ย้อนรอย ‘ลุงพลฟีเวอร์’ เปลี่ยนผู้ต้องหาเป็นเซเลบ เงินล้าน-ดราม่า-คราบน้ำตา
ในที่สุดความจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ 'น้องชมพู่' หรือ เด็กหญิงอรวรรณ วงศ์ศรีชาก็ได้รับความกระจ่างขึ้นมาในระดับหนึ่ง ภายหลังศาลจังหวัดมุกดาหารพิพากษาให้นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 , 317 วรรคแรก ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี รวมโทษจำคุก 20 ปี ก่อนที่เจ้าตัวจะยื่นหลักทรัพย์เป็นเงิน 5 แสนบาท เพื่อประกันตัวออกมาสู้คดีในชั้นอุทธรณ์
หลักฐานสำคัญที่นำไปสู่การตัดสินในคดี คือ เส้นผมที่พบในรถของลุงพล ซึ่งเป็นเส้นผมที่มีองศาของรอยตัด หน้าตัด และพื้นผิวด้านข้าง ตรงกันกับเส้นผมผู้ตาย โดยเป็นหลักฐานชิ้นเอกที่ตำรวจเก็บไว้เป็นความลับเพื่อเป็นหมัดเด็ดในการเอาผิดลุงพล และเส้นผมเพียงไม่กี่เส้นก็อาจเป็นจุดสำคัญที่จะเปลี่ยนชีวิตของลุงพลไปตลอดกาล
จะว่าไปแล้ว ชีวิตของลุงพลเองก็มีจุดเปลี่ยนมาแล้วเช่นกัน โดยจากที่เคยเป็นแค่คนธรรมดา ได้กลายเป็นเซเลบคนดังที่มีแฟนคลับจำนวนมากเพียงชั่วข้ามคืน
ปัจจัยที่เสกให้ลุงพลเป็นที่มีชื่อเสียงได้นั้นต้องยอมรับว่า 'สื่อ' เองเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมาก ภายหลังได้ยกขบวนไปตั้งกล้องรายงานข่าวความเคลื่อนไหวลุงพลที่มู่บ้านกกกอก เป็นเวลานาน
ยิ่งนานวันสาระสำคัญของคดีก็ได้ถูกทอนลง ก่อนถูกแทนที่ด้วยเรื่องดราม่าสารพัดที่นำมาซึ่งชื่อเสียงและรายได้ให้กับลุงพลอย่างเหลือเชื่อ
ไม่ว่าจะเป็น การเกิดคลิปที่เป็นกระแสอย่าง 'ลุงพลกินข้าว ป้าแต๋นถ่าย' ที่มียอดวิวหลักล้าน การมีผู้จัดการดาราศิลปินเข้ามาจัดการชีวิตและงานแสดงตัว จนกลายเป็นกระแสในวงกว้าง ก่อนจะตอกย้ำความดังด้วยการได้ร่วมร้องเพลง 'เต่างอย' กับ จินตหรา พูนลาภ นักร้องลูกทุ่งสาวชื่อดัง
รวมไปถึงการเกิดขึ้นของเพลง 'อยากเป็นป้าแต๋นแฟนลุงพล' ซึ่งขับร้องโดยพิมพ์จ๋า ยอดบัวงาม เรียกได้ว่าเป็นการตอกย้ำถึงกระแสลุงพลฟีเวอร์ได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางคราบน้ำของครอบครัวชมพู่ที่เพรียกหาความยุติธรรมให้กับลูกตัวเอง
เมื่อกระแสฟีเวอร์เกิดขึ้น จึงไม่ต่างอะไรกับช่วงเวลาที่น้ำขึ้นต้องรีบตัก เพราะเวลานั้นลุงพลกลายเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจจำนวนมากที่อยากอาศัยจังหวะนี้โปรโมตสินค้าและผลิตภัณฑ์ของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่อยู่อาศัย สินค้าทางเกษตร หรือแม้แต่การขอให้ไปร่วมออกงานบุญ ซึ่งอีเว้นต์เหล่านี้นำมาซึ่งรายได้ให้กับลุงพลเป็นหลักล้านกันเลยทีเดียว
โดยในส่วนของลุงพลก็พยายามต่อยอดจากกระแสที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการสร้างพญานาค เลื้อยหรือที่เรียกว่า ปู่ปาริจิตนาคราช ที่บ้านกกกอก จังหวัดมุกดาหาร แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ภายหลังศาลตัดสินว่าได้ก่อสร้างในพื้นที่เขตป่าสงวน ก่อนที่จะต้องรื้อถอนออกไปในเวลาต่อมา
เมื่อทุกอย่างมีขึ้นก็ย่อมต้องมีลง กระแสลุงพลฟีเวอร์ก็ได้มาขาลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากตำรวจแจ้งข้อหาลุงพลในคดีของน้องชมพู่ ทำให้หลายฝ่ายที่เคยสนับสนุนเริ่มออกห่าง เช่น คลิปที่ร่วมร้องเพลงกับจินตหราก็ถูกลบออกไป หรือ บรรดาพวกนักสร้างคอนเท้นต์ก็เริ่มถอนสมอออกมาจากบ้านกกอด ทำให้ข่าวของลุงพลที่เน้นในเรื่องสาระทางคดีความกลับมาครองพื้นที่สื่อได้มากขึ้น จากเดิมที่ต้องเสียให้กับการนำเสนอความเป็นเซเลบของลุงพลและป๋าแต๋น
ในเวลานี้ คดีความของลุงพลอาจจะยังไม่ถึงที่สุด แต่สำหรับกระแสลุงพลฟีเวอร์นั้นคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้อีกแล้ว เหลือแค่คำถามที่ว่าคดีของลุงพลจะจบลงอย่างไรเท่านั้น
....
Sondhi X