วันที่ 29 ธ.ค.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่
- “สนธิ” มองอนาคต เศรษฐกิจ-สังคมไทย 2567
- หนึ่งแถบเส้นทางของจีนที่ไม่มีไทย
- ถึงเวลา SET ZERO การเมืองไทย
- โลก 2567 อเมริกามหาอำนาจเดี่ยวเสื่อมทรุด
- อินเดีย-เวียดนาม จะก้าวขึ้นมาแทนจีน?
ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.222
คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 222 [29 ธ.ค. 66]
ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ขอสวัสดีแฟนๆ รายการที่รับชมสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok ท่านผู้ชมที่เข้ามาชมในครั้งนี้ ขอความกรุณาช่วยผมหน่อยเถอะ ช่วยกดไลก์ ทุกท่านเลย กดแชร์ และ SUBSCRIBE ใน YouTube ทั้งช่องทางใน Facebook, YouTube, TikTok เพื่อกระจายข่าวสารออกไปให้เร็ว กว้างที่สุด
ท่านผู้ชมครับ วันนี้เป็นวันที่ 29 อีกไม่กี่วันก็จะข้ามปีแล้ว 31 ธันวาคม หลายท่านก็อยากจะไปสวดมนต์ข้ามปี ก็เป็นสิ่งที่น่าชมเชย แต่ว่าอยากจะให้ข้อคิดนิดหนึ่ง เหมือนหลายท่านก็ชอบวันวาเลนไทน์ เพราะเป็นวันแห่งความรัก ผมจะมีข้อคิดให้นิดหนึ่งว่า การสวดมนต์ ปฏิบัติธรรมนั้น จริงๆ แล้วถ้าทำได้คือทำทุกวันเลย ไม่จำเป็นจะต้องรอให้สิ้นปี สวดมนต์ข้ามปี เพราะว่ามันจะดีกับเราทุกวัน ความรักก็เช่นกัน ทำไมเราจะต้องรอถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันของฝรั่ง แล้วเราค่อยแสดงความรักออกมา จริงๆ แล้วเราสามารถจะแสดงความรักของเราให้พ่อ ให้แม่ ให้พี่ ให้น้อง ให้เพื่อน หรือว่าให้คนที่เรารัก แสดงออกว่าเรารัก แสดงออกทุกวัน การแสดงไม่จำเป็นต้องไปบอกเขาว่าเรารักเขา เราเพียงแต่แสดงการกระทำที่พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเรารักและเป็นห่วงเป็นใยเขา
วันปีใหม่ ท่านผู้ชมจะไปไหน ถ้าท่านผู้ชมไม่มีกิจกรรมที่จะทำกับครอบครัว หรือจะพาครอบครัวไป ผมขอแนะนำให้ไปที่วัดมหาธาตุฯ เพราะอะไร ? มีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่ควรจะไป ผมเองก็ตั้งใจจะไปที่วัดมหาธาตุฯ ในช่วงบ่าย
สิ้นปีนี้ วัดมหาธาตุฯ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าจะสมโภชพระอาราม 338 ปี ตั้งแต่ 17 ธันวาคม ถึง 2 มกราคม 2567 ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ มีกิจกรรมการทำบุญ ปฏิบัติธรรม กิจกรรมเชิงวัฒนธรรม ตั้งแต่เวลา 07.00 น. ตอนเช้า ถึง 22.00 น. ตอนกลางคืน
ท่านผู้ชมครับ ที่ผมอยากให้ไปเพราะวัดมหาธาตุฯ เป็นวัดที่เก่าแก่มาก ที่สำคัญ วัดมหาธาตุฯ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วัตถุโบราณที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เยอะ หลายๆ ท่านไม่ทราบ ผมเองยังไม่ทราบมาก่อนเลย จนกระทั่งตอนหลังไปสัมผัสถึงรู้ มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สมัยอยุธยาอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ หลายองค์ รวมทั้งพระบรมสารีริกธาตุ
ก่อนหน้าวันสมโภช 2 วัน วันที่ 25 ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้มีการส่งมอบ "พระแสงราวเทียน" คืนให้วัดมหาธาตุฯ ท่านผู้ชมรู้ไหมครับว่า "พระแสงราวเทียน" คืออะไร ? เป็นพระแสงดาบมังกร เป็นศาสตราวุธประจำพระองค์ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระอนุชาธิราชในรัชกาลที่ 1
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ถวายพระแสงดาบมังกร ให้กลายเป็นพระแสงราวเทียนที่หน้าพระประธานอุโบสถวัดมหาธาตุฯ พระแสงดาบเล่มนี้สูญหายไปหลายสิบปี จนกระทั่งวันที่ 25 ธันวาคม ที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้อีกครั้งหนึ่ง เมื่ออาจารย์ปริญญา สัญญะเดช ใช้ความพยายาม เพียรหาพระแสงนี้จนเจอ แล้วนำมาถวายคืนวัดมหาธาตุฯ ได้เป็นผลสำเร็จ
ไปดูเถอะครับ ตำนานมีอยู่เล็กน้อย สมเด็จวังหน้าท่านฆ่าคนมาเยอะ ศึกสงครามที่ท่านผ่านโดยใช้พระแสงมังกรนี้ต่อสู้ข้าศึกศัตรูมา ศัตรูตายด้วยพระแสงดาบนี้เป็นร้อยๆ คน วิญญาณทั้งหลายมีเยอะ พอถึงจุดๆ หนึ่งพระองค์ท่านบอกว่าจะหยุดฆ่าคนแล้ว ท่านก็เลยเอาพระแสงนี้มาถวายทำเป็นราวเทียน
อีกอันหนึ่ง ปีใหม่นี้ เพื่อเป็นสิริมงคลในช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ใครอยากจะมาร่วมปิดทองรูปหล่อพระบูชาหลวงปู่มั่น ซึ่งผมได้มาจากพระอาจารย์สุธรรม เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด สามารถเข้ามาปิดทองได้ที่บ้านพระอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น. ปกติจะเปิดเฉพาะวันธรรมดา แต่ในช่วงปีใหม่จะให้เข้ามาปิดทองในวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย จะเปิดให้ผู้สนใจเข้ามาปิดทองได้จนกระทั่งถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ไม่ต้องเอาอะไรมาทั้งสิ้น เรามีทอง เรามีสีผึ้ง ก็ตั้งจิตอธิษฐานภาวนา ขอพระจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้
ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้ถ้าใครต้องการดูรายการผ่านแอปฯ Sondhi App เข้าไปดูได้เลย เรายกเลิกการเก็บเงิน เปิดฟรีให้เข้าดูได้แล้ว ถ้าใครยังไม่มีก็เข้ามาดาวน์โหลดผ่าน App Store สำหรับ Apple และ Play Store สำหรับ Android
ปีหน้า (2567) ผมและทีมงานจะพัฒนา Sondhi App ให้เป็นโซเชียลมีเดียของเราเอง สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นความจริงและไม่มีใครสามารถปิดกั้นได้แล้ว เพราะว่าถ้าเราใช้แพลตฟอร์มของต่างประเทศจะมีเงื่อนไขกติกาเยอะ อะไรที่จะไปกระทบกระเทือนกับประเทศของเขา เขาก็จะห้ามเรา
ส่วนท่านผู้ชมที่จ่ายค่าแอปฯ ไปแล้ว และยังอยู่ในระยะเวลา ขอรับเงินคืนได้นะครับ ติดต่อผ่านทางไลน์ @sondhitalk
ตอนนี้ท่านผู้ชมสังเกตไหมครับว่ามีข่าวสดๆ ใหม่ๆ ทันเหตุการณ์ บทวิเคราะห์เจาะลึกที่ติดตามกันผ่าน 'SONDHI X' ซึ่งในที่สุด SONDHI X ก็จะไปปรากฏในโซเชียลมีเดียอันใหม่ที่เรากำลังทำอยู่
อาทิตย์นี้มีเรื่องแค่ 2 เรื่อง เรื่องแรก เราจะย้อนอดีต และอนาคต "การเมือง เศรษฐกิจ สังคมไทย" ในปี 2566 ทั้งปี และเรื่องที่สอง เมื่อพูดถึงประเทศไทยแล้ว เมื่อมองเราแล้ว ก็ต้องมองโลกด้วย เราจะอธิบายสถานการณ์โลกจากปี 2566 ก้าวสู่ 2567 "ขบวนการพลิกกระดานหมาก รอเวลารุกฆาต"
ส่วนวันที่ 21 มกราคม ท่านผู้ชมครับ "เมืองไทยรายสัปดาห์ 2 ทศวรรษ" โดยผม สนธิ ลิ้มทองกุล และ คุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ ปีที่แล้วครบรอบ 20 ปี ที่เราทำรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" บัตรท่านผู้ชมสั่งจองไว้แล้ว ตอนนี้เหลือบัตร 2,000 บาท แค่ 20 ใบเท่านั้นเอง หมดแล้วหมดเลย ไม่มีแล้วนะครับ สั่งจองบัตรได้ที่ไลน์ @sondhitalk
ก่อนสิ้นปีครับ ท่านผู้ชม "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" และ "ยาขาว" ลดไข้ ยังมีโพรโมชั่น ซื้อ 1 กล่อง ได้รับยาขาว หรือยาลมฯ ที่ไปร่วมพิธีพุทธาภิเษก "พระสยามพุทธาธิราช" 1 ซอง ซื้อกี่กล่องก็แจกเท่านั้นซอง
พิเศษนะครับ เทศกาลปีใหม่ ถ้าท่านผู้ชมอยากซื้อเป็นเซ็ต เอาไปแจกผู้หลักผู้ใหญ่ ทางร้านมีโพรโมชั่นจัดเซ็ตให้โดยเฉพาะ มีครบ ทั้งฟ้าทะลายโจร ยาขาว ยาลม ๓๐๐ จำพวก ในราคาพิเศษ แค่ 2,328 บาท เท่านั้นเอง จนถึงสิ้นปี 31 ธันวาคม 2566 ถ้าสนใจสั่งซื้อ รีบติดต่อที่ "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์" หรือเพิ่มไลน์บัญชี @sunherb มีจำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย
ปีใหม่ร้าน SUN PAN มีเมนูยอดนิยมให้หาซื้อกันได้ตามปกติ ทั้งโชกุปัง ขนมปังมันม่วงญี่ปุ่น ขนมปังฟักทองญี่ปุ่น ขนมปังใบเตยกะทิ ชีสเค้ก เครื่องดื่มโอเลี้ยงที่ขายดิบขายดี ไอศกรีม ปลาแท่ง หมูแท่ง รวมทั้งขนมเค้ก ฟรุตเค้กของเชฟเพนนี ตอนนี้เรามีโพรโมชั่น เริ่มตั้งแต่ 22 ธันวาคม ถึง 4 มกราคม ซื้อโอเลี้ยง 10 ขวด แถม 2 ขวด ซื้อหมูแท่งคู่กับปลาแท่ง แถมโอเลี้ยง 1 ขวด ซื้อครบ 1,000 บาท แถมโอเลี้ยง 2 ขวด แล้วเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ซื้อครบ 2,000 บาท เราลดให้ 30% ใครอยากซื้อไปรับประทาน หรือเป็นของขวัญฝากช่วงเทศกาลคริสต์มาสหรือปีใหม่ แวะดูที่ร้านได้ อยู่ที่ปั๊ม ปตท. ราบ 1 ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีฯ
รายการวันนี้เป็นรายการตอนที่ 222 ส่งท้ายปีเก่า 2566 การเมืองในปีที่ผ่านมา 2566 มีการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 9 ปี ตั้งแต่เราเกิดรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพี่น้องอีก 2 ป. คือ ป.ประวิตร และ ป.ป๊อก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
เกือบ 9 ปีเต็มๆ ที่ประเทศไทยวนอยู่ในกำมือของกลุ่ม 3 ป. ปัญหาทุกอย่างในประเทศถูกสะสม หมักหมม รุนแรงขึ้นทุกๆ วัน เช่นเดียวกับแรงกดดันทางการเมืองที่สะสมเอาไว้ เหมือนหม้ออัดแรงดันที่ถูกฝาปิดเอาไว้ 9 ปี สุดท้ายก็เลยได้ระบายออกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566
ผลการเลือกตั้งคงไม่ต้องพูดกัน ผมเอาสั้นๆ ก็แล้วกัน พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคชูความคิดใหม่ ปฏิเสธแนวการทำงานแบบเดิมๆ มาที่หนึ่ง ได้ สส. 151 ตามมาด้วยอันดับสอง ซึ่งเคยเข้าใจว่าตัวเองจะแลนด์สไลด์ คือ พรรคเพื่อไทย ได้แค่ 141
ประวัติก็มีสั้นๆ ไม่มีอะไรมาก พรรคก้าวไกล โดยนายพิธา พยายามที่จะตั้งรัฐบาล และจะแก้ไขมาตรา 112 ยกเลิกกฎหมายอาญา 112 ซึ่งมีหมวดความมั่นคง ในที่สุดแล้วก็เลยเจอแรงต้าน เพราะทุกคนที่ต้านนั้นเห็นว่าการแก้กฎหมาย 112 คือการนำไปสู่การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็เลยมีการร้องเรียน ผลพวงที่ติดตามมาคือมีการร้องเรียนต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ที่เสนอแก้มาตรา 112 นั้น ใช้เป็นนโยบายหาเสียง ถือว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือเปล่า
วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม ที่ผ่านมา ศาลนัดไต่สวนพยานบุคคล คือ นายพิธา กับนายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ไปเรียบร้อยแล้ว และนัดฟังคำพิพากษาต้นปีหน้า วันพุธที่ 31 มกราคม ผลจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ
แต่ว่าการตั้งรัฐบาลของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถึงทางตัน เพราะวุฒิสภาไม่เอาด้วย และไม่สามารถจะรวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่ง คือ 375 เสียง นอกจากนั้นแล้ว พิธายังถูกข้อหาถือหุ้นสื่อ คือหุ้นไอทีวี ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
ในที่สุดแล้ว 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ก็มีการพลิกขั้วการจัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยเลยชูเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และกลายเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล 11 พรรค 314 เสียง ขึ้นมา
การพลิกขั้วขึ้นมาเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยอีกครั้งในรอบ 9 ปี ยังเป็นการเปิดทางให้ นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษผู้หลบหนีคำพิพากษาจำคุกคดีทุจริตจากศาลฎีกาหลายคดี สามารถเดินทางกลับมาประเทศไทยได้ด้วย แน่นอน ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ให้ความร่วมมือก็คงทำไม่ได้ เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี หลังจากหนีคดีออกจากประเทศไทยไปเร่ร่อนต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2551
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ในปี 2566 เป็นต้นตอ และหัวเชื้อของเค้าลางปัญหาทางการเมืองรอบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้า 2567 และปีถัดๆ ไป ทั้งยังมีแนวโน้มว่าอาจจะลุกลามกลายเป็นวิกฤต กลายเป็นระเบิดเวลาครั้งใหม่ที่พร้อมที่จะระเบิดกลายเป็นความขัดแย้ง และกลายเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพียงเพราะทุกฝ่ายมุ่งหวังเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่มุ่งหวังเอาไว้ส่วนตน, กอบโกยผลประโยชน์แต่เฉพาะพรรคพวกของตัวเอง ไม่เว้นแม้พรรคก้าวไกล โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม ของประเทศชาติ และของประชาชนเลยแม้แต่น้อย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” หรือโพลล์ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้เปิดเผยสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาสปี 2566 พอดิบพอดีกับที่ รัฐบาลใหม่เข้ารับตำแหน่งและทำงานมาได้ประมาณ 4 เดือน
นิด้าโพลทำการสำรวจระหว่างวันที่ 13-18 ธันวาคม 2566 แบ่งเป็นผลการสำรวจตัวบุุคคลและพรรคการเมือง ผลปรากฎว่า คำถามที่ว่าบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้พบว่า อันดับ 1ยังเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคก้าวไกล ได้39.40%โดยให้เหตุผลว่าเพราะ มีความเป็นผู้นำ เป็นคนรุ่นใหม่ วิสัยทัศน์ดี บุคลิกดี และเข้าถึงประชาชน
อันดับ 2 -22.35%เป็น นายเศรษฐา ทวีสิน พรรคเพื่อไทย เพราะ มีความรู้ความสามารถ ตรงไปตรงมา และชื่นชอบพรรคเพื่อไทย อันดับ 3 -18.60%ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 4- เป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊ง ได้5.75% อันดับ 5- เป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) ได้2.40% ระบุว่าเพราะ มีความรู้ความสามารถ มีความน่าเชื่อถือ ตรงไปตรงมา และมีความซื่อสัตย์สุจริต
ส่วนคำถามที่ว่าพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้พบว่า อันดับ 1-44.05% ระบุว่าเป็น พรรคก้าวไกล อันดับ 2-24.05% เป็น พรรคเพื่อไทยน้อยกว่าพรรคก้าวไกลเกือบครึ่ง) อันดับ 3-16.10% ว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 4-3.60% ยังเป็นพรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 5ใกล้เคียงกัน3.20% เป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ
จากผลการสำรวจล่าาสุดของนิด้านี้ จะเห็นได้ว่าคะแนนความนิยมของ “พรรคก้าวไกล และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ก็ยังคงนำมาเป็นอันดับหนึ่ง ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล แบบขาดลอย ทั้ง ๆ ที่ ก็มีหลายๆ เหตุการณ์อื้อฉาวในพรรคก้าวไกลหลุดออกมาเรื่อยๆ
กาลเวลาก็พิสูจน์ความจริงที่มีหนึ่งเดียวว่าจริง ๆ แล้วพรรคนี้ที่สืบทอดมาจากพรรคอนาคตใหม่ ตั้งแต่ผู้ก่อตั้ง กรรมการบริหารพรรค ส.ส. ไล่ไปจนถึงสมาชิกพรรคนั้นส่วนใหญ่แล้ว ไม่ใช่ทองแท้แต่เป็นทองเก๊ซึ่งเมื่อผ่านลม ผ่านฝน ผ่านพายุ ผ่านการพิสูจน์ สุดท้ายทองคำที่ชุบผิวเอาไว้มันก็ลอกออกมา แสดงให้เห็นเนื้อแท้ข้างในว่า กระดำกระด่าง ไม่ได้สุกใสเปล่งปลั่งดั่งทองคำเหมือนกับภาพที่สร้างเอาไว้ ตัวอย่างกรณีอื้อฉาวของบรรดาคนในพรรคที่เรียงรายออกมา ไม่ว่าจะเป็นส.ส.แจ้ นายวุฒิพงษ์ ทองเหลา โดนร้องเรียนกรณีคุกคามทางเพศ
ส.ส.ปูอัด นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ส.ส.กทม โดนร้องเรียนกรณีคุกคามทางเพศ
นอกจากนี้เมื่อย้อนกลับไปในปี 2565 ก็ยังมีกรณี นายสัณห์สิทธิ์ เนาถาวร ส.ก.เขตวัฒนา พรรคก้าวไกล ถูกกล่าวหาว่าคุกคามทางเพศเช่นกัน
กรณีที่ในเดือนกรกฎาคม 2565 นายอานุภาพ ธารทอง ส.ก.เขตสาทร พรรคก้าวไกล ถูกกล่าวหาโดยเยาวชน 4 ราย อายุ 16-18 ปี ว่าถูกลวงไปดื่มสุราและล่วงละเมิดทางเพศ แต่นายอานุภาพได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา และประกันตัวออกมาต่อสู้คดี แต่ในที่สุดขอลาออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกล เพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรค
ต่อมาเดือนมิถุนายน 2566 กรณี นายสิริน สงวนสิน ส.ส.กทม. เขตทวีวัฒนา ถูกกล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายหญิงที่คบหาเป็นแฟนสาว ถูกแจ้งความที่ สภ.บ่อวิน จ.ชลบุรี พรรคก้าวไกลลงโทษด้วยการตัดสิทธิดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง
นี่แค่น้ำจิ้ม แค่ตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ นะครับ แล้วก็เกี่ยวกับเรื่องแค่เรื่องเดียวคือ เรื่องการคุกคามทางเพศ การล่วงละเมิดทางเพศ ไม่นับรวมกับความอ่อนด้อยทางประสบการณ์ และความรู้ความสามารถในแง่ประเด็นต่าง ๆ ทั้งในเชิงการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่บุคลากรพรรคก้าวไกลขาดแคลน อีกทั้งประกอบกับความหยิ่งยโสโอหัง เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น จึงไม่สามารถที่จะหาแนวร่วมเข้ามาร่วมเป็นพลังเสริมในการขับเคลื่อนนโยบายของตัวเองได้อย่างเป็นรูปธรรม
การวางภาพลักษณ์ของพรรคก้าวไกล มีนโยบายที่ตรงใจประชาชน วางมาตรฐานสูง แต่ความเป็นจริง ส.ส.ในพรรค หลายคนไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานเหล่านั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เรื่องคุกคามทางเพศเป็นเรื่องใหญ่ระดับสากล ก้าวไกลก็ใช้เรื่องนี้เป็นนโยบายหลักในการหาเสียง แต่ คนในพรรคกลับสร้างเรื่องเหล่านี้เสียเอง
ส่วนตัวนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นั้น แม้ว่าผลโพลล์ยังคงนำมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ก็มีปัญหาของตัวเองหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น นโยบายแก้ไข หรือ ยกเลิก กฎหมายอาญา มาตรา 112 นโยบายต่างประเทศ ที่เชิดชูชาติตะวันตกสหรัฐอเมริกา ชักนำเข้ามาแทรกแซงประเด็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ในภูมิภาคนี้ อีกอันที่สำคัญมากคือการชอบโกหกจนเป็นนิสัย วันนี้พูดอย่างอีกวันพูดอีกอย่าง สร้างภาพว่าเป็นคนดี อย่างโน้นอย่างนี้ หรือ พูดง่ายๆ ก็คือ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น แต่สุดท้ายก็ดันถูกจับโป๊ะได้ทุกเรื่อง
จริงๆ แล้ว หลังจากที่โพลนิด้าอันนี้ออกมาว่าความนิยมของก้าวไกลกับนายพิธายังมาเป็นอันดับหนึ่ง ผมไม่ได้แปลกใจแม้แต่นิดเดียว เพราะสังคมยังมีคนที่ด้อยปัญญาอยู่เหมือนเดิม หลงไหลความจอมปลอมอีกมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคนอย่างน้องไนซ์, นายนอท กองสลาก, เณรคำ, ธัมมชโยรวมไปถึงลุงพลซึ่งคงยังมีคนแบบนี้เกิดขึ้นอีกมากมาย
แต่ในขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า เมื่อมองไปที่พรรคการเมืองทุกพรรค มีแต่ความสิ้นหวัง เรามีแต่นักการเมือง ไม่มีผู้นำ บรรดาพรรคใหญ่พรรคอื่น ๆ ก็ตกต่ำ มองเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง ไม่ได้เข้มแข็งหรือเป็นที่พึ่งให้สังคมไทยได้เลยแม้แต่นิดเดียว
เรามาพูดถึงพรรคเพื่อไทย ซึ่งความนิยมจากนิด้าโพลอยู่ในลำดับที่ 2 ทั้งๆ ที่ได้เป็นแกนนำฝั่งรัฐบาล และมีโอกาสได้โชว์ฝีมือในการบริหารประเทศอยู่ทุกวันนี้
แต่การใช้อภิสิทธิ์และอำนาจในการแทรกแซงกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ที่ทำให้นักโทษชายทักษิณที่ต้องโทษจำคุก 1 ปี สามารถออกไปนอนนอกคุกแบบไม่แคร์สังคม กำลังฉุดให้ความนิยมของพรรคเพื่อไทยให้ลดต่ำลงเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ
แม้ว่านายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งผมมองว่าเขาเป็นคนใช้ได้ มาเป็นผู้นำ เขาเป็นคนที่มาจากภาคธุรกิจ ทำงานเร็ว ตัดสินใจเร็ว สั่งงานเร็ว แต่ที่ไปได้เพียงเท่านี้ก็อย่างที่ผมบอกว่านายกฯ เศรษฐา ไม่มี สส. ในมือ อีกทั้งยังมีแรงกดดันจากนายกฯ โดยพฤตินัยอีก 2-3 คน จากตระกูลชินวัตร มิหนำซ้ำยังขาดผู้สนับสนุน ทั้งรัฐมนตรี สส. ในพรรค ที่ไม่ได้ช่วยเหลือนายกฯ เลย เพราะมัวแต่สนใจเรื่องตัวเอง ข้าราชการใส่เกียร์ว่าง ไม่ให้ความร่วมมือ ถือคติว่า "ไม่ทำ ไม่ผิด"
ส่วนทักษิณ ชินวัตร แม้ไม่ได้เล่นการเมือง ก็เหมือนเล่น เพราะบารมีสั่งงานรัฐบาลได้ แต่ผมเชื่อว่าเล่นอีกไม่เกิน 3-4 ปี ก็พอแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วปีหน้าเราจะเริ่มเห็นการขับเคลื่อนอย่างรุนแรงของโครงการต่างๆ ในคณะรัฐมนตรี ในรัฐมนตรีที่เป็นคนของพรรคเพื่อไทยที่วางตัวเอาไว้
อีกพรรคหนึ่ง ไม่พูดไม่ได้ เป็นพรรคใหญ่พรรคหนึ่ง เพราะเป็นพรรคอันดับสาม มีจำนวนเสียงตั้ง 71 เสียง เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย คือ พรรคภูมิใจไทย ครองเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ๆ หลายกระทรวง มหาดไทย ศึกษาธิการ แรงงาน กระทรวง อว. ช่วยกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เรียกได้ว่ายึดพื้นที่กระทรวงสำคัญๆ หลายกระทรวง แต่ที่น่าตกใจ ผลนิด้าโพลสำรวจออกมา พบว่า ความนิยมในตัวนายอนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ติด 1 ใน5 ของผู้นำที่ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี มิหนำซ้ำคะแนนนิยมที่ได้ก็ยังใกล้เคียงกับคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เป็นแกนนำพรรคที่เล็กกว่ามาก เสียด้วยซ้ำ
ความนิยมที่ประชาชนมีต่อพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่ติด 1 ใน 5 เช่นกัน ต่ำเตี้ย คะแนนนิยมแค่ 1.70 ทั้งๆ ที่เมืองไทยมีพรรคการเมืองใหญ่เหลือเพียงไม่กี่พรรค สัญญาณที่สาหัสสากรรจ์ก็คือว่า ความนิยมพรรคภูมิใจไทยยังตามหลังพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งกำลังจะสูญพันธุ์เสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าพรรคที่ตกต่ำจริงๆ นั้น กลับกลายเป็นพรรคภูมิใจไทย
คำถามคือ คุณอนุทินเล่นการเมืองมากี่ปีแล้ว ? ทำไมไม่ได้รับความนิยม เชื่อถือ ศรัทธาจากประชาชนเลย ผมเชื่อว่าคุณอนุทินต้องพิจารณาตัวเอง พรรคภูมิใจไทยเองมี สส. ได้รับเลือกตั้งเข้ามาไม่น้อย แสดงว่า สส. ที่เข้ามานั้นล้วนแต่เป็นสายบ้านใหญ่ ใช้เงินฟาดทั้งสิ้น ใช่หรือเปล่า
พรรคประชาธิปัตย์ ผมแทบไม่ต้องพูดถึง เพราะพูดไปหมดแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 219 เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม "ประชาธิปัตย์ ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี"
อย่างที่ผมกล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่พรรคประชาธิปัตย์ในยุคเฉลิมชัย ศรีอ่อน และ เดชอิศม์ ขาวทอง จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย หากสถานการณ์เอื้ออำนวย และผมคิดว่าไม่น่าจะเกินปี 2567 นี้
มีการประเมินว่าการสร้างพรรคการเมืองสไตล์ทักษิณนั้น จะต้องเน้นให้ได้ สส. เกิน 200 เสียง เพื่อเป็นพรรคอันดับหนึ่ง รับประกันในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เหมือนในอดีตที่เขาก่อตั้งพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย และยุบรวมพรรคความหวังใหม่ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
ยุคนี้พรรคเพื่อไทยมีเสียง 141 เสียง ถ้าจะมีพรรคการเมืองที่ควบรวมเข้ามา ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่า น่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ เพราะมีอดีตคนเพื่อไทยอยู่ที่นี่หลายคน แม้จะไม่ยุบพรรค ก็อาจจะมาบางส่วน
แน่นอนว่าพรรคประชาธิปัตย์อาจจะเป็นหนึ่งในเป้าหมาย เพราะเป็นยุคที่ตกต่ำ ระส่ำระสายที่สุด มี สส. เพียง 25 เสียง อีกทั้ง สส. ส่วนใหญ่ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้มั่นคงในอุดมการณ์ ผู้อาวุโสหลายคนก็ลาออกจากพรรคไปแล้ว
จากสถานการณ์ที่ผมประเมินให้ฟังวันนี้ ผมพูดได้เลยว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร พรรคก้าวไกล หรือพรรคอวตารของพรรคอนาคตใหม่ หากพรรคก้าวไกลไม่ถูกยุบ หรือแม้กระทั่งถูกยุบ ก็คงต้องตั้งพรรคใหม่ ก็จะมีแนวโน้มขึ้นมาครองเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสภาฯ ได้ และผมเชื่อว่าจะมีการเดินหน้ารื้อรากฐานทั้งหมดของประเทศไทย นี่คือความจริงที่เป็นหนึ่งเดียว และเราจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ
ย้อนมองเศรษฐกิจไทยปี 2566
ประชาชนรอเงินแจก-เป็นทาสทุนพลังงาน
ท่านผู้ชมครับ เราจบเรื่องการเมืองปี 2566 ไป ตอนนี้เรามาพูดเรื่องเศรษฐกิจบ้าง
เศรษฐกิจปี 2566 นั้น เป็นเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาหลักประชานิยม นับตั้งแต่สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว เศรษฐกิจของเราเป็นเศรษฐกิจของการแจกเงินเพื่อไม่ให้ประชาชนลำบาก นับเงินที่แจกก็เป็นล้านๆ บาทแล้ว ที่สำคัญคือ น่าเสียดายอย่างหนึ่ง ข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือประชาชนลำบากและเดือดร้อน ถ้าจะวางนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจอะไรที่เป็นระยะกลาง ระยะยาว ชั่วคราว ในช่วงต้นนั้นประชาชนจะยากลำบากมาก มันถึงมีรายการ "เป๋าตัง" รายการโน่นนี่นั่น ซื้อของ 1 บาท รัฐบาลออกให้ 1 บาท ผสมผสานกัน แต่ทั้งหมดและทั้งนี้ ผมไม่ได้ตำหนิใครหรอก ผมตำหนิรัฐบาล
จริงๆ แล้วรัฐบาลประยุทธ์มีโอกาสที่จะพัฒนาและสร้างเศรษฐกิจของบ้านเราให้ดีขึ้น แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ท่านไม่ยอมแตะต้องเรื่องพลังงานเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วมันก็ยาวนานมาจนถึงปัจจุบันนี้
เศรษฐกิจนั้น จะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขบางประการ เงื่อนไขประการแรกที่สำคัญที่สุด คือเราต้องลดต้นทุนในการใช้ชีวิตของประชาชน อะไรบ้างล่ะ ? ที่เห็นได้ชัดๆ คือ ค่าไฟ ค่าน้ำมันรถ เชื้อเพลิง เพราะเชื้อเพลิงนั้น หลักๆ แล้วจะเป็นปัญหาหลักที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศไทยและทั่วโลกมันแพงขึ้น ถ้าเชื้อเพลิงมันแพงเกินความเป็นจริง โปรดสังเกตคำพูดผม ผมใช้คำว่า "แพงเกินความเป็นจริง" ประชาชนแบกราคาค่าน้ำมันที่แพง เพื่อให้ผู้ถือหุ้นบริษัทน้ำมันอย่างเช่น ปตท. ร่ำรวยกันทุกคน
ท่านผู้ชมไม่เคยสังเกตหรือว่า ภาวะเศรษฐกิจช่วงไหนที่มันตกต่ำ แต่ผลประกอบการของธนาคารทุกแห่ง ผลประกอบการของอุตสาหกรรมพลังงาน หุ้นพลังงาน จะกำไรทุกที และสังเกตยอดกำไรของ ปตท. นั้น จะกำไรมากๆ เลย ทุกครั้งที่น้ำมันโลกขึ้นราคา แล้วทำให้ต้นทุนทุกอย่างมันแพงไปหมด ปตท. กำไรเอาๆ ค่าไฟก็เช่นกัน ค่าไฟนั้น เนื่องจากว่าทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง มีการสะสมกำไรที่กินกำไรจากประชาชน ผมเคยพูดเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว ท่านผู้ชมจำได้ไหม ผมเคยบอกว่า การไฟฟ้านครหลวง และส่วนภูมิภาค เล่นบทโหด เลว แต่ไม่ดี แม้กระทั่งค่าวางบิล เดินไปออกบิลคิดเงินประชาชนยังคิดเงินเขาเลย ซึ่งการออกบิลนั้นจะไปคิดเงินกับประชาชนเขาได้อย่างไร นี่ผมยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ
โครงสร้างของพลังงาน พล.อ.ประยุทธ์ ไม่แตะต้อง เพราะท่านยืนอยู่ข้างพลังงานที่ ปตท. เป็นเจ้าของ เพราะท่านคุม ปตท. อยู่ คนของท่านจะนั่งอยู่ใน ปตท. คือบอร์ด ปตท. นี่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ท่านไม่เห็นด้วย ตั้งไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้ว กรรมการบอร์ด ปตท. และคณะกรรมการพลังงานต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นคนรุ่นเก่าที่เน้นในเรื่องกำไรให้กับองค์กรที่ทำงานเรื่องพลังงาน แต่ประชาชนไม่เป็นไร ให้แบกไป
ค่าก๊าซ เหมือนอย่างก๊าซที่เราสั่งเข้ามา พอสั่งเข้ามาแล้วต้องเอาไปให้ ปตท. ใช้ในกิจการของปิโตรเคมิคอลก่อน ในราคาที่ถูก เมื่อก๊าซหมดแล้วก็ต้องให้ ปตท. สั่งก๊าซเข้ามา แล้วก็เอาก๊าซที่สั่งเข้ามาเอามาขายประชาชนให้แพงขึ้น จะไม่แพงได้อย่างไร เพราะสั่งก๊าซเข้ามาราคาแพง แต่ก๊าซราคาถูกจากอ่าวไทยนั้น ดันทะลึ่งไปให้องค์กรใน ปตท. เขาเอาไปใช้เพื่อทำกิจกรรมทางธุรกรรม ทางอุตสาหกรรม เช่น ปิโตรเคมิคอล
แบบนี้รัฐบาลชุดประยุทธ์ จันทร์โอชา มาจนถึงรัฐบาลชุดเศรษฐา ทวีสิน ก็ไม่ได้แก้ไขเลยแม้แต่นิดเดียว
เวลามีน้ำมันขึ้นทีไร ท่านผู้ชมสังเกตไหม มาถึงยุครัฐบาลของเศรษฐา ทวีสิน วิธีแก้คือแก้แบบควักจากกระเป๋าซ้ายมาใส่กระเป๋าขวา ก็คือว่าบีบบังคับให้ลดราคาน้ำมันและค่าไฟ แต่เมื่อลดลงไปแล้ว สิ่งที่มันหายไปก็คือว่า ราคาจากรัฐที่จะได้จากภาษีสรรพสามิตก็หายไป เพราะฉะนั้นแล้ว รายได้ส่วนที่เป็นของรัฐพร่องไป เพื่อเอาส่วนที่พร่องไปนั้นเอามาลดราคาน้ำมันให้ประชาชน ก็คือไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ได้แก้ปัญหาระยะยาว ด้วยเหตุนี้ปัญหาพลังงานก็เลยเป็นปัญหาใหญ่ และยาวต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ และจะต่อไปอีกจนถึงปีหน้า 2567 ซึ่งราคาน้ำมันจะมีแต่สูงขึ้น เพราะสงครามต่างๆ ไม่ว่าจะสงครามฮามาส-อิสราเอล ซึ่งทำให้ประเทศอย่างเยเมนนั้น ปิดทะเลแดง และอิหร่านก็ประกาศแล้วว่า พร้อมจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ ทุกอย่างจะทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้นไป และในที่สุดแล้วก็กลับมาที่ ประเทศไทยต้องใช้น้ำมันราคาแพง
นโยบายต่างประเทศก็เช่นกัน ที่ผิดเพี้ยนไปเดินตามก้นอเมริกา เรามีน้ำมันอิหร่าน เรามีน้ำมันรัสเซีย ที่เขาพร้อมจะขายให้เราในฐานะมิตรประเทศ ส่วนลดตั้ง 20-30 เปอร์เซ็นต์
1 บาร์เรล รัสเซียขายให้อินเดีย 60 เหรียญ เขาก็สามารถขายให้เมืองไทยได้ถ้าเจรจาดีๆ ต่ำกว่า 60 เหรียญดอลลาร์ แต่เราไม่ซื้อ เพราะว่าเราไปยืนข้างอเมริกา เดินตามตูดอเมริกา แต่พอจริงๆ แล้วเราใช้น้ำมันแพง อเมริกาไม่เห็นมาช่วยเราเลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือวิสัยทัศน์ของผู้นำ ท่านผู้ชม ถ้าผู้นำเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง อเมริกาจะไม่มีสิทธิ มีอิทธิพลในการซื้อน้ำมัน ทำไมเราจะซื้อน้ำมันราคาถูกเพื่อพวกเรากันเอง เพื่อประชาชนคนไทยเอง จะใช้น้ำมันราคาไม่แพง และราคาถูก ทำไมเราจะทำไม่ได้ นี่คือข้อบกพร่อง เพราะฉะนั้นแล้ว ราคาน้ำมัน เศรษฐกิจทั้งหมดนี้มันผูกพันกับการเมืองระหว่างประเทศ ภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ซึ่งมันเป็นไปมาแล้วหลายปี เป็นมาแล้วเมื่อช่วงปี 2566 และก็จะเป็นต่อไป 2567
คำถามคือ ทำไมสิงคโปร์ซื้อน้ำมันรัสเซีย ซื้อน้ำมันอิหร่านได้ ? ญี่ปุ่นซื้อน้ำมันรัสเซีย และน้ำมันอิหร่าน ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นเป็นลูกไล่ของอเมริกา เป็นหมาชิทสุของอเมริกา เป็นหมาชิวาว่าของอเมริกา แต่ทำไมญี่ปุ่นถึงซื้อได้ ทำไมไทยซื้อไม่ได้ มันเป็นอะไร ?
ผมอยากจะถามถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คือ คุณปานปรีย์ ณ วันนี้ ตกลงคุณจะเอาอเมริกาเป็นตัวตั้ง หรือคุณจะเอาประชาชนคนไทยเป็นตัวตั้ง เราไม่ได้ส่งทหารไปช่วยรัสเซียรบ เราไม่ส่งทหารไปช่วยใคร แต่เราต้องการคบกับเขาในฐานะมิตรประเทศ ทำไมเราไม่สั่งน้ำมันเขาล่ะ อ้อ สั่งแล้วเดี๋ยวจะโดนแซงก์ชัน แซงก์ชันอะไรของคุณ ถ้าสั่งแล้วอเมริกาแซงก์ชัน แต่ทำให้ประชาชนใช้น้ำมันถูกลงลิตรละ 10 บาท 15 บาท ก็ให้แซงก์ชันไปสิ ใช่ไหมท่านผู้ชม นี่คือวิสัยทัศน์ไง เพราะว่านักการเมืองไม่ใช่ผู้นำ ประเทศไทยไม่มีผู้นำ ประเทศไทยเรามีแต่นักการเมือง เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว กลัวไปหมดทั้งอเมริกา ทั้งอียู ทำไมจะต้องไปกลัวมัน
แล้วประเทศจีน ซึ่งเขามีอิทธิพลอย่างมากมายมหาศาล เราทำไมถึงไม่คุยกับเขาให้ดีๆ รถไฟความเร็วสูง ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังผมจะเล่าให้ฟังก็ได้ ถ้าท่านผู้ชมเคยฟังรายการผม จะจำได้ว่าผมพูดตลอดเวลามาตั้งแต่ต้นแล้ว หลายปีมาแล้ว สี่ปีที่แล้วผมพูดว่าอย่างไร ? ผมบอกว่า นัยความต้องการที่จะมีรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อจากลาว ลงมาทางอีสาน ทางเหนือ หนองคาย หรือลงมาทางเชียงใหม่ ต่อไปจนถึงมาเลเซียนั้น มันเป็นส่วนสำคัญมากในยุทธศาสตร์ของจีนที่จะเชื่อม "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง" ให้เชื่อมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้หมดทุกประเทศ แต่เราก็ไปยึกยัก เราก็อยากจะทำเอง เหตุผลของการต้องการทำเองเพราะเรามีนักการเมือง เรามีทหารบางคน เรามีกลุ่มธุรกิจบางคน ที่ต้องการจะได้ผลประโยชน์จากการทำเองด้วยการคอร์รัปชัน
ถ้าเราเจรจากับจีน เราบอกว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า เราจะยกเส้นทางนี้ให้เขาสร้าง ให้เขาลงทุนเองทั้งหมดเลลย แล้วเจรจากันว่า สร้างเสร็จแล้ว ค่าโดยสารเป็นเท่าไร เราขอร้องเขาได้ว่า ถ้าเป็นการเดินทางในประเทศ ระหว่างคนในประเทศของเรานี้ ขอให้ลดค่าโดยสารลงมาเท่านี้ อย่าให้เกินเท่านี้ได้ไหม ? สิ่งแบบนี้เจรจากันได้ เขาอาจจะต้องการที่ข้างๆ ทางรถไฟเยอะหน่อย เราก็เจรจาได้นี่ แต่เราไม่เจรจาเพราะเราทะลึ่งอยากสร้างเอง แล้วเราก็อ้างตลอดเวลาว่า ให้ญี่ปุ่นสร้างดีไหม
รถไฟความเร็วสูง จีนเขาเจรจากับเรามาตั้ง 5-6 ปีแล้ว ตั้งแต่ต้น ถ้าใช้วิธีที่ผมบอก เราไม่ต้องเสียเงินเลยแม้แต่บาทเดียว สิ่งที่เราจะได้ ได้อะไร ? เราสามารถจะเคลื่อนย้ายประชาชน เราสามารถเคลื่อนย้ายสินค้าต่างๆ จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง แต่เราทะลึ่ง หนึ่ง อยากทำเอง สอง มีความรู้สึกว่าอเมริกากดดันไม่ให้จีนเข้ามามีบทบาทในประเทศไทย แล้วอเมริกามันช่วยอะไรเราบ้าง ? มันไม่เคยช่วยอะไรเราเลยแม้แต่นิดเดียว
เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำตามที่ผมบอก บาทเดียวก็ไม่ต้องเสีย ป่านนี้เรามีรถไฟความเร็วสูงเชื่อมจากหนองคาย ลงมาจนถึงหาดใหญ่ ทางใต้ สุไหงโก-ลก ต่อไปยังมาเลเซียได้แล้ว และเราก็จะสามารถใช้ได้เป็นเวลา 2-3 ปีแล้ว
อินโดนีเซียต้องการสร้างรถไฟความเร็วสูงจากจาการ์ตา ไป บันดุง ญี่ปุ่นเข้าไปขอเสนอความคิด ญี่ปุ่นทำไปแล้วแต่ไม่เวิร์ก ประธานาธิบดีอินโดนีเซียก็เลยโยนโครงการทั้งหมดให้จีนทำ อินโดนีเซียจ่ายเงินคนเดียว แล้วกู้เงินจีน ปรากฏว่าจีนทำไม่กี่ปีก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
เวียดนาม รถไฟจากฮานอย ลงมาจนถึงโฮจิมินห์ ซิตี ญี่ปุ่นเข้าไปแตะไว้ 17 ปี ไม่ได้เดินหน้าไปไหนเลยแม้แต่นิดเดียว ในที่สุดคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ของเวียดนามก็บอกว่า ตอนนี้ต้องโยนเรื่องนี้ให้กับจีนเป็นคนทำ แล้วในการสัมมนาเรื่องรถไฟความเร็วสูง ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของเวียดนามทั้งหมดไปนั่งคุยกับจีนแล้วให้จีนมาทำ
มันเป็นอะไรนะ ประเทศไทยนี่ ผมไม่เข้าใจ ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยัง หรือว่าต้องการที่จะให้กระทรวงคมนาคมคุมรถไฟความเร็วสูง เงินก่อสร้างเป็นล้านๆ เป็นหลายแสนล้านบาท มันจะได้เข้ากระเป๋านักการเมือง แล้วก็มาอ้างตลอดเวลาว่าถ้าเราสร้างเองแล้ว เราจะเรียนรู้เทคนิครถไฟความเร็วสูง ท่านผู้ชม ไอ้พวกนี้มันบ้าไปแล้ว เมืองไทยไม่ได้เป็นพื้นที่ภูมิศาสตร์สำหรับรถไฟความเร็วสูงเลย เพราะว่าเมืองไทยเราที่ต้องการก็คือ จากเหนือลงใต้สุด แค่นั้นเอง จีนที่มันใหญ่ หรืออินโดนีเซียเพราะมันมีเกาะหลายเกาะ มันสามารถจะสร้างจากปักกิ่งลงมาจนถึงกวางตุ้ง แล้วสร้างจากปักกิ่งวิ่งต่อไปที่ทิเบต ทางขวาง ทางยาว ก็สร้างได้ ทาง Vertical บนลงล่าง เขาสร้างได้หมด แต่เมืองไทย พอหมดจากหนองคาย หรือเชียงใหม่ มาที่กัวลาลัมเปอร์เแล้ว ผมถามว่าคุณจะสร้างตรงไหน คุณจะสร้างจากพิจิตร ข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งหรือ ทางตะวันตก ไม่มี เรามีอยู่เส้นเดียวเท่านั้นเองที่จะสร้าง คือจากบนลงมาล่าง แล้วคุณจะเรียนรู้เทคนิคไปทำอะไร บ้าบอคอแตก แล้วถ้าคุณให้เขามาสร้างเอง ลงทุนเอง ทุกอย่าง เพื่อให้เชื่่อมต่อแผนยุทธศาสตร์อันใหญ่ของเขา เรามีปากหรือเปล่า เราก็เจรจากับเขาได้นี่ ว่าเราก็อยากเรียนรู้เรื่องเทคนิครถไฟความเร็วสูง ขอให้เอาคนไทยเข้าไปร่วมด้วยได้ไหม ศึกษาได้ไหม ไม่ทำ ท่านผู้ชม กี่ปีแล้ว
แล้วลาว ความเร็วสูงมันวิ่งจากเวียงจันทน์ เข้าไปคุนหมิงได้เรียบร้อย แล้วต้องการเชื่อมกับรถไฟไทยที่สร้างไป ปรากฏว่า ท่านผู้ชมรู้ไหม ขนาดรางของลาวขนาดหนึ่ง แต่รถไฟไทยทะลึ่งวางขนาดรางที่จะไปที่หนองคาย เล็กกว่าของเขา ผมถามว่าคุณใช้กบาลส่วนไหนของกบาลคุณคิด แล้วจะเชื่อมกันได้อย่างไร
นั่นคือที่มาว่าจีนตัดสินใจแล้วว่าไม่พึ่งไทยแล้ว มันจะเจาะข้ามน้ำข้ามทะเลเลย จากลาวมาที่เขมร แล้วก็ลากเส้นลงมา วิ่งตรงข้ามทะเล ท่านผู้ชมครับ เทคโนโลยีการก่อสร้างของจีน อันดับหนึ่งของโลก เขาสามารถจะสร้างรถไฟจากกลางเมืองของจีน จากจีน ปักกิ่ง วิ่งเข้าไปสู่เนปาลได้ เจาะทะลุ ขุดอุโมงค์ 33 อุโมงค์ของเทือกเขาหิมาลัยได้ เขากำลังวางแผนสร้างรางรถไฟใต้ทะเล เป็นที่รถไฟให้วิ่งได้ เขาทำได้ ตอนนี้เขาตัดเมืองไทยทิ้งไปแล้ว ตอนนี้เราก็ได้สนองตัณหาพวกที่ต้องการงาบ ต้องการแดก แล้วใช้กระบวนทัศน์โง่ๆ ที่บอกว่าเราต้องศึกษาความรู้เรื่องรถไฟความเร็วสูง เพื่อให้เมืองไทยเป็นฮับของรถไฟความเร็วสูง คุณจะเป็นฮับอะไร ก็วิ่งจากเหนือลงมาใต้ เส้นนั้นเส้นเดียวเท่านั้นเอง ถ้าจะมีเป็นขนมหวาน ฝอยทอง ทองหยิบ ก็มีกรุงเทพฯ ไปอู่ตะเภา เพื่อการท่องเที่ยว มีอยู่แค่นี้ มากกว่านั้นไม่มีแล้ว
นี่คือปัญหาของประเทศไทย เศรษฐกิจของประเทศไทยน่าจะเปิดได้ ถ้าเรามีรถไฟความเร็วสูงวิ่งมาสัก 2-3 ปีแล้ว เราไม่ลำบากขนาดนี้หรอก ทำไมเศรษฐกิจจีนถึงโตเร็ว ? เศรษฐกิจจีนโตเร็วเพราะรถไฟความเร็วสูงของจีนเข้าไปสู่ทุกจุด
ท่านผู้ชมรู้ไหม ที่เสฉวน ตำบลๆ หนึ่งที่รถไฟความเร็วสูงมันผ่าน ประชาชนที่เคยขายสินค้าทางด้านพืชผล เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เสฉวนที่สามารถเอาพืชผลวิ่งเข้าไปขายในเมืองได้โดยใช้รถไฟความเร็วสูง รายได้เกษตรกรสูงขึ้นกว่าเก่าเยอะ
นี่ไงท่านผู้ชม เพราะเราไม่มีผู้นำ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ใช่ผู้นำ พล.อ.ประยุทธ์ ไปๆ มาๆ ก็เป็นนักการเมืองอีกคนหนึ่ง แล้ววันนี้เราก็มีนักการเมืองมาบริหาร แต่เราไม่มีผู้นำที่คิดถึงอนาคตของรุ่นลูกรุ่นหลานเรา คิดเฉพาะวันนี้ ว่าจะได้อะไรบ้าง แล้วท่านผู้ชมว่ามันน่าเซ็งไหม เพราะฉะนั้นแล้ว เศรษฐกิจไทยมันก็เลยไปไหนไม่รอด ต้องรออย่างเดียว คือต้องแจกเงิน วันนี้ก็รออยู่อย่างเดียว คือเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่จะแจกให้ประชาชน
แต่กระบวนทัศน์เขาก็ฟังขึ้น ฟังออก ไม่ใช่แจกเงินแบบ "เป๋าตัง" ง่ายๆ เขาต้องการเอาเงินก้อนนี้ให้มันหมุนไป 2-3 รอบ เงิน 500,000 บาท ถ้าหมุนไป 2-3 รอบ ก็จะได้ประมาณ 2 ล้านล้านบาท เงิน 2 ล้านล้านบาท เขาเก็บภาษีได้ประมาณ 300,000 ล้านบาท มันก็เหมือนการแจกตังค์นี่ล่ะ มันคือการแจกตังค์ แต่การแจกตังค์งวดนี้ไม่ใช่แจกแล้วก็ไปเอาเงินมาได้แล้วก็เดินเข้าเซเว่นฯ แล้วก็ไปซื้อเหล้าซื้อเบียร์กินกัน ไม่ใช่ มันมีความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่านั้นเยอะ แต่น่าเสียดายที่คนไม่เข้าใจกระบวนทัศน์ตรงนี้
เพราะฉะนั้นแล้ว เศรษฐกิจไทยปี 2566 คือปีแห่งการรับอานิสงส์จากการได้สวัสดิการจากรัฐแจกเงินแจกทอง ลดค่าไฟ โดยควักจากกระเป๋าซ้ายเข้ากระเป๋าขวา โดยที่ไม่ได้ไปปรับโครงสร้าง แล้วปีหน้าล่ะ ? น้ำมันแพงขึ้น คุณต้องการหาเสียงใช่ไหม คุณก็ลดน้ำมันอีก แต่รายได้สรรพสามิตคุณหายไปทีละนิดๆๆๆ แล้วคุณก็ไม่ได้ลดจริงๆ เท่าไร แต่ถ้าคุณปรับโครงสร้างน้ำมัน ปรับโครงสร้างก๊าซเสียใหม่ เราจะเริ่มเห็นราคาก๊าซลดถังละเป็นสิบๆ บาท ราคาน้ำมันลดได้ถึงสิบกว่าบาทต่อลิตร ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง
เพราะฉะนั้น ปีหน้าเศรษฐกิจก็จะเหมือนปีนี้ ยกเว้นถ้ามีเงินดิจิทัลออกมา อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ของจะแพงขึ้น วันนี้ของแพงหมดแล้ว ค่าก๊าซก็จะแพง ก๊าซที่ชาวบ้านใช้ทำกับข้าวขาย หรือที่พ่อค้าแม่ค้าเอามาทำมาค้าขายกัน ก็จะแพงขึ้น เงินเดือนล่ะ ค่าแรงงานล่ะ เจ้าของกิจการก็บอกว่าถ้าขึ้นเกินกว่านี้กิจการก็ล้มหายตายจาก
แต่คำถามก็มีถามต่อ แล้วถ้าคุณขึ้นแค่ 1 บาท 2 บาท 5 บาท 10 บาท แล้วคนจน คนที่ต้องใช้แรงงาน จะอยู่ได้อย่างไรล่ะ มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่บางครั้ง บางส่วนของสังคมต้องยอมเจ็บปวดบ้าง บางส่วนของวงการธุรกิจก็ต้องยอมเจ็บปวดกันบ้าง แล้วไม่มีหรอกครับ ถ้าเศรษฐกิจมันล่มลงไป เศรษฐกิจเล็กเศรษฐกิจน้อยล่มลงไปเพราะค่าแรงมันแพง มันก็ต้องมีคนเกิดขึ้น ใหม่ๆ ขึ้นมา แล้วยอมรับ เหมือนอเมริกา ค่าแรงขั้นต่ำ กว่ามันจะมาถึง 15 เหรียญต่อชั่วโมง ได้ เจ้าของร้าน ไม่ว่าจะเป็นแมคโดนัลด์ ไม่ว่าจะเป็นร้านขาย Hot Dog ต่างก็บอกว่าไม่ได้หรอก แล้วพวกผมจะอยู่กันได้อย่างไร แต่ในที่สุดมันก็บังคับให้ขึ้น เพราะมันรู้ว่าค่าแรงขั้นต่ำอันเก่ามันต่ำเกินกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะใช้ชีวิตอยู่ได้ เหมือนกับค่าแรงของแรงงานประเทศไทย มันก็ต่ำกว่า ผมยังจำได้เลยท่านผู้ชม ถ้าท่านผู้ชมอายุใกล้ๆ ผม สมัยก่อนคนที่มาทำงานบ้าน เราให้เงินเดือน 3,000 บาท ก็ถือว่าเยอะแล้ว วันนี้หลายคนจ้างพม่า มีใครจ้างได้ต่ำกว่า 9,000 บาท เฉลี่ยแล้ว ถ้ารวมค่าอาหาร ถ้ารวมค่าห้องให้อยู่ ค่าเงินเดือนแล้ว แรงงานพม่าที่ช่วยซักผ้า ดูแลลูก ช่วยทำกับข้าว เดือนหนึ่งได้เบ็ดเสร็จทั้งแพ็กเกจ เดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท แล้ววันนี้เรามีเด็กจบปริญญาตรีราชภัฏเต็มไปหมดเลย หรือว่าจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ที่ตกงานอยู่ ได้งานทำเริ่มที่ 12,000 บาท ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่ามันผิดเพี้ยน เหตุผลเพราะว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจมันผิดเพี้ยนมานานแล้ว อะไรที่ควรจะขึ้น มันไม่ยอมให้ขึ้น อะไรที่ควรจะต่ำ อย่างเช่นพลังงาน มันไม่ยอมให้ต่ำ สรุปแล้วพวกเราก็จะเป็นทาสของกลุ่มทุนอีกต่อไป ปี 2567 เราจะยังคงเป็นทาสของกลุ่มทุนอีกต่อไป เป็นทาสของราคาพลังงานอีกต่อไป
น่าเสียดาย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ท่าดี ผมยังไม่รู้ว่าทีจะเหลวหรือเปล่า การปรับโครงสร้างของพลังงานก็ไม่ทำเสียที ก็ยังหลั่นล้า ชะชะช่าอยู่เหมือนเดิม และผมก็ฟันธงเลยว่าจะไม่มีวันที่จะทำได้สำเร็จ เพราะความตั้งใจจะทำมันไม่มี แต่ถ้าตั้งใจจะทำ มันทำได้สำเร็จแน่นอน นี่คือลักษณะเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า
สังคมไทยป่วยไข้
ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องสุดท้ายของการมองประเทศไทยปี 2566 และต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า (2567) เป็นเรื่องของสังคม
ถ้าจะพูดเรื่องนี้ แล้วผมไม่อ้างอิงเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยพูดไปแล้ว ท่านผู้ชมหลายท่านอาจจะไม่เข้าใจ
ตอนที่พูดวันนี้ เป็นตอนที่ 222 เป็นการส่งท้ายปี 2566 ผมได้มองย้อนกลับไปดูในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมออกรายการทุกวันศุกร์ ไม่มีวันหยุดเลย เป็นเวลา 51 ตอน ตอนนี้เป็นตอนที่ 52 ตอนสุดท้ายของปีนี้ ตอนแรกของปี 2566 เป็นตอนที่ 171 ออกอากาศเดือนมกราคม 2566 ท่านผู้ชมจำได้ไหมครับว่าผมพูดเรื่องอะไร ผมพูดเรื่อง "ส่วยฉาวโฉ่กรมอุทยานฯ ทำไมประยุทธ์ ยังกล้าเอาซุกทำเนียบ?" เรื่องนี้เป็นข่าวฉาวโฉ่ต่อ 2565-2566 เหตุเกิด 27 ธันวาคม 2565 เมื่อ ป.ป.ช. และตำรวจกองบังคับการปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ป.) เข้าตรวจค้นในห้องทำงานของนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐานอาญา มาตรา 149 เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบ ระหว่างตรวจค้น พบเงินสด 4 ล้าน 9 แสนบาท ผมไม่เล่าเรื่องรายละเอียดของคดีว่าเป็นอย่างไร ท่านผู้ชมไปสืบค้นหารายละเอียดเองได้อยู่แล้ว แต่ผมมีข้อสังเกตอย่างหนึ่ง
ทุกวันนี้ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเรื่องนี้หายเงียบไปแล้ว เข้ากลีบเมฆเลย กลีบเมฆคือตั้งแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. รับสำนวนคดีเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2566 ต้นปีที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุได้ไม่ถึงเดือน มาถึงวันนี้แล้วเงียบไปเลย สังคมไม่ได้รับรู้อะไรเพิ่มเติมเลยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าติดตามข่าวกันจริงๆ ท่านผู้ชมก็ทราบดีว่าเรื่องส่วยกรมอุทยานฯ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหรือมหัศจรรย์พันลึก แต่เรื่องราวกลับถูกดองเค็ม เก็บใส่ลิ้นชักไว้จนถึงวันนี้ เป็นไปได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องส่วยอุทยานฯ นี้ กับเรื่องที่ ป.ป.ช. เก็บดองเค็มเอาไว้ สะท้อนภาพอะไรได้หลายอย่างเกี่ยวกับการเมืองไทยที่เกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับปัญหาสังคมไทยทุกวันนี้ ที่ทุกอย่างมันหมักหมมสะสมจนเหมือนเป็นระเบิดเวลาที่ใกล้ระเบิดแตกออกมาเต็มที
ตอนที่สอง คือตอนที่ 172 ของปี 2566 ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่าว่าผมพูดเรื่องอะไร ? ผมได้ฉีกหน้ากากนายนอท พันธวัช นาควิสุทธิ์ ซึ่งในเวลานั้นสังคมไทย สื่อไทย ช่วยกันตีโป่งว่าเป็นคนรุ่นใหม่ นักธุรกิจพันล้าน หมื่นล้าน ร่ำรวยมาจากการทำหวย ขายหวยสแกน หรือหวยออนไลน์ โฆษณาตัวเองว่าได้สร้างเนื้อสร้างตัวจากคนธรรมดา ออกสื่อคุยโม้โอ้อวดว่ากำลังจะเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่แท้ที่จริงแล้ว นายนอท กองสลากพลัส ในวันนั้น ซึ่งวันนี้กลายมาเป็น "นอท ลอตเตอรี่พลัส" คือหนึ่งในฟันเฟืองของขบวนการอาชญากรรมออนไลน์ที่เชื่อมโยง ครอบคลุมไปตั้งแต่แก๊งพนันออนไลน์-ออฟไลน์ แก๊งบัญชีม้า แก๊งฟอกเงิน แก๊งเงินดิจิทัลขุดคริปโทเคอร์เรนซี แก๊งหลอกลวงขุด Forex แก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ
ขบวนการนี้เชื่อมโยงไปยังอาชญากรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มค้ายาเสพติด กลุ่มค้าแรงงานเถื่อน กลุ่มค้ามนุษย์ กลุ่มทุนจีนสีเทา กลุ่มข้ามชาติสีเทา อย่างเช่น นายนอท พันธวัช ก็เชื่อมโยงกับนายแทนไท ณรงค์กูล ซึ่งเคยถูกศาลแพ่งสั่งยึดทรัพย์ไปแล้วเรียบร้อยกว่า 176 ล้านบาท ตอนหลังก็พยายามฟอกตัวประหนึ่งว่าตนเองเป็นมหาเศรษฐีผู้บริสุทธิ์ ร่ำรวยมาจากการซื้อขายเงินดิจิทัล แต่ประวัติต่างๆ จะลบอย่างไรก็ลบไม่ออก
มีเพียงคดีอาญาของนายแทไท ณรงค์กูล เท่านั้นที่มีความพิลึกพิลั่นจากการที่อัยการสูงสุดในยุคของนายสิงห์ชัย ทนินซ้อน กลับมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง ทั้งๆ ที่คดีแพ่งนั้นตัดสินลงมาแล้วพร้อมหลักฐานมัดตัวแน่นว่านายแทนไทนั้นเกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์เต็มๆ
ประเด็น คนพวกอาชญากรเหล่านี้ ขบวนการสีเทาทั้งหมดนี้ จะอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอนถ้าไม่มีข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมืองหนุนหลังอยู่ ด้วยเหตุนี้ บรรดาธุรกิจพนันออนไลน์ ธุรกิจฟอกเงิน ทุนจีนสีเทา ที่เบ่งบานอยู่ในบ้านเรามาถึงทุกวันนี้ และระเบิดแตกออกมาผ่านหลายๆ เรื่องที่ผมนำเสนอในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ในรอบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นคดีแทนไท มาเก๊า 888 กับ ดิว อริสรา ฟลุ๊ค MAWINBET มินนี่ เจ้าแม่เว็บพนัน ถุงขนมชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เอก ปปง. พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ เรื่อยไปจนถึงคดี แอม ไซยาไนต์ ฆาตกรต่อเนื่องอย่างน้อย 14 คดี ทั้งหมดมีความเกี่ยวพันและเป็นผลพวงและผลกระทบจากขบวนการพนันออนไลน์และฟอกเงินทั้งหมด โดยที่มีตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ หรือข้าราชการ รู้เห็นเป็นใจ อยู่เบื้องหลังขบวนการเหล่านี้ทั้งหมด
กรณีของ แอม ไซยาไนต์ หรือ น.ส.สรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ สาเหตุที่ไล่ฆ่าคนรู้จักและคนใกล้ชิดเพราะประสงค์ในทรัพย์สินเงินทอง เพราะจากการสืบสวนสอบสวนเจ้าหน้าที่พบว่า น.ส.สรารัตน์ ติดการพนัน สูญเสียเงินไปหลายสิบล้านบาท หรือเกือบร้อยล้านบาท จากพนันออนไลน์
ความเกี่ยวพันของตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง ขบวนการอาชญากรรม ยังเชื่อมโยงย้อนกลับไปถึงคดีตู้ห่าว ที่ต่อเนื่องมาจากปลายปี 2565 นำมาสู่การเปิดโปงแก๊งจีนเทา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปัญหาการหลบหนีเข้าเมืองของคนต่างด้าวที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย สวมบัตรประชาชน ซื้อทะเบียนบ้าน นายอำเภอเอี่ยวค้าปืนเถื่อน กลายเป็นปัญหาหมักหมมสะสม เพราะบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยนั้น ให้ความช่วยเหลือ และรับเงินรับทองจากขบวนการอาชญากรรมของกลุ่มธุรกิจสีเทาเหล่านี้
ท่านผู้ชมครับ ปัญหาเหล่านี้เชื่อมโยงเข้ากับสถานการณ์ทางการเมืองและวิกฤตสงครามในประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าด้วยแล้ว ด้วยเหตุนี้ ผมขอทำนายล่วงหน้า ให้ท่านผู้ชมจดใส่กระดาษปิดไว้ข้างฝา หรือติดประตูตู้เย็นไว้เลยว่า ปีหน้า (2567) ที่กำลังจะมาถึงนี้ จะเป็นปีที่วุ่นวายที่สุด โดยเฉพาะเรื่องแรงงานเถื่อน คนเถื่อน การกระทำผิดกฎหมายข้ามแดนจะมากขึ้น จนส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ
นอกจากนี้แล้ว ในปี 2566 ยังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ เรื่องอื้อฉาวในวงการสีกากี และกระบวนการยุติธรรม ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของเราอีกซ้อนๆ กัน 2 เรื่อง เรื่องแรก คือ คดีกำนันนก และ เสี่ยแป้ง นาโหนด
ท่านผู้ชมจำได้นะครับ 6 กันยายน นายธนัญชัย หมั่นมาก ลูกน้องคนสนิทของนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ กำนันนก ผู้มีอิทธิพลในจังหวัดนครปฐม ใช้ปืนยิง สารวัตรแบงค์ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว เสียชีวิตกลางงานเลี้ยงภายในบ้านกำนันนก ต่อมาผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.ต.ศิวกร คือ พ.ต.อ.วชิรา ยาวไธสง ก็ก่อเหตุยิงตัวตายในบ้านพักย่านคูคต อำเภอลำลูกกา สาเหตุเพราะเครียด เพราะเป็นคนพา พ.ต.ต.ศิวกร ไปพบกำนันนก และเสียใจที่ดูแลลูกน้องไม่ได้
จากการสืบดูจากกล้องวงจรปิด พบว่ามีตำรวจที่ช่วยเหลือ พ.ต.ต.ศิวกร เพียง 5 นาย ส่วนที่อ้างว่ามีตำรวจช่วยเหลือ 10 นาย ไม่เป็นความจริง ได้ถูกตั้่งข้อหาทุจริต อาญาแผนกคดีทุจริต และผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ส่งตำรวจพวกนี้ฟ้องศาลเป็นจำเลย
เรื่องที่สอง ประมาณตี 1 วันที่ 22 ตุลาคม 2566 นายเชาวลิต ทองด้วง หรือ แป้ง นาโหนด อดีตนักโทษคดีฆ่าผู้อื่นหลายคดี หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางเมืองนครศรีธรรมราช ขณะรักษาอาการป่วยที่ตึกอายุรกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช สืบมาแล้ว มีผู้ร่วมขบวนการ 5 คน ตั้งแต่คนติดต่อว่าจ้างคนเฝ้าไข้ จัดหาอุปกรณ์ ขับรถพาหลบหนี แบ่งงานกันทำจนกระทั่งปลดโซ่ตรวจสำเร็จ กรมราชทัณฑ์สั่งย้ายผู้บัญชาการเรือนจำ และ ผอ.ส่วนควบคุม ไปส่วนกลาง
ต่อมา พบเบาะแสว่าเสี่ยแป้งหลบหนีไปพักในเพิงชั่วคราว เทือกเขาบรรทัด ตำรวจก็เลยออกปฏิบัติตามตามล่าเสี่ยแป้งแบบจัดเต็ม แต่ยากลำบากเพราะมีฝนตกหนัก แถมตำรวจ ตชด. ยังถูกต่อหัวเสือรุมต่อยบาดเจ็บสาหัส ปรากฏว่าพบน้ำเหลว เปลืองภาษีอากรประชาชน เพราะพบว่ามีตำรวจมีผลประโยชน์สีเทาขนของหนีภาษี ช่วยเหลือเสี่ยแป้งหนีจากเทือกเขาบรรทัด ไปท่าเรือในอำเภอละงู จังหวัดสตูล แล้วลงเรือหลบหนีไปยังจังหวัดอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เสี่ยแป้งก็อัดคลิปแฉกระบวนการยุติธรรม กรณีถูกกลั่นแกล้งไม่ให้ประกันตัว
ท่านผู้ชมครับ ผมเอาเรื่องราวต่างๆ มาเล่าให้ฟัง ในเหตุการณ์ฬนปี 2566 นี่เป็นเพียงข่าวอาชญากรรมและปัญหาสังคมใหญ่ๆ ที่ปะทุขึ้นมาในปี 2566 เท่านั้น ถ้าท่านผู้ชมสังเกตให้ดีจะพบว่า ทุกคดีล้วนแล้วแต่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ ผู้รักษากฎหมาย อัยการ เข้าไปมีส่วนร่วม ส่วนได้ส่วนเสียในคดี เพิกเฉย เรียกรับเงินทอง เป่าคดี แม้กระทั่งก่อคดีเสียเอง ไม่น่าแปลกใจว่าคดีเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ในประเทศไทย ไม่ว่าจะผ่านปี 2566-2567 ไป
นี่ผมยังไม่พูดถึงเหตุเยาวชนเพียง 14 ปี ก่อเหตุกราดยิงห้างสรรพสินค้าพารากอน วันที่ 3 ตุลาคม 2566 ทำให้มีคนเสียชีวิต 2 ราย คือ น.ส.จ้าว จินหนาน นักท่องเที่ยวจีน และ น.ส.Moe Myjnt ลูกจ้างชาวเมียนมา เหตุการณ์นี้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจไทย คิดเป็นมูลค่าเป็นหมื่นล้าน เพียงเพราะความเพิกเฉย ไม่ใส่ใจของเจ้าหน้าที่รัฐในการควบคุมอาวุธปืน ปล่อยปละละเลยให้เด็กเข้าไปฝึกซ้อมยิงปืนในสนามยิงปืนจนเกิดความเชี่ยวชาญ ปล่อยให้มีการซื้อขายสิ่งเทียมอาวุธ ปืนเถื่อน เครื่องกระสุน ผ่านร้านค้าและระบบออนไลน์
นอกจากเหตุการณ์ของสยามพารากอนแล้ว ยังมีอีกกรณีหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของสถาบันครอบครัว และความไม่จริงจังของหน่วยงานภาครัฐในการเข้าไปช่วยเหลือเยาวชนที่บ้านแตกสาแหรกขาด จนในที่สุดกลุ่มเคลื่อนไหวที่มีอุดมการณ์สุดโต่งทางการเมืองจับมือกับกลุ่มการเมือง มาหยิบเด็กและเยาวชนคนนี้มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าประสงค์ของตน โดยไม่สนใจวิธีการ และนั่นคือกรณี "น้องหยกทะลุวัง" ซึ่งกลุ่มทะลุวัง และพรรคก้าวไกล ใช้ไปป่วนโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ อ้างว่าหยก ซึ่งถูกดำเนินคดีอาญา มาตรา 112 ถูกละเมิดสิทธิ ถูกกีดกันออกจากระบบการศึกษา แต่กลับไม่กล่าวว่าการกระทำของกลุ่มทะลุวัง และพรรคก้าวไกลนั้นไปละเมิดสิทธิของเด็กคนอื่นๆ ในโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ แต่อย่างใด
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจให้สังคมในหลายๆ มิติของสถาบันครอบครัวในยุคปัจจุบัน ที่โดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยว แตกแยก เห็นแก่ตัวเอง บูชาเงินเป็นพระเจ้า วัตถุนิยม มิติความรุนแรงในเด็ก/เยาวชนไทยผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ภาพยนตร์ และเกม เป็นต้น
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการอบรม ดูแล ให้การศึกษากับเด็กและเยาวชน ซึ่งหน่วยงานรัฐไม่เคยจริงจังและจริงใจในการพัฒนาเด็ก จนไปถึงมิติการหาซื้อของผิดกฎหมายได้อย่างง่ายดายผ่านช่องทางออนไลน์ที่กระทรวงดีอีต้องรับผิดชอบ รวมทั้งมิติความปลอดภัยในการมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
ที่สำคัญที่สุด พื้นฐานเหล่านี้ ในสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นในประเทศไทย สังคมไทย ซ้ำแล้วซ้ำอีก คือสังคมไทยเป็นสังคมที่ป่วยหนัก ป่วยเพราะความมักง่าย ลืมง่าย ด้อยปัญญา ไม่แสวงหาความรู้ หลงอยู่แต่ในความเชื่อและอวิชชาของตัวเอง
ไม่เพียงแต่เรื่องส่วย การคอร์รัปชัน ขบวนการอาชญากรรมออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ธุรกิจสีเทา ที่เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก และก็จะเกิดขึ้นต่อไป ยังมีกรณีของสังคมไทยอีกหลายเรื่องที่ผมเคยพูดไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้องไนซ์เชื่อมจิต ครูกายแก้ว ลุงพล ครูตี๋สอนจีบสาว และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งผมพูดไปแล้วพูดไปอีก และมันจะเกิดขึ้นมากกว่าปี 2566 ในปี 2567 เพราะว่าไม่มีใครมาใส่ใจอย่างจริงจังและจริงใจที่จะแก้ปัญหานี้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนที่ร้ายที่สุดคือสังคมครอบครัว เป็นสังคมที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ไม่มีการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสังคมครอบครัว ให้ครอบครัวแข็งแกร่ง ไม่มี
สังคมไทยปี 2566 เป็นสังคมที่ต่อเนื่องมาจากปี 2565 และต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ในความเห็นแก่ตัวของคนในสังคมที่เอาตัวเองรอด แม้กระทั่งพ่อแม่ก็ยังเอาตัวเองรอด ไม่ใส่ใจลูกหลานตัวเอง เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นแก่ได้ ข้าราชการประจำเห็นแก่ผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือกระทรวงมหาดไทย เหมือนกันหมด แม้กระทั่ง ป.ป.ช. ซึ่งควรที่จะรักษาความเป็นธรรมและความยุติธรรมให้กับสังคม กรณีคดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ที่ผมเล่าให้ฟังตอนต้น รับเรื่องไปตั้งแต่มกราคม 2566 อาทิตย์หน้าก็ครบ 1 ปีแล้ว ไม่มีความคืบหน้าชี้แจงแถลงไขให้กับประชาชนทราบเลยแม้แต่นิดเดียว ท่านผู้ชมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก สังคมล้มเหลว การเมืองจะวุ่นวายมาก ปีหน้า เศรษฐกิจก็จะเริ่มตกต่ำต่อไปถ้าแก้ได้ไม่ทันท่วงที เศรษฐา ทวีสิน คนเดียวเอาไม่อยู่หรอกครับ เขาเป็นคนไว ฉลาด เห็นปัญหา แต่เขาไม่ได้รับความร่วมมือจากข้าราชการประจำเลยแม้แต่นิดเดียว รัฐมนตรีแต่ละคนสนใจอยู่อย่างเดียว คือทำมาหากินกับกระทรวงที่ตัวเองเป็นเจ้ากระทรวง ร่ำรวยกันมามากมายมหาศาล
ท่านผู้ชมครับ ประเทศไทย ผมจะพูดภาพรวมให้ดู ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าทำไมประเทศไทย SET ZERO ไม่ได้ ? เพราะทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงทีไร ทุกครั้งเปลี่ยนแปลงบนพื้นฐานความขัดแย้ง และความขัดแย้งนี้ไม่เคยหายไป ตั้งแต่สมัยที่ 3 ป. ยึดอำนาจและปฏิวัติ โดยการยุยงส่งเสริมหรือการดำเนินการของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ สิ่งแรกที่สังคมไทยและ 3 ป. ชู คือ ต้องการจะปรองดองกับทุกฝ่าย จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ไม่มีการปรองดองอะไรทั้งสิ้น ไม่เคยแก้ปัญหาให้ถูกจุด ไม่เคย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือทำอะไรไม่ถูก เพราะตัวเองมองไม่ทะลุปัญหา ตัวเองมองแบบข้าราชการประจำ
ท่านผู้ชมเชื่อผมไหมว่า การเมืองในที่สุดแล้ว ความเห็นของผม ต้องปล่อยให้เป็นธรรมชาติไปเลย แปลว่าอะไร ? ต้องให้ความขัดแย้งทั้งหมดมันหมดไปโดยธรรมชาติ ผมเป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านพรรคก้าวไกล เพราะผมรู้ว่าพรรคก้าวไกลเป็นทองคำเก๊ ไม่ใช่ทองคำแท้ แต่ถ้าเราไม่เปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลได้เข้ามามีอำนาจ ประชาชนจะไม่เห็นเนื้อแท้ที่แท้จริงของพรรคก้าวไกลว่าเป็นพรรคที่โกหกหลอกลวง ทำงานไม่เป็น มีแต่เด็กน้อยเข้ามา บ้าระห่ำ
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะปล่อยให้ทุกเรื่องเป็นธรรมชาติไป ถ้าพรรคก้าวไกลได้เสียงข้างมาก เกินครึ่ง อยากจัดตั้งรัฐบาล จัดไปเลย ผมอยากให้เขาเป็นรัฐบาลโดยไม่มีพรรคร่วม เพราะพรรคร่วมแต่ละพรรคก็เจ๊งไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ หรือแม้กระทั่งรวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ ก็ปล่อยให้พรรคก้าวไกลเดินหน้าเต็บสูบ อยากแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 ก็ปล่อยให้ดำเนินการปฏิบัติการแบบสุดซอยไปเลย ดูซิว่าจะเป็นอย่างไร อยากจะแก้ปัญหาพลังงานก็แก้ไปเลย แน่นอนว่า ย่อมเกิดแรงต้านจากพรรคอนุรักษ์นิยม พรรคข้าาชการ อย่างแน่นอน แต่ผมคิดว่าควรจะปล่อยให้เขาเดินหน้าต่อไป ปะทะกันให้ถึงที่สุดเลย
สุดท้ายแล้ว ผมเชื่อว่าการปฏิรูปแบบขุดรากถอนโคนของพรรคก้าวไกลก็จะต้องประสบความล้มเหลว เจ๊งคามือบุคลากรพรรคก้าวไกลที่ล้วนแต่เป็นของปลอม ไม่ว่าจะเป็นคุณพิธา ธนาธร ปิยบุตร ชัยธวัช ช่อ-พรรณิกา ไหม-ศิริกัญญา เพราะพวกนี้คือเด็กเมื่อวานซืน ทำอะไรไม่เคยสำเร็จสักอย่าง แต่อยากมีอำนาจมาบริหารประเทศชาติ ต้องปล่อยให้มันเป็นไป เพราะประชาชนคนไทยส่วนใหญ่มันโง่เขลาเบาปัญญาและหูหนวกตาบอดกันอยู่แล้ว ก็ไปเลย ก็อยากเชียร์พรรคก้าวไกลนักก็ไปเชียร์กันเลย นี้ถ้าพรรคก้าวไกลทำทุกอย่างเจ๊งกะบ๊ง ก็จะทำให้ประชาชนที่โง่เขลาเบาปัญญาได้ลืมตาบ้าง
ทีนี้พอมันเจ๊งกันหมด ฉิบหายกันหมดทุกพรรคแล้ว เนื่องจากคู่ปรับที่สำคัญที่สุดของก้าวไกล คือพรรคเพื่อไทย แต่การกลับมาประเทศไทยอย่างมีอภิสิทธิ์ชนของทักษิณคราวนี้ ทำให้พรรคเพื่อไทยเจ๊งเช่นกัน พรรคประชาธิปัตย์ก็เจ๊ง ภูมิใจไทยนี่ไร้ราคาเลย ไม่มีความหมาย พรรคอื่นๆ ไม่มีความหมาย แบบนี้ถึงจะ SET ZERO ได้ เพราะตอนนี้ความขัดแย้งหมดแล้วนี่ ไม่ต้องขัดแย้งต่อไปอีก เพราะวันนี้ถ้ายังมัวแต่ต้านพรรคก้าวไกลอยู่ มันก็จะมีคนที่สงสารเห็นใจพรรคก้าวไกล ก็เชียร์พรรคก้าวไกล ผลโพลของนิด้าที่ออกมาคราวที่แล้ว ที่ผมอธิบายเมื่อกี้นี้ มันพิสูจน์ชัดเจน ยังมีคนเชียร์พรรคก้าวไกล เพราะว่ามีคนมืดบอดทางปัญญาเยอะ เนื่องจากยังไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่าถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลแล้วทำงานได้หรือเปล่า ปล่อยเขาไปเถอะ
ถ้าพรรคก้าวไกล ทำตัวเจ๊ง ก็ทำให้ความขัดแย้งที่คนคิดว่าทำไมไม่ให้โอกาสพรรคก้าวไกล มันจบสิ้นไป พรรคเพื่อไทยเจ๊งไปแล้ว พรรคอื่นๆ พรรคการเมืองทุกพรรคพิสูจน์ผ่านขั้นตอนมาหมดแล้วว่าใช้ไม่ได้ ล้มเหลว และเป็นพรรคที่ไม่ได้ทำงานเพื่อแผ่นดิน ไม่ได้เป็นพรรคที่ทำงานเพื่อประเทศชาติโดยส่วนรวม อาจจะถึงวันนั้นอาจจะมีการ SET ZERO กัน แล้วการ SET ZERO วันนั้นจะเป็นการ SET ZERO ที่ SET ZERO แล้ว บนพื้นฐานที่ไม่มีความขัดแย้งอีกต่อไป เราสามารถจะเดินหน้าต่อไปด้วยวิสัยทัศน์นำประเทศไทยเดินหน้าต่อไป ไม่มีความขัดแย้ง แต่ที่สำคัญที่สุด ... ท่านผู้ชมครับ แล้วเราจะหาผู้นำดีๆ ได้อย่างไร ผู้นำที่คิดถึงประเทศเป็นส่วนรวม ผู้นำที่ไม่ได้คิดถึงประเทศเป็นส่วนรวมเพียงอย่างเดียว ต้องทำทุกอย่างเพื่อคนรุ่นลูกรุ่นหลาน บางคนบอกว่า ลุงตู่ไง ไม่ใช่ ลุงตู่พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า เข้ามามีอำนาจแล้วทำเพื่อ 3 ป. ลุงตู่ไม่ใช่ ขอประทานโทษติ่งลุงตู่ ขอโทษที ลุงตู่ไม่ใช่ผู้นำ ลุงตู่คือคนที่ฉวยโอกาส อ้างว่าถ้าไม่เข้ามายึดอำนาจแล้ว จะมีการนองเลือด มันไม่มีใครนองเลือดหรอกครับ ข้ออ้างแบบนี้มันพิสูจน์ชัดเจน เพราะว่าก่อนมีการเลือกตั้งปี 2562 คสช. ทำทุกอย่างเพื่อพรรคพวกตัวเอง
การเมืองโลก 2567
ตอนนี้เรามาพูดกันเรื่องของโลก เราพูดถึงตัวเราไปแล้ว ตอนนี้มาพูดถึงโลก 2567 ปีหน้า เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าปี 2566 จากมหาอำนาจเดี่ยว หรือที่ผมเรียกว่า นักเลงโตของโลก สหรัฐอเมริกา ที่มีลูกไล่คืออังกฤษ อียู เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น รวมทั้งไต้หวัน และฟิลิปปินส์ จะถูกสั่นคลอนจากการท้าทายของขั้วอำนาจใหม่จากจีน รัสเซีย และชาติมุสลิม
ในที่สุดแล้ว 2567 สงครามยูเครนจะยุติลงอย่างแน่นอนที่สุด ผมกล้าฟันธงเลยครับ ด้วยความพ่ายแพ้ของยูเครน แต่การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่จะทวีความเข้มข้นมากขึ้น
ในรอบปี 2566 ที่ผ่านมา โลกเผชิญสงครามใน 3 ภูมิภาคพร้อมๆ กัน หนึ่ง สงครามรัสเซีย-ยูเครน ในยุโรป ที่เริ่มต้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565
สอง สงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ในตะวันออกกลาง เริ่มต้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 สาม สงครามในพม่า ในเอเชีย เริ่มทวีความรุนแรงชัดเจนเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ปีนี้ นี่ยังไม่นับชนวนความขัดแย้งที่พร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ ทั้งไต้หวัน ทะเลจีนใต้ และคาบสมุทรเกาหลี
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคของโลกสะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างชัดเจน มีเค้าลางมาตั้งแต่การผ่านพ้นการระบาดของโควิด-19 และเริ่มปะทุเป็นการปะทะห้ำหั่นกันในปีนี้ (2566) ส่วนในปี 2567 นั้น จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้น ถ้าเปรียบเทียบเป็นหมากล้อม ก็จะเป็นการกระชับวงล้อมเข้าไปแน่นกว่าเก่า จนกระทั่งตัวที่ถูกล้อมไว้ขยับไม่ได้ หรือถ้าเป็นเหมากรุก ก็จะต้องเป็นเกมที่เป็นการรุกฆาตแล้ว ปีหน้า
สิ่งที่เราได้เห็นจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นคือ ไม่ได้เป็นความขัดแย้งทางอุดมการณ์เหมือนในสมัยสงครามเย็น คือเสรีนิยม ขัดแย้งกับสังคมนิยม และสงครามระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตร กับกลุ่มอัลกออิดะห์ คือทุนนิยมตะวันตก ปะทะกับโลกมุสลิม แต่ความขัดแย้งครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะผลประโยชน์เป็นหลัก
เราจะเริ่มเห็นว่าปีหน้าโลกขั้วเดียวที่อเมริกาเป็นหัวโจกจะเริ่มสั่นคลอน และเห็นการอ่อนแอและการค่อนข้างจะอ่อนแอที่จะเห็นได้ชัดมากขึ้นกว่าปีนี้
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในปีหน้า (2567) นั่นคือความสั่นคลอนของโลกขั้วเดียวที่อเมริกาเคยเป็นมหาอำนาจของโลกแบบไม่มีผู้ใดท้าทาย แต่ทุกวันนี้อเมริกาได้แก้ผ้าเปลือยกายล่อนจ้อนให้ผู้คนเห็นความโหดเหี้ยมอำมหิต ไร้รมนุษยธรรม เอาเปรียบประเทศอื่นๆ ในทุกเรื่อง ด้านเศรษฐกิจ การเมือง การเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ขึ้นดอกเบี้ยไม่หยุด จนตอนนี้ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ไปอยู่ที่ 5.5 เปอร์เซ็นต์ แล้ว อเมรกาขึ้นดอกเบี้ยเพื่ออะไร ? เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อของตัวเอง โดยที่อเมริกาไม่สนเลยว่าจะทำให้ประเทศอื่นต้องเดือดร้อน เพราะเงินทุนหมุนเวียนอยู่ทั่วโลกไหลกลับไปที่อเมริกา ดันดัชนีหุ้นดาวโจนส์ทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ แต่ว่าตลาดหุ้นและตลาดทุน การลงทุนประเทศอื่นๆ ก็ตกต่ำเป็นประวัติการณ์เช่นกัน คือเอาตัวรอดคนเดียว เป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก ทั้งๆ ที่ตัวเองนั้นสูบทรัพยากรต่างๆ มาจากทั่วโลก
นอกจากนี้แล้ว ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ต้องเผชิญแรงกดดันให้ขึ้นดอกเบี้ย แต่ขึ้นอย่างไรก็ไล่เฟดไม่ทัน ทำให้ประชาชนของประเทศต่างๆ รวมทั้งของเราด้วย ได้รับความเดือดร้อนจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
หนี้สาธารณะของอเมริกาในขณะนี้สูงขึ้นมาถึง 34 ล้านล้านเหรียญ สูงเป็นประวัติการณ์ ท่านผู้ชมสังเกตไหมว่าปีที่แล้ว ถ้าได้ติดตามข่าว นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของอเมริกา ได้เดินทางไปประเทศจีนตั้ง 3-4 ครั้ง เพื่อขอร้องให้จีนหยุดขายพันธบัตรสหรัฐฯ นอกจากขอให้หยุดขายแล้ว ยังขอให้ซื้อเพิ่มเติมด้วย และนี่คือพฤติกรรมอเมริกาที่แก้ปัญหาของตัวเองโดยผลักภาระให้คนอื่น เอาแต่ตัวเองรอด ทอดทิ้งคนอื่นหมด
ในทางภูมิรัฐศาสตร์การเมือง อเมริกาได้เผยให้เห็นธาตุแท้ที่สนับสนุนอิสราเอลอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ไม่มีข้อจำกัด และอยู่เหนือศีลธรรมใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อสหประชาชาติมีมติให้ประกาศการหยุดยิงแล้วเจรจากัน ปรากฏว่ามีอเมริกาประเทศเดียวที่ใช้สิทธิ์วีโต้คว่ำมติสหประชาชาติ นอกจากนั้นแล้ว ยังอนุมัติขายกระสุนรถถังอีก 14,000 นัด ให้อิสราเอล สหรัฐฯ ไม่เพียงขวางทางมนุษยธรรม แต่ยังมีการสนับสนุนให้เข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์ต่อไปอีก
รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของอิหร่าน นายอาลี บาเกรี คานี (H.E.Mr.Ali Bagheri Kani) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน แถลงข่าวในช่วงที่มาเยือนประเทศไทยเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ว่าอิสราเอลและสหรัฐฯ กำลังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา โดยโจมตีสถานที่พลเรือน ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน มัสยิด นี่คือสงครามที่ไม่เท่าเทียม เพราะอิสราเอลมีกำลังอาวุธเหนือกว่าปาเลสไตน์อย่างเห็นได้ชัด
อเมริกาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องสถานะการเป็นมหาอำนาจของโลกของตัวเอง คือเป็นนักเลงโต ทั้งการปิดล้อมจีนทางด้านเทคโนโลยี การค้า กดดันให้ชาติพันธมิตรต้องสนับสนุนยูเครน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถึงกับประกาศว่า จะให้ปูตินชนะไม่ได้เป็นอันขาด
นอกจากนั้นแล้ว อเมริกายังตั้งกลุ่มวงวารของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม QUAD ประกอบด้วย อเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย และออสเตรเลีย กลุ่ม AUKUS ประกอบด้วย อเมริกา อังกฤษ และ ออสเตรเลีย กรอบความร่วมมือเศรษฐกิจอินโดแปซิฟิก (IPEF) เพื่อคานอำนาจกับยุทธศาสตร์ "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง" ของจีน
อเมริกาชอบอ้างว่าไม่ต้องการจะแยกตัว แต่ต้องการจะลดความเสี่ยง แต่สิ่งที่อเมริกาทำคือกดดันให้ประเทศต่างๆ ต้องเลือกข้าง ท่านผู้ชมจำได้ไหม ถ้าท่านผู้ชมยังจำประวัติศาสตร์ได้ เหตุการณ์ 9/11 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช พูดว่า ทุกประเทศต้องเลือกว่าจะยืนข้างเราหรือจะเป็นศัตรูกับเรา
แต่การรวมกลุ่มของสหรัฐฯ และพันธมิตรจะไม่ได้มีบทบาทและอิทธิพลมากเหมือนช่วงหลังสงครามเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีหน้า (2567) เพราะว่าขณะนี้ประเทศต่างๆ ในโลกมีกลุ่มที่มีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม BRICS คือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และ แอฟริกาใต้ ตอนนี้กลายเป็น BRICS+ ชาติสมาชิกของกลุ่มมีขนาดเศรษฐกิจ ทรัพยากร ประชากร รวมเกินกว่าครึ่งหนึ่งของโลก จะมีบทบาทสำคัญยิ่งกว่ากลุ่มอำนาจเก่าที่อเมริกาเป็นแกนนำ
ด้วยเหตุนี้ อเมริกาจะไม่สามารถยึดกระดานหมากได้ง่ายๆ เหมือนในอดีต เพราะอเมริกาจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้า และจนถึงขณะนี้ก็ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นายโจ ไบเดน ประกาศตัวว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตอีกสมัย แต่นายโจ ไบเดน อายุ 81 ปีแล้ว ออกอาการงกๆ เงิ่นๆ ป้ำๆ เป๋อๆ เหมือนคนสติสตังไม่สมบูรณ์ สมองและร่างกายกำลังฟ้องให้ชาวโลกเห็นว่าตัวเองไปต่อไม่ไหว
นอกจากนี้แล้ว โดยส่วนตัวนายไบเดน ยังถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของลูกชาย คือนายฮันเตอร์ ไบเดน ซึ่งกำลังถูกดำเนินคดีอาญาอยู่
ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้ เรื่องนี้ผมเคยเล่าให้ฟังไปแล้ว ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 131 ตอน "เปิดดีลลับ ระหว่างไบเดน-ยูเครน" ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 1 เมษายน สองปีที่แล้ว
ล่าสุด นายทรัมป์ ก็ถูกศาลสูงที่รัฐโคโลราโด สั่งห้ามไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกสมัยหนึ่ง สิ่งที่ศาลสูงในรัฐโคโลราโดทำนั้น ทำให้นายทรัมป์กลับได้คะแนนเสียงเหนือผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันทุกคน
ความวุ่นวายทางการเมืองในอเมริกากำลังเริ่มต้นอย่างหนักหนาสาหัสสากรรจ์ เพราะว่าปีหน้าจะเป็นปีการเลือกตั้งแล้ว เพราะฉะนั้นปีหน้าอเมริกาต้องสาละวนกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การเมืองในบ้านตัวเอง ชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกยังมองไม่เห็นว่าใครจะมาเป็นผู้นำประเทศได้ มีแค่ผู้เฒ่าหลงๆ ลืมๆ ป้ำๆ เป๋อๆ คนหนึ่ง กับคนบ้าอย่างนายทรัมป์ ที่อยากจะหวนกลับสู่อำนาจอีกคนหนึ่ง กำลังแข่งขันกันอย่างถึงลูกถึงคน
สำหรับคู่แข่งอเมริกา คือรัสเซีย จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีวันที่ 17 มีนาคม ปีหน้า นายวลาดิมีร์ ปูติน จะชนะการเลือกตั้งอย่างแน่นอน จีนนั้นก็ยังมีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี เป็นอย่างน้อย
ปีหน้า สงครามยูเครน-รัสเซีย ที่ยืดเยื้อมาเกือบสองปี ยุติลงอย่างแน่นอน และยูเครนก็จะกลายเป็นหมากที่ถูกละทิ้ง อเมริกาตอนนี้เทตัวเองไปที่อิสราเอล เพราะนักการเมืองแทบทุกคนในอเมริกานั้นตกอยู่ภายใตอิทธิพลของยิว
ตอนนี้เมื่อเรามาดูตัวเลขการช่วยเหลือยูเครน อเมริกาใช้เงินช่วยเหลือไปแล้ว 1 แสนล้านดอลลาร์ เงินก้อนนี้ใช้ไปเกือบหมดแล้ว เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน เหลือก้อนสุดท้ายอีก 200 กว่าล้านดอลลาร์ ซึ่งกำลังจะได้รับอนุมัติให้ใช้เป็นเงินก้อนสุดท้ายก่อนสิ้นปีนี้ อีก 1-2 วันนี้ก็อนุมัติแล้ว
ไบเดนพยายามที่จะของบประมาณเพิ่มเติมอีก 61,000 ล้านดอลลาร์ ให้กับยูเครน แต่ว่าวุฒิสภาอเมริกากลับโหวตคว่ำงบช่วยเหลือยูเครนไป สภาผู้แทนราษฎร ก็คือคองเกรสที่รีพับลิกันคุมเสียงข้างมาก กลับผ่านงบประมาณที่ให้ช่วยเหลืออิสราเอล แต่ไม่ช่วยเหลือยูเครน
ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี พูดออกมาอย่างกล้ำกลืนฝืนทนว่า ยูเครนจะเอาชนะรัสเซียให้ได้แม้แทบจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม คือพูดง่ายๆ ว่าเขายังมีความเชื่อส่วนตัวว่าเขาสามารถชนะรัสเซียได้ ทั้งๆ ที่ในข้อเท็จจริง แม้กระทั่งสื่ออเมริกา สื่อทางตะวันตก ที่เคยเชียร์ยูเครนอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ลงข่าวปลอมเชียร์ยูเครน ยังยอมรับเลยว่า เรื่องของยูเครนนั้น ปี 2567 จะจบลงอย่างแน่นอน จะจบลงในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ประมาณมีนาคม-เมษายน หรือจะจบลงในช่วงฤดูร้อน ประมาณมิถุนายน-กรกฎาคม แต่จบอย่างแน่นอนที่สุด
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ระบุว่า อาวุธยุทโธปกรณ์จากอเมริกาลดลงแล้ว ยกตัวอย่าง หน่วยปืนใหญ่หน่วยหนึ่งทางเหนือของเมืองอัฟดีฟกา สู้รบกันอย่างดุเดือด แต่จากการเคยได้รับการป้อนอาวุธ ลูกกระสุนปืนใหญ่ประมาณ 200-300 นัดต่อวัน เหลือแค่ 20 นัด ปีที่แล้วทหารยูเครนมีอาวุธ มีลูกกระสุนปืนใช้มากกว่าปัจจุบันนี้ถึง 5-6 เท่า
ตอนนี้รัสเซียกำลังเริ่มโจมตียูเครนอย่างหนักหน่วงมากขึ้น เพราะว่าประธานาธิบดีปูตินเองก็เข้าสู๋โหมดการเลือกตั้ง ต้องการทำชัยชนะยูเครนเป็นผลงานสำหรับการเลือกประธานาธิบดีในเดือนมีนาคม ท้ายที่สุดแล้ว ยูเครนจะกลายเป็นคนแพ้ที่ไม่มีน้ำตา นายเซเลนสกี อาจจะต้องพ้นจากตำแหน่งหรือลี้ภัย ทิ้งให้ประชาชนชาวยูเครนต้องเผชิญความทุกข์ยากในการบูรณะบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองอีกหลายสิบปี
ท่านผู้ชมครับ เรื่องยูเครนกับรัสเซียนั้น ท่านผู้ชมจำได้ใช่ไหม ผมเป็นคนพูดมาตั้งแต่ปี 2565 แล้ว จนถึง 2566 ผมบอกชัดเจนว่า ข่าวต่างๆ ที่ช่องโทรทัศน์ นักวิเคราะห์ทางการเมืองต่างประเทศของประเทศไทยพากันบอกว่ายูเครนชนะแน่นอน แล้วก็รายงานการพ่ายแพ้การล่มสลายของรัสเซียรายวัน โดยเอาข่าวจากทางตะวันตก โดยหารู้ไม่ว่าตัวเองนั้นถูกข่าวตะวันตกเต้า เพราะข่าวตะวันตกทุกวันนี้ทำงานเพื่อเป็นผลประโยชน์ของฝ่ายตัวเองเท่านั้นเอง
เอาล่ะครับ ท่านผู้ชม เรามาดูสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ สงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์นั้น จริงๆ แล้วผมไม่อยากลงรายละเอียด ผมเอาง่ายๆ ก็แล้วกัน ติดตามผมมาแล้วฟังเหตุผลของผม ท่านผู้ชมจะเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ตอนที่ฮามาสบุกอิสราเอลในวันที่ 7 ตุลาคม 2566 อิสราเอลและทางตะวันตกเชื่อมั่นว่าสงครามจะจบภายใน 7 วัน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่ามาถึงวันนี้เท่าไรแล้ว 7 ตุลาคม - 7 พฤศจิกายน คือ 1 เดือน ถึง 7 ธันวาคม คือ 2 เดือน แล้วไปถึง 7 มกราคม 3 เดือน / 90 วัน ยังรบกันอยู่ แล้วในข้อเท็จจริง อีกครั้งหนึ่งที่สื่อมวลชนทางประเทศไทยก็รับข่าวสื่อตะวันตกมาอีกเหมือนกัน โกหกว่ากองทัพอิสราเอลโจมตีฮามาส บุกกาซา ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โน่นนี่ ฮามาสต้องสูญพันธุ์แน่ แต่ว่าคนที่ตายมากที่สุดในการรบครั้งนี้ คือทหารอิสราเอล และทหารรับจ้างที่ส่งเข้ามา ทหารฮามาสตายน้อยมาก ที่ตายมากที่สุดคือประชาชนชาวปาเลสไตน์ที่ถูกการทิ้งระเบิดมา
ท่านผู้ชมครับ 7 วันสงครามจะจบ แต่นี่มาจะถึง 90 วันแล้ว ยังรบกันอย่างดุเดือด แล้วคนที่ถือไพ่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็นฮามาส ซึ่งอยู่ทางใต้ของกาซา ฮิซบอลเลาะห์ซึ่งอยู่ทางเหนือกาซา ตอนนี้ฮิซบอลเลาะห์กำลังจะยึดทางภาคเหนือของกาซาไปแล้ว และยังมีฮูติ ประเทศเยเมน กลุ่มนักรบฮูติ ซึ่งเป็นตัวเปลี่ยนเกม เอาขีปนาวุธถล่มเข้าเมืองเทลอาวีฟ ขีปนาวุธพิสัยระยะกลางประมาณพันกว่ากิโลเมตร ถล่มไปตั้งไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูก และก็ปิดทะเลแดง เพื่อไม่ให้เรือที่จะเดินทางไปและส่งสินค้าไปที่ท่าเรืออิสราเอลนั้นผ่าน อเมริกานั้นเข้าไปยึกยัก ก็โดนฮูติเอาโดรนโจมตี เอาขีปนาวุธโจมตี จนกระทั่งไม่กล้าเข้ามาใกล้
ล่าสุด ฮูติสั่งเตือนเรือลำหนึ่ง ชื่อ MSC United ซึ่งขนอาวุธและขนสินค้าไปลงท่าเรืออิสราเอล เรือไม่ฟัง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ? กบฏฮูติถล่มเรือพังทลายเลย ในขณะซึ่งกองเรือบรรทุกเครื่องบินของอเมริกาจอดอยู่ ทำตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้ และอเมริกาก็ไม่กล้าเริ่มสงครามนี้
อิสราเอลได้ทำพลาดอีกครั้งหนึ่ง ส่งเครื่องบินไปถล่มที่กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย เพื่อฆ่านายพลคนหนึ่งของอิหร่าน ซึ่งไปให้คำปรึกษา ท่านผู้ชมคิดว่าอิหร่านจะไม่ตอบโต้หรือ ตอบโต้แน่ และเขาพร้อมจะตอบโต้ เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมจะเห็นว่าสงครามในตะวันออกกลางกำลังพัฒนาไปอยู่ในจุดที่เรียกว่า ขยายตัวออกเป็นสงครามในภูมิภาคแล้ว และท่านผู้ชมเชื่อผมสิ คนที่เสียเปรียบที่สุดคืออเมริกา
อเมริกาประกาศรวบรวมกลุ่มพันธมิตรให้ส่งเรือมา เพื่อมาปิดล้อมเยเมน เพื่อเปิดทะเลแดง ท่านผู้ชมรู้ไหม ไม่มีใครมา มีอเมริกาไปประเทศเดียว ออสเตรเลียส่งคนไป 7 คน เนเธอร์แลนด์ส่งไป 10 คน สเปนออกมาต่อว่าอเมริกาเลย คุณจะเอาผมไป แต่คุณไม่พูดกับผมสักคำ ผมไม่ไปแล้ว สรุปง่ายๆ ว่าอเมริกาโดดเดี่ยวมากในตะวันออกกลาง ปฏิบัติการนี้ กองพันผสม กองผสมเรือภายใต้ชื่อ ปฏิบัติการผู้พิทักษ์ความเจริญรุ่งเรือง ชื่อก็ตลกแล้ว
อเมริกาเชิญซาอุดีอาระเบียเข้ามาร่วม ซาอุดีอาระเบียเข็ดเขี้ยวกับเยเมน ไม่ต้องการ เพราะเยเมนเคยรบกับซาอุดีอาระเบีย แล้วก็ถล่มบ่อน้ำมันซาอุดีอาระเบียจนกระทั่งแทบจะพังทลาย จนในที่สุดประเทศจีนเข้ามาเจรจาให้ซาอุดีอาระเบีย กับเยเมนจับมือกันได้ แล้วให้ซาอุดีอาระเบียจับมือกับอิหร่าน เพราะฉะนั้นซาอุดีอาระเบียถอย ไม่มีประเทศไหนทำเลย อาจจะมีบาห์เรน เพราะว่าบาห์เรนนั้นกำลังยังนิยมตะวันตกอยู่เหมือนเดิม
ท่านผู้ชมดูต้นทุนการต่อสู้นะครับ สหรัฐฯ ขอให้จีนเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ แต่จีนตอบปฏิเสธ เพราะจีนอ้างว่าปฏิบัติการของอเมริกาเป็นแค่การแก้ปัญหาชั่วคราว ทางออกที่แท้จริงคือต้องหยุดยิงที่กาซา แล้วจีนและนานาชาติสนับสนุนร่างมติสหประชาชาติ แต่สหรัฐอเมริกากลับคัดค้าน แต่ตอนนี้กลับทะลึ่งมาขอให้จีนเข้ามาร่วม จีนมองว่าอเมริกากำลังใช้จรวดมิสไซล์ที่มีราคาลูกละ 1 ล้านดอลลาร์ ไปสู่กับกลุ่มโดรนติดอาวุธของเยเมนที่มีต้นทุนแค่ 2 พันดอลลาร์เอง คือระหว่าง 34 ล้านบาท กับ 6 หมื่นกว่าบาทต่อลูก
การหยุดยิงในกาซาไม่มีค่าใช้จ่ายเลย ยังช่วยชีวิตผู้คนอีกได้มากมาย แต่อเมริกากลับไม่เลือกเส้นทางเดินสันติภาพ
ท่านผู้ชมครับ สำหรับสมรภูมิทางพม่านั้น ผมได้เคยพูดไปแล้วในรายการหลายต่อหลายครั้ง ก็จะไม่พูดให้ฟังอีก เอาเป็นว่า พม่ายังไม่สงบสุช ยังช่วงชิงกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ กับรัฐบาลทหารพม่าของนายพลอาวุโส มิน อ่อง หล่าย
ทั้งหมดนี้ ซึ่งเราก็ยังมีเหตุการณ์ที่ทะเลจีนตอนใต้ ซึ่งอเมริกากำลังอยู่เบื้้องหลัง ยุยงส่งเสริมให้ฟิลิปปินส์งัดข้อกับจีน โดยที่อเมริกา และญี่ปุ่น ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ ส่งอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งเรือต่างๆ เอาไปให้ฟิลิปปินส์ เพื่องัดกับจีน
ในขณะเดียวกัน ทางเอเชียแปซิฟิกนั้น ปัญหาไต้หวันก็ยังเป็นปัญหาที่ยังไม่จบสิ้น แต่เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของไต้หวันในเดือนมกราคมนี้ ก็คงจะต้องจับตาดูอยู่ เพราะว่าถ้ายังเป็นรัฐบาลชุดเก่า ที่เป็นรัฐบาลที่ต้องการจะแยกตัว ตั้งตัวเป็นเอกราชที่ไต้หวันแล้ว และอเมริกาอยู่เบื้องหลัง ญี่ปุ่นอยู่เบื้องหลัง เกาหลีใต้อยู่เบื้องหลัง ความตึงเครียดของไต้หวัน และทะเลจีนตอนใต้ อาจะถึงจุดเดือดที่จะมีการลงไม้ลงมือกันอย่างแน่นอนที่สุดในปีหน้า
สี จิ้น ผิง ในการประชุมในการครบรอบ 130 ปี ของประธานเหมา เจ๋อตง สี จิ้นผิง ประกาศเป็นนโยบายอย่างชัดเจนว่า จีนจะต้องรวมกับไต้หวันอย่างแน่นอนที่สุด ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ฟังแล้วก็ดูน่ากลัวว่า จีนไม่เคยปฏิเสธเลยแม้แต่นิดเดียวว่า ไต้หวันจะต้องถูกรวมกับจีนทางใดทางหนึ่ง ถึงแม้จะต้องใช้กำลัง ก็ต้องใช้
ท่านผู้ชมครับ นี่คือภาพรวมสถานการณ์โลกในปี 2567 ใน 3 พื้นที่สำคัญ ยุโรป ตะวันออกกลาง เอเชีย มีพื้นที่เสี่้ยงทางภูมิรัฐศาสตร์อีกหลายๆ ที่ ที่น่ากลัวคือ ไต้หวัน และฟิลิปปินส์ เพราะฟิลิปปินส์ทำตัวเป็นห้าวเป้ง เนื่องจากได้รับการหนุนจากอเมริกา ก็เตรียมปะทะกับจีนอย่างหนัก
อินโดนีเซีย และอีกหลายประเทศที่มีการเลือกตั้งใหญ่ การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองในประเทศต่างๆ ล้วนแต่จะส่งผลต่อสมดุลทางอำนาจในโลก รวมทั้งนโยบายทางการเมืองและเศรษฐกิจที่จะส่งผลต่อประเทศไทยอย่างแน่นอนที่สุด
ท่านผู้ชมครับ ปีนี้ 2566 ค่อนข้างจะปรากฏภาพชัดเจนแล้วว่าสถานภาพของมหาอำนาจอันดับหนึ่ง หรือนักเลงโตของโลก คืออเมริกา กำลังตกอยู่ในสภาวะเสื่อมถอยลงอย่างมาก และเมื่อโลกก้าวไปสู่ปี 2567 ปีหน้า ผมฟันธงได้เลยนะครับว่าสถานภาพอเมริกาจะเสื่อมถอยลงไปอีก จากปัจจัยภายในประเทศและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคต่างๆ ในโลก ที่ผมได้เล่าให้ท่านผู้ชมฟังเมื่อกี้นี้ ข้างต้น และผมได้เคยอัปเดตให้ท่านผู้ชมฟังมาแล้วตลอดทั้งปีที่ผ่านมา
เวียดนาม-อินเดีย จะขึ้นมาแทนจีน?
ท่านผู้ชมครับ เมื่อโลกมันแบ่งขั้วแล้ว ในขณะนี้ซึ่งชัดเจนแล้ว อเมริกาแซงก์ชันจีนอย่างหนัก ถึงกับอเมริกาขยับส่งเสริมให้ทุกคนไปใช้ห่วงโซ่อุปทานที่อินเดีย และเวียดนามแทน คำถามมีอย่างนี้ครับ เมื่อโลกแบ่งขั้วแล้ว เวียดนาม อินเดีย จะแทนจีนได้หรือเปล่า ?
2566 ที่ผ่านไป ผมถือว่าเรากำลังเห็นภาพของการก้าวเข้าไปสู่ระเบียบโลกใหม่แล้ว ชัดเจนที่สุด คือการเปลี่ยนผ่านจากโลกขั้วอำนาจเดียว อเมริกาเป็นหัวหน้าใหญ่ หัวหน้าแก๊ง ไปสู่โลกหลายขั้วอำนาจ ซึ่งมีประเทศจีนเป็นผู้นำ เป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนชาติต่างๆ เพื่อมาท้าทายอำนาจของอเมริกา
ทีนี้มีคนสงสัยถามผมมาว่า นอกจากจีนแล้ว ฝั่งอินเดียล่ะ ซึ่งเป็นชาติใหญ่เหมือนกัน เป็นสมาชิกของกลุ่ม BRICS เหมือนกัน มีโอกาสเข้ามาแทนที่จีนซึ่งกำลังถูกรุมกินโต๊ะจากอเมริกาและชาติตะวันตกที่พยายามสกัดกั้นจีนทุกวิถีทางได้หรือเปล่า ? เขาให้เหตุผลว่า ปี 2566 เป็นปีแรกที่อินเดียแซงจีนขึ้นเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก 1,430 ล้านคน บ่งบอกให้เห็นว่าแนวโน้มการขยายตัวของกำลังแรงงาน ขนาดเศรษฐกิจของอินเดียจะโตขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต
นอกจากนี้ ปี 2565 ปีที่แล้ว ขนาดเศรษฐกิจอินเดียยังเจริญเติบโตแซงอังกฤษ กลายเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอันดับ 5 ของโลก เรียบร้อยแล้ว
จริงๆ แล้วเรื่องนี้ผมเคยคุยมาแล้วเมื่อไม่นานมานี้ รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 192 ประมาณ 13 อาทิตย์ที่แล้ว ศุกร์ที่ 29 กันยายน 2566 ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย วันนี้ผมจะขยายความในเรื่องนี้เพิ่มเติมให้
จุดเปลี่ยนสถานะโอกาสทางการค้าของจีนเกิดขึ้นเมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ตอนที่จีนเข้ามาร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) อย่างเป็นทางการ ในปี 2544 ซึ่งช่วยปูทางให้จีนก้าวสู่เส้นทางการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดตลอดระยะเวลา 22 ปีที่ผ่านมา ทำให้เศรษฐกิจและสังคมของประเทศจีนเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าทึ่ง จีนได้พัฒนาจากประเทศผู้รับจ้างผลิต กลายเป็นมหาอำนาจด้านการผลิตแถวหน้าของโลก ประเทศจีนกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออก เป็นศูนย์กลางสำหรับสินค้าใช้แรงงานเข้มข้น เช่น สิ่งทอ ของเล่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ความสามารถในการผลิตของประเทศได้ขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ โดยค่อยๆ เปลี่ยนไปสู่วิธีการผลิตที่ซับซ้อนและล้ำหน้า ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไป จากเดิมจีนได้วางตำแหน่งตัวเองเป็นโรงงานต้นทุนต่ำของโลก ผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานอย่างเข้มข้น เช่น สิ่งทอ ของเล่น เสื้อผ้า รองเท้า และเฟอร์นิเจอร์ ให้กับบริษัทและผู้บริโภคทั่วโลก อุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้จีนก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตที่ต้องใช้เทคโนโลยีมากขึ้น และความซับซ้อนมากขึ้น ทำนองเดียวกับเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคต่างๆ เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ เมื่อการศึกษาและค่าจ้างเพิ่มขึ้น ต้นทุนจีนก็ลดลง ก็ได้เปรียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
จีนตั้งเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงมุ่งไปสู่การผลิตระดับ High end ระดับสูง โดยมีแผนที่จะพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ปล่อยให้ประเทศอื่นเป็นโรงงานผลิตสินค้าราคาไม่แพง และใช้แรงงานที่เข้มข้นขึ้น
หากยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของจีนประสบความสำเร็จ คำถามที่สำคัญคือใครจะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างโรงงานโลก เมื่อจีนก้าวเข้าไปสู่ระบบการผลิตแบบ High end ? คำตอบ ถ้าพิจารณาตามข้อเท็จจริงแล้ว แทบจะไม่มีประเทศอื่นใดเลยที่จะมาแทนจีนในการเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก
จริงหรือไม่ที่มีคนพยายามบอกว่าเวียดนามคือจีนรายต่อไป กระแสในสื่อออนไลน์ หรือแม้กระทั่งในเฟซบุ๊กของเรา ยกตัวอย่างเช่น ชอบพูดว่า "ลาก่อนจีน สวัสดีเวียดนาม" หรือ "การส่งออกเวียดนามแซงหน้าเซินเจิ้นเรียบร้อยแล้ว" กระแสข่าวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นความคิดเห็นว่าเวียดนามอาจจะเข้ามาแทนที่จีนในฐานะโรงงานหลักของโลก เพราะเวียดนามได้ประโยชน์จากความขัดแย้งทางสงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกาที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน คือในช่วงปลายปี 2561 จากนโยบายที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้บริษัทต่างชาติหลายแห่งต้องการลดความเสี่ยงจากห่วงโซ่อุปทาน จึงมีแนวทางจัดตั้งโรงงานผลิตในเวียดนามและประเทศอื่นๆ นอกประเทศจีน
เวียดนามนั้นใช้กุศโลบาย "ไผ่ลู่ลม" จัดการกับความสัมพันธ์ทั้งสองมหาอำนาจในข้อพิพาททางการค้า โดยรักษาสถานะตำแหน่งระดับภูมิภาคด้วยนโยบายที่ตอบสนองผลประโยชน์และทางการเมือง เศรษฐกิจ ของทั้งสองฝ่ายได้ดีที่สุด ขณะเดียวกัน กรณีปัญหาพิพาทในทะเลจีนใต้ ระหว่างเวียดนามกับจีน เวียดนามก็ระมัดระวังและประคับประคองความสัมพันธ์กับจีน โดยชูประโยชน์ทางเศรษฐกิจนำหน้าทางการเมือง
12-13 ธันวาคม ที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เดินทางไปเยือนประเทศเวียดนาม และมีการออกแถลงการณ์เลยว่า ประกาศการจัดตั้งประชาคมยุทธศาสตร์จีน-เวียดนาม อนาคตร่วมกันเพื่อส่งเสริมการยกระดับความสัมพันธ์จีน-เวียดนาม
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังลงนามในข้อตกลงความร่วมมือหลายสิบฉบับ เห็นพ้องต้องกันว่าจะต้องมีโทรศัพท์สายด่วนระหว่างผู้นำ เพื่อรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินในน่านน้ำที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ์
ข้อมูลจากเวียดนามชี้ว่า ข้อตกลงที่สองประเทศลงนามครั้งนี้ยังรวมไปถึงการลงทุนก่อสร้างทางรถไฟด้านความมั่นคง การสื่อสารโทรคมนาคม และการร่วมมือในข้อมูลดิจิทัล ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่าอาจจะเป็นการปูทางสู่การติดตั้งเครือข่ายสื่อสาร 5G ของจีนในเวียดนาม จากมุมมองของจีน มองว่าการเยือนครั้งนี้ย้ำว่าจีนไม่เคยสูญเสียเวียดนามให้กับค่ายคู่แข่ง
สาเหตุ 2 ประการ ที่ทำให้เวียดนามไม่สามารถแทนที่จีนในฐานะศูนย์กลางการผลิตของโลกได้ ประเด็นสำคัญ ผู้ผลิตเวียดนามต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากจีนมาก ตั้งแต่หนังสัตว์ ไปจนถึงเครื่องประดับอื่นๆ นอกจากนี้แล้ว การพัฒนาของเวียดนามยังมีการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิต หรือที่เขาเรียกว่า Supply chain ที่ใกล้ชิดกับศูนย์กลางการผลิตบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีเกียง ที่เขาเรียกว่า Pearl River Delta ของจีนในมณฑลกวางตุ้ง
เป็นผลประโยชน์ต่อเนื่องจากการผลิตของจีนที่ถ่ายทอดมายังภาคการผลิตเวียดนาม ที่สำคัญคือ ประชากรเวียดนามไม่สามารถดูดซับผลผลิตของจีนได้ทั้งหมด เพราะจีนมีประชากร 1,400 ล้านคน ขณะที่เวียดนามมีแค่ 100 ล้านคน น้อยกว่าจีน 14 เท่า
คำถามต่อมาคือ เวียดนามไม่สามารถแทนที่จีนได้ แล้วอินเดียแทนที่จีนได้ไหม ? ท่านผู้ชมครับ แม้ว่าอินเดียจะใช้ประโยชน์จากข้อวิตกกังวลของชาติมหาอำนาจตะวันตก เกี่ยวกับภัยคุกคามของจีนด้านความมั่นคงและห่วงโซ่อุปทานของจีนที่ครองโลก อินเดียก็เลยถือโอกาสดึงดูดการลงทุนจากชาติตะวันตกที่เพิ่มขึ้น โดยรัฐบาลนายนเรนทรา โมดี เชื่อมั่นว่าการช่วยเหลือและแรงสนับสนุนจากอเมริกาและชาติพันธมิตรตะวันตกจะทำให้อินเดียสามารถผงาดขึ้นมาแทนจีน ในฐานะศูนย์กลางการผลิตแห่งใหม่ของโลก และเติมเต็มความทะเยอทะยานของอินเดียในการเป็นโรงงานอุตสาหกรรมของโลกได้
แต่ ท่านผู้ชมครับ อินเดียมาแทนจีนไม่ได้ด้วยเหตุผล 4 ข้อ ข้อแรก คุณภาพแรงงานและความล้าหลังด้านโครงสร้างพื้นฐานของอินเดียยังตามหลังจีนอยู่อีกมาก บางคนมองว่าค่าแรงขั้นต่ำของคนอินเดียเป็นข้อได้เปรียบเหนือจีน แต่ผลประโยชน์ที่แท้จริงกลับค่อนข้างต่ำ ดูจากรายได้เฉลี่ยต่อวันในเขตเมืองอินเดียเมื่อปี 2560 หกปีที่แล้ว อยู่ที่วันละ 4.21 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าจีนที่ได้รับวันละ 12.84 ดอลลาร์ ประมาณ 3 เท่า
นอกจากนี้แล้ว อินเดียประกอบด้วยรัฐหลายรัฐ ความสามารถของรัฐแต่ละรัฐในอินเดียนั้นยังน้อยกว่ามณฑลของจีนแต่ละมณฑล ก็จะส่งผลต่อความล่าช้าในการปรับปรุงขีดความสามารถด้านทักษะแรงงานมากขึ้น เป็นความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าฝ่ายบริหารของรัฐบาลโมดี จะพยายามแก้ไขในปัจจุบัน แต่ผลตามมาอาจจะคุกคามต่อทัศนคติในความมั่นคงของสังคมอินเดียได้
ประการที่สอง สังคมที่หลากหลายของอินเดีย แต่กลับมีกำแพงเรื่องชนชั้นวรรณะ ชาติพันธุ์ ศาสนา และภาษาตามเผ่าพันธุ์ของอินเดีย ยังลดความได้เปรียบของประเทศที่มีประชากรหนุ่มสาวจำนวนมากอีกด้วย ลักษณะการค้าขายของอินเดียที่เป็นที่รวมตลาดเล็กๆ ย่อยๆ เปรียบเสมือนเบี้ยหัวแตกนับพันๆ แห่งทั่วโลก ทั่วประเทศ แทนที่จะมีพลังการตลาดใหญ่ที่มีประชากร 1,400 ล้านกว่าคน สิ่งนี้ขัดขวางความสามารถของอินเดียในการใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบของประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก
ประการที่สาม ยิ่งไปกว่านั้น ประเพณีการแทรกแซงตลาดและลัทธิกีดกันการค้าที่มีมายาวนานของอินเดีย ได้สร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่เป็นมิตรต่อนักลงทุนจากต่างประเทศ และไม่เป็นมิตรต่อการส่งออก
ประการที่สี่ การปฏิรูปเศรษฐกิจอินเดียในช่วงทศวรรษที่ 1980 ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนธุรกิจและการตลาดมากเท่าที่ควร เมื่อเปรียบเทียบกับการปฏิรูปของจีน กฎระเบียบปัจจุบันของอินเดีย เช่น ข้อกำหนดสำหรับบริษัทที่พนักงานมากกว่า 300 คน ต้องขออนุญาตรัฐบาลในการเลิกจ้าง คือคุณจะเลิกจ้างใครคุณต้องขออนุญาตรัฐบาล มีส่วนทำให้เกิดบริษัทขนาดเล็กๆ กระจายลงไปในเขตเศรษฐกิจอินเดีย เพราะว่าทำถึง 300 คนแล้วต้องขออนุญาต ก็เลยกลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กๆ จิ๊บจ๊อย เพื่อเลี่ยงข้อพิพาทกรณีแรงงานในเรื่องการเลิกจ้าง
นอกจากนี้ อินเดียยังต้องพึ่งพาจีน ถือเป็นความท้าทายสำคัญมากกว่า 1 ใน 4 ของมูลค่าการส่งออกของอินเดีย มาจากจีนเพียงประเทศเดียว การพึ่งพาจีนของอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา คือพูดง่ายๆ ว่าอินเดียจะโตแค่ไหนก็ตาม ก็ยังต้องพึ่งพาจีนอยู่ในเรื่องของห่วงโซ่อุปทาน
ด้วยเหตุนี้ จึงฟันธงได้เลยว่า ในระยะเวลาอันสั้นจะไม่มีประเทศใดสามารถก้าวขึ้นมาทดแทนจีนได้ จากบทบาทของจีนในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ด้วยระบบอุตสาหกรรมประเทศเดียวที่ครอบคลุมทุกประเภทอุตสาหกรรมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นกำลังการผลิตที่กว้างขวาง ขนาดตลาดภายในที่กว้างใหญ่ ข้อได้เปรียบเหล่านี้ของจีน ยังไม่มีประเทศไหนสามารถเทียบได้
นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานที่สมบูรณ์ และเครือข่ายโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพของจีน ยังจะมีบทบาทสำคัญในการลดต้นทุนทางธุรกิจโดยรวม เมื่อเทียบกับเครือข่ายประเทศอื่นๆ ที่กำลังปรับปรุงการเชื่อมต่อด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานกับจีน จึนจึงยังเป็นส่วนที่สำคัญมากที่สุดในกระบวนการการพัฒนาระดับโลก
ท่านผู้ชมครับ ยกตัวอย่างเอาง่ายๆ รัสเซียขายน้ำมันให้กับอินเดีย อินเดียขอจ่ายเงินเป็นรูปี ทั้งๆ ที่ตกลงเป็นเงินหยวน ต่อมารัสเซียเปลี่ยนจากรูปี ขอให้ยืนยันจ่ายเป็นเงินหยวน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเพราะอะไร ? เพราะรัสเซียได้ค้นพบว่าตัวเองมีเงินสำรองรูปีจากการขายน้ำมันให้อินเดีย แต่รัสเซียไม่มีของอะไรที่จะซื้อจากอินเดียได้ เพราะของอินเดียเป็นของที่ไม่มีคุณภาพ และไม่สามารถผลิตได้ตามความต้องการของตลาดรัสเซียได้
มีความเป็นไปได้ที่การผลิต ใช้แรงงานเข้มข้น ยังคงอยู่ในจีน แต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาประดิษฐ์แบบอัตโนมัติที่มีศักยภาพหุ่นยนต์ จัดการกับงานที่ยากลำบาก ส่วนหน้าที่ของมนุษย์ ก็มุ่งเน้นไปที่ความก้าวหน้าทางทักษะมากกว่า อุปมาอุปไมยก็คือว่า อีกหน่อยจีนก็จะก้าวไปสู่ปัญญาประดิษฐ์ แล้วใช้หุ่นยนต์ทำงานแทน ก็เลยจะทำให้ต้นทุนของจีนก็ยังคงต่ำอยู่เหมือนเดิม โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้แรงงานอย่างเข้มข้น
จีนยืนหยัดในฐานะผู้นำระดับโลกด้านงานหุ่นยนต์อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคส่วนอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม การจำกัดเทคโนโลยีหุ่นยนต์นี้มาใช้ในการผลิตสินค้าราคาประหยัดนั้น เพราะจีนมีค่าแรงราคาถูกสูง นอกจากนั้น การผลิตของจีนก็จะมีวิวัฒนาการกระจายจากเมืองใหญ่ไปสู่ภูมิภาค
ในประเทศจีน ประเทศต่างๆ ไม่เต็มใจจะอพยพย้ายฐานการผลิตจำนวนมากจากศูนย์กลางชายฝั่งที่เจริญไปยังเมืองต่างๆ ภายในประเทศ เพราะขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมในพื้นที่เหล่านี้ที่เป็นอุปสรรคต่อประสิทธิภาพการผลิต แม้รัฐบาลจีนพยายามจูงใจผู้ผลิตให้ย้ายไปตั้งตามภูมิภาคเหล่านี้ แต่สำเร็จน้อยมาก ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าบริษัทชั้นนำด้านห่วงโซ่อุปทานของจีนจะทำงานอย่างแข็งขันเพื่อขยาย จัดหาแหล่งผลิต นอกเหนือจากจีนและบริษัทในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น สำรวจความเป็นไปได้ในการผลิตสินค้าใกล้กับผู้บริโภค ปลายทางยุโรปและอเมริกามากขึ้น แต่ผู้ประกอบการหลายคนยังคงพบว่าเป็นเรื่องยาก มีต้นทุนในราคาแพง
สรุปครับ บทบาทของจีนในฐานะศูนย์กลางการผลิตของโลกจะยังคงโดดเด่นที่สุด และจะไม่มีวันถูกแทนที่ด้วยประเทศอินเดีย หรือเวียดนาม หรือประเทศอื่นๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะจีนมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลก ใครที่คิดจะเข้ามาแทนที่จีน จะต้องปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนครั้งใหญ่ และจะสูญเสียประสิทธิภาพอย่างมาก
จีนมีระบบนิเวศอุตสาหกรรมซึ่งครอบคลุมตั้งแต่แรงงานที่มีทักษะสูง ความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี และเครือข่ายซัปพลายเออร์ที่กว้างขวาง ทำให้ระบบนิเวศดังกล่าว คือ Ecosystem เป็นรากฐานสำคัญของภูมิทัศน์การผลิตทั่วโลกที่ใครในโลกนี้ก็ไม่อาจจะทดแทนจีนได้ อย่างน้อยก็ในระยะเวลาอันใกล้นี้เอง น่าจะเป็นคำตอบให้ท่านผู้ชมฟังได้แล้ว
ท่านผู้ชมครับ สวัสดีปีใหม่ รายการนี้ก็จบสิ้นลงเพียงแค่นี้ อย่าลืมนะครับ ไม่มีอะไรทำวันปีใหม่ วันที่ 1 ไปที่วัดมหาธาตุฯ ไปชม ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยุคอยุธยา มีเต็มไปหมด ฉลองที่วัดมหาธาตุฯ ครบรอบ 338 ปี ตั้งมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว เป็นวัดที่เก่าแก่มาก ซึ่งผมจะไปวันที่ 1 ตอนบ่ายครับ สวัสดีใหม่ครับท่านผู้ชม ขอให้ท่านผู้ชมทุกท่านจงมีความสุข มีความเจริญ มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีศีล 5 มีความสงบในใจ และมีความพอเพียงในการใช้ชีวิตทุกประการ ลาล่ะครับ