกเมืองที่สร้างใหม่ใหญ่โต มีที่ว่างเต็มเลย ทำไมพวกคุณไม่ไปอยู่ ทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง ทำให้ประชาชนเขาเดือดร้อนกันเพียงเพราะคุณเป็นข้าราชการกระทรวงการคลัง สตง. กรมประชาสัมพันธ์ หรืออย่างไร พอพวกคุณจะสร้างโน่นสร้างนี่ ไม่ต้องทำประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม มัดมือชกชาวบ้าน พอจะวางผังเมือง วางผังเมือง ขยายถนน อ้างว่าจะแก้ปัญหารถติด ถืออำนาจบาตรใหญ่เวนคืนที่ดินชาวบ้านก็ไม่แจ้ง ไม่ถามความเห็นพวกเขาอีก พฤติกรรมของพวกคุณ ทั้งหน่วยราชการ ทั้งกระทรวงการคลัง รวมถึง กทม. ที่ทำผังเมือง ผมบอกได้คำเดียวว่า บัดซบจริงๆ
สถานทูตยูเครนจัดม็อบต้านรัสเซีย ฝ่ายความมั่นคงไทยทำอะไรอยู่
ท่านผู้ชมครับ เหตุการณ์ที่ผมจะเล่าให้ฟังครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ทำไมผมถึงพูดเช่นนั้น ? เป็นครั้งแรกที่สถานทูตของประเทศๆ หนึ่งยื่นเรื่องขอให้ประชาชนประเทศนั้นไปประท้วงสถานทูตของอีกประเทศหนึ่งบนผืนแผ่นดินไทย นี่เป็นพฤติกรรมกินบนเรือนขี้บนหลังคาหรือเปล่า สะเทือนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซีย
สถานทูตยูเครนได้ส่งหนังสือถึงผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลบางรัก ลงวันที่ 9 มกราคม 2567 เพื่อแจ้งว่า ในวันศุกร์ที่ 12 มกราคม เวลา 08.00-11.00 น. จะมีการชุมนุมพบปะกันของชาวยูเครนที่พำนักในประเทศ ประมาณ 15 คน ที่ด้านหน้าตรงข้ามสถานทูตรัสเซีย ถนนทรัพย์ ย่านสุรวงศ์ เขตบางรัก อ้างว่าจะมีการชุมนุมอย่างสงบ ไม่ทำความเดือดร้อนกับผู้อื่น และไม่กีดขวางการจราจร เอกสารนี้ลงนามโดยนายดิมิโทร เดนนิโก ฝ่ายกงสุล สถานทูตยูเครนประจำประเทศไทย
ท่านผู้ชมครับ ที่ผมผิดหวังคือท่านผู้กำกับโรงพักบางรัก ท่านอาจจะไร้เดียงสา อ่อนด้อย จริงๆ แล้วท่านควรจะบอกว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องระหว่างประเทศ ตำรวจไม่อนุญาต ก็จบ ไม่ใช่แค่ไม่อนุญาตสถานทูตยูเครนนะ ถ้าสถานทูตรัสเซียทำแบบนี้กับยูเครน ตำรวจก็ไม่อนุญาตเช่นกัน แต่เมื่อผมตรวจสอบไปยังแหล่งข่าว ก็แจ้งมาแล้วว่าจริงๆ แล้วทางเจ้าหน้าที่ไทยขอให้สถานทูตยูเครนยกเลิกการรวมตัวดังกล่าว เพราะเดี๋ยวจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่สำคัญที่สุด มันไม่เหมาะสมกับนักการทูตและสถานทูตจะเป็นผู้ดำเนินการ จัดการการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทย ซึ่งเราวางตัวเป็นกลางในความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซีย พอถึงเวลาแล้วก็เดินเข้ามา แล้วถือป้ายด่าประเทศรัสเซียอย่างเสียๆ หายๆ
จริงๆ แล้วครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ในปี 2565 หลังสงครามยูเครนปะทุขึ้นได้ไม่นาน ก็มีการชุมนุมของชาวยูเครนในประเทศไทยหลายครั้งตามสถานที่ต่างๆ เป็นที่น่าสังเกตได้ว่า ป้ายที่มีข้อความประณามรัสเซีย และสโลแกนต่างๆ ในการชุมนุมล้วนแล้วแต่เป็นภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษายูเครนและภาษารัสเซีย ซึ่งน่าจะเป็นเพราะต้องการสื่อสารกับโลกตะวันตก
นอกจากนี้แล้ว ข่าวการชุมนุมครั้งก่อนๆ ก็ถูกเผยแพร่โดยสื่อภาษาอังกฤษที่ยืนข้างสหรัฐฯ และนาโต เช่น VOA (Voice of America), The Guardian บางกอกโพสต์ (นี่ตัวดีเลย) ข่าวสดอิงลิช และประชาไทยอิงลิช
ผมคิดว่าเป็นการเสียมารยาทมาก พวกที่มาประท้วงรัสเซีย จริงๆ แล้วถ้าคุณเกลียดรัสเซียมากนัก คุณน่าที่จะเดินทางจากประเทศไทย แล้วไปหาเซเลนสกี แล้วบอกว่าผมพร้อมที่จะเป็นทหารและพร้อมที่จะรบต่อ คุณก็ไม่กล้า เพราะพวกคุณตายกันแทบจะหมดประเทศแล้ว ทหารยูเครนโดนสังหารเสียชีวิตไปแล้วประมาณ 5 แสนคน ตอนนี้สงครามยูเครนผ่านมาเกือบครบสองปีแล้ว ก็ยังไม่ยุติ แต่ความจริงที่มีหนึ่งเดียวปรากฏมาแล้วว่ายูเครนพ่ายแพ้ทุกรูปแบบ ทำให้จำนวนผู้ชุมนุมสนับสนุนยูเครนลดน้อยลง แทบจะไม่มีกระแสเหลือ ด้วยเหตุนี้อาจเป็นสาเหตุที่สถานทูตยูเครนประจำประเทศไทยต้องออกหน้าสนับสนุนการชุมนุมเมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ตามมารยาทแล้ว สถานทูตไม่สามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศที่สามได้ นักการทูตคือผู้ที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่ตอกลิ่มความขัดแย้ง
ประเทศไทยได้ส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมให้ยูเครนอย่างน้อย 4 ครั้ง และในเวทีสหประชาชาติ ประเทศไทยก็วางตัวเป็นกลางตลอด ผมต้องขอตำหนิสำนักงานตำรวจแห่งชาติของประเทศไทย ฝ่ายความมั่นคงไทย คุณทำอะไรอยู่ ปล่อยให้มีการชุมนุม นักการทูต สถานทูตเป็นคนจัดการ
ผมเคยบอกมาตั้งหลายครั้งแล้วว่า ในความเป็นจริงสงครามยูเครนมันจบลงไปแล้ว เรียบร้อยแล้ว เพราะว่าสหรัฐฯ และพันธมิตรจำเป็นต้องหันไปให้ความสำคัญกับสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ก่อน เพราะอเมริกามีผลประโยชน์กับตะวันออกกลางมากกว่า อิสราเอลสำคัญกว่ายูเครน และที่สำคัญก็คือ สงครามอิสราเอลและปาเลสไตน์กำลังขยายวงออกไป โดยเฉพาะกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนโจมตีรถขนส่งสินค้าของชาติตะวันตกในทะเลแดงอย่างต่อเนื่อง สร้างความสูญเสียต่อเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างหนักหน่วง
นายเซเลนสกี เจ้านายใหญ่ของเอกอัครราชทูตยูเครนประจำประเทศไทย ก็รู้ตัวอยู่แล้วว่ากำลังจะถูกเททิ้ง ท่านผู้ชมครับ ยูเครนจบแล้ว แต่ก็ยังมีความพยายามที่จะสร้างแสง
สถานการณ์ในปัจจุบัน อเมริกาไม่สามารถเทเงินสนับสนุนเพิ่มเติมให้ยูเครนได้แล้ว เงินหมดแล้ว เงินก้อนสุดท้าย อเมริกาเองยอมรับว่าได้ส่งให้ยูเครนแล้ว และไม่มีเหลือแล้ว ชาติยุโรปก็ไม่สามารถจะส่งอาวุธจำนวนมหาศาลให้ยูเครนได้ ถึงกับต้องกดดันเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ช่วยสนับสนุน
สหรัฐฯ และพันธมิตรนาโตยังมโนว่ารัสเซียต้องแพ้ ยูเครนกำลังชนะ ซึ่งมันตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริง แม้กระทั่งสื่อตะวันตกอย่างนิวยอร์กไทมส์ หรือวอชิงตันโพสต์ ก็ยังยอมรับเป็นครั้งแรกว่ายูเครนแพ้แล้ว
2567 สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดการพลิกผันอย่างมากมายมหาศาล รัสเซียจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 17 มีนาคมนี้ ซึ่งนายปูติน จะชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนนิยมที่สูงมากอย่างแน่นอน ยูเครน ตามกำหนดแล้วจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีแทนนายเซเลนสกี ในเดือนมีนาคมนี้ แต่ก็ยังจัดไม่ได้ เพราะยังอยู่ในภาวะสงคราม หลายประเทศในยุโรปจะมีการเปลี่ยนผู้นำ เช่น เนเธอร์แลนด์ สโลวาเกีย ซึ่งเปลี่ยนไปแล้วโดยไม่เอาสงคราม ผู้นำคนใหม่ไม่เอาสงคราม สหรัฐฯ เองก็จะมีการเลือกตั้งเร็วๆ นี้ เพราะฉะนั้นแล้ว อนาคตยูเครนยิ่งวันยิ่งตีบตัน สาละวันเตี้ยลงทุกเมื่อเชื่อวัน ที่น่าเศร้าใจ ผมไม่รู้ว่าชาวยูเครนอีกเท่าไรจะต้องตายอย่างโง่งมเพื่อผลประโยชน์ของชาติตะวันตก
ระบบนำทาง "เป๋ยโต่ว" คู่แข่งจีพีเอสอเมริกา
ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมคงรู้จัก GPS ใช่ไหม ? GPS ก็คือแพลตฟอร์มผ่านดาวเทียมที่จะระบุสถานที่อยู่ของตัวท่านได้ หรือใครก็ได้ที่ใช้ GPS แต่เผอิญเบื้องหน้าเบื้องหลังของ GPS นั้น มันมีหลายอย่าง ตอนนี้คนไทยเราใช้โซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น Facebook, YouTube, Twitter, TikTok มากติดอันดับโลก เราใช้โดยเราไม่รู้เลยว่าสื่อสังคมออนไลน์เหล่านี้เขาใช้ระบบอัลกอริทึม ปัญญาประดิษฐ์ มาคัดกรองเนื้อหาและความเห็นต่างๆ โดยเขาคัดกรองสิ่งที่เขาอยากให้เราเห็น ให้คนเห็นกันมากๆ แล้วก็กีดกันในส่วนที่เขาไม่ต้องการให้ปรากฏ
แพลตฟอร์มเหล่านี้พออยากได้รายได้เพิ่มขึ้น ก็จะเพิ่มยอดให้คนมาซื้อโฆษณา มีการ Boost Post, Boost หน้าเพจขึ้นมา ลดการเข้าถึง จำกัดการมองเห็น ไม่ให้คนเห็นโพสต์ต่างๆ เพื่อจะบีบให้เพจสินค้าหรือธุรกิจต่างๆ จ่ายเงินซื้อการเข้าถึง ไม่ว่าจะเป็น Reach, Awareness หรือ Engagement
นอกจากนี้แล้ว แพลตฟอร์มเหล่านี้ยังถือวิสาสะ กีดกันโพสต์ ลบข้อความ ซ่อนข้อมูล มิหนำซ้ำยังขโมยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ ตามแต่นโยบายของเจ้าของแพลตฟอร์ม คือทางการเมืองของอเมริกาจะบีบบังคับมา รวมทั้งนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ทางการค้าของตัวเองด้วย
วิธีการเหล่านี้ทำให้คนทั่วโลกถูกครอบงำทางความคิด และทางเศรษฐกิจ เพราะเราถูกครอบงำทางเทคโนโลยีโดยที่เราไม่มีทางสู้ ไม่มีปัญญาสู้ และไม่คิดจะสู้กับมัน อย่างวันนี้ที่ผมจะมาพูดให้ฟัง ที่ผ่านมาเราใช้มันโดยไม่รู้ตัวว่ามันเป็นการครอบงำทางเทคโนโลยีของโลกตะวันตก แต่คนจีนเขาใช้จิตวิญญาณของเรื่อง "ลุงโง่ย้ายภูเขา" ถ้าท่านผู้ชมเคยฟังตอนนี้ก็คงจะเข้าใจ เป็นตำนานโบร่ำโบราณของจีนมาเป็นพันๆ ปี ก็คือพูดง่ายๆ ว่า อย่าไปย่อท้อ ทำไม่สำเร็จในยุคของตัวเอง ยุคลูกก็ทำต่อ ยุคหลานก็ทำต่อ ในที่สุดมันก็สำเร็จ
ผมพูดเรื่องนี้มาเพราะผมอยากจะเล่าเรื่องระบบดาวเทียมนำทางที่เป็นคู่แข่งของ GPS ที่สำคัญ ตอนนี้นำ GPS ไปแล้ว คือระบบดาวเทียมนำทางเป๋ยโต่ว (Beidou) หรือระบบ GSP ของจีน
10-20 ปีที่ผ่านมา ท่านผู้ชมคงเคยชินกับคำว่า 'GPS' เป็นระบบนำทางด้วยดาวเทียม GPS นั้นคิดค้นมาเมื่อ 45 ปีก่อน (2521) เดิมทีใช้ชื่อว่า นาฟสตาร์ จีพีเอส (Navstar GPS) ตอนหลังตัดมาเหลือแค่ GPS โครงการนี้เริ่มมา 15 ปี GPS สามารถใช้งานได้เต็มระบบในปี 2536 โดยเดิมทีจำกัดการใช้ในหน่วยงาน ในกองทัพสหรัฐฯ เพราะฉะนั้นแล้ว GPS ก็เลยเป็นระบบนำทางผ่านดาวเทียมที่คิดค้นโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ มีรัฐบาลอเมริกันเป็นเจ้าของ ดำเนินการโดยกองทัพอวกาศสหรัฐฯ เพื่อใช้ในการระบุตำแหน่งที่สำคัญแก่ผู้ใช้ทางการทหาร ไม่ว่าจะเป็นการยิงจรวด นำทางเครื่องบิน นำทางเรือรบ ควบคุม/บังคับโดรน ใช้สำหรับพลเรือนและใช้ในเชิงพาณิชย์ทั่วโลก ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ในฐานะผู้สร้างระบบ ก็เลยมีอำนาจในการควบคุม บำรุงรักษาระบบ GPS แม้จะอ้างว่าทุกคนมีเครื่องรับ GPS สามารถเข้าสู่เทคโนโลยีได้โดยเสรี
ท่านผู้ชมครับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว GPS นั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีระบบนำทางด้วยดาวเทียม ปัจจุบันนี้ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าไม่ได้มีแค่ระบบ GPS ของอเมริกาเจ้าเดียว มีการพัฒนาระบบนำทางด้วยดาวเทียมมาหลายระบบ เช่น GLONASS ของรัสเซีย Galileo ของยุโรป Beidou ของจีน และ QZSS ของญี่ปุ่น
เป๋ยโต่ว (Beidou) กำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร ? ในแง่ภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงทางการทหาร การมีระบบนำทางดาวเทียมของตัวเองมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด เพราะเป็นการถ่วงดุลอำนาจของอเมริกา เพราะถ้าหากจีนจะพึ่งพาระบบ GPS ของอเมริกาในการดำเนินการด้านความมั่นคง เท่ากับว่าเป็นการส่งข้อมูลให้อเมริกาเพื่อล่วงรู้การเคลื่อนไหวของรัฐบาลจีนและกองทัพจีนโดยปริยาย
นอกจากนี้แล้ว ยังมีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์สำคัญๆ หลายครั้งที่จีนไม่สามารถเข้าถึงบริการของ GPS ได้ ยกตัวอย่างเช่น ปี 2536 เกิดเหตุการณ์ระบกวนสัญญาณ GPS ของเรือบรรทุกสินค้าชื่อ หยินเหอ ซึ่งปกติวิ่งส่งสินค้าประจำระหว่างท่าเรือเทียนจิน กับคูเวต โดยในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2536 สหรัฐฯ อ้างข้อมูลข่าวกรองว่าเรือลำของจีนกำลังจะนำอาวุธเคมีไปส่งให้อิหร่าน โดยจะไปเทียบท่าที่ท่าเรืออับบาส สหรัฐฯ จึงมีการดำเนินการกับเรือหยินเหอด้วยการสั่งเหล่าประเทศในตะวันออกกลางปฏิเสธการจอดแวะพักของเรือลำดังกล่าว ยังปล่อยให้เรือลำนี้ลอยลำอยู่ในน่านน้ำสากลถึง 24 วัน
นอกจากนี้แล้ว อเมริกายังดำเนินการรบกวนสัญญาณ GPS ให้เรือบรรทุกสินค้าของจีนถูกตัดขาดจากระบบนำทาง แต่สุดท้ายเมื่ออเมริการ่วมกับซาอุดีอาระเบียแล้ว กลับไม่พบอาวุธเคมีใดๆ ในเรือดังกล่าวแม้แต่น้อย ผิดพลาดไปแล้วแต่ไม่ยอมขอโทษ แก้ตัวว่าทางอเมริกากระทำการดังกล่าวกับเรือจีนโดยสุจริต จากข้อมูลข่าวกรองจากหลายๆ แห่ง
อีกเหตุการณ์หนึ่ง สามปีให้หัง 2539 ระหว่างวิกฤตช่องแคบไต้หวันครั้งที่ 3 อันมีสาเหตุมาจากนายหลี่ เติงฮุย ผู้นำไต้หวันในขณะนั้น เป็นประธานาธิบดีไต้หวันในช่วง 2531-2543 ตอบรับคำเชิญของมหาวิทยาลัยคอร์เนล ซึ่งเขาเป็นศิษย์เก่า ให้ไปกล่าวสุนทรพจน์ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ทางการจีนในขณะนั้น ซึ่งมีนายเจียง เจ๋อหมิน เป็นประธานาธิบดี ไม่พอใจอย่างมาก สั่งให้กองทัพปลดแอกของจีนดำเนินการซ้อมรบบริเวณช่องแคบไต้หวันยาวนานถึง 8 เดือน ระหว่างวิกฤตการณ์ดังกล่าว กองทัพจีนประสบปัญหากับระบบนำทางขีปนาวุธระหว่างซ้อมรบ ณ เวลานั้นเอง ทำให้ปักกิ่งมั่นใจว่า อเมริกานั้นนอกจากจะเป็นเจ้าของระบบ GPS ตัวจริงแล้ว ยังใช้ระบบนี้เข้าแทรกแซงทางการทหารทหาร รวมทั้งสอดแนมความมั่นคงของประเทศอื่นๆ ด้วย
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจีนจึงตัดสินใจเดินทางในการสร้างระบบนำทางด้วยดาวเทียมของตัวเอง โดยวิธีการในขั้นตอนขั้นแรก เฟสแรก ขั้นทดลอง คือการส่งดาวเทียมรุ่นทดสอบ BDS-1 จำนวน 3 ดวง ในชุดแรก มีพื้นที่ครอบคลุมเฉพาะประเทศจีนและเพื่อนบ้าน รวมทั้งประเทศไทย ถือว่าเป็นระบบนำทางอันแรกที่จีนพัฒนาด้วยตัวเอง
ดาวเทียมดวงแรก Beidou-1A ยิงขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2543 ยี่สิบสามปีที่แล้ว ต่อมาดาวเทียมดวงที่ 2 Beidou-1B ยิงเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2543 คือภายใน 3-4 เดือน จีนยิงดาวเทียมขึ้นไป 2 ดวง ดาวเทียมปฏิบัติการดวงสุดท้ายของกลุ่มดาวเทียม Beidou-1C ยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อ 2546 อีกหลายปีต่อมา
เฟสที่ 2 เมื่อจีนได้ส่งดาวเทียมชุดที่ 2 ที่ครอบคลุมพื้นที่ใช้งานได้ในจีนและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค มีการเริ่มทดลองการใช้งานในเดือนธันวาคม 2554 หรือสิบสองปีที่แล้ว เริ่มให้บริการข้อมูลนำทาง ตำแหน่ง และเวลา ไปยังประเทศจีนและพื้นที่ใกล้เคียง ฟรี ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2554 ระหว่างการทดลองใช้งานได้นำเสนอความแม่นยำของตำแหน่งให้อยู่ในระยะ 25 เมตร ปรับปรุงความแม่นยำเมื่อมีการปล่อยดาวเทียมมากขึ้น ซึ่งเมื่อระบบเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เขาให้คำมั่นสัญญาว่าจะให้ข้อมูลตำแหน่งแก่ผู้ใช้ทั่วไปที่แม่นยำถึง 10 เมตร ที่ใกล้ที่สุด
ที่สำคัญ เมื่อระบบ Beidou 2 เริ่มให้บริการ ระบบดาวเทียม Beidou รุ่นใหม่นี้ยังรองรับการบริการใช้ข้อความระยะสั้นๆ อีกด้วย โดยในปี 2551 เมื่อเกิดแผ่นดินไหว 8 ริกเตอร์ ที่อำเภอเหวินชวน ในมณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เครื่องมือสื่อสารทางภาคพื้นดินเสียหายอย่างรุนแรง หน่วยกู้ภัยก็เลยมีการทดลองใช้ฟังก์ชันข้อความสั้นๆ ของ Beidou โดยใช้ดาวเทียม BDS2 เพื่อรายงานพื้นที่ตำแหน่งที่แผ่นดินไหว
เฟสที่ 3 ตั้งแต่ปี 2558 หรือราว 8 ปีที่แล้ว จีนได้เริ่มปล่อยดาวเทียมชุด BDS3 ซึ่งประกอบด้วยดาวเทียมแบบต่างๆ ถึง 31 ดวง ใช้เวลาประมาณ 5 ปี คือในวันที่ 23 มิถุนายน 2563 หรือเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ครั้งที่แล้วมีการส่งดาวเทียมดวงสุดท้ายด้วยจรวดขนส่งลองมาร์ช (Long March) ระบบดาวเทียมนำทาง Beidou ทะยานออกจากศูนย์ส่งสัญญาณดาวเทียมซีชาง มณฑลเสฉวน และนำดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรได้สำเร็จ
โครงการระบบนำทางด้วยดาวเทียม Beidou ของจีน ถือเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัล ที่มีความสำคัญที่สุดในโครงการหนึ่งก็ว่าได้ จนถึงขั้นว่ามีคนวงในรัฐบาลปักกิ่งของจีนเคยกล่าวไว้ว่า จริงๆ แล้วหัวใจการปลดแอกทางเทคโนโลยีของรัฐบาลปักกิ่งจากอิทธิพลของโลกตะวันตกนั้น มิใช่การลุกขึ้นมาสู้กับตะวันตกของบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่อย่างหัวเว่ยหรอก แต่เป็นการสร้างระบบนำทางด้วยดาวเทียม Beidou นี่ล่ะ
อย่างที่ผมกล่าวไปแล้ว Beidou คือการวางโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มิได้มีความสำคัญในการเป็นเครื่องมือทางความมั่นคง ทางการทหาร แต่ว่าส่งผลในมิติอื่นๆ ด้วย อย่างที่เราอาจจะคาดคิดไม่ถึง มิติที่สำคัญก็คือ ความทะเยอทะยานของจีน กับยุทธศาสตร์การเป็นผู้นำบุกเบิกอวกาศ เมื่อสี จิ้นผิง ขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2556 สี จิ้นผิง สนทนาทางวิดีโอโฟนผ่านสัญญาณดาวเทียมกับนักบินอวกาศจีน 3 คน ซึ่งอยู่บนสถานีอวกาศเทียนกง 1 สี จิ้นผิง ระบุว่า โครงการด้านอวกาศเป็นส่วนหนึ่งของความฝันที่จะทำให้จีนมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น จากนี้จีนจะดำเนินการพัฒนาด้านการสำรวจอวกาศให้ก้าวหน้ามากขึ้น
เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้อำนวยการทางอวกาศของจีน ซึ่งเปรียบเทียบได้กับองค์การนาซาของอเมริกา ได้ประกาศผ่านสื่อโทรทัศน์กลางของจีนว่า จะทำให้จีนกลายเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีอวกาศภายในปี 2588 หรือ 22 ปี ให้ได้
ท่านผู้ชมครับ ถึงขนาดที่ว่านายจอห์น อี. แมคลาฟลิน (John E. McLaughlin) เคยออกมายืนยันว่าสิ่งที่ทำให้อเมริกาชิงชังจีนมากที่สุดนั้นไม่ใช่บริษัท หัวเว่ย แต่เป็นระบบดาวเทียมนำร่อง Beidou ของจีนต่างหาก เพราะนายแมคลาฟลิน เห็นว่าเมื่อระบบดาวเทียมนำร่อง Beidou ติดตั้งสำเร็จเรียบร้อย อเมริกาจะสูญรายได้นับล้านล้านดอลลาร์ และการสูญเสียจากนี้ไป ไม่เป็นเพียงแค่การเงินเท่านั้น ยังสูญเสียในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญในอนาคตด้วย
ท่านผู้ชมครับ แต่พอมาถึงวันนี้แล้วจะฉุดรั้ง หยุดยั้งจีนนั้น ถือว่าสายไปแล้ว ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าแม้กระทั่งล่าสุด องค์การนาซาของอเมริกา ต้องยอมเสียหน้า ตัดสินใจแหกกฎเหล็กที่ชื่อว่า Wolf Amendment 2011 ที่สภาคองเกรสตราเอาไว้ในปี 2554 โดยห้ามไม่ให้นาซาสื่อสารกับจีน แต่มาวันนี้นาซาหน้าแหก ขออนุญาตจีนอย่างเป็นทางการเพื่อร่วมศึกษาตัวอย่างวัตถุที่ยานอวกาศจีนเก็บมาจากดวงจันทร์เมื่อเร็วๆ นี้
จาก Wolf Amendment 2011 สหรัฐฯ ห้ามจีนจากสถานีอวกาศนานาชาติ ห้ามไม่ให้ความร่วมมือใดๆ ก็ตาม เพื่อทำลายความก้าวหน้าของจีนในการสำรวจอวกาศ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าคนเรานั้นเมื่อถูกรุกไปจนถึงหลังชนกำแพงแล้ว คนที่หลังชนกำแพงก็ต้องลุกขึ้นมาสู้ยิบตา หาทางเอาตัวรอด และนั่นก็เป็นสถานภาพของจีน
เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่ออเมริการุกจีนจนจีนหลังชนกำแพง จีนต้องเรียนรู้ทุกอย่างใหม่ด้วยตัวเอง มิหนำซ้ำยังประสบความสำเร็จ ปัจจุบันนี้จีนเป็นประเทศเดียวในประวัติศาสตร์ที่มีสถานีอวกาศแห่งชาติเป็นของตัวเอง และทำภารกิจสำรวจอวกาศของตัวเองในอวกาศ ซึ่ง Beidou นี้ เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของโครงการอวกาศของจีน
เรามาพูดถึงระบบนำทางด้วยดาวเทียม Beidou ของจีนกันต่อ เมื่อจีนพัฒนา Beidou ขึ้นมาเป็นชาติล่าสุด เทคโนโลยีที่ใช้ในระบบนี้จึงเป็นเทคโนโลยีที่มีความล้ำหน้าที่สุด ความเหนือชั้นของระบบ Beidou ละเอียดถึงขั้นสามารถระบุตำแหน่งได้ในระดับ 10 เซนติเมตร (จาก 10 เมตร เหลือ 10 เซนติเมตร) นี่คือความแม่นยำของระบบนำทาง
เนื่องจากระบบดาวเทียม Beidou เฟสที่ 3 หรือเฟสล่าสุดนั้น มีการทำงานเชื่อมโยงกับสถานีฐานบนพื้นโลกประมาณ 120 แห่ง กระจายอยู่ทั่วโลก ยกตัวอย่าง แอปฯ แผนที่บนสมาร์ทโฟนที่พัฒนาโดยไป่ตู้ (Baidu) โดยการใช้ระบบดาวเทียมนำทาง Beidou นั้น สามารถนำทางได้อย่างละเอียด ระบุถึงระดับการนำทางรถในแต่ละเลน รวมทั้งเชื่อมโยงไปถึงระยะเวลาไฟเขียว ไฟแดง ว่าเหลืออีกกี่วินาที
ด้วยเหตุนี้ ยังมีผู้ใช้งานเทคโนโลยีนำทางของ Beidou อยู่เป็นประจำ ไม่เยอะหรอกครับ 1,100 ล้านคน เมื่อเทียบกับ GPS เดิม ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานถึง 6,000 ล้านคน ถือว่าเป็นอัตราการเติบโตของผู้ใช้เทคโนโลยี Beidou นั้นรวดเร็วอย่างมาก
นอกจากนี้ ท่านผู้ชมรู้ไหมครับ ความแม่นยำของ Beidou ขณะนี้ยังเอื้ออำนวยให้นำไปใช้กับระบบการผลิต ระบบนำทางต่างๆ ในยานพาหนะต่างๆ เอาล่ะ ยกตัวอย่างให้ฟัง ระบบ Auto Pilot ในรถไฟฟ้า ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ระบบเสริมดาวเทียม ขณะเดียวกัน ระบบดาวเทียม BDS3 ยังช่วยผ่อนแรงเกษตรกรด้วยระบบขับขี่อัตโนมัติ การกำหนดตำแหน่ง การนำทางที่แม่นยำสูง ตลอดจนเทคโนโลยีใหม่อีกหลายประการ ระบบกู้ภัย แน่นอนที่สุด ซึ่งต้องการความแม่นยำอย่างสูงมาก
ทั้งนี้ คุณสมบัติความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดของระบบดาวเทียมนำทาง Beidou จากระบบ GPS คือการยกระดับให้อุปกรณ์ภาคพื้นโลกที่เชื่อม Beidou มีคุณสมบัติรับ-ส่ง SMS และโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมได้ โดยยกตัวอย่างสมาร์ทโฟนของจีนที่มีคุณสมบัตินี้ คือ Huawei Mate 60 Pro คุณสมบัตินี้เองทำให้ผู้ใช้สามารถส่งข้อความสั้นได้แม้อยู่ในจุดบอด หรือสถานที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือเลย
ท่านผู้ชมครับ ตั้งแต่จีนพัฒนา Beidou มา ผลิตผลทางอุตสาหกรรมนำทางด้วยดาวเทียมนั้นเติบโตถึง 6.76% ในปี 2565 สมาคมระบบดาวเทียมนำทางทั่วโลก การบริหารการระบุตำแหน่งแห่งประเทศจีน ได้เปิดเผยมูลค่าผลผลิตของอุตสาหกรรมการบริการนำทางและระบุตำแหน่งดาวเทียมของจีน ในปี 2565 รวมอยู่ที่ 500,000 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 6.76% เมื่อเทียบปีต่อปี
สมุดปกขาวว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมข้างต้นของจีนจากสมาคมฯ ระบุว่า ในปี 2565 จีนจัดส่งสมาร์ทโฟนภายในประเทศมากกว่า 264 ล้านเครื่อง ซึ่ง 98.5% รองรับระบบดาวเทียมนำทาง Beidou โดยปัจจุบันแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่ของจีน ใช้บริการแผนที่นำทางและซื้อของในจีน รองรับระบบดาวเทียมนำทาง Beidou แล้ว
นอกจากนั้นแล้ว ระบบนำทาง Beidou ยังถูกใช้ป้องกันบรรเทาสาธารณภัย มีการใช้แพลตฟอร์มเฝ้าติดตามความปลอดภัยและเตือนภัยด้วยระบบดังกล่าว และหลายๆ ด้าน การป้องกันภัยพิบัติทางธรณีวิทยา แผ่นดินไหว การพัฒนาที่อยู่อาศัย การรับมือเหตุฉุกเฉิน พลังงาน เหมืองแร่ และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
สรุปแล้ว วันนี้ระบบนำทางด้วยดาวเทียม Beidou ของจีน ถือเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ ที่ท้าทายและเหนือกว่าระบบนำทางแบบเดิมๆ คือระบบ GPS ของอเมริกาไปแล้ว ยังกระตุ้นให้อเมริกาต้องพัฒนาระบบ GSP3 เพื่อไล่ตาม Beidou ให้ทัน ซึ่งอเมริกาโยนเรื่องนี้ให้กับบริษัท ล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) พัฒนา เพื่อให้ทันกับระบบ Beidou ของจีน
ทั้งนี้ทั้งนั้น จากเหตุผลในเชิงการทหารและความมั่นคงแล้ว Beidou ยังถือว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล และตัวเปลี่ยนเกมที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงเทคโนโลยีพาณิชย์ ธุรกิจการค้าของจีนอย่างมหาศาลด้วย ไม่ว่าจะเป็นเชื่อมโยง Beidou เข้ากับโครงการพัฒนา "1 แถบ 1 เส้นทาง" ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานจริงในด้านการขนส่ง โลจิสติกส์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบูรณาการเข้ากับเครื่องบินเชิงพาณิชย์ของจีน เช่น เครื่องบินของบริษัท โคแม็ก (Comac) C-919 หรือ C-929 ที่กำลังมาท้าทายเครื่องบินของตะวันตกอย่างโบอิ้ง และแอร์บัส
และยังมีการใช้กับระบบรถไฟความเร็วสูง นี่คือการสร้างเส้นทางสายไหมทางดิจิทัล การยกระดับระบบสื่อสารไร้สายรุ่นที่ 5 (5G) และระบบสื่อสารไร้สายรุ่นที่ 6 และเครือข่าย IT เรื่อยไปจนถึงการใช้ระบบนี้ในการนำทางของรถไฟฟ้า (EV) ยานยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ ของจีนที่กำลังรุกไปทั่วโลก รวมถึงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
ท่านผู้ชมครับ เครื่องบิน C-919 ของจีนที่ผลิตออกมาเพื่อแข่งกับ โบอิ้ง 737 กำลังโชว์บินเฉียดตึกระฟ้าใกล้อ่าววิกตอเรียในฮ่องกง เมื่อวันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2565 เพื่อแสดงศักยภาพในการนำทาง โดยความเคลื่อนไหวครั้งนี้บ่งชี้ว่าจีนต้องการบุกตลาดการบินอย่างต่อเนื่อง หวังว่าจะทำลายการผูกขาดด้านการบินเชิงพาณิชย์ของชาติตะวันตก ก็เลยส่ง C-919 เครื่องบินโดยสารฝีมือคนจีน บินออกจากแผ่นดินใหญ่เป็นครั้งแรก มาลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง เพื่อให้บรรดาเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนได้สัมผัสตัวจริงอย่างใกล้ชิด เครื่องบินเชิงพาณิชย์ของจีนมีการนำเทคโนโลยีนำทางด้วยดาวเทียม Beidou มาใช้ด้วย เพื่อพิสูจน์ให้ชัด
ด้วยเหตุนี้ การพัฒนาระบบนำทางด้วยดาวเทียมของตัวเอง Beidou ขึ้นมา โดยไม่พึ่งระบบ GPS ของอเมริกา จึงถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้งของจีนที่กำลังจะปฏิวัติภูมิทัศน์การนำทางทั่วโลก และส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ในเทคโนโลยีการนำทาง เป็นความก้าวหน้าของระบบ Beidou ที่แสดงถึงนวัตกรรมยุคใหม่ของการนำทางด้วยดาวเทียม
ที่สำคัญที่สุด การพัฒนาระบบนำทางด้วยดาวเทียม Beidou ได้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงในกระบวนทัศน์ที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ความเป็นผู้นำ ระบบนำทาง เทคโนโลยี และการสยายปีกของโครงการอวกาศของจีน ไม่ใช่เป็นเพียงการแข่งขันบริการสัญญาณสื่อสารเพื่อนำทางเท่านั้น แต่ยังเป็นความท้าทายด้านยุทธศาสตร์สำคัญยิ่งต่ออเมริกา และต่อโลกด้วย
2567 สงครามลุกลามเอเชีย ?
ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมจะแนะนำให้รู้จักคนสิงคโปร์คนหนึ่ง เชื้อสายอินเดีย ดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่งในรัฐบาลสิงคโปร์ คนๆ นี้ ชื่อ ศ.ดร.กีชอร์ มาห์บูบานี (Kishore Mahbubani) คนๆ นี้ผมเคยเอาเรื่องมาเล่าให้ท่านผู้ชมฟังแล้ว เขาเป็นคนที่ทำนายทายทัก แสดงปาฐกถาเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างจีน ไต้หวัน จีน-อเมริกา ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยเหตุด้วยผลที่เถียงไม่ออก และมีความแม่นยำมากๆ
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา วันที่ 4 มกราคม ที่ผ่านมา ศ.ดร.กีชอร์ ได้วิเคราะห์สถานการณ์สงครามที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ (2567) อย่างน่าติดตามในเว็บไซต์ส่วนตัว เขาบอกว่า 2565 เกิดสงครามที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกประหลาดใจ นั่นคือสงครามยูเครน ถัดมา 2566 ก็เกิดสงครามที่สร้างความประหลาดใจอีกครั้ง คือสงครามระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ด้วยเหตุนี้หลายคนเริ่มสงสัยว่า แล้วปีนี้ล่ะ 2567 จะมีสงครามที่จุดใดของโลกจะปะทุอย่างไม่คาดคิดอีกหรือไม่ เพราะตอนนี้สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ของโลกในหลายจุด หลายภูมิภาค ยังตกอยู่ในสภาวการณ์สุ่มเสี่ยงว่าอาจจะเกิดสงครามได้ทุกเมื่อ
ศ.ดร.กีชอร์ มาห์บูบานี วิเคราะห์ว่า ยุทธภูมิในเอเชียแปซิฟิคนั้น มี 5 จุดเสี่ยงของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่โลกควรติดตามและจับตาอย่างใกล้ชิด ประกอบด้วย จุดที่ 1 ศ.ดร.กีชอร์ บอกว่า จุดที่อันตรายที่สุดคือ ไต้หวัน ศ.กีชอร์ เห็นว่านี่เป็นประเด็นเดี่ยวโดดๆ ที่สามารถชักนำมหาอำนาจทั้งสอง อย่างอเมริกาและจีน เข้าสู่ความขัดแย้งโดยตรง ซึ่งเรื่องนี้ ผม สนธิ ลิ้มทองกุล ได้กล่าวเตือนไปแล้วในรายการ 'SONDHI X' เมื่อวันจันทร์ที่ 15 มกราคม Sondhi Express ปีนี้ 2567 ซึ่งหลังจากมีการเลือกตั้งที่ไต้หวัน ต่อมาผมได้อธิบายและวิเคราะห์เหตุการณ์ในทำนองเดียวกับ ศ.ดร.กีชอร์
2567 ถือเป็นปีอันตรายและสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งสำหรับไต้หวัน ผลจากการเลือกตั้งนั้น เขาได้นายไล่ ชิงเต๋อ จากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ซึ่งเป็นตัวพ่อในการสนับสนุนให้ไต้หวันประกาศเอกราชจากจีน
ปัจจุบันนี้ ความปรารถนาของไต้หวันที่จะรักษาสถานภาพในปัจจุบัน เข้าใจได้ว่าเขาต้องการรักษาวิถีทางแบบไต้หวันเอาไว้ แต่ต้องยอมรับว่าทุกครั้งชาวไต้หวันลงคะแนนให้ผู้สมัครที่สนับสนุนประเทศเป็นเอกราช ยิ่งทำให้เกาะไต้หวันถลำลึกลงไปเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย เป็นความขัดแย้ง ตกเป็นเครื่องมือของอเมริกาและชาติตะวันตกในการใช้ไต้หวันในการปิดล้อมจีน
คือมันมีบางสิ่งบางอย่างที่แน่นอนที่สุด ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย ไม่ว่าใครก็ตามในโลกนี้ คือรัฐบาลปักกิ่ง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในจุดยืนของรัฐบาลปักกิ่งเลย เพราะว่านี่เป็นนโยบายหลักของผู้นำจีนทุกยุคทุกสมัย นั่นคือนโยบายจีนเดียว (One China Policy) ซึ่งหมายความว่าถ้าเมื่อใดก็ตามไต้หวันประกาศเอกราช จีนพร้อมจะประกาศสงครามทันที อเมริกาเองก็รู้เรื่องนี้ดี
ดังนั้นในอดีตที่ไต้หวันได้ผู้นำที่สนับสนุนเอกราช อย่างอดีตประธานาธิบดีไต้หวัน นายเฉิน สุ่ยเปียน พยายามที่จะผลักดันเอกราชไต้หวัน พยายามจัดการลงประชามติในปี 2546
ยุคนั้น นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้นำสหรัฐฯ ในเวลานั้น กล่าวอย่างหนักแน่นว่า อเมริกาจะต่อต้านการประกาศเอกราชของไต้หวัน เช่นเดียวกัน ถึงแม้เวลาผ่านไปอีก 21 ปี แม้ผู้นำสหรัฐฯ จะเปลี่ยนไป คำตอบก็เหมือนเดิม ภายหลังทราบผลการเลือกตั้งของไต้หวันเมื่อวันเสาร์ที่ 13 มกราคม ประธานาธิบดีโจ ไบเดิน ก็กล่าวยืนยันโดยตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับผลการเลือกตั้ง ว่า อเมริกาจะไม่สนับสนุนการประกาศเอกราชของไต้หวัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าวอชิงตันยึดถือจุดยืนนี้อย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง เราอาจจะไม่เห็นสงครามที่ปะทุในไต้หวัน
อย่างไรก็ดี ปีนี้ (2567) ยังมีการเลือกตั้งในอีกซีกโลก ซึ่งสำคัญ จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกอย่างใหญ่หลวง นั่นคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นการพบกันอีกครั้งหนึ่งระหว่างคู่หูคู่อาฆาต นายโจ ไบเดน และอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ทั้ง 2 พรรค คือเดโมแครต และรีพับลิกัน จะพยายามเอาชนะกัน แสดงจุดยืนให้เห็นว่าใครต่อต้านจีนได้มากกว่า และใครสนับสนุนไต้หวันได้มากกว่า
ศ.ดร.กีชอร์ ซึ่งเป็นคนสิงคโปร์ ชี้ให้เห็นว่า ชาวไต้หวันบางคนอาจถูกหลอกให้คิดว่าไต้หวันได้รับการช่วยเหลือ สนับสนุนอย่างเต็มที่ บนเวทีทางการเมืองของชาวอเมริกา แต่เขาลืมไปว่าแท้ที่จริงแล้วการสนับสนุนดังกล่าวเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น ศ.ดร.กีชอร์ กล่าวเตือนด้วยว่า ชาวไต้หวันควรศึกษาประวัติศาสตร์ให้ลึกซึ้ง เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการประพฤติตัวเองเป็นเบี้ยทางภูมิรัฐศาสตร์ให้อเมริกาเดินหมาก สุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะเสียมากกว่าได้โดยเสมอ ขอให้ดูและจดจำสถานการณ์โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับประเทศและประชาชนชาวยูเครนเอาไว้เป็นอุทาหรณ์
จุดที่สอง ศ.ดร.กีชอร์ บอกว่า สถานการณ์สุ่มเสี่ยงระหว่างสองมหาอำนาจแห่งเอเชีย คือ จีน และอินเดีย คือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เหตุการณ์การปะทะกันระหว่างทหารอินเดียกับจีน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2563 บริเวณหุบเขากาลวาน (Galwan Valley) ในพื้นที่อักไซชิน ฝั่งลาดักห์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองกำลังทหารจากทั้งสองฝ่าย การปะทะกันนั้นทำให้เจ้าหน้าที่ทหารของอินเดียเสียชีวิตไป 3 นาย
สถานการณ์พิพาทเรื่องเขตแดนบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ระหว่างอินเดียกับจีน เป็นพื้นที่ซึ่งมีข้อพิพาทกันอย่างยาวนานมากว่า 60 ปี ตั้งแต่ 2505 ก่อนสถานการณ์จะปะทุและเกิดความคุกรุ่นมาเป็นระยะ ทำให้ความไว้วางใจระหว่างจีนและอินเดียพังทลาย จนทุกวันนี้ความสัมพันธ์ของ 2 ชาติ ก็ยังไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขอย่างที่ควรจะเป็น
ศ.ดร.กีชอร์ กล่าวว่า เมื่อมองดูประเทศสิงคโปร์ที่ชาวจีน ชาวอินเดีย สามารถอยู่อาศัยร่วมกันอย่างสงบสุข สิงคโปร์ต้องคิดล่วงหน้า โดยสิงคโปร์ต้องถามตัวเองว่าถ้าเกิดสงครามระหว่างจีนและอินเดีย สิงคโปร์ยังจะสามารถรักษาความสามัคคีในชาติได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอินเดีย มันมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ข่าวดีก็คือว่า มีความเป็นไปได้น้อยมากที่สงครามจะลุกลามใหญ่โต อันเนื่องจากความขัดแย้งด้านพรมแดนทั้งสองชาติมหาอำนาจแห่งเอเชีย เนื่องจากการเจรจาเรื่องชายแดนระหว่างกองทัพและรัฐบาลทั้งของอินเดียและจีนในช่วงที่ผ่านมาได้ผ่อนคลายความตึงเครียดในเรื่องนี้ลดลง
ขณะที่รัฐบาลจีนเรียกสถานการณ์ชายแดนกับอินเดียว่า มีเสถียรภาพ ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย คือ นายไจชังการ์ เคยกล่าวกับนักข่าวเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ว่าทั้งสองฝ่ายมีความคืบหน้าในการเจรจาเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน แม้ว่าจะไม่มีข้อยุติที่สมบูรณ์ก็ตาม
แต่ข่าวร้ายก็คือ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทั้งจีนและอินเดียต่างก็ยกระดับการแสดงตนและขีดความสามารถทางการทหารบริเวณชายแดนอย่างมาก ซึ่งปัจจัยนี้อาจส่งผลให้ประเด็นที่ว่า หากครั้งต่อไปมีการปะทะกันทางการทหารโดยไม่ตั้งใจ ก็จะส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น อาจจะก่อให้เกิดสถานการณ์ของเมฆหมอกที่อึมครึมมหึมาเข้าปกคลุมภูมิรัฐศาสตร์ทั่วเอเชีย หากความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอินเดียจะย่ำแย่ลงไปในปี 2567
จุดที่สาม ที่ ศ.ดร.กีชอร์ บอกคือ ชนวนความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถาน จริงๆ แล้วชนวนความขัดแย้งนี้อาจจะเป็นความขัดแย้งที่อันตรายที่สุด ด้วยเหตุที่ว่าความขัดแย้งนี้อาจจะพัฒนาลุกลามไปสู่สงครามนิวเคลียร์ได้มากที่สุด เพราะทั้งอินเดียและปากีสถานต่างครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ด้วยกันทั้งคู่
นี่คือเหตุผลว่าทำไมอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน แห่งอเมริกา และคณะบริหารของเขา ตัดสินใจเข้าแทรกแซงทันทีเมื่อสงครามคาร์กิล (Kargil War) ปะทุขึ้นในวันที่ 9 พฤษภาคม 2542 หรือ 24 ปีที่แล้ว ในพื้นที่รัฐจัมมูและแคชเมียร์ เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มติดอาวุธอิสลามที่ได้รับการสนับสนุนจากปากีสถานและทหารอินเดียตามแนวเส้นทาง (Line of Control) มีการระดมยิงปืนใหญ่ถล่มเขตยึดครองอินเดียในลาดักห์ คาร์กิล
ในช่วงพฤษภาคม 2542 หรือ ค.ศ. 1999 ปากีสถานได้ส่งกองกำลังรุกล้ำข้ามเส้นควบคุมเข้าไปในคาร์กิล ส่วนหนึ่งของแคชเมียร์ฝั่งอินเดีย ให้กลุ่มติดอาวุธอิสลาม ลัชกาเรดัยบา (Lashkar-e-Taiba) หรือแปลเป็นไทยว่า กองทัพแห่งความชอบธรรม ประจำการบนที่สูง คอยโจมตีทหารอินเดียคู่ขนานกับกองทัพปากีสถาน เหตุการณ์นี้นำไปสู่การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างปากีสถานกับอินเดีย โดยอินเดียใช้ปฏิบัติการที่เรียกว่า "วิชัย" ต่อสู้กับปากีสถาน และบรรลุเป้าหมายในการขับไล่ทั้งกองกำลังปากีสถานและกลุ่มติดอาวุธอิสลามออกไป ถึงแม้อินเดียจะสูญเสียทหารถึงกว่า 500 นาย
ซึ่งในเวลานั้นการทูตอเมริกันยังทรงอิทธิพลมากพอจะช่วยลดความร้อนแรงของสถานการณ์ได้ ด้วยโลกในยุคนั้นยังอยู่ในยุคมหาอำนาจขั้วเดียว แตกต่างกับเวลานี้ที่การเมืองโลกก้าวสู่ยุคหลายขั้ว
อิทธิพลของอเมริกาในช่วงขาลงตอนนี้อำนาจก็จะถดถอยลดน้อยลง สังเกตได้จากบทบาทของอเมริกาในสงครามในอิสราเอลและปาเลสไตน์ ที่ปัจจุบันอเมริกาไม่สามารถเป็นตัวกลางในการเจรจาสันติภาพให้กับอิสราเอลและปาเลสไตน์ได้ ทั้งยังต้องโอนอ่อนผ่อนตาม สนับสนุนอิสราเอลในการทำสงคราม ตามความต้องการของผู้นำยิว คือ นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล เสียด้วยซ้ำ
จุดที่สี่ คือสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงระหว่างจีนและญี่ปุ่น ศ.ดร.กีชอร์ ชี้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่ขาดสมดุลและขาดความไว้วางใจระหว่างจีนและญี่ปุ่นนั้น เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าความขัดแย้งระหว่างจีนกับอินเดียเสียอีก
เพราะว่าตามประวัติศาสตร์แล้ว ความคับแค้นของชาวจีนที่มีต่อชาวญี่ปุ่นยังคงฝังลึก เนื่องจากชาวจีนส่วนใหญ่ไม่เคยลืมความโหดร้ายของทหารญี่ปุ่นที่กระทำต่อจีนในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะโศกนาฏกรรมที่เมืองนานกิง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2480 หรือเมื่อ 87 ปีที่แล้ว
แม้ว่าตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้งฝ่ายจีนและฝ่ายญี่ปุ่นต่างใช้ชั้นเชิงทางการทูตเพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้อยู่ในระดับที่สม่ำเสมอก็ตาม แต่ว่าในเดือนกันยายน ปี 2555 ชนวนข้อพิพาทเรื่องหมู่เกาะเตียวหยู หรือเซ็งกากุ ในทะเลจีนตะวันออก ก็ถูกจุดขึ้น ปะทุขึ้น
เนื่องจากรัฐบาลญี่ปุ่นนำโดยนายโยชิฮิโกะ โนดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ดำเนินการอนุมัติซื้อเกาะ 3 แห่ง ในบริเวณหมู่เกาะเซ็งกากุ หรือเตียวหยู อย่างเป็นทางการจากเจ้าของเดิมซึ่งเป็นเอกชน การทำเช่นนี้จุดประเด็นให้จีนและชาวจีนแสดงปฏิกิริยาต่อต้านอย่างรุนแรง ด้วยเหตุผลที่ว่าญี่ปุ่นกำลังขโมยเกาะ และพยายามที่จะเปลี่ยนสถานะของเกาะที่เป็นอยู่ โดยชาวจีนในหลายเมืองทั่วประเทศจีนลุกฮือขึ้นมาชุมนุมประท้วงต่อต้านญี่ปุ่น ขณะที่จีนดำเนินการกดดันญี่ปุ่นด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ
ก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ผู้นำจีนในเวลานั้น ได้เตือนนายกรัฐมนตรีโนดะ แล้วว่า ไม่ว่าญี่ปุ่นจะซื้อหมู่เกาะด้วยวิธีการใดก็ตาม ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นโมฆะ ประเทศจีนจะต่อต้านถึงที่สุด โดยกว่าที่รัฐบาลจีนและรัฐบาลญี่ปุ่นจะเจรจาเรื่องนี้ให้สงบได้ ใช้เวลา 2 ปี ในยุคนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
ศ.ดร.กีชอร์ ชี้ว่า ถ้าเป็นรัฐบาลญี่ปุ่นที่ชาญฉลาด ต้องสามารถย้อนเวลากลับไปใช้สถานะเดิมเพื่อทำให้ความขัดแย้งในเรื่องเขตแดนทางทะเลนั้นสงบลงได้ แต่ทว่าในความเป็นจริงนั้น การเมืองของญี่ปุ่นคือการเมืองแบบประชาธิปไตยในญี่ปุ่น ซึ่งมักจะตบรางวัลให้กับนักการเมืองชาตินิยมมากกว่าผู้นำที่รอบคอบและสุขุมคัมภีรภาพ ดังนั้น ข้อพิพาทในพื้นที่ทับซ้อนของเกาะเตียวหยู หรือ เซ็งซากุ ในทะเลจีนตะวันออกยังคงเป็นยุทธภูมิที่ยังคงร้อนแรง มิหน้ำซ้ำยังเป็นระเบิดเวลาที่อาจจะถูกจุดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
จุดที่ห้า ที่ ศ.ดร.กีชอร์ บอกก็คือความขัดแย้งใกล้ตัวพวกเรา คือประเทศไทย อาเซียน และไทยมากที่สุด คือความตึงเครียดระหว่างจีนและฟิลิปปินส์ในทะเลจีนตอนใต้ จริงๆ แล้วเรื่องนี้ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ผมเคยเล่าให้ท่านผู้ชมรับทราบรายละเอียดผ่านรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" มาแล้ว 2 ตอน คือ ตอนที่ 203 และตอนที่ 233
ความตึงเครียดเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ ในช่วงแรกๆ ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีมาร์กอส พยายามสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน โดยใช้ประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่ว่า ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ สมัยเป็นวัยรุ่น ได้เคยพบกับท่านประธานเหมา เจ๋อตุง อดีตผู้นำจีน และนายโจว เอินไหล อดีตนายกรัฐมนตรีจีน
ขณะที่เขาร่วมเดินทางไปกับแม่ของเขา คือ อิเมลดา มาร์กอส ในการเยือนจีนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว หรือปี 2517 เพื่อสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างฟิลิปปินส์กับจีนอย่างเป็นทางการ ในครั้งนั้นมีการถ่ายภาพอันโด่งดัง ที่ผู้นำจีน เหมา เจ๋อตุง จูบมืออิเมลดา มาร์กอส หลังจากนั้นลูกชายของเธอก็จูบแก้มประธานเหมา เจ๋อตุง อย่างตื่นเต้น
แต่หลังจากนั้นสถานการณ์กลับพลิกผัน เกิดการแย่งชิงสิทธิ์ในทะเลจีนใต้ระหว่างจีน กับฟิลิปปินส์บ่อยขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการฟื้นฟูการซ้อมรบครั้งใหญ่ในรอบ 30 ปี ระหว่างสหรัฐฯ กับกองทัพฟิลิปปินส์ขึ้นเมื่อเดือนเมษายน ปีที่แล้ว (2566)
ศ.ดร.กีชอร์ ชี้ให้เห็นว่า แม้จะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าทำไมฟิลิปปินส์ถึงสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอเมริกา เขากล่าวเตือนฟิลิปปินส์ว่า ต้องเรียนรู้หลายข้อจากประเทศเวียดนามซึ่งประสบความสำเร็จในการรักษาสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างอเมริกากับจีน แม้ว่าเวียดนามกับจีนจะมีข้อพิพาทเรื่องดินแดนที่คล้ายคลึงกับฟิลิปปินส์และจีนในทะเลจีนใต้ก็ตาม ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ประเทศอาเซียนส่วนใหญ่ล้วนแต่มีความปรารถนาที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับมหาอำนาจทั้งสองโลก คือ จีน และอเมริกา
แต่เมื่อมาพิจารณาสงครามใหญ่ที่ปะทุในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยูเครน และในฉนวนกาซา ซึ่งต่างก็อยู่ห่างไกลภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มาก ตามทฤษฎีแล้วเราไม่ควรได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทั้งสองเหตุการณ์มากนัก แต่หากจินตนาการดูว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหน ถ้าสงครามความขัดแย้งปะทุขึ้นในเอเชีย ใกล้บ้านเรามากขึ้น เชื่อได้แน่ว่า ผลกระทบทางจิตวิทยาและความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน เศรษฐกิจ และสังคม จะยิ่งใหญ่กว่ามาก โดยเฉพาะผลกระทบที่สร้างความเสียหายต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
เมื่อพิจารณาแล้ว 5 ยุทธภูมิ จึงน่าเป็น 5 จุด ที่อาจจะก่อให้เกิดสงครามที่น่าประหลาด หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Surprise War ในปี 2567 ได้ ดังนั้น ศ.ดร.กีรชอร์ มาห์บูบานี จึงมีข้อเสนอว่าเหล่าประเทศสมาชิกในเอเชียต้องมีการตอบสนองเชิงตรรกะที่ควรยกระดับความพยายามในการสร้างสันติภาพ หรือป้องกันสงครามในเชิงรุก แม้ว่าธรรมชาติสันติภาพจะเป็นจะตาย ก็ไม่มีผู้พิทักษ์สันติภาพที่ได้รับการยอมรับหรือเป็นที่ยอมรับในเอเชีย
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ ศ.ดร.กีชอร์ ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า มีเหตุการณ์ 5 เหตุการณ์ ซึ่งเป็นจุดขัดแย้งที่อาจจะก่อให้เกิดสงครามได้ในปี 2567
ท่านผู้ชมครับ วันนี้รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ก็จบลงเพียงแค่นี้ อาทิตย์หน้ามีเรื่องราวที่ใหญ่โตมโหฬารหลายๆ เรื่อง ซึ่งเราสะสมมาและเรากำลังเร่งหาข้อมูลเพื่อที่จะให้มันสมบูรณ์แบบ ท่านผู้ชมจะได้เห็นแน่ อาทิตย์หน้า อย่าพลาดนะครับ และท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ รายการ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" หอประชุมเล็กธรรมศาสตร์ ครั้งแรกในไตรมาสแรกนี้ วันที่ 17 มีนาคม 2567 เวลา 13.00-17.00 น. จองมาโดยผ่านเข้ามาที่ไลน์ @sondhitalk จองเข้ามาก่อน 500 บาท ได้ที่นั่งต้นๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องนั่งบนขั้นบันได สวัสดีครับ