xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ]SONDHI TALK : แบงก์ชาติจับมือแบงก์พาณิชย์กระทืบประชาชน - “บิ๊ก จ.” ใหญ่คับ ป.ป.ช. - อุทาธรณ์ 3 นิ้วฮ่องกงถูกฝรั่งหลอก - โศกนาฏกรรม รล.สุโขทัย ใครรับผิดชอบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 12 ม.ค.2567 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ได้ แก่

- “บิ๊ก จ.” ใหญ่คับ ป.ป.ช. ถึงเวลาล้างบาง?
- โศกนาฏกรรม รล.สุโขทัย สรุปใครรับผิดชอบ
- ยกเลิกภาษีสินค้าแบรนด์เนมกระตุ้นท่องเที่ยว ทำไมทำไม่ได้?
- ”แบงก์ชาติ“ จับมือ “แบงก์พาณิชย์“ กระทืบประชาชน
- สงครามยูเครน "เซเลนสกี" เข้าตาจน จ่อเกนฑ์ผู้หญิงเป็นทหารสู้รัสเซีย
- สงครามอิสราเอล-ฮามาสไม่จบ ตัวแปรคือ "เนทันยาฮู" ฆาตกรฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่อเมริกาหนุนหลัง
- เลือกตั้งไต้หวัน จุดชี้ขาดสัมพันธ์จีน
- อุทาธรณ์ 3 นิ้วฮ่องกงถูกฝรั่งหลอกใช้ ต้องจบชีวิตตัวเอง

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.223



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 224 [12 ม.ค. 67]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK

แอปพลิเคชัน :SONDHI APP

ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.

ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android

เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ

YouTube :Sondhitalk

เว็บไซต์:www.sondhitalk.com

Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK



สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2567 ผมขอสวัสดีท่านผู้ชมที่ดูสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok

ท่านผู้ชมครับ นอกเรื่องนิด วันนี้ใส่เสื้อยี่ห้อ PRADA เลยนะ ผมไม่ได้ซื้อเองหรอกครับ FC ทั้งครอบครัวเขาไปเที่ยวอิตาลีมา คิดถึงผมก็เลยลงขันกันซื้อเสื้อตัวนี้มาให้ผม น่าจะราคาเป็นหมื่น ลำพังผมเองผมไม่ซื้อหรอกครับ แต่ขอบคุณ ขอบคุณนะครับในความเมตตากรุณา เสื้อสวยครับ

ท่านผู้ชมที่เข้ามาชมแล้ว ช่วยกดไลก์ กดแชร์ และ SUBSCRIBE ในช่องทาง YouTube, Facebook, TikTok และทุกๆ ช่องทาง เพื่อกระจายข่าวสารออกไปในวงกว้างที่สุด ตอนนี้ Sondhi App ยกเลิกการเก็บเงิน เปิดฟรีให้ดูได้แล้ว ทั้งวิดีโอคลิป และข่าวสารต่างๆ แค่เข้ามาดาวน์โหลดผ่าน App Store สำหรับ Apple หรือ Play Store สำหรับ Android ค้นหาคำว่า "Sondhi App" เพียงลงทะเบียนเท่านั้น เพื่อให้ท่านผู้ชมทุกท่านได้เข้ามาใช้พื้นที่นี้เพื่อสร้างปัญญา แลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นความจริงโดยไม่ปิดกั้น ซึ่งเรากำลังพัฒนาโซเชียลมีเดียของเราเอง อีกไม่เกิน 4-5 เดือน เราก็ย้ายบางส่วนของเราไปที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเราเอง ท่านผู้ชมสามารถเข้าไปเยือน ลงทะเบียนแล้วเข้าไปเล่น

ส่วนท่านผู้ชมที่จ่ายเงินค่าแอปฯ ไปแล้ว ยื่นเรื่องมา เราจะคืนเงินให้หมด ตอนนี้ท่านผู้ชม ใครก็ตามต้องการอ่านข่าวที่สดๆ ใหม่ๆ ทันต่อเหตุการณ์ บทวิเคราะห์เจาะลึก ก็ไปติดตามได้ที่ SONDHI X ในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือทางเว็บไซต์ SONDHI TALK ซึ่งจะรวมเรื่องทุกอย่าง ทั้งข่าว คลิปวิดีโอ โดยต่อจากนี้ไปไม่นาน ข้อมูลทุกอย่างก็จะถูกย้ายเข้าไปสู่แอปฯ ใหม่ของเรา ที่เป็นโซเชียลมีเดีย

อาทิตย์นี้มีอยู่หลายเรื่อง เยอะเลย เรื่องแรก คือเรื่องคลิปเสียงตำรวจใหญ่ อ้างสนิทบิ๊ก ป.ป.ช. หลุมดำองค์กรอิสระที่ต้องปฏิรูปล้างบาง

เรื่องที่สอง เป็นเรื่องที่ผมรับปากท่านผู้ชมมานานแล้วว่าผมจะติดตามเรื่องนี้โดยไม่ทิ้ง นั่นคือความคืบหน้าของโศกนาฏกรรมเรือหลวงสุโขทัย สรุปว่าใครต้องรับผิดชอบ ? เรื่องราวยังอึมครึมอยู่

สาม ลดภาษีแบรนด์ สินค้าฟุ่มเฟือย ดูดเงินนักช้อปต่างชาติ ดีหรือเปล่า ?

เรื่องที่สี่ ความจริงประเทศไทย แบงก์ชาติจับมือแบงก์พาณิชย์กระทืบประชาชน

ห้า "อิสราเอล กับ ฮามาส" สงครามลุกลามทั่วตะวันออกกลางแล้ว

หก สงครามรัสเซีย-ยูเครน มันจบแล้วนาย

เจ็ด ผมจะเล่าเรื่องวันพรุ่งนี้ คือจับตาการเลือกตั้งของไต้หวันในวันพรุ่งนี้

เรื่องที่แปด เรื่องสุดท้าย "สามนิ้วฮ่องกง" ถูกฝรั่งหลอก สุดท้ายต้องฆ่าตัวตายที่อังกฤษ


ท่านผู้ชมครับ 21 มกราคมนี้ รายการพิเศษ "2 ทศวรรษ เมืองไทยรายสัปดาห์" โดยผม สนธิ ลิ้มทองกุล และ คุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ จัดที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2567 เวลา 12.00 น. แฟนๆ สามารถนำรถยนต์มาจอดที่สนามหลวงแล้วเดินข้ามฝั่งมาได้เลย วันงาน ท่านผู้ชมถือบัตรมาที่หน้างาน เรามีของที่ระลึกมอบให้ มาถึงหน้างานสักเที่ยงก็ได้ เพราะมีกิจกรรมให้ถ่ายรูปร่วมกันที่หน้างาน

ProVita ผมทานทุกวัน วันละ 2 ขวด เช้า และเย็น ก่อนนอน ท่านผู้ชมเชื่อผมเลย ผมไม่ได้โกหก ผมไม่ได้รับเงินรับทองอะไรจากเขาหรอก แต่การขับถ่ายของผมดีมาก เพราะว่ามันเป็นโพรไบโอติก ฆ่าแบคที่เรียที่ไม่ดีและสิ่งสกปรกในอาหารออก


ท่านผู้ชมครับ ฟ้าทะลายโจร ยาลม ๓๐๐ จำพวก ตอนนี้กรมควบคุมโรคเพิ่งประกาศการคาดการณ์ในปีนี้ (2567) 3 เรื่อง โควิด-19 ไข้หวัดใหญ่ และไข้เลือดออก เพราะฉะนั้นใครยังไม่มีฟ้าทะลายโจรของอาจารย์ปานเทพ ยาขาวของอาจารย์ปานเทพ ต้องหาซื้อติดตัวไว้ ระหว่างที่ไม่ป่วย ถ้าเป็นผู้สูงวัยก็กินยาลม ๓๐๐ จำพวก ทุกวัน วันละ 1 ซอง ถ้าสนใจ ต้องรีบหน่อยนะครับ ติดต่อได้ที่ "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์" เพิ่มไลน์ @sunherb

ตอนนี้ถ้าใครแวะเข้าไป SUN PAN จะพบว่าเรามีสินค้าใหม่เข้ามาเรื่อยๆ ตอนนี้มีเค้กกล้วยหอมทองน้ำผึ้ง บัตเตอร์ฟลาย ขนมอบกรอบ ใช้เนยและแป้งนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส ไม่มีไขมันทรานส์ ไม่มีเนยขาว ไม่มีวัสดุกันเสีย ชีสเค้กญี่ปุ่นหวานน้อย ใช้เนยสดแท้ ไม่มีสารกันเสีย เมนูยอดนิยมมีขายตามปกติ ทั้งโชกุปัง สเปรดหลายรส ขนมปังมันม่วง ขนมปังฟักทอง ขนมปังใบเตยกะทิ โอเลี้ยง ไอศกรีม หมูแท่ง ปลาแท่ง


ตอนนี้ต้องขอบคุณหลายๆ โรงแรมที่ติดต่อนำขนมปังจากร้าน SUN PAN ไปเสิร์ฟเป็นอาหารเช้าด้วย ใครอยากซื้อไปรับประทาน แวะดูได้ที่ร้าน ในปั๊ม ปตท. ตรงราบ 1 ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีฯ

คลิปเสียง "ตร.ใหญ่" อ้างสนิท "บิ๊ก ป.ป.ช."

ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดวันนี้ และเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ใหญ่เทียมฟ้า ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย ตอนนี้มีความพยายามจะกลบเรื่องกันอยู่ มันเป็นเรื่องที่เมื่อพิจารณาจากเนื้อหาแล้ว เราจะเข้าใจทันทีเลยว่าทำไมประเทศไทยถึงเป็นอย่างนี้ได้

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ บุคลากร ตลอดจนองค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. เจอเรื่องนี้เข้ามาก็มีแต่ชื่อเสียงที่เสียและเน่าเหม็น มันทำให้ประชาชนที่ติดตามเรื่องนี้ หรือประชาชนทั่วไป พอรับรู้เรื่องนี้แล้วก็เลยตั้งคำถาม ถามว่า ถ้าเราพึ่งตำรวจไม่ได้ (ซึ่งพึ่งไม่ได้อยู่แล้ว) แล้วเราก็ไม่สามารถจะพึ่ง ป.ป.ช. ได้ ในฐานะองค์กรอิสระ แล้วประเทศนี้ บ้านนี้เมืองนี้ เราจะพึ่งใครได้

เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะว่ามันมีคลิปเสียง ซึ่งออกมาเมื่อประมาณกลางเดือนธันวาคม 2566 แต่ก็ไม่มีสื่อมวลชนวงไหนเลยที่กล้าเอามาเปิด นอกจากเครือข่ายหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"


คลิปเสียงที่พูดออกมานี้ เป็นคลิปเสียงที่ชี้ให้ได้ชัดว่าคนที่พูดมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับหนึ่งในกรรมการ ป.ป.ช. เสียงคนที่พูดนี้คือเสียงของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล และหนึ่งในกรรมการ ป.ป.ช. ที่เอ่ยชื่อนั้น ซึ่งคุณสุรเชษฐ์พูดในคลิปเสียงแล้ว คือ คุณสุภา ปิยะจิตติ ในคลิปพูดอย่างนี้ครับ นี่เป็นคำกล่าวของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล พูดกับที่ประชุมของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง "เออ ไล่ออก ปลดออกนะ แต่อาญามันติดคุกนะ แต่คุณไม่ต้องห่วงผมหรอก ส่ง ป.ป.ช. เนี่ย ป.ป.ช. ไม่ทำเรื่องคุณหรอก เดี๋ยว ป.ป.ช. ก็ส่งกลับมาหาผมมาทำเองนะ คุณไม่ต้องกังวล เร็วแน่นอน ทุกเคสที่ผมทำไม่มี ป.ป.ช. รับหรอก แต่มีการพูดตรวจสอบทรัพย์สิน ตอนนี้ท่านสุภา เขาตั้งเรื่องแล้ว เรียกนายเวรเข้าไปด้วยคนหนึ่ง"


นัยความหมายของการพูดนั้น ก็แปลว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล บอกลูกน้องตัวเองว่าให้ทำตามที่เขาบอก ไม่ต้องกลัวเรื่องร้องเรียน ป.ป.ช. เพราะถ้ามีใครร้องเรียน ป.ป.ช. พอสืบถึง ป.ป.ช.แล้ว ป.ป.ช.จะไม่ลงมือและจะไม่ชี้ให้เห็นว่าคนๆ นั้นติดใจ จะส่งเรื่องกลับมาให้ผม (คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล) เป็นคนจัดการ และเป็นครั้งแรกที่คุณสุรเชษฐ์ออกมาเอ่ยชื่อคุณสุภา ปิยะจิตติ

คำพูดของคุณสุรเชษฐ์ ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาสังกัด สตม. ในวันนั้น ถ้าเป็นจริง (ซึ่งก็เป็นจริงแน่นอน) จะถือว่าเป็นหลักฐานชั้นดีที่คอนเฟิร์มถึงความสนิทสนมระหว่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กับกรรมการ ป.ป.ช. คนที่กล่าวถึง


คุณสุภา ปิยะจิตติ เพิ่งจะพ้นตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. หลังจากที่เป็นกรรมการมาครบวาระ 9 ปี เมื่อวานนี้ คือวันที่ 11 มกราคม 2567

ที่แน่ๆ ความระหว่างบรรทัด ที่ออกจากปากเจ้าของเสียงในคลิป จะเห็นได้เลยว่าออกนัยในทำนองว่าตัวเองคุมเกมคดีที่ ป.ป.ช. ได้เบ็ดเสร็จด้วยความร่วมมือของ ป.ป.ช.

คำถามต่อไปที่เราต้องถาม สังคมต้องตั้งคำถาม แล้ว ป.ป.ช. ในฐานะมีสถานภาพเป็นองค์กรอิสระที่ต้องทำงานด้วยความโปร่งใส ยึดถือความถูกต้องและดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ถึงปล่อยให้คนนอกเข้ามาแทรกแซงได้

ก็ปรากฏว่าหลังจากเรื่องนี้เผยแพร่ในวงกว้าง นักข่าวไปถามท่านนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ท่านก็กระโดดตัวยาวเหมือนถูกแมงป่องต่อย ท่านบอก ไม่ได้แล้ว ต้องสืบสวนให้ดี เอาความจริงให้ปรากฏ และก็จะกระเทือนมาถึงสำนักงาน ป.ป.ช. ด้วย ในฐานะเป็นองค์กรอิสระ ต้องทำความจริงให้ปรากฏ

แล้วที่เต้นผางออกมาเลย เต้นอย่างชนิดที่เรียกว่าเหมือนเต้นรำ ไม่ว่าจะแทงโก้ ชะชะช่า ก็คือท่านเลขาฯ ป.ป.ช. คุณนิวัติไชย เกษมมงคล ท่านบอกว่าในกระบวนการกฎหมายที่ออกมา ป.ป.ช. มีแล้ว 9 คน แต่ตอนนี้เหลือ 5 คน เพิ่มอีก 1 คน เป็น 6 แต่ท่านก็บอกว่า คนอ้างว่ารู้จักกรรมการคนใดคนหนึ่ง แล้วใช้โอกาสวิ่งเคลียร์คดีจากกรรมการทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ เขาไม่ได้หมายถึงกรรมการทั้งหมด ท่านเลขาฯ นิวัติไชย ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า


คลิปนั้นระบุว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล สนิทสนมกับท่านสุภา ปิยะจิตติ กรรมการของ ป.ป.ช.แต่ละคนนั้นมีอีกหน้าที่หนึ่ง เขาเรียกว่า "ประธานอนุกรรมการ" คดีไหนก็ตามที่มีคนร้อง ถ้าอยู่ในหัวข้ออะไรที่กรรมการคนไหนต้องรับผิดชอบ กรรมการคนนั้นก็ต้องกลายเป็นประธานอนุกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง แล้วถ้าไม่มีความจริง หรือสามารถที่จะเคลียร์ได้ ก็จะบอกว่าไม่มีมูล ก็ปิดแฟ้ม ปิดคดี ซึ่งเรื่องนี้ฟังดูก็มีเหตุมีผล แต่ถ้าเกิดคุณสุรเชษฐ์ หักพาล กับคุณสุภา ปิยะจิตติ มีความสนิทสนมกัน ถึงขั้นที่คุณสุรเชษฐ์พูดในคลิปเลยว่า คดีอะไรที่ส่งไป ถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เขาดูแลอยู่ หรือแม้กระทั่งกับตัวเขา ก็ต้องถูกส่งกลับมาหาตัวเขา เพื่อให้เขาจัดการ ตรงนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัว

และเผอิญผมก็มีตัวอย่างอีกคดีเหมือนกัน ที่จำเลยถูกกล่าวหา ก็คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ถูกส่งเข้าไปที่ ป.ป.ช. เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง ปรากฏว่า ป.ป.ช.ดูแล้วก็บอกว่าคดีไม่มีมูล แล้วผมจะเล่าเนื้อหาของคดีให้ฟัง

ที่ผมกังวล คือ ทัศนคติและวุฒิภาวะของท่านนิวัติไชย เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่ท่านพูดออกมา ยังไม่ทันไรเลย ท่านปฏิเสธหมดทุกอย่าง เป็นไปไม่ได้ โน่นนี่นั่น ไม่ทราบว่าคุณนิวัติไชย เกษมมงคล ที่ท่านแถลงออกมานั้น (ซึ่งผมเรียกว่า แถ-ลง) ท่านปฏิเสธเลยว่าเป็นไปไม่ได้ การวิ่ง ป.ป.ช. เคลียร์คดี เป็นไปไม่ได้ คือไม่ได้หมายถึงวิ่ง ป.ป.ช. ทั้ง 5 คน หรือ 9 คน ไม่ใช่ เอาแค่วิ่งประธานอนุกรรมการซึ่งมีสิทธิ์ชี้เป็นชี้ตายได้ ว่าเรื่องนี้จบ ก็จบ ก็ไม่ต้องทำงานต่อ ถ้าไม่จบก็ทำต่อไป


คุณนิวัติไชย จำไม่ได้หรือว่ามีอดีตรองเลขาธิการ ป.ป.ช. ชื่อ ประหยัด พวงจำปา เคยถูกไล่ออกจากราชการ กรณีที่ตัวเองรวยผิดปกติ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินจำนวน 658 ล้านบาท มาแล้ว ไปซื้ออพาร์ตเมนต์ ห้องชุด ที่กรุงลอนดอน มูลค่ากว่า 170 ล้าน เรื่องเหล่านี้ผมได้เล่าให้ท่านผู้ชมฟังแล้ว คุณนิวัติไชย ก็คงจะทราบดีเพราะอยู่ในเหตุการณ์

ในตอนที่ 162 เมื่อวันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2565 ตอนนั้นผมชี้ให้เห็นแล้วว่าคนที่ถูกชี้มูลว่าร่ำรวยผิดปกติ เป็นถึงผู้บริหารระดับสูงขั้นรองเลขาธิการ ป.ป.ช. ซึ่งชื่อองค์กรก็บอกอยู่แล้วว่ามีหน้าที่ป้องกัน ปราบปราม แก้ปัญหาคอร์รัปชัน แต่กลับคอร์รัปชันเสียเอง แล้วองค์กรนี้จะไปมีหน้าตรวจสอบอะไร

คุณนิวัติไชยครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ร้ายแรง ร้ายแรงมากๆ โคตรจะร้ายแรงเลย ก็ในเมื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล พูดออกมาเป็นหลักฐาน เป็นคลิป แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นั่งฟังอยู่สามารถเป็นพยานได้ แล้วหลักฐานคลิปก็พูดชัดเจน สรุปก็คือเขาสนิทสนมกับคุณสุภา ปิยะจิตติ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าคุณดูตรงเนื้อหาคลิป ตรงข้อมูลตรงนี้ คุณไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะสรุปออกมาปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเรื่องอะไรที่เข้าในอนุกรรมการที่คุณสุภาเป็นประธานนั้น ถ้าสมมุติคุณสุภาเล่นด้วย ก็สามารถจะปิดแฟ้มได้ หรือถ้าเรื่องที่เข้ามาแล้วเป็นคู่กรณีขัดแย้งกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล สมมุติ คุณสุภาก็เลยเข่นฆ่าให้ตายอาสัญไปเลยงานนี้ ใช่ไหมครับคุณนิวัติไชย ตรงนี้ต่างหากที่ความยุติธรรมมันมีสองมาตรฐาน


เรื่องนี้คุณนิวัติไชยสวยที่สุดต้องบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะครับ กระทบต่อชื่อเสียงของ ป.ป.ช. ผมขอเข้าไปพูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่หน่อย เพื่อตรวจสอบ รื้อเรื่องเก่าๆ คดีที่ผ่านมาจากการพิจารณาของคุณสุภา ว่ามีอะไรที่เป็นพิรุธหรือเปล่า แล้วผมจะให้คำตอบอีกทีหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าเอะอะอะไรคุณก็มาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ คุณนิวัติไชย ผม 76 ปีแล้ว ผมผ่านโลกมาเยอะแล้ว สมัยที่ผมผ่านโลกมาใหม่ๆ สมัยผมยังหนุ่มๆ แน่นๆ คุณอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ คุณอายุเท่าไร ปีนี้ ผมผ่านเรื่อง here here แบบนี้มาเยอะเลยในประเทศไทย อะไรที่คุณบอกว่าเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปได้หมด

คุณทักษิณ ชินวัตร อยู่โรงพยาบาลตำรวจ มาจะ 120 วันแล้ว คุณก็อาจจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะกรมราชทัณฑ์เขามีระเบียบเรียบร้อยทุกอย่าง โน่นนี่นั่น เอ้า! แล้วมันเป็นไปได้หรือยังล่ะ คุณนิวัติไชย เป็นไปได้หรือยัง คุณอย่ามาเอะอะก็อ้างความเป็นเลขาฯ ป.ป.ช. แล้วมาปกป้ององค์กร องค์กรมันไม่ไปไหนหรอก ถ้ามันเป็น ป.ป.ช.มันก็อยู่ ป.ป.ช. แต่คนที่มีอำนาจในองค์กรนั้น ถ้าไม่ซื่อสัตย์ มีจรรยาบรรณ มีจริยธรรมต่อวิชาชีพ/อาชีพที่ตัวเองทำ หรือหน้าที่ที่ตัวเองทำ มันก็ทำให้องค์กรเสื่อมเสียชื่อเสียง ถ้าคุณอ้างว่าเป็นไปไม่ได้เลย ป.ป.ช. อาจจะจริง เพราะมันเป็นองค์กร แต่ถ้าคุณบอกว่าคนใน ป.ป.ช. ที่มีอำนาจ ทำชั่ว แต่ผมไม่แน่ใจ ผมขอตรวจสอบดูก่อน คุณอย่าปากไวสิ คุณนิวัติไชย คุณคนเดียวเหรอที่สามารถจะปกป้อง ป.ป.ช.ได้ คนในองค์กร ป.ป.ช. สะอาดนักหรือ กิน ขี้ ปี้ นอน เหมือนกัน โลภ โกรธ หลง รัก มีเหมือนกันหมด

เรื่องนี้คุณต้องรีบทำ เพราะเวลานี้ความเชื่อถือของประชาชนและข้าราชการต่อ ป.ป.ช.นั้นมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินไปเรื่อยๆ วิกฤตนี้มันแก้ไม่ได้ด้วยคำพูดของคุณ ว่า "เป็นไปไม่ได้" คุณพูดว่าเป็นไปไม่ได้ คุณจะให้เรื่องมันจบเลยหรือ แม้กระทั่งท่านนายกฯ ท่านยังบอกเลยว่า ป.ป.ช. ต้องเริ่มทำความจริงให้กระจ่าง นัยของท่านก็คือว่า คุณไปตรวจสอบดูซิ ไม่ใช่ยังไม่ทันไรเลย คุณออกมาแถลงข่าวเจื้อยแจ้วว่าเป็นไปไม่ได้ ป.ป.ช.ไม่มีปัญหา โปร่งใส โปร่งใสอะไรกัน คุณนิวัติไชย

ส่วน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ท่านก็ควรที่จะออกมาชี้แจงทำความจริงให้ปรากฏเหมือนกัน คลิปชุดนี้มันไม่ใช่ชุดใหญ่ไฟกะพริบนะครับ มันเป็นชุดใหญ่ไฟไหม้บ้าน ท่านต้องทำตามคำสั่งนายกฯ ควานหาตัวนายตำรวจใหญ่ ซึ่งไม่ต้องควานก็ได้ ผมบอกก็ได้ เพราะทุกคนก็รู้ว่าชื่อของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล และคนของ ป.ป.ช. ที่ถูกอวดอ้างว่าสนิทสนมกัน อย่างเร่งด่วนเลย สอบสวนกันให้รู้ดำรู้แดง แจ้งต่อสาธารณะให้รู้


ผมเสียดายคุณสุภา เพราะผมรู้จักท่านดีตั้งแต่สมัยท่านยังเป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง ท่านเป็นคนที่ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ท่านจะฮึดสู้ แล้วก็มีสโลแกนใน ป.ป.ช. พอพูดถึงคุณสุภา เขาเรียกคุณสุภาว่า "เรื่องนี้ภาไม่ยอม"

ท่านประธาน ป.ป.ช. ท่าน พล.ต.อ.วัชรพล ต้องอย่าช้า ของแบบนี้สืบไม่ยากหรอก ชาวโซเชียลเขาฉลาด นักสืบโซเชียลทำงานเร็ว นอกจากพากันชี้เป้าไปที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กับคุณสุภา ปิยะจิตติ แล้ว ยังเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคุณสุภา กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่าสนิทสนมกันอย่างยิ่ง

คุณนิวัติไชย อาจจะไม่รู้ว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นคนเข้าหาผู้ใหญ่เก่งมาก พูดจาอ่อนน้อม อ่อนหวาน แสดงออกด้วยการทำงานคล่องแคล่วว่องไว ก็เป็นปกติธรรมดา คุณสุภาก็ต้องไว้ใจคุณสุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งคุณสุรเชษฐ์ มาเติมเต็มในส่วนที่คุณสุภาขาดในเรื่องสืบสวนสอบสวน เป็นไปได้ไหมล่ะ คุณนิวัติไชย ? เป็นไปได้อยู่แล้ว เวลาผ่านไป จากรู้จัก กลายเป็นมักคุ้น รู้ซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องนี้คุณนิวัติไชย คุณผิดพลาดไปมากเลย

คุณสุรเชษฐ์ หักพาล นั้น ผู้ใหญ่หลายคนที่เคยสัมผัส ให้ความเอ็นดูกับคุณสุรเชษฐ์ เคยเจอกันมาแล้ว ฤทธิ์เดชคุณสุรเชษฐ์ ทุกวันนี้ยังอาการหลังหักอยู่ไม่หาย ไม่ทราบว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังจำคนพวกนี้ได้หรือเปล่า พล.ต.อ.วิเชียร พจน์ โพธิ์ศรี อดีต ผบ.ตร. พล.ต.ท.พีระพงศ์ ดามาพงศ์ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน หรือแม้กระทั่งคนอย่างเช่น พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และสุดท้ายก็คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ซึ่งเป็นคู่กรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ฟาดฟันกันในเรื่องของไบโอเมตริก กับงานที่คุณสุรเชษฐ์ หักพาล รับงานมาจากผู้หญิงที่ชื่อ "ก้อย" ชื่อ รัตนา เป็นลูกสะใภ้ของ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก มีแม้กระทั่งรูปที่คุณสุรเชษฐ์ หักพาล และคนที่ชื่อ ก้อย รัตนา เดินอยู่ในสนามบินที่ประเทศสิงคโปร์ ผมมีอยู่ในมือ แต่ผมเล่าให้ฟังไง

และในที่สุดแล้ว ไบโอเมตริก ก็ถูกร้องเรียน เพราะว่าคณะกรรมการ ตร. ให้เลือกเอาไบโอเมตริกนั้น เอามาเป็นการตรวจสอบคนเดินทางเข้าประเทศไทย เพราะว่าคุณภาพดีกว่าสิ่งที่คุณก้อยเสนอมา มากมายมหาศาล


คนอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่คุณสุรเชษฐ์ หักพาล เกาะเอาไว้อย่างแน่น จนกระทั่งมาถึงวันนี้ไม่มีอำนาจแล้ว คือ ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ คนพวกนี้ถ้าพูดไปแล้ว เอ่ยชื่อไปแล้ว เป็นผู้ที่มีพระคุณอย่างสูงกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ไม่ผิดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลุงป้อม ใครๆ ก็รู้ว่าเอ็นดู พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เหมือนหลานในไส้ แต่ในช่วงมีการอภิปรายเรื่องป่ารอยต่อฯ ในสภาฯ โดยรังสิมันต์ โรม แต่ว่ากันว่าข้อมูลนี้หลุดออกมาจากแฟ้มลับในคอมพิวเตอร์ของหลานรัก เอาไปอภิปรายในสภาฯ หรือแม้กระทั่งเรื่องตั๋วช้าง ที่คุณรังสิมันต์ โรม เอาไปอภิปรายในสภาฯ ก็ว่ากันว่าจริงหรือไม่จริง ไม่รู้ แต่เขาว่ากันว่ามันหลุดออกมาจากคนสนิท และส่วนหนึ่งก็คือสายตรงของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล


ท่านผู้ชมครับ คนเรารู้จักหน้าไม่รู้จักใจ หยิบยื่นความรักความเมตตาให้ สิ่งที่ได้คืนก็ไม่ต่างจากเรื่องราวระหว่างชาวนากับงูเห่า เพียงเพราะว่าคนบางคนทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจสูงสุดใน ตร.

ว่ากันว่า ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งได้สั่งให้คนใกล้ชิดบันทึกเก็บไว้ เก็บทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งลับและไม่ลับ ตอนนี้ตกอยู่ในมือของทีมงานของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล มีหมด ข้อมูล เผลอๆ อาจจะมีข้อมูลเกี่ยวกับคุณสุภา ปิยะจิตติ ก็ได้


คุณสุรเชษฐ์เคยพูดว่า เรื่องราวที่เขาโดนเรื่องราวต่างๆ นั้น เขาบอกว่าเป็นนิทาน มันไม่ใช่นิทานล่ะครับ คุณสุรเชษฐ์ หักพาล งานนี้มันมีอะไรที่มันชัดมาก เขาบอกว่ายิ่งเล่าขานก็ยิ่งขยายแต่งเติมออกไปไม่รู้จบ เรื่องนี้ไม่มีการแต่งเติมใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่หลักฐานอย่างเดียว

ท่านผู้ชมครับ วิธีการเช็ก คุณนิวัติไชย คดีไหนบ้างที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทำแล้วส่งให้ ป.ป.ช. แล้วคดีไหนบ้างที่ ป.ป.ช. รับมาแล้วมีคุณสุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานอนุกรรมการสอบ ท่านประธาน ป.ป.ช. ต้องตรวจสอบขยายผลเพื่อความโปร่งใส ไม่เช่นนั้นองค์กร ป.ป.ช. จะโดนครหาเละเทะไม่มีชิ้นดี เนื่องจากมีคำถามจากสังคมมาที่ ป.ป.ช.มากมายว่ามีอยู่หลายคดีถูกส่งเข้ามาเพื่อใส่ร้ายป้ายสีกลั่นแกล้งกันหรือเปล่า และต้องดูว่าคดีที่ถูกพิจารณาตรวจสอบโดยคุณสุภา ปิยะจิตติ นั้น ทั้งที่ผ่านมาและที่เป็นอยู่ มีความน่าเชื่อถือได้แค่ไหน ควรหรือไม่ควรที่ต้องรื้อฟื้นคดีเหล่านั้นขึ้นมาดูใหม่


คุณวัชรพลครับ อย่าต้องรีบตอบ อย่าให้กรณีนี้เป็นความอัปยศอดสูของ ป.ป.ช. เพียงเพราะนายตำรวจใหญ่บางคนที่ลุแก่อำนาจ และเพราะผู้ใหญ่ใน ป.ป.ช. บางคนยอมเป็นเครื่องมือให้ความช่วยเหลือคิดบัญชีชำระแค้นคนนั้นคนนี้ เรื่องนี้ถ้าไม่รีบทำให้กระจ่าง จะกลายเป็นหลุมดำ สร้างวิกฤตศรัทธาของประชาชนที่มีอยู่อย่าง ป.ป.ช. ถ้าเรื่องเหล่านี้มีมูล ก็เป็นเหตุผลพอเพียงที่จะต้องดำเนินการปฏิรูป ป.ป.ช. ครั้งใหญ่

ผมมีเรื่องๆ หนึ่งที่จะเป็นตัวอย่างให้ดู คดีหนึ่งคือ เมื่อกลางปี 2564 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ถูกร้องเรียนด้วยบัตรสนเท่ห์ ประมาณว่าจัดซื้อจัดจ้างไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนตามพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารงานพัสดุภาครัฐ

เรื่องของเรื่องเป็นอย่างนี้ครับ ในการสรรหาบริษัทเอกชนเข้ามาทำการตรวจลงตรา Visa on Arrival ให้นักท่องเที่ยวจำนวน 21 ประเทศ กับ 1 เขตเศรษฐกิจ ที่มาท่องเที่ยวเมืองไทย จะต้องยื่นขอวีซ่ากับบริษัทเอกชนเสียก่อน


24 ธันวาคม 2561 ผู้ใหญ่ใน สตม. คนดัง ลงนามสัญญา MOU กับบริษัทแห่งหนึ่งให้ตรวจประทับตรา Visa on Arrival เก็บค่าธรรมเนียม 2,500 บาท โดยการทำสัญญานั้นไม่ผ่านการสรรหา หรือเลือกสรร หรือคัดเลือก หรือเปิดโอกาสให้แข่งขันกันระหว่างบริษัทต่างๆ เสียก่อน เงินค่าธรรมเนียม 2,500 บาท ที่เก็บจากนักท่องเที่ยว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ สตม. จะได้รับไป 2,000 บาท อีก 500 บาท เป็นของบริษัท ในกรณีเร่งด่วนนักท่องเที่ยวต้องจ่ายเพิ่มอีก 2,000 บาท ให้บริษัท เพื่อเป็นการอนุมัติอย่างเร่งด่วนภายใน 24 ชั่วโมง


เรื่องนี้มีการชี้แจงภายหลังจากผู้บัญชาการ สตม. พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ว่าบริษัทได้ค่าธรรมเนียม 500 บาท ใช้เวลาดำเนินการ 3 วัน ส่วน 2,000 บาท ค่าธรรมเนียมนั้น ดำเนินการ 24 ชั่วโมง ค่าธรรมเนียมนี้จะถูกส่งเข้ากระทรวงการคลัง ส่วนอีก 500 บาทนั้น ก็จะเข้าสู่บริษัท เขาเรียกว่าค่าวีซ่า E-VOA 500 บาท แล้วบริษัทนี้เพิ่งได้รับการต่ออายุเมื่อวันที่ 1 มกราคม สองปีที่แล้ว (2565) ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมไม่จำเป็นจะต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวขาญทางด้านคณิตศาสตร์ เอาเป็นว่า มีนักท่องเที่ยวเข้ามา 5 แสนคน เท่ากับว่าบริษัทพรรคพวกของผู้ใหญ่ใน สตม. ในขณะนั้น จะมีรายได้ถึง 250 ล้านบาทต่อปี กรณีมีอนุมัติเร่งด่วน เอาแค่ 5 เปอรเซ็นต์ จากจำนวนทั้งหมด 5 แสนคน จะเท่ากับ 25,000 คน คูณ 2,000 บาท จะเป็นเงิน 500 ล้านบาท ทั้งนี้ จำนวนคนขออนุมัติแบบเร่งด่วนอาจจะมีเกินกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ก็ได้ แสดงว่าบริษัทที่บิ๊กตำรวจจิ้มเลือกมาลงนาม MOU ได้รับผลประโยชน์มหาศาลในการทำธุรกิจกับ สตม. หรือ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

พอตรวจสอบตามข้อร้องเรียนแล้ว พบความจริงที่ไม่น่าประหลาดใจ แต่ก็ตื่นตระหนก ก็คือว่าบริษัทนี้ไม่มีสำนักงานที่สุวรรณภูมิเลย ตรวจไปตรวจมาพบว่าบริษัทแค่เปิดเว็บไซต์ขึ้นมาเฉยๆ ตัวตนเจ้าของบริษัทอยู่ไหนก็ไม่รู้ จัดการกรอกข้อมูลนักท่องเที่ยว สแกนจ่ายเงินผ่านทางแอปพลิเคชันของบริษัทเท่านั้น นี่คือข้อกล่าวหาว่า มีการกระทำผิดระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง มีลักษณะเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนอย่างชัดเจน แต่ท่านผู้ชมรู้ไหม ผลการสอบสวนใน ป.ป.ช. ชั้นอนุกรรมการ บอกว่า ตำรวจคนนั้นไม่มีความผิด ความมั่นใจก็เลยพุ่งสูงถึงขั้นไปพูดคุยโวว่า สนิทกับท่านสุภา ป.ป.ช. จึงไม่สามารถทำอะไรตัวเองได้

ท่านผู้ชมครับ ฟังแล้วรู้สึกอย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก คนเรานั้นมักจะมีความโอหังมมังการอยู่ในตัว โอหังมมังการอย่างไร ? อวดดี ติดต่อผู้หลักผู้ใหญ่ได้หมดทุกคน ใครที่เป็นผู้ใหญ่หน่อย


ท่านผู้ชมเคยเห็นไหม รูปของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ในวันงานอะไรก็ไม่รู้ที่คุณหญิงอ้อ พจมาน ดามาพงศ์ นั่งอยู่บนเก้าอี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่รู้ว่าไปทำหน้าที่อะไร เดินเข้าไป คุกเข่าแล้วก้มลงกราบที่ตัก นี่คือลักษณะของการเข้าผู้ใหญ่ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ คำมั่นสัญญาที่คนๆ นี้ให้กับทุกคน หวานเจี๊ยบหวานจ๋อย แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะให้ตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่นั่นเองล่ะครับ น่ากลัวไหมท่านผู้ชม ? เรื่องนี้น่ากลัวมาก ถ้าตัวเองทำอย่างโดดเดี่ยว ไม่เป็นไร แต่ตัวเองพูดลากเอาคุณสุภา ปิยะจิตติ เข้ามาร่วมด้วย ผมเสียใจครับคุณสุภา ผมเคยเคารพนับถือคุณมานานแล้ว คุณอาจจะไม่ผิดก็ได้นะ แต่ผมเสียใจที่คุณถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ซึ่งผมไม่ได้เป็นคนลากนะ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นคนลากคุณเข้ามา

1 ปี เรือหลวงสุโขทัย สรุปใครต้องรับผิดชอบ

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เหตุมันเกิดประมาณ 18 ธันวาคม 2565 เกือบๆ สองปีที่แล้ว ซึ่งผมสัญญากับท่านผู้ชมว่าผมจะไม่ละทิ้งเรื่องนี้เป็นอันขาด จะเกาะติด ติดตาม รายงานความคืบหน้า เบื้องหน้าเบื้องหลังให้ฟัง ในขณะที่เรื่องนี้ไม่มีสื่อมวลชนคนไหนเลยแม้แต่นิดเดียวที่สนใจจะติดตาม มีที่นี่ที่เดียว นั่นคือการล่ม โศกนาฏกรรมของเรือรบหลวงสุโขทัย ซึ่งอับปางวันที่ 18 ธันวาคม 2565 กำลังพลเสียชีวิต 24 นาย สูญหาย 5 นาย รอดชีวิต 76 นาย


ท่านผู้ชมครับ มูลค่าความเสียหายจากการอับปางของเรือรบหลวงสุโขทัย ถ้าตีเป็นเงินอย่างเดียว มากมายถึง 5 พันล้านบาท ท่านผู้ชมรู้ไหม ที่น่าสนใจคืออะไร ? จากวันนั้นถึงวันนี้ 18 ธันวาคม 2565 หนึ่งปีกับหนึ่งเดือน ไม่มีผู้บังคับบัญชาของกองทัพเรือหน้าไหนเลย ชายชาติทหารคนไหนเลย ออกมาแสดงความรับผิดชอบว่าความเสียหายมูลค่า 5 พันล้านบาท ชีวิตลูกน้องอีก 29 นาย เป็นเพราะผมผิดพลาดเอง พวกผมเป็นคนสั่งการเอง ขี้ขลาดตาขาวกันทุกคนเลยผู้ใหญ่ในกองทัพเรือ

ผมจะลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ก่อนการอับปางของเรือรบหลวงสุโขทัยให้ท่านผู้ชมได้รับทราบ และตัดสินใจเอาเองนะว่าใครควรจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้


สามเดือนก่อนหน้าที่จะเกิดการอับปางวันที่ 18 ธันวาคม 2565 วันที่ 22 กันยายน 2565 กองเรือยุทธการ ภายใต้บังคับบัญชาของ พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข พิจารณาจัดให้เรือรบหลวงสุโขทัยไปปฏิบัติราชการที่กองทัพเรือภาค 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม

1 ตุลาคม 2565 พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพเรือยุทธการ ขณะที่เรือรบหลวงสุโขทัยเริ่มขึ้นอยู่กับการบังคับบัญชาของกองทัพเรือภาคที่ 1 เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2565 มี พล.ร.ท.พิชัย ล้อชูสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาค 1 มีอำนาจการสั่งการการปฏิบัติของเรือรบหลวงสุโขทัย ตามสายการบังคับบัญชา


15 ธันวาคม 2565 พล.ร.ท.พิชัย ล้อชูสกุล ผบ.ทัพเรือภาค 1 ได้สั่งการให้เรือรบหลวงสุโขทัยเดินทางไปสนับสนุนภารกิจการจัดงานเทิดพระเกียรติ 100 ปี เสด็จเตี่ย ณ หาดทรายรี จังหวัดชุมพร กำหนดออกเรือในคืนวันที่ 15 ธันวาคม 2565

18 ธันวาคม 2565 พล.ร.ท.พิชัย ล้อชูสกุล ผบ.ทัพเรือภาค 1 สั่งการให้เรือรบหลวงสุโขทัยยกเลิกภารกิจทิ้งสมอหน้าหาดทรายรีเพื่อประดับไฟ เนื่องจากคลื่นลมแรง และให้เดินทางกลับมาท่าเรือบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทันที ตั้งแต่เวลา 09.00 น. นาวาโท พิชิตชัย เถื่อนนาดี ผู้บังคับการเรือรบหลวงสุโขทัย ส่งโทรเลขไปกองทัพเรือภาค 1 ขออนุญาตเข้าจอดที่บางสะพานเมื่อเวลา 17.00 น. เนื่องจากน้ำเข้าเรือ และไม่ได้ระบุชัดเจนถึงสภาพเรือ และ ผบ.ทัพเรือภาค 1 ซึ่งขณะนั้นอยู่ในพื้นที่หาดทรายรี สั่งการให้นายทหารเวรอำนวยการ ทัพเรือภาคที่ 1 ประสานงานให้ความช่วยเหลือ เมื่อเวลา 17.24 น. หากพิจารณาจากรายงานดังกล่าว คำถามที่เกิดขึ้นคือ หากทัพเรือภาค 1 สั่งปรับแผนตั้งแต่เวลา 09.00 น. แล้ว เหตุใดเรือรบหลวงสุโขทัยจึงต้องขออนุญาตเข้าจอดที่บางสะพานเมื่อเวลา 17.00 น. อีกครั้งหนึ่ง ?

พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ได้รับแจ้งน้ำเข้าเรือหลวงสุโขทัยจากบุคคลภายนอกเมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ก่อนที่ทัพเรือภาค 1 จะแจ้งเหตุอย่างเป็นทางการ ไม่ทราบเวลาแน่ชัด ไปยัง พล.ร.อ.อะดุง ในฐานะผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ซึ่งเป็นต้นสังกัดของเรือรบหลวงสุโขทัย


จึงน่าสงสัยว่า ทัพเรือภาคที่ 1 อาจจะประเมินข้อมูลบางส่วนในแง่ดีเกินไปว่าสามารถแก้ไขสถานการณ์ และควบคุมความเสียหายเอาไว้ได้ จนเป็นที่มาของรายงานสภาพของเรือรบหลวงสุโขทัยอย่างไม่เป็นทางการ ในช่วงบ่ายของวันที่ 18 ธันวาคม ว่าเรือเอียงคงที่

พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสธ.ทร. ในฐานะ ผอ.ศปก.ทร. เข้าควบคุมสถานการณ์ ไม่ทราบเวลาที่แน่ชัด แต่คาดว่าก่อนเวลา 17.00 น. เล็กน้อย ทำให้เรือรบหลวงสุโขทัยยกเลิกการเข้าจอดที่บางสะพาน แล้วเดินทางกลับสัตหีบ ตามคำสั่งของหน่วยเหนือ ในเอกสารสอบสวนเท่าที่หลุดออกมา ไม่มีการระบุว่าใครเป็นคนสั่งการดังกล่าว ระหว่างทัพเรือภาค 1 กับ ศปก.ทร. จนมีกระแสข่าวว่าทั้งสองหน่วยพยายามให้ข้อมูลว่า การเดินทางกลับสัตหีบแทนการเข้าจอดที่บางสะพาน เป็นการตัดสินใจของ ผบ.เรือ คือท่าน นาวาโท พิชิตชัย เถื่อนนาดี ผู้บังคับการเรือรบหลวงสุโขทัย

นาวาโท พิชิตชัย เถื่อนนาดี
ระหว่างเรือรบหลวงเดินทางจากบางสะพาน ไปยังสัตหีบ จนกระทั่งเรือจม พล.ร.อ.ชลธิศ เสธ.ทร. ในฐานะ ผอ.ศปก.ทร. เป็นผู้ควบคุม สั่งการการปฏิบัติของทุกหน่วย ทั้งเรือสุโขทัย และเรือที่เข้าช่วยเหลือ แม้หลังจากไฟฟ้าดับ วิทยุสื่อสารใช้ไม่ได้ แต่ยังมีการติดต่อสั่งการไปยังเรือรบหลวงสุโขทัยผ่านทางสัญญาณโทรศัพท์มือถือ

หลังจากที่ ศปก.ทร. เข้ามาบริหารสถานการณ์ จะเห็นได้ว่าไม่มีการกล่าวถึงการที่เรือรบหลวงสุโขทัยขออนุญาตเข้าจอดที่ท่าเรือบางสะพานแต่อย่างใด ซึ่งสอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์และหลักฐานการติดต่อของ ผอ.ท่าเรือบางสะพาน ที่นำมาแสดงว่าเรือรบหลวงสุโขทัยแจ้งยกเลิกการเข้าจอดที่บางสะพาน ในประเด็นนี้ก็เลยคลุมเครืออยู่ว่า คำสั่งให้เรือรบหลวงสุโขทัยเดินทางกลับสัตหีบแทนการเข้าจอดที่บางสะพานนั้น เป็นคำสั่งของใคร


นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งที่ถูกกล่าวขานในหมู่วงในว่า "ห้ามเรือจม" ซึ่งกำลังพลที่รอดชีวิต โดยเฉพาะ ผบ.เรือ นาวาโท พิชิตชัย เถื่อนนาดี รู้ดีว่าเป็นคำสั่งของใคร แต่ก็ไม่มีการเปิดเผยคำสั่งดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถสละเรือตั้งแต่แรก เพื่อรักษาชีวิตกำลังพล จนกระทั่งหมดหนทางจึงสั่งให้สละเรือ

ท่านผู้ชมครับ ราวสองเดือนหลังจากการอับปาง เดือนกุมภาพันธ์ 2566 พล.ร.ท.สิทธิศักดิ์ บุตรนาค เจ้ากรมอู่ทหารเรือ เป็นประธานเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ผู้แทนกรมสรรพาวุธ กองเรือทุ่นระเบิด กรมส่งเสริมกำลังบำรุง ฐานทัพเรือสัตหีบ กรมยุทธการทหารเรือ กำหนดแนวทางการกู้เรือ

มีนาคม 2566 กองทัพเรือเชิญบริษัทที่สนใจมาฟังคำชี้แจงครั้งที่ 1 เปิดเผยว่าคลิปเรือจมเพื่อให้กลับไปจัดทำข้อเสนอทางเทคนิคมาเสนออีกครั้ง ต่อมา พฤษภาคม 2566 บริษัทต่างๆ เสนอเทคนิค งบประมาณในการใช้ ให้กรมอู่ทหารเรือนำไปพิจารณาความเป็นไปได้ การจัดทำ TOR และของบประมาณ


กรกฎาคม กรมอู่ทหารเรือ เสนอ TOR ในวงเงิน 200 ล้านบาท ไปยังกองเรือยุทธการ พล.ร.อ.อะดุง ผบ.กร. พิจารณาให้ความเห็นชอบ

อีกเดือนหนึ่งต่อมา 15 สิงหาคม กรมอู่ทหารเรือ เปิดโอกาสให้บริษัททักท้วง วิจารณ์ TOR ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง

สามวันให้หลัง จาก 15 สิงหาคม เป็น 18 สิงหาคม กรมอู่ทหารเรือ ใช้เวลาเพียง 48 ชั่วโมง รวบรัดจัดการพิจารณาก่อนจะยืนยัน TOR การกู้เรือ โดยไม่มีการชี้แจงข้อทักท้วงตามที่มีบริษัทเสนอข้อวิจารณ์ ใช้เวลาแถลงไม่ถึง 30 นาที

25 สิงหาคม เดือนเดียวกัน กรมอู่ทหารเรือ เปิดให้มีการเข้ายื่นซองระหว่างเวลา 08.30 น. ถึงเวลา 16.30 น. ณ กองเรือยุทธการ ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ มีผู้มายื่นถึง 6 บริษัท

28 สิงหาคม 2566 กรมอู่ทหารเรือ เจ้าหน้าที่กองเรือยุทธการ รับซองข้อเสนอของบริษัทที่มีหนึ่งในกรรมการมีนามสกุล "หนุนภักดี" ทั้งๆ ที่เกินกำหนดเวลา แต่หลังจากฝ่ายค้านนำไปอภิปรายในสภาฯ มีการชี้แจงอย่างไม่เป็นทางการว่า เป็นการลงวันที่ผิดของเจ้าหน้าที่บริษัท

8 กันยายน 2566 พล.ร.อ.อะดุง ผบ.กร. สั่งยกเลิกการยื่นซองประมูล โดยให้เหตุผลในการประกาศยกเลิกว่า ไม่มีผู้ผ่านการคัดเลือก และมีการให้ข่าวไม่เป็นทางการว่า ทุกบริษัทส่งเอกสารไม่ครบถ้วน

1 ตุลาคม 2566 พล.ร.อ.อะดุง รับตำแหน่ง ผบ.ทร. คนใหม่

พล.ร.อ.อะดุง พันธ์เอี่ยม
20 พฤศจิกายน พล.ร.อ.อะดุง ให้สัมภาษณ์ในวันกองทัพเรือ ว่า จะทำการกู้เรือสุโขทัยในเดือนมีนาคม 2567

ท่านผู้ชมครับ จนถึงวันนี้เป็นเวลากว่าปีแล้วที่เรือรบหลวงสุโขทัย ซึ่งถือว่าเป็นเรือหนึ่งในไม่กี่ลำของราชนาวีไทย ที่มีศักยภาพสูงสุด สามารถทำการรบถึง 3 มิติ ต้องถูกลบชื่อออกจากกองกำลังทางทะเลของกองทัพเรือ เมื่อประสบเหตุไม่คาดฝัน และเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย นั่นคือเรือรบอับปางลงสู่ก้นทะเลในอ่าวไทย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2565 ทั้งที่มิได้เข้าไปกระทำการยุทธนาวีกับอริราชศัตรูที่ล่วงล้ำอธิปไตยเข้ามายังน่านน้ำไทยแต่อย่างใด หากแต่การอับปางดังกล่าวเกิดจากคลื่นลมรุนแรงที่โหมกระหน่ำเข้าใส่เรือ ซึ่งปกติแล้วเรือรบทุกลำจะถูกออกแบบมาให้มีความคงทนทางทะเล โดยเฉพาะเรือรบหลวงสุโขทัย ซึ่งกองทัพเรือต่อจากอู่ต่อเรือทาโคมา ประเทศสหรัฐอเมริกา และเดินทางข้ามฝ่าคลื่นลมรอนแรมข้ามมหาสมุทร ข้ามทวีป ถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ

แต่เนื่องจากเรือรบหลวงสุโขทัยในวาระสุดท้ายของการรับใช้ชาติมิได้อยู่ในสภาพที่พร้อมอย่างสมบูรณ์ กลับได้รับคำสั่งให้ออกทะเล และต้องเผชิญกับสภาพคลื่นลมแรงก่อนจะอับปางลงสู่ก้นทะเล ก็มีผู้เสียหาย เสียชีวิต ตามที่ผมเรียนให้ทราบ ผู้รอดชีวิต 76 นาย ที่ได้รับการช่วยเหลือโดยเรือหลวงกระบุรี และเรือศรีไชยา ของบริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) ซึ่งผ่านมาประสบเหตุพอดี

ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ ความพยายามในการปกปิดความจริงของลำดับเหตุการณ์และข้อมูลผลการสอบสวนผู้เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้บังคับการเรือที่รอดชีวิต ขึ้นไปจนถึงเสนาธิการทหารเรือ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ (ศปก. ทร.) และผู้บัญชาการกองเรือภาคที่ 1 ซึ่งตามสายงานของการบังคับบัญชาแล้ว จะถือว่าต้องรับผิดชอบ ไม่สามารถปฏิเสธได้


ความอึมครึมจากเหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปางยังคงดำเนินต่อไป พร้อมๆ กับที่กองทัพเรือต้องรับภาระหนักในการหางบประมาณที่จำเป็นต้องใช้ในการกู้เรือ ซึ่งตอนแรกกองทัพเรือคาดว่าอาจจะได้รับอนุมัติงบประมาณกลางจากรัฐบาล ท้ายที่สุดแล้วต้องใช้งบกองทัพเรือ

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของผู้สูญเสียและสาธารณชนคนไทยที่อยากรู้ความจริงถึงสาเหตุการสูญเสียเรือสุโขทัย จนกระทั่งในช่วงเดือนสิงหาคม จึงเริ่มมีความชัดเจนว่าได้จ้างเอกชนในการกู้เรือ งบประมาณตั้งไว้ตอนแรก 100 ล้านบาท ถูกเพิ่มเป็น 200 ล้านบาท

ในการนี้ กรมอู่ทหารเรือได้เชิญบริษัทต่างๆ เข้ามา และตัวแทนบริษัทต่างๆ อีก 10 ราย มารับฟังคำชี้แจงและความต้องการของกองทัพเรือ เพื่อให้บริษัทเหล่านี้ยื่นเสนอราคาแข่งขัน ตอนนี้เองได้เกิดเรื่องอื้อฉาว และถูกพรรคก้าวไกลนำไปเปิดโปงในสภาฯ ว่า มีบริษัทหนึ่ง กรรมการบริหารนามสกุล "หนุนภักดี" อันเป็นนามสกุลเดียวกับ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้ซึ่งเพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งในวันที่ 1 ตุลาคม 2566

พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี
บริษัทดังกล่าวทำหนังสือถึง พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เสนอตัวเข้าทำการกู้เรือ แต่หนังสือดังกล่าวลงนามในวันที่ยังไม่มีการก่อตั้งบริษัท จึงเป็นพิรุธอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำ ในการมายื่นเสนอราคา บริษัทยังมายื่นในวันที่พ้นกำหนดการยื่นซองไปถึง 2 วัน

เมื่อปรากฏข่าวฉาว ผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาเอาสีข้างถู โดยแก้ว่าบริษัทลงวันที่ผิด สามารถตรวจสอบได้จากกล้องวงจรปิดว่าได้มายื่นจริงในวันที่ 25 สิงหาคม แต่กระนั้นก็ตาม หากนำกล้องวงจรปิดมาเปิดเผย ก็จะตายในเรื่องของเวลาที่ปรากฏในคลิปว่าบริษัทมายื่นหลังเวลา 16.30 น. เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ในขณะนั้น ตัดสินใจถอดชนวนด้วยการสั่งยกเลิกการยื่นเสนอราคาดังกล่าวพร้อมๆ กับที่มีข่าวต่อสาธารณชนว่า เหตุที่ยกเลิกเพราะบริษัทต่างๆ เตรียมเอกสารมาไม่ครบถ้วน เสมอภาคกันทุกบริษัท และจะนัดหมายยื่นราคาใหม่

หลังจากนั้นเรื่องการคัดเลือกบริษัทกู้เรือก็เงียบหายไประยะหนึ่ง พล.ร.อ.อะดุง ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารเรือในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ทันทีที่รับตำแหน่งและแถลงนโยบายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับทราบ พล.ร.อ.อะดุง เน้นย้ำว่า การจัดซื้อจัดจ้างใดๆ จากนี้เป็นต้นไปจะต้องตั้งอยู่บนความโปร่งใส สุจริต สามารถตรวจสอบได้ จะต้องไม่เหมือนในช่วงที่ผ่านมา ที่กองทัพเรือถูกสื่อมวลชนจับจ้องขุดคุ้ยการจัดซื้อจัดจ้างว่าส่อไปในทางทุจริต เช่น กรณีการจัดซื้อเป้าบินโดยไม่ซื้อรางปล่อย รวมทั้งกรณีความลับรั่วไหล ผู้บังคับบัญชาประชุมกัน 5 คน แต่เรื่องนี้กลับถึงมือสื่อมวลชนได้อย่างไร

กระนั้นก็ตาม ผู้บัญชาการทหารเรือคนใหม่จะออกมาประกาศอย่างขึงขัง แต่ในกรณีการกู้เรือสุโขทัย การกำหนด TOR กลับยังเป็นที่ครหา โดยเฉพาะ 1. ประเด็นคุณสมบัติบริษัทที่จะเข้ามารับงาน ที่ถูกกำหนดไว้ว่าจะต้องได้รับการรับรองจากสมาพันธ์การกู้เรือของต่างประเทศ และระบุชัดเจนว่าต้องเป็นสหรัฐอเมริกา หรือจีน เท่านั้น ด้วยเหตุนี้บริษัทที่เป็นคนไทย แม้จะมีผลงานการกู้เรือ แต่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับสมาพันธ์การกู้เรือต่างประเทศ แม้จะมีหนังสือรับรองจากกรมเจ้าท่า ก็ไม่สามารถจะดำเนินการได้

2. นอกจากนี้ยังมีประเด็นการกู้เรือโดยที่มีกระสุนติดค้างอยู่ในเรือ แม้ว่ากองทัพเรือ โดยกรมสรรพาวุธจะยืนยันว่ากระสุนเหล่านั้นไม่ใช่กระสุนกระทบแตก ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการจุดชนวนขึ้นขณะกู้เรืออย่างแน่นอน แต่ตามมาตรฐานการประกันภัยของต่างประเทศ หากกู้เรือโดยยังมีกระสุนอยู่ หรือวัตถุระเบิดตกค้างในเรือ บริษัทประกันจะไม่รับประกันความเสียหาย ซึ่งนั่นหมายความว่า บริษัทที่จะทำสัญญากู้เรือสุโขทัยต้องแบกรับความเสี่ยงด้วยตัวเอง

3. อีกทั้งเงื่อนไขที่ระบุอย่างชัดเจนใน TOR คือ กองทัพเรือจะจ่ายเงินเพียงครั้งเดียว จำนวน 200 ล้านบาท เมื่อการกู้เรือเสร็จสิ้น และส่งมอบเรือที่อู่ราชนาวี มหิดลอดุลยเดช เรียบร้อยแล้วเท่านั้น การกู้เรือต้องขึ้นมาในสภาพสมบูรณ์ทั้งลำ ห้ามมิให้มีการตัดแยกชิ้นส่วนใดๆ ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือเปิดโอกาสให้ผู้รับงานทำสัญญา 2 ข้อ ให้มีการเพิ่มเติมได้ หากเรือขึ้นพ้นผิวน้ำแล้วทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าต้องมีงานเพิ่มเติมเพื่อให้นำเรือกลับเข้าฝั่ง ก็ดำเนินการได้อย่างปลอดภัยที่สุด


ท่านผู้ชมครับ พูดมาตั้งนาน ผมจะสรุปว่า แม้จนวันนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าบริษัทใดเป็นผู้รับงานดังกล่าว เพราะผู้บัญชาการทหารเรือได้ให้สัมภาษณ์ในงานวันกองทัพเรือ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ว่า การกู้เรือจะดำเนินการภายในเดือนมีนาคม 2567 อย่างแน่นอน และสภาพเรือปัจจุบันยังคงวางตัวเป็นแนวยาวบนพื้นทรายเหมือนกับวันแรกที่เรือจม

คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไปว่าเรื่องราวของเรือหลวงสุโขทัยจะจมลงในลักษณะใด ร่างของกำลังพลที่สูญหายไป 5 นาย จะติดค้างในเรืออย่างที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ แล้ววันนี้เรือรบหลวงสุโขทัยโผล่พ้นผิวน้ำ เรือรบที่มีชะตากรรมอันน่าเศร้าสลดนี้ จะเป็นวัตถุพยานสำคัญที่บ่งชี้ว่า อะไรเกิดขึ้นในคืนวันที่ 18 ธันวาคม กันแน่ และไอ้โม่งคนไหนมีส่วนต้องรับผิดชอบกับเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น

ลดภาษีแบรนด์เนม ดูดเงินนักช้อปต่างชาติ ดีหรือไม่?

ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้ค่อนข้างจะแน่ชัดแล้วว่า ภาคส่วนของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวเป็นภาคแรกหลังเกิดวิกฤตโรคระบาดใหญ่ คือภาคการท่องเที่ยว ตอนนี้มีคนเข้ามาประเทศไทยเพิ่มจากปี 2565 ถึง 151 เปอร์เซ็นต์ น่าสนใจมากครับ อันดับหนึ่งกลับกลายเป็นคนมาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ อินเดีย และ รัสเซีย ถึงตัวเลขจะน้อยกว่าช่วงการแพร่ระบาดของโควิดในปี 2562 แต่ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามามากถึง 40 ล้านคน ก็ต้องถือว่าทิศทางและแนวโน้มในการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นไปในทิศทางที่ดี เครดิตส่วนใหญ่ต้องยกให้กับคุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ดำเนินการเรื่องนี้จนเป็นผล


ตอนนี้รัฐบาลไทยพยายามจะปรับเรื่องภาษี ผมเห็นใจนายกฯ เศรษฐา ท่านผู้ชมบางท่านมีอคติกับรัฐบาลคุณเศรษฐา อคติกับนักท่องเที่ยวจีน พอได้ยินว่ามาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน ก็วิพากษ์วิจารณ์ทันทีเลยว่าเอากรุ๊ปทัวร์จีนมาอีกแล้ว เอาพวกขากถุยเข้ามาทำไม เดี๋ยวจีนเทาเข้ามาอีก เรื่องนี้ผมเคยพูดมาแล้ว ท่านผู้ชมที่มีความคิดแบบนี้ตั้งใจฟังให้ดีๆ

จีนเทาจะอยู่ในประเทศไทยไม่ได้ ถ้าเจ้าหน้าที่/ข้าราชการ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย เรื่อยไปจนถึงบรรดานักการเมืองของเรา ไม่เอาด้วย ไม่รับผลประโยชน์หรืออยู่เบื้องหลังการกระทำผิดกฎหมายของคนพวกนี้ ประการที่สอง ท่านผู้ชมลองไปถามคนที่อยู่ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้องดู ไม่ว่าจะเป็นไกด์ ทัวร์ ล่าม รถรับจ้าง พนักงานโรงแรม ธุรกิจขายของที่ระลึก Duty Free ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ เกาะสมุย หรือเมืองรองๆ อย่างเช่นกระบี่ พังงา ระยอง เชียงราย ขอนแก่น หนองคาย พวกเขาต่างเฝ้ารอนักท่องเที่ยวด้วยกันทั้งนั้น และท่านผู้ชมอย่าคิดว่านักท่องเที่ยวจีนเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มไร้คุณภาพ เป็นพวกทัวร์ศูนย์เหรียญ หรือไม่มีอำนาจซื้อ


ถ้าเราดูสถิติย้อนไปถึงก่อนโควิด คือปี 2562 นั้น คนที่อยู่ในวงการและรู้จริง เขารู้เลยว่านักท่องเที่ยวจีนมีสถิติการจับจ่ายใช้สอยเฉลี่ยต่อหัวต่อวันทัดเทียมกับฮ่องกง และสิงคโปร์ โดยมากกว่ายุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือไต้หวันเสียอีก

เพราะฉะนั้นแล้ว เวลามองเรื่องการท่องเที่ยว คนไทยบางส่วนจะมองเฉพาะในเรื่องปริมาณ จำนวน หรือใช้ความเชื่อ และทัศนคติเก่าๆ อคติ ในการมองการท่องเที่ยว แต่จริงๆ แล้วการมองเรื่องนี้ต้องลงไปถึงรายละเอียด พิจารณาจากข้อมูลข้อเท็จจริงด้วยว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรแล้ว และกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปทิศทางใดมากที่สุด

ทีนี้ การทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุดหรือมีรายได้มากที่สุดจากการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประเทศไทยเราต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างพื้นฐาน การบริการ การจัดอีเวนต์ การสร้างประสบการณ์ใหม่ ปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การเชื่อมต่อระบบคมนาคม รวมถึงการแก้ไขกฎระเบียบ กฎหมายหลายๆ อย่างด้วย


ยกตัวอย่างเช่น ในการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยว 26 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว (2566) ครม. มีมติเห็นชอบหลักการมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายตามที่กระทรวงการคลังเสนอมา ก็คือปรับภาษีหลายอย่าง

ผมเป็นคนที่เคยคิดเรื่องนี้มานานแล้ว ว่าถ้าเราจะเอาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนหรือประเทศทางเอเชียนั้น เราทำได้ไหมให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางของการชอปปิง เพราะสินค้าแบรนด์เนมทุกวันนี้คนก็ยังยึดถือว่าฮ่องกงเป็นจุดที่ราคาถูกที่สุด เมืองไทยนั้น ในข้อเท็จจริงแล้ว สินค้าแบรนด์เนมจะแพงกว่าฮ่องกงประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ผมก็เลยคิดตลอดเวลาว่า ถ้ารายได้จากภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยนี้เป็นตัวเลขที่ไม่มากนัก เป็นไปได้ไหมที่เราจะยกเลิกภาษีสินค้าแบรนด์เนม เพื่อให้ราคาสินค้าแบรนด์เนมราคาเท่ากับฮ่องกง ก็ปรากฏว่ามันก็เป็นตรรกะที่น่าจะฟังขึ้น แต่เผอิญพอผมตรวจสอบมา ผมได้มีโอกาสคุยกับท่านนายกฯ คุณเศรษฐา ทวีสิน ทางโทรศัพท์ ผมก็เสนอไอเดียนี้ไปให้เขา ท่านตอบอย่างนี้ครับ


ท่านตอบว่า ผมคิดอยู่แล้วที่จะยกเลิกภาษีนี้ไปเลย แต่ว่าผมก็เลยถามสินค้าแบรนด์เนมต่างๆ ผมถามเจ้าของ เอเยนต์ที่เอาเข้ามา ว่าถ้าผมลดภาษีเท่ากับ 0 ราคาคุณจะลดลงมาสู้ฮ่องกงได้ไหม ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเขาตอบว่าอย่างไร คุณเศรษฐาบอกว่าพวกเจ้าของแบรนด์ต่างๆ หรือเอเยนต์ตัวแทนแบรนด์ บอกว่า ลดภาษีดี แต่ว่าราคาไม่ลด ยังคงเหมือนเดิม ถ้าอย่างนั้นจะไปลดภาษีทำไม ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าราคาเราก็ยังคงแพงกว่าฮ่องกงอยู่ 15 เปอร์เซ็นต์

นอกจากอย่าไปลดแล้ว ถ้าความคิด ทัศนคติของเจ้าของแบรนด์คิดอย่างนี้ ผมกลับคิดว่าขึ้นภาษีไปเลย เพิ่มเติมเลย ให้มันแพงสุดกู่ไปเลย ท่านผู้ชม CHANEL ใบละสามแสนกว่าบาท ถ้าลดภาษีลง 15 เปอร์เซ็นต์ คนจีน มาเลเซีย มาเที่ยวประเทศไทยก็สามารถจะซื้อกระเป๋าใบหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น PRADA หรือจะเป็น GUCCI หรือไม่ว่าจะเป็น Hermès หรือไม่ว่าจะเป็นโน่นเป็นนี่ ซึ่งชาวบ้านคนเขานิยมใช้กัน ก็จะได้ไม่ต้องไปซื้อที่ฮ่องกง ถือโอกาสมาเที่ยว มาดูทิวทัศน์ มาชมวัฒนธรรม มาทานอาหารอร่อย แล้วก็มาซื้อของปลอดภาษี แบรนด์เนมที่ราคาเท่าฮ่องกง ก็ในเมื่อถ้าจะลดแล้ว เจ้าของแบรนด์ไม่ยอมลดตามให้ราคามันเท่าเทียมกัน ก็ไม่ต้องไปลด เพิ่มมันไปเลย ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม ก็จะมีแต่เศรษฐีเท่านั้นที่จะซื้อกัน ในเมื่อนักท่องเที่ยวเขาก็ไม่ซื้อ เพราะว่าเขาซื้อที่ฮ่องกงดีกว่า ก็มีแต่เศรษฐีไทยนี่ล่ะที่จะซื้อ ก็เพิ่มมันไปสูงๆ เลย รวยนักนี่ กระเป๋าใบละตั้งสามแสน มีปัญญาซื้อได้ ก็เพิ่มภาษีไปให้ขายสักสามแสนห้า สี่แสน ให้คนไทยถอยออกมาบ้าง ก็ดีเหมือนกัน คนไทยก็จะได้เลิกใช้สินค้าฟุ่มเฟือย

นั่นเป็นความคิดของผมเล็กๆ น้อยๆ ท่านผู้ชมเห็นว่าอย่างไร ลองคอมเมนต์มาหน่อยดีไหมครับ นี่คือความเห็นแก่ตัวของผู้ประกอบการ พอรัฐจะลดภาษี ก็ถามว่าถ้าอย่างนั้นคุณลดราคาตามได้ไหม นี่คือสิ่งที่คุณเศรษฐา ตรวจสอบไป สอบถามไป เขาบอกว่าไม่ลด จะเอาลูกเดียว เหมือนเรื่องธุรกิจพลังงาน ธุรกิจธนาคาร ร่ำรวยกันฉิบหายวายป่วงหมดเลยทุกวันนี้ ประเทศมีวิกฤตทีไร ประเภทนี้ สองหน่วยงานนี้ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารในประเทศไทย หรือฝ่ายพลังงาน จะร่ำรวยขึ้นมาเป็นพิเศษ นี่คือความเห็นแก่ตัวของคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ ไม่ได้คิดถึงภาพรวมของประเทศเลย

แบงก์ชาติ” จับมือ “แบงก์พาณิชย์” กระทืบประชาชน


ท่านผู้ชมครับ รายการตอนสุดท้ายของปี 2566 ที่ผ่านมา คือรายการตอนที่ 222 ผมได้บอกท่านผู้ชมไปแล้วใช่ไหมว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะที่น่าห่วงมาก เพราะประชาชนคนธรรมดาก็ตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากและเดือดร้อนมากจากภาวะค่าครองชีพที่มันสูงขึ้นทุกอย่าง ซึ่งผมก็แจกแจงให้ไปแล้วว่าปัจจัยหลักๆ ที่เป็นตัวผลักดันให้ค่าครองชีพของเราสูงขึ้นมานั้น ก็คือ หนึ่ง ค่าพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันรถ ค่าก๊าซ เพราะค่าพลังงานนั้นแฝงและฝังตัวอยู่ในค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ทุกกิจกรรมในชีวิตของพวกเราทุกคน ประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าจะกิน นอน ยืน เดิน นั่ง ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยพลังงานทั้งสิ้น


เรื่องที่สอง ต้นทุนชีวิตคือดอกเบี้ยธนาคาร ผมเคยพูดมาอย่างนี้ ท่านผู้ชมจำได้ไหม ท่านผู้ชมไม่เคยสังเกตหรือว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วงไหนที่มันตกต่ำ แต่ผลประกอบการของธนาคารทุกแห่ง ผลประกอบการของอุตสาหกรรมพลังงาน หุ้นพลังงาน จะกำไรมากๆ ทุกที และสังเกตยอดกำไรของ ปตท.นั้นจะกำไรมากๆ เลย ทุกครั้งที่น้ำมันโลกขึ้นราคาแล้วทำให้ต้นทุนทุกอย่างมันแพงไปหมด ปตท.ก็กำไรเอาๆ ค่าไฟก็เช่นกัน ค่าไฟนั้นเนื่องจากว่าทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง ก็มีการสะสมกำไรที่กินกำไรจากประชาชน หลักฐานพิสูจน์ชัดจากการประกอบการช่วง 9 เดือนแรกของปีที่แล้ว (2566) ว่ากลุ่ม ปตท. ทั้ง 7 บริษัท มี 1) ปตท. 2) ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 3) บริษัท ไทยออยล์ ซึ่งเป็นของ ปตท. 4) ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (โออาร์) 5) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) 6) IRPC และ 7) บริษัท PTT Global Chemical


ทั้งหมดนี้มีกำไรสุทธิรวมกันแล้ว 164,710 ล้านบาท เฉพาะไตรมาสที่ 3 ปีที่แล้ว มีกำไรสุทธิถึง 71,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้นไม่มากหรอกครับ เพิ่มขึ้น 291.7 เปอร์เซ็นต์ ผมอยากให้ท่านผู้ชมรอดูว่าเมื่อตัวเลขผลประกอบการทั้งปี 2566 ผลประกอบการที่ผมบอกไปเมื่อกี้ 3 ไตรมาสเองนะ ผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ยังไม่ออกมา แต่ถ้าออกมาแล้วเรารวม 7 บริษัทในกลุ่ม ปตท. จะมีกำไรกี่แสนล้านบาทกันแน่ ?

ไม่เพียงแต่ ปตท. เมื่อเราหันไปดูรัฐวิสาหกิจอย่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) ที่ผมพูดมาตั้งนานแล้ว ขณะที่ทุกคน ประชาชนทนทุกข์กับค่าไฟที่ขึ้นเอาๆ แต่บรรดาการไฟฟ้ากลับกำไรบานเบอะ ยกตัวอย่างง่ายๆ พอเปิดงบการเงิน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตของประเทศไทย ในปีงบประมาณ 2566 และคาดการณ์ในปี 2567 งบการเงินที่ยังไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ระบุว่า ปี 2566 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ มีรายได้ 798,126.14 ล้านบาท มีรายจ่าย 769,117.85 ล้านบาท กำไรสุทธิ แค่ 29,000 ล้านบาทเท่านั้น นำส่งรายได้เข้ารัฐ 50 เปอร์เซ็นต์ ของกำไร


ปี 67 กฟผ. คาดว่าจะมีรายได้ 769,277 ล้านบาท รายจ่าย (นี่คือการคาดคะเนของ กฟผ. เอง) รายจ่าย 729,438 ล้านบาท กำไรสุทธิ 39,000 กว่าล้านบาท หรือเกือบ 4 หมื่นล้านบาท ท่านผู้ชมดูสิ กำไรเพิ่มกว่าปีที่แล้วอีก

ย้อนหลังกลับไป 4 ปี เราพบว่า 2565 กำไรสุทธิ 42,000 ล้านบาท 2564 กำไรสุทธิ 25,770 ล้านบาท 2563 กำไรสุทธิ 25,480 ล้านบาท ปี 63 กำไรที่ลดลง 19,000 ล้านบาท เนื่องจากว่าปีก่อนหน้านั้นเพราะสนับสนุนมาตรการช่วยผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิดตามนโยบายรัฐมนตรีฯ พลังงาน ยุคนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ที่ท่านฟังคำแนะนำของผมผ่านรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ปี 62 กำไรสุทธิประมาณ 45,000 ล้านบาท


ประเด็นครับ พวกคุณที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ผูกขาดการผลิตไฟฟ้าอยู่เจ้าเดียว กำหนดราคาค่าไฟต่างๆ ก็ใช้พรรคพวกเดียวกันเอง คือคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ตั้งราคามากระทืบประชาชน ตอนนั้นก็บอกว่าต้นทุนสูง แต่พอสิ้นสุดแล้ว มันโกหก งบดุลไม่ได้ คุณก็กำไรปีละ 3-4 หมื่นล้านบาท คุณอ้างว่าคุณส่งเงินเข้าคลัง 50 เปอร์เซ็นต์ แต่พวกคุณยังนั่งอยู่บนกองเงินกองกำไรอีกหลายหมื่นล้าน แล้วเอาไปทำอะไรล่ะครับ ? เอาไปแจกกำไร โบนัส สวัสดิการกันเอง ส่วนประชาชนนั้นต้องลุ้นอยู่ทุกเดือนว่าค่าไฟจะขึ้นอีกเท่าไร

สโลแกนที่พวกคุณใช้ บอกว่าผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทย มันไม่ใช่ครับ ท่านผู้ชมเห็นด้วยไหม สโลแกนที่ว่าผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทย มันต้องเปลี่ยนเป็น "ผูกขาดการผลิตไฟฟ้าเพื่อกระทืบคนไทย" มากกว่า

เรื่องพลังงานนั้นผมขอพักเอาไว้ก่อน เพราะผม กับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และทีมงาน ได้เตรียมข้อมูลเรื่องปัญหาโครงสร้างพลังงางนเอาไว้แบบเต็มๆ จะต้องใช้เวลาในการนำเสนอเป็นตอนใหญ่ อยากให้คนที่เป็นหัวแถวเรื่องการกำกับดูแลอย่างคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งดูแลเรื่องพลังงานโดยตรง นำไปคิดปรับใช้ดู จะได้ไม่ต้องมายึกๆ ยักๆ ปรับลดค่าน้ำมัน ปรับลดค่าไฟ ลดภาษีเป็นขยักๆ แต่ไม่ยั่งยืนเลยแม้แต่นิดเดียว

เอาล่ะ ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมขอมาพูดอีกภาคส่วนหนึ่งที่รุมกระทืบประชาชนมายาวนานไม่แพ้พวกบริษัทพลังงาน นั่นคือบรรดาธนาคารพาณิชย์


ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเปิดปีใหม่ 2567 เพียงไม่กี่วัน ก็มีการเปิดเผยออกมาทันทีจากบรรดานักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ทั้งหลาย ชี้ให้เห็นว่าขณะที่เศรษฐกิจไทยในภาพรวมรอบปี 2566 นั้น มีปัญหาการเติบโตที่ชะงักงัน กล่าวคือ จากปัจจัยทั้งภายในและต่างประเทศ เศรษฐกิจน่าจะโต 2.7-3 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ภาวะปากท้องของประชาชนค่อนข้างจะยากลำบาก กำลังซื้อก็หดตัวลงจากภาวะเงินเฟ้อ เศรษฐกิจก็ฝืดเคือง ส่วนคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจในปี 2567 ก็ค่อนข้างจะตกอยู่ในสภาวะมืดมนไม่ต่างกว่าปี 2566 เท่าไรนัก

อย่างไรก็ตาม จากผลประกอบการของบรรดาธนาคารพาณิชย์ใหญ่ๆ ทั้งหลายในรอบปีที่แล้ว (2566) ท่านผู้ชมเชื่อไหม อย่าตกใจนะ มีการประเมินว่าอาจจะสูงที่สุดในประวัติการณ์เลย เขาคาดการณ์ว่ากำไรของบรรดาธนาคารพาณิชย์ในปี 2566 จะสูงถึง 220,000 กว่าล้านบาท ตัวเลขดังกล่าว 2566 กำไรสูงกว่าปี 2565 ถึง 18.5 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขดังกล่าวถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจธนาคาร ในอดีตท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตัวเลขกำไรสูงสุดในช่วงปี 2557 ที่ตัวเลขกำไรอยู่ในระดับ 190,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง


ธนาคารที่คาดว่าจะมีกำไรสูงสุด 5 อันดับแรก หนึ่ง ไทยพาณิชย์ กำไร 41,000 ล้านบาท เติบโต 11 เปอร์เซ็นต์ สอง ธนาคารกรุงเทพ กำไร 40,000 ล้านบาท เติบโต 37 เปอร์เซ็นต์ กสิกรไทย กำไร 38,500 ล้านบาท เติบโต 8 เปอร์เซ็นต์ กรุงไทย กำไร 38,400 ล้านบาท เติบโต 14 เปอร์เซ็นต์ กรุงศรีอยุธยา กำไร 32,100 ล้านบาท เติบโต 5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อรวมกำไรจากธนาคารพษิชย์ทั่วประเทศแล้วทั้งระบบ คาดว่าจะกำไรที่ 220,000 ล้านบาท

ท่านผู้ชมครับ ปัจจัยในการสนับสนุนการเติบโตของกำไรแบงก์ในปี 2566 คืออะไร ? เดาได้ไม่ยาก คือส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก หรือที่เขาเรียกว่า สเปรด (Spread) นั่นเอง

บรรดาแบงก์พาณิชย์ไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย แบงก์ชาตินั้นก็รู้ว่าเป็นจุดอ่อนที่พวกตัวเองจะถูกโจมตี ก็ใช้วิชามาร แบงก์ชาติหยิบยกศัพท์อื่นขึ้นมา คือคำว่า "ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย" เขาเรียกว่า Net Interest Rate Margin (NIM) เพื่อบอกว่าการรับเงินฝากและปล่อยเงินกู้นั้นมีต้นทุน มีค่าใช้จ่าย จะคำนวณเฉพาะส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝากไม่ได้ ท่านผู้ชม ทะลึ่งฉิบหายเลยแบงก์ชาตินี่ ผมปวดหัวกับมันมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยโบราณ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้นี้ไม่ได้ต่างกันมากนัก ไม่ว่าคุณจะเรียกมันว่า SPREAD หรือ NIM ก็ตาม เพราะส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝากที่มากมายมหาศาลของไทยนั้น ส่งเสริมให้แม้เศรษฐกิจไทยจะแย่แค่ไหน ยิ่งแย่ พวกคุณก็ยิ่งกำไรมากขึ้น


ปี 2567 เขาคาดการณ์ว่ากำไรแบงก์ก็โตต่อ จะเพิ่มอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย หรือ NIM ก็ยังไม่ลดลง เฉพาะไตรมาสแรก คือ 3 เดือนแรกของปี 2567 นี้ แบงก์พาณิชย์น่าจะกำไรเป็นประวัติการณ์เลย

ถามต่อ แล้วแบงก์ชาติ หรือธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไร ? หรือกำลังอมสากกะเบืออยู่ เหมือนกับที่พอมีข้อมูลขึ้นมาแล้ว ที่ตบหน้าตัวเอง ก็ทำเป็นบ้าใบ้ คิดคำศัพท์ใหม่ๆ มาแก้ตัวให้แบงก์พาณิชย์ตลอดเวลา


คนที่อธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจง่ายๆ คือ ดร.อาร์ม ดร.อัครเวช โชตินฤมล นักธุรกิจและนักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์

ดร.อาร์ม อธิบายในเพจ Arm's Finance เมื่อวันอังคารที่ 9 มกราคม ว่า ประเด็นคือแบงก์ชาติเป็นผู้คุมชะตาดอกเบี้ยนโยบาย เขาเรียกว่า Policy Rate อยู่ โดยนโยบายดอกเบี้ยนโยบายอันนี้จะประกาศโดยแบงก์ชาติ ส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารพาณิชย์ใช้เรียกเก็บจากลูกหนี้ นั่นหมายถึงธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเงินกู้จากพวกเราสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ

ในทางปฏิบัติ ประชาชนอย่างพวกเรายังผ่อนชำระต่อเดือนเท่าเดิม แต่เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เงินที่พวกเราผ่อนต่อเดือนจะเป็นดอกเบี้ยจ่ายมากขึ้น ผู้ชมจะเห็นข่าวเป็นระยะๆ ว่า เรื่องผ่อนบ้านแต่ที่กลายเป็นดอกเบี้ยเสียมาก หักเงินต้นแค่น้อยนิด เมื่อเงินแต่ละเดือนๆ ที่เราผ่อนจ่ายแบงก์กลายเป็นดอกเบี้ยเสียมาก ตัดเงินต้นเป็นส่วนน้อย ธนาคารพาณิชย์ก็จะรับรายได้ดอกเบี้ยมากขึ้น กำไรแบงก์พาณิชย์ก็เลยมากขึ้น

เมื่อเงินต้นลดน้อยลง ธนาคารคงสถานะเป็นเจ้าหนี้มากขึ้น ยอดเงินกู้จะคงสูงอยู่ในบัญชีธนาคาร และลดความจำเป็นในการปล่อยกู้ใหม่ เงินก็จะไหลออกมาสู่ระบบเศรษฐกิจน้อยลง


เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ เมื่อดอกเบี้ยนโยบายที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ปรับขึ้น ปัญหาหนี้สินประชาชนจะทอดยาวออกไป ธนาคารกำไรสูงขึ้นนั้น สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจก็จะลดลง อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็จะลดลง

ด้วยเหตุนี้ ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่หลังจากมีการประกาศคาดการณ์กำไรธนาคารพาณิชย์ปี 2566 ว่าน่าจะสูงถึง 220,000 ล้านบาท คุณเศรษฐา ทวีสิน ถึงออกมาให้ความเห็นผ่านบัญชีทวิตเตอร์ X ว่า "จากการที่แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยทั้งๆ ที่เงินเฟ้อติดลบติดต่อกันหลายๆ เดือนนั้น ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจเลย และยังมีผลกระทบต่อประชาชนที่มีรายได้น้อย และ SME อีกด้วย ผมจึงอยากให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูราคาสินค้าเกษตรบางชนิดให้เหมาะสม เพราะอาจจะต่ำไปก็ได้ และหวังว่าแบงก์ชาติจะช่วยดูแลประชาชน ไม่ขึ้นดอกเบี้ยสวนทางกับเงินเฟ้อนะครับ" ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยัง


การผ่อนบ้าน ผมอธิบายตามภาษาชาวบ้านแล้วกัน สมมุติว่าท่านผู้ชมผ่อนบ้าน 12,000 บาท ตัดเงินดอกเบี้ยไปประมาณ 10,000 หรือ 11,000 บาท แต่อีก 1,000 บาท ตัดเงินต้นไป จริงๆ แล้วถ้าแบงก์ต้องการช่วยประชาชน แล้วแบงก์ยังมีกำไรอยู่เหมือนเดิม เงินต้นที่ตัดไป 1,000 บาท ต้องเพิ่มเงินต้นออกมาสักประมาณ 4,000-5,000 บาท เกินกว่าครึ่งนั้นก็คือดอกเบี้ย เพราะฉะนั้นแล้ว เงินต้นก็ยังอยู่เหมือนเดิม หายไปนิดเดียว แต่ดอกเบี้ยกินอยู่ทุกเดือนๆๆ แบงก์มันถึงกำไรฉิบหายเลยไง ท่านผู้ชม นี่คือแบงก์ชาติแห่งประเทศไทย ธนาคารนี้ผมไม่อยากจะใช้คำหยาบ เอาอกเอาใจธนาคาร อยากให้ธนาคารร่ำรวยฉิบหาย แต่ไม่คิดถึงความยากจนข้นแค้นของประชาชน มนุษย์เงินเดือน ผมเจอมาตลอด ไปจ่ายเงินค่างวดของบ้าน ตายล่ะ 8,000 บาท หักเป็นดอกเบี้ย 7,000-7,500 บาท เงินต้น 500 บาท มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว ถามว่าทำไมคุณไม่แบ่งจากดอกเบี้ยนั้นออกไปให้มากขึ้น เป็นเงินต้นอีกสักหน่อย เงินต้นจะได้ลดลง น้อยลง ประชาชนในอนาคตก็จะได้อยู่ได้สบาย มีเงินเหลือใช้

ประเด็น ผม สนธิ ลิ้มทองกุล พูดเรื่องปัญหาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับเงินฝากของแบงก์พาณิชย์ไทยมานานแล้ว ว่าเป็นตัวปัญหา พวกนี้ทำตัวเป็นเสือนอนกิน เป็นตัวฉุดรั้งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ภายใต้การสนับสนุนของผู้คุมนโยบายการเงินภาครัฐ นั่นคือธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ผมพูดเรื่องนี้มาอย่างน้อยตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 พูดมา 26-27 ปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยคนในแบงก์ชาติปัจจุบันยังแก้ผ้าเล่นน้ำฝนอยู่ เรียนหนังสืออยู่ชั้นประถม หรือมัธยมอยู่เสียด้วยซ้ำ คนแบงก์ชาติชอบทำตัวเหมือนผู้สูงศักดิ์ นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง มองตัวเองว่าเป็นอิสระ เป็นผู้รักษาเสถียรภาพทางการเงิน เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แต่แท้ที่จริงแล้วปัญหาวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ที่กลายเป็นวิกฤตใหญ่ มีคนต้องล้มละลายและล้มตายเป็นจำนวนมาก ก็เพราะความโอหังมมังการของแบงก์ชาติที่คิดว่าตัวเองแน่อยู่คนเดียวของคนแบงก์ชาตินั่นเอง


มาถึงวันนี้พวกแบงก์ชาติทำตัวเหมือนเดิม นอกจากจะทำตัวเป็นผู้สูงศักดิ์ นั่งอยู่ที่วังบางขุนพรหมแล้ว ยังสมคมคิดกับพ่อค้า นายแบงก์ จับประชาชนเป็นตัวประกัน ล่ามโซ่ไว้ด้วยนโยบายดอกเบี้ยที่มีส่วนต่างระหว่างเงินกู้กับเงินฝากสูง ทำให้พวกนายทุน นายแบงก์ร่ำรวยมั่งคั่ง ทำนาบนหลังคน เสวยสุขบนทุกข์ยากของประชาชน

ท่านผู้ชมครับ ถ้ามันจะลดส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้ลงมา สมมุติว่าจากการที่แบงก์มีส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้ประมาณ 6-7 เปอร์เซ็นต์ ลดให้มันเหลือส่วนต่าง 3 เปอร์เซ็นต์ แล้วที่คุณอ้างว่ามันมีต้นทุนค่าใช้จ่าย ก็ 3 เปอร์เซ็นต์ของกำไรตรงส่วนดอกเบี้ย คุณบริหารจัดการให้ดีสิ ถ้าแบงก์คุณไม่สามารถที่จะบริหารจัดการได้ภายใต้ 3 เปอร์เซ็นต์ของกำไร แบงก์นั้นก็ไม่ควรอยู่ ใช่ไหม แสดงว่ามันไร้ประสิทธิภาพใช่ไหม ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยัง นี่ยังไม่พูดถึงบัตรเครดิตอีกนะ ที่เตะซ้าย กระทืบลงไป ศอกลงบนกบาลประชาชน ตีเข่าอัดหน้าอกอีก

สงคราม รัสเซีย - ยูเครน "มันจบแล้วครับนาย"

วันนี้มีเรื่องราวต่างประเทศสั้นๆ 2-3 เรื่อง ที่ผมคิดว่าต้องอัปเดตให้ท่านผู้ชมรู้ เพราะว่า FC ของ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" นั้น เป็น FC ที่จำเป็นต้องรอบรู้เรื่องในประเทศและเรื่องรอบโลก

วันนี้ผมจะสรุปสงครามยูเครนให้ สรุปง่ายๆ "สงครามยูเครนมันจบแล้วครับนาย"


ในแง่ความเป็นจริงทางการทหารเป็นที่ยอมรับว่ายูเครนได้พ่ายแพ้สงครามแล้ว หลังจากพยายามสู้กับกองทัพรัสเซีย ซึ่งได้บุกเข้าไปปฏิบัติการพิเศษนับตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 (เดือนหน้าจะครบสองปีแล้ว)

ยูเครนได้รับการหนุนหลังจากกลุ่มประเทศนาโต และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งสหราชอาณาจักร คืองานนี้ทั้งหมดมารุมกินโต๊ะรัสเซีย แต่พอสงครามผ่านไปแล้ว ในที่สุดแล้วรัสเซีย ซึ่งมีแสนยานุภาพที่เหนือกว่า มียุทธวิธีที่เหนือกว่า มียุทธศาสตร์ที่เหนือกว่า ในเชิงสงครามรัสเซียก็ยึดทางภาคตะวันออก คือ ดอนบาส ออกไปทั้งหมด 25 เปอร์เซ็นต์ ยูเครนพินาศย่อยยับ สูญเสียพื้นที่การยึดครอง เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์สำหรับการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม มีแร่ธาตุสำคัญมากมาย


ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าทำไมเยอรมนีถึงพยายามดิ้นรนที่จะสนับสนุนยูเครนตลอดเวลา ? เพราะว่าแคว้นดอนบาสที่รัสเซียยึดไปนั้น มันเป็นแหล่งแบตเตอรีลิเธียมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเยอรมนีต้องการที่จะยึดสัมปทานนี้ไป เพราะว่าในการสงครามนั้น เยอรมนีอ้างว่าได้ให้เงินกับยูเครนมาก เพราะฉะนั้นเมื่อสงครามจบแล้วดอนบาสยังเป็นของยูเครน ต้องยกตรงนี้ให้กับเยอรมนี เพราะว่ามีแร่ลิเธียม แต่เสียใจด้วยนะครับ รัสเซียเป็นเจ้าของดอนบาสอยู่ตอนนี้


สองปีที่ทหารยูเครนตายไปเกือบห้าแสนคน ถ้าเปรียบเสมือนนักมวยแล้ว ยูเครนอยู่ในสภาพโดน Technical Knock Out โดนนับสั้น นับยาว กรรมการหลายครั้ง หน้าตาแตก พี่เลี้ยงอยากให้ยอมแพ้ แต่นายเซเลนสกี ตัวตลกของโลก ก็ยังเที่ยวไปเพ้อฝันหวังจะมีปาฏิหาริย์ชนะรัสเซียได้ 


ปาฏิหาริย์ไม่เกิดหรอก อเมริกาและยุโรปประกาศไม่มีเงินช่วยเหลือได้อีกแล้ว โจ ไบเดน พยายามจะตั้งงบประมาณช่วยยูเครน 61,000 ล้าน หรือ 2.13 ล้านล้านบาท แต่สภาคองเกรสไม่อนุมัติ ยุโรปตั้งงบช่วยเหลือไว้ 55,000 ล้านดอลลาร์ เป็นระยะเวลา 4 ปี ก็โดนขวางโดยกรรมการของนาโต และอียู ก็คือฮังการี อเมริกาตอนนี้เริ่มกระบวนการ "เททิ้ง" ยูเครนแล้ว พูดออกมาว่าต้องช่วยเหลือตัวเอง


ทั้งอเมริกา และยุโรป ตอนนี้กำลังวิ่งหนียูเครน เซเลนสกีกลายเป็นตัวเสนียดจัญไร ประชากรยูเครนเคยมี 45 ล้านคน เหลือแค่ 30 ล้านคน ล่าสุดยูเครนมีแผนจะเกณฑ์ผู้หญิง 50,000 คน เข้าเป็นทหารเพื่อสู้กับกองทัพรัสเซีย ท่านผู้ชมฟังดู ตลกและเศร้าไหม ? ก็คือเซเลนสกีกะจะรบกับรัสเซียจนกระทั่งคนยูเครนไม่มีเหลือเลยแม้แต่คนเดียว


ฝ่ายตะวันตกเชื่อว่าคงอีกไม่กี่เดือน หลังจากเกิดสงครามที่รัสเซีย โม้เลยว่าเศรษฐกิจรัสเซียจะต้องพังทลาย แต่ปรากฏว่าเศรษฐกิจรัสเซียกลับดีวันดีคืน มิหนำซ้ำยังแข็งแกร่งกว่าสภาพตอนก่อนสงครามกับยูเครน เพระาสามารถพึ่งตัวเองได้อย่างดี มีทุกอย่างพร้อม ขณะที่โลกตะวันตกสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ประชาชนยากจนลง

ตอนนี้ยุโรป และอเมริกา สนใจจะช่วยอิสราเอลมากกว่า และก็เททิ้งยูเครนไปเรียบร้อยแล้ว

สงครามอสราเอล-ฮามาสลาม "เนทันยาฮู" มุ่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์


ท่านผู้ชมครับ นับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2566 จนถึงวันนี้ สงครามระหว่างอิสราเอล กับ ฮามาส ผ่านไปแล้ว 3 เดือน แทนที่สงครามจะจบลงตามที่อิสราเอลคุยโวเอาไว้ นับวันสงครามยิ่งเพิ่มความเข้มข้น ยังไม่ได้จำกัดเฉพาะอิสราเอลกับฮามาสในฉนวนกาซา ขยายวงไปหลายพื้นที่ทางตะวันออกกลางด้วย ขยายแนวรบออกเป็นวงกว้าง ในฉนวนกาซาตอนนี้อิสราเอลก็ยังคงเดินหน้าโจมตีในกาซา ทั้งทางภาคพื้นดิน และทางอากาศ ทุกวัน เป็นอย่างนี้มาหลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังเอาฮามาสไม่ลง เนื่องจากว่ากลุ่มฮามาสใช้ยุทธวิธีสงครามกองโจรและการขุดโพรงเก่าอุโมงค์ใต้ดิน


ผมเคยบอกไปแล้วว่ายากที่จะทำลายได้ แต่อิสราเอลก็ทำร้าย ทำลายประชาชนชาวปาเลสไตน์ที่ไม่รู้เรื่องด้วยการระเบิดถล่มลง จนเดี๋ยวนี้ประชาชน คนแก่ ผู้หญิง เด็ก ส่วนใหญ่ตายไปแล้ว 22,000 คน ชาวปาเลสไตน์กว่า 1.5 ล้านคน ไม่มีที่อยู่

ตอนนี้มีสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ทางตอนเหนือของอิสราเอล ซึ่งติดกับเลบานอนและที่ราบสูงโกลัน ของซีเรีย สงครามในเลบานอนลึกเข้าไปถึงเมืองหลวงของเลบานอน ซึ่งอิสราเอลบุกเข้าไปสังการแกนนำกลุ่มฮามาสถึงกรุงเบรุต อิสราเอลยังโจมตีทางอากาศใส่พื้นที่รอบนอก กรุงดามัสกัสถูกโจมตี ทำให้ที่ปรึกษาระดับสูงกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่านเสียชีวิตไป อิสราเอลโจมตีทางอากาศที่เวสต์แบงก์ อ้างว่าเป็นฐานปฏิบัติการของชาวปาเลสไตน์

ลุกลามไปถึงกลุ่มฮูตี ประเทศเยเมน ซึ่งยืนอยู่ข้างกลุ่มฮามาส ปฏิบัติการโจมตีเรือสินค้าที่ผ่านทะเลแดง ตอบโต้อิสราเอล และขู่จะโจมตีเรือรบสหรัฐฯ และพันธมิตรด้วย


ประเด็น ปัญหาสำคัญที่สุดคือทะเลแดงนั้นเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญ เปรียบเสมือนเป็นเส้นเลือดใหญ่เชื่อมต่อระหว่างยุโรปกับเอเชีย โดยพื้นที่ทางใต้ ช่องแคบ Bab el-Mandeb ส่วนตอนเหนือคือคลองสุเอซ สามารถเชื่อมต่อทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ออกสู่ประเทศในยุโรป ถ้าไม่ใช้เส้นทางนี้จะต้องวิ่งอ้อมแหลม Cape of Good Hope ทางใต้ทวีปแอฟริกา เสียเวลาเพิ่มอีกประมาณ 10-14 วัน จะทำให้สินค้าทางการเกษตรเสียหาย ต้นทุนการขนส่งเพิ่มอีกเท่าตัว ต้นทุนสินค้าต้องเพิ่มตาม

ถ้าเรือบรรทุกสินค้าไม่สามารถขนส่งผ่านทะเลแดงจะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกแน่ๆ ทำให้อเมริกาตั้งกองกำลังผสมเข้ามาปฏิบัติการร่วมเพื่อรับมือกลุ่มฮูตี 10 ประเทศพันธมิตร แต่ว่ามีคนเข้ามาร่วมน้อยมาก บางคนรับปากจะเข้ามาร่วม ก็ส่งคนเข้ามาแค่ 10 คน ไม่เท่านั้น การโจมตีทะเลแดงมีผลเบี้ยประกันภัยสูงขึ้น เพราะเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงให้บริษัทขนส่งสินค้ายุโรปทยอยระงับการเดินเรือชั่วคราว

เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าแนวรบทางทะเลแดงลุกลามยืดเยื้อ จะสร้างความเสียหายต่อการค้าโลก เป็นปัญหาทางห่วงโซ่อุปทานที่เลวร้ายลงไปอีก


นี่คือเหตุการณ์ล่าสุด ซึ่งยังรบกันอยู่ ผมเล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่หรือ ท่านผู้ชมสังเกตอะไรไหม ถ้าท่านผู้ชมสังเกต อ่านข่าว และติดตามข่าวตลอดเวลา อิสราเอลไม่กล้ารายงานการต่อสู้ทางภาคพื้นดินเลย เพราะว่าตัวเองพ่ายแพ้หมด ทหารอิสราเอลบาดเจ็บสาหัส พิการไปร่วม 2 หมื่นคนแล้ว เสียชีวิตเท่าไรไม่ทราบ เพราะว่าทางอิสราเอลควบคุม เซ็นเซอร์ข่าว นักข่าวที่จะไปทำข่าวในอิสราเอลนั้นจะต้องเดินตามทหารอิสราเอลไป แล้วฟังการอธิบายข้อมูลจากทหารอิสราเอลเท่านั้น แต่ทางฮามาสก็จะส่งคลิปวิดีโอที่ตัวเองฆ่าทหารอิสราเอลตาย ทำลายรถถังเป็นร้อยๆ คัน พังทลายหมด

นายพลระดับสูงของอเมริกา ของอังกฤษ ของอิสราเอล ระดับถึงผู้บังคับกองพันถูกนักแม่นปืน สไนเปอร์ชาวฮามาส ยิงเสียชีวิตเป็นสิบๆ ศพ ฮิซบอลเลาะห์ถล่มขีปนาวุธใส่เมืองเทลอาวีฟทั้งเมือง เพราะว่าไอออนโดมถูกจรวดถล่มจนทำงานไม่ได้ แต่ข่าวนี้ทางตะวันตกไม่ออกมาเลย


ตอนนี้เกิดปัญหาใหญ่ ก็คือว่า เนทันยาฮู ต้องการขยายแนวรบ เพื่อลากอเมริกาเข้ามาเกี่ยวข้องในสงครามนี้ด้วย และอเมริกาก็กลัว อิสราเอลต้องการที่จะรบทั้งฮามาส ปาเลสไตน์ และฮิซบอลเลาะห์ที่เลบานอน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญ แม้กระทั่งสื่อมวลชนอย่างนิวยอร์กไทมส์ หรือวอชิงตันโพสต์ ก็บอกว่าอย่างไรก็ทำไม่ได้ แพ้แน่นอน

ท่านผู้ชมครับ ในขณะนี้ปัญหาใหญ่ทึ่สุดของสงครามนี้คือปัญหาของนายเนทันยาฮู ถ้านายเนทันยาฮู ไม่อยู่ หลุดออกไป การเจรจาเพื่อสันติภาพแล้วเปิดให้มีประเทศ 2 ประเทศ อิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ ในกาซา ในดินแดนนั้น ต่างฝ่ายต่างไม่ยุ่งซึ่งกันและกัน ก็จะระงับการนองเลือดได้ แต่นายเนทันยาฮูไม่ต้องการ เป็นฆาตกรฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่แท้จริง ที่สนับสนุนโดยอเมริกาและกลุ่มอียู

จับตา “เลือกตั้งไต้หวัน”

ท่านผู้ชมครับ วันที่ 13 คือวันเสาร์ จะมีการเลือกตั้งที่ไต้หวัน ดึกๆ วันเสาร์ก็น่าจะรู้ผลแล้ว มีตัวแทนอยู่ 3 คน พรรคก๊กมินตั๋ง โดยนายโหว โหย่วอี๋ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไต้หวัน และได้รับเลือกตั้ง อดีตมาเล่นการเมืองได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการนครนิวไทเป คนที่สอง คือพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า หรือ พรรคของนางไช่ อิงเหวิน หมิน จิงตั๋ง ส่งรองประธานาธิบดีชื่อ นายไล่ ชิงเต๋อ ซึ่งเป็นหมอ ผันตัวมาเป็นนักการเมือง เคยเป็นผู้ว่านครไถหนาน เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันเป็นรองประธานาธิบดีอยู่

โหว โหย่วอี๋
เขาบอกว่าตามโพลแล้ว นายไล่ ชิงเต๋อ ของพรรคนางไช่ อิงเหวิน มีโอกาสชนะมากกว่า ฐานเสียงของ 2 พรรคใหญ่แบ่งข้างชัดเจน พรรคก๊กมินตั๋งมีฐานเสียงจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม กลุ่มธุรกิจ และชนชั้นกลาง ผู้สูงอายุ คนที่อพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ รวมทั้งคนที่มีธุรกิจและความผูกพันกับจีน

พรรคประชาธิปัตย์ก้าวหน้ามีฐานเสียงกลุ่มเสรีนิยม กลุ่มทุนใหม่ หนุ่มสาวรุ่นใหม่ และคนที่เกิดขึ้นมาช่วงหลัง ที่บอกตัวเองเป็นคนไต้หวัน ไม่ใช่คนจีน

นายไล่ ชิงเต๋อ
ในเชิงพื้นที่แล้ว พรรคก๊กมินตั๋งยึดพื้นที่ทางเหนือของไต้หวันที่เป็นเมืองใหญ่ ส่วนพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าจะยึดพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งจะมีความเป็นท้องถิ่นสูง จนมีคำกล่าวว่า ภาคเหนือสีน้ำเงิน ภาคใต้สีเขียว ก็คือพรรคก๊กมินตั๋ง สีน้ำเงิน ฝ่ายประชาธิปไตยก้าวหน้าคือสีเขียว


สาเหตุที่นายไล่ ชิงเต๋อ มีโอกาสชนะเลือกตั้งสูง เพราะหนึ่้ง ในการเลือกตั้งครั้งนี้มันทะลึ่งมีพรรคขั้วที่สาม คือ พรรคประชาชนไต้หวัน ทำให้ฐานเสียงของพรรคอนุรักษ์นิยมแตก คนที่ลงสมัครในพรรคนี้ คือ นายเคอ เหวินเจ๋อ หัวหน้าพรรคประชาชนไต้หวัน เดิมทีเขาเป็นหัวหน้าคณะแพทย์ประจำตัวอดีตประธานาธิบดีไต้หวัน เฉิน สุ่ยเปียน จากนั้นก็มาเล่นการเมือง เคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่ากรุงไทเป ในนามอิสระ

ต่อมา นายเคอ เหวินเจ๋อ ได้เปลี่ยนท่าทีจากความเป็นพรรคก้าวหน้า ไปเป็นอนุรักษ์นิยม จนชนะเลือกตั้ง ได้เป็นผู้ว่าการกรุงไทเป สมัยที่สอง และมาลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้

นายเคอ เหวินเจ๋อ
เคอ เหวินเจ๋อ แย่งฐานเสียงของพรรคก๊กมินตั๋ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนวัยรุ่น ชนชั้นกลาง หาเสียงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ด่าทั้งสองพรรค คือด่าพรรคก๊กมินตั๋ง และด่าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า

การมีขั้วที่สามส่งผลต่อพรรคก๊กมินตั๋งมาก เพราะว่าฐานเสียงฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่เข้มแข็ง ไม่กระตือรือร้นเท่าฝ่ายพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า

สอง ผู้สมัครพรรคก๊กมินตั๋ง ไม่โดดเด่น นายโหว โหย่วอี๋ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไต้หวัน เมื่อเป็นนักการเมืองก็ไม่มีผลงานอะไรดีเด่น โพลทุกครั้งทำออกมา นายไล่ ชิงเต๋อ ก็จะเป็นผู้นำตลอดเวลา


สิ่งที่ต้องจับตาดูในการเลือกตั้งครั้งนี้มี 2 เรื่อง นายไล่ ชิงเต๋อ จะชนะด้วยคะแนนเสียงเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คือได้คะแนนเสียงมากกว่าคู่แข่งอีกสองคนรวมกันหรือเปล่า ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นฉันทามติของประชาชนชาวไต้หวันว่าต้องการเขาเป็นประธานาธิบดีจริงๆ ไม่ใช่เพราะว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมตัดคะแนนเสียงกันเองจนได้เป็นประธานาธิบดีส้มหล่น ก็คือว่าถ้าพรรคสีเขียวได้คะแนนเสียงมามากกว่าอีกสองคนรวมกันแล้ว ก็แสดงว่านั่นคือฉันทามติ

อีกประการหนึ่งก็คือว่า พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า พรรคสีเขียว ของนางไช่ อิงเหวิน จะได้เสียง สส. เกินครึ่งในสภาฯ หรือเปล่า สภาฯ ชุดปัจจุบันที่เลือกตั้งเมื่อปี 2563 จำนวน 113 คน พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้ามีเสียงเกินครึ่ง คือ 61 คน พรรก๊กมินตั๋ง มี 38 คน แต่สองปีต่อมา ในการเลือกตั้งท้องถิ่น วันที่ 26 พฤศจิกายน 2565 พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า พ่ายแพ้ย่อยยับที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรรค ไต้หวันกลับมาเป็นสีน้ำเงิน พรรคก๊กมินตั๋งอีกครั้ง เหลือแต่พื้นที่ทางใต้ที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้ายังรักษาฐานเสียงเอาไว้ได้


ถึงแม้นายไล่ ชิงเต่อ จะได้เป็นประธานาธิบดี แต่ถ้ามีเสียง สส. ในสภาฯ ไม่เกินครึ่ง ก็จะทำให้การทำงานของรัฐบาลยากลำบากมาก ภาพการประท้วงป่วนสภาฯ ทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นลงไม้ลงมือกันกลางสภาฯ แบบในอดีตอาจจะต้องหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะสภาฯ ไต้หวันมีชื่อมากในเรื่องการชกต่อยกัน ผู้หญิงกระโดดถีบผู้ชาย ผู้ชายตบหน้าผู้หญิง มีอยู่เรื่อย


ไช่ อิงเหวิน และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ใช้นโยบายว่า "จีนคุกคาม" เลือกข้างตะวันตก ยั่วยุจีน เชิญนักการเมืองชาติตะวันตกมาเยือนไต้หวันอย่างถี่ยิบ ซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ ด้วยเงินมหาศาล เพิ่มระยะเวลาเกณฑ์ทหาร ทำให้เสียงสนับสนุนนางไช่ อิงเหวิน ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ทำให้พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าของเธอพ่ายแพ้การเลือกตั้งท้องถิ่น ในเวลาแค่สองปีต่อมา


ไล่ ชิงเต๋อ เป็นคนที่อยากจะประกาศเอกราชของไต้หวันขึ้นมา ข้อแตกต่างของนายไล่ ชิงเต๋อ กับ นางไช่ อิงเหวิน คึอ ไช่ อิงเหวิน เป็นนักเจรจาต่อรองก่อนมาเล่นการเมือง ส่วนไล่ ชิงเต๋อ เป็นหมอ นิยามตัวเองว่าเป็นผู้สนับสนุนเอกราชไต้หวันที่สอดคล้องกับความเป็นจริง

ไล่ ชิงเต๋อ มีความเด็ดขาดในการตัดสินใจมากกว่า แต่ขณะเดียวกัน ด้วยภูมิหลังของความเป็นหมอ จะรู้ว่าต้องไม่บุ่มบ่าม ไม่อย่างนั้นแล้วคนไข้ต้องตาย

บุคคลที่น่าสนใจอีกคนหนึ่ง คือผู้สมัครเป็นรองประธานาธิบดีคู่กับนายไล่ ชิงเต๋อ เป็นผู้หญิงที่ชื่อว่า เซียว เหม่ยฉิน เธอมีพ่อเป็นคนไต้หวัน แม่เป็นคนอเมริกัน เป็นมือทำงานด้านต่างประเทศของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้ามากว่าสิบปี จนได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้แทนไต้หวัน หรือทูตไต้หวันประจำสหรัฐฯ


จุดยืนเรื่องเอกราชไต้หวันของนางเซียว เหม่นฉิน เรียกได้ว่าฮาร์ดคอร์ยิ่งกว่านายไล่ ชิงเต๋อ เพราะฉะนั้นแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปหลังจากการเลือกตั้ง ถ้าชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี นายไล่ ชิงเต๋อ จะดูแลยุทธศาสตร์ภายในไต้หวัน ส่วนนางเซียว เหม่ยฉิน จะเป็นรองประธานาธิบดี จะรับผิดชอบยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ

เมื่อดูหลักการ 4 ประการ ที่นายไล่ ชิงเต๋อ เคยประกาศไว้ เราพอจะมองอนาคตไต้หวันได้แล้ว หนึ่ง ไต้หวันจะซื้ออาวุธเพิ่มขึ้น เปิดทางให้อเมริกาส่งทหารเข้ามาฝึกฝน สอง แยกตัวจากจีนทางเศรษฐกิจ สร้างห่วงโซ่อุปทานร่วมกับชาติตะวันตก สาม ทำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกรู้สึกว่าขาดไต้หวันไม่ได้ โดยมีเครื่องมือสำคัญ ก็คืออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่ไต้หวันเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ประเทศต่างๆ จะเดือดร้อนถ้าจีนคุกคามไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์จะขาดแคลน การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะเผชิญปัญหา

ในทางการเมืองนั้น ไต้หวันจะเลือกข้างชาติตะวันตกอย่างชัดเจนด้วยการสร้างวาทกรรมเพื่อให้ชาติประชาธิปไตยร่วมกันปกป้องไต้หวัน สโลแกนที่ว่า "วันนี้ฮ่องกง วันหน้าไต้หวัน" "ไต้หวันจะไม่เป็นยูเครน 2" "ไต้หวันเกิดเรื่อง ญี่ปุ่นเดือดร้อน" เป็นต้น


ส่วนจีนนั้นทำอย่างไร ? ฝั่งจีนนั้น ช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งในไต้หวัน จีนแผ่นดินใหญ่ได้ปฏิบัติการกวนประสาท ส่งเครื่องบิน เรือ ไปลาดตระเวนเฉียดๆ พรมแดน

ส่งบอลลูนจีนไปลอยอยู่เหนือช่องแคบไต้หวัน สุดสัปดาห์ที่แล้วมีบอลลูนจากจีนแผ่นดินใหญ่มาใกล้ไต้หวัน 10 ลูก หลายลูกลอยข้ามน่านฟ้าไต้หวัน


ที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ออร์เดิร์ฟ ทางการจีนเตรียมชุดใหญ่ไฟกะพริบไว้แล้ว หลังจากประเมินว่า ไล่ ชิงเต๋อ - เซียว เหม่ยฉิน น่าจะชนะการเลือกตั้ง เช่น หนึ่ง ยกเลิกสิทธิพิเศษทางการภาษี ตามข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างจีน-ไต้หวัน สอง นักธุรกิจไต้หวันลงทุนในจีน ที่ทุกวันนี้รับสิทธิพิเศษเท่าคนจีน ไม่ถือว่าเป็นธุรกิจต่างชาติ อาจจะแสดงโดยได้รับแรงกดดันถูกลดสิทธิพิเศษ หรือถูกตรวจสอบภาษี

สาม ผลิตภัณฑ์จากไต้หวันจะเผชิญการกีดกันการนำเข้าจากจีน กำแพงภาษี การตรวจโรคและแมลงกับสินค้าเกษตรกรรม การลาดตระเวน เครื่องบิน และเรือจีน จะเพิ่มความถี่จนกลายเป็น New Normal ที่ไต้หวันต้องยอมรับ อาจจะมีการซ้อมรบรอบๆ เกาะไต้หวัน จีนจะเพิ่มการแทรกซึมด้วยวิธีการต่างๆ มีการก่อกวนทางไซเบอร์ การซื้อตัวนักการเมือง สื่อมวลชน อินฟลูเอนเซอร์ ยิ่งถ้าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าไม่ได้เสียง สส. ส่วนใหญ่ในสภา จีนจะยิ่งทำให้การเมืองภายในของไต้หวันเต็มไปด้วยความอลหม่าน

มาตรการเหล่านี้ จะใช้หรือไม่ใช้ อย่างไร ขึ้นอยู่กับท่าทีของรัฐบาลใหม่ไต้หวัน จีนไม่จำเป็นต้องใช้กระสุนแม้แต่นัดเดียว เพราะจีนมีเครื่องมือที่ใช้กดดันไต้หวันได้มากมาย จีนรอได้ เหมือนที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พูดในสุนทรพจน์ส่งท้ายปีเก่า 31 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ว่า "ความเป็นเอกภาพของมาตุภูมิเป็นความแน่นอนทางประวัติศาสตร์"


สรุป ท่านผู้ชมที่ติดตามผมมาตลอด จะทราบดีว่าผมเคยเปรียบเทียบความสัมพันธ์จีน-ฮ่องกง กับ จีน-ไต้หวัน ว่า ฮ่องกงเหมือนกลูกที่ถูกพรากไปจากพ่อแม่ แล้วได้กลับมาสู่อ้อมอกพ่อแม่ ส่วนไต้หวันเหมือนพี่น้องที่ทะเลาะกันแล้วแยกบ้านออกไป แน่นอน ไต้หวัน กับฮ่องกง มีสถานะที่แตกต่างกัน คนไต้หวันที่รู้สึกว่าเป็นคนจีน ก็ลดลง เหลือไม่ถึง 3 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่พี่น้องก็อยู่ร่วมกันได้ เกื้อกูลกันได้ ไม่ใช่ว่าจะหาเรื่องชวนทะเลาะตลอดเวลา ปลุกกระแสความเกลียดชังให้เห็นขี้ดีกว่าไส้ เพราะถึงอย่างไร ในที่สุดแล้วเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ

"3 นิ้วฮ่องกง" ถูกฝรั่งหลอก จบชีวิตที่อังกฤษ

ท่านผู้ชมครับ ศุกร์ที่แล้ว วันที่ 5 มกราคม 2567 ตอนที่ 223 ผมได้ยกตัวอย่างให้ท่านผู้ชมได้รับทราบไปแล้วถึงชะตากรรมของกลุ่มแกนนำม็อบสามนิ้วของฮ่องกงบางส่วน ที่ออกมาเคลื่อนไหว ต้องการจะแบ่งแยกเกาะฮ่องกงออกจากประเทศจีน ภายใต้การหนุนหลังของชาติตะวันตก ไม่ว่าจะเป็น จิมมี ไล เจ้าของหนังสือพิมพ์ Apple Daily แอกเนส โจ ซึ่งตอนนี้หนีไปอยู่ที่แคนาดาแล้ว หรือแม้แต่โจชัว หว่อง ซึ่งคนพวกนี้เป็นคนที่สนิทสนมกับแกนนำคณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล เป็นอย่างดี


ท่านผู้ชมจำได้ไหม ผมพูดไปอาทิตย์ที่แล้วว่า ตอนที่โจชัว หว่อง จะขอลี้ภัยในสถานกงสุลอเมริกาในฮ่องกง เพื่อจะเดินทางต่อไปประเทศอื่น กลับถูกประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเองอยู่เบื้องหลังในการหนุนให้โจชัว หว่อง ลุกขึ้นมาก่อความวุ่นวาย เพื่อโค่นล้มอำนาจของรัฐบาลจีนในฮ่องกง ไม่ยอมให้เข้าไปลี้ภัยในกงสุล อ้างว่ากลัวจะก่อความขัดแย้งกับรัฐบาลปักกิ่ง


ที่ผมเล่าให้ฟังตอนที่แล้วเป็นชะตากรรมของบรรดาแกนนำม็อบฮ่องกง ที่ส่วนใหญ่หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแคนาดา สหรัฐอเมริกา หรืออังกฤษ ส่วนตัวเป้งๆ ที่ก่อวีรกรรมไว้เยอะนั้น บางคนถูกทิ้งให้อยู่ในคุก และต้องถูกดำเนินคดีต่างๆ ภายใต้กรอบกฎหมายความมั่นคงฮ่องกง ที่รัฐบาลปักกิ่งบังคับใช้อย่างเข้มงวด

แต่นอกจากบรรดาแกนนำม็อบสามนิ้วของฮ่องกงแล้ว ยังมีกลุ่มแนวร่วมและผู้เข้าร่วมประท้วงฮ่องกง เป็นแสนๆ คน ที่ถูกรัฐบาลอังกฤษหลอกลวง เขาหลอกลวงโดยให้สถานะพาสปอร์ต BNO


BNO เป็นพาสปอร์ตอะไร ? ย่อมาจากคำว่า British National Overseas Passport คือเมื่อทิ้งฮ่องกงไปอังกฤษแล้ว กลับพบว่าเป็นเหมือนพลเมืองชั้นสอง ต้องมีชีวิตที่ยากลำบาก บางคนต้องฆ่าตัวตาย ปลิดชีวิตตัวเอง

ผมเอารูปพาสปอร์ตสองอันให้ดู ทางขวา เป็นของอังกฤษที่ออกให้คนฮ่องกง เขาเรียกว่า BNO ส่วนทางซ้ายเป็นพาสปอร์ตจีน


เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายๆ ท่านอาจจะรู้บ้างแล้ว แต่อาจจะไม่ละเอียดลึกซึ้ง เรื่องนี้เป็นโศกนาฏกรรมของคนที่ถูกหลอกใช้แล้วหลงใหลในอิทธิพลของตะวันตก มันเป็นเรื่องราวของหญิงสาวชาวฮ่องกงวัย 27 ปี ชื่อ ยี คิงโฮ (Yee King Ho) เธอมีชื่อฝรั่งว่า ฟีออน (Fion) เธอเป็นตัวอย่างหนึ่งของผู้อพยพชาวฮ่องกงที่อพยพหนีไปอยู่อังกฤษด้วยพาสปอร์ต BNO เธอต้องเผชิญกับความทุกข์กาย ทรมานใจ ในที่สุดเธอทนไม่ได้ เลือกที่จะจบชีวิตัวเอง หลังจากที่เธอบินหนีจากฮ่องกงไปลี้ภัยอยู่ที่อังกฤษถึง 7 เดือน


เรามาฟังเรื่องของ ยี คิงโฮ เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจของบรรดาม็อบสามนิ้วที่อหังารมมังการมาก เธอจบการศึกษาชั้นเลิศ จบปริญญาตรีด้านเอเชียและนานาชาติศึกษา (Asians and International Studies) จากมหาวิทยาลัยฮ่องกง ในปี 2560 มหาวิทยาลัยฮ่องกง เป็นมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าของเอเชีย เป็นอันดับ 3 ในฮ่องกง หลังจากนั้นแล้วเธอก็เดินทางไปต่อจนจบปริญญาโท ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่สวิตเซอร์แลนด์

หลังจากเรียนจบแล้ว เธอเดินทางกลับฮ่องกง เธอทำงานกับสภากาชาดฮ่องกง หญิงสาวที่มีการศึกษาดี พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว มีประสบการณ์การทำงานกับผู้คนหลากหลายเช่นนี้ น่าจะมีอนาคตที่สดใส แต่ ยี คิงโฮ กลับเลือกที่จะเข้าร่วมการประท้วงที่ฮ่องกงเมื่อปี 2562-2563


ปี 2565 เธอตัดสินใจอพยพไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ โดยใข้ BNO Passport หลังจากที่เธอไปอยู่อังกฤษ เธอทำงานกับองค์กรการกุศลที่ชื่อว่า CamFed หรือ Campaign for Female Education เป็นองค์กรที่รณรงค์เรื่องการศึกษาของผู้หญิง เธอเช่าห้องพักอยู่ที่เขตริชมอนด์ ชานกรุงลอนดอน ห้องเล็กๆ สภาพซอมซ่อ ที่เธอต้องแชร์กับเพื่อนร่วมห้องอีก 3 คน แต่มีค่าเช่าแพงมากถึงเดือนละ 900 ปอนด์ หรือราวๆ 40,000 บาท

เธอเคยบ่นให้น้องชายเธอฟังที่ยังอยู่ฮ่องกง ว่า สภาพห้องเธอที่อังกฤษสกปรกมาก เพื่อนร่วมห้องต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้ใส่ใจกัน เธอรับสภาพนี้ไม่ได้ ทำให้เธอนอนไม่หลับ นอกจากนี้แล้ว เธอยังต้องกังวลว่าจะดิ้นรนหาเงินมาเป็นค่าเช่าห้องไม่เพียงพอ เธอถึงกับจำเป็นต้องตัดลดค่าใช้จ่ายด้วยวิธีการทานอาหารแค่วันละ 1 มื้อ เพื่อประหยัดเงิน ทำให้เธอประสบปัญหาเครียดมาก สุขภาพผมร่วง เป็นโรคซึมเศร้า

วันที่ 3 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว (2565) น้องชายพบว่าพี่สาว หรือฟีออน ไม่ได้ไปทำงาน และไม่ตอบแชตซึ่งตัวเองทักไป ก็เลยแจ้งให้เจ้าของห้องไปตรวจสอบดู พบว่าพี่สาวของเขา ก็คือ ยี คิงโฮ ฆ่าตัวตายแล้ว


น้องชาย เปิดเผยว่า พี่สาวได้จองคิวไปพบจิตแพทย์ เพื่อปรึกษาเรื่องอาการซึมเศร้าในอีก 4 วันข้างหน้า แต่เธอตัดสินใจจบชีวิตไปเสียก่อน

ยี คิงโฮ หรือ ฟีออน เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งของหนุ่มสาวชาวฮ่องกงที่กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง หลังจากเข้าร่วมม็อบฮ่องกงและเลือกที่จะทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนไปยังดินแดนอดีตเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษ ช่วงนั้นเธอเชื่อเหลือเกินว่าเธอจะมีชีวิตที่ดีกว่า หอมกลิ่นความเจริญเต็มเปี่ยมด้วยเสรีภาพและประชาธิปไตย แต่ผลที่ได้รับนั้น เธอเอาอนาคตและชีวิตไปทิ้งที่ต่างแดน

ชาวฮ่องกงที่หนีไปอยู่อังกฤษจำนวนมากเคยมีอาชีพการงานที่ดี เป็นพนักงานเงินเดือน แต่พออพยพไปแล้ว กลับต้องไปทำงานพาร์ตไทม์ ใช้แรงงาน อาบเหงื่อแลกเงิน เช่น เป็นพนักงานขายของ พนักงานเสิร์ฟ หรือคนขับรถส่งของ

ชาวฮ่องกงเหล่านี้เหมือนถูกรัฐบาลอังกฤษหลอก ด้วยการใช้พาสปอร์ตที่เรียกว่า BNO (British National Oversease) นี่ผมเอาภาพคนฮ่องกงที่อยู่ในอังกฤษออกมาชูป้วยเรียกร้องสิทธิผู้ถือพาสปอร์ต BNO ให้มีความเท่าเทียมคนอังกฤษ


อังกฤษออกพาสปอร์ตนี้ให้กับผู้ประท้วงฮ่องกง เพื่อให้ความคุ้มครองกับชาวฮ่องกงจากกฎหมายความมั่นคงที่ทางการจีนบังคับใช้

เรามาทำความเข้าใจกับพาสปอร์ต BNO พลเมืองชั้นสองของอังกฤษไว้เสียหน่อย

ช่วงปี 2530 ก่อนที่อังกฤษจะคืนเกาะสู่ฮ่องกงเข้าสู่การปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ในปี 2540 อังกฤษได้ออกพาสปอร์ตพิเศษชนิดหนึ่งเรียกว่า BNO - British National Overseas เพื่อให้ชาวฮ่องกงที่ตอนนั้นยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ในการเดินทาง หลายประเทศที่ให้ฟรีวีซ่า แต่พวกที่ถือพาสปอร์ตชนิดนี้ไม่มีสิทธิ์จะพำนักในอังกฤษ

ก่อนช่วงที่ประเทศจีนจะกลับมาปกครองฮ่องกง พาสปอร์ต BNO เป็นที่นิยมของชาวฮ่องกงมาก รัฐบาลอังกฤษออกพาสปอร์ตชนิดนี้มากเกือบ 8 แสนเล่ม แต่ในเวลาต่อมาจีนได้ออกพาสปอร์ตเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้สิทธิ์ฟรีวีซ่ามากกว่า 150 ประเทศ มากกว่าพาสปอร์ต BNO แถมค่าธรรมเนียมก็ถูกกว่ามาก ทำให้ความนิยมในพาสปอร์ต BNO ของอังกฤษนั้นลดน้อยลงอย่างมาก คนที่ถือพาสปอร์ต BNO ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย ที่ขอไว้ตั้งแต่สมัยฮ่องกงเป็นอาณานิคม ก็เลือกที่จะไม่ต่ออายุพาสปอร์ต BNO หันมาถือพาสปอร์ตของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ของจีนแทน


จนกระทั่งเกิดมีการประท้วงในฮ่องกง ตั้งแต่การประท้วงร่ม ปี 2557 เรื่อยมาจนถึงการประท้วงกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ปี 2562-2563 ทำให้รัฐบาลจีนต้องออกกฎหมายความมั่นคง จนทำให้แกนนำม็อบและผู้สนับสนุนต้องแตกกระสานซ่านเซ็นไป รัฐบาลอังกฤษก็เลยฟื้นคืนชีพพาสปอร์ต BNO ขึ้นมาในปี 2564 โดยเพิ่มเติมเงื่อนไข ขยายเงื่อนไขให้ชาวฮ่องกงที่ต้องการอพยพมาอยู่อังกฤษนั้น ยื่นขอพาสปอร์ตประเภทนี้ได้ แต่ต้องมีสถานภาพ 2 อย่าง คือ หนึ่ง เคยเป็นชาวฮ่องกงสมัยตกอยู่ภายใต้อาณานิคมอังกฤษ หรือพูดง่ายๆ ว่าเคยเป็นคนที่มีพาสปอร์ต BNO เดิมอยู่ ไม่ว่าจะต่ออายุหรือไม่ สอง ต้องเป็นครอบครัวหรือลูกชาวฮ่องกงที่มีสถานะ BNO และเกิดหลังวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 ซึ่งคนหนุ่มคนสาวที่เข้าร่วมม็อบฮ่องกงใช้สถานะนี้เพื่อให้ได้พาสปอร์ต BNO มา

รัฐบาลอังกฤษอ้างว่าพาสปอร์ต BNO มีขึ้นเพื่อตอบโต้การออกกฎหมายความมั่นคง และต้องการแสดงถึงความรับผิดชอบที่อังกฤษมีต่อชาวฮ่องกง ท่านผู้ชมครับ มีชาวฮ่องกงกว่า 140,000 คน หวังใช้ช่องทางนี้อพยพไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แต่เมื่อไปถึงเกาะเมืองผู้ดีแล้ว คนฮ่องกงที่อพยพไปกลับพบว่าการเริ่มต้นชีวิตใหม่ไม่ง่ายอย่างที่คิด เช่น พาสปอร์ต BNO อนุญาตให้ทำงานได้ แต่คนส่วนใหญ่หางานที่ดีเหมือนกับสมัยที่อยู่ฮ่องกงไม่ได้ ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นแรงงานไปเลย บางคนจบวิศวะ ก็ใช้แรงงาน พาสปอร์ต BNO ไม่สามารถใช้สวัสดิการสังคมส่วนใหญ่ได้ พาสปอร์ต BNO ยังเปิดบัญชีธนาคารไม่ได้เลย

มิหนำซ้ำยังต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพแพงกว่าคนอังกฤษ แม้เกาะฮ่องกงจะขึ้นชื่อว่ามีค่าครองชีพที่แพงติดอันดับโลก แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว หากไม่ใช่ชาวอังกฤษ เป็นชาวต่างชาติที่ไปอาศัยอยู่บ้านเขาเมืองเขา ค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่อังกฤษก็เลยต้องแพงกว่าฮ่องกงมาก

นอกจากนี้แล้ว เป็นที่ทราบว่าภายหลังที่อังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือที่เขาเรียกว่า Brextit ก็เผชิญกับเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก ยิ่งเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ค่าพลังงาน ค่าครองชีพทุกอย่างแพงขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ คนอังกฤษจริงๆ แล้วถือดี เหยียดชาวต่างชาติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี ชาวต่างชาติยิ่งตกเป็นเป้าการโจมตี ดูตัวเลขนี้่นะครับ การจัดอันดับประเทศที่มีความปลอดภัยทั่วโลก 142 ประเทศ อังกฤษ แดนสวรรค์ของนักประท้วงกลับตกอยู่อันดับที่ 77 ในขณะที่ฮ่องงกงนั้นมีความปลอดภัยอยู่อันดับที่ 6


เพราะฉะนั้นบรรดาชาวฮ่องกงที่อพยพไปอยู่อังกฤษ ต่างพบว่าชีวิตในดงผู้ดีไม่ง่ายอย่างที่คิด ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องหาที่พักที่อยู่อาศัยซึ่งแพงหูฉี่ สภาพก็เลวร้ายมาก ต้องหางานที่มีรายได้เพียงพอ ต้องปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมใหม่ อดีตพนักงานออฟฟิศระดับเซลแมนขายของ ต้องมาเป็นเซลขายของ บางคนต้องยอมทำงานในโรงงานทั้งๆ ที่มีการศึกษาดี เคยมีอาชีพที่ดี บางคนจบบัญชีมา สมัยอยู่ฮ่องกงได้เงินเดือนเกือบๆ 2-3 แสนบาท บางคนเป็นถึงทันตแพทย์ เคยเป็นสมาชิกสภาเขตก็ยังมี บางครอบครัวขายทรัพย์สินทุกอย่างในฮ่องกงแล้วพาลูกไปด้วย ยิ่งต้องเผชิญความยากลำบากมากขึ้น ทั้งต้องหาที่อยู่ที่มีสิ่งแวดล้อมปลอดภัยสำหรับเด็ก หาโรงเรียนที่มีคุณภาพ แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนโรงเรียนเอกชนได้ เลยต้องยอมให้ลูกเรียนโรงเรียนรัฐที่ด้อยคุณภาพมากกว่าเยอะ

ความยากลำบากและค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่วในอังกฤษเหล่านี้ ทำให้ผู้อพยพชาวฮ่องกงหลายคนต้องเปลี่ยนใจ ตัดสินใจบินกลับมาอยู่ที่ฮ่องกง ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

หลังจากที่รัฐบาลอังกฤษออกพาสปอร์ต BNO ในปี 2564 สถานทูตจีนในอังกฤษประณามว่า นี่ไม่ใช่การปกป้องชาวฮ่องกงอย่างที่กล่าว แต่เป็นการยุแยงและก่อกวน

ทางการจีนเตือนไว้เลยว่า ชาวฮ่องกงหลายคนถูกหลอก ให้ออกจากบ้านเกิดเมืองนอน เดินทางมายังอังกฤษ และพบว่าต้องประสบกับชีวิตที่ยากลำบาก เต็มไปด้วยการเลือกปฏิบัติ บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย

ทางการจีนยังโต้แย้งข้อกล่าวหาของอังกฤษที่อ้างว่ากฎหมายความมั่นคงละเมิดปริญญาร่วมจีน-อังกฤษ โดยบอกว่าอังกฤษต่างหากที่เป็นคนบิดพลิ้วข้อตกลงนี้ เพราะอังกฤษเคยรับปากว่าหลังวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 ที่ฮ่องกงกลับคืนสู่การปกครองของจีน อดีตพลเมืองของอังกฤษในฮ่องกงจะไม่หลงเหลือสิทธิพิเศษอะไรอีก และชาวฮ่องกงที่เกิดหลังวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 จะไม่มีสถานะใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับอังกฤษ แต่หลังจากที่จีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง อังกฤษกลับออกนโยบายใหม่ เปิดทางให้คนหนุ่มคนสาวที่อังกฤษหลอกใช้ ยุยงส่งเสริมให้มาก่อความวุ่นวายในฮ่องกง ให้คนหนุ่มคนสาวพวกนี้ใช้พาสปอร์ต BNO แล้วอพยไปอังกฤษได้


นี่คือการกลับกลอกไม่รักษาคำมั่นสัญญาของฝรั่ง อังกฤษ หลังจากนั้นแล้ว รัฐบาลจีนและฮ่องกงได้ตอบโต้ตลบหลังอังกฤษด้วยการยกเลิกการรับรองสถานะของวีซ่าและพาสปอร์ต BNO ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2564 ซึ่งหมายความว่า คนฮ่องกงที่อพยพไปจะไม่สามารถใช้วีซ่าและพาสปอร์ต BNO เดินทางเข้าฮ่องกง และจีนแผ่นดินใหญ่ได้

การขอพาสปอร์ต BNO ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะต้องเสียค่าพาสปอร์ต ค่าประกันสุขภาพ และยังต้องแสดงหลักฐานการเงินว่าสามารถอยู่ในอังกฤษได้อย่างน้อย 6 เดือน คำนวณคร่าวๆ ต้องใช้เงินตั้งต้นอย่างน้อยคนละ 4,000 ปอนด์ หรือราวๆ 180,000 บาท ซึ่งส่วนใหญ่ใช้มากกว่านี้หลายเท่า

แต่ก็ยังมีสมาชิกม็อบสามนิ้วฮ่องกงอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีเงินเก็บมากพอ ที่สำคัญคือ ไม่มีสถานะที่จะยื่นขอพาสปอร์ต BNO ได้ เนื่องจากเป็นลูกของคนที่อพยพไปอยู่ฮ่องกง หรือพ่อแม่ไม่ได้เป็นคนสมัยอาณานิคมอังกฤษ คนกลุ่มนี้มีทางเลือกไม่มาก ที่จะอยู่ในอังกฤษได้ นั่นคือต้องขอเป็นผู้ลี้ภัย

ผมเอาตัวอย่างให้ดูอีกคน ชื่อ "โคลบัส"


โคลบัส เป็นนามแฝงของนักศึกษาหญิงชาวฮ่องกงคนหนึ่ง ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ วัย 23 ปี เธอเป็นแนวหน้าในการประท้วงฮ่องกงปี 2562 เธอบอกว่าเธอไม่มีคุณสมบัติที่จะยื่นขอพาสปอร์ต BNO ตอนนี้เธอเป็นโรคซึมเศร้า โรคเครียด หลังจากเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เธอต้องรอคิวยาวเหยียดเพื่อจะเข้าพบจิตแพทย์ เธอพูดเลยว่า เมื่อได้เห็นคนที่ใช้พาสปอร์ต BNO ของคนฮ่องกงเดินในกรุงลอนดอน ฉันโกรธมาก และคิดว่าคนเหล่านี้มีชีวิตใหม่ที่นี่ ขณะที่ฉันต้องเป็นผู้ลี้ภัย และฉันไม่มีเงินเพียงพอที่จะเลี้ยงชีวิต อาจจะต้องเป็นคนไร้บ้านในไม่ช้า

ท่านผู้ชมครับ เพื่อที่จะหาความชอบธรรมในการแทรกแซงการเมืองในจีน เรื่องฮ่องกง อังกฤษนั้น ชักแม่น้ำทั้งห้า อ้างว่ามีความรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ต่อฮ่องกงในฐานะเจ้าอาณานิคมเก่า นี่ก็เป็นเรื่องที่ตอแหลก่งมากๆ เพราะว่าถ้ารับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์แล้ว ทำไมไม่คิดถึงยุคที่อังกฤษเข้ามาปล้นฮ่องกงออกจากประเทศจีน แล้วมีสนธิสัญญาบังคับให้จีนต้องยกฮ่องกงให้อังกฤษถึง 99 ปี จะชดใช้ตรงนี้ได้อย่างไร ท่านผู้ชมเห็นไหมครับ ประเทศทางตะวันตก อังกฤษเป็นประเทศที่เลวที่สุด ชั่วช้าที่สุด โกหกหลอกลวง ตีสองหน้า ปากเรียกร้องประชาธิปไตย แล้ววันนี้คนฮ่องกงที่บอกว่าหนีเผด็จการฮ่องกงไปอยู่ประชาธิปไตยในอังกฤษ เป็นอย่างไรบ้าง

ถ้าเป็นตามคำอ้างของอังกฤษจริง ทำไมรัฐบาลอังกฤษถึงไม่ยอมให้คนฮ่องกงที่อพยพไปได้สิทธิ์ของพลเมืองอังกฤษจริงๆ อย่างเต็มขั้น ได้สวัสดิการอย่างเต็มที่ ดูแลม็อบสามนิ้วฮ่องกงเหล่านี้อย่างเต็มที่ ก็หลอกใช้เขามาตลอด ให้สมกับที่พวกนี้เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องประชาธิปไตยในแบบที่อังกฤษ และสหรัฐฯ เชิดชู และพยายามที่จะบีบบังคับให้ประเทศอื่นๆ ตามรอย


ท่านผู้ชมครับ โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับ ยี คิงโฮ และชาวฮ่องกงอีกหลายแสนคน คืออุทาหรณ์ที่ผมอยากจะฝากเป็นบทเรียนให้กับคนไทย และเด็กๆ ม็อบสามนิ้ว พริษฐ์เอย รุ้ง ปนัสยาเอย และหลายต่อหลายคน ที่มองฝรั่งเป็นพ่อ บางคนนับถือฝรั่งยิ่งกว่าพ่อแม่ตัวเอง ใช้ข้ออ้างตลอดเวลาว่ากำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่พวกคุณต่อสู้คือความจอมปลอมที่มีเบื้องหลังคือแผนการการแทรกแซงทางการเมือง การหาผลประโยชน์ บีบบังคับประเทศนั้นๆ ให้ทำตามความต้องการของมหาอำนาจตะวันตกต่างหาก

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้ก็สิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ มีเรื่องราวที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินอีกหลายเรื่องที่เก็บเอาไว้ และกำลังหาข้อมูลเพิ่มเติม ท่านผู้ชมครับ ถ้าอยากได้ของจริงให้มาที่นี่ ผมจะเตือนท่านผู้ชมอย่างนะครับ ช่วงหลังๆ นี้มีการแห่เห่อกระแสข่าวต่างๆ ซึ่งมันค่อนข้างไร้สาระมาก อย่างเช่นเรื่องของเบียร์ เดอะวอยซ์ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เบียร์จะไปเอากับใคร หรือจุ๊บกับใคร เป็นเรื่องของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับชาติบ้านเมืองเลยแม้แต่นิดเดียว หรือเรื่องของลุงพล คดีลุงพลตอนนี้อยู่ในขั้นอุทธรณ์ ต้องยื่นศาลอุทธรณ์ต่อ ก็กลายเป็นว่าบทจะเชียร์ลุงพล ก็เชียร์ บทจะกระทืบก็กระทืบลุงพลนะ ตอนนี้คดียังอยู่ขั้นศาลอุทธรณ์ ยังมีโอกาสจะพลิกคดีได้ แต่โซเชียลก็ไปกำหนดโทษให้ลุงพลเรียบร้อยแล้วว่าผิด

เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องพวกนี้ผมจะขอเตือนนิด หลายๆ เรื่องที่ทุกคนฮิตกันมาก ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชาติบ้านเมืองเลยแม้แต่นิดเดียว ฟิตกันจริงๆ ถ้าพวกคุณออกมาแห่กัน ออกความเห็นกันในเรื่องของเบียร์ เดอะวอยซ์ ตอนไลฟ์สดคนเข้าไปดูตั้งสามแสนคน แต่ถ้าคุณเอาคนพวกนี้มาเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง อย่างเช่น กดดันให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงาน ให้ประชาชนได้ใช้พลังงานได้ถูกลง หรืออะไรต่ออะไรทำนองนี้ มันจะดีกว่าหรือเปล่า เรากำลังหลงทางมากกับโซเชียลมีเดีย ซึ่งความผิดไม่ได้อยู่ที่ใคร อยู่ที่พวกเราเอง ที่ไม่รู้จักใช้สติปัญญาพินิจพิเคราะห์ว่าอะไรคือสาระ อะไรคือไร้สาระ
กำลังโหลดความคิดเห็น