xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ]SONDHI TALK : เปิดขบวนการ “ปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ” นักโทษเทวดาชั้น 14 - ชำแหละหมูเถื่อน! จาก “เฮียเก้า-เฮียเกียรติ” ถึง “เฉลิมชัย” - “สนธิ” เปิดหมดใจ ศาลยกฟ้องคดีพธม. ชุมนุมสนามบิน - ป.ป.ช. ปล่อยมือมืดแทรกแซง นี่หรือองค์กรอิสระ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 19 ม.ค.2567 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่

- 2567 ทรชนฟันน้ำนมครองเมือง
- ป.ป.ช. ปล่อยมือมืดแทรกแซง นี่หรือองค์กรอิสระ?
- ชำแหละหมูเถื่อน! จาก “เฮียเก้า-เฮียเกียรติ” ถึง “เฉลิมชัย”
- เปิดขบวนการ “ปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ” นักโทษเทวดาชั้น 14
- “สนธิ” เปิดหมดใจ ศาลยกฟ้องคดี พธม.ชุมนุมสนามบิน

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.224



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 225 [19 ม.ค. 67]
ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2567 สวัสดีครับแฟนๆ รายการที่รับชมสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok คนที่เข้ามาชมแล้วช่วยกันกดไลก์ กดแชร์ SUBSCRIBE ทั้งช่องทาง Facebook, YouTube และ TikTok ทุกๆ ช่องทาง เพื่อกระจายข่าวสารออกไปในวงกว้างที่สุด

ตอนนี้ Sondhi App ยกเลิกการเก็บเงิน เปิดฟรีเข้าดูได้แล้วทั้งวิดีโอคลิป ข่าวสารต่างๆ แค่เข้ามาดาวน์โหลดผ่าน App Store สำหรับ Apple และ Play Store สำหรับ Android ค้นหาคำว่า "Sondhi App" เพียงลงทะเบียนเท่านั้น เพื่อให้ท่านผู้ชมทุกท่านได้เข้ามาใช้พื้นที่นี้เพื่อสร้างปัญญาและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นความเป็นจริง


ต่อไปเราจะใช้โซเชียลมีเดียของเราเอง ไม่ต้องง้อแพลตฟอร์มของต่างประเทศอีกต่อไป ให้เวลาเราสักนิด เพราะเนื้อหาในแอปฯ ของเราในอนาคตจะไม่ถูกปิดกั้น พูดได้ทุกเรื่อง ยกตัวอย่าง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตอนนี้หมอ พยาบาล ประชาชน เริ่มฟ้อง อย. แล้ว จะเป็นเรื่องอะไร ให้ไปฟังที่ Sondhi App เพราะในนั้นพูดได้ทุกเรื่อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับโรคระบาดที่สำคัญ เกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตของคุณและชีวิตลูกหลานของคุณ ที่ อย. และกระทรวงสาธารณสุขต้องรับผิดชอบจากการให้ข้อมูลที่ผิดพลาด รับผลประโยชน์จากบริษัทยาต่างประเทศ

ส่วนตอนนี้ใครต้องการอ่านข่าวสด ใหม่ๆ ทันเหตุการณ์ บทวิเคราะห์เจาะลึก ก็ไปติดตามกันได้เลยที่ 'SONDHI X' ในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือทางเว็บไซต์ SONDHI TALK ซึ่งจะรวมทุกอย่าง ทั้งข่าวและคลิปวิดีโอ โดยต่อจากนี้ไปไม่นาน ข้อมูลทุกอย่างจะถูกย้ายไปอยู่ในแอปฯ ใหม่


รายการวันนี้จะมีโศกนาฏกรรม เรื่องแรก "ป้าบัวผัน" ถึงเวลาแก้กฎหมายเด็กและเยาวชน หรือยัง ? ท่านผู้ชมคงรับทราบเรื่องที่น่าสยดสยองมาก ที่เด็ก 3-4 คน อายุ 13-16 ปี ฆ่าโหดผู้หญิงที่สติฟั่นเฟือน

เรื่องที่สอง ผมชำแหละองค์กร ป.ป.ช. ที่ผมตั้งคำถามว่า นี่หรือคือองค์กรอิสระ ?

เรื่องที่สาม คือเรื่อง "เฮียก้าว" ถึง "เฮียเกียรติ" ตัวเป้งคดีหมูเถื่อน ตีนไก่เถื่อน ล้วนคนคุ้นเคย "เฉลิมชัย ศรีอ่อน"

เปิดลับขบวนการนักโทษ VVIP ความพยายามปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ ระเบิดเวลาเทวดาชั้น 14

และเรื่องสุดท้าย คือ 16 ปีแห่งความขมขื่นและความหลัง (ขออ้างอิงเพลงของ สุรพล สมบัติเจริญ) ความจริงที่รอคอย คดีพันธมิตรฯ ชุมนุมสนามบิน

ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันที่ 18 มกราคม ที่ผ่านมา พระอาจารย์สุธรรม หลวงปูู่เฉลิม และพระอาจารย์สนิท มาที่บ้านพระอาทิตย์ ท่านทำพิธีเบิกเนตรรูปหล่อพระบูชาหลวงปู่มั่น ซึ่งผมได้มาจากพระอาจารย์สุธรรม ตอนที่ผมไปวัดป่าหนองไผ่ จังหวัดสกลนคร นำมาให้ประชาชนบูชาที่บ้านพระอาทิตย์ ซึ่งตอนนี้ยังมีผู้มีจิตศรัทธาเข้ามาปิดทองทุกวัน ตั้งแต่ 09.00 น. ถึง 12.00 น. มาเรื่อยๆ ไม่เว้นวันหยุด


ท่านผู้ชมครับ อีกไม่นานแล้ว มะรืนนี้ อย่าลืมมาพบกันที่หอประชุมเล็กศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในการครบรอบ "20 ปี เมืองไทยรายสัปดาห์" ท่านผู้ชมแฟนๆ ที่นำรถยนต์มา ผมแนะนำให้ไปจอดไว้ที่สนามหลวง ถ้ามาเร็ว เดินข้ามฝั่งมาได้เลย ใครมาเร็ว ถือโอกาสแวะไปไหว้พระที่วัดมหาธาตุฯ มีพระยุคอยุธยาที่ศักดิ์สิทธิ์ เก่าแก่มาก นับร้อยปี บางองค์ถึงพันปี เป็นวัดที่เราไปทำพิธีพุทธาภิเษก "พระสยามพุทธาธิราช" หรือท่านจะเดินชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่อยู่ติดกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก่อนก็ได้ งานนั้นประตูจะเปิดตอนเที่ยง อย่าลืมถือบัตรมาที่หน้างาน ทางเรามีของที่ระลึกมอบให้ หน้างานมีกิจกรรมให้ร่วมถ่ายรูป มีของที่ระลึกมอบให้


ท่านผู้ชมครับ ช่วงนี้มีโปรโมชันฟ้าทะลายโจร ยาลม ๓๐๐ จำพวก และ ยาขาว ถ้าท่านซื้อยาลมฯ ยาขาว ทุกๆ 1 กล่อง จะได้รับยาขาว หรือยาลมฯ ที่เอาเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก "พระสยามพุทธาธิราช" 1 ซอง จะหมดเขตสิ้นเดือนนี้แล้ว

โปรโมชันปีใหม่ ตอนนี้ซื้อเป็นเซ็ตทั้ง 3 อย่าง ฟ้าทะลายโจร ยาขาว ยาลม ๓๐๐ จำพวก ในราคาพิเศษ 2,328 บาท จะหมดโปรฯ สิ้นเดือนนี้เช่นกัน หรือสนใจสั่งซื้อ ติดต่อที่ "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์" เพิ่มไลน์ (LINE) @sunherb มีจำนวนจำกัด หมดแล้วหมดแล้ว


SUN PAN ครับท่านผู้ชม ตอนนี้ท่านผู้ชมแวะไป SUN PAN จะพบว่ามีสินค้าใหม่ๆ วางอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเค้กกล้วยหอมทองน้ำผึ้ง บัตเตอร์ฟลาย ชีสเค้กญี่ปุ่น โชกุปัง สเปรดหลายรส สินค้าเดิมมีครบ ทั้งขนมปังมันม่วง ขนมปังฟักทอง ขนมปังใบเตยกะทิ โอเลี้ยง ไอศกรีม หมูแท่ง ปลาแท่ง ใครอยากซื้อไปรับประทาน แวะดูได้ที่ร้าน อยู่ที่ปั๊ม ปตท. ราบ 1 ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต


2567 ทรชนฟันน้ำนมครองเมือง

ท่านผู้ชมครับ ช่วงนี้ท่านผู้ชมคงรู้จักโศกนาฏกรรมของ "ป้าบัวผัน" ใช่ไหม ? แล้วก็สบายใจได้ ท่านผู้ชม อะไรที่มันมีแสงขึ้นมา คนที่เข้าไปดูแลก็ย่อมหนีไม่พ้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นคนหิวแสง ตั้งแต่สมัยเรื่องนายสมรักษ์ คำสิงห์ และมาจนถึง "ป้าบัวผัน"


12 มกราคม 2567 "ป้าบัวผัน ตันสุ" อายุ 47 ปี เป็นผู้หญิงเร่ร่อน สติไม่ดี ที่อรัญประเทศ สระแก้ว ถูกพบเป็นศพ ตอนแรกสามีรับสารภาพว่าเป็นคนทำ แต่ในที่สุดหลีกเลี่ยงความจริงไม่ได้ เพราะว่าภาพวงจรปิดฟ้องว่าผู้กระทำผิดคือเยาวชน 5 คน อายุตั้งแต่ 13-16 ปี มีพฤติกรรมโหดเหี้ยม ใช้ความรุนแรง โดยป้าบัวผันแทบไม่มีทางต่อสู้ แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นลูกชายตำรวจตำแหน่งรองสารวัตรสืบสวน สภ.อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เสียอีก

ท่านผู้ชมครับ ผมไม่ลงรายละเอียดเรื่องการฆาตกรรมป้าบัวผันนะครับ ท่านผู้ชมคงทราบมาบ้างแล้ว ถ้ายังไม่ทราบก็สืบค้นข้อมูลได้ไม่ยาก


ประเด็นที่ผมอยากจะพูดวันนี้ คดีนี้เป็นคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ มีนัยสำคัญอยู่ 2-3 ประการ คือ ประการแรก ตำรวจแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมหรือเปล่า ? ทำไมคดีที่ไม่ได้มีความสลับซับซ้อนอะไร ถึงได้มีการจับกุมผิดฝาผิดตัว ตอนแรกไปจับกุมนายปัญญา สามีของป้าบัวผัน ซึ่งชิงรับสารภาพตอนแรก รวมทั้งคำสารภาพของนายปัญญา ที่ได้ไล่เรียงไทม์ไลน์เหมือนกับตัวเองก่อเหตุขึ้นจริง ตอนแรกคนก็เชื่ออย่างนั้น รอจนผู้สื่อข่าวนำภาพจากกล้องวงจรปิดมาเปิดเผย เรื่องจึงแดงขึ้นมา ตำรวจเลยกระตือรือร้น นั่งไม่ติด


คดีป้าบัวผัน ก็เลยเป็นคดีเรียกแสงชั้นดี ไม่ต่างจากสมัยคดีน้องชมพู่ อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ พนันกันได้เลยว่าในที่สุดต้องมีชื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ลงไปดูพื้นที่ ทั้งๆ ที่คดีนี้ไม่ได้เป็นคดีที่ซับซ้อนอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ได้ซ่อนเงื่อน เรื่องราวแทบจะถูกเปิดเผยออกมาหมดแล้ว ลำพังผู้การจังหวัดสระแก้วก็สามารถจะแก้ปัญหานี้ได้ทันทีเลย


ประการที่สอง ที่ผมอยากจะพูดในวันนี้ สำคัญมาก คือการดำเนินคดีอาญากับเด็กและเยาวชน คดีนี้พฤติการณ์ของผู้ก่อเหตุ 5 คน อายุตั้งแต่ 13-16 ปี มันโหดเหี้ยมเกินเด็ก เมื่อพิจารณาดูเหตุโศกนาฏกรรมครั้งนี้แล้ว ประกอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ยกตัวอย่างกรณีกราดยิงที่ห้างฯ พารากอน ช่วงเดือนตุลาคม 2566

ท่านผู้ชมครับ ก่อนเราจะพูดกันต่อไป เราต้องยอมรับความจริงว่าเด็กสมัยนี้โตเร็วไปตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป สมัยนี้มีทั้งเฟซบุ๊ก มีทั้งทวิตเตอร์ มีสตรีมมิ่ง เด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ อายุ 14-15 ก็สามารถจะดูข่าวของการที่วัยรุ่น นักเรียนในอเมริกา คว้าปืนไปยิงเพื่อนร่วมโรงเรียนเดียวกันตายเป็นสิบๆ คน สามารถจะเห็นภาพสงครามที่เกิดขึ้น สามารถจะเห็นภาพเหตุการณ์ที่อิสราเอลทิ้งระเบิดที่ฉนวนกาซา แล้วฆ่าเด็ก ฆ่าผู้หญิง เห็นเลือดเป็นเรื่องปกติธรรมดา


เมื่อเด็กโตเร็วไปตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป แต่กฎหมายเด็กและเยาวชนทุกวันนี้ยังล้าหลัง ยังใช้อายุเป็นเกณฑ์ ก็เลยเอื้อให้เด็กทำผิดมากขึ้น รุนแรงขึ้น ถึงลงมือคร่าชีวิตผู้อื่นเพราะไม่เกรงกลัวบทลงโทษ

กฎหมายหลักที่เราใช้ในปัจจุบัน คือ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัว วิธีการพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว 2553 และพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม 2565 มีสาระสำคัญคือ ปรับเกณฑ์อายุต่ำในการรับโทษอาญาเด็ก จาก 10 ปี เป็น 12 ปี มาตราที่ 73 ถ้าจะสรุปง่ายๆ ก็คือว่า มาตราที่ 73 ถ้าอายุไม่เกิน 12 ปี ถ้าทำผิดไม่ต้องรับโทษ มาตรา 74 ถ้าอายุ 12-15 ปี ถ้าทำผิดไม่ต้องรับโทษ แต่ศาลจะกำหนดมาตรการพิเศษ เช่น ว่ากล่าวตักเตือน คุมประพฤติ ส่งไปอบรม เป็นต้น ทั้งนี้ ศาลอาจจะให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองร่วมรับผิดทางแพ่งได้ เมื่อกระทำผิด รู้ว่ากฎหมายกำหนดโทษให้เหลืออยู่น้อยนิด เด็กสมัยนี้คึกคะนอง อาจจะรู้มาก โตกว่าวัย ไม่ยำเกรงกฎหมายเพราะทำผิดไม่ต้องรับโทษ มิหนำซ้ำเด็กพวกนี้หลายรายเป็นลูกตำรวจ ลูกผู้ยิ่งใหญ่ ลูกคนมีเงิน อายุ 13-16 ปี รุมกระทืบ ลากผู้หญิงสติไม่ดีขึ้นรถ พอร่วงจากรถก็วนกลับมาพาไปจนได้ ฆ่าเสร็จยังมาล้างรถ แวะซื้อของเซเว่นฯ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย แล้วยังมีไอ้หมาตัวไหนออกมาปกป้องเด็กว่าเด็กรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เด็กไร้เดียงสาอีกล่ะวะ ใครที่ออกมาพูดคำนี้ขอให้ลงนรกไปทั้งครอบครัวเลย

เด็กบางคนไม่ใช่ผ้าขาวเสมอไป มีคนตายไม่รู้กี่ศพ เด็กอายุ 14 เอาปืนมาจากไหนไม่รู้ มายิงคนแปลกหน้าตายที่พารากอน เยาวชน นักเรียนยกพวกตีกันจนครูถูกลูกหลงตาย กฎหมายทำอะไรไม่ได้เพราะคุ้มครองเด็กเปรตพวกนี้เอาไว้

นอกจากจะต้องแก้ไขให้เด็กอายุ 15 ปี ต้องรับโทษอาญาตามความหนัก-เบาของคดีแล้ว ควรต้องเพิ่มความรับผิดชอบของพ่อแม่ ต้องมีโทษชัดเจน ควรมีโทษอาญาด้วยถ้าจำเป็น ถ้ามีโทษปรับ ต้องปรับให้ล่มจมกันไปข้างหนึ่งเลย ไม่อย่างนั้นจะเลี้ยงลูกทิ้งๆ ขว้างๆ กลายเป็นสวะสังคมอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร เห็นด้วยไหมครับท่านผู้ชม

ป.ป.ช.ปล่อยมือมืดแทรกแซง นี่หรือคือองค์กรอิสระ ?

ท่านผู้ชมครับ สัปดาห์ที่แล้ว มาจนถึงสัปดาห์นี้ ผมได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าแทรกซึมและการแทรกแซงองค์กรอิสระที่มีอำนาจล้นฟ้าอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือที่้เขาเรียกกันว่า ป.ป.ช. ในกรณีที่มีคลิปเสียงนายตำรวจใหญ่ คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่กล่าวอ้างว่าสนิทสนมกับหนึ่งในคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เคยมีภาพลักษณ์ใสซื่อมือสะอาด อย่างคุณสุภา ปิยะจิตติ มาให้ท่านผู้ชมได้รับทราบ


จริงๆ แล้วเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับ ป.ป.ช. ไม่ใช่มีเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก อย่างที่ผมกล่าวไปว่า ก่อนหน้านี้ยังมีเรื่องของนายประหยัด พวงจำปา อดีตรองเลขาธิการ ป.ป.ช. ถูกไล่ออกจากราชการ กรณีตัวเองและภรรยาร่ำรวยผิดปกติ แจงหนี้สินและทรัพย์สินจำนวน 658 ล้านบาท

ป.ป.ช. เองก็มีเรื่องด่างพร้อยอยู่หลายเรื่อง กรณีแหวนมารดา นาฬิกาเพื่อน ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ ป.ป.ช. ชี้ว่าไม่มีความผิด กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอ้นเป็นเท็จ โดย พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ หรือ "บิ๊กกุ้ย" ประธาน ป.ป.ช. พยายามปกปิดรายละเอียดการสืบสวนสอบสวนนี้มาตลอด แม้ว่าล่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 12 มกราคม 2567 ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ให้เปิดเผยถึงข้อมูลการพิจารณาคดีดังกล่าว เรื่องก็ยังเงียบหายไป โดยที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยประธาน ป.ป.ช. นั้น ปฏิเสธคำสั่งศาลอย่างสิ้นเชิง ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่าใครใหญ่กันแน่

ในรายการวันนี้ ผมจะมาขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาและเรื่องราวความไม่ชอบมาพากลขององค์กรอิสระแห่งนี้ เวลานี้ ป.ป.ช. เป็นองค์กรอิสระที่มีอำนาจล้นเหลืออยู่ในมือ อำนาจหน้าที่มี 12 ข้อ ผมคงจะไม่เล่าให้ฟังล่ะครับ แต่ตอนนี้ ป.ป.ช. กำลังมีปัญหา เพราะว่ากรรมการ ป.ป.ช. หลายคนหมดวาระ รวมถึงคุณสุภา ปิยะจิตติ เมื่อไม่กี่วันมานี้เองที่หมดวาระไปแล้ว จากกระบวนการตามกฎหมาย


รูปแบบของ ป.ป.ช. นั้นจะต้องมี 9 คน แต่ตอนนี้เหลือแค่ 5 คนเอง ทั้งนี้ ปัจจุบันกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 5 คน ซึ่งยังขาดอยู่ 4 คน เพื่อให้ครบ 9 คนนั้น ประกอบด้วย 1) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. 2) นายวิทยา อาคมพิทักษ์ กรรมการ 3) นางสุวนา สุวรรณจูฑะ 4) นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข และ 5) นายเอกวิชช์ วัชชวัลคุ

ด้วยเหตุนี้ ว่าที่ ป.ป.ช. ใหม่จำนวน 2 คน ที่ชื่อผ่านคณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช. แล้วส่งไปให้วุฒิสภา เพื่อเตรียมประชุมลับมีมติว่าจะเห็นชอบหรือไม่ชอบ ซึ่ง 2 คนนั้นประกอบด้วย 1) นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง อดีตรองประธานศาลฎีกา 2) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล คนปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนตรวจสอบประวัติของวุฒิสภา


ท่านผู้ชมครับ ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนที่แล้ว วันที่ 19 ธันวาคม 2566 วุฒิสภาเพิ่งจะเห็นชอบ นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อดีตอธิบดีกรมการปกครอง เป็น ป.ป.ช. คนใหม่ ปัจจุบันนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ

สัปดาห์ที่แล้ว วันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา (2567) มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายเอกวิชย์ วัชชวัลคุ อดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 6 เป็น ป.ป.ช. คนใหม่

อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายเอกวิทย์ เป็น ป.ป.ช. ดังกล่าว เราต้องย้อนดูวันที่ที่ประชุมวุฒิสภาโหวตเห็นชอบให้นายเอกวิทย์ เป็น ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2566 และได้รับการโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 แต่ปรากฏว่าก่อนหน้านั้นเกือบ 3 เดือน เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม วุฒิสภาลงมติลับ เห็นชอบให้นายพศวัจณ์ กนกนาก อดีตประธานศาลอุทธรณ์ เข้าไปเป็น ป.ป.ช. คนใหม่ แทน พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง

นายเอกวิชย์ วัชชวัลคุ
คำถามที่น่าสนใจคือ นายพศวัจณ์ ผ่านคะแนนเสียงวุฒิสภาไปตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2566 ขณะที่นายเอกวิทย์ ชื่อผ่านวุฒิสภาวันที่ 30 ตุลาคม 2566 ห่างกันตั้ง 3 เดือน เท่ากับว่า แมนายเอกวิทย์ แม้รายชื่อจะผ่านวุฒิสภาช้ากว่านายพศวัจณ์ เกือบ 3 เดือน แต่เวลานี้นายเอกวิทย์กลับได้มานั่งทำงานที่ ป.ป.ช. เรียบร้อยแล้ว ส่วนนายพศวัจณ์ ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งลงมาให้เป็น ป.ป.ช. แต่อย่างใด ต้องมีปัญหาอย่างแน่นอนที่สุด

ทั้งนี้ ปัจจุบันนายพศวัจณ์ กนกนาก อายุ 67 ปี เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ถ้าได้ผ่านก็ไม่เกิน 3 ปี ก็ครบ 70 ก็ต้องออก นายพศวัจจน์ นั้นลาออกจากราชการไปแล้ว ตำแหน่งสุดท้ายท่านเป็นประธานศาลอุทธรณ์ โดยลาออกหลังพ้นตำแหน่งที่เป็นตำแหน่งบริหารศาลยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 โดยไม่ขอเป็นผู้พิพากษาอาวุโสแต่อย่างใด


คำถามครับท่านผู้ชม เราต้องถามว่า เกิดอะไรขึ้นที่ทำให้นายพศวัจณ์ ถูกเสนอชื่อเป็น ป.ป.ช. และผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาแล้ว ส่งเรื่องไปโปรดเกล้าฯ แต่ว่าเรื่องยังไม่ตกลงมา เป็นเวลาก่อนคนหลังซึ่งช้ากว่าตั้ง 3 เดือน แต่ว่าได้รับการโปรดเกล้าฯ แล้ว หรือว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อช่วงกลางปี 2566 ที่ผ่านมา คือประมาณเดือนมิถุนายน 2566 คือกรณีสื่อต่างๆ เสนอข่าวเรื่องนายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม ออกมาเปิดเผยว่า ท่านประธานศาลอุทธรณ์ในเวลานั้นมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีที่มีการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมทางคดีต่อประธานศาลอุทธรณ์ จากอดีตแกนนำ กปปส. รายหนึ่ง ถึงการพิจารณาตัดสินคดีแกนนำ กปปส. ที่ศาลอาญา ที่เป็นศาลชั้นต้น ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ลงโทษจำคุกแกนนำ กปปส. โดยไม่รอลงอาญา 15 ราย และในปัจจุบันคดีอยู่ในการพิจารณาของศาลอุทะรณ์


กรณีดังกล่าวมีการร้องเรียนว่า มีผู้พิพากษาระดับสูงในศาลอุทธรณ์ 2 นาย ท่านได้เรียกร้องค่าตอบแทนในการช่วยเหลือการพิจารณาคดีในขั้นอุทธรณ์ การเจรจาดังกล่าวได้ไปเจรจากันที่เขาใหญ่ มีการเร่งรัด ขอให้เร่งรัดจ่ายเงินก่อน ในวันที่ 30 กันยายน 2565 ก่อนที่ท่านผู้พิพากษาท่านนั้นจะหมดวาระ

ขณะที่การสอบสวนข้อร้องเรียนดังกล่าวของศาลยังไม่แล้วเสร็จ มีข่าวก่อนหน้านั้นว่าผู้พิพากษา 2 คนที่ถูกร้องเรียนนั้น คนหนึ่งลาออกจากราชการไปแล้ว เดาเอาเองก็แล้วกันนะครับว่าใคร อีกคนหนึ่งยังรับราชการอยู่

จนมีการต่อจิ๊กซอว์ทั้งสองกรณีเข้าหากัน ถึงสาเหตุที่ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายพศวัจณ์ กนกนาก เป็น ป.ป.ช. คนใหม่ เรื่องยังคงคาอยู่ที่คณะองคมนตรี ซึ่งไม่ผ่านให้ ผมเข้าใจเช่นนั้นนะครับ

ที่สำคัญคือ นายพศวัจณ์ มีเรื่องเล่าลือกันหนัก หนาหูจากวงราชการว่า ท่านมีความสนิทสนมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เป็นอย่างยิ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้นมีส่วนออกแรงให้นายพศวัจณ์ ในการลงสมัครแข่งขันเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ด้วย จนผ่านคณะกรรมการสรรหา ทะลุวุฒิสภาง่ายดาย แต่กลับต้องรอเก้อ เนื่องจากไม่มีการโปรดเกล้าฯ ลงมาเสียที อาจจะเป็นเพราะว่าคณะองคมนตรีชุดปัจจุบันมีอยู่หลายท่านรับทราบถึงปัญหาของท่านพศวัจณ์ มากมายสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นประธานศาลอุทธรณ์ ส่วนจะเกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องมีการเรียกร้องเงินจากมารดาของแกนนำ กปปส. ในเรื่องคดีความ ว่ากันว่าเป็นวงเงินถึง 175 ล้านบาทนั้น ผมไม่ทราบว่าจริงหรือไม่จริง


อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนในคาถาของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่หนุนให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. แต่ไปไม่ถึงฝัน คือคุณสมบัติ ธรธรรม อาชีพทนายความ คนนี้แน่นแฟ้นกับ พล.ต.สุรเชษฐ์ ไม่น้อย คุณสมบัติ สามารถแหกด่านกรรมการสรรหามาได้ แต่ไปตกม้าตายที่ที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2566 โดยเสียงรับรองมีไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวน สว. ก็คือว่า หาเสียงไม่ได้ถึง 125 เสียง

การที่คุณสมบัติ ไม่ได้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. เพราะว่า สว. ส่วนหนึ่งได้มีการอ่านรายงานการตรวจสอบประวัติเชิงลึกแล้ว มีข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับการทำงานของนายสมบัติ เช่นเมื่อครั้งทำหน้าที่เป็นกรรมการบริหารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เวลานั้น ขสมก. ถูกร้องเรียนเกี่ยวกับการจัดการประกวดเช่าเนื้อที่โฆษณาบนรถเมล์ปรับอากาศ จำนวน 1,100 คัน ซึ่หลังจากนั้นคุณสมบัติ ก็ออกจาก ขสมก. มาเดินตาม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล


ด้วยเหตุนี้ ถ้าเรื่องของท่านอดีตประธานศาลอุทธรณ์เป็นจริง ว่าสนิทสนมกับ "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เมื่อทั้งสองคนไปไม่ถึงเป้าหมาย คนหนึ่งชื่อยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ทั้งๆ ที่ส่งไปตั้งหลายเดือนแล้ว อีกคนติดที่ สว. ไม่รับรอง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็แสดงว่าแผนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในการเดินหน้าหวังจะเอาคนของตัวเองเข้าไปเป็นกรรมการ ป.ป.ช. นั้น ก็จะยังเดินไม่ได้ต่อไปด้วยประการฉะนี้

ท่านผู้ชมครับ ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วที่ผมออกรายการ เอาคลิปเสียงของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ออกมา ว่ามีความใกล้ชิดสนิทสนมกับกรรมการ ป.ป.ช. ท่านหนึ่ง ซึ่งเผอิญเป็นประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของตำรวจ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ก็ตกเป็นจำเลย ถูกพรรคพวกของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ร้องเรียนมาในเรื่องของไบโอเมตริก การจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการใช้เครื่องบินเจ๊ตของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ปรากฏว่ามีตำรวจเริ่มเผยตัวออกมาทีละคนๆ แล้ว เอาข้อมูลต่างๆ มาให้ผม ด้วยความขมขื่นใจ

มีหลายๆ คดีที่มีการร้องเรียน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ไป แต่หลายคดีก็เงียบ ป.ป.ช. ไม่ตอบ มีอยู่คดีหนึ่งซึ่งผมอยากจะเล่าให้ท่านผู้ชมฟังเพื่อให้เห็นถึงการทำงานของ ป.ป.ช.

อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้จะมีการร้องเรียน ป.ป.ช. ให้รื้อคดีเก่าของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. มาปัดฝุ่นสอบสวนใหม่อีกครั้ง


คดีนี้เคยมีคนร้องเรียนไปแล้ว และ ป.ป.ช. มีมติยุติการสอบไปแล้ว แต่ผู้ร้องเรียนครั้งนี้บอกว่าการสอบสวนครั้งนั้นของ ป.ป.ช. มีลักษณะอคติและด่วนสรุป กรรมการให้น้ำหนักกับคำให้การของพยาน ซึ่งเป็นคนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มากเกินไป อีกทั้งคดีนี้ยังไม่หมดอายุความ จึงมีสิทธิ์จะร้องเรียนให้มีการสอบสวนอีกครั้ง

เอาล่ะ เรื่องนี้ย้อนกลับไปหน่อย คดีนี้เป็นกรณีร้องเรียนโดยนายเขตสยาม เนาวรังสี หนึ่งในเจ้าของร้านคาราโอเกะชื่อดังในจังหวัดนครพนม กล่าวหาว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล สมัยเป็นผู้กำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงปี 2553 กับ 2554 (12-13 ปีที่แล้วมา) ว่ามีพฤติการณ์เรียกรับเงินจากร้านคาราโอเกะทั่วภาคอีสานตอนบน


หลักฐานมีทั้งรายการโอนเงินตรงเข้าบัญชีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ไม่ได้ผ่านบัญชีม้า เพราะสมัยนั้นบัญชีม้าไม่มี ไม่ได้ใช้วิธีอำพรางทางการเงินใดๆ ให้ซับซ้อน จากการร้องเรียนของนายเขตสยาม เนาวรังสี ระบุว่า สมัยที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ยังดำรงตำแหน่งผู้กำกับการ 3 นั้น ได้มีการฝากและโอนเงินจากบุคคลใกล้ชิดเข้าบัญชี จำนวน 8,437,540 บาท และจากบุคคลอื่นที่ไม่ทราบข้อมูลอีกจำนวนอีก 10,745,927 บาท หลังพ้นตำแหน่งผู้กำกับการ 3 ตรวจสอบในช่วง 6 เดือน 10 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 มีการฝากและโอนเงินเข้าบัญชีอีกสี่หมื่นกว่าบาท และอีกอย่างหนึ่ง ข้อมูลหลักฐานการชำระภาษี จะเห็นได้ชัดว่าช่วงที่ถูกร้องเรียนนั้น ช่วงที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังเป็นผู้กำกับการ 3 ปราบปรามค้ามนุษย์ ได้มีการเสียภาษีเงินได้ 2549 มีรายได้แค่ 282,790 บาท ปี 2552 รายได้ 449,687 บาท


ในการต่อสู้คดีนั้น พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หรือในยศปัจจุบันคือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้น ได้อ้างว่า เสี่ยแต๋ม อุดรธานี หรือ นายชินรัตน์ วัฒนกูล เป็นพยานเอก ซึ่งในคำร้องนั้นระบุว่า นายชินรัตน์ วัฒนกูล ผู้ประกอบการรถบรรทุก เป็นคนรวบรวมเงินเข้าบัญชีให้ แล้วก็อ้างว่าในสร้างเรื่องว่ารู้จักกันมาตั้งแต่ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ อุปการะดูแลเหมือนบุตรบุญธรรม เพื่อให้สมเหตุสมผลในการให้ หรือโอนเงินเข้าบัญชี พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ จำนวนมาก แต่จากการสืบสวนปรากฏพยานหลักฐานชัดเจนว่า ทั้งสองคนเพิ่งจะรู้จักกันเมื่อประมาณกลางปี 2562 โดยการแนะนำของ ด.ต.ชัชวาลย์ ทิพย์พิชัย


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้อ้างเสี่ยแต๋ม อุดรธานี เป็นพยานปากเอก ท่านผู้ชมรู้จัก "เสี่ยแต๋ม" ดีไหม ? เสี่ยแต๋ม จำได้ไหม เป็นคนๆ เดียวกันกับเจ้าของบ้าน 5 หลัง ในซอยวิภาวดีรังสิต 60 กรุงเทพฯ หลังสโมสรตำรวจ ซึ่งตำรวจชุดปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ PCT5 ได้นำหมายค้นและหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ เข้าไปขอตรวจค้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2566 ในข้อหามีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับธุรกิจการพนันออนไลน์ และฟอกเงิน แต่เมื่อตรวจสอบชื่อเจ้าของบ้านที่ค้น กลับไม่ใช่บ้านของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เจ้าของบ้านตัวจริงทั้ง 5 หลัง คือ เฮียแต๋ม อุดรธานี เจ้าพ่อธุรกิจขนส่งและธุรกิจก่อสร้างรายใหญ่ในจังหวัดอุดรธานี


ซึ่งในตอนเข้าค้นครั้งแรก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็อ้าง มีคำพูดหมดว่าทั้งหมดนี้เป็นบ้านของเขาเอง แต่สืบไปสืบมากลายเป็นบ้านของเสี่ยแต๋ม

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้เสี่ยแต๋มอ้าง บอกว่าเป็นคนกลางนำเงินของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปปล่อยกู้กับเจ้าของร้านคาราโอเกะในภาคอีสาน ซึ่งเสี่ยแต๋มให้การกับ ป.ป.ช. ว่า เงินที่โอนเข้าบัญชี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้น ครั้งละเป็นแสน หลายแสน หรือบางครั้งหลักล้านนั้น เป็นเงินจากธุรกิจปล่อยกู้ ไม่ใช่เงินที่เจ้าของร้านคาราโอเกะส่งส่วยให้บิ๊กโจ๊กแต่อย่างใด

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่า ป.ป.ช. เชื่อในคำพูดของเสี่ยแต๋ม พูดแค่นี้ก็เชื่อเลย ไม่ได้ดูเงินที่เข้า และที่สำคัญที่สุด สั่งยุติการสอบสวนข้อกล่าวหา เพราะเชื่อคำให้การของคนใกล้ชิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์

ป.ป.ช. เองก็ยังไม่คิดที่จะสอบสวนเอาผิดต่อข้อหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ปล่อยกู้โดยมิชอบ อีกต่างหาก เป็นตำรวจแล้วมาปล่อยกู้เงินนอกระบบ คือจิตใจต้องการช่วยจริงๆ สำนวนนี้ยุติลงในยุค คสช. เรืองอำนาจ ยุคนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นลุงเป็นหลานกันอย่างใกล้ชิด ช่วยเหลือกันมาตลอด

แล้วคดีส่วยคาราโอเกะยังมีเรื่องราวที่เป็นเงื่อนงำตามมาอีก เมื่อนายเขตสยาม เนาวรังสี ผู้ร้องเรียน ตายอย่างกะทันหัน แล้วมีนายตำรวจระดับรองผู้การคนหนึ่งเข้าร้องเรียนให้มีการตรวจสอบ ค้นหาเบื้องลึกเบื้องหลังการตาย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เลยแจ้งข้อหาหมิ่นประมาท มิหนำซ้ำยังส่งตำรวจคู่ใจอย่าง "ผู้กำกับเปียก" ที่โดนคดีฟอกเงิน คดีเว็บพนัน พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย เข้าไปควบคุมการสอบพยานด้วยตัวเอง ที่ สน.ปทุมวัน

รองผู้การคนดังกล่าวก็เลยฟ้อง พ.ต.อ.เขมรินทร์ (ผู้กำกับเปียก) ต่อศาลอาญาคดีทุจริต ส่งคำโต้แย้งไปยังอัยการสูงสุด และหน่วยงานอื่นๆ แต่ยังไม่มีผลใดๆ นี่แสดงว่าเส้นสายของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้นเข้าได้ทุกวงการ


ท่านผู้ชมรู้ไหม คดี "มินนี่" เจ้าของเว็บพนันและเครือข่ายฟอกเงิน ซึ่งมีเส้นเงินมาถึงลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ คดีบางส่วนยังถูกส่งไปยัง ป.ป.ช. แล้วตอนนี้ และมีข่าวมาว่าสำนวนคดีมินนี่ ถูกส่งไปให้ลูกน้องในคาถาของอดีต ป.ป.ช. คนหนึ่งที่รับปากจะดูแลให้

ท่านผู้ชมครับ จังหวะที่กรรมการ ป.ป.ช. ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หมดวาระไป 2 คน ผู้มากบารมี "ลุงป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถึงยุคขาลง อาทิตย์อัสดงในวงการการเมืองแล้ว ผู้ร้องเรียนรายนี้ก็เลยเกิดความหวังว่า ป.ป.ช. จะใจกล้าช่วยกำจัดการทุจริตของวงราชการอย่างเด็ดขาด


ท่านผู้ชมครับ ผมมีคำพูดที่จะฝากท่านประธาน ป.ป.ช. นิดหนึ่ง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ท่านขึ้นมาเป็นประธาน ป.ป.ช. ได้ในยุคที่ คสช. เข้ามามีอำนาจ ท่านเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาก เคยนั่งอยู่หน้าห้อง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็เลยไม่ประหลาดใจที่คดีแหวน คดีนาฬิกาเพื่อน มันถึงเงียบสนิท คุณวัชรพล ครับ คดีส่วยคาราโอเกะนี่ก็อีกคดีหนึ่ง ดูตามหลักฐานที่เขาร้องเรียนมาแล้ว ป.ป.ช. ตั้งคำถามผิดคน ตั้งคำถามผิดคำถาม คือสรุปง่ายๆ ว่าจงใจที่จะช่วย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล คุณวัชรพล เคยเป็นตำรวจมาก่อน ไม่เอะใจบ้างเลยหรือว่าการฟังคำให้การของพยานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพียงฝ่ายเดียว มันไม่ใช่วิธีการสอบสวนและสืบสวนที่แท้จริง

คุณวัชรพล กำลังจะเกษียณอายุตามวาระ คุณจะครบ 9 ปี ในสิ้นเดือนกันยายนนี้ อีกไม่ถึง 9 เดือน คุณก็หมดวาระแล้ว ช่วงที่คุณเป็นประธาน ป.ป.ช. นั้น คุณรับใช้การเมืองอย่างเต็มที่ ว่ากันว่า ในยุคหนึ่งพรรคพลังประชารัฐต้องการ สส. ต่างพรรค ชวนให้มาเข้าพรรคด้วย ถ้าใครไม่มา ทันทีเลย ตัว สส. คนนั้นหรือญาติพี่น้อง จะโดน ป.ป.ช. สอบทันที เพราะนักการเมืองท้องถิ่น หรือนักการเมืองระดับชาติ ล้วนแล้วแต่มีเรื่องที่มีชนักปักหลังอยู่ตลอดเวลา เป็นการบีบให้นักการเมืองต่างๆ พวกนี้มาเข้าพรรคพลังประชารัฐ

คุณวัชรพล ครับ ผมพูดตามเนื้อผ้าที่แท้จริง ความจริงที่มีหนึ่งเดียว คนเขารู้กันหมดทั่วบาง 9 เดือนที่เหลือนี้ คุณวัชรพล คุณจะล้างตัวอย่างไรให้ดูสะอาด สดใส ผ่องใส ลำพังแค่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล พูดจาออกเป็นคลิปต่อหน้าลูกน้องของตัวเองที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ว่าสนิทสนมกับคุณสุภา แค่นี้ ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะต้องรีบจัดการดำเนินการอย่างเด็ดขาดแล้ว ผมไม่อยากจะกล่าวหาท่านว่า ในยุคที่ท่านเป็นประธาน ป.ป.ช. นั้น ป.ป.ช. นั้นโคตรตกต่ำเลย ตกต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร หรือคุณอยากจะหมดวาระไปด้วยมลทินที่ประชาขนทั้งหมด นี่ผมเป็นตัวแทนประชาชนนะท่านวัชรพล ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนที่ดูรายการนี้อยู่ เขาพร้อมให้ผมเป็นตัวแทนตั้งคำถาม ถามท่าน 8-9 เดือนที่เหลือนี้ ท่านจะทำอะไรให้มันถูกต้องหน่อยได้ไหม

ถ้าใครเป็นศัตรูของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อย่างเช่น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา คณะอนุกรรมการที่คุณสุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานอนุกรรมการ สอบหนักเลย ไม่ให้โอกาสเขาชี้แจง ให้เวลา 15+15 นาที ในการชี้แจง คือ 30 นาที นี่มันไม่ใช่อคติแล้ว มันเป็นการรับงานเขามา

ผมเคยถาม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ว่า ร้อนใจไหม ? เขาบอกไม่ร้อนใจ ไม่กลัว แล้วมีคนเล่าให้ผมฟังเยอะเลยว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เคยพูดกับคนหลายคน ซึ่งพร้อมจะเป็นพยานให้ผม พูดในทำนองว่าผมจะเอาจักรทิพย์ ติดคุกให้ได้ ก็ถ้าคุณสุภา ปิยะจิตติ ยังอยู่ ก็ท่าทางน่าจะต้องถูกสั่งฟ้อง ส่วนจะติดคุกหรือไม่ติดคุกนั้น ขึ้นอยู่กับหลักฐานต่างๆ ที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เมื่อไม่สามารถเสนอให้กับคุณสุภา ปิยะจิตติ ได้ เพราะว่าเนื่องจากถูกจำกัดเวลาและไม่รับฟัง ก็คงไปหงายกันที่ศาล


คุณวัชรพล ครับ ยังมีเวลาครับ 9 เดือนนี้ท่านทำอะไรได้อีกเยอะ เชื่อผมสิ แล้วนี่ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับคุณสุรเชษฐ์ ต่อไปอีกมากมาย เพราะในช่วงที่คุณสุรเชษฐ์ มีอำนาจ คำว่า "มีอำนาจ" ก็คือเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดลุงป้อม ซึ่งดูแลตำรวจยุคนั้น คุณสุรเชษฐ์ พูด ก็เลยทำให้ตำรวจทุกคนเข้าใจว่าเป็นความต้องการของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังมีเบื้องหน้าเบื้องหลังกับ "ตั๋วช้าง" อีก ที่ผมจะเอามาเปิด ที่รังสิมันต์ โรม เอามาพูดในสภาฯ แล้วข่าวเรื่อง "ป่ารอยต่อฯ" ที่รังสิมันต์ โรม เอามาพูด ผมมีหลักฐานหมด ผมจะค่อยๆ ปล่อยไปทีละอาทิตย์ๆ มิหนำซ้ำยังมีตำรวจอีกเยอะเลยที่ถูกกลั่นแกล้งโยกย้าย เนื่องจากไม่ทำตามคำสั่ง

ท่านผู้ชมครับ ใจเย็นๆ ครับ ท่านประธาน ป.ป.ช. ครับ ใจเย็นๆ ครับ เรื่องที่เขาร้องเรียน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปตั้งไม่รู้กี่เรื่อง ท่านผู้ชมรู้ไหมครับ คุณวัชรพล รู้ไหมครับ เงียบกริบเลย แล้วอย่างนี้จะให้ประชาชนทั้งหมดเชื่อใจในความยุติธรรม หลักการที่ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ของ ป.ป.ช. ในยุค พล.ต.อ.วัชรพล ได้อย่างไร ก็ในเมื่อ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ นั้น เป็นเด็กหน้าห้องของ พล.อ.ประวิตร แล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นหลานรัก ทำงานแทน พล.อ.ประวิตร ในหน้าที่ที่ดูแลเรื่องตำรวจ เจ้านายสายเดียวกัน คนเดียวกัน ถ้าไม่ช่วยก็จะดูกระไรอยู่ไม่ใช่หรือ

พล.ต.อ.วัชรพล ครับ คุณจะ 70 แล้ว เร็วๆ นี้ แล้ววาระคุณจะหมดในเดือนกันยายน ปี 2567 คุณจะจบชีวิตของคุณลงอย่างที่คุณเป็นไปอย่างนี้ หรือว่าคุณจะจบวาระของคุณไปด้วยความซื่อตรง ซื่อสัตย์ ทำความจริงให้ปรากฏ แล้วก็ยืนอย่างมั่นคงในหลักการ ทำให้องค์กร ป.ป.ช. นั้นมีชื่อมีเสียง ไม่ใช่วิ่งเต้นรับสินบนจากภายนอก รับเงินรับทองมา มีเวลาให้คุณคิดครับ

ท่านประธาน ป.ป.ช. ครับ และท่านกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีอยู่ 5 ท่านตอนนี้ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่พวกท่านต้องนำความเปลี่ยนแปลงเข้ามาสู่กระบววนการพิจารณาของ ป.ป.ช. เท่าที่ทราบ ท่านสุภา ปิยะจิตติ สมัยที่ท่านยังดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการอยู่ ยังไม่หมดวาระ ท่านจะเป็นคนชอบอ่าน เวลากรรมการท่านไหนเสนอข้อมูลมาเพื่อที่จะให้มีการชี้มูล ส่วนใหญ่แล้วกรรมการ ป.ป.ช. จะไม่อ่านกัน ก็จะฟังคนเสนอมาพูด พอพูดจบแล้วก็ออกความเห็น เห็นชอบ หรือ ไม่เห็นชอบ

อันนี้ ท่านประธาน ป.ป.ช. และท่านกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งหลายต้องแก้ ใครก็ตามเสนอข้อมูลอะไรมา เพื่อจะให้ชี้มูลความผิด ท่านต้องอ่านเอกสารก่อน ส่วนข้อตกลงว่าจะส่งเอกสารมาให้ท่านก่อนที่จะมีการประชุมกรรมการ กี่วัน กี่อาทิตย์ ก็ต้องตกลงกันไปก่อน แต่ท่านทุกคน ทุกท่าน ต้องอ่าน จะซักถามเจ้าของสำนวนไม่ได้ เพราะว่าจะมีหลายจุดที่ท่านดูแล้ว ท่านอาจจะไม่เห็นด้วย ท่านอาจจะเสนอให้เขากลับไปแก้ใหม่ ในเมื่อท่านเอง ป.ป.ช. เอง ทำตัวเหมือนอัยการ ท่านประธานและท่านกรรมการ ป.ป.ช. ทุกคนก็ต้องทำตัวเหมือนกับตัวเองเป็นประธานและอัยการอาวุโสที่คอยตรวจสอบสำนวน อย่าทำการแบบหละหลวมโดยที่ไม่อ่านเป็นอันขาด เพราะเราไม่ทราบว่าท่านกรรมการท่านใดก็ตามรับงานใครมาหรือเปล่า หรือว่ามีอคติมากมายหรือเปล่า ถ้ามัวไปฟังกรรมการท่านพูดอย่างเดียว ท่านต้องอ่าน แล้วท่านก็จะมีคำถาม


ผมคิดว่าการแก้วิธีนี้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ท่านสามารถจะแสดงให้เห็นว่าท่านได้ทำหน้าที่ของท่านอย่างซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ และยุติธรรม อย่างตรงไปตรงมา และผมฝากถึงท่านกรรมการ ป.ป.ช. ทุกท่าน คำพูดของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่แสดงออกถึงความสนิทสนมกับท่านสุภา ปิยะจิตติ นั้น เป็นบทเรียนที่ให้ท่านรับทราบและเตือนสติท่าน

ท่านนิวัติไชย บอกว่าท่านกรรมการ ป.ป.ช. นั้นมีพรรคพวกเยอะ มีเพื่อนฝูงเยอะ นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่ในเวลาที่ผู้พิพากษาส่วนใหญ่ เมื่อดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาแล้ว เขาพยายามจะลดการคบหาสมาคมกับคนเอาไว้ ท่านอย่าลืมนะครับ ท่านอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่ง สามารถจะชี้มูลใครแล้ว คนนั้นก็จะต้องถูกสั่งฟ้องไป หรือแม้กระทั่งแค่ชี้มูลแล้วส่งกลับไปที่ต้นสังกัด หรือแม้กระทั่งประธานอนุกรรมการ เมื่อชี้มูลว่าเห็นว่าผิด แล้วส่งไปต้นสังกัด อย่างเช่นตำรวจ

ตำรวจมีระเบียบว่า ถ้า ป.ป.ช. ชี้มูลมา ต้องให้ออกจากราชการทันที และนี่คือช่องว่างที่คนที่ต้องการจะกลั่นแกล้ง แล้วใช้ความสนิทสนมกับประธานอนุกรรมการ ดำเนินคดีลูกน้องของตัวเองที่ร้องเรียนตัวเอง และตัวเองก็ร้องเรียนลูกน้องด้วย พอลูกน้องถูกคณะอนุกรรมการชี้มูลแล้ว แล้วก็ส่งเรื่องกลับไปให้ผู้บังคับบัญชาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อจัดการ ตามระเบียบมีอยู่แล้ว เมื่อชี้มูลก็ต้องให้ออกจากราชการไปเลย

เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่ได้เปรียบ คือคนที่มีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับประธานอนุกรรมการ สามารถจะกลั่นแกล้งคนได้

ท่านวัชรพล ครับ ท่านกรรมการ ป.ป.ช. ทุกท่านครับ ตรงนี้ท่านแก้หน่อยได้ไหม อย่าให้คนโดนรังแกจากคนที่อุกอาจ โอหังมมังการ คิดว่าตัวเองรู้จักกับกรรมการ ป.ป.ช. หรือว่าสามารถจะสนิทสนมกับกรรมการ ป.ป.ช. ที่เป็นประธานอนุกรรมการในเรื่องที่กำลังพิจารณาอยู่ แล้วคนที่ตกเป็นจำเลยนั้นเกิดเป็นคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้า ขอเถอะครับ ถ้าท่านทำอย่างนี้ได้ โอกาสความยุติธรรมก็จะเกิดขึ้น แล้วท่านต้องเลิกได้แล้วนะครับ ท่านประธานคณะอนุกรรมการทั้งหลาย คนที่ถูกกล่าวหา ร้องเรียนนั้น ท่านต้องเปิดโอกาสให้เขาชี้แจงอย่างเต็มที่ ไม่ใช่มากำหนดว่า 15 นาที + 15 นาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนซึ่งเป็นตัวหลักที่ถูกกล่าวหา ถ้าเป็นพยาน ยังอาจจะจำกัดเวลาได้ แต่ถ้าเป็นตัวหลักแล้ว ต้องรับฟังคำชี้แจงของเขาอย่างเต็มที่ และก็รับเอกสารของเขาทุกอย่างมาหมด ผมฝากเพียงแค่นี้ครับ

ช่วยนำความเชื่อมั่นกลับมาให้กับประชาชนเสียทีได้ไหม เพราะท่านประธาน ป.ป.ช. เองท่านก็มีแผลจากการที่สนิทสนมกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เคยเป็นหน้าห้องท่าน แล้วเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประวิตร นั้น สังคมได้ดูว่าท่านไม่ยุติธรรมกับสังคม ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องนาฬิกาเพื่อนเท่านั้น ยังมีอีกหลายเรื่องที่ท่านถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งคนทางการเมืองหลายๆ คน ผมฝากไว้แค่นี้ครับ

ชำแหละหมูเถื่อน! จาก "เฮียเก้า-เฮียเกียรติ" ถึง "เฉลิมชัย"

ท่านผู้ชมครับ เรื่องขบวนการ "หมูเถื่อน" หรือ "หมูกล่อง" รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เคยเอามาเปิดโปง เล่าเบื้องหน้าเบื้องหลังให้ฟังมาแล้วเมื่อปลายปีที่แล้ว ตอนที่ 217 วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ตอน "หมูเถื่อนแสนล้าน บูรณาโกง 3 กรม"


วันนี้มีความคืบหน้าจากการขยายผลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ลากเอาตัวบุคคลร่วมขบวนการออกมา และกำลังจะเชื่อมโยงไปหาตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งก็เป็นไปตามอย่างที่วิเคราะห์ไว้ เรามาทบทวนความจำเรื่องนี้กันนิดนะครับ

"หมูเถื่อน" หรือในวงการพ่อค้าหมูเรียกว่า "หมูกล่อง" ทะลักเข้ามาสร้างผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร และทำลายกลไกตลาดราคาหมูในประเทศ ตลอดจนบั่นทอนเศรษฐกิจ ซึ่งตามข้อมูลตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ละปีมูลค่าหมูเถื่อนที่ลักลอบเข้ามา พบว่าอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท และถ้าคำนวณค่าเสียหาย เสียโอกาสของห่วงโซ่การเลี้ยงหมูที่ได้รับผลกระทบจากหมูเถื่อน เช่น การเพาะปลูกพืชเพื่อนำไปเป็นอาหารสัตว์ ข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง ของเกษตรกร อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ห้างค้าปลีก ค้าส่ง ร้านค้า ร้านอาหารที่เอาหมูเถื่อนไปทำกำไรขายให้ผู้บริโภค ว่ากันว่าเม็ดเงินที่หมุนเวียนในวงจรจะไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท

เพราะฉะนั้นแล้ว กลุ่มผู้เลี้ยงสุกรจึงเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการปราบปรามขบวนการหมูเถื่อน โดยที่ดีเอสไอเป็นผู้รับผิดชอบ แต่คดีดำเนินไปอย่างล่าช้า จนกระทั่งนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ลงแส้สั่งให้ดีเอสไอจัดการขั้นเด็ดขาด ขีดเส้นตายให้สาวถึงตัวการใหญ่ของขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนในไทยให้ได้


ทว่า จนแล้วจนรอดคดีไม่คืบหน้าไปไหน จะด้วยขบวนการหมูเถื่อนมีผลประโยชน์มหาศาล หรือผู้ที่เข้าไปเอี่ยวมีผลประโยชน์หมูเถื่อนล้วนแล้วแต่เส้นใหญ่ ซึ่งมีทั้งนักการเมืองขาใหญ่ บางคนก็บอกว่าเป็นถึงอดีตรัฐมนตรี ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น พ่อค้า นายทุน เจ้าของฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดใหญ่ บริษัทชิปปิ้ง เจ้าของห้องเย็น โดยการสมรู้ร่วมคิดรับสินบนของข้าราชการคนใหญ่คนโต เจ้าหน้าที่ในกรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ ไม่เว้นแม้แต่กรมประมง

ในตอนนั้นทีมรายงานมีข้อมูลเชิงลึกว่า นักการเมืองใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง เชื่อมโยงไปถึงขาใหญ่ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเป็นช่วงที่หมูเถื่อนทะลักเข้ามามาก บ้างก็ว่าเป็นรัฐมนตรี "ป." ซึ่งสมัยที่แล้วเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ กำกับดูแลกรมปศุสัตว์

นอกจากนี้แล้ว ยังมีกระแสข่าวผู้ต้องสงสัยร่วมขบวนการหมูเถื่อนอีกคนหนึ่ง เชื่อมโยงไปถึงนาย "ส." หน้าห้องอดีตรัฐมนตรี รวมไปถึงมือไม้นักการเมืองที่ใช้บริการ มีชื่อว่า "เฮียเก้า" เป็นเสี่ยโรงงานผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูป รับเป็นหน้าเสื่อ เป็นมือประสานกับพ่อค้าหมูเถื่อน และเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำการทุจริต ดึงเงินส่วนแบ่งมาให้กับนาย "ส." หน้าห้องรัฐมนตรี


ตอนนั้นเราตั้งคำถามว่าเรื่องทั้งหมดและตัวละครผู้ร่วมขบวนการจะจริง/เท็จประการใด ให้ไปถามนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในตอนนี้ ที่ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในสมัยที่แล้ว

ท่านผู้ชมครับ ผมจะมาเล่าถึงตอน "เฮียเก้า" ถึง "เฮียสมเกียรติ" ตัวเป้งคดีหมูเถื่อน ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่คุ้นเคยเฉลิมชัย ศรีอ่อน

เฮียสมเกียรติ นั้น ว่ากันว่าอยู่แนบติดตัวเฉลิมชัย เกือบจะ 24 ชั่วโมง อาจจะยกเว้นตอนนอนกับตอนเข้าห้องน้ำ ขี้ เยี่ยว เท่านั้นเอง นอกนั้นแล้ว เห็นเฉลิมชัยที่ไหน ต้องเห็นเฮียเกียรติ ติดตัวที่นั่น

ตัดมาที่ปัจจุบัน ล่าสุดดีเอสไอไปลุยจับ 5 บุคคล ประกอบด้วย นายหลี่ เซิ่งเจียว หรือ เฮียเก้า นายหยาง ยาซุง นายกรินทร์ ปิยพรไพบูลย์ นางสาวนวพร เชาว์วัย นายสมเกียรติ กอไพศาล หรือ เฮียเกียรติ ในฐานความผิด พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และ พ.ร.บ. โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 และมีความผิดอั้งยี่ซ่องโจร ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งเป็นคดีที่มีมูลค่าความเสียหายกว่า 6 พันล้านบาท เกี่ยวข้องกับตู้คอนเทนเนอร์บรรจุเนื้อสัตว์เถื่อนต่างๆ กว่า 1 หมื่นตู้ อย่างที่ข่าวลงไปแล้ว

นายสมเกียรติ กอไพศาล หรือ เฮียเกียรติ
ทั้ง "เฮียเก้า" และ "เฮียเกียรติ" เป็นตัวละครที่พูดถึงไว้นั่นเอง โดยเฉพาะ "เฮียเกียรติ" หรือ นายสมเกียรติ กอไพศาล นั้นไม่ธรรมดา อดีตเป็นเลขาฯ ส่วนตัวนายเฉลิมชัย ขณะเดียวกัน อีกตำแหน่งหนึ่งซึ่งท่านผู้ชมอาจจะไม่รู้ และคนทั่วไปไม่รู้ เฮียเกียรติ เป็นประธานคณะทำงานให้รัฐมนตรีเฉลิมชัย ในกระทรวงเกษตรฯ ด้วย การเป็นประธานคณะทำงานนั้นก็หมายความว่า ใช้อำนาจรัฐมนตรีเข้าไปประสานงาน ติดต่อกับกรม กองต่างๆ ที่สังกัดอยู่ภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่นายเฉลิมชัย เป็นรัฐมนตรี

งานนี้นายเฉลิมชัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ในรัฐบาลยุคลุงตู่ ปฏิเสธหลายครั้งว่าตัวเองไม่เคยเกี่ยวข้องกับขบวนการนำเข้าหมูเถื่อน แม้จะถูกเพ่งเล็งอย่างไรก็ตาม แต่ก็ต้องสะดุ้งล่ะคราวนี้ เพราะสมเกียรติ นั้นถือว่าเป็นคนใกล้ตัวมากๆ

ขณะที่ 4 คนที่ออกหมายจับพร้อมๆ กับเลขาฯ รัฐมนตรีเฉลิมชัย คนแรก คือ นายหลี่ เซิ่งเจียง หรือ เฮียเก้า เป็นบุคคลสัญชาติจีน นายกสมาคมค้าแลกเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย-เอเชีย ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำกำลังตรวจค้นบ้านพัก และบริษัทที่ย่านแสมดำ เมื่อวันที่ 11 มกราคม ที่ผ่านมา แต่ไม่เจอตัวเพราะเดินทางไปประเทศจีนตั้งแต่ปลายปี ยังไม่กลับมา

คนที่สอง คือ นายกรินทร์ ปิยพรไพบูลย์ ลูกชายเฮียเก้า ซึ่งเดินทางไปจีนพร้อมพ่อตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเช่นกัน ทั้งสองคนนี้ตามข่าวที่ปรากฏครั้งแรกเชื่อกันว่าเป็นน้องชายต่างมารดา และเป็นหลานของนายเฉลิมชัย นั่นเอง แต่วันต่อมานายเฉลิมชัย ออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และอธิบายว่าบิดาของตัวเองนั้นอยู่ประเทศไทยมานานกว่า 80 ปีแล้ว ไม่เคยกลับไปเมืองจีนอีก จะไปมีลูกที่เมืองจีนได้อย่างไร


นายเฉลิมชัย ยังบอกอีกว่า ครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนทั่วไปที่มีญาติอยู่ในจีน และญาติชาวจีนก็สามารถจะมาทำธุรกิจในประเทศไทยได้ ซึ่งถ้าเขาทำผิดก็ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย

นายเฉลิมชัย ยังยืนยันว่า ไม่รู้จักบ้านเฮียเก้า ไม่เคยไปบ้านและที่ทำงานเขาด้วย ส่วนที่เคยเจอกันในงาน ก็เพราะตัวเองได้รับเชิญไปร่วมงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนักธุรกิจ ข้าราชการ มาร่วมงานจำนวนมาก และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้ทั้งหมดว่าใครทำอะไร อย่างไรบ้าง

แต่ยังมีอีกปมหนึ่งที่นายเฉลิมชัย ต้องแก้ นั่นคือนายกรินทร์ ปิยพรไพบูลย์ ลูกชายของเฮียเก้า ทำไมถึงมีนามสกุลเดียวกับนายวิรัช ปิยพรไพบูลย์ ซึ่งเป็นพี่ชายของนายเฉลิมชัย และ นายจักพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ สส. ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ ผู้เป็นหลานชายอีกคนหนึ่ง ประเด็นนี้นายเฉลิมชัย ก็แถลงแบบปัดๆ ไปว่า รู้แค่ว่ามาขอใช้นามสกุล แต่ไม่ทราบรายละเอียด เรื่องนี้ก็แล้วแต่ท่านผู้ชมว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วกัน

เอาล่ะ เรื่องนี้ความจริงเป็นเช่นไร เดี๋ยวความจริงคงปรากฏกันขึ้นมา แต่ตามข้อมูลวงในยังเชื่อกันว่าสำหรับเฮียเก้านั้น ถือว่าเป็นญาติหรือพี่น้องร่วมสาบานกับอดีตรัฐมนตรีชื่อดังแน่ๆ ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ไม่สามารถมาทำธุรกิจในประเทศไทยได้ แต่อยู่ในประเทศโดยใช้วิธีต่ออายุการอยู่ในประเทศทุกๆ 3 เดือน โดยมีข้าราชการระดับสูงในกรมปศุสัตว์เป็น back up ช่วยเหลือในการสวมสิทธิ์หมูเถื่อน และตีนไก่เถื่อน

และเฮียเก้า กับ เฮียเกียรติ หรือ สมเกียรติ กอไพศาล อดีตเลขาฯ ส่วนตัวของเฉลิมชัย ถือว่าเป็นคู่หูที่ทำงานกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนม เมื่อเรื่องหมูเถื่อนคืบคลานมาใกล้ตัว คนใกล้ชิดถูกหมายจับ เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จึงเปิดแถลงข่าว มิหนำซ้ำยังขนสมาชิกพรรคมายืนประดับบารมีจนเกือบทั้งพรรค เฉลิมชัย พูดบอกว่า สบายใจที่คนใกล้ตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ตัวเองจะไม่ก้าวก่าย ถ้าทำผิดจริงก็รับโทษ ไม่มีใครหนีกฎแห่งกรรม คล้ายๆ กับว่าทำใจดีสู้เสือ


แต่เป็นที่น่าสังเกตว่างานนี้คนที่ทำให้เฉลิมชัย โป๊ะแตก กลับกลายเป็นแม่ยกพรรคประชาธิปัตย์ สายมาร์ค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือ "ติ๊งต่าง" กาญจนี วัลยะเสวี ที่ตามกัด ตามจิก จองเวรไม่เลิก พอจะสืบได้ว่านายเฉลิมชัย โกรธมาก ที่ติ๊งต่างพอรู้ว่าคนใกล้ชิดหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ถูกจับได้ ฉวยโอกาสโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กด้อยค่าเฉลิมชัย ทันที โดยเป็นภาพเฉลิมชัย พร้อมด้วยเดชอิศม์ ขาวทอง และ ชัยชนะ เดชเดโช อยู่ในกลุ่มนักธุรกิจจีน โดยติ๊งต่างเขียนแคปชันว่า "อุ๋ย!! หัวหน้าพรรค ปชป. และผู้บริหารพรรค ไปทำอะไรกับบุคคลที่ DSI ออกหมายจับ (ชื่อเฮียเก้า ที่เขาลือกันว่าเป็นทุนจีนเทาและเกี่ยวพันกับนักการเมือง) เรื่องนี้ นายเฉลิมชัย นายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ ต้องตอบและชี้แจงต่อสาธารณะอย่างชัดเจน เพราะคุณมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารในพรรคประชาธิปัตย์ การไปพัวพันกับทุนต่างชาติจะเป็นอันตรายต่อพรรค ปชป. #สมาชิกประชาธิปัตย์เขารอฟังคำตอบ"

ไม่เท่านั้น กาญจนี วัลยะเสวี ยังตามมาด้วยข้อความเหน็บแนมต่าๆง นานา โดยเธอระบุว่า "ฉาวโฉ่ขนาดนั้นยังทนได้ เป็นฉัน ลาออกไปแล้ว ขอถามว่า เฮียเก้า คนที่กำลังมีข่าวพัวพันเรื่องหมูเถื่อน เป็นเฮียเก้าคนเดียวกันกับที่นายเฉลิมชัย พูดในที่ประชุม ที่ผู้สมัคร สส. ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาหรือเปล่า แหล่งข่าวบอกมาค่า"


ท่านผู้ชมครับ สรุประหว่าง "ติ๊งต่าง-เฉลิมชัย" สาธารณชนทั้งหลาย และท่านผู้ชม จะถือหางข้างใคร ตามที่สบายใจ แต่ในที่สุดแล้วท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ ทุกอย่างมันจบลงด้วย "ความจริงมีหนึ่งเดียว" อีกไม่นานเราจะได้เห็นความจริงกันแล้วครับ

เปิดขบวนการ "ปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ" นักโทษเทวดาชั้น 14

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมถามผมมามาก ให้ผมพูดเรื่องคุณทักษิณ ชินวัตร หรือโดยพื้นฐาน ถ้าอยู่ในคุกเขาเรียกว่า นักโทษชาย (นช.) แต่กระทรวงยุติธรรมบอกว่า ถ้าอยู่นอกคุก ไม่ให้ใช้คำว่า "นักโทษชาย" ทั้งหมดนี้เกิดจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

ทวี สอดส่อง เตรียมจัดการให้ทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวนอกคุกมาเกือบ 150 วันแล้ว มีสตอรี่เรื่องความเห็นแพทย์ตำรวจ แพทย์ราชทัณฑ์ โน่นนี่นั่น มาประกอบพอเป็นพิธีกรรม กระบวนการของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดแสดงออกอย่างชัดเจน เพื่อช่วยกันทำอย่างไรก็ได้ ทุกวิถีทาง เพื่อยื้อให้อยู่ในโรงพยาบาลให้นานที่สุด ให้นอนแบบสบายอกสบายใจอยู่บนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ

ในขณะเดียวกัน อีกกระบวนการหนึ่ง กำลังดำเนินการคู่ขนานกับการรักษาตัวนอกเรือนจำ คือการผลักดันให้มีกระบวนการลดโทษให้ทักษิณ ชินวัตร ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

มีข้อมูลเกี่ยวกับการพักการลงโทษกรณีทักษิณ ชินวัตร รายละเอียดขั้นตอนมีดังนี้ครับ นี่คือระเบียบ

1. ตามหลักเกณฑ์การเลื่อนชั้น ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการจัดให้เป็นชั้นกลาง เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 หากมีคุณสมบัติครบถ้วนก็จะได้รับเลื่อนจากชั้นกลาง เป็นชั้นดี ในสิ้นเดือนมิถุนายน ปีนี้่ (2567) ซึ่งจะมีผลวันที่ 1 กรกฎาคม 2567


ท่านผู้ชมครับ การแบ่งนักโทษเด็ดขาดนี้ เขาตั้งไว้ 6 ชั้น ชั้นเลวที่สุดคือชั้นที่ 6 เขาเรียกว่า "ชั้นเลวมาก" เป็นชั้นที่ต้องปรับปรุงมาก รองลงมาคือ ชั้นที่ 5 คือ ชั้นเลว ชั้นต้องปรับปรุง ชั้นที่ 4 คือ ชั้นที่ทักษิณ ชินวัตร อยู่ คือชั้นกลาง ชั้นที่ 3 คือ ชั้นดี ชั้นที่ 2 คือ ชั้นดีมาก ชั้นที่ 1 คือ ชั้นเยี่ยม

สมัยที่ผมอยู่ ผมเข้าไปยังไม่ได้ชั้นกลางเลย ตอนนั้นมีการกีดกันไม่ให้คนเข้าไปได้ชั้นกลาง เพื่อจะกดให้นักโทษนั้นได้เลื่อนชั้นยาก แต่ต่อมาภายหลังมีคนร้องเรียนไปเยอะ ก็เลยมีการปรับปรุง ผมเลื่อนชั้นกลาง ขึ้นเป็นชั้นเยี่ยม ภายในระยะเวลา 2 ปี ต้องทำอะไรเยอะแยะไปหมด ผมสอบได้นักธรรมเอก ต้องเรียนธรรม นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ส่วนในกรณีของทักษิณ ชินวัตร อย่างที่ท่านรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ คุณสิทธิ สุธีวงศ์ บอกว่า เพิ่งต้องโทษ จึงจัดอยู่เป็นชั้นกลาง ไปอยู่ชั้นกลางนี้ ทักษิณ ชินวัตร จะไม่มีโอกาสได้รับสิทธิพักการลงโทษแต่อย่างใด ต้องทำชั้น อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นนักโทษชั้นดีก่อน ถึงจะมีโอกาสได้รับสิทธิ

สอง ประเด็นการพักโทษ มีอยู่ 2-3 ประการ กรณีปกติ ทักษิณ ชินวัตร จะเข้าเกณฑ์พักโทษในชั้นดี ในวันที่ 18 มิถุนายน 2567 หรือว่า 1 ใน 5 ของกำหนดโทษ หรืออีกเกือบครึ่งปี ตามกฎกระทรวงกำหนด

เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าจะได้รับการพักโทษ จะต้องรอจนถึงวันสิ้นเดือนมิถุนายน เป็นนักโทษชั้นดี จะมีผลให้ได้รับการพักการลงโทษ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป

การพักการลงโทษ ข้อที่ 2 เป็นการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ โดยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์การพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ เนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรือมีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป จะต้องเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นกลางขึ้นไป จำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือ 1 ใน 3 แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า


ในกรณีทักษิณ ชินวัตร จะได้รับการพักโทษก็ต่อเมื่อจำคุกมาแล้ว 6 เดือน ซึ่งจะเข้าเกณฑ์พักโทษในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เดือนหน้านี้แล้ว

ทีนี้ ถ้าจะพักโทษในกรณีอายุ 70 ปีขึ้นไป จะต้องประกอบไปด้วย ผลการประเมินตามแบบประเมินคัดกรองปัญหาสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาวในชุมชน กรมอนามัยมีค่าคะแนนไม่เกิน 11 คะแนน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อย พยาบาลเรือนจำจะเป็นผู้ทำการประเมินและรับรองโดยผู้บัญชาการเรือนจำ ซึ่งในความเป็นจริงก็คือ ไม่มีพยาบาล หรือผู้บัญชาการเรือนจำคนไหนกล้ารับรอง เพราะธรรมดาแล้ว กรณีพิเศษจะเป็นคนพิการ อย่างเช่นตาบอด 2 ข้าง ขาพิการ 2 ข้าง เดินไม่ได้เลย อย่างนี้ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ แต่สำหรับทักษิณ ชินวัตร แล้ว ไม่เข้าหลักเกณฑ์เลยแม้แต่นิดเดียว จะให้พยาบาลคนไหนมารับรองล่ะ ให้ผู้บัญชาการเรือนจำคนไหนมารับรองล่ะ ติดคุกติดตะรางหัวโตเลย

หรือหากขอพักการลงโทษกรณีความเจ็บป่วยร้ายแรง ก็ต้องมีแพทย์จำนวน 2 คน ตรวจรับรองความเจ็บป่วย ว่า เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น โรคไตวายเรื้อตัง มีการล้างไตที่ช่องท้อง โรคมะเร็งระยะแพร่กระจาย เป็นต้น ซึ่งกรณีนี้เช่นกัน ก็ยังไม่มีแพทย์คนไหนกล้ารับรอง

ทั้งนี้ทั้งนั้น จากเงื่อนไข กฎระเบียบ และกฎหมายที่ค่อนข้างจะตายตัวข้างต้นนั้น เปลี่ยนแปลงได้ยาก จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีการโยนหินถามทางมาจากในกระทรวงยุติธรรม และ "แกะดำ" บางตัวในกรมราชทัณฑ์ ในการสร้างทางลัดและช่องพิเศษทุกวิถีทางให้ทักษิณ ชินวัตร พ้นโทษให้เร็วที่สุด ด้วยการ "พักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ" เพื่อให้สมกับที่ทักษิณ ชินวัตร ประกาศลั่นไว้ก่อนกลับประเทศไทยว่า จะไม่ยอมติดคุกเลยแม้แต่วันเดียวนั่นเอง

ท่านผู้ชมครับ มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังของการกลับมาของทักษิณ ชินวัตร ที่ไม่มีใครรู้ ตอนที่เดินกลับมา วันที่ 22 สิงหาคม 2566 นั้น ก็มุ่งตรงไปฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา ในระหว่างกระบวนการฟังคำพิพากษา ตอนแรกทนายทักษิณ ไม่ยอมให้ทักษิณ พิมพ์ลายนิ้วมือเหมือนผู้ต้องหาด้วยซ้ำ แต่โชคดีที่เจ้าหน้าที่คนนั้นและกลุ่มนั้นไม่ยอม จึงต้องดำเนินการพิมพ์ลายนิ้วมือ


ข้อที่สอง หลังจากที่ทักษิณ สิ้นสุดกระบวนการรับฟังคำพิพากษา และเดินทางมายังเรือนจำกรุงเทพมหานคร ด้วยรถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ กันกระสุน ถึงเรือนจำประมาณ 11 โมงครึ่ง ทักษิณ เข้าไปในห้องทำบัตรนักโทษของเรือนจำพิเศษกรุงเทพ แต่ไม่ได้ดำเนินการตัดผมเหมือนนักโทษทั่วไป

ข้อที่สาม เมื่อทักษิณ เข้าเรือนจำแล้ว ก็ไม่ได้เข้าห้องขัง แต่มุ่งตรงไปยังสถานพยาบาลของเรือนจำ ซึ่งไม่ใช่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เรือนจำใหญ่ๆ เขาจะมีสถานพยาบาลของเขาเอาไว้ สำหรับรักษาผู้ป่วยที่จำเป็น นอนพักผ่อน เพื่อไปดำเนินการตรวจโรคแล้วกักโควิด

ข้อที่สี่ จากนั้นในคืนวันนั้น นี่คือข้อมูลของคุณสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะโฆษกประจำกรมราชทัณฑ์ ระบุว่า กรมราชทัณฑ์ได้รับรายงานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เมื่อเวลา 23.59 น. ของวันที่ 22 สิงหาคม ซึ่งพัศดีเวรได้รายงานว่า นายทักษิณ ซึ่งควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แดน 7 อยู่ระหว่างการกักโรค มีอาการนอนไม่หลับ แน่นหน้าอก วัดความดันโลหิตสูง ระดับออกซิเจนปลายนิ้วต่ำ หลังจากนั้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครก็นำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจ ทันที ซึ่งได้รับตัวเพื่อทำการบำบัดเมื่อเวลา 00.23 น. ของวันที่ 23 สิงหาคม 2566 เรือนจำฯ ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ควบคุมตามระเบียบขั้นตอนของกรมราชทัณฑ์ ถึงวันนี้นับแล้วก็ 150 วันพอดี


คำถามที่น่าสนใจของผู้ที่รู้เรื่องราชทัณฑ์ดี ก็คือเป็นคนที่อยู่ในกรมราชทัณฑ์นั่นเอง เขาตั้งข้อสังเกตและคำถามอย่างนี้ครับ กรณีที่นำนักโทษออกมานอนนอกเรือนจำนั้น ต้องเป็นกรณีฉุกเฉินจริงๆ ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่สามารถจะรองรับได้ และต้องมีพยาบาลเซ็นว่าเป็นเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลราชทัณฑ์รองรับไม่ได้ คำถามคือ มีผู้บัญชาการเรือนจำ หรือหากเป็นยามวิกาล เวรผู้ใหญ่ที่อยู่ต้องเซ็นรับผิดชอบ

เพราะฉะนั้น การที่นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ อ้างว่านักโทษทักษิณ ชินวัตร มีอาการโน่นนี่นั่น ทำให้พยาบาลเวรเรือนจำได้ติดต่อขอคำแนะนำจากแพทย์ที่ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และแพทย์ได้สอบถามอาการโดยละเอียดแล้ว พบว่ามีโรคประจำตัวหลายโรค ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพ จึงเห็นควรส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจ ที่มีความพร้อม มีเครื่องมือทางการแพทย์ มีศักยภาพสูงกว่า คำถามครับ ต้องถามต่อว่า พยาบาลหรือแพทย์คนเซ็นนั้นคือใคร ? ชื่ออะไร ? เวรผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่แทนผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษฯ นั้นคือใคร ? ชื่ออะไร ?

เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ใช่ความลับอะไร เอาชื่อ-นามสกุล ลายเซ็นคนรับผิดชอบมา ก็แค่นั้น ไม่ต้องเฉไฉหรือแถไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีประโยชน์ ผมพูดแล้วนะครับว่า รายการนี้ปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือไม่ได้หรอก


ข้อที่ห้า ในเชิงลึกมีรายงานว่า ในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 นั้น เมื่อเข้าไปในเรือนจำ ทักษิณ โวยวายจะไม่ยอมอยู่เรือนจำ ทำให้มีการต่อรองระหว่างฝ่ายการเมืองขั้วอำนาจเก่าอย่างหนัก ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเข้าไปในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้วย ในที่สุดก็ตกลงอนุญาต เปิดไฟเขียวให้ทักษิณ ออกมานอนอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ

ข้อที่หก เมื่อทักษิณ ไม่ยอมอยู่เรือนจำ และจะออกไปอยู่ห้องพิเศษ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ก็เกิดกระบวนการเร่งรัดการขอพระราชทานอภัยโทษให้ทักษิณ ชินวัตร อย่างเร่งด่วน จนวันที่ 1 กันยายน มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 140 ตอนที่ 40 ขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณอภัยโทษ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากติดคุก 8 ปี จากคำพิพากษาศาลฎีกา 3 คดี เหลือเพียง 1 ปี เนื่องจากเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ จงรักภักดี ยอมรับผิดในการกระทำ และสำนึกในความผิด ดังที่ได้ลงในราชกิจจานุเบกษาที่ท่านผู้ชมคงรับทราบมาแล้ว ที่ประกาศออกมาในวันที่ 1 กันยายน 2566 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ


ที่ผมเล่าให้ฟังมานี้ ผมมีประเด็น มีข้อสังเกตอย่างนี้ครับ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พระราชทานพระกรุณาอภัยลดโทษ ตามฉบับดังกล่าว คนลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งรับสนองพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไปเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 แต่อย่างใด เป็นการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษ จาก 8 ปี เหลือ 1 ปี ซึ่งมีคนตั้งข้อสังเกตมาก ว่า แตกต่างจากราชประเพณีในอดีต กรณีที่ในอดีตมีการอภัยโทษให้ทั้งหมด คือไม่เหลือโทษจำคุกต่อเลย ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ทักษิณ คิดว่าจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่กลับมีติ่งเอาไว้ 1 ปี ต้องติดในคุก

เรื่องนี้ทำให้ฝ่ายทักษิณช็อก เพราะเดิมทีเข้าใจว่าตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าตัวเองกลับมายอมรับโทษ แล้วก็ยื่นเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษทันที แล้วก็จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษทั้งหมด ตกใจทำอะไรไม่ถูกเพราะเป็นเรื่องที่ผิดคาดอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ทักษิณเลยต้องเดินเกมเอื้อให้ทักษิณพ้นคุก ด้วยวิธีการว่า หนึ่ง ให้ทักษิณ นอนโรงพยาบาลตำรวจได้นานเท่าที่จะนานได้โดยไม่ต้องกลับไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ สอง ผลักดันเรื่องการนำเสนอขอพระราชทานอภัยโทษอีก 2 วาระเลย คือ พวกฝ่ายทักษิณคาดว่าจะต้องมีวาระในการอภัยโทษ วันที่ 13 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสวรรคตของรัชกาลที่ 9 และวันที่ 5 ธันวาคม 2566 ซึ่งเป็นวันพระบรมราชสมภพของรัชกาลที่ 9 เช่นกัน แต่ก็มิอาจส่งผลใดๆ ได้ต่อทักษิณ เพราะว่าทักษิณเป็นเพียงนักโทษชั้นกลาง ไม่สามารถได้รับการพระราชทานอภัยโทษเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้ ยังทำให้ไม่มีการดำเนินการใดๆ จากกรมราชทัณฑ์ และนักโทษอื่นๆ ที่รอการพระราชทานอภัยโทษในวาระปกติ กลับต้องรอเก้อเพราะความเห็นแก่ตัวของทักษิณ ชินวัตร

ในที่สุด เกมที่เดินต่อคือ หาทางตั้งเรื่องการควบคุม คุมขังนอกเรือนจำ ซึ่งระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง 2566 สาระสำคัญที่เกี่ยวกับการคุมขังอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรือนจำ เรื่องดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ? เกิดจาก พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ 2560 ซึ่งมีการดำเนินการมาตั้งแต่สมัยสมศักดิ์ เทพสุทิน ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ คือพูดง่ายๆ ว่าตั้งแท่นเอาไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่สมัยสมศักดิ์ เทพสุทิน ให้เอางานที่ตั้งเอาไว้นั้นมาใช้โดยเร็ว


แต่ท่านผู้ชมครับ อย่างไรก็ตาม ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 นั้น ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ ต้องมีคณะกรรมการคัดกรองที่มีรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ที่กำกับดูแลกองทัณฑวิทยา เป็นประธานร่วมกับผู้อำนวยการกองงานที่เกี่ยวข้องกับกรมราชทัณฑ์ รวมทั้งสิ้น 8 คน เพื่อร่างหลักเกณฑ์ผู้ต้องขังที่เข้าข่ายคุมขังนอกเรือนจำเสียก่อน โดยคณะทำงานคัดกรอง 8 คนนี้ เขาเรียกกันเล่นๆ ว่า "8 อรหันต์" แต่ท่านผู้ชมรู้ไหม ในวันอังคารที่ 9 มกราคมนั้น ในที่ประชุมคณะกรรมการคัดกรองการคุมขังในสถานที่คุมขัง ไม่มีการผ่านระเบียบใดๆ ทั้งสิ้นออกมา เพราะอะไร ? ไม่มีใครกล้า เพราะกลัวจะเป็นการทำผิดกฎหมาย กลายเป็นเรื่องด่างพร้อยในชีวิต และจะต้องถูกเช็กบิลภายหลัง

เมื่อการประชุมคณะกรรมการคัดกรองการคุมขังในสถานที่คุมขัง 8 คน ในวันอังคารที่ 9 มกราคม ไม่มีผลใดๆ ออกมา พฤหัสบดีที่แล้ว วันที่ 11 มกราคม ในการประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ ซึ่ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีฯ ยุติธรรม หมายมั่นปั้นมือจะต้องแสดงผลงานโชว์ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็นที่ประจักษ์ ก็เลยต้องเป็นหมันโดยปริยาย สุดท้าย เมื่อคลำหนทาง คลำแล้วคลำอีก ส่องกล้องจุลทรรศน์ดูแล้ว ไม่มีทางอื่นเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการขอพระราชทานอภัยโทษในวาระ 13 ตุลาคม หรือ 5 ธันวาคม ก็ไม่ได้ การคุมขังนอกเรือนจำก็ไม่ได้ การพักการลงโทษเป็นกรณีปกติก็เป็นไปไม่ได้ เพราะทักษิณต้องทำชั้น ต้องรออย่างน้อยๆ อีกเกือบครึ่งปี หรือเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม สุดท้ายก็เลยมาออกช่องทางของการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ โดยอ้างว่าทักษิณมีคุณสมบัติและหลักเกณฑ์การพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ เนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรือมีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งมีการโยนหินถามทางและมีการเตรียมปูทางไว้แล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา

อย่างไรทั้งหมดนี้ เนื่องจากเป็นกระบวนการที่เกิดจากความมิชอบ เป็นความพยายามตัดตีนใส่เกือก ไม่ใช่ตัดเกือกมาใส่ตีน เพื่อช่วยเหลือคนเพียงคนเดียว หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ ทำลายกระบวนวการยุติธรรมของประเทศไทยทั้งประเทศ และเอื้อประโยชน์ให้กับทักษิณ ชินวัตร แต่เพียงผู้เดียว

อย่างที่ผมเตือนไปแล้ว ผมขอเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า ความพยายามปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือครั้งนี้คงยากที่จะสำเร็จ หรือเมื่อสำเร็จ ก็จะนำไปสู่วิกฤตครั้งใหญ่ครั้งใหม่ และเรื่องนี้จะเป็นระเบิดมหาประลัยที่จะทำลายคุณทักษิณ ชินวัตร และคนรอบข้างให้กลายเป็นจุณไปในที่สุด

"สนธิ" เปิดหมดใจ ศาลยกฟ้องคดีพันธมิตรฯ ชุมนุมสนามบิน

ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้ เป็นเรื่องประวัติศาสตร์เลย ท่านผู้ชมคงจำได้ เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง วันที่พุธที่ 17 ศาลอาญาชั้นต้นท่านได้พิพากษายกฟ้องจำเลย 31 คน ในข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นกบฏ และทำผิดกฎหมายอาญามาตราโน่นนี่นั่น โดยที่ท่านสั่งปรับแกนนำ 14 คน รุ่น 1 รุ่น 2 คนละ 2 หมื่นบาท ข้อหาบุกรุกสถานที่ และข้อหาผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็สรุปง่ายๆ เหมือนกับยกฟ้องนั่นล่ะ


ท่านผู้ชมครับ หลายคนต่อมาไม่เคยเข้าใจ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าคดีนี้มันเริ่มต้นมา 15 ปีที่แล้ว แล้วถูกสั่งฟ้องไปที่อัยการ อัยการฟ้องศาล คดีอยู่ในศาลมา 10 ปี ก่อนที่ผมจะพูดถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของเรื่องราวต่างๆ เพราะคดีนี้มีเบื้องหลังเยอะมาก ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมพวกผมถึงโดนข้อหาผู้ก่อการร้ายและกบฏ ท่านผู้ชมทราบหรือเปล่าว่าโทษของข้อหาผู้ก่อการร้ายนั้น คือประหารชีวิต แล้วทำไมเขาถึงเอาพวกเรา 100 คน เป็นจำเลย มันเป็นความขมขื่น ความเจ็บช้ำน้ำใจที่บรรยายไม่ได้ วันนี้ผมจะเปิดให้หมดว่าใครบ้างที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใส่ร้ายป้ายสีพวกเรา

แต่ก่อนที่ผมจะเปิดเรื่องนี้ ผมจะเล่าให้ฟังก่อนว่าเรื่องราวมันเกิดขึ้นตอนไหน

ปลายเดือนพฤศจิกายน 2551 ถึงธันวาคม พันธมิตรฯ ได้ยกระดับการชุมนุมโดยเข้าชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ แต่เราไม่ได้ปิดสนามบิน การปิดสนามบินนั้นเป็นคำสั่งของนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด

2 ปีต่อมา ในยุครัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 26 สิงหาคม 2553 ตอนนั้นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กำกับดูแลตำรวจ แกนนำพันธมิตรฯ ร่วมร้อยคนเข้ารับทราบข้อหาคดีสนามบินกับพนักงานสอบสวน ที่นำโดย พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ในยุคนั้น ผู้ช่วย ผบ.ตร. และหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน และ พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง


ปีต่อมา วันที่ 10 พฤษภาคม ชั้นตำรวจในยุคปลายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พนักงานสอบสวนกองปราบปราม นำสำนวนสอบสวนพร้อมเขียนสำนวนสั่งฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับพวก รวมประมาณ 100 คน ในคดีชุมนุมที่สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ

ปีต่อมา 14 มีนาคม 2556 อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องแกนนำพันธมิตรฯ และแนวร่วม กรณีบุกไปชุมนุมภายในสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ศาลรับฟ้องไว้เพื่อนัดสอบปากคำจำเลย

ท่านผู้ชมครับ การสืบพยานโจทก์และจำเลยกินเวลานานกว่า 8 ปี เนื่องจากมีจำเลยจำนวนมาก และต้องแบ่งจำเลยเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 แกนนำและแนวร่วม 31 ราย คือกลุ่มที่ได้มีการพิพากษาไปแล้วเมื่อวันที่ 17 มกราคม ที่ผ่านมา กลุ่มที่ 2 แนวร่วมที่เหลืออีก 67 ราย

ท่านผู้ชมครับ คำถามว่าทำไมจำเลยคดีชุมนุมที่สนามบินของพันธมิตรฯ จึงมีจำนวนมากขนาดนั้น ? ผมมีคำตอบให้ครับ นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมคดีถึงยืดเยื้อยาวนาน กลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ จากวันเกิดเหตุมาจนถึงวันพิพากษาคดี ยาวนานถึง 16 ปี หรือนับจากวันที่รับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวนเมื่อเดือนสิงหาคม 2553 ก็คิดเป็นเวลายาวนานถึง 13 ปีครึ่ง


ท่านผู้ชมครับ เดิมทีหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีนั้นคือ พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งหลังจากเข้ามาสอบสวนสืบสวนแล้ว กล่าวว่า พันธมิตรฯ นั้นเป็นผู้ก่อการดี ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย แต่ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า ในปี 2552 อยู่ในยุครัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายสุเทพ ซึ่งในนั้นแฝงด้วยขั้วอำนาจใหม่ที่ต้องการปราบทั้งฝั่งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง และสถาปนาเสื้อสีน้ำเงินภายใต้การนำ การสนับสนุนของนายเนวิน ชิดชอบ ขึ้นมาภายใต้ร่มเงาอำนาจปืนอย่าง "3 ป." กลุ่มบูรพาพยัคฆ์ที่นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีน้องชายชื่อ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา นายเนวิน ชิดชอบ และที่สำคัญคือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ

พอขั้วอำนาจใหม่พวกนี้เห็นท่าทีของ พล.ต.ท.วุฒิ อย่างนั้น ในวันที่ 9 กันยายน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นน้องชายของพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ ลงนามคำสั่งเปลี่ยนตัวหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนคดีพันธมิตรฯ ชุมนุมที่สนามบิน จาก พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร. มาเป็น พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร. มาเป็นหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวน

หลังจากขั้วอำนาจใหม่ได้ธงทางการเมืองมาแล้วว่าต้องการกำจัดเสื้อเหลือง วิธีการกำจัดทำอย่างไรล่ะ เริ่มแรก ? ท่านผู้ชมคงจำได้ใช่ไหม หลังจากการที่เสื้อแดงไปล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยาแล้ว เสื้อแดงก็ฮึกเหิม ขับรถบรรทุกแก๊สเพื่อจะไปเผา แล้วถูกทหารปราบปรามได้สำเร็จ ตอนนั้นกลุ่มอำนาจใหม่ก็เข้าใจว่าเสื้อแดงคงไม่มีพิษสงแล้ว ถูกปราบเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือแค่เสื้อเหลือง แล้ววิธีการที่จะโค่นเสื้อเหลืองได้ หรือทำให้เกิดความวุ่นวาย ถ้ามันเกิดความวุ่นวายขึ้นมา ก็จะเป็นจังหวะที่กลุ่มอำนาจใหม่สามารถเข้ามายึดอำนาจการปกครองได้


ในบรรดากลุ่มเสื้อเหลืองทั้งหลาย ไม่ว่าแกนนำพันธมิตรฯ ใครก็ตาม เป้าทั้งหมดมุ่งตรงมาที่ผมครับ สนธิ ลิ้มทองกุล คือต้องฆ่าสนธิให้ตาย เพื่อที่จะให้เกิดการจลาจลขึ้นมาในกลุ่มเสื้อเหลือง ไม่พอใจว่ามาลอบสังหารผม โดยโยนความผิดให้กลุ่มเสื้อแดง แล้วกลุ่มอำนาจใหม่ "3 ป." รวมกับอีก 2-3 คนที่ผมเอ่ยชื่อไปนั้น จะได้ถือโอกาสยาตราทหารเข้ามาเพื่อยึดอำนาจเลย แต่เดชะบุญ ผมรอดตายอย่างปาฏิหาริย์

เมื่อผมรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ วิธีการต่อมาก็คือว่า ถ้าอย่างนั้นเราต้องล็อกเสื้อเหลืองเอาไว้ ให้มันตายไปเลย นั่นคือที่มาของการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสอบสวน เพราะว่า พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ยุคนั้นเป็นกลุ่มเดียวกับเนวิน ชิดชอบ สนิทสนมกันมาก แล้วก็เป็นคนที่รับคำสั่งจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นน้องชายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

วิธีล็อก ไม่มีอะไรดีเท่ากับการเอาคดีสนามบินมาบิดเบือน แล้วจับกุม ตั้งข้อหาพวกกลุ่มเสื้อเหลืองร่วมร้อยคน ข้อหาผู้ก่อการร้าย และกบฏ ทุกคนโดนหมด พิธีกรที่ขึ้นเวที เจ้าหน้าที่รถถ่ายทอดสด นักร้อง รวมแม้กระทั่งป้าที่ถือฝาหม้อที่ตีเป็นฉาบ อำมหิตไอ้พวกนี้ ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่าทำไมต้อง 100 คน คือทอนกำลังพวกเสื้อเหลืองไปเลย ถ้ามันอยู่ในช่วงของการต่อสู้คดีความแล้วไปไหนไม่ได้ เพราะข้อหาผู้ก่อการร้ายนั้นเป็นข้อหาที่โทษคือประหารชีวิตครับท่านผู้ชม แต่พวกเราไม่กลัว พวกเราสู้คดีมาตลอด ท่านผู้ชมรู้ไหมครับ เวลาจะขออนุญาตเดินทางไปต่างประเทศ พวกผมจะเดินทางไปต่างประเทศด้วยความจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นไปรักษาตัว หรือไปประชุม หรือไปทำงาน หรือไปค้าขาย ปกติธรรมดาแล้วพวกเราจะมีประกันตัวอยู่แล้ว ในคดี แต่การจะเดินทางออกนอกประเทศ ต้องเอาเงินสดไปวางประกันตัวอีก 6 แสนบาท ทุกครั้ง ก่อนไปต้องไปรายงานตัว ยื่นขออนุญาตศาลให้เดินทางออกนอกประเทศได้ ที่ศาลอาญา ระบุวันไป ระบุวันกลับ แล้วพอกลับมา ภายใน 48 ชั่วโมง ต้องไปรายงานตัวที่ศาลด้วยตัวเอง เป็นอย่างนี้มาตลอดระยะเวลา 10 ปี ท่านผู้ชมลองหลับตาวาดภาพสิ ไม่เชื่อก็ไปถามคนที่ท่านผู้ชมรู้จักสิ


ข้อหาอำมหิตมาก ไม่นับรวมกับข้อกล่าวหายิบย่อย เช่น ข้อหาบุกรุก ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ข้อหาก่อการร้าย ชุมนุม ก่อความวุ่นวาย ข้อหาทำร้ายเจ้าพนักงาน ต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ตำรวจ ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว ถึงขั้นที่ว่า 14 กุมภาพันธ์ 2554 พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (ยศในเวลานั้น) ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอย่างเท่เลยว่า ในการทำคดีพันธมิตรฯ ตัวเองต้องควักเงินส่วนตัวเพื่อจ่ายเบี้ยเลี้ยงพนักงานสอบสวนร่วม 5 ล้านบาท เพื่อเร่งทำคดีพันธมิตรฯ ให้เสร็จสิ้น เอากุญแจมือใส่มือมันซะ เอาโซ่ตรวนล่ามขามันซะ เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อจำเลยมีจำนวนมาก ข้อหาร้ายแรง มีบทลงโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ศาลจึงไม่สามารถจะพิจารณาลับหลังได้

เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าจำเลยคนใดคนหนึ่งไม่มาศาล หรือป่วย หรือติดภารกิจสำคัญ ก็พิจารณาคดีไม่ได้ ต้องเลื่อนคดีออกไป บางคนอยู่ต่างประเทศ ไปทำงาน ไปเรียนต่อ ต้องบินกลับมารับฟังการพิจารณาคดี เสียเวลาและค่าใช้จ่ายอย่างมากมายมหาศาล ส่วนคนที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ ก็ยุ่งยาก ลำบากมาก อย่างที่ผมบอกว่าต้องวางเงินประกันเพิ่มเติมอีก 6 แสนบาท

จนช่วงไม่กี่ปีหลังนี้ เมื่อติดระเบียบข้อบังคับเรื่องการพิจารณาคดีลับหลังไม่ได้ ทางฝั่งศาลก็เลยอนุญาตให้มีการพิจารณาคดีลับหลังได้ ถึงแม้จำเลยจะมาไม่ครบก็ตาม เพราะในตอนแรกถ้าจำเลยใน 100 คน ไม่มาเพียงคนเดียวก็ต้องเลื่อน


ความลำบากยากเย็น ความทุกข์ การเจ็บป่วยของจำเลยหลายคนที่เป็นผู้สูงอายุ อย่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ท่านผู้ชมรู้ไหมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา พี่ลอง ต้องนอนฟังคำพิพากษาอยู่ที่โรงพยาบาลที่กาญจนบุรี โดยมีเจ้าหน้าที่ศาลอยู่ด้วย เทิดภูมิ ใจดี ต้องล้างไตทุกวัน ต้องทุกข์ทรมานมากกว่าสิบปี ส่วนแกนนำแนวร่วมหลายคนเสียชีวิตไปแล้ว ตั้ว-ศรัณยู วงษ์กระจ่าง สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เป็นต้น ยังไม่นับรวมที่แกนนำแนวร่วมหลายคนถูกศาลตัดสินยึดทรัพย์ กลายเป็นบุคคลล้มละลาย

ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันที่ 17 มกราคม ที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้ได้ถูกคลี่คลายไปเลย มีคำพิพากษาเพียงแค่ปรับแกนนำพันธมิตรฯ และแนวร่วม กรณีชุมนุมสนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ นำโดยจำลอง ศรีเมือง จำเลยที่ 1 ผม สนธิ ลิ้มทองกุล จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3-5 จำเลยที่ 7-13 และ 31 ผิดฐานบุกรุก ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยปรับคนละ 2 หมื่นบาท ระบุว่า ไม่มีความผิดฐานก่อการร้าย รวมถึงการทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน ส่วนจำเลยอื่นๆ นั้นให้ยกฟ้อง

ท่านผู้ชมครับ แม้เวลาล่วงไปแล้ว 16 ปี ไม่ใช่ 16 ปีแห่งความหลัง ของสุรพล สมบัติเจริญ นะครับ 16 ปีของความขมขื่น พวกเรายังรอคอยที่จะได้พิสูจน์ความจริงเรื่องที่มีคนกล่าวหาว่าเราก่อการร้าย ปิดสนามบิน ทำชาติล่มจมเสียหาย วันนี้คำพิพากษาของศาลได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย การชุมนุมของเราที่สนามบิน เป็นการชุมนุมโดยสันติ สงบ ปราศจากอาวุธ และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้พิพากษาในศาลที่พิพากษามาก็เห็นด้วยว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ สืบเนื่องมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2551 มีจุดมุ่งหมายคือการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะทำให้การทำผิด การคอร์รัปชันของนักการเมืองฝ่ายเพื่อไทยหายไป


การชุมนุมในครั้งนั้นแม้จะเป็นพื้นที่สนามบินดอนเมือง แต่เป็นการชุมนุมในพื้นที่สาธารณะ ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน ไม่กระทบกับประชาชน ไม่มีการทำร้ายผู้โดยสาร รวมทั้งพนักงาน การชุมนุมดังกล่าวไม่มีการพกอาวุธก่อจลาจลวุ่นวาย แม้จะเกิดความไม่สะดวกกับประชาชนบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติของการชุมนุม ศาลจึงมองว่าการชุมนุมโดยรวมทั้งหมดเป็นไปด้วยความสงบ ปราศจากอาวุธ อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ จึงไม่เป็นความผิดในฐานก่อการร้าย รวมทั้งข้อหาอื่นๆ ยกเว้นฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และข้อหาบุกรุก ส่วนข้อหาก่อการร้าย ให้ยกฟ้อง เนื่องจากไม่มีการใช้อาวุธทำลายระบบคมนาคมขนส่ง หรืออากาศยาน จึงถือว่าไม่เข้าข่ายความผิด

ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมขอทิ้งท้ายไว้เรื่องหนึ่งเป็นคำพูดของผมเอง เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ในวันที่ 26 สิงหาคม 2553 ซึ่งผมและแกนนำพันธมิตรฯ และแนวร่วม ประมาณ 100 คน เข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดีสนามบินกับพนักงานสอบสวนที่นำโดย พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ท่านผู้ชมที่เคยติดตามผมมาคงจะจำได้ คุณสมยศ คุณจำคำพูดผมไว้นะ ผมพูดไว้แล้ว คุณสมยศ และคนที่อยู่เบื้องหลังพวกคุณอาจจะลืมไปแล้ว แต่ผมยังจำแม่น ไม่ลืม ผมบอกว่า "ผมเข้าใจดีว่า พล.ต.ท.สมยศ อ้างว่าทำตามหน้าที่ แต่ก็เป็นเพราะทำตามคำสั่งนักการเมือง ซึ่งผมก็จะต่อสู้คดีตามกฎหมายทุกอย่างที่ทำได้ ตำรวจจะรับใช้นักการเมืองไม่ได้ และขอฝากสั้นๆ ว่า พวกนักการเมืองไม่เคยจำบทเรียนในประวัติศาสตร์ คนมีอำนาจก็หมดอำนาจได้ คนที่เป็นใหญ่ วันหนึ่งก็ต้องหมดอำนาจไป ผมอยากฝากว่าสักวันหนึ่งเวรกรรมจะต้องมาถึงพวกคุณเร็วๆ นี้"


ผมไม่แน่ใจว่าพวกคุณได้ยินสุภาษิตจีนที่ว่า "ลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นยังไม่สาย" หรือเปล่า แต่วันนี้ผมอยากจะบอกว่า คนอย่างพวกผมไม่ใช่สิบปี สิบหกปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย

คุณสมยศ ครับ คุณนี่อำมหิตมาก คุณก็รู้ว่าพวกผมไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย แต่คุณจงใจใส่ข้อหาผู้ก่อการร้ายและกบฏ อัยการก็โคตรอำมหิตเช่นกัน แทนที่จะดูเนื้อหาข้อกล่าวหา เสร็จเรียบร้อยแล้ว อัยการถ้ามีสติปัญญานิดหนึ่ง อัยการก็ต้องบอกว่า ต้องทิ้งข้อกล่าวหาผู้ก่อการร้ายออกไปเสีย เอาเรื่องก่อความวุ่นวาย โน่นนี่นั่นแทน แต่ไม่ พวกคุณต้องการใส่กุญแจมือผม พวกผม ล่ามโซ่ตรวนใส่ข้อเท้าผม ให้ผมติดแหง่กอยู่ตรงนั้น แล้ววันนี้เวรกรรมเป็นอย่างไร สุเทพ เทือกสุบรรณ อยู่ไหนแล้ววันนี้

สุเทพ เทือกสุบรรณ นำ กปปส. ไปเพื่อประท้วง รับงานทหารมา รับงาน 3 ป. มา เพื่อให้ 3 ป. มายึดอำนาจ แล้วพรรคพวกสุเทพก็ได้รับตำแหน่งแห่งที่เป็นรัฐมนตรีกัน ท่านผู้ชมครับ พวกผมได้อะไรบ้าง ไม่เคยแสวงหาอำนาจเลยแม้แต่นิดเดียว ในการต่อสู้ พวกผมพูดมาตลอดว่าพวกผมสู้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 69, 70, 71 ซึ่งอธิบายความได้ชัดเจนว่าประชาชนมีสิทธิ์ที่จะออกมาปกป้องประเทศด้วยการเข้ามาต่อต้านรัฐบาลที่คอร์รัปชัน ไม่ซื่อสัตย์สุจริต

และในที่สุดแล้ว คำพิพากษาของศาลฎีกา การกลับมายอมรับผิดของทักษิณ ชินวัตร ว่าทำชั่วไว้ ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันสิ่งที่พวกผมต่อสู้มาตลอด ว่าสิ่งที่พวกผมต่อสู้มาตลอดนั้นถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มีหลักฐานประจักษ์พยานชัดเจน ตั้งกี่คดีต่อกี่คดีมายืนยัน ท่านผู้พิพากษาท่านถึงกล้าพิพากษาออกมา จะมีกฎหมายไหนใหญ่กว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญล่ะ

ข้อถกเถียงก็คือว่า เมื่อเราใช้สิทธิในการไล่รัฐบาลชุดทักษิณ ชุดนอมินีทักษิณ ต่างๆ นานา เมื่อเราใช้สิทธิของเราแล้ว เราก็ใช้สิทธิที่รัฐธรรมนูญมาตรา 63 อนุญาตให้ประชาชนมีสิทธิที่จะรวมตัวกันเเพื่อชุมนุมต่อต้านรัฐบาลฉ้อฉล ให้ชุมนุมอย่างสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ และนี่คือข้อชี้แจงของผู้พิพากษาในศาลอาญาในการพิจารณายกฟ้องครั้งนี้


ท่านผู้ชมครับ คุณสมยศครับ อัยการครับ การเอาข้อหาที่มีโทษประหารชีวิตใส่คน 100 คน ใส่ผู้หญิงซึ่งเป็นพิธีกร ใส่คนเฒ่าคนแก่ แม้กระทั่งคนอย่าง พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ก็โดนข้อหานี้ด้วย ท่านเป็นอดีต ผบ.ตร. หลายต่อหลายคน อดีตนายทหารอากาศชั้นผู้ใหญ่ นายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ โดนหมด เจตนารมณ์ของนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รวมทั้งกลุ่มอำนาจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเนวิน ชิดชอบ หรือไม่ว่าจะเป็นสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ว่าจะเป็นพวก 3 ป. ต้องการจะล็อกพวกผมไว้ หลังจากที่มีกลุ่มพวกเขาบางคนวางแผนยิงผม 200 นัด แต่ผมดันไม่ตาย ก็เลยต้องมาเล่นวิธีการนี้ ท่านผู้ชมว่าอำมหิตไหม ? คุณสมยศ คุณอายตัวเองบ้างไหม อัยการที่ทำคดีนี้แล้วสั่งฟ้องคดีนี้ พวกคุณอายตัวเองบ้างไหม เป็นผม ผมอายตายเลยงานนี้ ผมไม่ได้กลัวหรอกครับ

ผมอ่านคำพิพากษาดูอย่างละเอียดแล้ว อัยการ คุณจะต้องอุทธรณ์และฎีกาอย่างแน่นอน เอาหัวเป็นประกัน ไม่มีคดีไหนที่เกี่ยวกับพันธมิตรฯ แล้วคุณไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา แต่คดีที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจทางการเมือง อย่างเช่น นายโอ๊ค พานทองแท้ ที่ศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ สั่งยกฟ้องในศาลชั้นต้น ทั้งๆ ที่องค์คณะ 3 คน มีอยู่ 1 คน เขียนคำโต้แย้งไม่เห็นด้วย ศาลชั้นต้น ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าอัยการไม่อุทธรณ์ อัยการทั่วประเทศไทยคุณอายบ้างหรือเปล่าเรื่องนี้ ผมไม่ได้กลัวคุณหรอก คุณมีปัญญาเอาผมเข้าคุกก็เอาไปเลย แต่ผมยืนอยู่บนหลักนิติธรรม ผมยืนอยู่บนความจริงที่มีหนึ่งเดียว คุณพยายามฆ่าผมมาสิบปีแล้ว คุณฆ่าสำเร็จไหม แล้วผมก็ไม่กลัวด้วยว่าคุณจะอุทธรณ์ คดีนี้ผมต้องสู้ถึงฎีกาแน่นอน เป็นไงเป็นกัน แต่ขอให้รู้ว่าพวกคุณ ความคิดพวกคุณบางคนชั่วช้า คนอย่างพวกคุณนี่นะ อัยการ ต้องการทำตัวเป็นหลักสร้างความยุติธรรมให้กับสังคม มีคดีตั้งเยอะตั้งแยะเวลาส่งถึงพวกคุณ พวกคุณเคยสั่งให้เขาสอบเพิ่มเติมไหม ? เคย หรือพวกคุณบอกว่าข้อหานี้มันไม่เข้านะ เคย ยกไปเลย แต่พอตำรวจส่งมาข้อหาก่อการร้ายและกบฏ พวกคุณน้ำลายไหล แต่ทีกับเรื่องเกี่ยวกับอุทธรณ์ของคดีพานทองแท้ ซึ่งมีเหตุในการอุทธรณ์เกิน 100 เปอร์เซ็นต์ แต่คุณกลับไม่อุทธรณ์ คุณเป็นอย่างนี้ แล้วคุณมาอ้างได้อย่างไรว่าคุณเป็นทนายแผ่นดิน แผ่นดินของใคร คุณใช้วิจารณญาณแบบนี้ เป็นแผ่นดินของใคร แผ่นดินของพวกคุณ ไอ้พวกชั่วๆ ใช่ไหม


ผม 76 ปี ผมไม่กลัวพวกคุณหรอก ผมกำลังรอคำอุทธรณ์ของพวกคุณ ท่านผู้ชมครับ นี่คือความจริง คุณเคยคิดหรือเปล่า อัยการ แล้ววันนี้สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นอย่างไรล่ะ ชื่อเสียงแหลกสลายหมด เอ่ยชื่อสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ไปในหมู่ประชาชนที่กินกาแฟกัน ทุกคนส่ายหน้า ถ้าแน่จริงทำไมไม่สมัครเป็นนายกสมาคมฟุตบอลต่ออีกสมัยล่ะ

สิ่งที่คุณทำมามีอะไรบ้างที่พอภาคภูมิใจได้ กรณีบอส อยู่วิทยา คุณก็ไปอยู่ในขบวนการที่ช่วยนายบอส อยู่วิทยา นี่อดีต ผบ.ตร. นะ

ท่านผู้ชมครับ อัยการต้องปฏิรูปตัวอย่างอย่างหนัก ช่วงหลังพวกคุณก็มีนี่ อัยการสั่งไม่ฟ้องอาชญากร เพราะรับเงินรับทองมา พวกคุณอายบ้างหรือเปล่า ผมนี่อายแทนคุณ อัยการที่รักความเป็นธรรม คุณฟังรายการนี้ดีๆ แล้วคุณฟังที่ผมพูดด้วยตรรกะต่างๆ ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า อัยการฟ้องพวกผมนะ ตั้งข้อหาผิด ป.วิ. อาญา 30-40 ข้อ คือพูดง่ายๆ ว่าถ้าหลุดจากข้อนี้ก็ต้องเจอข้อนี้ เฮ้ย! กูเป็นศัตรูกับมึงตั้งแต่ชาติไหนวะ เหมือนกับเอาหนังสือตำรา ป.วิ. อาญา โยนใส่พวกผมทั้งเล่มเลย ผู้พิพากษาท่านอ่านคำฟ้องท่านยังแอบยิ้มเลยว่าพวกมึงบ้า

กรณีของ 7 ตุลาฯ กรณีฆ่าพันธมิตรฯ กรณีพัชรวาท วงษ์สุวรรณ อัยการก็ไม่อุทธรณ์ ถ้าท่านผู้ชมมีโอกาส อ่านคำพิพากษา อัยการคุณไปอ่านได้ คุณสมยศ คุณควรจะอ่านด้วย เพราะศาลท่านพิพากษาบนพื้นฐานของพยานโจทก์ให้การ ท่านแทบจะไม่อ้างอิงพยานจำเลย ก็คือท่านกำลังบอกว่าพวกมึงเอาพยานโจทก์ขึ้นมา เละเทะ โหลยโท่ย พิสูจน์ไม่ได้เลย เรายังต้องเจอกันต่อไป แล้วผมก็จะอุทธรณ์ในส่วนของผมด้วย อย่าลืมนะ คุณสมยศ คุณเนวิน คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ และ 3 ป. ผมไม่เคยลืมเรื่องนี้ อย่าตายก่อนผมล่ะ ผมอายุยืนแน่ เพราะคุณลอบฆ่าผม พวกคุณบางคนลอบฆ่าผมแล้ว แต่ยังฆ่าไม่สำเร็จ แล้วอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ล่ะ คนที่อยู่หลังสุเทพ เทือกสุบรรณ ในการเล่นงานพันธมิตรฯ อภิสิทธิ์ นี่ทำให้ประเทศไทยเสียพื้นที่ให้เขมร แล้วยังมากลั่นแกล้งพันธมิตรฯ อีก วันนี้เวรกรรมตามทัน อภิสิทธิ์อยู่ที่ไหนล่ะวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์อยู่ที่ไหนแล้ว เห็นหรือยังท่านผู้ชม กรรมมันมา และมันมีจริง ผมจะนั่งดูเวรกรรมซึ่งตามเช็ดตามล้างพวกคุณไปถึงตลอดลูกหลานพวกคุณด้วย

วันนี้ดุเดือดเลือดพล่านมาก ท่านผู้ชมต้องเห็นใจผม สิบปีที่ผมต้องแบกพวกนี้มาตลอดเวลา ผมเห็นการตายของพันธมิตรฯ วันที่ 7 ตุลาคม ผมเห็นการตายของน้องรักผม ตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ น้องโบว์ ที่ถูกฆ่าตายหน้ารัฐสภา ผมน้ำตาเป็นสายเลือดอยู่ในใจผม ต้องขอโทษท่านผู้ชมด้วย วันนี้ผมหงายไพ่ออกให้หมดเลยว่าใครบ้างที่เกี่ยวข้อง ท่านผู้ชมอย่าลืมพวกมันเลยแม้คนเดียว เจอเพื่อนเจอฝูง เจอลูกเจอหลาน อย่าลืม


ก่อนจบ ก่อนจะลาไป มันมีคนทะลึ่งคนหนึ่ง โพสต์ในเฟซบุ๊ก บอกว่า อานนท์ นำภา "โพสต์FBติดคุก 4 ปี ปิดสนามบินปรับ 2 หมื่น 2 คดีนี้วันเดียวกันนะครับ" ไอ้คนโพสต์นี่ สมองนิ่ม สมองหมาปัญญาควาย คุณไม่รู้เลยหรือว่า อานนท์ นำภา เป็นทนายความ รู้กฎหมายดี แต่ไปโพสต์เฟซบุ๊กดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 ก็เลยต้องโทษนี้ พวกผมพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าไม่ได้ทำอะไรผิด คุณเอามาผสมกันได้อย่างไร คุณเอาความชั่วที่อานนท์ ทำ มาผสมกับความดี อานนท์ พยายามล้มล้างสถาบันกษัตริย์ แต่ผมพยายามปกป้องชาติ ศาสนา สถาบันกษัตริย์ คุณเอามาผสมกันได้อย่างไร ไอ้ระยำ สวัสดีครับท่านผู้ชม
กำลังโหลดความคิดเห็น