xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : เบื้องลึกอภิมหาโคตรชุ่ย! รถไฟฟ้ารางร่วง-ล้อหลุด - ชะตากรรม 3 นิ้วฮ่องกง เบี้ยที่ถูกทิ้ง - สี จิ้นผิงส่งสัญญาณอะไรถึงไต้หวัน? - กลิ่นตุๆ ในสาธารณสุข

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 5 ม.ค.2567 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่

- ปั่นข่าวแย่งที่ชาร์จรถ EV การตลาดเตะตัดขา?
- เบื้องลึกอภิมหาโคตรชุ่ย! รถไฟฟ้า “รางร่วง-ล้อหลุด”
- กลิ่นคอรัปชันตุๆ ในสาธารณสุข
- ชะตากรรม “3 นิ้วฮ่องกง“ เบี้ยที่ถูกตะวันตกทอดทิ้ง
- จับโป๊ะแคนาดา อ้าง "2 ไมเคิล" ไม่ใช่สายลับ ไฉนต้องจ่ายเงินชดเชยเป็น 100 ล้าน
- จีนเตรียมยึดไต้หวันปีนี้ “สี จิ้นผิง” ส่งสัญญาณอะไรถึง “ไต้หวัน”?
- ฟิลิปปินส์ ตัวเบี้ยของสหรัฐฯ ในทะเลจีนใต้ เตือนระวังสุดท้ายจะโดนเท

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.222



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 223 [5 ม.ค. 67]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 ปีใหม่แล้วนะครับ ท่านผู้ชมไปไหนมาไหนบ้างหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ก็ขอให้พรปีใหม่ที่ผมมอบให้เมื่อสิ้นปีจงยังคงอยู่กับท่านผู้ชมตลอดไป ทั้งปี 2567 ต่อไปจนถึง 2568

สวัสดีครับท่านผู้ชมที่รับชมรายการสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok ท่านผู้ชมที่เข้ามาชมอย่าลืมนะครับ ช่วยหน่อย กดไลก์ กดแชร์ แชร์ไปเยอะๆ เลยครับ ดูรายการถ้าชอบกดไลก์ไปเลย แล้ว SUBSCRIBE ทั้งช่อง Facebook, YouTube, TikTok และทุกๆ ช่องทาง เพื่อกระจายข่าวสารออกไปในวงกว้างที่สุด

ตอนนี้ Sondhi App ยกเลิกการเก็บเงิน เปิดฟรีให้เข้าดูได้แล้ว ทั้งวิดีโอคลิปและข่าวสารต่างๆ ท่านผู้ชมแค่เข้ามาดาวน์โหลดผ่าน App Store สำหรับ Apple และ Play Store สำหรับ Android ค้นหาคำว่า Sondhi App เพียงลงทะเบียนเท่านั้น เพื่อให้ท่านผู้ชมทุกท่านได้เข้ามาใข้พื้นที่นี้เพื่อสร้างปัญญา แลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นจริง โดยไม่ปิดกั้น ซึ่งเรากำลังพัฒนาโซเชียลมีเดียของเราเอง ไม่ต้องง้อแพลตฟอร์มต่างประเทศอีกต่อไป ภายในไม่กี่เดือนนี้น่าจะเป็นรูปเป็นร่าง

ส่วนท่านผู้ชมที่จ่ายเงินค่าแอปฯ ไปแล้ว ยังอยู่ในระยะเวลา สามารถติดต่อขอรับเงินคืนได้ผ่านทางไลน์ (LINE) @sondhitalk ล่าสุด มีอยู่ 50 ราย ที่ขอเงินคืน ซึ่งเราจ่ายคืนไปให้หมดเรียบร้อยแล้ว


ส่วนตอนนี้ใครต้องการอ่านข่าวสดๆ ใหม่ๆ ทันต่อเหตุการณ์ บทวิเคราะห์เจาะลึก ก็ไปติดตามได้เลยที่ SONDHI X ในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ซึ่งต่อไปนี้ อีกไม่นาน ข้อมูลทุกอย่างจะถูกย้ายไปในแอปฯ ใหม่ด้วย

อาทิตย์นี้เรามีเรื่องบางเรื่องที่ต้องพูดกัน เรื่องแรก เรื่องใหญ่มาก เป็นเรื่องความบัดซบจริงๆ ของนักการเมือง ของนายทุนเจ้าของสัมปทาน และของผู้ที่สนับสนุน แอบสนับสนุนอยู่ แล้ววันนี้ปิดปากเงียบ คือเรื่องของความโคตรชุ่ยของโมโรเรล รางร่วง-ล้อหลุด ใบสั่งเจ้าสัวบีบ รฟม. เร่งเปิดสายสีชมพูเพื่้อรับเงินสนับสนุน 2,200 ล้านบาท งานนี้หนีไม่พ้นคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สุรพงษ์ ปิยะโชติ ต้องรับผิดชอบ

เรื่องที่สอง มีการคอร์รัปชันกันเรื่องระบบตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก มีกลิ่นคอร์รัปชันในกระทรวงสาธารณสุข ที่น่าสนใจคือ คนที่สร้างเรื่องนี้คือพวกกลุ่มแพทย์ชนบท อีกแล้ว! หลังจากที่สร้างความอัปยศอดสูในเรื่องการสนับสนุนชุดตรวจ ATK ของตัวเอง ที่ราคาแพงกว่าที่กระทรวงสาธารณสุขสั่งซื้อเข้ามา

เรื่องที่สาม ผมเคยพูดเรื่อง "สามนิ้ว" ที่ฮ่องกง ท่านผู้ชมจำได้ไหม ตอนนี้กลุ่มสามนิ้วทั้งหมด รวมทั้งหัวหน้าสามนิ้วที่อยู่เบื้องหลัง คือ นายจิมมี ไล เป็นเบี้ยที่ตะวันตกทิ้งไปแล้ว

เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ท่านผู้ชมจำได้ไหม ที่แคนาดา เคยจับนางเมิ่ง หว่านโจว ตอนนั้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินของหัวเว่ย ที่เมืองแวนคูเวอร์ แคนาดา นางเมิ่ง หว่านโจว ถูกจับกุมแล้วต้องอยู่ในบ้านตัวเอง ที่เขาเรียกว่า House arrest เป็นเวลาเกือบ 3 ปี จนในที่สุดศาลแคนาดาก็เลยตัดสินใจยกฟ้องและส่งตัวคืน แต่ว่ามีการแลกเปลี่ยนกับสปาย 2 คน ที่ชื่อต้นว่า "ไมเคิล" ทั้งคู่ ไมเคิล สปาวอร์ และ ไมเคิล คอฟริก ซึ่งตอนแรกๆ แคนาดาและประเทศทางตะวันตกก็บอกว่าสองคนนี้ไม่ใช่สปาย ถูกจีนกลั่นแกล้ง

ท่านผู้ชมครับ เรื่องกลับโอละพ่อไปหมดแล้ว โอละพ่ออย่างไร ? ท่านผู้ชมลองฟัง แล้วท่านผู้ชมจะเห็นความโกหกตอแหลหน้าด้านๆ ของรัฐบาลทางตะวันตก

เรื่องที่ห้า น่าสนใจมาก ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้กล่าวสุนทรพจน์ในปีใหม่ ได้ส่งสัญญาณที่ค่อนข้างแรงไปที่ไต้หวันแล้ว

เรื่องที่หก ประเทศฟิลิปปินส์เป็นเบี้ยตัวใหม่ที่อเมริกาหนุนอยู่ข้างหลังในทะเลจีนใต้ เพื่อให้ความขัดแย้งกับจีน อาจจะเรียกได้ว่านี่คือ "นาโต 2" ก็ได้


ท่านผู้ชมครับ อีกไม่กี่วัน 2-3 อาทิตย์ ก็จะถึงรายการ "2 ทศวรรษ เมืองไทยรายสัปดาห์" โดยผม สนธิ ลิ้มทองกุล และ คุณแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ ท่านผู้ชมที่ซื่อบัตร "ครบรอบ 20 ปี เมืองไทยรายสัปดาห์" อย่าลืมมาพบกันนะครับ รับรองว่าเรื่องที่ท่านจะได้รับชมรับฟังในวันนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน จะไม่มีการถ่ายทอดผ่านเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ด้วย ตอนนี้บัตรเหลืออยู่น้อยมาก ไม่ถึง 10 ใบ มีประชาขชนจองบัตรมาแล้ว ซื้อบัตรไปแล้ว ประมาณ 453 ท่าน งานจะเริ่มวันที่ 21 มกราคม ที่หอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นครั้งแรกของ "เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร" เป็นครั้งแรกหลังจากที่ถูกถอดรายการออกจากช่อง 9 อสมท ในยุคที่มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นผู้อำนวยการ และเรวัติ ฉ่ำเฉลิม อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธานกรรมการ

ขอพูดเรื่องพระนิดหนึ่งครับท่านผู้ชม ใครที่สั่งจองพระเอาไว้ ตอนนี้พระองค์เล็ก เหรียญ และพระผง ทีมงานทยอยส่งไปเกือบหมดแล้ว ส่วนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หนัก 8 กิโลกรัม บางท่านเดินทางมารับด้วยตัวเองเรียบร้อยแล้ว คนที่ไม่สะดวกมารับ รวมทั้งคนที่บ้านอยู่ต่างจังหวัด ทางทีมงานผมได้จ้างรถขนส่ง ขับรถไปส่งให้ท่านถึงบ้าน ตอนนี้หลายๆ ท่านคงจะได้รับแล้ว ใครที่ยังไม่ได้รับขอให้ใจเย็นๆ รอรับโทรศัพท์จากทางทีมงาน รับรองว่าไม่นานครับ


ท่านผู้ชมครับ มาเรื่องสุขภาพนิดหน่อย ช่วงเวลานี้เพิ่งผ่านเทศกาลปีใหม่ หลายๆ คนกลับมาจากต่างจังหวัด หลายๆ คนผ่านงานเฉลิมฉลองเลี้ยงสังสรรค์ เจอคนเยอะ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตอนนี้โรคหวัด โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจอื่นๆ ระบาดมาก พนักงานที่ออฟฟิศผม ปีใหม่มาหลายคนมีอาการหวัด ไอ ไข้ เจ็บคอ แน่นอนที่สุดครับ ฟัาทะลายโจรอาจารย์ปานเทพ ตอนนี้ทุกคนอาการดีขึ้นมาก บางคนหายไปแล้ว ไม่มีอาการแล้ว ผมเองเจ็บคอมาก พอกลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอ ผมรู้เลยว่าผมเป็นหวัดลงคอ ผมทานฟ้าทะลายโจรครั้งละ 4 เม็ด วันละ 4 มื้อ แล้วตามด้วย "ยาขาว" วันละ 3 ซอง 3 มื้อ ท่านผู้ชมเชื่อไหมว่า 4 วัน หายขาด ไม่มีอาการอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องไปหาหมอ ไม่ต้องทานยาปฏิชีวนะ แอนตีไบโอติก อะไรทั้งสิ้น

ถ้าใครไม่มีฟ้าทะลายโจร "ยาขาว" ต้องซื้อติดตัวเก็บเอาไว้ เป็นยาสามัญประจำบ้าน ทั้งฟ้าทะลายโจรของอาจารย์ปานเทพ และ ยาขาว ของอาจารย์ปานเทพ ได้ อย. หมดแล้วครับ ถ้าเป็นผู้สูงวัยควรจะกิน "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ทุกวัน วันละซอง


ท่านผู้ชมครับ โพรโมชัน ซื้อยาลมฯ ยาขาว ทุกๆ1 กล่อง จะได้รับขาวหรือยาลที่เข้าไปร่วมพิธีพุทธาภิเษก "พระสยามพุทธาธิราช" 1 ซอง โพรโมชันนี้จะขยายเวลาจนถึงสิ้นเดือนมกราคมนี้ ตอนนี้เหลือจำนวนไม่มากแล้ว

ส่วนโพรโมชันปีใหม่ที่เราจัดเอาไว้ ซื้อเป็นเซ็ตทั้ง 3 อย่าง ฟ้าทะลายโจร ยาขาว ยาลม ๓๐๐ จำพวก ในราคาพิเศษ 2,328 บาท บางคนบอกว่าซื้อไม่ทัน เราจะขยายโพรโมชันถึงสิ้นเดือนมกราคม เช่นเดียวกัน ถ้าสนใจ สั่งซื้อได้ที่ "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์" เพิ่มไลน์ @sunherb มีจำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย

ท่านผู้ชม ถ้าว่าง วันเสาร์-อาทิตย์ แวะไปที่ร้าน SUN PAN ครับ อยู่ที่ ราบ 1 ตรงกันข้ามกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีฯ ปั๊ม ปตท.


มีหลายคน feedback มาว่า ปีใหม่ได้ซื้อขนมปังกับสเปรดไปเป็นของขวัญ ของฝาก ปรากฏว่าผู้รับประทับใจมาก ถามกันว่าซื้อมาจากที่ไหน ผมตอบให้นะครับ ซื้อมาจากร้าน SUN PAN

นอกจากนี้แล้ว ร้าน SUN PAN ยังมีเมนูยอดนิยมให้หาซื้อกันได้ตามปกติ ทั้งโชกุปัง สเปรดหลายรส ขนมปังมันม่วงญี่ปุ่น ขนมปังฟักทองญี่ปุ่น ขนมปังใบเตยกะทิ ชีสเค้ก เครื่องดื่มโอเลี้ยงสูตรคุณแม่ผม ไอศกรีม หมูแท่ง ปลาแท่ง ถ้าว่างอย่าลืมแวะไปนะครับท่านผู้ชม ของขายดีมาก ซื้อไปฝากใครก็ได้ ไม่ผิดหวังแน่นอน

แย่งที่ชาร์จ รถ EV หรือแค่ปั่นข่าว ?

ปีใหม่ผ่านไปแล้ว ท่านผู้ชมคงไปเที่ยวเตร่กัน พักผ่อนหย่อนใจ เป็นเทศกาลที่คนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนา ประกอบกับมีคนจำนวนมาก ไม่น้อยเลย ขับรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น แต่เผอิญวันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม 2566 มีสื่อใหญ่ค่ายหนึ่ง รายงานข่าวว่าคนใช้รถ EV กลับบ้านปีใหม่ แย่งกันจองสถานีชาร์จไฟวุ่น เนื้อข่าวโดยสรุปมีอย่างนี้ครับ


"คนใช้รถ EV กลับบ้านปีใหม่ แย่งกันจองสถานีชาร์จไฟวุ่น หลังมีไม่กี่ที่ ขับไปลุ้นไป แม้จะจองผ่านแอปพลิเคชันไว้ แต่รถติดไม่สามารถไปถึงทัน ก็ต้องเสียสิทธิ" มีการยกตัวอย่างที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. สาขาบายพาส เลี่ยงเมืองนครราชสีมา มีสถานีชาร์จไฟรถ EV อยู่ 1 สถานี มีสายชาร์จไฟรถ EV ได้ครั้งละ 2 คัน มีประชาชนมาจอดชาร์จไฟเต็มตลอดเวลา

นายวิเชียร จันทลุน อายุ 44 ปี กล่าวว่า ตนเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปบ้านที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ใช้รถ EV เดินทาง รถคันนี้ชาร์จไฟครั้งหนึ่งวิ่งได้ประมาณ 300 กิโลเมตร แต่ระยะทางถึงกาฬสินธุ์ ประมาณ 500 กิโลเมตร จึงต้องมีการวางแผนชาร์จไฟรถยนต์ไว้ 2 ครั้ง ชาร์จที่นครราชสีมา 1 ครั้ง ชาร์จอีกครั้งที่มหาสารคาม แต่เนื่องจากสถานีชาร์จไฟรถ EV มีน้อย พบปัญหาว่าเมื่อจองแล้วเกิดปัญหาการจราจติดขัด มาไม่ทันที่จองไว้ ต้องถูกยกเลิกการจองเพื่อให้รถคันอื่นที่มาทีหลังชาร์จไฟแทน


ท่านผู้ชมครับ หนังสือพิมพ์ข่าวสด พอแพร่ข่าวนี้ออกไป สื่อหลายแห่งพากันเล่นข่าวตาม ก๊อปปี้ไปลงจนว่อนโซเชียล ผู้คนแตกตื่นกันไปหมด พาดหัวข่าวก็มี อย่างเช่น "คนใช้รถ EV กลับบ้านปีใหม่ แย่งกันจองสถานีชาร์จไฟวุ่น หลังมีไม่กี่ที่ ขับไปลุ้นไป แม้จะจองผ่านแอปพลิเคชันไว้ แต่รถติดไม่สามารถไปถึงทัน ก็ต้องเสียสิทธิ" "สาวก EV มีเซ็ง เดินทางช่วงเทศกาลต้องแย่งจองที่ชาร์จกันวุ่น" "สถานีชาร์จไฟแน่นขนัด ประชาชนเดินทางเทศกาลปีใหม่สายเหนือ-อีสาน" "แย่งกันชาร์จให้วุ่น! คนใช้รถ EV ขับไปลุ้นไป"


ปรากฏว่าพอเรากดเข้าไปอ่าน กลายเป็นเนื้อข่าวเดียวกันหมด คนที่มีปัญหาเป็นแค่คนๆ เดียว ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่โต รับงานเขามาหรือเปล่า หนังสือพิมพ์ข่าวสด

ส่วนคนขับ EV กลับต่างจังหวัดจริงๆ ก็พากันโพสต์แสดงตัวว่า สถานีชาร์ไฟหลายที่ว่าง บางแห่งต้องรอบ้าง แต่คนที่ขับรถ EV ข้ามจังหวัดย่อมมีการวางแผนไว้ก่อน บางรายจอดรถ EV ไว้ที่บ้าน แล้วใช้รถน้ำมันขับกลับบ้าน


ประเด็น ถามว่าการเดินทาง คนใช้รถ EV จะมีปัญหาการชาร์จรถไหม ? ผมว่าคงจะมีบ้าง แต่ไม่ได้มากมาย ไม่อย่างนั้นต้องเป็นข่าวคนชกต่อยกันหน้าตู้ชาร์จไปแล้ว ยิ่งสมัยนี้ข่าวโซเชียลไปเร็ว ไม่มีทางเงียบอยู่ได้ อย่างคนใช้รถ EV ที่โพสต์แย้ง "ไม่ติดปัญหานะ วางแผนเป็นครับ", "ไปชาร์จไม่เห็นต้องรออะไรเลย อยู่คนละมัลติเวิร์สกะคนใช้น้ำมันที่มาแซะแน่ๆ", "สงสัยอยู่คนละ Multiverse กับชาวที่แย่งชาร์จ นั่งดูในแอป ReverCharger ตอนเที่ยงก็ว่าง ตอนนี้บ่าย 14.30 ก็ยังว่างยาวเลยครับ"

อีกคนหนึ่ง ขับรถ EV ไปหัวหิน "ว่าจะไม่โพสต์อะไรเพิ่มให้เพื่อนหาประสบการณ์กันสนุกๆ เอง แต่ข่าวออกถี่เหลือเกินว่ารอบนี้จะมีมวยแย่งที่ชาร์จกัน เริ่มกังวลใจเลยต้องจัดสักรอบว่าจริงไหม ใช่ไหมตามข่าว วันนี้ออกเดินทางเลยแวะ super charger ที่เซ็นทรัลพระราม 3 อัดไปเต็ม 100% ในระบบขึ้นว่าเดินทางได้ 516 km ที่พักที่จองไว้ ระยะทาง 195 km แบตจะเหลือ 59% จริงๆ ไม่ชาร์ก็ถึงสบาย แต่อยากลองชาร์จ 100% สักครั้ง ตั้งแต่รับรถมาไม่มเคยชาร์จ 100 เลย กลัวแบตเสื่อมตามที่ได้ยินมาและเบรกรีเจนจะไม่ทำงาน ก็ลองซะเลยว่าเป็นแบบไหน ลองแล้วยกคันเร่งหน่วงได้อยู่ แต่รู้สึกเบาลงนิดๆ ไม่มาก ขับแบตลดถึง 95% ไฟที่แจ้งว่าระบบรีเจนน้อยลงหายไป กลับมาหน่วงแบบปกติ


แวะพักที่้ Porto Go เพื่อซื้อกาแฟและนัดกับญาติไว้มาเจอกันที่นี่ ระบบคำนวณว่าแบตจะเหลือ 90% ไปถึงจริงเหลือ 88% เห็นที่ชาร์จว่างอยู่ 1 หัว Elexa ก็เสียบเลยแวะซื้อกาแฟและของกิน แป๊บเดียวแบบ 100% มีคนจะต่อแค่ 1 คัน ไม่คิวยาวแบบพร้อมต่อยสวมนวมตามข่าว 555

แต่เส้นพระราม 2 มันจะก่อสร้างอีกกี่ชาติไม่รู้ ผมขับเส้นนี้มันตั้งแต่อายุ 20 ตอนนี้ 42 ก็ยังสร้างอยู่ตลอด รถติดเพราะก่อสร้างตลอด หวังว่าก่อนตายเห็นมันสร้างเสร็จซะที

ผ่านจุดก่อสร้างก็วิ่งสบาย มีรถมากบางช่วง แต่ทำความเร็วได้สบายๆ ยิงยาวต่อถึงที่พัก จาก 100% เหลือ 70% โรงแรมอนุญาตให้เอาสายชาร์จฉุกเฉินเสียบได้ เพราะไม่มีที่ชาร์จ แต่ให้ชาร์จฟรี สายชาร์จได้ 2kW แบตเหลือแบบสบายๆ ปล. ที่กังวลตามข่าวคืออะไรหว่า สงสัยอยู่คนละจักรวาล"

ประเด็น ข่าวที่ออกมาคืออะไร? ผมไม่อยากพูดว่าเป็นการตลาดเตะตัดขาคู่แข่ง แล้วหนังสือพิมพ์ข่าวสดก็รับงานของบรรดาค่ายรถยนต์ที่ขายแต่รถยนต์สันดาปมาหรือเปล่า นอกจากนี้ ราคารถมือสองของรถยนต์ที่ใช้เครื่องสันดาปนั้น ตกฮวบฮาบลงอย่างมาก สังเกตว่าช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เต็นท์รถมือสองปิดกิจการไปหลายแห่ง เพราะ หนึ่ง ภาวะเศรษฐกิจซบเซา หนี้เสียที่ว่ากันว่าช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา NPL ในวงการเช่าซื้อรถยนต์สูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ทำให้บรรดาไฟแนนซ์ต่างๆ ขยาด ไม่กล้าปล่อยกู้พร่ำเพรื่อเหมือนเก่า สอง การเปลี่ยนผ่านระหว่างรถใช้น้ำมันไปเป็นรถใช้ไฟฟ้า ทำให้คนลังเลที่จะซื้อรถมือสอง โดยหันไปซื้อรถไฟฟ้ามือหนึ่งแทน ปัจจุบันก็มีหลายยี่ห้อที่ราคาลดลงมามากแล้ว

ยกตัวอย่าง รถมือสองของยุโรปหลายๆ ยี่ห้อ เช่น เบนซ์, BMW ผมได้ข่าวว่าบางรุ่นราคาลดไป 70-80% จากการซื้อในตอนต้น เช่น ซื้อมือหนึ่งมา 3 ล้านบาท ผ่านไป 4-5 ปี ราคาลดเหลือแค่ 4-5 แสนบาท เป็นต้น อีกไม่นานนี้ ผมทำนายได้เลยว่าจะถึงอวสานของเต็นท์รถมือสองที่ใช้น้ำมันอย่างสมบูรณ์ ทำไมถึงพูดเช่นนี้ ? การเข้ามาของรถไฟฟ้า (EV) ณ ปัจจุบัน ทำให้ลูกค้าชะงักงัน ไม่ซื้อรถยนต์ โดยเฉพาะรถสันดาปมือสอง เพราะต้องการดูความเสถียรของรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งมาตรการของรัฐ


ช่วงเวลานี้เป็นเหมือนสุญญากาศที่ลูกค้ากำลัรอความชัดเจนว่า รัฐจะมีมาตรการช่วยในการซื้อรถ EV อย่างไร ขณะเดียวกัน ลูกค้าบางส่วนที่งบน้อยก็รอให้รถน้ำมันราคาถูกลงกว่านี้ แต่ในท้ายที่สุด เมื่อมีรถไฟฟ้าเข้ามาเพิ่มในตลาด ราคารถไฟฟ้าก็ย่อมถูกลงเหมือนกัน ดังนั้น คนก็หันไปซื้อรถไฟฟ้ากันหมด นี่คือปัญหาใหญ่ของรถที่ใช้น้ำมัน และกำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาด เพราะฉะนั้นแล้ว อะไรที่สามารถเตะตัดขาได้ โดยเฉพาะในเรื่องสถานีชาร์จ ก็ทำกันอย่างเต็มที่เลย น่าเสียดายที่หนังสือพิมพ์ข่าวสดก็เป็นเครื่องมือของเขาไปด้วย

เบื้องลึกอภิมหาโคตรชุ่ย รถไฟฟ้า "รางร่วง-ล้อหลุด"

ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้มันมีความหมายมาก มันเป็นเรื่องของสวัสดิภาพ ความปลอดภัยของประชาชน กับบทบาทของนักการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้รับการสนับสนุนจากนายทุนเจ้าของสัมปทานในการเลือกตั้ง แล้วนักการเมืองคนนี้ก็เข้ามาดูแลรับผิดลอบในเรื่องระบบราง ก็คือดูแลเรื่องเกี่ยวกับรถไฟ ระบบรางทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟใต้ดิน รถไฟลอยฟ้าของ BTS


ท่านผู้ชมฟังเรื่องที่ผมพูดให้ฟังดีๆ แล้ว ท่านผู้ชมอาจจะเศร้าโศกสลดถึงความบัดซบของระบบบ้านเมืองเรา ที่นักการเมืองไม่รู้หน้าที่ตัวเองว่าตัวเองเข้ามาเพื่อรับใช้ประชาชน แต่กลับไปรับใช้เจ้าของทุน เจ้าของสัมปทาน เจ้าของสัมปทานเองก็มาเล่นการเมืองด้วยการเอาเงินสนับสนุนนักการเมืองพวกนี้ให้ได้ตำแหน่งแห่งที่ แล้วก็ใช้อำนาจของความเป็นรัฐมนตรีช่วยมาข่มขู่ประชาชน ข่มขู่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

ที่ผมพูดนั้น คือเรื่องของอุบัติเหตุรางนำไฟฟ้า (Conductor rail) เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2566 รางนี้เป็นรางจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับรถไฟฟ้าสายสีชมพู หลุดร่วงจากทางวิ่งลงชั้นพื้นถนน เกี่ยวสายไฟบริเวณหน้าตลาดชลประทาน อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จนทรัพย์สินประชาชนได้รับความเสียหาย เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นในเวลา 04.45 น. บริเวณหน้าสถานีสามัคคี

ถัดมาอีกไม่กี่วัน ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ คือเมื่อวันอังคารที่ 2 มกราคม ที่ผ่านมา ก็เกิดอุบัติเหตุล้อรถไฟฟ้าสายสีเหลืองตกใส่รถแท็กซี่ ได้รับความเสียหาย จุดเกิดเหตุอยู่ถนนเทพารักษ์ กิโลเมตรที่ 3 หรือระหว่างสถานีเทพา และสถานีศรีด่าน


อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้งนี้แม้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ก็ต้องบอกว่าเดชะบุญ เพราะว่าเหตุเกิดในช่วงเวลาที่ไม่มีผู้คนสัญจรมากนัก แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากถึงความไม่ปลอดภัยจากงานก่อสร้างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

ท่านผู้ชมครับ เหตุการณ์ทั้งสองครั้งนี้ คนในวงการก่อสร้างเขารู้ดีว่าตามมาตรฐานแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรง และจะนำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นในการใช้บริการขนส่งสาธารณะของรถไฟฟ้าทั้งสองสาย ที่มีคนตั้งชื่อให้น่ารักน่าชังว่า สายสีชมพู คือ "น้องนมเย็น" ส่วนสายสีเหลือง คือ "น้องเก๊กฮวย" แต่ความเป็นจริงแล้ว รถไฟฟ้าสองสายนี้กลับไม่น่ารักตามชื่อ กำลังเป็นความน่ากลัวของประชาชนผู้ใช้บริการ และคนใช้รถใช้ถนน ที่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีอะไรหล่นจากฟ้าใส่หัวตัวเอง หรือรถยนต์ นอกจากรางนำไฟฟ้าและล้อรถไฟฟ้าอีก


ท่านผู้ชมครับ ผมเอาเรื่องนี้มาพูด ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เป็นเรื่องใหญ่ต้องวิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงเบื้องหลังกัน เพราะว่าเหตุที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เป็นความบังเอิญ และไม่บังเอิญอีกเหมือนกันที่รถไฟฟ้าที่มีปัญหา ทั้งสายสีชมพู และสายสีเหลือง เป็นระบบรถไฟรางเดี่ยว หรือที่เรียกว่า โมโนเรล ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าใครเป็นเจ้าของสัมปทาน มันเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัท บีทีเอส บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง (มหาชน)

บีทีเอส ท่านผู้ชมคงรู้พอสมควรแล้วว่าเป็นของคุณคีรี กาญจนพาสน์ ส่วนบริษัท ซิโน-ไทยฯ เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างของตระกูลชาญวีรกูล ตระกูลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรียกได้ว่าสองสายนี้เส้นแข็งปึ๋ง คนๆ หนึ่งมีเงินมีทองเยอะมาก แล้วเอาเงินเอาทองไปจับจ่ายใช้สอยกับนักการเมือง อีกคนหนึ่งก็เป็นถึงรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ทั้งสายสีชมพู และสายสีเหลือง บริษัทตระกูลอนุทินเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง รับผิดชอบงานโยธา ส่วนงานระบบและการเดินรถไฟฟ้า ดำเนินการโดยบีทีเอส ของนายคีรี งานนี้ทั้งๆ ที่เห็นอยู่แล้วว่าชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมีความเสี่ยงสูงแค่ไหน กับความห่วยแตกของงานก่อสร้างและระบบความปลอดภัยที่โป๊ะแตกออกมา ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าวว่าไม่มีบทลงโทษใดๆ เลยมาจากกระทรวงคมนาคม ต้นสังกัดโครงการรถไฟฟ้าทั้งสองสาย มิหนำซ้ำกลับเร่งให้เปิดบริการ โดยส่วนที่รางนำไฟฟ้าร่วง ยังซ่อมไม่เสร็จเลย เร่งให้เปิดบริการ และที่ล้อหลุดก็ยังไม่มีการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างละเอียด


แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่าทำไมต้องเร่งให้เปิดบริการสายสีชมพู ? เพราะว่าเงินรออยู่แล้ว 2,200 ล้านบาท ถ้าเร่งเปิดบริการเมื่อไรก็จะสามารถเบิกเงินจากรัฐบาลได้ 2,200 ล้านบาท สรุป เงินเป็นตัวตั้ง ความปลอดภัยของท่านผู้ชม ช่างมัน

เอาล่ะ เรามาว่ากันถึงกรณีรถไฟฟ้าสายสีชมพูกันก่อน หลังเกิดเหตุรางนำไฟฟ้าร่วง กระทรวงคมนาคม โดยคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการฯ และนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลระบบราง ไปลงตรวจพื้นที่ คุณสุริยะขึงขังมาก สั่งให้ปิดชั่วคราวทันที สาเหตุท่านอธิบายมาว่าเป็นเรื่องของดิน ส่วนรัฐมนตรีช่วยฯ สุรพงษ์ บอกว่ารางนำไฟฟ้าที่ร่วงเพราะได้รับผลกระทบจากงานก่อสร้างบริเวณใกล้เคียง เป็นเหตุผลที่บัดซบจริงๆ


คำอธิบายฟังแล้วน่าตลก แบบนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าออกจากปากระดับรัฐมนตรีคมนาคมทั้งคู่ อย่าลืมนะครับท่านผู้ชม เฉพาะคุณสุรพงษ์ คนเดียว เป็นอดีตนายก อบจ. นายก อบต. นักการเมืองท้องถิ่น ไม่รู้เรื่องวิศวะอะไรเลย แต่ทะลึ่งมาออกความเห็นว่ามีงานก่อสร้างใกล้ๆ มันก็เลยทำให้รางตก

คำถามผมมีอย่างนี้ครับ คุณสุรพงษ์ คุณสุริยะ คุณคีรี ครับ โครงการนี้เอาเงินภาษีอากรประชาชนมูลค่าสี่หมื่นกว่าล้านบาท เพราะอะไร เพราะเหตุใด ทำไมมันถึงเปราะบาง อ่อนไหวได้ขนาดนี้ อ่อนไหว เพียงแค่ดินและงานก่อสร้างข้างเคียง ก็สามารถทำให้เกิดปัญหากับรางนำไฟฟ้าจนร่วงสู่พื้นอย่างนั้นหรือ ที่เหลือเชื่อไปกว่านั้นคือเอกชนผู้รับสัมปทาน ผู้รับเหมางานโยธา ก็ไม่โดนปรับ ไม่ถูกลงโทษใดๆ เลยนอกจากความชุ่ย ก็ช่วยไม่ได้ ท่านผู้ชมครับ ตระกูลชาญวีรกูล มีคุณอนุทิน เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งฯ และเป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รองนายกฯ เสียด้วยซ้ำ ไม่ใหญ่ แล้วใครจะใหญ่ล่ะ


คุณสุริยะ เปลี่ยนเป็นคนมือไม้อ่อนตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เพราะฉายาของคุณสุริยะ คือ "สุริยะมือเหล็ก" แค่คาดโทษเบาๆ เอาไว้ว่า คราวหน้าอย่าให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ที่เหลือโอนอ่อนผ่อนตาม คุณสุรพงษ์ รัฐมนตรีช่วยฯ ให้ช่วยๆ เอกชนเปิดบริการกันไป ประชาชนจะเป็นอะไร นักการเมืองสองคนนี้ไม่สนใจ สนใจอย่างเดียว กลัวคุณคีรี กาญจนพาสน์ จะไม่ได้เบิกเงิน 2,200 ล้านบาท


ท่านผู้ชมครับ แนวรางนำไฟฟ้าที่เป็นปัญหาร่วงหล่นลงบนพื้นนั้น ว่ากันว่ายาวถึง 5 กิโลเมตร จากระยะทางรวมของเส้นทางตลอดทั้งสาย 34.5 กิโลเมตร คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 15% ของทั้งโครงการ น่ากลัวไหมท่านผู้ชม ส่วนที่ร่วงลงมา เอกชนผู้รับสัมปทานชี้แจงว่ารออะไหล่มาเปลี่ยน ท่านผู้ชมครับ เขาก่อสร้างโดยเขาไม่มีอะไหล่เลยแม้แต่นิดเดียวที่จะเตรียมพร้อมไว้ในกรณีเกิดข้อผิดพลาด รออะไหล่ที่จะมาเปลี่ยน เร่งซื้อ สั่งซื้อตัวรางจ่ายกระแสไฟฟ้า อุปกรณ์ยึดรางจ่ายไฟฟ้า หรือคลิปยึด จากผู้ผลิต ซึ่งระยะทาง 5 กิโลเมตร ต้องใช้ถึง 1,700 ตัว เขาคาดว่าจะมาถึงประเทศไทยสิ้นเดือนมกราคมนี้ ประเด็นคือว่า แม้อะไหล่จะมาถึง แต่ยังไม่รู้ว่าจะซ่อมเสร็จ เปิดใช้งานได้ 100% เมื่อไร

ท่านผู้ชมครับ เรามาดูนายสุรพงษ์ รัฐมนตรีช่วยฯ สุรพงษ์ ลูกน้องของคุณคีรี กาญจนพาสน์ โดยตรง แล้วเดี๋ยวผมจะเล่าประวัติให้ฟังว่าทำไมคุณคีรี ถึงจะมีบทบาท มีอิทธิพลเหนือรัฐมนตรีช่วยฯ สุรพงษ์ และสุรพงษ์ก็ยินดีพร้อมจะเป็นคนรับใช้ให้กับนายทุนทางการเมืองของตัวเองอย่างเต็มที่


30 ธันวาคม ที่ผ่านมา คุณสุรพงษ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมทดลองเดินรถ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ตั้งแต่เวลา 17.00 น. วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา รถไฟฟ้าสายสีชมพูได้เปิดให้ประชาชนใช้บริการทดลองเดินรถทั้ง 30 สถานี อีกครั้งทั้งหมด ปรับรูปแบบการเดินรถ ให้ผู้โดยสารจากสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี หรือจากสถานีมีนบุรี ต้องแวะเปลี่ยนขบวนรถที่สถานีกรมชลประทาน จากนั้นจึงเดินทางต่อไปยังสถานีปลายทางได้ การเดินทางแบบทางเดียวนั้นจะใช้เวลารอขบวนรถประมาณ 15-20 นาที

นายสุรพงษ์ (คนละคนกับสุรพงษ์ รัฐมนตรีช่วยฯ) เป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของบริษัท บีทีเอส ระบุว่า หลังจากหารือร่วมกับกระทรวงคมนาคม และ รฟม. คือการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การเปิดให้บริการเก็บค่าโดยสาร 15-46 บาท จะเริ่มวันที่ 7 มกราคมนี้ โดยจะเก็บค่าโดยสารในอัตรา 13-38 บาท จะงดเว้นไม่ให้เก็บค่าโดยสารใน 4 สถานีที่ยังเดินรถทางเดียวอยู่ (ก็คือ 4 สถานีที่มีปัญหาตัวรางจ่ายไฟฟ้าร่วงหล่นลงมา) ความหมายนี้แปลว่าอะไร ? แปลว่ารัฐบาลอนุญาตให้รถไฟฟ้สายสีชมพูเปิดให้บริการ จะเก็บค่าโดยสารในวันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม หรือวันมะรืนนี้ โดยที่ยังมีคำถามคาใจประชาชนว่า มีการตรวจสอบความปลอดภัยทั้งระบบแล้วหรือ ทั้งๆ ที่เหตุเพิ่งเกิดสดๆ ร้อนๆ ก่อนหน้านี้เพียง 14 วัน


ได้ข่าวว่า ทั้งคุณสุริยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายสุรพงษ์ รัฐมนตรีช่วยฯ เด็กในคาถาของคีรี กาญจนพาสน์ ต่างให้สัมภาษณ์การันตีแบบเอาหัวเป็นประกันถึงความปลอดภัย 100% ท่านรัฐมนตรีครับ ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา คนเขาตายขึ้นมา เขาไม่ได้อยากได้หัวท่านหรอกครับ เพราะหัวท่าน กบาลท่าน มีแต่สมองเน่าๆ ไม่ได้รับผิดชอบต่อภาวการณ์ของสังคมไทยเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่สนใจความปลอดภัยของประชาชน สนใจอย่างเดียว ช่วยนายทุนลูกเดียว พวกท่านอายบ้างหรือเปล่า คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และรัฐมนตรีช่วยฯ สุรพงษ์ ปิยะโชติ

ในหลักการบริหาร ผมจะสอนให้ การจัดการระบบรถไฟฟ้า หรือการคมนาคมก่อสร้าง ไม่ว่าที่ใดก็ตาม ความปลอดภัยต้องมาก่อน คือ Safety First เวลาคุณขึ้นเครื่องบิน จะคาเธ่ย์ แปซิฟิค การบินไทย หรือสายการบินใดก็ตาม สายการบินจะเน้นในเรื่องของความปลอดภัยก่อน Safety First ถ้ามีอะไรไม่ปลอดภัย เขาจะจอดเครื่องบิน เขาจะตรวจสอบใหม่ทันทีเลย ตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีกจนมั่นใจ นี่รถไฟฟ้า 2 เส้น ที่ทุเรศทุรังนี้ มีอุบัติเหตุทั้ง 2 เส้น ยังไม่ได้ตรวจสอบ ยังไม่ได้ทดลองวิ่ง ข้าวของที่สั่งก็ยังไม่มา เพราะบอกว่าปลายมกราคมถึงจะมา ต้องรอให้ปลายมกราคม มาแล้วติด แล้วก็ทดสอบใหม่ ไม่ใช่จะให้เปิดเดินรถวันที่ 7 เลย

แล้วที่คมนาคมสรุป สรุปตามใครรู้ไหมท่านผู้ชม ? น่าอับอายขายหน้ามาก โคตรขายหน้าเลย ถามบีทีเอสบอกว่า ตรวจสอบแล้ว สามารถเดินรถได้ คุณตรวจสอบได้อย่างไร ก็ในเมื่ออะไหล่คุณสั่งมา ปลายเดือนมกราคมถึงจะมา แล้วคุณตรวจสอบอะไร คุณต้องให้อะไหล่มา แล้วคุณเติมให้ครบ เรียบร้อย แล้วคุณค่อยตรวจสอบอีกทีหนึ่ง พอคุณตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณค่อยส่งให้กระทรวงคมนาคม ให้เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ หรือ รฟม. เขาส่งผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ถ้าทุกอย่างปลอดภัย นั่นล่ะ ถือว่าผ่านแล้ว เขาก็จะสามารถออกใบ Certificate ให้คุณได้ แล้วคุณก็สามารถเอาใบนี้ไปเบิกเงิน 2,200 ล้านบาท ซึ่งคุณงกฉิบหายเลย ต้องการที่จะเบิก นี่ คุณสุริยะ และคุณสุรพงษ์ คุณกำลังช่วยให้ผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นนายทุน เป็นนายทุน ต้องการได้เงินก่อน ความปลอดภัยมาทีหลัง คุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร คุณสุริยะ คุณสุรพงษ์ คุณเป็นรัฐมนตรีที่เฮงซวยมากๆ เห็นแก่เงิน


การรีบดันทุรังให้มีการเปิดบริการทั้งๆ ที่มีอุบัติเหตุขึ้นมา คุณสุรพงษ์ รัฐมนตรีช่วยฯ มีการเรียกผู้ว่าฯ รฟม. มาด่า บอกว่าคุณต้องรีบเปิด ให้ใบ Certificate เขา เพื่อเขาจะได้เบิกเงินได้ เขาบอกมาแล้วว่าปลอดภัย คุณช่วยคุณคีรีมากจนเกินงามแล้วนะคุณสุรพงษ์ เพื่อแลกกับที่คุณคีรีช่วยคุณ สนับสนุนเงินทองในการหาเสียงที่จังหวัดกาญจนบุรี กี่สิบล้าน ผมยังรู้เลยว่าเขาช่วยคุณเท่าไร

เดิมทีคุณกะว่าจะเปิด 31 ธันวาคม 2566 แต่ว่าคุณสุรพงษ์ รัฐมนตรีช่วยฯ เรียกผู้ว่าฯ รฟม. สั่งการเลยนะท่านผู้ชม ท่านผู้ชมจดบัญชีนี้ลงไปเลย สั่งการให้ รฟม. ต้องอนุญาตให้คู่สัญญา คือกลุ่มบริษัทบีทีเอสของนายคีรี เปิดเดินรถได้ตามปกติตามกำหนดเดิม โดยไม่มีเงื่อนไข

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ว่าฯ รฟม. ครับ ท่านต้องยืนหยัดบนหลักการนี้ เพราะว่าเมื่อมีคนไปร้อง ป.ป.ช. แล้ว มีคนร้องแน่ เขาเตรียมเอกสารกันแล้ว ท่านจะตกเป็นจำเลยนะครับ แล้วสิ่งที่ท่านปฏิเสธรัฐมนตรีช่วยฯ สุรพงษ์ ไป ซึ่งเป็นใครล่ะ ? อดีตนายก อบจ. กาญจนบุรี อดีตนายก อบต. กาญจนบุรี ออกคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยหลักการระเบียบ ท่านผู้ว่าฯ รฟม. ท่านคุมเรื่องระเบียบความปลอดภัย Safety First การก่อสร้างทุกอย่าง ท่านยืนหลักท่านให้แม่น คุณสุรพงษ์ทำอะไรท่านไม่ได้หรอก จะมาซี้ซั้วย้ายกันได้อย่างไร ฟ้องศาลปกครองกันตายเลยคราวนี้ ผมอยากเห็นคุณสุรพงษ์ขึ้นเป็นจำเลยศาลปกครองสักที ให้ตายสิคุณสุรพงษ์ ผมอยากเห็นคุณเป็นจำเลย แล้วผมจะตามจิกตามกัดคุณตลอดไปเลย


มีรายงานว่า คุณคีรี มีใบสั่งมาว่าหาก รฟม. จะไม่อนุญาตเปิดบริการ จะเกิดปัญหาเงื่อนไขการรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล คือพูดง่ายๆ ว่า วันนี้เงินมันสำคัญกว่าความปลอดภัยไปแล้ว เงินสนับสนุนตามมติคณะรัฐมนตรี มีอย่างนี้ครับ รายการนี้คือเงินที่รัฐบาลสนับสนุนค่างานโยธา กำหนดเอาไว้จำนวนเงิน 22,500 ล้านบาท แต่จ่ายภายใน 10 ปี แบ่งเป็นงวด เฉลี่ยแล้วปีละประมาณ 2,200 ล้านบาท มันก็ต้องมีหนังสือรับรองเริ่มให้บริการเดินรถไฟฟ้าทั้งระบบ หรือเรียกกันในวงการสั้นๆ ว่า ใบเซอร์ แบ่งจ่ายเป็นรายปี คือเงินก้อนนี้ คุณจะเปิดตอนนี้ หน้าด้านเปิดเพื่อช่วยคุณคีรี หรือคุณจะยืนบนหลักการ แล้วคุณบอกว่า เดี๋ยว ขอรอให้ของมาครบก่อน ที่คุณบอกว่าปลายเดือนมกราคม จะมา คุณเอาไปใส่ให้เรียบร้อยแล้วคุณทดสอบ เมื่อทดสอบแล้วถ้ามันปลอดภัยจริง ไม่เกินกุมภาพันธ์ คุณก็เปิดได้ คุณก็รับเงินเดือนกุมภาพันธ์ ก็ได้นี่ 2,200 ล้านบาท แต่สิ่งที่ประชาชนจะได้คือ ได้ความมั่นใจและความมั่นคงในความรู้สึกว่ารถไฟฟ้าสายสีชมพู และสีเหลือง นั้นปลอดภัยจริงๆ ห่างกันแค่เดือนเดียว กระสันอยากได้เงินกันใจแทบขาด รัฐมนตรีที่เป็นผู้รับใช้เขา ก็ทำงานคุ้มค่าเงินที่เขาช่วยในการเลือกตั้ง


คุณสุรพงษ์ คุณอายบ้างหรือเปล่า คุณต้องรู้นะ คุณไม่ใช่นักการเมืองท้องถิ่นแล้ว แล้วคุณมาตำแหน่งนี้ได้อย่างไร เดี๋ยวผมจะเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง ผมจะสรุปง่ายๆ 2-3 ประโยค

นายสุรพงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีคำสั่งทางวาจาให้ผู้ว่าฯ รฟม. ออกใบเซอร์ให้กับสายสีชมพูในวันที่ 31 ธันวาคม เพื่อรับรองการเปิดบริการได้ โดยการปฏิบัติแล้ว ท่านผู้ชมที่อยู่แถวนั้นรู้ใช่ไหมว่าถนนข้างล่างยังทำไม่เสร็จ วัสดุก่อสร้างยังเต็มไปหมดเลย จริงๆ แล้ว เพื่อความเรียบร้อย ผู้รับสัมปทานต้องจัดการทุกส่วน ข้างบน-ข้างล่าง ให้เรียบร้อย แล้วถึงจะเบิกเงินได้ แต่นี่เร่งไง เพราะนายทุนหิวเงิน อยากได้เงิน 2,200 ล้านบาท ก็เลยเปิดวันที่ 31 ธันวาคม แต่เผอิญวันที่ 24 ธันวาคม 2566 เจ็ดวันก่อนจะถึง dead line ออกใบเซอร์ เกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ก็เลยทำให้ทุกอย่างชะงักไปหมด สะดุด แต่จะรอต่อไป คุณคีรีไม่ยอมหรอก เพราะต้องการเอาเงินมาจับจ่ายใช้สอย จ่ายค่าดอกเบี้ย ต้องเร่งให้รัฐบาลจ่ายเงินค่าสนับสนุนโดยด่วน โดยไม่สนใจความปลอดภัย สุรพงษ์ รัฐมนตรีช่วยฯ ก็ไม่สนใจความปลอดภัย สนใจอย่างเดียว หายใจเข้า หายใจออก จะทำอย่างไรให้เจ้านายได้เบิกเงิน 2,200 ล้านบาท


และนี่คือที่มาที่ไป เบื้องหน้าเบื้องหลัง ว่าทำไมรถไฟฟ้าสายสีชมพูถึงต้องรีบเร่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ที่ผ่านมา และจะเริ่มเก็บค่าโดยสารอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 มกราคมนี้ คน รฟม. อึดอัด คับข้องใจมาก โดนสั่งจากเบื้องบน ไปยอมทำไมท่านผู้ว่าฯ งานนี้ถ้าฟ้องไป ป.ป.ช. นะ สาธุ! อย่าให้เกิดเลย ท่านผู้ว่าฯ ครับ คุณสุรพงษ์ครับ คุณเร่งเปิด ถ้าเกิดขบวนทั้งขบวน ซึ่งมันเป็นรางเดี่ยว โมโนเรล ร่วงลงมาทั้งขบวน แล้วมีคนตาย คุณคีรี คุณรับผิดชอบได้มากน้อยแค่ไหน

อย่างน้อยที่สุด ทำให้ รฟม. เขาสบายใจ เพราะเขาต้องรับผิดชอบ มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากออกใบเซอร์แล้ว เขาต้องรับผิดชอบ ผมภาวนาอย่าให้เกิดขึ้นเลย

เรื่องนี้ถ้ามีคนไปร้องเรียน ป.ป.ช. งานเข้าแน่ เพราะตามหลักการแล้วถ้าเรายืนอยู่บนความจริงที่เกิดขึ้น ดำเนินการตามสัญญา รฟม. ก็มีสิทธิ์ที่จะบอกเลิกใบเซอร์ บอกเลิกไปเลย หรือไม่ก็ไม่อนุญาตให้เปิดบริการจนกว่าจะมีผลการตรวจสอบทั้งระบบเพื่อความปลอดภัย 100% เหมือนที่ผมพูดไงท่านผู้ชม รับเงินช้าไปเดือนหนึ่งจะเสียหายอะไร ทำให้มันถูกต้อง ทำให้มีระบบที่ปลอดภัย ที่ถูกต้อง ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุอีก แต่พอบีทีเอสดิ้นรนจะเปิดให้ได้ สุรพงษ์ รัฐมนตรีช่วยฯ ก็มาบีบ รฟม. ให้ทำตามใบสั่ง ไม่อย่างนั้นบีทีเอสจะไม่ได้รับเงินสนับสนุน เบิกไม่ได้ 2,200 ล้าน


แล้วมันก็ต่อด้วยรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีเหลือง จากกลุ่มเดียวกันนี่ล่ะ บีทีเอสได้รับสัมปทานทั้งคู่ คมนาคมไม่ได้ทำอะไรเพื่อลงโทษ หรืออย่างน้อยก็แบล็กลิสต์เอาไว้ นี่พวกคุณไม่สนใจ คุณสุริยะ คุณสุรพงษ์ คุณไม่ได้สนใจความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนเลยหรรือ แม้แต่นิดเดียว เฮ้ย! คุณเป็นนักการเมืองที่โคตรหน้าด้านเลยนะ โคตรหน้าด้านเลย หน้าด้านฉิบหาย

เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก รถไฟฟ้าสีเหลือง ปรากฏว่าเกิดอะไรขึ้น ? ล้อหล่นมา เมื่อล้อหล่นมาแล้ว แทนที่รัฐมนตรีช่วยฯ จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อเป็นบทลงโทษให้รถไฟฟ้าสีเหลือง ก็ย่อมได้ เช่น สั่้งตรวจสอบการเดินรถว่าจะให้บริการต่อต้องมั่นใจในความปลอดภัย หรือสั่งทบทวนการปฏิบัติตามสัญญาการเดินรถ หรือ KPI ก่อนรัฐบาลจะจ่ายเงินค่าสนับสนุนปีละสองพันกว่าล้านบาท

คุณสุรพงษ์ ผมรู้ว่าคุณเป็นเด็กเจ๊แดง แล้วคุณได้รับคำสั่งจากชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ให้มานั่งที่รัฐมนตรีช่วยฯ คมนาคม ให้ดูแลระบบราง ซึ่งผมไม่รู้ว่าคุณคีรีไปพูดจาตกลงอะไรกับคุณทักษิณ ชินวัตร แต่ผมเตือนคุณทักษิณ ชินวัตร หน่อย คุณทักษิณ คุณอย่าเห็นแก่เงินมากจนเกินไป คุณจะเล่นการเมืองให้สะอาดโปร่งใสเสียที ทั้งๆ ที่ทุกวันนี้คุณไม่โปร่งใสเลยแม้แต่นิดเดียว วันนี้คุณจะต้องโทรไปบอกเลยกับคุณสุรพงษ์ ก็คุณเป็นคนบอกให้จัดโควตาให้สุรพงษ์นั่งนี่ คุณโทรไปบอกเขาสิ บอกคุณภูมิธรรมก็ยังได้ บอกว่า เฮ้ย! บอกสุรพงษ์มันหน่อย บอกคีรีด้วย ให้รอหน่อย ให้ตรวจสอบให้เรียบร้อย ให้ปลอดภัย ทุกอย่าง ให้ปลอดภัย 100% แล้วค่อยอนุญาตให้ใบเซอร์มา


แล้วท่านผู้ชมรู้ไหม รถไฟฟ้าสายสีเหลืองนั้น บีทีเอสอ้างเกิดจากความผิดพลาดจากโรงงานผลิตล้อรถไฟฟ้า คำถามมีอย่างนี้ครับท่านผู้ชม เวลารัฐมีคู่สัญญาเป็นเอกชน สัมปทาน เรามีไปทำไม ? เกิดอุบัติเหตุแล้วก็โบ้ยทุกเรื่องไปบริษัทอื่น ส่วนบีทีเอสมีคู่สัญญากับรัฐก็ลอยตัว ส่วนนายสุรพงษ์ก็ไม่หือไม่อือ เชื่อไปตามบีทีเอส เอกชนอ้างมาอย่างไร รัฐก็ว่าอย่างนั้น เฮ้ย! คุณทำงานให้เจ้าสัวเขาเกินคุ้มนะ แต่คุณทำงานมากเกินงาม

คนที่รู้ความจริง ประชาชนที่รู้ความจริง คนที่รู้อะไรจากผมวันนี้ แชร์ไปเยอะๆ ให้ประชาชนก่นด่าโคตรเหง้าของคนที่ไม่รับผิดชอบต่อชีวิตประชาชน ก็เลยถามว่า ระหว่างนายสุรพงษ์ กับ คีรี กาญจนพาสน์ มีความสัมพันธ์อย่างไร คนเป็นรัฐมนตรีถึงยอมทำตามใบสั่งบริษัทเอกชนได้แบบเรียกว่าแทบสิโรราบ ไม่กล้าหือเลยแม้แต่นิดเดียว มา เรามาดูนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ กัน

นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ ปีนี้อายุ 56 ปี เป็นคนตำบลทุ่งสมอ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เจริญเติบโตมาจากสายนักการเมืองท้องถิ่น เคยเป็นนายก อบต. และต่อมาพัฒนาตัวเอง ผันตัวเองมาเป็นนายก อบจ. จบอนุปริญญาจากวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา อนุปริญญา ลำปาง จบปริญญาตรีเทคโนโลยีการเกษตรบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีสัตว์ คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการเมืองการปกครอง วิชารัฐศาสตร์ นี่คุณได้ปริญญารัฐศาสตร์มหาบัณฑิตมาได้อย่างไร ตอนคุณเรียนปริญญาโทเขาไม่ได้สอนหรือว่าภาระความรับผิดชอบของนักการเมืองมีอะไรบ้าง ต่อสังคม หรือคุณก็สอบๆ เรียนๆ ไปอย่างนั้นเพื่อเอาปริญญามาประดับ แต่ความรับผิดชอบต่อสังคม คุณไม่มีเลย


ในการเลือกตั้งปี 2554 คุณสุรพงษ์ลงสนามใหญ่ในนามพรรคเพื่อไทย เลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 วันที่ 14 พฤษภาคม พรรคเพื่อไทยกวาด สส. ที่กาญจนบุรี มาได้ 4 ที่นั่ง จากทั้งหมด 5 ที่นั่ง คุณสุรพงษ์ก็เลยได้ฉายาว่าเป็นแม่ทัพศึกเลือกตั้งเพื่อไทยในกาญจนบุรี ทั้งๆ ที่ต้องขับเคี่ยวกับพรรคพลังประชารัฐ ภูมิใจไทย และ เพื่อไทย

คุณคีรี กาญจนพาสน์ นั้น รู้ว่าสุรพงษ์ เป็นเด็กเจ๊แดง แน่นอนที่สุด นายทุนก็อยากจะมีเส้นสายทางการเมือง ก็ทุ่มเงินลงไปเพื่อช่วยสุรพงษ์ในการหาเสียง จำนวนอย่างน้อยก็ต้องครึ่งร้อยล้านบบาท 50 ล้านบาทต้องมี แล้วจังหวัดกาญจนบุรีก็เป็นจังหวัดที่ไม่ใช่กรุงเทพมหานคร การใช้เงินซื้อเสียงก็ยังปรากฏกันทั่วไป ไม่มีอะไรผิดปกติ


เพราะฉะนั้นแล้ว คุณสุรพงษ์ก็เลยได้รับการตบรางวัลด้วยตำแหน่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม คนที่หนุนหลังคุณสุรพงษ์นั้นชัดเจน อย่างที่ผมเรียนให้ทราบแล้ว

คุณสุรพงษ์นั้นเป็นเพื่อนนักเรียน วตท. (วิทยาลัยตลาดทุน) รุ่นเดียวกับคุณคีรี กาญจนพาสน์ คุณคีรี กาญจนพาสน์ เรียน วตท. รุ่นเดียวกับคุณสุรพงษ์ แล้วได้รับเลือกเป็นประธานรุ่น ซึ่งเป็นปกติธรรมดาครับ เจ้าสัว นักธุรกิจใหญ่ เมื่อเรียนรุ่นเดียวกับข้าราชการ นักการเมือง ก็จะได้รับเลือกให้เป็นประธาน เพราะเป็นสายเปย์ แล้วทำไมสุรพงษ์เข้ามาดูแลเรื่องราง ? ก็ความสนิทสนมกันตั้งแต่สมัยเรียน วตท. ด้วยกัน รุ่น 10 ปี 2553 คุณคีรีนั้นทำงานธุรกิจในเรื่องราง บีทีเอส เรื่องราง สายสีชมพู สายสีเหลือง เรื่องราง ตลอดจนพยายามที่จะประมูล เข้าไปสู้ประมูลในเรื่องของสายสีส้ม แต่เนื่องจาก รฟม. ได้เปลี่ยน TOR ใหม่ ทำให้คุณคีรีต้องถอนตัวออกไป เพราะ รฟม. นั้นใช้หลักการว่า เดิมที TOR นั้นระบุบอกว่าใครให้เงินมากที่สุด คนนั้นได้ไป แต่เนื่องจากมีการทักท้วงจากกลุ่มประชาชนและ NGO ทั้งหลาย ว่าสายสีส้มนั้นมันจะวิ่งผ่านใจกลางเมือง สถานที่โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ วัดพระแก้ว ต้องเน้นเรื่องเทคนิค บีทีเอสรู้ว่าเทคนิคสู้ไม่ได้ ก็เลยถอนตัวออกมา ไม่เข้าประมูล

ไม่เข้าประมูลไม่เป็นไร มันก็ฟ้องคนที่ชนะประมูล ฟ้องจนมั่วเลย ทุกศาล ในที่สุดทุกศาลก็พิพากษาตัดสินออกมาว่า การที่เปลี่ยน TOR นั้น รฟม. ทำถูกต้องแล้ว ไม่ผิด แล้ววันนี้ท่านผู้ชมรู้ไหม ท่านผู้ชมเคยดูรายการผม ท่านผู้ชมเข้าใจสายสัมพันธ์หรือยัง ระหว่างคุณคีรี เจ้าของบริษัทเอกชน กับรัฐมนตรีช่วยฯ คมนาคม ที่ดูแลเรื่องราง เขาลึกล้ำกันแค่ไหน และผมอยากให้ท่านผู้ชมตั้งใจฟังกันดีๆ เราย้อนหลังกันไปหน่อย ย้อนหลังถึงรถไฟฟ้าสายสีส้ม ผมพูดมาหลายครั้งหลายปีแล้ว ต้นปีที่แล้วก็พูดถึง ตอนนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ รับงานคุณคีรีออกมาตีปี๊บโวยวาย เล่นละครลิงเรื่องรถไฟฟ้าสายสีส้ม วันนี้เงียบหายไปแล้ว ผมพูดเรื่่องนี้ในตอนที่ 78 วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564 เกือบสามปีที่แล้ว แล้วผมก็พูดถึงคุณชูวิทย์ "สายสีส้มที่ชูวิทย์ ไม่อยากพูดถึง" ออกอากาศเมื่อศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 ท่านผู้ชมตามผมมา


วันนี้เราเห็นปัญหาด้านความปลอดภัยของรถไฟฟ้า โมโนเรล สายสีชมพู สายสีเหลือง รางร่วง ล้อรถหลุด นี่สะท้อนให้เห็นอะไร ? บทพิสูจน์ชัดว่า บีทีเอสไม่ได้มีความสามารถทางด้านเทคนิค ไม่เชี่ยวชาญเรื่องการควบคุมความปลอดภัย แค่งานรถไฟลอยฟ้ายังเกิดเหตุอย่างนี้เลย นับประสาอะไร ถ้าได้สัมปทานรถไฟใต้ดินสายสีส้ม ต้องขุดลอดแม่น้ำ ผ่านสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นวัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง โรงพยาบาลศิริราช พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินเกือบทั้งเส้น แล้วมันผิดจากที่ผมพูดที่ไหน ว่า การที่บีทีเอสไม่เข้าประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม เพราะรู้ว่าทางเทคนิคสู้เขาไม่ได้ พอตัวเองไม่ได้เข้าประมูลก็ตีรวนคนอื่นซึ่งเขาประมูลได้ สิ่งนี้่มันพิสูจน์ได้ชัดแล้ว กรณีอุบัติเหตุที่ความชุ่ยของพวกคุณ ในการเดินรถสายสีเหลือง สีชมพู อย่างชัดเจน

แล้วผมก็รู้มา ผมฟันธงเดี๋ยวนี้เลย นายสุรพงษ์ก็หาทางชงที่จะรื้อการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่ชนะการประมูลไปแล้ว ผ่านการฟ้องร้องไปแล้วทุกประการ ถูกต้อง เหลือเพียงแค่เอาเข้า ครม. หาข้อจับผิดที่จะยกเลิกการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ผมจะเตือนเอาไว้ก่อนนะ คดีนี้ถึงศาลแน่นอน เพราะว่าคนที่ประมูลได้สายสีส้มไม่ได้ทำผิดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ผ่านการฟ้องร้องไปแล้ว จากกลุ่มคนของบีทีเอสทั้งสิ้น แล้วศาลก็ได้ตีตราประทับเรียบร้อยแล้วว่าเขาไม่ผิด เขาทำถูกต้อง รฟม. ทำถูกต้อง เพราะฉะนั้นในแง่กฎหมายแล้ว คุณจะเที่ยวไปยกเลิกเขา คุณโดนฟ้องตายเลยงานนี้ แต่ผมฟันธงไว้เลยว่ามีความพยายามอยู่ เพราะที่ปรึกษาคนหนึ่งของบีทีเอส คือ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ตอนนี้เป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คุณทวี สอดส่อง กำลังหาช่องทางที่จะล้มการประมูลสายสีส้มให้ได้ แล้วคุณทวี สอดส่อง เป็นพรรคประชาชาติไทย ท่านผู้ชมไม่ต้องประหลาดใจ ใครเป็นนายทุนพรรคประชาชาติไทย ถ้าไม่ใช่คุณคีรี กาญจนพาสน์

เห็นหรือยังท่านผู้ชม เวลาท่านผู้ชมดูอะไร ต้องดูครบวงจร แล้วท่านผู้ชมจะเข้าใจ

ผมก็เลยอยากฝากถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม คุณสุรพงษ์ ปิยะโชติ ที่ดูแลกำกับระบบรางโดยตรง ว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นเหมือนกับที่เขาครหาหรือเปล่า ความเห็นแก่ได้ ไร้จิตสำนึกของนายทุนเจ้าของสัมปทาน ผู้รับเหมางานโยธาทำงานชุ่ย มีนักการเมืองทำเป็นสมุนรับใช้ คอยรับใบสั่ง ปกป้องดูแลเอื้อผลประโยชน์ให้ มากกว่าจะดูแลปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ใช่หรือเปล่า คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ คุณสุรพงษ์ ปิยะโชติ ต้องตอบคำถามนี้มา ผมมีคำตอบอยู่แล้ว ท่านผู้ชมฟังผมพูด ท่านผู้ชมก็จะมีคำตอบอยู่เหมือนกัน ว่ามันเป็นเช่นนี้ แล้วท่านผู้ชมเศร้าไหม ประเทศไทย เรามีนายทุนที่เห็นแก่ได้ หน้าเงิน เรามีนักการเมืองที่รับเงินนายทุนมา ออกมาปกป้องนายทุนเต็มที่ ประชาชนจะเป็นอะไร ช่างมัน กูรับใช้นายทุนกูพอแล้ว

ประกาศหาคนหาย "สามารถ-มานะ-สื่อ"

ท่านผู้ชมครับ มันมีเรื่องประกอบอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะพูด ท่านผู้ชม ผมใช้คำว่า "ความจริงที่มีหนึ่งเดียว" มีอยู่ที่นี่ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ความจริงที่มีหนึ่งเดียวจริงๆ หลายเรื่องผมเคยพูดไป ท่านผู้ชมอาจจะเห็นว่าผมนี่ขวานผ่าซาก พูดไม่เหมือนชาวบ้านเขา แหกโค้งไปเลย กระแสว่าอย่างนี้ แต่ผมไม่เห็นด้วย แล้วพอผ่านไปสักพักหนึ่ง สิ่งที่ผมแหกโค้งออกไป ความจริงที่มีหนึ่งเดียวของผมก็เป็นความจริงขึ้นมา เรื่องรถไฟฟ้านี่ก็เช่นกัน มีความจริง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง ความจริงที่เป็นหนึ่งเดียวนั้น ถ้าผมเล่าเรื่องนี้ต่อไป ท่านผู้ชมจะอ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง


ท่านผู้ชมจำคน 2 คนนี้ได้ไหม คนหนึ่งชื่อ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. คนที่สอง คือ นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ท่านผู้ชมอาจจะจำได้ บางท่านอาจจะเคยได้ยินแต่นึกไม่ออก สองคนนี้เคยพูดจาเจื้อยแจ้ว จำนรรจา แอกติ้งเรื่องรถไฟฟ้า ระบบรางของเมืองไทย ตอนนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอยจากสื่อโซเชียล ไม่เห็นออกความเห็นอะไรบ้างเลย ทั้งๆ ที่แต่ไหนแต่ไรมา ถ้ามีเหตุการณ์ทำนองนี้ สองคนนี้จะโผล่มาแล้ว

เบื้องหน้าเบื้องหลังคนสองคนนี้ ผมเคยตั้งข้อสังเกตไว้แล้วตั้งแต่รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 159 ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 25656 สองปีกว่าที่แล้ว "วิบากกรรมรถไฟฟ้าสายสีส้ม กับขบวนการจ้องล้มประมูล"


คนแรก ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ มักจะโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ติดตามเกี่ยวกับค่าโดยสารบ้าง ระบบการจัดการบ้าง ก้าวข้ามไปจนถึงการประมูลรถไฟฟ้า บอกว่ารถไฟฟ้าสายสีส้มนั้น คนประมูลได้ให้ผลตอบแทนสู้บีทีเอสไม่ได้ ล้ม TOR นั้นไม่ถูกต้อง มาเขียน TOR ใหม่นั้นไม่ถูกต้อง โอ้โห เป็นฉากเลย เพราะ ดร.สามารถ มีความมั่นใจในตัวเองสูง เนื่องจากตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบราง เอ๊ะ แต่ช่วงนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยนะ เกิดอะไรขึ้น

คนที่สอง ดร.มานะ นิมิตรมงคล มาพร้อมชื่อองค์กรที่ฟังดูแล้วคนโกงต้องหนาว คนทุจริตต้องเป็นไข้จับสั่น เคยเคลื่อนไหวบี้คนนั้นบี้คนนี้ให้ตรวจสอบเบื้องหน้าเบื้องหลังการประมูลโครงการ ตั้งแต่เล็กๆ ยันเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีส้ม ออกผสมโรง เห็นพ้องกับจอมแฉไปไถไปอย่างนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซึ่งตอนนี้หายไปไหนก็ไม่รู้แล้ว พอเกิดเรื่องอุบัติเหตุรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสีเหลือง เงียบเลย เกิดอาการเป็นใบ้ขึ้นมา หูหนวกเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น


อาจจะเป็นเพราะว่ารถไฟฟ้าสายสีชมพู กับสายสีเหลือง มันเป็นอุบัติเหตุสุดวิสัย ทำให้สามารถ และมานะ ไม่มีอะไรจะพูด หรือพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะว่าเคยรับงานเขามาไม่ใช่หรือ ในการล้มรถไฟฟ้าสายสีส้ม เผอิญเจ้าของงานนั้นคือเจ้าของรถไฟฟ้าสายสีชมพู กับสายสีเหลือง ก็เคยรับงานเขามา ก็เกรงอกเกรงใจ ไม่พูดดีกว่า ท่านผู้ชมยังจำได้ไหม ดร.มานะ เคยเป็นตัวตั้งตัวตี ขนาดจัดเวทีเสวนาสวดส่งรถไฟฟ้าสายสีส้ม เอ๊ะ ถ้าอย่างนั้น ดร.มานะ น่าจะออกแอกชันหน่อยสิ เพราะว่าถ้า ดร.มานะ และคุณสามารถ ไม่โง่จนเกินไป หรือว่าไม่ตาบอด ไม่หูหนวก ก็น่าจะรู้ว่ารางร่วง ล้อหลุด ของรถไฟฟ้าโมโนเรลทั้งสองสาย สีชมพู และสีเหลืองนั้น ล้วนแต่มีผู้สัมปทานรายเดียวกัน คือบริษัทในกลุ่มบีทีเอส ซึ่งพวกคุณสองคนเคยรับงานเขามาเพื่อโจมตีสายสีส้ม

มันมีประเด็นมากมายน่าขุดคุ้ยหาคำตอบ เช่น มาตรฐานการก่อสร้างจากกลุ่มผู้รับสัมปทาน งานโยธา โดยกลุ่มเดียวกัน ทั้งเจ้าสัวคีรี บีทีเอส กับซิโน-ไทยฯ ของตระกูลชาญวีรกูล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รถไฟฟ้าโมโนเรลทั้งสองโครงการมีมูลค่ารวมกันเกือบๆ แสนล้านบาท แต่การก่อสร้างยืดเยื้อ ดีเลย์มากว่า 3 ปี บทจะเร่งปิดจ๊อบเพื่อรับเงินสนับสนุนจากรัฐ ก็เร่งทำงานแบบชุ่ยๆ จนเกิดเหตุรางร่วง-ล้อหลุด นี่ล่ะ

ประเด็นคือ ทั้ง ดร.สามารถ และ ดร.มานะ (เรียนถึงด็อกเตอร์เลยนะ เขาถึงบอกว่าบางทีการศึกษาสูงอย่างเดียวนั้นมันไม่พอ ต้องมีคุณธรรมในใจด้วย) ทั้งสองคนเคยเชียร์เรื่องการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ว่าให้ดูแค่ที่ราคา ไม่ต้องสนใจเทคนิคก่อสร้าง แล้ววันนี้ว่าอย่างไรล่ะ ก็ต้องวานบอก ตอนนี้ชาวกรุงเทพฯ - ปริมณฑล อกสั่นขวัญแขวน เดินก้มหน้าก็ไม่ได้ แหงนมองฟ้ากลัวอะไรจะหล่นมาใส่ ขับรถใต้รถไฟฟ้า ขับไป เสียวไป เมื่อไรจะโดนกับตัวเองบ้าง ความปลอดภัยอยู่ที่ไหน มาตรฐานคืออะไร คุณสามารถ กับคุณมานะ ต้องจี้ ต้องบี้ แล้วก็ถามไปเลยว่าทำงานชุ่ยแบบนี้เปิดบริการได้อย่างไร อะไหล่ไม่พอซ่อมเอง ต้องรอสั่งเป็นเดือน ออกแบบก็ห่วย ของก็ห่วย ก่อสร้างก็ห่วย งานนี้จะเป็นเพราะนักการเมือง รัฐมนตรีคนไหนเอื้อประโยชน์ให้ใคร ต้องลากมากลางแจ้ง ดร.มานะ คุณชำนาญไม่ใช่หรือเรื่องการคอร์รัปชัน ลากออกมากกลางแจ้งว่าเอื้อประโยชน์ใคร ลากออกมาประจานให้ชาวบ้านได้รู้


นี่ผมเกริ่นแค่สองคนนะ ที่ชอบออกมาแอกติ้งเรื่องรถไฟฟ้า ระบบขนส่งแบบการคอร์รัปชัน ก็ยังมีสื่อมวลชนอีกจำนวนมาก ที่พอเกิดเหตุกับรถไฟฟ้าสองสายที่ได้รับสัมปทานเจ้าสัวคีรี บีทีเอส วันนี้เงียบกริบหมดเลย สื่อเครือเนชั่นที่ฉาย บุนนาค ทำหน้าที่เป็นประธาน แต่เจ้าของจริงคือเจ้าสัวคีรี TOP NEws ออกมาตีปี๊บในช่วงนั้น ถ่ายทอดสดเรื่องการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม แม้กระทั่งพี่ดนัย หมาแก่ ของผม เจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ก็เงียบกริ๊บ

เรื่องที่เกี่ยวกับความปลอดภัย ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน พวกคุณเงียบกริ๊บ ไม่รู้ว่าเงินมันทับตัวจนกระทั่งหายใจไม่ออกหรือเปล่า เลยพูดไม่ได้ ยังไม่นับสื่ออีกหลายๆ เจ้า กลัวเจ้าสัวจะตัดสปอนเซอร์

เรื่องนี้เรื่องใหญ่มากๆ ไม่ออกมาเรียกร้องเรื่องความปลอดภัย ตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลในการก่อสร้าง การบริหารจัดการรถไฟฟ้าโมโนเรลทั้งสองสาย สายสีชมพู และสายสีเหลือง ที่เกิดอุบัติเหตุด้านความปลอดภัยซ้อนๆ กัน เพราะความชุ่ย หรือพวกคุณเห็นว่าความปลอดภัยของประชาชนสำคัญน้อยกว่าอำนาจเงินของสปอนเซอร์ ช่วยตอบผมหน่อยสิ

ท่านผู้ชมครับ ความจริงที่มีหนึ่งเดียว ไม่ได้คุยโวโอ้อวด มีอยู่ที่นี่ที่เดียว ที่นี่ที่เดียวครับท่านผู้ชม ท่านผู้ชมต้องการความจริงที่มีหนึ่งเดียว มาที่นี่ ระยะเวลาผ่านไป กาลเวลาผ่านไป ฝนจะตก แดดจะออก จะมีพายุเข้า พอทุกอย่างสงบ ท่านผู้ชมเปิดตาดูก็จะเห็น "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" โดยผม สนธิ ลิ้มทองกุล ยังยืนอยู่ตรงนี้ ยืนหยัดท้าฟ้าท้าดิน เพราะธรรมที่สูงสุดของพระพุทธเจ้า นั่นคือ ธรรมนั้นคือความจริงที่มีหนึ่งเดียว

กลิ่นตุๆ คอร์รัปชันในสาธารณสุข

ท่านผู้ชมครับ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา มีคน inbox เข้ามาหาผม ส่งข้อมูลจากเฟซบุ๊ก วงในสาธารณสุข ซึ่งมักจะแฉเรื่องราวที่ไม่ชอบมาพากลในกระทรวงสาธารณสุข ผมอ่านแล้วคิดว่ามีประเด็นน่าสนใจ และผมคิดว่าคุณหมอชลน่าน นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ควรจะต้องไปตรวจสอบและตอบข้อสงสัยนี้ให้กระจ่าง

กลิ่นคอร์รัปชันตุๆ ที่ว่า คือเรื่องที่กระทรวงสาธารณสุขจัดโครงการรณรงค์ให้สตรีไทยตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจากการเก็บตัวอย่างด้วยตัวเอง


ปลายปีที่ผ่านมา 26 ธันวาคม 2566 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับอีกหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมมะเร็งนรีเวชไทย เริ่มโครงการรณรงค์หยุดมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจากการเก็บตัวอย่างด้วยตัวเอง ด้วยวิธี HPV DNA Test แบ่งออกเป็น 14 สายพันธุ์ความเสี่ยงสูง


ในงานนี้มีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเปิด นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รักษาการแทนอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ได้จัดรูปแบบการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเชิงรุก โดยสามารถเก็บตัวอย่างได้ด้วยตัวเอง บูรณาการการดำเนินการร่วมกันกับผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการพัฒนาอบรมให้ความรู้ อสม. ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการให้ความรู้และกระตุ้นให้สตรีกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจากการเก็บตัวอย่างด้วยตัวเองแบบแยก 14 สายพันธุ์ เพื่อส่งเสริมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งเป็นฐานข้อมูลเชิงระบาดวิทยาของประเทศในการไปพัฒนาวัคซีนให้เหมาะสมกับสายพันธุ์ที่ระบาดในประเทศ อีกทั้งในกรณีตรวจติดตามการติดเชื้อแบบแฝง โดยมีเป้าหมาย 1 ล้านคนทั่วประเทศ ในปี 2567


ท่านผู้ชมครับ เรื่องฟังดูแล้วไม่น่าจะมีอะไร ถ้าประชาชนอย่างเราๆ ได้ฟังแล้ว ไม่มีอะไร เป็นเรื่องน่าส่งเสริมตามหลักหลีกเลี่ยง ป้องกัน รักษา ซึ่งเป็นพื้นฐานของสาธารณสุข แต่สิ่งที่คนในแวดวงสูตินรีแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญหลายคนสงสัย ตั้งคำถาม มีอย่างนี้ครับ

มาตรฐานการตรวจมะเร็งปากมดลูกที่ใช้กันทั่วโลก เขาตรวจแค่แบ่งกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งหรือไม่ เท่านั้น ถ้าเสี่ยงก็มีแนวทางดูแลอย่างชัดเจน แต่เพราะเหตุใดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงประกาศจะใช้เกณฑ์ที่เหนือมาตรฐานทั่วไป คือเขามีมาตรฐานของโลกอยู่แล้ว แต่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทะลึ่งจะใช้เกณฑ์เหนือมาตรฐานทั่วไป จนหมอสูตินรีเวชทั่วประเทศข้องใจและสงสัยว่าคุณทำไปทำไม ในขณะที่กรมการแพทย์ และราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ยืนยันว่า การตรวจคัดกรองเพื่อแยกกลุ่มเสี่ยงก็พอแล้ว เพราะการตรวจที่ละเอียดเกินไป หรือการตรวจด้วยตัวเองที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจจะทำให้ผลตรวจออกมาผิดเพี้ยนได้ อาจจะทำให้ทั้งหมอและประชาชนสับสนว่าตัวเองมีความเสี่ยงจริงหรือเปล่า หลังจากนั้นก็ต้องไปตรวจละเอียดที่โรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น เป็นการเสียทรัพยากรของประเทศโดยใช่เหตุ


ด้วยเหตุนี้ ว่ากันว่าอาจจะมีผลประโยชน์บางอย่างในกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งผมไม่ยืนยัน แต่ในเพจวงในสาธา (สาธา คือตัวย่อของ สาธารณสุข) เขาเปรยๆ ว่า มีบริษัทเพียงบริษัทเดียวที่สามารถตรวจได้ละเอียดเข้ามาตรฐาน ซึ่งเป็นบริษัทเดิมที่ก๊วนหมออ้างชนบทตลอดเวลา มีความคุ้นเคยผูกพันดูแลกันอย่างดีมาตั้งแต่สมัย ATK ที่เรื่องยังค้างคาอยู่ที่ ป.ป.ช.

ครั้งนี้พวกหมอชนบทตั้งเป้า 1 ล้านเทสต์ ในปี 2567 คิดง่ายๆ ถ้าสมมุติว่ามีส่วนต่าง 50 บาทต่อเทสต์ รวมจะเป็นเงิน 50 ล้านบาท เงินนั้นจะไปอยู่ที่กระเป๋าใคร แว่วๆ ว่ามี ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์บางเขต ไม่เห็นด้วยกับนโยบายไร้สาระ ถ้าไม่เห็นด้วยเลยถูกขู่ สั่งย้าย แม้กระทั่งบีบให้ลาออก

เพจดังกล่าวเขาทิ้งท้ายไว้ว่า อย่างนี้เจ้ากระทรวง ซึ่งหมายถึงหมอชลน่าน รู้หรือไม่ ถ้าจะพึ่งรัฐมนตรีช่วยฯ สันติ พร้อมพัฒน์ ดูแลกรมนี้คงไม่ไหว เพราะป่านนี้ยังยืนงงอยู่ในดงแพทย์อยู่


เรื่องนี้จริงๆ ต้องถือว่าเป็นภาคต่อของศึกเรื่องชุดตรวจโควิด-19 ATK ตั้งแต่ปี 2564 ก็ได้ ซึ่งในเวลานั้นชมรมแพทย์ชนบทเจ้าเก่า ออกมากดดันให้จัดซื้อชุดตรวจโควิด-19 ATK ที่ชมรมแพทย์ชนบทหนุนหลังอยู่ แม้จะมีราคาที่แพงกว่าที่ประมูลได้มาก แล้วยังออกมาโจมตี ATK ยี่ห้อ "เล่อผู่" จากจีน ที่ชนะการประกวดอย่างสาดเสียเทเสียว่าไม่ได้มาตรฐาน ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่หมอชนบทเลย ทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง ชอบแส่เรื่องต่างๆ แล้วก็มีผลประโยชน์แอบแฝงเข้ามา แต่ดันทะลึ่งมาทำเรื่องนี้ สุดท้ายแล้วความเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จเพราะเขารู้ทันชมรมแพทย์ชนบท

มาวันนี้ชื่อของชมรมแพทย์ชนบท ซึ่งหลายคนบอกว่าจริงๆ แล้วต้องเปลี่ยนชื่อว่า "ชมรม (อ้าง) แพทย์ชนบท" ก็กลับมาอีกครั้ง ซึ่งนายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รักษาการแทนอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีออกมาแถลงข่าว เขาเป็นใคร ท่านผู้ชมรู้ไหม ? เป็นอดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท แต่วันนี้ไม่ได้มากดดันให้ใช้ ATK ราคาแพงที่ตัวเองเคยหนุนหลังอยู่ แต่เป็นโครงการอีกโครงการหนึ่ง คล้ายๆ กัน คือคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเชิงรุก ใช้ชุดเก็บตัวอย่างด้วยตัวเอง ซึ่งในวงการแพทย์เขารู้ทัน เขาเลยถามว่า ที่คุณผลักดันเรื่องนี้อยู่ มีวาะซ่อนเร้นอะไรหรือเปล่า มีการคอร์รัปชันหรือเปล่า กำลังจะปูทางนำไปสู่อะไรหรือไม่

ท่านผู้ชมครับ ผมขอฝากคุณหมอชลน่าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะเจ้ากระทรวง ต้องรีบตรวจสอบ ให้คำตอบกับประชาชนนะครับ เพราะกลิ่นมันตุเหลือเกิน แล้วชมรมแพทย์ชนบทก็มีบาดแผลเยอะจากเรื่องการหนุนหลัง ATK ของตัวเองที่ราคาแพงลิบลิ่ว พอตัวเองไม่ได้ พวกชมรมแพทย์ชนบทก็ออกมาโจมตี ATK ซึ่งราคาถูกกว่า และได้คุณภาพเหมือนๆ กัน เผลอๆ จะดีกว่าเสียด้วยซ้ำ

ท่านผู้ชมครับ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ท่านผู้ชมจะได้เบิกเนตรเสียที ว่าชมรมแพทย์ชนบทนั้น ทำทีว่าเป็นแพทย์ชนบท แต่วิธีการคอร์รัปชันนั้นยิ่งกว่าโจรดีๆ นี่เอง ทำไมต้องแรงกว่าโจร ? เพราะว่าตัวเองเป็นถึงแพทย์ เรียนจบแพทย์ แต่กลับสนใจในเรื่องการคอร์รัปชันอย่างไม่ดูตาสีตาสา ไม่ดูตาม้าตาเรือเลยครับ

ชะตากรรม "สามนิ้วฮ่องกง" เบี้ยที่ถูกตะวันตกทอดทิ้ง

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมจะพูดเรื่องชะตากรรม "สามนิ้ว" ที่ฮ่องกง เบี้ยที่ถูกตะวันตกเททิ้ง ผมไม่ได้พูดเรื่องนี้มานานแล้ว แต่คิดว่าสัปดาห์นี้ต้องอัปเดตความเคลื่อนไหวให้ท่านผู้ชมได้รับทราบสักหน่อย คือเรื่องม็อบฮ่องกงที่เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว แตกกระสานซ่านเซ็นไปเมื่อจีนออกกฎหมายความมั่นคง ผมพูดเรื่องนี้เมื่อวันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2566


ตอนนี้บรรดาแกนนำการประท้วงฮ่องกงกำลังเผชิญชะตากรรมไล่ล่า เมื่อศาลฮ่องกงเริ่มต้นการพิจารณาตามกฎหมายคดีความมั่นคง แกนนำเผชิญโทษจำคุกตลอดชีวิต หลายคนหนีไปอยู่ต่างประเทศ ถูกออกหมายจับพร้อมตั้งค่าหัว องค์กรต่างๆ แตกกระสานซ่านเซ็น บรรดาเยาวชนปลดแอก พวกนี้ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า เคยชูป้ายเรียกร้องเอกราชฮ่องกงในการชุมนุมที่เมืองไทย พึงสังวรเอาไว้ว่า กว่าจะรู้ชื่อก็อยู่ในบัญชีดำ

เมื่อวันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม ที่ผ่านมา นายจิมมี ไล หรือชื่อจีนว่า หลี่ จื้ออิง ผู้ก่อตั้งสื่อเครือ Apple Daily ได้ถูกนำตัวไปขึ้นศาลเพื่อเริ่มต้นการพิจารณาคดีตามความผิดกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ หลังจากที่เขาถูกควบคุมตัวไว้เป็นเวลานานถึง 3 ปี


นายจิมมี ไล เป็นแกนนำการประท้วงฮ่องกงคนแรกที่เดินเข้าสู่ศาล เขาถูกตั้งข้อหาว่า สมคบต่างชาติเพื่อล้มล้างการปกครอง โทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต การพิจารณาคดีนี้ศาลตั้งเอาไว้ว่า ไม่เกิน 80 วัน

เดิมทีคดีนายจิมมี ไล มีกำหนดเริ่มต้นการพิจารณาในเดือนธันวาคม 2565 เนื่องจากนายจิมมี ไล ได้เรียกร้องขอใช้ทนายความชาวอังกฤษ แต่ว่าศาลฮ่องกงปฏิเสธคำขอ และศาลได้เลื่อนการเริ่มต้นพิจารณาคดีมาจนถึงวันที่ 18 ธันวาคม ที่ผ่านมา


ท่านผู้ชมลองดูนะครับ ในวันเริ่มต้นการพิจารณาคดี นายเดวิด คาเมรอน อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ตอนนี้มารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนายจิมมี ไล ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นพลเมืองของอังกฤษ ระบุว่า นายจิมมี ไล ถูกดำเนินคดีโดยมีเจตนาทางการเมือง และเรียกร้องให้ทางการฮ่องกงยุติการพิจารณาคดี และปล่อยตัวนายจิมมี ไล ต้องถือว่าเป็นครั้งแรกที่รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษเรียกร้องให้ทางการฮ่องกงปล่อยตัวบุคคลที่ถูกดำเนินคดีอยู่


นายเดวิด คาเมรอน ชี้ว่ากฎหมายความมั่นคงได้ขัดต่อข้อตกลงจีนและอังกฤษ ปี 1984 ที่รับรองความเป็นอิสระของศาลและกระบวนการยุติธรรมของฮ่องกง

ขณะเดียวกัน นายแมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา ออกมาเรียกร้องให้ทางการจีนและฮ่องกงเคารพเสรีภาพของสื่อมวลชน พร้อมระบุว่า การปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร เปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้งฮ่องกง และกีดกันการมีส่วนร่วมของฝ่ายประชาธิปไตย เป็นการบ่อนทำลายสถานะการเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการค้าระหว่างประเทศของฮ่องกง

ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า การเรียกร้องของอดีตเจ้าอาณานิคมอังกฤษและสหรัฐฯ ไม่ได้ทำให้กระบวนการพิจารณาคดีตามกฎหมายความมั่นคงของฮ่องกงเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด สิ่งที่บรรดาชาติตะวันตกพอจะทำได้ คือส่งผู้แทนทูตเข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดี โดยมีผู้แทนจากสถานทูต กงสุลอังกฤษ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และแคนาดา เข้าร่วมฟังการพิจารณาคดีของนายจิมมี ไล

ท่านผู้ชมครับ เรามาดูประวัตินายจิมมี ไล กันนิด ถ้าเผื่อใครหลงลืม จิมมี ไล เป็นคนที่อพยพมาจากเมืองกวางเจา จีนแผ่นดินใหญ่ มาฮ่องกงตอนอายุ 12 ปี ได้ไต่เต้าจากการทำธุรกิจหลายอย่าง โดยเฉพาะเขาทำแบรนด์เสื้อผ้า GIORDANO ที่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้เขาร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี หลังจากนั้นเขาเอาเงินที่ร่ำรวยมานั้นมาก่อตั้งธุรกิจสื่อเครือ Apple Daily ด้วยทุนส่วนตัวราวๆ 100 ล้านดอลลาร์ ในเวลาไม่นาน Apple Daily ได้รับความนิยมจนกลายเป็นหนังสือพิมพ์ทรงอิทธิพลอันดับสองของเกาะฮ่องกง จากหนังสือพิมพ์ทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 50 หัว ในปี 2540 หรือยี่สิบหกปีที่แล้ว หนังสือพิมพ์ Apple Daily มียอดพิมพ์ถึงวันละ 4 แสนฉบับ


จิมมี ไล เดินทางไปวอชิงตันบ่อยครั้ง เขาได้พบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ รวมทั้งนายไมค์ เพนส์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เพื่อตระเวนขอความสนับสนุนประชาธิปไตยฮ่องกง

เขากล่าวบนเวทีมูลนิธิเพื่อการปกป้องประชาธิปไตย ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อต้นกรกฎาคม 2562 สี่ปีที่แล้ว เขาพูดอย่างนี้ครับ "เราต้องรู้ว่าอเมริกานั้นอยู่ข้างหลังเรา คือการสู้รบในสงครามเดียวกับที่คุณกำลังสู้กับจีน เราอยู่ข้างคุณ อยู่ข้างอเมริกา สละชีวิตของเรา เสรีภาพของเรา และทุกสิ่งที่เรามี สู้ในสงครามนี้ ยืนอยู่ในแนวหน้าเพื่อคุณ แล้วคุณล่ะ (หมายถึงอเมริกา) คุณจะสนับสนุนเราหรือเปล่า"


สำหรับคนอีกซีกหนึ่ง จิมมี ไล เป็นผู้ประกอบการสื่อรายเดียวที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ปักกิ่งอย่างไม่เกรงกลัว แต่ในอีกซีกหนึ่ง ทางการจีนเห็นว่าเขาเป็นคนทรยศ เป็นมือมืด ผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังการชุมนุมใหญ่เมื่อปีที่แล้ว และเป็นคนขายชาติเบอร์หนึ่งที่สมคบคิดกับต่างชาติเพื่อบ่อนทำลายมาตุภูมิ

ท่านผู้ชมครับ เรามาพูดถึงกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกง ปี 2563 นิดหนึ่ง เขากำหนดการกระทำดังต่อไปนี้ให้ถือเป็นอาชญากรรม หนึ่ง การแบ่งแยกดินแดน สนับสนุนดินแดนต่างๆ ให้แยกตัวเป็นอิสระจากจีน สอง บ่อนทำลายอำนาจ หรือการปกครองของรัฐบาลจีน สาม การก่อการร้ายโดยใช้ความรุนแรง หรือการข่มขู่ประชาชน สี่ การสมรู้ร่วมคิดกับกองกำลังต่างชาติ หรือหน่วยงานภายนอก เพื่อต่อต้านรัฐบาลจีน

กฎหมายนี้ครอบคลุมบุคคลในฮ่องกง ไม่ว่าจะมีสัญชาติใด หรือสถานภาพอยู่อาศัยใด และยังใช้กับความผิดที่เกิดขึ้นนอกฮ่องกง โดยผู้ที่มิได้พำนักในฮ่องกงด้วย


ตัวอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้ว คือเมื่อเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา นักศึกษาชาวฮ่องกงวัย 23 ปี ที่เรียนหนังสืออยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ถูกจับกุมตัวที่สนามบิน ตอนที่เธอเดินทางกลับฮ่องกง เพื่อต่ออายุพาสปอร์ต นักศึกษาชาวฮ่องกงรายนี้โพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง เพื่อปลุกระดมเรื่องอิสรภาพฮ่องกง แม้ว่าการกระทำทั้งหมดเกิดขึ้นในต่างประเทศ คือ ญี่ปุ่น แต่เมื่อเธอเดินทางกลับมาฮ่องกง ก็สามารถจะถูกจับกุมและดำเนินคดีตามกฎหมายความมั่นคง นี่เป็นกรณีแรกของกฎหมายความมั่นคงที่ถูกบังคับใช้ แม้ว่าตัวผู้ก่อเหตุจะไม่ได้อยู่ฮ่องกงก็ตาม


นอกจากนั้นแล้ว ยังมียูทูปเบอร์ชาวญี่ปุ่นที่ใช้ชื่อว่า Mr. Worry เขาถูกปฏิเสธเข้าฮ่องกง ถูกส่งตัวกลับประเทศ เพราะทางการฮ่องกงตรวจพบว่าในช่วงที่มีการประท้วงฮ่องกง เขาแสดงดนตรี ทำกิจกรรมเพื่อสนับสนุนการเรียกร้องเอกราชฮ่องกงอย่างต่อเนื่อง นี่ก็คือบทพิสูจน์ว่าชาวต่างชาติก็เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายความมั่นคงได้เช่นกัน

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ น.ส.แอกเนส โจ แกนนำสาวในการประท้วงฮ่องกงอีกคนหนึ่ง ได้ประกาศผ่านทางโซเชียลมีเดียส่วนตัวของเธอเมื่อต้นเธันวาคม ที่ผ่านมา ว่า เธอตัดสินใจไม่กลับไปฮ่องกงอีกแล้ว จะขออยู่ต่อที่แคนาดาอย่างไม่มีกำหนด


แอกเนส โจ ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายความมั่นคง แต่เธอได้รับการประกันตัวโดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องมารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตามระยะเวลาที่กำหนด หลังจากนั้นเธอได้ขออนุญาตไปเรียนหนังสือที่แคนาดา และมีกำหนดที่จะต้องมารายงานตัวอีกครั้งในเดือนมกราคม สุดท้ายแล้วเธอก็ตัดสินใจที่จะหนีประกัน

สำนักงานตำรวจฮ่องกงเตือนว่า ถ้าแอกเนส โจ ไม่มารายงานตัวตามกำหนด จะออกหมายจับ จะติดตามตัวมาดำเนินคดีอย่างไม่ลดละต่อไป ซึ่งหมายความว่าเธอคงจะต้องหลบหนีไปตลอดชีวิต

นอกจากนี้ วันพฤหัสบดีที่แล้ว วันที่ 24 ธันวาคม ที่ผ่านมา ตำรวจฮ่องกงได้ออกหมายจับแกนนำการประท้วงฮ่องกง 5 ราย ตามกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ โดยเป็นการออกหมายจับเพิ่มเติมจากเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ตำรวจฮ่องกงได้ออกหมายจับแกนนำไปแล้ว 8 คน ทำให้ขณะนี้มีแกนนำการประท้วงฮ่องกงรวม 13 คนแล้วที่ถูกออกหมายจับ ในข้อหาล้มล้างอำนาจการปกครอง แบ่งแยกดินแดน สมคบคิดกับต่างชาติเพื่อก่อความไม่สงบ แบ่งแยกดินแดน โดยทุกคนมีรางวัลนำจับ สำหรับผู้ที่ให้เบาะแส คนละ 1 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือราวๆ 4 ล้าน 5 แสนบาท


ท่านผู้ชมครับ บรรดาแกนนำ 13 คน ที่ถูกออกหมายจับขณะนี้ลี้ภัยอยู่ในอังกฤษ อเมริกา และแคนาดา หลายคนออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลชาติตะวันตกที่ตัวเองลี้ภัยอยู่ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ออกมาปกป้องประชาธิปไตยฮ่องกง และชี้ว่าตำรวจฮ่องกงออกหมายจับพลเมืองที่พำนักอยู่ในต่างประเทศ แสดงให้เห็นว่าทางการฮ่องกงต้องการใช้กฎหมายความมั่นคงของฮ่องกงนอกเหนือเขตอำนาจรัฐ

แล้วท่านผู้ชมรูู้ไหมว่าชาติตะวันตกที่สนับสนุนคนพวกนี้ พอมีเรื่องแล้วก็เทพวกนี้ทิ้งไปเลย ไม่แยแส ในการประท้วงที่ฮ่องกงมีผู้ถูกดำเนินคดีภายใต้กฎหมายอาญามากกว่า 1 หมื่นคน ถูกจับด้วยกฎหมายความมั่นคงมากกว่า 250 คน แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าบรรดาชาติตะวันตกที่เคยหนุนหลังด้วยข้ออ้างว่าสนับสนุนประชาธิปไตย กลับไม่ได้ช่วยเหลือคนเหล่านี้ ทั้งอังกฤษ อเมริกา ต่างให้สถานภาพในการพำนักชั่วคราว ทำให้ผู้ลี้ภัยอยู่ในสถานะที่กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง หางานทำก็ไม่ได้ อยู่อย่างไร้ตัวตน มีชีวิตที่ยากลำบากมาก มีเพียงแกนนำเส้นใหญ่ไม่กี่คนได้รับการคุ้มกะลาหัว เพราะชาติตะวันตกเห็นว่ายังมีประโยชน์ ใช้งานได้อยู่ ผู้ลี้ภัยในต่างแดนเหล่านี้คงไม่ถูกจับกุมส่งตัวให้ทางการฮ่องกงอย่างแน่นอน แต่ต้องสูญเสียเสรีภาพในการเดินทาง และต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงเหมือนที่ตำรวจฮ่องกงประกาศว่า หากไม่ยอมมอบตัว ต้องตกอยู่ภายใต้ความหวาดผวาไปชั่วชีวิต


ท่านผู้ชมจำ โจชัว หว่อง ได้ไหม ? เป็นตลกร้ายมาก อเมริกาปฏิเสธช่วยโจชัว หว่อง ลี้ภัย แกนนำการประท้วงฮ่องกงสำคัญอีกคนหนึ่งที่สนิทสนมกับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มาก เป็นคนหนึ่งที่รู้จักกันดีในประเทศไทย คือ โจชัว หว่อง

นายโจชัว หว่อง ตอนนี้อายุ 27 ปี ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ และรอการพิจารณาคดีเช่นเดียวกับนายจิมมี ไล และมีข้อมูลระบุมาว่า ก่อนที่จีนจะมีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในฮ่องกง โจชัว หว่อง เคยขอความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ เพื่อลี้ภัย ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปฏิเสธ ทำให้เขาต้องเผชิญกับการดำเนินคดีและติดคุกอยู่ทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้นักการเมืองใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ ใช้โจชัว หว่อง ในการทำมาหากิน หาแสงเพื่อโจมตีจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางแนนซี เพโลซี อดีตประธานสภาคองเกรส จากพรรคเดโมแครต เชิญนายโจชัว หว่อง และพรรคพวก ไปเยือนวอชิงตัน ดี.ซี. แล้วหลายครั้ง


ในหนังสือที่มีชื่อว่า Among the Braves หรือ ระหว่างผู้กล้าหาญ เปิดเผยเบื้องหลังของแกนนำม็อบฮ่องกง ระบุว่า ในเดือนมิถุนายน 2563 นายโจชัว หว่อง ได้พบกับนักการทูตอเมริกาในฮ่องกง เขาขอลี้ภัยไปอยู่ในสถานกงสุลสหรัฐฯ ในฮ่องกงชั่วคราว และขอให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ช่วยเหลือเขาออกจากฮ่องกง เพราะว่าพาสปอร์ตของเขาถูกทางการอายัดไว้ในช่วงการประกันตัวคดีสมคบคิดล้มล้างการปกครอง แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ? เจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกาปฏิเสธให้นายโจชัว หว่อง เข้าไปหลบในสถานกงสุล อ้างว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ของอเมริกาและจีนตึงเครียดมากขึ้น ทั้งๆ ที่อเมริกาอยู่เบื้องหลังในการสนับสนุนนายโจชัว หว่อง เชิญนายโจชัว หว่อง ไปวอชิงตัน ดี.ซี. ไปพบนางแนนซี เพโลซี ได้รับการต้อนรับอย่างเกรียวกราวว่าเป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตย นี่ไงคืออเมริกา


นอกจากโจชัว หว่อง จะพบกับนักการทูตสหรัฐฯ โดยตรงแล้ว เพื่อนของเขาที่ลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศก่อนหน้านี้แล้ว คือ นายนาธาน ลอว์ และ เจฟฟรีย์ หวู ได้เข้าพบนายไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อขอให้ช่วยเหลือนายโจชัว หว่อง แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ? กระทรวงการต่างประเทศอเมริกาปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ


ตามกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของอเมริกา ผู้จะยื่นเรื่องขอลี้ภัยได้ จะต้องอยู่ในดินแดนสหรัฐฯ ก่อน และนี่คือเหตุผลที่นายโจชัว หว่อง ต้องการเข้าไปอาศัยในสถานกงสุลสหรัฐฯ ประจำฮ่องกง เพราะถือว่าเป็นเขตอำนาจตามกฎหมายอเมริกา นายโจชัว หว่อง อาจจะคิดเลียนแบบนายจูเลียน อันซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ ที่หนีเข้าไปอยู่ในสถานทูตเอกวาดอร์ ในกรุงลอนดอน เพื่อหลีกเลี่ยงการที่ทางการอังกฤษจะส่งตัวเขากลับไปดำเนินคดีในสหรัฐฯ หลังจากนั้นแล้ว นายจูเลียน อัสซานจน์ ก็ได้รับสถานภาพผู้ลี้ภัยจากทางการเอกวาดอร์ แต่เขาต้องใช้ชีวิตในสถานทูตนานเกือบ 7 ปี

ต่อมา เดือนเมษายน 2562 ทางการเอกวาดอร์ได้ถอนสถานภาพผู้ลี้ภัยให้กับนายอัสซานจ์ และเชิญตำรวจเข้าไปจับกุมตัวเขาในสถานทูต ทำให้เขาถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำเบลมาร์ช ในกรุงลอนดอน จนถึงทุกวันนี้

สรุป ตัวอย่างจากกรณีนายโจชัว หว่อง เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนถึงความหน้าไหว้หลังหลอก ความอำมหิตของประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ถ้าเขาจะใช้ใคร อยากเชิดชูใครที่สอดคล้องกับวาระซ่อนเร้น เป้าประสงค์ของตัวเอง ก็จะชูเสียจนเลิศลอย ถ้าบทมันจะทิ้ง ก็ต้องทิ้ง เททิ้ง เหมือนเทน้ำทิ้งจากแก้ว หรือเทขยะทิ้งออกไปอย่างไม่แยแส นี่ขนาดนายโจชัว หว่อง ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ เป็นบุคคลระดับแกนนำของม็อบฮ่องกง ยังถูกอเมริกาทอดทิ้ง ปฏิเสธการช่วยเหลืออย่างไร้เยื่อใยขนาดนี้

ท่านผู้ชมครับ ม็อบสามนิ้วครับ คุณธนาธรครับ หลายๆ คนครับ คุณรุ้ง ปนัสยา ครับ จำเอาไว้ อเมริกาที่คุณเทิดทูนราวกับบิดามารดาของคุณนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คืองูเห่าตัวหนึ่งนั่นเอง เมื่อคุณมีประโยชน์ เขาใช้คุณ แต่เมื่อคุณหมดประโยชน์แล้วเขาก็เทคุณทิ้งเฉยๆ นั่นเอง

"เมิ่ง หว่านโจว” กับ “สปาย 2 ไมเคิล"

ผมว่าท่านผู้ชมน่าจะยังจำเรื่องอื้อฉาวระดับโลก กรณีที่ทางการแคนาดาจับตัวนางเมิ่ง หว่านโจว ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้ก่อตั้งหัวเว่ย


เมิ่ง หว่านโจว ตอนนี้เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของบริษัทหัวเว่ย ซึ่งตอนเธอถูกจับตอนนั้นเธอเป็นประธานบริหารในเรื่องการเงิน เธอถูกควบคุมตัวที่สนามบินนานาชาติแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 ตามหมายจับของสหรัฐฯ ข้อหาคือ ละเมิดการคว่ำบาตรอิหร่านของอเมริกา ถูกกักตัวอยู่ในเมืองแวนคูเวอร์ยาวนานถึง 1,028 วัน หรือว่าเกือบ 3 ปี

จนในที่สุด เมื่อวันเสาร์ที่ 25 กันยายน 2564 หลังจากการเจรจาต่อรองกัน แคนาดาก็เลยยอมปล่อยตัว เมิ่ง หว่านโจว ให้เดินทางกลับประเทศจีน โดยเธอเดินทางถึงประเทศจีนเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2564 ด้วยการเช่าเครื่องบินเช่าเหมาลำของสายการบินแอร์ไชน่า พร้อมกับเอกอัครราชทูตจีนประจำแคนาดา เธอกลับมาอย่างวีรสตรีของชาวจีนทั้งประเทศ


เรื่องเกี่ยวกับการจับตัว เมิ่ง หว่านโจว หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นการกลั่นแกล้งหัวเว่ยโดยอเมริกา ที่สั่งการให้ประเทศลูกไล่อย่างแคนาดา หรือกลุ่มชาติ FIVE EYES กลุ่มชาติ 5 ตา หรือ FIVE EYES มีใครบ้าง ? มีอังกฤษ มีอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ คือเป็นประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ

ในการสกัดกั้นบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีนทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้ก้าวขึ้นมาทัดเทียมชาติตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี เครือข่าย 5G หรือเรื่องไมโครชิปต่างๆ

เรื่องเหล่านี้ผมเล่าให้ท่านผู้ชมฟังไปหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ 105 ตุลาคม 2564 ตอนที่ 22 กันยายน 2566 ทั้งนี้ทั้งนั้น การเจรจาต่อรองระหว่างประเทศจีนกับแคนาดา เพื่อแลกตัวนางเมิ่ง หว่านโจว ที่ถูกกักขังเป็นเวลาเกือบ 3 ปี เงื่อนไขการเจรจาแลกเปลี่ยน มีดังนี้

1. ทางการแคนาดาจะปล่อยตัวนางเมิ่ง หว่านโจว
2. ทางการจีนจะปล่อยตัว 2 ไมเคิล คือ ไมเคิล คอฟริก และ ไมเคิล สปาวอร์ อดีตเจ้าหน้าที่สถานทูตแคนาดาที่ถูกจีนจับกุมดำเนินคดีฐานเป็นสายลับเช่นกัน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561


ทั้งนี้ทั้งนั้น ประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากที่นางเมิ่ง หว่านโจว เดินทางขึ้นเครื่องบินโดยสารจากแคนาดา ถึงจีน เครื่องบินโดยสารอีกลำหนึ่งก็ออกจากจีน บินสู่แคนาดาเช่นกัน โดยมีนายไมเคิล คอฟริก และ ไมเคิล สปาวอร์ เป็นผู้โดยสาร

ประเด็นที่น่าสนใจในเรื่องนี้ก็คือ ในช่วงเวลาเกือบ 3 ปี ที่เมิ่ง หว่านโจว ถูกแคนาดาจับตัว ส่วน 2 ไมเคิล คือ ไมเคิล คอฟริก กับ ไมเคิล สปาวอร์ ถูกทางการจีนจับตัวนั้น ฝั่งแคนาดาและฝั่งตะวันตกโกหกอย่างหน้าตาย และปฏิเสธเสียงแข็งมาตลอดว่าทั้งสองคนเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้ทำผิดอะไร เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ทูต ไม่ได้เป็นจารชนหรือสปายแต่อย่างใด

แล้วทางแคนาดาก็อ้างว่า การที่จีนจับตัว 2 ไมเคิล เอาไว้เพื่อจะต่อรองกับการที่แคนาดาจับ เมิ่ง หว่านโจว เอาไว้ ความจริงปรากฏออกมาอย่างนี้ครับ มันมีหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ "2 ไมเคิล" (THE TWO MICHAELS) คือการจับชาวแคนาดาผู้บริสุทธิ์ไว้ แล้วเดิมพันครั้งใหญ่ของการจารกรรมในสงครามไซเบอร์ระหว่างอเมริกาและจีน ตีพิมพ์ออกมาในเดือนพฤศจิกายน 2564


ในความเข้าใจของชาวโลกที่มักจะเสพสื่อตะวันตก รวมทั้งประเทศไทย และเชื่อไปว่า ถ้าฝรั่งเขาพูดอะไรก็เป็นความจริง พูดอะไรก็น่าเชื่อถือ เรื่องนายไมเคิล คอฟริก กับ นายไมเคิล สปาวอร์ เป็นสปายหรือไม่ ยังเป็นปริศนาต่อไป ถ้าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น

สัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 26 ธันวาคม 2566 หนังสือพิมพ์ The Globe and Mail ของแคนาดา ได้ตีพิมพ์ข่าวพาดหัวว่า "Ottawa ready to pay financial settlements to the two Michaels over their ordeal in Chinese prisons" แปลเป็นไทยก็คือว่า รัฐบาลแคนาดา (ออตตาวา คือเมืองหลวงของแคนาดา) พร้อมที่จะจ่ายเงินให้กับ 2 ไมเคิล เพื่อชดเชยจากการที่ต้องติดคุกในจีน แล้วเนื้อข่าวตอนหนึ่งระบุว่า รัฐบาลแคนาดายินดีจะลงนามในข้อตกลงการระงับคดีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สำหรับชาวแคนาดา 2 คน คือ นายไมเคิล สปาวอร์ และ นายไมเคิล คอฟริก เพื่อชดเชยเวลา 3 ปี ที่เขาถูกจับกุม ภายใต้สภาพที่ไม่อำนวยของเรือนจำในจีน


ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลแคนาดาอยู่ระหว่างเจรจาเรื่องค่าชดเชย และหวังว่าจะสรุปข้อยุติทางการเงินได้ในช่วงหลังปีใหม่ แหล่งข่าวของหนังสือพิมพ์ Globe and Mail ระบุว่า สิ่งที่รัฐบาลแคนาดากังวลเป็นพิเศษ คือถ้าตกลงไม่ได้กับคน 2 คนนี้ ก็อาจจะมีการฟ้องร้องเกิดขึ้นจากนายสปาวอร์ ซึ่งให้ความสำคัญกับโครงการรายงานความปลอดภัยทั่วโลกของแคนาดาในระหว่างที่ดำรงเป็นนักการทูตแคนาดา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือว่า ทำงานหน้าที่เป็นสายลับของประเทศแคนาดา

ไมเคิล คอฟริก
นายคอฟริก เคยทำงานให้กับ GSRP ชื่อเต็มคือ Canada Global Security Reporting Programme ซึ่งเป็นหน่วยงานพิเศษ ปฏิบัติการทางข่าวกรองทางการแคนาดา หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็น CIA ของแคนาดานั่นเอง หน่วยงานนี้จะส่งเจ้าหน้าที่ต่างประเทศไปยังจุดต่างๆ โดยใช้สถานภาพการทูตปิดบังตัวเอง เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศต่างๆ สำหรับรัฐบาลแคนาดา

ไมเคิล สปาวอร์
นายสปาวอร์ กล่าวหาว่าทางการจีนจับกุมและจำคุกเขาและนายคอฟริก เพราะเขาเป็นผู้ให้ข้อมูลแก่คอฟริก โดยไม่เจตนา โดยข้อมูลดังกล่าวนั้นถูกแบ่งปันกับหน่วยสืบราชการลับของแคนาดาและตะวันตกอื่นๆ ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ ที่อเมริกาและทางตะวันตกอ้างว่าตัวเองบริสุทธิ์ เป็นนักการทูต แต่ในที่สุดก็ยอมรับว่าทำงานด้านการสืบข่าวกรองให้โครงการด้านความมั่นคงของรัฐบาลแคนาดา ทั้งนี้ทั้งนั้น นายคอฟริก พยายามแก้ตัวว่าเขาปฏิบัติตามมาตรฐานกฎหมาย กฎเกณฑ์ และข้อบังคับที่ควบคุมนักการทูต

ท่านผู้ชมครับ ในการเจรจากับ 2 ไมเคิล รัฐบาลแคนาดาเสนอเงินชดเชยให้ประมาณ 3 ล้านดอลลาร์แคนาดาต่อคน หรือราวๆ 77.5 ล้านบาท แต่แหล่งข่าวระบุว่า ทนายความของนายสปาวอร์ ได้เรียกร้องเงินมากถึง 10.5 ล้านดอลลาร์ หรือ 271 ล้านบาท โดยกล่าวหาว่ารัฐบาลแคนาดาประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงต่อวิธีการจัดการกับการดำเนินงานขององค์กร CIA ที่ใช้ชื่อ GSRP ของแคนาดาในจีน

ประเด็น แม้ว่ารัฐบาลแคนาดาจะปฏิเสธเสียงแข็ง อ้างว่าเจ้าหน้าที่ในโครงการ GSRP ไม่ใช่สายลับ แต่เป็นที่รับรู้ว่ารายงานจากโครงการดังกล่าวมีการแบ่งปันระหว่างหน่วยข่าวกรองความมั่นคงของแคนาดา และพันธมิตรของประเทศ 5 ตา (FIVE EYES) อย่างเป็นอิสระ

ความย้อนแย้งของรัฐบาลแคนาดาซึ่งปฏิเสธว่าไม่ได้ส่งคนเข้าไปทำการสอดแนมหรือจารกรรม แต่ในขณะเดียวกันกลับยอมจ่ายเงินชดเชยหลายล้านบาทให้กับ 2 ไมเคิล เผยให้เห็นธาตุแท้ของรัฐบาลแคนาดา ชาติตะวันตก และสื่อตะวันตกทั้งหลาย

ท่านผู้ชมครับ นี่ล่ะครับ ผมพูดมาตลอดเวลาใช่ไหมว่า ความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว วันนี้ตะวันตกผ่านทางแคนาดาถูกจับแก้ผ้าล่อนจ้อนแล้ว ว่าจริงๆ แล้วคนที่จีนจับไปนั้นทำงานเป็นสายลับให้กับรัฐบาลแคนาดา และคนที่รายงานข่าวชิ้นนี้ไม่ใช่สื่อจีน แต่เป็นสื่อ The Globe and Mail ของแคนาดานั่นเองที่เป็นผู้รายงาน เราทำความเข้าใจกันให้ถูกต้องนะครับว่าความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว

"สี จิ้นผิง" ส่งสัญญาณถึง "การเลือกตั้งไต้หวัน"

ท่านผู้ชมครับ เป็นปกติธรรมดาที่ผู้นำแต่ละประเทศ พอถึงวาระขึ้นปีใหม่ก็จะมีสารสุนทรพจน์ปีใหม่ ปีนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวสุนทรพจน์เนื่องในโอกาสปีใหม่ ที่พิเศษอย่างหนึ่งคือได้ส่งสัญญาณถึงการเลือกตั้งไต้หวัน


สี จิ้นผิง ตอกย้ำจุดยืนของจีนผ่านสุนทรพจน์ในวันขึ้นปีใหม่ ว่า "การรวมชาติเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุดในประวัติศาสตร์" (ใครๆ ก็ขวางไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์มาขวาง) ไต้หวันกำลังจะมีการเลือกตั้งใหญ่ในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ 13 มกราคม เสาร์หน้า เหมือนกับถามไปยังชาวไต้หวันทั้งหลาย ว่า พวกคุณจะเลือกสงคราม หรือ สันติภาพ เลือกความขัดแย้ง หรือ เลือกความเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน

31 ธันวาคม 2566 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวสุนทรพจน์ต่อชาวจีนทั่วประเทศ ว่า ความเป็นเอกภาพของมาตุภูมิ เป็นความแน่นอนทางประวัติศาสตร์ พี่น้องทั้งสองฝั่งช่องแคบไต้หวันต้องจับมือกัน มีน้ำใจเดียวกัน ร่วมกันแบ่งเกียรติและศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่ ฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองแห่งประชาชาติจีน นี่ไม่ใช่เป็นการพูดครั้งแรกที่พูดถึงการรวมชาติ ในช่วงประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 20 เมื่อเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว (2565) สี จิ้นผิง กล่าวว่า ความเป็นเอกภาพของมาตุภูมิจะต้องเป็นจริงให้ได้ และจีนจะสามารถทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้ ที่สำคัญคือ สี จิ้นผิง คือคนที่สั่งให้มีการจัดทำบันทึกความสำเร็จและประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์รอบศตวรรษของพรรคคอมมิวนิสต์จีนฉบับที่ 3


2564 สี จิ้นผิง เป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนที่ 3 ต่อจากเหมา เจ๋อตง และ เติ้ง เสี่ยวผิง ที่มีการสั่งจัดทำบันทึกประวัติศาสตร์เช่นนี้ เพื่อแสดงถึงเจตนารมณ์ในการปกครองประเทศจีน โดยส่วนหนึ่งของบันทึกฉบับนี้ได้พูดถึงการรวมชาติกับไต้หวัน

ความแตกต่างระหว่างบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับสี จิ้นผิง กับฉบับก่อนๆ ก็คือ แสดงถึงความมุ่งมั่นมากกว่าในการรวมชาติ ระบุว่า "จะต้องเป็นจริงให้ได้" และยังมีความมั่นใจระบุว่า "สามารถทำให้เป็นจริงได้"

สี จิ้นผิง ในยุคเขาต่างกว่ายุค เหมา เจ๋อตง ที่มุ่งสงครามเพื่อยึดคืนไต้หวัน และยุคเติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งเติ้ง เสี่ยวผิง ระบุว่า เรื่องปัญหาไต้หวันนั้นพักเอาไว้ก่อน ให้คนรุ่นหลังตัดสินใจ


ในยุค สี จิ้นผิง ประเทศจีนมีความแข็งแกร่งมากกว่าไต้หวันอย่างเทียบกันไม่ได้เลย ทั้งในศักยภาพด้านแสนยานุภาพกองทัพ เศรษฐกิจ สถานะในเวทีระหว่างประเทศ จีนเลยมีอาวุธมากกว่าในการใช้ต่อรองกดดันไต้หวันและสหรัฐฯ ที่อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนไต้หวันให้แยกตัวเป็นเอกราช โดยอาจจะใช้กำลังรบ หรืออาจจะไม่ใช้กระสุนเลยแม้แต่นัดเดียว

โดยคาดว่าในวันที่ 13 ในการเลือกตั้งไต้หวันนี้ นายไล่ ชิงเต๋อ ปัจจุบันเป็นรองประธานาธิบดีของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ซึ่งสนับสนุนเอกราชไต้หวัน น่าจะได้รับชัยชนะเป็นประธานาธิบดี แต่อาจจะไม่ได้เสียง สส. ข้างมากในรัฐสภา ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า แม้จะสร้างประวัติศาสตร์ครองอำนาจในไต้หวัน 3 สมัย 12 ปีต่อเนื่อง อาจเผชิญกับการเป็นรัฐบาลเป็ดง่อย เพราะไม่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา


ก่อนหน้าการเลือกตั้ง จีนใช้วิธีการในทุกๆ ด้าน เพื่อส่งผลให้การเลือกตั้งของไต้หวัน เช่น การเชิญอดีตประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว ผู้นำก๊กมินตั๋ง เดินทางเยือนจีน การสนับสนุนให้ผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคม ผู้นำท้องถิ่น และอินฟลูเอนเซอร์ มาเยือนจีน จัดทริปให้เยาวชนไต้หวันทัศนศึกษาประเทศจีน ทั้งหมดเพื่อให้ชาวไต้หวันได้เห็นความเจริญก้าวหน้าของมาตุภูมิ และตระหนักว่าการแยกตัวเป็นเอกราชนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ และเป็นไปไม่ได้

ในทางเศรษฐกิจนั้น จีนมีเครื่องมือสำคัญ คือข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างจีน-ไต้หวัน หรือ ECFA ซึ่งตกลงกันในยุคประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว แต่รัฐบาลของนางไช่ อิงเหวิน ก็ไม่ยอมยกเลิก ทั้งๆ ที่อ้างว่าเป็นข้อตกลงขายชาติ ในความเป็นจริงก็คือว่า ข้อตกลง ECFA ช่วยให้ไต้หวันได้เกินดุลการค้าจีน แผ่นดินใหญ่ ปีละตั้ง 17.000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5 ล้านล้านบาท และตลอดกว่าสิบปีที่ผ่านมา ที่ใช้ข้อตกลงนี้ มูลค่าของการลดภาษีสะสมถึง 8,800 ล้านเหรียญสหรัฐ


ก่อนหน้าที่จะถึงการเลือกตั้ง จีนได้แสดงถึงไม้แข็ง-ไม้อ่อน จากข้อตกลง ECFA ไม้แข็ง คือ ยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับสินค้า 12 ชนิดของไต้หวัน ส่วนใหญ่เป็นสารเคมี และวัตถุดิบทางอุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา ไม้อ่อน อนุญาตให้นำเข้าปลาเก๋าจากไต้หวันอีกครั้ง รวมทั้งทยอยผ่อนคลายมาตรการการห้ามนำเข้าผลไม้ไต้หวันหลายชนิด ทั้งมะม่วง สับปะรด น้อยหน่า หลังห้ามนำเข้ามาเป็นเวลา 1 ปี ให้เหตุผลเกี่ยวกับยาฆ่าแมลงและโรคพืชบางชนิด

นายโหว โหย่วหยี ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน จากพรรคก๊กมินตั๋ง บอกว่า ความสัมพันธ์ไต้หวัน-จีนถดถอย ผู้ที่สูญเสียคือเกษตรกร ชาวประมง และการท่องเที่ยวไต้หวัน ขณะที่นายไล่ ชิงเต๋อ ผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า รวมทั้งนางไช่ อิงเหวิน บอกว่าไม่สามารถยอมรับ 3 หลักการได้ คือ หนึ่ง นโยบายจีนเดียว สอง แนวทางหนึ่งประเทศสองระบบ สาม ฉันทามติ 1992 ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานในการมีความสัมพันธ์กันแบบแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง คือจีนและไต้หวันสงวนการตีความจีนเดียวที่แตกต่างกัน แต่สามารถติดต่อสัมพันธ์กันได้

พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าระบุในธรรมนูญพรรค ว่า ไต้หวันเป็นรัฐเอกราช นี่คือสาเหตุที่ทำให้จีนไม่สามารถยอมรับผู้นำจากประชาธิปไตยก้าวหน้า แต่ในทางกลับกัน พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าก็ไม่กล้าที่จะประกาศเอกราชจริงๆ เพราะนั่นหมายถึงไต้หวันต้องพ่ายแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเลย


ท่านผู้ชมครับ ในยุคของนางไช่ อิงเหวิน สหรัฐฯ ได้ให้ท้ายไต้หวันอย่างมาก นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และนักการเมืองชาติตะวันตก เดินทางมาเยือนไต้หวันกันเป็นว่าเล่น แต่ว่าหลังจากนั้นจีนส่งเครื่องบินรบบินเฉียด บินข้ามเข้าไปในพื้นที่ใกล้เกาะไต้หวันเป็นประจำ โดยที่กองกำลังฝ่ายไต้หวันและกองเรือสหรัฐฯ ที่ลาดตระเวนอยู่ใกล้ๆ ทำอะไรไม่ได้เลย

ยิ่งถ้าการเลือกตั้งในวันเสาร์ที่ 13 มกราคม ที่จะถึงนี้ พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าไม่สามารถได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด การต่อรองกับจีนยิ่งเป็นไปได้ยาก เพราะพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าได้เป็นประธานาธิบดี ได้อำนาจฝ่ายบริหาร แต่ไม่มีอำนาจในฝ่ายนิติบัญญัติ ขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่ใช้ระบบ สามอำนาจเป็นหนึ่งเดียว คือ สี จิ้นผิง เป็นผู้นำพรรค รัฐ และกองทัพ สามารถตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้อย่างเด็ดขาดเพียงผู้เดียว เป็นที่น่าสังเกตครับ ทุกครั้งที่ผู้นำจีนพูดถึงไต้หวัน จะใช้คำว่า "ถงเปา" เป็นภาษาจีนกลาง แปลไทยว่า "พี่น้องร่วมอุทร" แต่นางไช่ อิงเหวิน กับ นายไล่ ชิงเต๋อ กลับประกาศหลายครั้งว่าจีนกับไต้หวันไม่เกี่ยวพันกัน

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ชาวไต้หวันคงจะต้องเลือกว่าจะเลือกทางไหน สงคราม หรือ สันติภาพ ความขัดแย้ง หรือ ความเจริญรุ่งเรือง ร่วมกัน

เบี้ย “ฟิลิปปินส์” โครงการลับสร้าง NATO 2

ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า ตอนนี้ฟิลิปปินส์กำลังตกเป็นเบี้ยให้กับอเมริกาและพันธมิตร เพื่อยั่วยุให้เกิดการเผชิญหน้ากับจีนในทะเลจีนใต้ จีนก็แก้เกมโดยการตั้งนายพลทหารเรือให้เป็นรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ ผมได้เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแล้ว ในตอนที่ 203 ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2566 ผมพูดก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐฯ ได้จัดฉากสร้างความปั่นป่วนในทะเลจีนใต้ ยุยงให้ฟิลิปปินส์ให้ใช้ซากเรือรบผุพังเพื่ออ้างกรรมสิทธิ์บริเวณแนวปะการัง เหรินอ้าย ซึ่งเป็นข้อพิพาทพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ บริเวณหมู่เกาะสแปรตลีย์


ฟิลิปปินส์ได้แสดงสัญลักษณ์เพื่ออ้างสิทธิในพื้นที่ โดยนำซากเรือรบเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ว่า เรือบีอาร์พี เซียร์รา มาแตร์ มาจอดทิ้งเกยตื้นบนแนวปะการังเหรินอ้าย ตั้งแต่ปี 2542 พร้อมประจำการอาวุธนาวิกโยธินจำนวนหนึ่งบนซากเรือนี้ ฟิลิปปินส์ต้องใช้เรือขนส่งเสบียงอาหารและเชื้อเพลิงมาให้กับนาวิกโยธินที่อยู่บนซากเรืออยู่เป็นประจำหลายครั้ง จนเกือบจะปะทะกับกองเรือลาดตระเวนของจีนที่อยู่ในพื้นที่ โดยมีทั้งกรณีที่เรือจีนยิงน้ำแรงดันสูงเข้าใส่เรือฟิลิปปินส์ เรือเฉี่ยวชนกันเพราะฟิลิปปินส์จงใจวิ่งไปขวางทางเรือของจีน

ฟิลิปปินส์นั้นไม่เพียงแต่แกล้งลืมคำสัญญาในอดีต ว่าจะถอนซากเรือนี้ออกไป แต่นับวันยิ่งห้าวเป้งมากขึ้น ช่วงหลังๆ นี้ฟิลิปปินส์ก่อเรื่องในทะเลจีนใต้อย่างบ่อยครั้ง และมีเอกลักษณ์อย่างเด่นชัด นั่นคือทุกครั้งที่หาเรื่อง ฟิลิปปินส์จะถ่ายรูปบันทึกวิดีโอเกี่ยวกับการปะทะกัน รวมทั้งเชิญสื่อมวลชน ทั้งฟิลิปปินส์ และสื่อต่างชาติ ขึ้นเรือไปไลฟ์สดทำข่าวการตอบโต้ฝ่ายจีน เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการปั่นข่าวว่าประเทศจีนรังแกฟิลิปปินส์


โดยฝ่ายจีนมีการวิเคราะห์จากโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างประเทศ จนรู้ว่าบัญชีปั่นข่าวส่วนใหญ่นั้น มาจากสหรัฐฯ

ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความเหิมเกริมของฟิลิปปินส์ คือสหรัฐฯ มีการจัดตั้งโครงการที่ชื่อว่า เมียวซู อยู่ภายใต้ The Gordian Knot Center ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในอเมริกา โดยมี พันเอก เรย์ พาวเวลล์ นายทหารอากาศสหรับฯ ที่ปลดประจำการไปแล้ว เป็นผู้นำ และร่วมมือกับกองกำลังรักษาชายแดนทะเลฟิลิปปินส์ และเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์

โครงการเมียวซู คือวางแผนเพื่อสร้างเรื่องยั่วยุ ท้าทายกองตำรวจทะเลของจีน และปั่นข่าว เพื่อสร้างสถานการณ์ตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ขยายความขัดแย้งระหว่างจีนกับอาเซียน หวังว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกลายเป็นแขนขานาโต 2 อเมริกา


เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ปีที่แล้ว นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้โทรศัพท์ติดต่อกับนายเอนริกเก มานาโล รัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์

นายหวัง อี้ บอกว่า ปัจจุบันความสัมพันธ์จีน-ฟิลิปปินส์ กำลังเผชิญกับความยากลำบากที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในจุดยืน และนโยบายของฟิลิปปินส์ ซึ่งฝ่าฝืนคำสัญญาของตัวเอง โดยยั่วยุและก่อปัญหาบนทะเล ทำร้ายสิทธิประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมายของจีน ขณะนี้ความสัมพันธ์ของจีนกำลังอยู่บนทางแยก หวังว่าฟิลิปปินส์จะดำเนินการด้วยความระมัดระวัง


นายหวัง อี้ เตือนฟิลิปปินส์อย่าเดินตามทิศทางผิดต่อไป เรื่องด่วนในปัจจุบันคือต้องจัดการควบคุมสถานการณ์บนทะเลในขณะนี้ หากฟิลิปปินส์พิจารณาสถานการณ์อย่างผิดพลาด หรือตั้งใจจะก่อปัญหา โดยสมคบคิดกับกำลังภายนอก จีนก็ต้องมีปฏิบัติการตอบโต้เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย แต่ฟิลิปปินส์ก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำเตือนของรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ยังคงก่อกวนสถานการณ์ในบริเวณทะเลจีนตอนใต้ ลาดตระเวนร่วมกับเรือสหรัฐฯ มีหลายครั้งที่เรือฟิลิปปินส์จงใจชนกับเรือยามฝั่งจีนเพื่อเอาไปประโคมข่าวทำลายสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค

พฤติกรรมฟิลิปปินส์ที่มีสหรัฐฯ คอยให้ท้าย สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์กวนประสาทกลายเป็นการปะทะ หรือทำให้จีนทนไม่ได้ ต้องสั่งสอน

ทั้งนี้ ก่อนวันส่งท้ายปีเก่า ปีที่แล้ว มีความเคลื่อนไหวสำคัญ ที่ทั้งฝ่ายจีนตั้งใจจะรับมือ และความพยายามที่จะสร้างความปั่นป่วนในทะเลจีนใต้ คือการแต่งตั้งอดีตผู้บัญชาการทหารเรือเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่

ประเด็น นี่คือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ที่มีนายทหารเรือเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปกติแล้ว นายทหารบกจะมีบทบาทมากกว่า เหมือนกรณีประเทศไทยและอีกหลายๆ ประเทศ พล.ร.อ.ต่ง จวิน ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกลาโหมแทนที่ พล.อ.หลี่ ช่างฝู ซึ่งกำลังถูกสอบสวนกรณีทุจริตในกองทัพ ทำให้ตำแหน่งนี้ว่างไป 2 เดือน


พล.ร.อ.ต่ง จวิน อายุ 62 ปี เป็นชาวเมืองเอี้ยนไถ มณฑลซานตง ก่อนมาเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือ เขาเคยเป็นรองผู้บัญชาการกองทัพเรือทะเลตะวันออก ซึ่งเป็นกองกำลังหลักที่รับผิดชอบเรื่องปัญหาไต้หวัน ยังเคยเป็นรองผู้บัญชาการการยุทธ์บริเวณภาคใต้ ดูแลภารกิจทหารในน่านน้ำทะเลจีนใต้ ซึ่งรวมทั้งพื้นที่พิพาททางทะเลกับฟิลิปปินส์ และประเทศอื่นๆ

รัฐมนตรีกลาโหมจีนเป็นตำแหน่งที่สำคัญ เพราะทำหน้าที่เหมือนโฆษกของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ในการประสานกับสื่อมวลชน รวมถึงหน่วยงานทางทหารอื่นๆ

หนึ่งในภารกิจสำคัญที่ยิ่งของรัฐมนตรีกลาโหม คือการติดต่อพูดคุยกับกองทัพสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญหน้ากัน ทั้งในเรื่องไต้หวัน และทะเลจีนใต้ สองเรื่องนี้ พล.ร.อ.ต่ง จวิน มีประสบการณ์การบริหารจัดการมาแล้วพอสมควร


การแต่งตั้งรัฐมนตรีกลาโหมที่เป็นนายทหารเรือ ช่ำชองทั้งเรื่องไต้หวันและทะเลจีนใต้ แสดงให้เห็นว่าจีนพร้อมจะรับมือกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในน่านน้ำนี้ แต่ท่านผู้ชมครับ เรื่องแบบนี้ ช่วงหลังตั้งแต่มีประธานาธิบดีคนใหม่ของฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นลูกชายอดีตประธานาธิบดีเผด็จการ เฟอร์ดินาน มากอส ลูกชายชื่อบองบอง มากอส จูเนียร์ เป็นคนที่ยืนข้างอเมริกาเต็มตัว และมีความห้าวเป้ง เหมือนกับคนตาบอดไม่กลัวเสือ

ผมคิดว่าตอนนี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือว่า ถ้าจีนแสดงความแข็งกร้าวขึ้นมาแล้ว อเมริกาซึ่งหนุนหลังฟิลิปปินส์อยู่จะมีทีท่าอย่างไร ผมไม่เชื่อว่าอเมริกาจะกล้ามาปะทะกับจีนอย่างเต็มตัว ก็คงปล่อยให้ฟิลิปปินส์เป็นตัวปะทะ อาจจะหนุนหลังด้วยการล่องเรือใกล้ๆ พื้นที่ความขัดแย้ง แต่ก็จะไม่กล้าเข้ามาแทรกแซง และในที่สุดแล้ว ฟิลิปปินส์ก็จะรู้ว่า พอถึงขั้นเป็นขั้นตายแล้ว อเมริกาก็จะทิ้งฟิลิปปินส์อีกเหมือนเดิม

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้ก็สิ้นสุดเพียงแค่นี้ อาทิตย์หน้า ผมบอกให้รู้ล่วงหน้าแล้วกัน มีเรื่องสะเทือนฟ้าสะเทือนดินหลายเรื่องที่พลาดไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการกรมราชทัณฑ์ ห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะผมทำโรดแมปให้ท่านแล้วว่า ใครบ้างที่มีสิทธิที่จะติดคุก หลังจากที่ผ่านรัฐบาลชุดนี้ไปแล้ว และเปลี่ยนรัฐบาลชุดใหม่ ติดคุกแน่นอนครับท่านเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ถ้าอยากฟัง ชักชวนพรรคพวก ข้าราชการกรมราชทัณฑ์ทุกคนให้ฟังให้หมด แล้วจะเห็น

นอกจากนั้นแล้ว เรายังมีเรื่องเรือรบหลวงสุโขทัยได้ไหม ผมเคยสัญญากับท่านผู้ชมว่าผมจะติดตามเรื่องนี้ ไม่ละทิ้ง วันนี้ก็จะมีการอัปเดตข้อมูลใหม่ให้ท่านผู้ชมได้ฟังอีกอย่างสนุกสนาน วันนี้เพียงแค่นี้ก่อนนะครับ พบกันใหม่อาทิตย์หน้า สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น