xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ]SONDHI TALK : คดีสมรักษ์ ผู้ใหญ่จะล่อหรือเด็กจะหลอก - มหาดไทยยุค “อนุทิน” ทำอะไรอยู่ - รถญี่ปุ่นเดินหมากพลาดตาเดียวพ่ายจีนทั้งกระดาน - ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี - คนไทยไม่อยากมีลูกเพราะ - สหรัฐฯ มือถือสากปากถือศีล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 15 ธ.ค.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ได้แก่
- คดีสมรักษ์ ผู้ใหญ่จะล่อหรือเด็กจะหลอก
- มหาดไทยยุค "อนุทิน" ทำอะไรอยู่?
- ประชาธิปัตย์ ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี
- รถญี่ปุ่นเดินหมากพลาดตาเดียวพ่ายจีนทั้งกระดาน
- "แบตเตอรี่" ชี้ขาดชัยชนะ รถ EV จีน
- คนไทยไม่อยากมีลูกเพราะ?
- สหรัฐฯ มือถือสากปากถือศีล วีโต้มติยูเอ็นหยุดยิงในกาซา

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.219



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 220 [15 ธ.ค. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean :SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ขอต้อนรับท่านผู้ชมที่กำลังดูไลฟ์สดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok วันนี้ผมจะขอนอกเรื่องนิดหนึ่งตอนต้น ท่านผู้ชมคงจะเห็นผมใส่เสื้อม่อฮ่อมตัวนี้ คงจะงงกันพอสมควร บางคนบอกว่าผมแปลงร่างมาเป็นลุงลอง ผ้าผืนนี้คือผ้าย้อมครามที่ผมซื้อมาจากจังหวัดสกลนคร ตอนไปทำบุญ เนื้อผ้าดีมาก เป็นผ้าฝ้ายย้อมคราม ผมก็เลยให้เลขาฯ ผมไปว่าจ้างคนตัดชุดม่อฮ่อมมา ใส่สบาย แล้วปรากฏว่านี่สั่งผ้ามาเพิ่มอีกแล้ว เพราะว่าแขนมันสั้นไป ต้องลงอีกสักนิ้วครึ่ง ต้องขึ้นไปอีกหน่อย ก็เล็กๆ น้อยๆ ครับ

ท่านผู้ชมที่เข้ามาชมกันแล้ว ช่วยกันกดไลก์ กดแชร์ และ Subscribe ให้เต็มที่นะครับ ทั้งช่องทาง YouTube, Facebook, TikTok เพื่อกระจายข่าวสารออกไปในวงกว้างที่สุด เพราะแพลตฟอร์มเหล่านี้ตอนนี้มีการลดการเข้าถึงอย่างมาก ไม่ใช่แค่ลดการเข้าถึงอย่างเดียว ยังตีกรอบจากเจ้าของแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นอิทธิพลทางตะวันตก ทำให้เราไม่มีสิทธิ์ ไม่มีอิสระในการรายงานข้อเท็จจริงหลายๆ เรื่อง เช่น การเมืองระหว่างประเทศ สมุนไพร ผลกระทบจากวัคซีน เป็นต้น


ตอนนี้ผมและทีมงานกำลังหาทางออกกันอย่างยั่งยืน เป็นอิสระจากการควบคุมของแพลตฟอร์มเหล่านี้ เพื่อรายงานข่าว ข้อเท็จจริงต่างๆ ให้ผู้ชมได้รับรู้กันอย่างครบถ้วน รอบด้าน พวกผมก็เลยตัดสินใจที่จะใช้ Sondhi App โดยที่จะพลิกสถานภาพ Sondhi App มา ให้เป็นโซเชียลมีเดียของพวกเรากันเอง ก็พูดกันอย่างไม่อายล่ะครับ โคลนนิ่งมาจาก Facebook โดยใช้โปรแกรมเมอร์ของเราเป็นคนเขียนขึ้นมา แล้วเราก็ใช้เซิร์ฟเวอร์ของ Sondhi App ซึ่งเป็นของ TenCent สามารถจะรองรับคนเข้ามาดูได้เป็นแสนๆ และหลายแสนคน ถึงล้านคน

ทีนี้ Sondhi App จะทำอย่างไร ? หลังจากปีใหม่ 2567 เป็นต้นไป Sondhi App จะเปิดให้ฟรี ยกเลิกการเก็บเงิน เพื่อเป็นของขวัญให้กับท่านผู้ชมทุกท่านได้เข้ามาใช้พื้นที่นี้เพื่อสร้างปัญญาและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นความจริง ไม่โดนปิดกั้น ซึ่งต่อไป แน่นอนครับ เราพัฒนาเป็นโซเชียลมีเดียของเราเอง ท่านผู้ชมไม่ผิดหวังแน่นอน ท่านผู้ชมเคยชินกับ Facebook อย่างไร ก็เข้ามา Sondhi App ยุคใหม่ได้ ซึ่งอาจจะเปลี่ยนชื่อสักนิด ไม่ต้องไปง้อแพลตฟอร์มต่างประเทศอีกต่อไป


ส่วนท่านผู้ชมท่านใดที่จ่ายเงินค่าแอปฯ ไปแล้ว และยังอยู่ในระยะเวลาที่ยังไม่หมดอายุ ติดต่อเข้ามาขอรับเงินคืนได้ทุกท่าน จาก inbox เราจะให้ท่านผู้ชมสังเกตอย่างหนึ่งว่า เราเริ่มมีข่าวสดใหม่ๆ ทันเหตุการ์ บทวิเคราะห์เจาะลึกออกมาทุกวัน ออกมาภายใต้ชื่อ SONDHIX ที่สามารถติดตามกันได้ ตอนนี้ยังแปะอยู่ในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ต่อจากนี้ไปอีกไม่นาน ข้อมูลทุกอย่างก็จะย้ายไปอยู่ในแอปฯ ใหม่ ซึ่งจะเปลี่ยนชื่อเป็นอะไรจะแจ้งอีกครั้งหนึ่ง

ก็ขอให้ท่านผู้ชมลองช่วยผมหน่อยครับ หลายคนอยากจะคิดชื่อแอปฯ ใหม่นี้ขึ้นมา พวกผมก็เลยคิดว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า ลองถามท่านผู้ชมดีกว่าว่าแอปฯ ใหม่นี้อยากจะให้ใช้ชื่อว่าอะไร ส่งเข้ามาที่ inbox แนะนำกันหน่อยครับ สุดแล้วแต่ท่านผู้ชมคิด ใครมีความคิดสร้างสรรค์ใดก็ส่งเข้ามา

ท่านผู้ชมครับ เริ่มมกราคม 2567 Sondhi App จะไม่เก็บเงินแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะไม่โพรโมต Sondhi App แล้ว ย้ำอีกทีนะครับ ใครก็ตามที่จ่ายเงินมาแล้ว และยังไม่หมดอายุ ให้แจ้งมาทาง inbox เราจะคืนเงินให้ทุกท่านเลย

อาทิตย์นี้มีประเด็นรายการหลายประเด็นที่ผมจะพูดให้ฟัง เรื่องแรกคือ กระทรวงมหาดไทยยุคคุณอนุทิน ชาญวีรกูล หรือท่านผู้ว่าฯ หนู


เรื่องที่สอง คุณสมรักษ์ กับ เด็กสาว 17 จริงๆ แล้วมันเป็นผู้ใหญ่หลอกเด็ก หรือ เด็กมีขบวนการมาหลอกผู้ใหญ่กันแน่ ที่แน่ๆ นะครับ ไม่จืดเลยคราวนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ภายใต้หน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ และการคะยั้นคะยอของคุณตาของเด็ก ญาติของเด็ก ต้องการให้คุณสุรเชษฐ์ทำคดีนี้ ก็เลยเข้าทางคุณสุรเชษฐ์เลย หลังจากเงียบหายไปนานพอสมควร ก็คงจะขยันหาแสงเข้าตัวอย่างเต็มที่

เรื่องที่สาม หมอชลน่าน บอกว่าสังคมไทยมันบิดเบี้ยวเพราะว่าคนไม่ค่อยอยากมีลูกกัน คำถามมีว่า คนไทยไม่อยากมีลูกเพราะอะไร ? สังคมมันบิดเบี้ยวจริง หรือว่าคุณหมอชลน่าน คิดไม่เป็น ?

เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องที่เพิ่งจะโด่งดังมา คือ พรรคประชาธิปัตย์ ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี แล้วมาฟังดู เบื้องหน้าเบื้องหลังเยอะแยะไปหมดเลยที่ท่านผู้ชมอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน

เรื่องที่ห้า รถญี่ปุ่น จากงานแสดงรถยนต์ที่ Motor Expo ที่ผ่านมา เดินหมากพลาดตาเดียว พ่ายรถ EV ของค่ายรถจีนทั้งกระดาน

เรื่องที่หก มือถือสาก ปากถือศีล สหรัฐอเมริกาวีโต้มติยูเอ็นหยุดยิงในกาซา

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม ที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปทำบุญครั้งสุดท้ายของปีนี้ ที่วัดป่าดอยลับงา กำแพงเพชร ไปเป็นประธานฝ่ายฆราวาสในการเททองหล่อยอดเจดีย์ศรีพระธรรมวิสุทธิมงคล ของหลวงตามหาบัว มีพระอาจารย์ของผม คือหลวงพ่อนพดล นันทโน ลูกศิษย์หลวงตามหาบัว เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งอดีตท่านเคยเป็นพระพี่เลี้ยงของผมตอนที่ผมบวชในช่วงนั้น แล้วผมไปจำวัดอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด แล้วถึงเวลาที่ผมจะต้องเดินทางออกจากวัดป่าบ้านตาด เพื่อไปแสดงธรรมตามจังหวัดต่างๆ ที่พี่น้องพันธมิตรฯ อยู่ หลวงตาท่านทรงมีเมตตา มอบให้หลวงพ่อนพดลติดตามผมไปทุกจังหวัด เป็นพระพี่เลี้ยงของผม

ไปกำแพงเพชรครั้งนี้ได้เจอพันธมิตรฯ พันธุ์แท้ ทำไมผมถึงกล้าพูดว่าเป็นพันธมิตรฯ พันธุ์แท้ ? ผมถูกมะรุมมะตุ้มโดยบรรดาพี่น้องพันธมิตรฯ พันธุ์แท้ที่กำแพงเพชร ผมซาบซึ้งมาก คุณยายอายุตั้ง 85 ปี เข้ามากอดผม แล้วบอกว่าฉันลงไปประท้วงกับคุณสนธิตลอดเวลา สมัยที่เราประท้วงอยู่นั้น พันธมิตรฯ กำแพงเพชรส่งคนลงมาทุกๆ ครั้งที่ประท้วง สิบคันรถบัส แล้วที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ มีคนที่กำแพงเพชรบอกผมว่า โรงพยาบาลกำแพงเพชร เก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ เป็นพันธมิตรฯ พันธุ์แท้หมด ไม่ใช่ กปปส. เลยแม้แต่คนเดียว ยังยึดมั่น จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ล้วนแล้วแต่เป็นพันธมิตรฯ ทั้งนั้น อบอุ่นมากครับ ขากลับมานี่รับของ กล้วยไข่นี่รับมาไม่รู้ตั้งเท่าไร เพราะมันเป็นของแท้ กระยาสารทอีก มีหลายท่าน ท่านอุตส่าห์ปลูกแตง เป็นแตงออร์แกนิค ก็ยกมาให้ผมตั้ง 1-2 โหล ลูกเบ้อเริ่ม เอากลับมาแจกกัน

เราจะพยายามทยอยทำบุญไปตามวัดต่างๆ เรื่อยๆ ถ้ามีโอกาส ถ้าท่านผู้ชมสนใจจะทำบุญ ยังสามารถโอนเงินมาร่วมทำบุญได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี มูลนิธิไชย้ง ลิ้มทองกุล เลขบัญชี 008-2-78777-1 หรือท่านผู้ชมยังสนใจจะทำบุญโดยผ่านการจองพระ ก็ให้รีบจองเข้ามา ยังพอจองได้อยู่นะครับ ชุดเล็ก พระชุดใหญ่องค์ละ 1 แสนบาท หมดไปแล้ว ไม่มีเหลือแล้วครับ เหรียญพระสยามพุทธาธิราช ชุดละ 2 พันบาท เหลืออยู่ไม่มากจริงๆ สนใจติดต่อที่ไลน์ (LINE) เพิ่มเพื่อน @tambun

ส่วนท่านผู้ชมที่จองมาแล้ว เรากำลังทยอยส่งออกไป เราส่งออกไปวันละประมาณ 1 พันชุด เต็มที่ครับ มือเป็นระวิงเลย ไม่หยุดเลย เช้าถึงกลางคืน แพ็กของส่งไป ส่งไปตามคิวที่สั่งจองมา บางท่านอาจจะได้รับแล้ว

ท่านผู้ชมครับ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มีคนเข้ามาปิดทองวันละเกือบ 10 ราย ทุกวัน จันทร์-อาทิตย์ เก้าโมงเช้าถึงเที่ยง เข้ามาได้ครับ มามือเปล่า ทองคำเปลวมีเตรียมไว้ให้แล้ว พร้อมทั้งสีผึ้ง ปิดทองเสร็จ นมัสการท่าน ตั้งจิตอธิษฐานขอพรจากท่าน แล้วก็เดินออกไปด้วยจิตใจที่ผ่องใส

ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้ยาลมฯ และยาขาว ยังมีโพรโมชัน ซื้อ 1 กล่อง ได้รับยาที่ร่วมพิธีพุทธาภิเษก 1 ซอง ซื้อ 2 กล่อง ก็ได้ 2 ซอง ถ้าสนใจสั่งซื้อได้ที่ "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์" เพิ่มไลน์ @sunherb มีจำนวนจำกัดนะครับ หมดแล้วหมดเลย

เอาล่ะ "2 ทศวรรษ เมืองไทยรายสัปดาห์" ที่จะจัดวันที่ 21 มกราคม 2567 เวลา 13.00 น. ตั๋วเหลือเพียงไม่ถึง 20 ที่นั่ง ท่านผู้ชมรีบจองเข้ามา แล้วมาระลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ กัน จะมีผม สนธิ ลิ้มทองกุล และ คุณแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ คุณแอ้มตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่ นอนโรงพยาบาล เพื่อจะฟื้นฟูร่างกายให้เต็มที่ เพื่อมาออกงานวันที่ 21 คุณแอ้มตื่นเต้นมากที่จะได้จัดงานวันที่ 21 ให้ได้ คุณแอ้มตื่นเต้นมากที่จะได้เจอท่านผู้ชม

ถ้าท่านผู้ชมถือบัตรมาที่งาน เรามีของที่ระลึกแนบให้ครับ นี่คือบัตรเข้างาน เราจะมีหน้ากาก Sondhi Talk มอบให้เป็นของที่ระลึก งานนี้พลาดไม่ได้จริงๆ จองบัตรได้ที่ไลน์ @sondhitalk

มหาดไทยยุค “อนุทิน”

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์ที่แล้วผมพูดถึงเรื่องการทำมาหากินของเจ้าหน้าที่ที่ปล่อยให้มีธุรกิจให้คนต่างด้าวเข้ามาสวมสิทธิ์ ปลอมแปลงแอบแฝงเข้ามาในการสวมบัตรประชาชน ผู้ที่ต้องรับผิดชอบคงหนีไม่พ้นกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งปัจจุบันนี้เจ้ากระทรวงก็คือ คุณอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งคงต้องทำงานให้ขยันกว่าเดิม เข้มงวดกวดขัน ไม่เอาแต่สร้างภาพหาแสงไปวันๆ


หลังจากที่ผมคุยไปไม่กี่วัน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีข่าวทันทีในหลายสื่อว่า อนุทินนำทีมลุยผับเถื่อน SONIC CLUB Bangkok ย่านเลียบด่วนรามอินทรา พบใบอนุญาตขาด เปิดเกินเวลา ยาเสพติดเพียบ คุณอนุทินลงไปตรวจค้นผับพร้อมอธิบดีกรมการปกครอง ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง ทีมปฏิบัติการพิเศษ กรมการปกครอง สนธิกำลังร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ส. กทม. พร้อมกับกองกำลังอาสารักษาดินแดน 30 นาย และตำรวจสถานีตำรวจนครบาลโชคชัย ที่สำคัญ พรรคภูมิใจไทยได้ว่าจ้างพวกทีมงานนักข่าวไทยรัฐออนไลน์ ตามไลฟ์สดปฏิบัติการ ยาวตั้ง 2 ชั่วโมงเต็ม ก็ถือว่าเป็นการใช้ IO ที่ต้องเสียเงิน เพื่อให้ท่านผู้ชมได้เห็นฉากแห่งความเท่ ความเอาจริงเอาจังของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และฝ่ายปกครอง แต่ระยะเวลาใกล้เคียงกัน กลับมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นพร้อมๆ กันหลายเรื่องที่เกี่ยวกับกระทรวงมหาดไทยทั้งสิ้น

เรื่องแรก เกิดเหตุแรงงานชาวกัมพูชาใช้อาวุธปืนยิงในสนามฟุตบอลหญ้าเทียมที่ปทุมธานี คนยิงชื่อ นายดวง สัญชาติกัมพูชา คนขี่จักรยานยนต์หลบหนีชื่อ นายเฮง สัญชาติกัมพูชา จนเมื่อวันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม ที่ผ่านมา ตำรวจได้ตามจับนายดวง ได้ที่ด่าน ตม.บ้านแหลม จังหวัดจันทบุรี เพื่อหลบหนี ขณะที่พยายามหลบหนีออกนอกประเทศ เบื้องต้นนายดวงยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุยิงปืนจริง หลังก่อเหตุได้นำอาวุธปืนไปโยนทิ้งที่บริเวณคลองรังสิต ส่วนสาเหตุอยู่ระหว่างการสอบปากคำ


ผมและประชาชนทั่วไปที่อ่านข่าว สงสัยเหมือนกันว่า นายดวง กับนายเฮง สรุปแล้วเป็นแรงงานกัมพูชาที่ถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย ทำไมก่อเหตุอุกอาจอย่างไม่เกรงกลัวว่าบ้านเมืองเรามีขื่อมีแป ทำไมกระทรวงแรงงาน ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของพรรคภูมิใจไทย ถึงไม่เคยออกมาพูดเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่สามารถเช็กได้ใช่ไหมครับว่านายดวง หรือ นายเฮง เป็นแรงงานถูกต้องตามกฎหมายหรือเปล่า

แรงงานกัมพูชาเอาอาวุธปืน 9 มม. มาจากไหน ประเทศไทยซื้อหาหยิบยืมอาวุธปืนกันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ตั้งแต่การกราดยิงที่ห้างสยามพารากอน เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2566 ซึ่งคุณอนุทินในยุคนั้น ออกมาโชว์ฟอร์มขึงขังมาก โชว์ออฟใหญ่ ว่าจะควบคุมอาวุธปืนอย่างเข้มงวด แล้วยังไงล่ะครับ คุณอนุทิน แล้วยังไงล่ะครับ เหมือนลมที่ผายออกมาแล้วโดนลมมันพัดออกไป ก็หายไป


อีกเรื่องหนึ่ง คดีผู้เยาว์ หญิงสาวอายุ 17 เข้าแจ้งความสมรักษ์ คำสิงห์ อดีตนักมวยชื่อดัง นักชกเหรียญทองโอลิมปิก เด็กคนนี้น็อกสมรักษ์ คำสิงห์ ยกแรก ก็คือไปกล่าวหาว่าสมรักษ์ คำสิงห์ ล่วงละเมิดทางเพศ ใครจะหลอกใคร ใครจะถูกจัดฉาก หรือไม่ อย่างไร แล้วแต่ แต่ที่เน่าแน่ๆ มันคือฝ่ายปกครองของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ของคุณอนุทิน ชาญวีรกูล อีกแล้ว

คุณอนุทินเพิ่งจะแอ็กอาร์ตสดบุกผับอย่างขึงขังก่อนหน้านั้น ว่าทำไมสถานบันเทิงต้นเหตุของเรื่องนี้ที่ชื่อร้าน "สุขสันต์" ช่างสุขสันต์สมชื่อ ปล่อยให้เด็กและเยาวชนอายุแค่ 17 ปี เข้าไปใช้บริการได้อย่างไร มิหนำซ้ำ สมรักษ์ ไปเที่ยว ดื่ม เจอผู้เยาว์ ร้านเลิกก็ชักชวนไปต่อที่โรงแรม

สถานบันเทิงแห่งนี้เห็นว่าปิดตีสาม ถามว่าเปิดให้บริการเกินเวลาที่กฎหมายกำหนดได้อย่างไร ความรับผิดชอบตามหน้าที่ จังหวัด คุณไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ถ้าเป็นตำรวจก็ พล.ต.ต.อนุวัตร สุวรรณภูมิ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น พ.ต.อ.ยศวัจน์ แก้วสืบธัญนิจ ผู้กำกับการ สภ.เมืองขอนแก่น พวกท่าน ทั้งตำรวจ และฝ่ายปกครอง ทราบเรื่องนี้หรือเปล่า สถานบันเทิงปล่อยเด็กอายุต่ำกว่า 18 เข้าไป เปิดเกินเวลา ทั้งๆ ที่อยู่ห่างจากโรงพักแค่ปลายจมูก ไม่ถึง 1.3 กิโลเมตร


หลังจากนั้นแล้ว พอเกิดเรื่องคุณสมรักษ์ และผู้เยาว์ ฝ่ายปกครองก็ค่อยเต้นกันอย่างตามระเบียบ ท่านรองผู้ว่าฯ ขอนแก่น พูดมาไม่แน่ใจสักเรื่องหนึ่ง พูดมาพูดไปก็จบที่ขอตรวจสอบก่อน โทษอาจจะถูกสั่งปิดชั่วคราว หรือถูกสั่งปิด 5 วัน นี่ท่านรองผู้ว่าฯ ขอนแก่นพูดนะครับ คุณอนุทิน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คุณเจอรองผู้ว่าฯ พูดแบบนี้ คุณไม่เบื่อบ้างหรือ ผมนี่เบื่อมาก

ผมได้ข่าว วันเดียวกัน คุณอนุทินลงนามกฎกระทรวงขยายเวลาเปิดสถานบริการถึงตี 4 ใน 5 พื้นที่นำร่อง เตรียมประกาศลงราชกิจจานุเบกษา ย้ำ บังคับใช้ 15 ธันวาคมนี้ เพื่อความสำเริงสำราญในการรับเทศกาลช่วงปีใหม่ นี่แสดงว่าคุณอนุทินนอกจากไม่เบื่อเรื่องผู้เยาว์เข้าสถานบันเทิงและเปิดเกินเวลา มหาดไทยไฟเขียวเต็มที่ โดยคุณอนุทินมองแค่มิติการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวหรืออย่างไร ความฉิบหายเกี่ยวกับเด็ก วัฒนธรรม เยาวชน ไม่สนใจเลยใช่ไหม


กรณีสถานบันเทิงอย่าง "สุขสันต์" เชื่อแน่ได้ว่าไม่ได้มีร้านเดียว เผลอๆ มีทุกจังหวัด จังหวัดละหลายๆ ร้าน แล้วตำรวจ กับกรมการปกครอง ก็มีทั้งอำเภอ ทั้งโรงพัก กรมการปกครองที่คุณอนุทินรับผิดชอบอยู่ ไม่รับผิดชอบบ้านเลยหรือ นายอำเภออยู่ในพื้นที่ไหน ทำไมจะไม่รู้ว่าใครบ้างทำผิดกฎหมาย แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะอะไร ? ตราบเท่าที่ "ส่วย" ยังทำงาน ฝ่ายปกครองที่เรียกรับและรอประเคน ก็พร้อมจะเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ มิหนำซ้ำยังช่วยอำนวยความสะดวก แถมพอเกิดเหตุก็ช่วยเป่าคดีให้จบไป ทุกๆ ฝ่ายจะได้ทำมาหารับประทานกันต่อไป


ท่านผู้ชมครับ เรากลับมาเรื่องซื้อขายบัตรประชาชน เปลี่ยนทะเบียนราษฎร์ให้ต่างด้าว ท่านผู้ชมยอมรับหรือยังว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมาก เป็นภัยต่อความมั่นคง มันเป็นเพราะเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยทั้งสิ้น คดีสมรักษ์ เป็นแค่น้ำจิ้มที่สะท้อนความปล่อยปละละเลย ผมจะเตือนคุณอนุทินว่าอย่ามัวหาแสงจากเรื่องผับ อย่าไปเที่ยวจ้างไทยรัฐออนไลน์เขาไลฟ์สดคุณตั้ง 2 ชั่วโมง จนลืมไปว่าการกวดขันเรื่องใหญ่กว่า ก็คือเรื่องการทุจริตการทำบัตรประชาชนและทะเบียนราษฎร์ 


นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะครับ ปัญหาสังคม ปัญหาอาชญากรรมจะตามมาอีกมาก จากต่างด้าวที่อยู่อย่างผิดกฎหมายในไทย จีนดำ จีนเทา พม่าเทา เขมรเทา อินเดียเทา ที่รู้วิธีฟอกตัวสวมบัตร ทำมาหากินในไทยได้ต่อโดยการอำนวยความสะดวกของเจ้าหน้าที่ไทยนี่เอง ทีมงานของผมได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลแล้ว เร็วๆ นี้ผมจะส่งของขวัญให้คุณอนุทินอีก ให้รู้ว่าใครเป็นหมู่ ใครเป็นจ่า

ท่านผู้ชมครับ จากรัฐบาลที่แล้วมาถึงรัฐบาลนี้ คุณอนุทินกระโดดจากกระทรวงสาธารณสุข ที่ดูแลเรื่องสุขภาพอนามัยประชาชน ย้ายมาที่กระทรวงมหาดไทย เรื่องความมั่นคง และความอยู่ดีมีสุขของประชาชนในภาพรวม คุณต้องยอมรับว่างานกระทรวงมหาดไทยที่หนักหนาสาหัส และต้องแบกรับปัญหา และเป็นความคาดหวังของประชาชนที่ใหญ่หลวง คุณต้องเลิกเป่าขลุ่ย เล่นเปียโน โชว์ออฟตามงานอีเวนต์ได้แล้ว


ตั้งแต่รับตำแหน่ง มท.1 บ้านเมืองมีปัญหารอแก้ไขเต็มไปหมด อย่าเอาแต่เต้นชะชะช่า จนคนเขาเอาไปนินทาว่า ทำตรงข้ามกับพรรคที่พูดว่า "พูดแล้วทำ" จนกลายเป็นว่า "พูดมากกว่าทำ" ไปแล้ว

สมรักษ์ กับ เด็ก17 ใครหลอกใคร

ท่านผู้ชมพอจะจำเรื่องของคุณสมรักษ์ คำสิงห์ กับเด็กสาวอายุ 17 ปี เหตุเกิดในช่วงสุดสัปดาห์ คืนวันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม ต่อวันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม ที่ผ่านมา ที่จังหวัดขอนแก่น ผมคงไม่ลงรายละเอียดนะครับ เพราะท่านผู้ชมคงจะรับทราบและติดตามจากช่องทางอื่นๆ อยู่แล้ว

ในส่วนของคุณสมรักษ์นั้น ได้เข้ามาวันพุธ ได้รับทราบข้อกล่าวหาในฐานะผู้ต้องหาที่หนึ่ง ข้อกล่าวหา คือ 1. ร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดา หรือผู้ปกครอง 2. ร่วมกันพาบุคคลอายุเกิน 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจาร 3. กระทำอนาจารแก่คนอายุเกิน 15 ปี โดยใช้กำลังประทุษร้าย 4. พยายามข่มขืนผู้อื่น โดยใช้กำลังประทุษร้าย


คดีนี้มีนายตำรวจหิวแสงอย่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กระโดดลงมาดูแลเองตามคาด ก็อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วว่า คุณสุรเชษฐ์ เป็นคนหิวแสงโดยธรรมชาติ พอมีเรื่องที่ตกเป็นข่าวใหญ่ที่ไหน ต้องรีบไปจุดที่มีแสงทันที โดยหลังจากที่เพิ่งลาไปบวชที่อินเดียเป็นรอบที่สอง กลับมาวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ก็พยายามวิ่งทำคดีอย่างคดีคนเยอรมันทำอนาจารเด็ก ขอประกันตัวแต่หนีกลับไปประเทศ บิ๊กโจ๊กประกาศลั่นว่าจะบินไปเยอรมนีทั้งๆ ที่คนในแวดวงเขาได้ยินแล้วเขาก็ขำกันไปหมด เขาบอกคุณจะไปทำไมที่เยอรมนี พอคดีคนเยอรมันสังคมไม่สนใจ กระโดดเข้างับคดีนี้ทันที ฟันธงไปว่าคุณสมรักษ์ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ โดนดำเนินคดีแน่ โดยพูดจาอย่างชัดเจนมา คือพูดอย่างหล่อ พูดอย่างเท่


เอาล่ะ ท่านผู้ชม ประเด็นนี้ผมไม่ได้เข้าข้างใคร ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริงของพฤติกรรมและพฤติการณ์ของคุณสมรักษ์ แต่ถ้าคุณจะประณามหรือโทษคุณสมรักษ์ คุณต้องอย่าลืมข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งด้วยว่า เด็ก 17 ปีนั้น ใช้หลักฐานปลอมในการเข้าสถานบันเทิง คือร้าน "สุขสันต์" ซึ่งถ้าใครจะเข้าต้องอายุ 20 ปีขึ้นไป ยังไม่ต้องพูดถึงรูปร่างของเด็กที่ดูเกิน 20 ปี ไปกับคุณสมรักษ์ โดยสมัครใจ หรือไม่สมัครใจก็ตาม

อีกประการหนึ่ง ต้องทราบว่าในแวดวงคนกลางคืนนั้น มีขบวนการหลอกลวงนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานบันเทิงในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของภาคอีสาน ศูนย์รวมเด็กนักเรียน-นักศึกษาจากทั่วภาคอีสาน ที่มหาสารคามก็มีสถาบันการศึกษาเยอะมาก เด็กๆ ที่เรียนอยู่ที่มหาสารคาม เด็กผู้หญิงที่ต้องการหาลำไพ่พิเศษ พอเลิกเรียนแล้ววันศุกร์ ก็จะนั่งรถเพื่อนมาคันหนึ่ง นั่งกัน 5-6 คน มาจอดลงที่ขอนแก่น อำเภอเมือง แล้วก็แยกย้ายไปตามผับตามบาร์ที่ตัวเองสังกัดอยู่ และทำงานอยู่ แล้วพอถึงเวลาผับบาร์ปิด ก็เดินกลับมาขึ้นรถเพื่อที่จะเดินทางกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ทำอย่างนี้เป็นประจำ ส่วนใครไม่กลับ จะถูกแขกออฟไปทำอะไรก็ตาม ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลไป


แต่ผมอยากจะฝากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9285/2556 เมื่อสิบปีที่แล้ว มีข้อความหนึ่งระบุไว้ว่า "การสำคัญผิดในอายุของผู้เยาว์ทางกฎหมาย - เมื่อจำเลยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายพ้นวัยผู้เยาว์ โดยเข้าใจว่าผู้เสียหายมีอายุเกินกว่า 18 ปีแล้ว จึงเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเรื่องอายุ อันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคแรก การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนากระทำความผิดฐานดังกล่าวตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสาม"

คดีนี้ผู้เสียหายมีรูปร่างสูงกว่าและอวบกว่าเพื่อนในกลุ่มที่มีอายุแก่กว่า กอปรกับสิ่งแวดล้อมที่ทำให้น่าเชื่อว่าผู้เสียหายมีอายุใกล้เคียงกับเพื่อนคนอื่นๆ อันทำให้จำเลยสำคัญผิดในอายุผู้เสียหายได้ จึงจะลงโทษจำเลยในข้อหาพรากผู้เยาว์ ตามมาตรา 318 วรรคแรก ไม่ได้


ท่านผู้ชมครับ เพราะฉะนั้นแล้ว กรณีนี้จะว่าเป็นผู้ใหญ่หลอกเด็กได้อย่างไร คุณสมรักษ์ก็ทำผิดกฎหมายโดยเจตนาแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องลงโทษสถานหนักนั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่เร็วเกินไปครับ คุณสุรเชษฐ์ และคงไม่เป็นธรรมนักกับคุณสมรักษ์ เพราะความเห็นส่วนตัวของผม มีความเป็นไปได้สูงว่าเด็กอาจจะจงใจหลอกผู้ใหญ่เช่นกัน แล้วดูเด็กอายุ 17 คนนี้สิ ท่านผู้ชมเห็นรูปร่างหน้าตาแล้ว ไม่ใช่ธรรมดาเลย ตรงกันข้ามกับที่คุณตาบอกว่าเลี้ยงมาอย่างดี เป็นเด็กเรียบร้อย ผมว่าคุณตาตาเสียมากกว่า ที่ไม่รู้จักหลานตัวเอง พอมีเรื่องขึ้นมา ทั้งแม่ ทั้งตา ทั้งครอบครัว ก็มาบอกว่า เด็กเรียบร้อย ไม่เคยมีปัญหาอะไร แต่มีหลักฐานหลายหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าเด็กหลอกคุณสมรักษ์ โดยเอาบัตรประชาชนในโทรศัพท์ซึ่งเป็นบัตรประชาชนปลอม ว่าตัวเองอายุเกิน 18 ซึ่งตอนหลังก็มีการยอมรับว่าเด็กคนนั้นส่งข้อมูลปลอมให้คุณสมรักษ์ จะเข้าในคดีความของศาลฎีกาที่ผมอ้างอิงให้ฟังหรือเปล่า ศาลฎีกาที่ 9285/2556


แล้วในภาพวงจรปิดก็เห็นชัดเจนว่าเด็กเดินตามคุณสมรักษ์ จะมุ่งประทุษร้ายกันได้อย่างไร ข่มขืนใจกันได้อย่างไร เสร็จเรียบร้อยแล้วในแชตก็ชัดเจนว่าเด็กได้คุยกับเพื่อนฝูงในเรื่องการมีอะไรกับคุณสมรักษ์ ผมว่างานนี้น่าจะเป็นเด็กหลอกผู้ใหญ่มากกว่า แล้วหลายคนเห็นว่า สมรักษ์ คำสิงห์ อาจจะมีเงินมีทอง ก็เลยเข้ามาประกบ แล้วก็เชิดชูเด็กคนนี้เลยว่าเป็นเด็กดี เลี้ยงมาดี คุณสุรเชษฐ์ หักพาล ก็เลยกระโดดงับเรื่องนี้เต็มตัว

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ยังไม่จบ คุณสมรักษ์คงต่อสู้ถึงศาลฎีกาอย่างแน่นอนที่สุด

ประชาธิปัตย์ แตกรัง

ท่านผู้ชมครับ แล้วมาถึงวันนี้ ในวันที่ผมต้องออกมาพูดถึงพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ชอบอวดโอ้ อวดอ้าง ว่าเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดของประเทศไทยที่ยังหลงเหลืออยู่ เป็นถึงสถาบันการเมือง เป็นเสาหลักของระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย แต่แท้จริงแล้ว พรรคการเมืองนี้ล่ะที่เป็นต้นเหตุหนึ่งของวิกฤตการณ์ทางการเมืองของประเทศชาติตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เป็นภาพสะท้อนความหน้าไหว้หลังหลอก เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นมาตลอด

นอกจากนี้แล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมายังสร้างภาพเปรียบเปรย เชิดชูตัวเองเป็นเทพ ส่วนคนอื่นนั้นเป็นมาร แท้ที่จริงแล้วคนที่พยายามป่าวประกาศว่าตัวเองเป็นเทพนั้น ตัวจริงคือมาร แถมยังเป็นพญามารเสียอีก ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึง "พรรคประชาธิปัตย์" ที่ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี


ท่านผู้ชมครับ ด้วยเหตุนี้ เมื่อหลายปีก่อน ถ้าผมจำไม่ผิด 2545 หรือเมื่อยี่สิบเอ็ดปีที่แล้ว มีคนเรียกพรรคนี้ว่า "พรรคแมลงสาบ" คนในพรรคประชาธิปัตย์เอง คือ คุณกนก วงษ์ตระหง่าน ไปพูดในงานประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคฯ ในวันที่ 7 เมษายน 2545 แนะนำให้พรรคประชาธิปัตย์ปรับตัวแบบแมลงสาบ นี่ผมไม่ได้พูดนะครับ คุณกนก วงษ์ตระหง่าน พูดเอง อย่าเป็นไดโนเสาร์ที่รอวันสูญพันธุ์


ทั้งหมดนี้ผมต้องหยิบยกสถานการณ์พรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ถ่ายทอดออกมาเป็นการ์ตูนของคุณบัญชา คามิน ว่า วันนี้พรรคการเมืองเก่าแก่แห่งนี้ เหมือนขวดโหลคุกกี้ที่แตกเป็นเสี่ยง แล้วมีแมลงสาบวิ่งหนีออกมากันว่อนไปหมด


ทั้งนี้ทั้งนั้น ก่อนที่ขวดโหลแก้วใบนี้จะแตก มันมีเรื่องมีราว มีประวัติ ความเป็นมาที่น่าสนใจที่ผมจำเป็นต้องทบทวนความทรงจำให้ท่านผู้ชมได้ทราบ รวมไปถึงเล่าเบื้องหน้าเบื้องหลังหลายๆ เรื่องที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน หลายท่านอาจจะพอทราบ คลับคล้ายคลับคลา แต่ว่าหลงลืมไปแล้ว วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังครับ

ท่านผู้ชมครับ ความขัดแย้งภายในพรรคประชาธิปัตย์แบ่งเป็นสองขั้ว แก่งแย่งชิงอำนาจ ชิงดีชิงเด่นกันมาอย่างยาวนาน ขั้วแรก เป็นคนรุ่นเก่าที่อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์มานาน นำโดยคุณชวน หลีกภัย อายุ 85 ปี


ซึ่งต้องถือว่าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดในพรรค ร่วมด้วยกับคุณบัญญัติ บรรทัดฐาน คุณนิพนธ์ บุญญามณี คุณสาธิต ปิตุเตชะ ซึ่งดูแลภาคกลาง รวมถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีของพรรค ที่ลาออกจาก สส. ไปเมื่อปี 2562 เพราะไม่เห็นด้วยที่พรรคจะไปร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ


ส่วนอีกขั้วหนึ่งเป็นคนรุ่นหลัง ที่ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นคนรุ่นใหม่ เพราะอายุก็ไม่น้อย นำโดยนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตเลขาธิการพรรค และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายนราพัฒน์ แก้วทอง ที่คุมพื้นที่ภาคเหนือ เป็นลูกชายของนายไพฑูรย์ แก้วทอง นายเดชอิศม์ ขาวทอง เจ้าของพื้นที่สงขลา มีสมาชิก สส. จังหวัดภาคใต้ เช่น นายชัยชนะ เดชเดโช นายพิทักษ์เดช เดชเดโช จากนครศรีธรรมราช นายศักดิ์สิทธิ์ ขาวทอง นายสมยศ พลายด้วง พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ จากสงขลา และ นางสุพัชรี ธรรมเพชร จากพัทลุง




หลังจากการเลือกตั้งที่ผ่านไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ได้ สส. มากที่สุด ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้ สส. เพียงแค่ 25 ที่นั่ง ประกอบด้วย แบบแบ่งเขต 22 ที่นั่ง และแบบบัญชีรายชื่อ 3 ที่นั่ง เลยทำให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อแสดงความรับผิดชอบ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 32 คน ต้องพ้นจากตำแหน่งไปหมด


ส่วนนายเฉลิมชัยนั้น ยิ่งแล้วไปใหญ่ อดีตเลขาธิการพรรค ท่านผู้ชม ไม่รู้ว่าท่านจำได้หรือเปล่า แต่ผมจำแม่น และท่านผู้ชมหลายท่านก็จะจำแม่น

นายเฉลิมชัยเคยลั่นวาจาไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งเมื่อปี 2565 เพราะว่าตอนนั้นเงินทองเยอะเหลือเกิน หลงตัวเองว่าพรรคตัวเองนั้นกู้ชื่อกู้เสียงมาในหลายเรื่อง เฉลิมชัย บอกว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้เสียงต่ำกว่า 52 เสียง จะเลิกเล่นการเมืองทั้งชีวิต เอาล่ะ ผมจะเอาคำพูดทุกคำมาอ่านให้ท่านผู้ชมฟัง


14 สิงหาคม 2565 คุณเฉลิมชัย พูดว่า "ผมไม่บอกว่าจะได้กี่เขต แต่วันที่พรรคมีวิกฤต ผมประกาศไว้ชัดเจนแล้ว รอบนี้ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ต่ำกว่า 52 ที่ ผมเลิกเล่นการเมืองทั้งชีวิต เลิกเล่นเลยนะ ไม่ใช่หยุดเล่น เลิกคือหันหลังเดินออกไปเลย และถ้าผมประกาศว่าสู้แล้ว คู่ต่อสู้ขี้แตกแน่นอน" ท่านผู้ชมครับ ต้องถือว่าคุณเฉลิมชัยตระบัดสัตย์หรือเปล่า

แล้ววันนี้คุณเฉลิมชัยมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง โดยที่คุณลืมว่าคุณเคยให้สัจจะวาจากับสังคมไทยไว้อย่างไร แล้วจะให้ประชาชนเชื่อถือในตัวคุณได้อย่างไร ว่าคนอย่างคุณ เมื่อคุณพูดโกหกต่อประชาชนทั้งประเทศแล้ว เมื่อคุณเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว คุณจะไม่โกหกต่อประชาชนต่อไปอีกหรือ

ท่านผู้ชมครับ คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ถึงจะลาออก แต่ก็ยังรักษาการหัวหน้าพรรคอยู่ เพราะต้องมีการจัดประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี เลือกคณะกรรมการบริหารพรรคใหม่ องค์ประชุมล่มไป 2 ครั้ง ครั้งแรก ถกเถียงกันในที่ฝั่งของคุณชวน ขอยกเว้น งดเว้นข้อบังคับการประชุมที่กำหนดน้ำหนักในการลงคะแนนเสียงให้แก่ สส. ปัจจุบัน 70 เปอร์เซ็นต์ อดีต สส. อดีตรัฐมนตรี อดีตหัวหน้าพรรค 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่เป็นผล พอมาประชุมอีกครั้งหนึ่ง องค์ประชุมไม่ครบ เหลือไม่ถึง 250 คน องค์ประชุมก็ล่ม


ครั้งที่สอง อีกหนึ่งเดือนต่อมา วันที่ 6 สิงหาคม 2566 องค์ประชุมไม่ครบตั้งแต่เช้า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน นำ สส. ในมือ 21 คน โจมตีอีกฝ่ายว่าสร้างความเสียหายให้แก่พรรค ไม่ได้เกิดโดยธรรมชาติ เกิดโดยพฤติกรรมของกลุ่มคนบางคน เกิดมีดีลลับในฮ่องกงขึ้นมา ในช่วงการเลือกตั้งช่วงที่ผ่านมาเป็นที่วิจารณ์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ถูกแบ่งเป็นสองขั้ว ได้แก่ ขั้วนายชวน หลีกภัย กับขั้วนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ตอนนั้นมีข่าวว่ากลุ่มของนายเฉลิมชัยมีดีลลับฮ่องกงกับนายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง โดยกระแสข่าวว่า นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส. สงขลา เดินทางไปพบนายทักษิณ


ทีแรกนายเดชอิศม์ (นี่คือคำพูดของคนที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งพูดจาเชื่อถือไม่ได้เลย) บอกว่า เดินทางไปต่างประเทศวันที่ 3 สิงหาคม ไปแก้บนให้ภรรยาที่ชนะการเลือกตั้ง แต่อีก 7 วันให้หลัง นายเดชอิศม์กลับคำพูดไปออกทีวีช่อง PPTV ยอมรับว่าไปพบกับนายทักษิณจริง และอ้างว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรร่วมกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย อยากแก้ไขปัญหาประชาชน

ขอประทานโทษ พวกพรรคการเมืองนี่เวลาต้องการจะมีอำนาจก็บอกว่าทำเพื่อประชาชนทั้งนั้น เป็นห่วงประชาชน


ที่น่าสนใจ การโหวตเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตเพียงคนเดียว ปรากฏว่า สส. พรรคประชาธิปัตย์ 16 คน ซึ่งเป็นกลุ่มนายเฉลิมชัย โหวตเห็นชอบ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้นายเศรษฐา จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในการแบ่งเก้าอี้รัฐมนตรี ปรากฏเกิดความขัดแย้งภายในพรรคประชาธิปัตย์อย่างยืดเยื้อ แต่รัฐบาลชุดเศรษฐา ยังมีเก้าอี้รัฐมนตรีเหลืออยู่ 2 ตำแหน่ง คือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ที่เดิมทีพรรคเพื่อไทยเก็บเอาไว้ให้ทนายถุงขนม คุณพิชิต ชื่นบาน ทนายถุงขนมของนายทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวชินวัตร และอีกตำแหน่งหนึ่งคือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่เดิมที นายไผ่ ลิกค์ สส. กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ต้องได้ไป แต่ถูกถอนชื่อออกมา

เพราะฉะนั้นแล้ว จะเห็นได้ว่า พรรคเพื่อไทยเก็บตำแหน่งรัฐมนตรีเอาไว้ 2 ตำแหน่ง เผื่อเอาไว้ เผื่อจะโยกย้ายสลับสับเปลี่ยน อาจจะคุยกับพรรคประชาชาติไม่รู้เรื่อง ซึ่งมี 9 เสียง ปรับ ครม. เอาพรรคประชาธิปัตย์เสียบเข้าไปได้ เป็นไปได้อยู่แล้ว 100 เปอร์เซ็นต์

เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า นายเดชอิศม์ ซึ่งข่าวว่าเป็นถึงเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ตอนนี้ ขนาดไปขอร้องนายทักษิณ ชินวัตร ว่าขอร่วมรัฐบาลด้วย อุดมการณ์ของพรรคหายไปไหนแล้ว ? กลัวมากเหรอ เป็นฝ่ายค้านไม่เป็น เห็นหรือยังท่านผู้ชม นี่คือเนื้อแท้ของเลือดเนื้อของพรรคประชาธิปัตย์ยุคใหม่ ซึ่งก็ยังคงน้ำเน่า และมิหนำซ้ำยังน้ำเน่ากว่าเดิมเสียอีก

เอาล่ะ ผ่านไป 4 เดือน มาถึงประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 3 คือประชุมทั่วประเทศ เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ในวันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ น.ส.วทันยา บุนนาค ภรรยาของนายฉาย บุนนาค หุ้นส่วนของสื่อเครือเนชั่น ได้เปิดตัวเป็นแคนดิเดต ขอต่อสู้ตำแหน่งหัวหน้าพรรค


ซ้อนท้ายจักรยานยนต์เป็นสีสันการเมืองก่อนแถลงข่าว ขอโอกาสฟื้นฟูพรรค จะเลิกระบบอุปถัมภ์ ส่วนฝั่งนายเฉลิมชัย ก็วางตัวนายนราพัฒน์ เป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรค แต่ในที่สุดแล้ว สส. พรรคประชาธิปัตย์ ที่นายเฉลิมชัย และนายเดชอิศม์ คุมอยู่ 21 คน มีมติสนับสนุนให้นายเฉลิมชัยลงชิงตำแหน่งเอง โดยที่ไม่ต้องไปสนใจกับสัจจวาจาที่นายเฉลิมชัยให้ไว้ เอาอำนาจมาก่อนดีกว่า ประชาชนคนไทยเกิดมาเพื่อให้นักการเมืองโกหกใส่เป็นเรื่องปกติธรรมดา เอาน่ะ ท่านลงไปเถอะ ไม่มีใครพูดถึงหรอก อีกไม่นานเขาก็ลืมแล้วว่าท่านเคยพูดไว้อย่างไร นี่คือสันดานนักการเมือง

พอถึงเวลาประชุมจริง นายชวน หลีกภัย เสนอชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายชวนกล่าวสั้นๆ ว่า ถึงเวลาแล้วค่อยบอก ปรากฏว่าถึงเวลานั้น นายชวนเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์จริง อภิสิทธิ์ก็เลยกล่าววิสัยทัศน์ว่าเหตุผลที่ต้องกลับมาเป็นหัวหน้าพรรค เพราะเป็นหนี้บุญคุณพรรค สิ่งที่สะเทือนใจคือพรรคอยู่ในภาวะยิ่งกว่าวิกฤต เพราะประชาชนมองว่าพรรคไม่มีจุดยืน ทางเดินข้างหน้าของพรรคจึงต้องค้นหาจิตวิญญาณความเป็นประชาธิปัตย์ ที่จะเป็นความหวัง ตัวแทนความคิดประชาชน มีความต่างจากพรรคอื่น คือ ไม่กลัวเป็นฝ่ายค้าน รักษาแนวทางนี้ไว้ จึงมีโอกาสกลับมา


โอ้โห นี่ไปตีหม้อข้าวคุณเฉลิมชัยเลยนะ เพราะคุณเฉลิมชัยไม่อยากเป็นฝ่ายค้าน

นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงนายเฉลิมชัยว่า วันนี้พรรคเดินต่อไปไม่ได้เพราะไม่มีเอกภาพ ลงแล้วแพ้ มีปัญหา ลงแล้วชนะ มีปัญหาเข้าไปใหญ่ เฉลิมชัยก็กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เคยบอกไม่มีอะไรจะคุย เพราะประกาศจะหยุดการเมือง แต่อะไรที่ทำให้พรรคเดินได้ จะทำ ขอพักประชุม 10 นาที แล้วคุยกับอภิสิทธิ์ตัวต่อตัว

หลังประชุม นายอภิสิทธิ์ก็ออกมาบอกว่า ขอถอนตัวแล้วกัน แล้วขอลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ยังพูดต่อว่า กรีดเลือดออกมายังเป็นสีฟ้า ก็คงมีการตกลงกัน หรือมีการขอร้องจากนายเฉลิมชัยว่า ถอนตัวเถอะ ให้พรรคมันเดินหน้าต่อไปได้ (ผมตั้งใจจะเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทยแล้ว อย่าขวางผมได้ไหม) ซึ่งในวงเล็บนี่ผมไม่รู้ว่าเขาพูดหรือเปล่านะ นี่คือข้อสมมติฐานของผม


การประชุมก็เดินต่อไป แต่น้องเดียร์ วทันยา บุนนาค ติดที่เป็นสมาชิกพรรคไม่ถึง 5 ปี จึงลงสมัครเป็นหัวหน้าพรรคไม่ได้ ถัาจะยกเว้นข้อบังคับพรรคต้องใช้เสียง 3 ใน 4 ของที่ประชุม มีการโหวต ปรากฏว่าเสียงไม่ถึง เท่ากับว่าที่ประชุมไม่อนุญาตให้คุณเดียร์ วทันยา ลงสมัคร ก็มีการลงคะแนนเสียง เฉลิมชัยได้คะแนนถึง 88.5 เปอร์เซ็นต์ เป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 9 ต่อจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์

เลขาฯ พรรค นายเฉลิมชัย เสนอชื่อนายเดชอิศม์ มาดำรงตำแหน่ง คณะกรรมการบริหารพรรคล้วนแล้วแต่เป็นคนของนายเฉลิมชัย และนายเดชอิศม์ทั้งหมด ไม่มีตัวแทนฝ่ายนายชวน หรือบัญญัติเลยแม้แต่นิดเดียว


ผมมีเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องการยึดพรรค เบื้องหลังมาดามเดียร์ยึดพรรคประชาธิปัตย์ไม่สำเร็จ คนที่ผิดหวังคือ เจ้าสัวคนหนึ่ง ที่ชอบเล่นการเมือง และสนับสนุนพรรคการเมือง เพื่อเอาพรรคการเมืองเข้ามาสนับสนุนธุรกิจของตัวเอง การที่กลุ่มเฉลิมชัยชนะ และกลุ่มพ่ายแพ้คือกลุ่มนายชวน หลีกภัย พยายามดันอภิสิทธิ์ขึ้นมา แต่ไม่สำเร็จ นอกจากไม่สำเร็จแล้ว อภิสิทธิ์ลาออก นอกจากลาออกจากแคนดิเดตแล้ว ยังลาออกจากพรรคด้วย คุณชวนก็ยังคาดไม่ถึง ที่ไปไม่ถึงเป้าหมาย คือ คุณเดียร์ วทันยา บุนนาค เปิดตัวมาตอนแรกดูท่าทางจะไปได้สวย ขายความเป็นคนรุ่นใหม่ ตั้งใจเข้ามากอบกู้พรรค แต่เข้าไม่ได้ เพราะว่าติดปัญหาในเรื่องขาดคุณสมบัติในการชิงตำแหน่ง

เดิมทีคุณเดียร์ยังคาดว่าน่าจะผ่านได้ เพราะคุยกับผู้หลักผู้ใญ่แล้ว แต่คะแนนเสียงที่ลงให้ ไม่ผ่าน สุดท้ายก็เลยถูกตัดตอนไม่ให้เข้าไปชิงหัวหน้าพรรค แต่แท้ที่จริงแล้วคนแพ้คือนายทุนที่หนุนหลังมาดามเดียร์ เป็นเจ้าสัวใหญ่คนหนึ่ง ถ้ากล่าวถึงทุนที่อยู่เบื้องหลังคนที่ว่าอาจจะเห็นภาพเฉพาะทุนสื่อ ที่ฉาย บุนนาค สามีของมาดามเดียร์ เป็นกรรมการบริหารอยู่ นั่นเป็นส่วนหนึ่งและส่วนน้อย มันมีทุนใหญ่กว่าของฉาย บุนนาค คือระดับเจ้าสัว ที่ต้องการจะยึดพรรคประชาธิปัตย์อีกทีหนึ่ง

เจ้าสัวคนนี้เป็นคนที่ให้การสนับสนุนพรรคประชาชาติอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ โดยพฤตินัยแล้วคือเจ้าของพรรคประชาชาตินั่นเอง

เมื่อมาดามเดียร์ไปไม่ถึงเป้า คนที่ผิดหวังคือเจ้าสัวคนนี้ เพราะเจ้าสัวคนนี้คิด ดีดลูกคิดง่ายๆ ว่า ถ้ามี 9 เสียงพรรคประชาชาติ บวก 25 เสียงพรรคประชาธิปัตย์ กลายเป็น 34 เสียง เวลาเจรจาต่อรองเรื่องตำแหน่งทางการเมืองก็มีอยู่มากพอสมควร

แต่ว่าการที่มาดามเดียร์จะเข้ามายึดพรรคประชาธิปัตย์โดยเจ้าสัวหนุนหลังนั้น เชื่อผมสิท่านผู้ชม เฉลิมชัย ศรีอ่อน รู้อยู่แล้ว เมื่อรู้แล้ว คุณเฉลิมชัยจะปล่อยให้มาดามเดียร์มายึดไปได้ง่ายๆ ได้อย่างไร ก็เลยต้องเกิดปรากฏการณ์ "เทมาดามเดียร์" ขึ้น และเป็นการส่งสัญญาณถึงเจ้าสัวว่า เฮ้ย! เถ้าแก่ ถ้าอยากจะคุยเรื่องพรรคประชาธิปัตย์ มาคุยกับผม ไม่ต้องส่งมาดามเดียร์เข้ามายึดพรรค คุยได้ ขึ้นอยู่กับว่าราคาเท่าไร ทำแบบนี้แล้วให้มาดามเดียร์มายึดพรรค ใครจะยอม ผมก็ไม่ยอม

ผมเชื่อว่าหลังจากนี้ก็จะมีการเปิดดีลกันแล้ว ระหว่างเจ้าสัวคนเก่งคนนี้ กับ เฉลิมชัย ศรีอ่อน ไม่ช้าก็เร็วๆ นี้แน่นอน มีการคาดว่า ถ้าดีลลงตัวอาจจะเห็นมาดามเดียร์ลาออกจากพรรคไปอีกคน แต่เจ้าสัวจะไม่ให้มาดามเดียร์ลาออกแน่นอน เพราะมาดามเดียร์เดิมทีประกาศจะลาออก ถ้าผมจำไม่ผิด แต่ปรากฏว่าเธออยู่ต่อ ยังไม่ลาออก เพราะเจ้าสัวบอกให้อยู่ต่อ อยู่ในพรรคต่อไป เพราะถ้าเจรจากับเฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้ มาดามเดียร์ก็อาจจะมีตำแหน่งแห่งที่ในการทำงาน

จากการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคครั้งนี้ แสดงว่าพรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมทั้งหลายแทบจะล่มสลายไปหมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงพรรคเฉพาะกิจอย่างพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่พยายามสืบทอดอำนาจจากรัฐประหาร ที่นำโดย 3 ป.


แต่กรณีของพรรคประชาธิปัตย์ที่ก่อตั้งมา 77 ปีนั้น เป็นกรณีศึกษาที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดว่า ถึงคราที่จะต้องล่มสลายไปแล้วในที่สุด ล่มสลายเพราะอะไร ผมจะเล่าให้ฟัง

ประการแรก สังคมที่เปลี่ยนไป ประชาชนเปลี่ยน แต่ประชาธิปัตย์ไม่เคยเปลี่ยน ชอบอ้างเหลือเกินว่าเป็นพรรคที่เก่าแก่ ชอบพูดตลอดเวลาว่าตัวเองเป็นสถาบันการเมืองที่มีอุดมการณ์ แต่จริงๆ แล้ว อย่างที่ผมพูดมาตั้งแต่ต้นถึงความขัดแย้งลึกๆ ในพรรค และการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นนั้น ไม่ได้ต่างกว่าละครน้ำเน่าเลย อาจจะหนักหนาสาหัสเสียด้วยซ้ำ

ฝ่ายหนึ่งที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเลย มาจากผู้ใหญ่ในพรรค อย่างคุณชวน หลีกภัย คุณบัญญัติ บรรทัดฐาน ไม่นับพวกผู้ใหญ่ที่โดนตะกร้อครอบปากไม่ให้กล้าพูดอะไร

พอการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ก้าวมาสู่ยุคที่้่ต้องใช้เงินเยอะขึ้น ประเภทเลือกตั้งครั้งหนึ่ง 1-2 ล้าน หมดไปแล้ว ก็เลยมีคนใหม่ๆ เข้ามา อย่างเช่น นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน นายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์


ซึ่งหลายคนมีคอนเนกชันทางธุรกิจท้องถิ่น มีทั้งธุรกิจสีเทาอยู่เบื้องหลัง ท่านผู้ชม ผมเคยเล่าให้ฟังไปแล้วไม่ใช่หรือ ตั้งแต่ปี 2565 เรื่องกรณีการจับกุมนักธุรกิจชาวมาเลเซีย โทนี่ เตียว หรือ เตียว วุย ฮวด ซึ่งมีหมายจับเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงและฟอกเงินในมาเลเซีย รวมถึงสาธารณรัฐประชาชนจีน จนองค์กรตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โพล ออกหมายแดง

โทนี่ เตียว ที่คนในพื้นที่รู้กันดีว่ามีความสนิทสนมกับนายเดชอิศม์ หลักฐานผมได้เปิดเผยให้ท่านผู้ชมแล้วในรายการ ท่านผู้ชมไปย้อนชมกันได้


ส่วนนายเฉลิมชัยนั้น ก็เช่นกัน ในช่วงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ท่านผู้ชมต้องทราบว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกระทรวงที่ได้รับงบประมาณเยอะมาก และก็มีข่าวอื้อฉาวมากไม่แพ้กัน อย่างกรณีอื้อฉาวหมูเถื่อน ที่คิดเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ทำอย่างเป็นล่ำเป็นสันกันมา 3-4 ปี มีหน่วยงานราชการภายใต้กระทรวงเกษตรฯ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมบูรณาโกงกันอย่างน้อย 2 หน่วยงาน อย่างที่ผมเล่าให้ฟัง คือ กรมปศุสัตว์ และ กรมประมง ถึงแม้คุณเฉลิมชัยจะบอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวข้อง แถมยังอ้างว่ามีส่วนในการปราบปราม แต่ในฐานะที่คุณเฉลิมชัยเป็นเจ้ากระทรวง ตั้งแต่ปี 2562-2566 คุณเฉลิมชัยจะปฏิเสธความรับผิดชอบนี้ไม่ได้ ก็เลยมีเสียงร่ำลือว่าในช่วง 3-4 ปี ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ รัฐมนตรีเฉลิมชัยสบายใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตามีสง่าราศี


จุดเปลี่ยนในพรรคประชาธิปัตย์นั้น เรื่องอยู่ในสมัยที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการพรรค สุเทพมีหน้าที่หาเงินให้พรรค ในช่วงปี 2548-2554 ก่อนส่งไม้ต่อให้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เพราะนายสุเทพออกเคลื่อนไหวล้มรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อตั้ง กปปส. ร่วมกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อีกจำนวนหนึ่ง


ผมพอจะพูดได้จากประสบการณ์ของผมเอง และท่านผู้ชมที่ติดตามข่าวการเมืองมาอย่างใกล้ชิด พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคที่ซื่อสัตย์ พรรคประชาธิปัตย์ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของคนในพรรค ท่านผู้ชมยังจำได้ การตั้งรัฐบาล หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพรรคพลังประชาชน ต้องถูกยุบพรรคไป ท่านผู้ชมยังจำได้ไหมว่า พรรคประชาธิปัตย์ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา โดยตัวประสานงานคือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ เนวิน ชิดชอบ รวมหัวกันไปจัดตั้งรัฐบาลที่ค่ายทหาร พิสูจน์ชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อโค่นล้มรัฐบาลนอมินีของทักษิณ ชินวัตร เพื่อตัวเองจะได้เสวยสุขขึ้นมา แล้วก็ทำร้ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วยวิธีการหลายวิธีการ

หลายๆ เกร็ดที่ท่านผู้ชมหลายท่านไม่เคยรู้เรื่อง ผมจะเล่าให้ฟัง ผมเคยพูดไปแล้ว แต่ท่านผู้ชมอาจจะลืม

ย้อนไปเมื่อสิบปีที่แล้ว 2556 ก่อนการก่อตั้ง กปปส. ท่านผู้ชมคงไม่ทราบว่าก่อนที่คุณสุเทพ แกนนำ กปปส. หลายคนจะออกมาชุมนุมเรียกร้องต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย โดยเริ่มต้นที่สถานีรถไฟสามเสน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2556


แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ในเวลานั้น คือ คุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ เคยติดต่อผ่านทางพันธมิตรฯ นัดให้อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กับคนของผม ไปทานข้าวที่ห้องอาหารจีน โรงแรมปริ๊นเซส หลานหลวง เพื่อชักชวนให้กลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาเป็นแกนหลักในการเคลื่่อนไหวคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เสนอในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยอ้างว่าบุคลากรทางพรรคประชาธิปัตย์จะให้การสนับสนุนเหมือนกับครั้งออกมาต่อต้านการประพฤติมิชอบของระบอบทักษิณ ก็คือการที่พวกเราไปชุมนุมกันที่สุดถึงสนามบิน แล้วศาลรัฐธรรมนูญก็มีคำพิพากษาออกมา แล้วทำให้พรรคประชาธิปัตย์กับทหาร 3 ป. ไปจัดตั้งรัฐบาลที่ค่ายทหาร ท่านผู้ชมจำตรงนี้ให้ดีๆ

แต่ในเวลานั้น ทั้งผม อาจารย์ปานเทพ รู้ทัน จึงปฏิเสธไป เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นสิบปี ที่พวกผมได้ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านระบอบทักษิณในเรื่องต่างๆ ผลลัพธ์คือคดีความ ถูกยึดทรัพย์ ล้มละลาย ซึ่งผมได้เล่าความในใจให้ท่านผู้ชมฟังไปแล้วในหลายๆ ตอนที่ผ่านมา ผมถามว่าแกนนำพันธมิตรฯ และแนวร่วม ซึ่งอีกไม่กี่วันนี้จะต้องไปฟังคำพิพากษาคดีชุมนุมที่สนามบิน แล้วโดนยัดข้อหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ข้อหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกิดขึ้นในยุคที่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี ดูแลตำรวจและความมั่นคง


คุณเป็นรัฐบาลที่ก่อตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร สลับขั้วดึงเนวินจากฝั่งทักษิณ การเคลื่อนไหวต่อต้านระบอบทักษิณจากหยาดเหงื่อ เลือดเนื้อ ความตาย และการเสียสละของพวกผม พันธมิตรฯ ทั้งหลายในช่วงการชุมนุมปี 2551 ทั้งนั้นเลย คุณทั้งนั้นเลย

ผมขอถามหน่อย พรรคประชาธิปัตย์ ถามนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในตอนนั้น แล้วถามพวกติ่งประชาธิปัตย์ทั้งหลาย พันธมิตรฯ ชุมนุมเสร็จแล้วพวกผมได้ยศ ได้ตำแหน่ง ได้เงินได้ทองอะไรเหมือนพวก กปปส. หรือเปล่า หรือกลุ่มเสื้อแดงหรือเปล่า พวกคุณได้เป็นรัฐมนตรี เหมือนพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. เต้น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ได้เป็นรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ได้ตำแหน่งใหญ่ๆ โตๆ เหมือนแกนนำเสื้อแดงคนอื่นๆ หรือเปล่า ไม่มี มีแต่คดีความ เดินขึ้นโรงขึ้นศาล ถูกยึดทรัพย์ ถูกตัดสิทธิ์เกือบจะทุกอย่าง ตรงกันข้ามกับพวกคุณ การชุมนุม กปปส. ของพวกคุณสุเทพ ที่สมรู้ร่วมคิดกับทางฝั่ง 3 ป. ตั้งแต่แรก ว่าการชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะนำไปสู่การรัฐประหารในที่สุด

เรื่องนี้ผมไม่ได้พูดลอยๆ เป็นเรื่องที่คุณสุเทพเปิดเผยเอง หลังจากการรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ประมาณหนึ่งเดือน ผมจะย้อนเตือนความทรงจำให้ทุกท่านได้รับฟังอีกครั้ง เผื่อมีใครหลงลืมไป


23 มิถุนายน 2557 หนังสือพิมพ์และเว็บไซต์บางกอกโพสต์ รายงานข่าวเรื่อง Suthep in talks with Prayuth 'since 2010' แปลเป็นไทยว่า "สุเทพคุยกับคุณประยุทธ์มาตั้งแต่ 2553 แล้ว" เนื้อหาข่าวของบางกอกโพสต์ ระบุว่า ในช่วงค่ำวันที่ 22 มิถุนายน 2557 ระหว่างที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ อยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อระดมทุนของกลุ่ม กปปส. ที่แปซิฟิคคลับ หรือแปซิฟิค ซิตี้ คลับ คลับวีไอพีบนถนนสุขุมวิท มีคนดังมาร่วมงานเพียบ คุณสุเทพได้เปิดเผยต่อผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยง ว่า ได้ติดต่อกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อล้มระบอบทักษิณมาตั้งแต่ปี 2553 แล้ว

แล้วสิ่งที่คุณสุเทพได้รับการตอบแทนจากรัฐบาลทหาร คือ คุณสุเทพส่งคนของตัวเองสอดแทรกเข้าไปเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรี ยกตัวอย่าง 2561-2562 ก่อนการเลือกตั้ง คุณบี คุณพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ได้รับตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ภายใต้ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนที่จะเลือกตั้งเข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐ


หลังเลือกตั้งปี 2562 คุณตั้ม ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ


ส่วนคุณบี พุทธิพงษ์ ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีฯ ดีอีเอส ถาวร เสนเนียม ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในโควตาพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากนี้แล้ว ตั้งแต่ปี 2561 ยังมีคุณสกลธี ภัททิยกุล ลูกชายของ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล อดีตเลขาฯ ป.ป.ช. ได้รับตำแหน่งรองผู้ว่าฯ กทม. จนถึงปัจจุบัน ปี 2563 คุณตั๊น จิตภัสร์ กฤดากร ภิรมย์ภักดี ก็ได้เข้าเป็นกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการการตำรวจฯ


เมื่อเทียบกับแกนนำ/แนวร่วมพันธมิตรฯ ที่โดนคดีพัวพันมาจนถึงปัจจุบันนี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิง นี่ ที่ผมบอกว่าคุณอภิสิทธิ์เป็นคนอำมหิต เพื่ออำนาจและภาพลักษณ์ของตัวเอง ยอมสละทุกอย่าง แม้กลุ่มพันธมิตรฯ เคยยื่นหนังสือถึงคุณอภิสิทธิ์ เรียกร้องความเป็นธรรมในเรื่องคดี แต่คุณก็กระทืบพันธมิตรฯ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยการเปลี่ยนตัวตำรวจผู้ดูแล จาก พล.ต.ท.วุฒิ มาเป็น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ซึ่งสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้เพิ่มผู้ต้องหาจาก 36 คน เป็น 98 คน ยัดข้อหาผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติมไปอีก ไม่ว่าจะเป็นพิธีกร แขกรับเชิญ พิธีกร ASTV นักดนตรี แม้แต่คุณป้าที่มาชุมนุมและตีฝาหม้อ ยังโดนข้อหาก่อการร้ายอีก


นอกจากนี้ ระหว่างคุณอภิสิทธิ์เป็นรัฐบาลประชาธิปัตย์ ก็ทำเรื่องเลวร้าย บางเรื่องก็ปล่อยให้คุณสุเทพทำ ยกตัวอย่าง กรณีที่มีการปล้นน้ำมันปาล์ม กรณีเขาพระวิหาร ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวข้องอย่างแน่นอนที่สุด และคุณสุเทพนั้นดูแลอยู่ในเรื่องความมั่นคง แต่ก็ไม่สามารถจะแก้ไขอะไรได้ หรือกรณีการลอบยิงผมเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2552


สังเกตสิครับท่านผู้ชม พอพูดถึงเรื่องนี้ คุณสุเทพเงียบสนิท แม้แต่คุณอภิสิทธิ์ที่รู้เรื่องราวทุกอย่าง ตอนหลังจำยอมให้เปลี่ยน เดิมทีคุณสุเทพตั้ง พล.ต.อ.จงรัก มาเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดียิงผม แต่ตอนหลังโวยวายขึ้นมามากขึ้น ผมไม่ยอมรับ คุณอภิสิทธิ์เลยตั้ง พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ มาเป็นหัวหน้าคณะที่ทำคดียิงผม


แล้ว พล.ต.อ.ธานี ทำคดีจนเกือบจะสาวถึงผู้บงการ ในที่สุดแล้วเกิดอะไรขึ้น ? คุณอภิสิทธิ์ปลดคุณธานีออก ย้ายไปทำงานการเมือง เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้คดีมันค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น สืบไม่ถึงตัวบงการ นี่คือฝีมือคุณอภิสิทธิ์ ส่วนคุณสุเทพจะอยู่เบื้องหลังคุณอภิสิทธิ์หรือไม่ คุณไปตกลงกันเอง แต่พวกคุณเป็นแก๊งเดียวกัน

นอกจากนี้แล้ว พรรคประชาธิปัตย์เคยใช้คนออกมาปล่อยข่าว บอกว่าทักษิณ ซื้อ ASTV ไปแล้ว อุดมการณ์ของผมและชาวพันธมิตรฯ เปลี่ยนไปแล้ว ค่าย ASTV ซึ่งปัจจุบันเป็น News1 เรายังทำงานกันอยู่เหมือนเดิม ยืนอยู่เหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตรงกันข้าม วันนี้คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. และอดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์หลายต่อหลายคน หายหัวกันไปไหนหมดแล้ว ตอบผมหน่อยซิ แม่ยกพ่อยกประชาธิปัตย์ก็ตัวดี

ย้อนเรื่องเก่าไปสักหน่อย ถ้าจำได้ หลังปี 2554 หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งให้พรรคเพื่อไทยของนายทักษิณ ชินวัตร ต้องกลับไปรับบทถนัดในพรรคฝ่ายค้าน ท่านผู้ชมรู้ไหม มีการฟูมฟาย ตีอกชกหัวตัวเอง ดิ้นพล่านทุรนทุราย แถมยังมีลิ่วล้อมาปล่อยข่าวว่า สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ถูกทักษิณซื้อไปแล้ว ตอนนั้นพันธมิตรฯ ชุมนุมเคลื่อนไหวให้รัฐบาลปกป้องดินแดนจากกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ยกระดับการชุมนุม เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องดินแดนและอธิปไตย แล้วในที่สุด ท่านผู้ชมก็ไปดูสิ วันนี้ดินแดนที่พวกผมสู้กัน ที่ล้อมรอบเขาพระวิหารตกเป็นของเขมรไปหมดแล้ว ใครเป็นคนเริ่มต้น ? อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่นคือตัวการ

ในช่วงนั้นก็มีการปล่อยข่าวโจมตีผมกับ ASTV ต่างๆ นานา ตามชุมชนต่างๆ และสังคมออนไลน์ ยกตัวอย่าง นายจิตกร บุษบา นักจัดรายการวิทยุและคนสนิทนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต สว. กรุงเทพมหานคร


จำได้ไหม 31 กรกฎาคม คุณเคยโพสต์ข้อความเท็จผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า "ม่ต้องไปบริจาคแล้วล่ะครับ เดือนละ 1,000 น่ะ เพราะข่าววงในบอกมาว่า มิถุนายนปีหน้า ก็เปลี่ยนเจ้าของใหม่แล้ว ไม่มีหรอก "จอดำ" "จอดับ" น่ะ มีแต่หลอกแดก!!|" นี่คือข้อความของคุณนะ คุณจิตกร บุษบา คุณพูดอะไรเอาไว้ ถึงคุณพยายามทำเท่ทุกวันนี้ โพสต์อะไรก็ตามเพื่อให้คุณดูเท่ แต่คุณทำอะไรไว้ในอดีต พวกผมไม่เคยลืม

วันนั้น หน้าเฟซบุ๊กของคุณติ๊งต่าง นางกาญจนนี วัลยะเสวี ซึ่งเป็นกองเชียร์ แม่ยก ผู้สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ ได้ตอบข้อความที่มีนามแฝงว่า รำเพย กุลสตรี โพสต์ข้อความในหน้าวอลล์ของนายด้วยข้อความว่า "แปะ แฮปไปแล้ว หมดค่ะ" ทำนองว่าผมอมเงินบริจาคไปหมดแล้ว


ที่สำคัญ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ไม่รู้ว่าถึงวันนี้คุณติ๊งต่างยังจำได้ไหม แต่ผมไม่เคยลืมที่พวกคุณใส่ร้าย ให้การเท็จพวกผม พวกนี้คำก็แม่ยก ปชป. สองคำก็แม่ยก ปชป. แล้วเป็นยังไง เราภูมิใจเสียอีกที่สนับสนุนคนดี ไม่เป็นทาสนักตบทรัพย์ นักจัดม็อบ พวกคุณบาปในคราบนักบุญต่างๆ นานา

ผ่านมาสิบสองปี ผมยังยืนอยู่ตรงนี้ ที่เดิม ASTV ก็ไม่ได้มีใครซื้อไป เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเป็น News1 สื่อในเครือผมยังทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ตามที่ทำเป็นปกติต่อไป ผมยังเป็นผม ข้อความที่พวกคุณพูดไว้นั้นมันพิสูจน์แล้วว่ามีแต่ความเท็จ

แต่กลับกัน วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ คนดีของคุณติ๊งต่าง เชียร์นักเชียร์หนา ตอนนี้กลายเป็นอะไรไปแล้ว แมลงสาบแตกรังไปหมด ตัวคุณเองยังลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ตั้งแต่ 9 ธันวาคม 2566 ไม่กี่วันมานี้ไม่ใช่หรือ

เรากลับมาเรื่องพลวัตและความเปลี่ยนแปลงในพรรคประชาธิปัตย์กันต่อ เมื่อคุณสุเทพออกไป พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่มีแม่บ้าน ไม่มีคนหาเงินหาทองมาเลี้ยงพรรค คุณเฉลิมชัยก็เลยเข้ามาเสียบเป็นเลขาธิการพรรคแทน ภายหลังการเลือกตั้งปี 2562 ที่พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของคุณอภิสิทธิ์ แพ้การเลือกตั้ง กลายเป็นข้อผิดพลาดฝั่งคุณชวน ที่หนุนคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เข้ามา เหตุผลคือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยนอกจากคุณจุรินทร์ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคุณเฉลิมชัย ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ แล้ว คุณชวนยังได้ตำแหน่งประธานสภาฯ

สรุป ท่านผู้ชมไม่ต้องสงสัยเลยว่า สาเหตุที่พรรคประชาธิปัตย์มาถึงจุดนี้ได้เพราะอะไร เพราะแม้แต่คุณชวน ซึ่งเป็นเสาหลักของพรรค ก็ยังไม่มีหลักการ อุดมการณ์ จะไปหวังให้หัวหน้าพรรคคนใหม่อย่างนายเฉลิมชัย จะมีหรือ ไม่มีหรอก ที่เคยบอกว่าถ้าไม่ได้คะแนนเสียงเท่านี้จะไม่เล่นการเมือง ก็เพียงแค่ผายลมจากปากเท่านั้นเอง

ส่วนคุณมาร์ค อภิสิทธิ์ ผมขอให้คุณเลิกเล่นละครได้ไหม ผมรู้ทันคุณทุกเรื่อง ตอนคุณมีอำนาจ คุณทำลายภาคประชาชน เพราะกลัวประชาชนจะใหญ่กว่าตัวคุณเอง จนสุดท้ายไม่มีใครเหลียวแลคุณเลย ตั้งแต่แพ้เลือกตั้ง 2554 คุณยังหาทางไปไม่เป็น แม้แต่หลานชายของคุณ ไอติม พริษฐ์ ก็ต้องกระโดดออกไปร่วมกับพรรคก้าวไกล

ที่น่าเสียใจที่สุดในยุคคุณอภิสิทธิ์ คุณย้าย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เข้ามาจัดการคดีพันธมิตรฯ ซึ่งตอนนั้นคุณสุเทพเป็นคนดูแลตำรวจ

ถ้าเราเชื่อในทางพระพุทธเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์วันนี้ ชัดเจน เป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท กล่าวคือ สิ่งทั้งปวงมีเหตุ มีปัจจัย แล้วก็เป็นไปตามอำนาจเหตุและปัจจัย เพราะฉะนั้นสมควรแล้วที่วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ก็เพราะกฎแห่งกรรมนั่นเองครับ

คนไทยไม่อยากมีลูกเพราะ...

ท่านผู้ชมครับ เมื่อไม่นานมานี้ คุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกมาให้สัมภาษณ์และพูดกลางรัฐสภาในวันที่ 12 กันยายน 2566 ซึ่งผมเองก็ว่าจะพูดเรื่องนี้อยู่แล้ว คือท่านรณรงค์เรื่องกระตุ้นการเกิดของเด็กไทยให้เป็นวาระแห่งชาติ กลายเป็นดรามาไปหลายเดือนก่อน ตอนนั้นท่านแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นวันที่สอง คุณหมอชลน่านชี้แจงประเด็นนโยบายสาธารณสุข ซึ่งได้กล่าวถึงปัญหาสังคมผู้สูงอายุ คนไทยมีลูกน้อย คุณหมอบอกว่า เราต้องใช้กระทรวงเป็นจุดกำเนิด จะผลักดันเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ มาดูเรื่องประชากรกันใหม่ ลูกมากจะยากจน ต้องเอาออกจากสมองคนไทย คนไทยไม่ยอมมีลูกครับ โดยเฉพาะคนที่มีพื้นฐานการศึกษาที่ดี มีความรู้ มีความสามารถ มีฐานเศรษฐกิจที่รองรับ ไม่ยอมมีลูก หลายคู่ครับ แต่งงานปุ๊บบังคับให้สามีทำหมันเลย ไม่อยากมีลูก นั่นคือสิ่งที่กำลังบิดเบี้ยวในสังคมไทย ถ้าเราไม่เพิ่มฐานประชากร เราจะแข่งขันกับใครไม่ได้


หลังจากที่แถลงนโยบายเสร็จ คุณหมอชลน่านก็ฟิต ออกมาเดินเรื่องส่งเสริมการมีลูก เพิ่มจำนวนประชากร ล่าสุด เมื่อวันพุธที่ 6 กันยายน 2566 ท่านเปิดการประชุมสัญจรผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข โดยมีวาระขับเคลื่อนส่งเสริมเพิ่มเด็กไทย เกิดดี มีคุณภาพ GIVE Birth Great WORLD ผ่านสัญลักษณ์ปลาตะเพียน ที่กรุงเทพฯ และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

คุณหมอชลน่านยังพูดอีกว่า ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข 13 ประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายส่งเสริมการมีบุตร เศรษฐกิจสุขภาพ นักท่องเที่ยวปลอดภัย และการแพทย์ปฐมภูมิ ตั้งเป้าหมายไว้ 100 วัน ให้แล้วเสร็จ กระทรวงสาธารณสุขยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย มอบหมายนโยบายให้กรมที่เกี่ยวข้องประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคสังคม และประชาชน ทำงานร่วมกัน

โดยทั้งหมดนี้จะเน้นมาตรการส่งเสริมการมีบุตร กำหนดกรอบนโยบายสร้างเด็กไทย เกิดดี มีคุณภาพ แบ่งเบาภาระในการเลี้ยงดูบุตร การช่วยเหลือคนมีบุตรยาก การแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ รวมทั้งกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มหนุ่มโสด-สาวโสดอยากมีลูก ก็ให้มีโอกาสมีลูกได้

ท่านผู้ชมครับ ผมฟังคำพูดและนโยบายเรื่องนี้ของคุณหมอชลน่านแล้ว ผมก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือก อาจจะหัวเราะ แต่ด้วยความขมขื่นและด้วยความสมเพช เรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ


ประเทศไทยนั้นเข้าสู่ยุคสังคมสูงวัยมาพักใหญ่แล้ว ถ้าประเมินมาตรการการวัดขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งนิยามว่า "สังคมสูงวัย" จากสัดส่วนประชากรอายุ 60-65 ปีขึ้นไป เขามีการแบ่งระดับความสังคมสูงวัยอย่างนี้ ระดับที่หนึ่ง สังคมสูงวัยคือมีประชากรสูงวัยมากกว่า 7 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งหมดในประเทศ ระดับที่สอง สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ คือมีประชากรสูงวัยมากกว่า 14 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร ระดับที่สาม สังคมสูงวัยระดับสุดยอด คือมีประชากรสูงวัยมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนประชากรทั้งหมด

คำถามคือ เราต้องตอบก่อนว่า แล้วสังคมไทยนั้นอยู่ในสังคมสูงวัยในระดับไหน ? คำตอบคือ ประเทศไทยอยู่ในระดับ 2 แล้ว


ตัวเลขเมื่อปีที่แล้ว 2565 ประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุมากถึง 18.3 เปอร์เซ็นต์ เกิน 14 เปอร์เซ็นต์ของสหประชาชาติมาไกลแล้ว หรือคิดเป็นจำนวนผู้สูงวัยประมาณ 12 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 70 ล้านคน ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น

จากตัวเลขที่อ้างอิงมาดังกล่าว ประกอบกับสถิติในปี 2565 พบว่ามีเด็กไทยเกิดใหม่เพียง 5 แสนคนเท่านั้น จำนวนนี้ถือว่าต่ำสุดในรอบ 71 ปี ทำให้มีการคาดการณ์ว่า อีก 7 ปีข้างหน้า หรือปี 2573 สังคมไทยจะเข้าสู่ระดับที่ 3 คือสังคมสูงวัยระดับสุดยอด

เรากลับมาถึงคำพูดของหมอชลน่านหน่อย แน่นอน พอคุณหมอชลน่านพูดอย่างนี้ อ้างอิงเรื่องค่านิยม สังคมบิดเบี้ยว ก็รับรองได้ว่าทัวร์ลงทันที ยกตัวอย่างเช่น สส. ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์กุล ของพรรคก้าวไกล ออกมาบอกแบบกวนตีนเลยว่า ที่คนรุ่นใหม่มีค่านิยมไม่มีลูก ไม่ใช่เพราะสังคมบิดเบี้ยว แต่มันเป็นเรื่องของเขา"


คนที่ได้ยินท่านพูดหลายๆ คนออกมาคอมเมนต์กัน ยกตัวอย่างคอมเมนต์ "ก็เพราะสังคมที่บิดเบี้ยวแบบนี้มากกว่า จึงทำให้คนไม่อยากมีลูก ทั้งระบบการศึกษาและหลักสูตรที่ล้าหลัง ไม่ทันสมัย สังคมค่านิยม งาน ตำแหน่งที่รองรับ สวัสดิการต่างๆ มันเกี่ยวข้องกันไปหมดแล้วค่ะ"

คอมเมนต์เช่น "ไม่อยากมีลูกจ้า เพราะสังคมอยู่ยากมาก ไม่น่าอยู่ แค่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว"

ต่อมาก็บอกว่า "ทำให้มีลูกมันง่าย แต่เลี้ยงให้โตมันยา เศรษฐกิจไม่ดี งานไม่มี แก้เรื่องเศรษฐกิจก่อนมั้ย" "ไม่ใช่ไม่อยากมี แต่ดูสภาพประเทศไทยเสียก่อน" "ก็อยากมีนะ แต่ฝุ่น PM 2.5 ปัญหาราคาที่ดิน ระบบทุนนิยม ปัญหา Thailand Only กูจะทำอะไรก็ได้ ถ้ากูมีตังค์ กูมีพวก กูไม่ผิด ปัญหาภาวะโลกร้อน ยาเสพติด อาชญากร ระบบการศึกษา ความเหลื่อมล้ำ ทำมาหากินยาก ค่าครองชีพพุ่งทะยาน แต่ที่ดินทำมาหากินน้อย ตกในมือต่างชาติ ทหาร-ตำรวจที่ดีๆ ก็อยู่ยาก หมอก็พากันลาออกจากระบบ ครูจะเป็นโรคจิตไปแล้ว นายกฯ ที่คิดว่าจะได้เป็นก็โดนเวทย์มนต์ในสภาฯ เสกให้พ้นไป แล้วรัฐบาลจะมาหวังให้คนไทยมีลูกเพื่อหาคนจ่ายภาษีให้ประเทศไทย แข่งกับประเทศอื่นได้ยังไง ไม่ได้โทษรัฐบาลนี้รัฐบาลเดียว แต่เป็นปัญหาเรื้อรังมานานแล้ว แก้ไขไม่ได้สักที"

ผมเองอยากจะขยายความจากความเห็นของประชาชนทั่วไปให้คุณหมอชลน่าน รวมทั้งผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขทั้งหลายที่รายล้อมคุณหมอชลน่านอยู่ ได้ฟังดังนี้

ประการแรก แนวโน้มเรื่องอัตราการเกิดต่ำและสังคมสูงอายุ เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งในทวีปอเมริกา ยุโรป และในเอเชีย ในเอเชียนั้น ประเทศที่หนักที่สุดคือ ไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น และจีน เป็นต้น เพราะฉะนั้นเรื่องนี้หากแก้ไขกันง่ายๆ ด้วยนโยบายกระทรวงสาธารณสุขอย่างที่คุณหมอชลน่านกำลังพยายามทำอยู่ ประเทศอื่นๆ ก็คงทำกันไปนานแล้ว


ประการที่สอง ไม่ได้เกิดจากค่านิยมหรือสังคมบิดเบี้ยว แต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคร ที่เขามองเห็นต่างหาก ว่าเป็นต้นเหตุทำให้เกิดค่านิยมที่ไม่ต้องการลูก

ด้วยเหตุนี้คนรุ่นใหม่จำนวนมากจึงมองว่ามีลูกเท่ากับมีภาระ แตกต่างจากคนในอดีตอย่างมาก ในปัจจุบันนี้คนจะเป็นพ่อ-แม่จำนวนไม่น้อยตั้งเป้าหมายว่า ถ้ามีลูก ก็จะต้องเป็นลูกที่ดี ที่เก่ง มีคุณภาพ มีศักยภาพที่ค่อนข้างสูง ซึ่งก็ย่อมมีค่าใช้จ่ายเป็นเงาตามตัวไปด้วย เช่น ต้องมีของใช้/ของเล่นดีๆ มีพี่เลี้ยงเด็ก หรือได้รับการศึกษาในโรงเรียนอนุบาล/ประถม/มัธยมที่มีชื่อ หรืออีกขั้นหนึ่งคือเรียนในโรงเรียนอินเตอร์ไปเลย เหล่านี้แน่นอนว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงเกินกำลังของชนชั้นกลางในปัจจุบัน

ปัจจุบันสถานะทางเศรษฐกิจเริ่มถดถอยลงไปเรื่อยๆ ดังนั้นคู่สามี-ภรรยารุ่นใหม่ในปัจจุบันที่ไม่แน่ใจว่าถ้ามีลูกเขาจะสามารถเลี้ยงลูกให้ได้อย่างใจหวัง หรือตามมาตรฐานที่ตั้งเอาไว้ค่อนข้างสูง เขาก็เลยตัดสินใจไม่มีลูกดีกว่า ผมเชื่อว่าคนรุ่นใหม่จำนวนไม่มากนักที่ยังคาดหวังในการมีลูก เพื่อจะให้ลูกเลี้ยงดูตัวเองตอนแก่

ประการที่สาม ปัจจัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ที่ว่ากันว่าเข้ามาแย่งงานมนุษย์ ในอีกไม่กี่ปีงานหลายๆ อย่างต้องมีการปรับตัว ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานกันอย่างใหญ่หลวง ไม่ว่าจะเป็นงานอาชีพวิศวกร ครู ผู้สื่อข่าว นักการตลาด นักออกแบบ ศิลปิน ไปจนถึงหมอ พยาบาล

ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นแรงกดดันอย่างใหญ่หลวงต่อการดำรงชีวิตของคนในปัจจุบันที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยแน่ใจว่าขนาดตัวเองยังเอาไม่รอด ถ้ามีลูก ภาระสำคัญเพิ่มขึ้น จะพาครอบครัวไปรอดหรือเปล่า

ประการที่สี่ นอกจากแรงบีบคั้นทางเศรษฐกิจที่ยากลำบาก และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีแล้ว อีกส่วนหนึ่งยังประเมินว่า ปัญหาทางการเมือง สังคม และสิ่้งแวดล้อม จะทำให้โลกในอนาคตไม่น่าอยู่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง ไม่ต้องเถียงกันเลย ถ้าผมจะแนะนำคนไม่ให้มีลูก ผมก็จะบอกว่า ลูกคุณออกมาในอนาคตจะเจอสังคมที่เปลี่ยนแปลง ความกดดันสูงมาก แล้วลูกคุณจะไม่มีความสุขเลยในชีวิต เพราะอะไร ? เพราะมีลูกแล้ว ลูกต้องเติบโตขึ้นในสภาพเศรษฐกิจ สภาพสังคม และสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี สิ่งแวดล้อมไม่ดี รวมทั้งการเมืองที่ไม่ดีด้วย สิ่งเหล่านี้ครอบคลุมไปถึงเรื่องความปลอดภัยในสังคม ระบบเส้นสาย ระบบอุปถัมภ์ ระบบธนาธิปไตย ซึ่งเป็นระบบเงินเป็นใหญ่ ความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ เมื่ออัตราการเกิดน้อย ประชากรย่อมน้อยลงเป็นเงาตามตัว ซึ่งแน่นอน ย่อมส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในหลายมิติ อย่างที่คุณหมอชลน่านกังวลและพยายามออกมาผลักดันเรื่องนี้ให้กลายเป็นวาระแห่งชาติ


ผมเห็นด้วยกับคุณหมอชลน่านว่าสังคมไทยกำลังบิดเบี้ยว นั่นคือเรื่องจริง แต่ไม่ได้บิดเบี้ยวเพราะการไม่มีลูกของคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่ครับ คุณหมอชลน่าน เข้าใจผิด เข้าใจใหม่ได้ เพราะสังคมไทยมันบิดเบี้ยวในทุกๆ ด้าน อย่างที่ประชาชนทั่วไปเขาว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ปัญหาสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งปัญหาการเมือง และปัญหาความยุติธรรม ซึ่งคุณหมอชลน่าน และพรรคพวกนักการเมืองเป็นคนก่อขึ้นนะครับ คุณหมออย่าลืม พวกคุณหมอเป็นคนก่อขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แม้กระทั่งทหารที่ปฏิวัติยึดอำนาจ และพยายามสืบทอดอำนาจต่อไป เหมือนอย่างกลุ่ม 3 ป. เก่า

ประชาชนทั่วไปเขาไม่ได้มีทรัพย์สิน 5-6 ร้อยล้านบาท แบบคุณหมอชลน่านกับครอบครัว ที่พอจะมีเงินให้ใช้ไปชั่วลูกชั่วหลาน


ประชาชนทั่วไปเขาคาดหวังเรื่องง่ายๆ ขอแค่เปิดกระเป๋ามามีเงินพอซื้อข้าวให้ลูกให้เมีย มีเงินให้ลูกไปโรงเรียน ไม่ต้องกังวลว่าฝุ่น PM 2.5 จะทำให้เขากับลูกป่วยเป็นมะเร็งปอดหรือไม่ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าน้ำมัน แก๊ส ค่าไฟ จู่ๆ จะขึ้น ก็ขึ้นพรวดพราดเสียอย่างนั้น ไม่ต้องมากังวลว่าหมูที่ซื้อจะเป็นหมูเถื่อนหรือเปล่า ขับรถบนท้องถนนไม่ต้องกังวลว่าจะมีตำรวจรีดไถ ตัวเองเดินทางไปทำงาน/ไปเรียน ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลูกหลงวัยรุ่นหรือนักเลงตีกันจนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือไม่ วันๆ ไม่ต้องคอยกังวลกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ว่าจะโทรศัพท์หรือส่งข้อความมาหลอกเอาทรัพย์สินอะไรอีก ทุกๆ กลางเดือน ปลายเดือน ไม่ต้องกังวลว่าทำงานอยู่ดีๆ จะถูกนายจ้างให้ออก เจ็บป่วยขึ้นมาก็พอหาหมอได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายมากนัก

คุณหมอครับ แค่นี้เอง ง่ายๆ สำหรับปัญหาเด็กเกิดน้อย ไม่สามารถแก้ได้ด้วยความเชื่อ ค่านิยมคนรุ่นใหม่ หรือตั้งเป็นวาระแห่งชาติ การรณรงค์ของกระทรวงสาธารณสุข แต่คุณหมอครับ ต้องเริ่มที่พวกคุณหมอ นักการเมือง ตัวดีเลย นายทุน ผู้มีอำนาจทั้งหลายในสังคม ก่อปัญหาต่างๆ ตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือดีเอสไอ ที่แทนที่จะรักษาความยุติธรรม กลับรับเงินรับทองของผู้มีอำนาจหรือคนที่ถูกคดีมาบิดเบือนคดีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม เราต้องไม่ให้ปัญหามันพอกพูนขึ้นในสังคม และต้องให้มันบรรเทาเบาบางลงจนหมดสิ้น

เมื่อใดก็ตามเราทำให้สังคมนี้่ บ้านนี้เมืองนี้ ประเทศนี้ ในสายตาคนรุ่นใหม่มันน่าอยู่ มีงานมีการทำกันทุกคน มีรายได้เข้ามามากพอค่าใช้จ่าย ไม่ใช่สิ้นเดือน ต้นเดือน สิ้นเดือนไม่ชนกัน ต้องไปกู้เงินนอกระบบ หรือเวลาลูกจะเข้าโรงเรียนก็สามารถจะเข้าโรงเรียนที่มีคุณภาพเหมือนกัน ไม่สบาย/เจ็บป่วย สามารถรักษาโรคได้ในโรงพยาบาลที่ไม่จำเป็นต้องรอกัน 8-9 ชั่วโมง และสามารถเข้าไปรักษาโรงพยาบาลเอกชนได้โดยที่ไม่ต้องเปลื้องผ้าขายหรือขายเนื้อขายตัวเพื่อมาจ่ายค่าหมอ ค่าพยาบาล ความยุติธรรมที่ตำรวจไม่ชั่ว ดีเอสไอไม่เลว อัยการซื่อสัตย์ ผู้พิพากษาตรงไปตรงมา ตรงนี้ต่างหาก ตื่้นมาตอนเช้าไม่ต้องมีฝุ่น PM 2.5 ตรงนี้ล่ะครับคุณหมอชลน่าน นี่คือเหตุผลที่จะทำให้ประชาชนเขาหันมาดูว่าชีวิตมีความสุขดี เรามาทำลูกกันดีกว่า เพราะว่าลูกจะได้อยู่ในสังคมที่มันกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ

คุณหมอครับ อย่าก้าวข้าม ก.ไก่ ข.ไข่ แล้วไปจบลงที่ ฮ.นกฮูก แล้วอย่าไปโทษว่าการไม่มีลูกเป็นสังคมที่บิดเบี้ยว ไม่ใช่ สังคมที่บิดเบี้ยวนั้นเกิดจากพรรคพวกคุณหมอเอง พรรคการเมืองทุกพรรค ทุกพรรค โทษนะครับคุณหมอ here เหมือนกันหมด นี่คือปัญหาใหญ่ที่สังคมไทยเขาไม่อยากมีลูกกัน

หมาก "รถญี่ปุ่น" พ่าย "รถ EV จีน"
 
ท่านผู้ชมครับ งานมหกรรมรถยนต์ครั้งที่ 40 หรือที่เรียกว่า Motor Expo 2023 จบลงไปแล้ว วันสุดท้าย คือวันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา มีผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ที่ส่งมาจากงานนี้ คือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์บ้านเราที่รถไฟฟ้า หรือ EV จากประเทศจีน ก้าวขึ้นมามียอดจอง/ยอดขาย ทัดเทียมกับรถยนต์จากญี่ปุ่น แม้ว่ารถยนต์จากญี่ปุ่นยอดนิยม TOYOTA, HONDA ยังสามารถครองอันดับบนๆ ของตารางอยู่ แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าในอันดับ Top 10 ของค่ายที่มียอดจองรถสูงที่สุดนั้น กลับถูกค่ายรถยนต์จีนแย่งตลาดไปครึ่งหนึ่ง คือ 5 อันดับ จาก 10 อันดับ ค่ายรถยนต์จีน ประกอบด้วย BYD, AION, MG, CHANGAN และ GREAT WALL MOTOR


เมื่อผมลองรวมยอดขายของค่ายรถจีนจำนวน 5 ค่าย ที่ติด 10 อันดับแรกที่มียอดจองมากที่สุดในงานนี้ พบว่ารถจองจากค่ายจีนมีสูงถึงกว่า 2 หมื่นคัน เรียกว่าทัดเทียม หรือเหนือกว่าค่ายญี่ปุ่นไปแล้ว

ปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือรถยนต์ที่ค่ายรถยนต์จีนนำมาขายในงานเกือบทั้งหมดเป็นยานยนต์เทคโนโลยีใหม่ หรือรถยนต์ไฟฟ้า ที่เขาเรียกว่า EV ไม่ใช่รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันหรือก๊าซอีกต่อไป


ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ผมสัญญากับท่านผู้ชมว่าจะนำมาบอกเล่าและวิเคราะห์ต่อในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" สัปดาห์นี้

อย่างที่ผมกล่าวไป ก็คือว่า เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กุญแจสำคัญคือกุญแจที่ทำให้รถยนต์ค่ายจีนสามารถก้าวขึ้นมาทาบรัศมีและล้มบัลลังก์แชมป์ยอดขายรถยนต์ญี่ปุ่นได้ในที่สุด คำถามที่น่าสนใจมาก คือ แล้วญี่ปุ่นมีโอกาสไหมที่จะกลับลำ จากเดิมที่เน้นขายแต่รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน แล้วหันมาเพิ่มการจำหน่ายรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ในระยะเวลาอันสั้น ? คำตอบผมบอกว่า ยากมากครับ แล้วทำไมผมถึงพูดอย่างนี้ ?

ทุกวันนี้ที่รถยนต์ไฟฟ้าจีนแซงหน้ารถยุโรป รถญี่ปุ่นได้ เพราะว่าจีนมีเทคโนโลยีและ Supply Chain ของตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องแบตเตอรี ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด ที่จีนมีทั้งทรัพยากรสายการผลิต นวัตกรรมการสร้างแบตเตอรีที่ล้ำหน้าประเทศอื่นๆ ในโลกนี้ทุกประเทศ


ขณะที่รถยนต์สันดาป 1 คัน ต้องใช้อะไหล่นับพันๆ ชิ้น แต่รถยนต์ไฟฟ้ามีแค่องค์ประกอบ 3 หลัก ที่สำคัญคือ แบตเตอรี ไมโครชิป และระบบปฏิบัติการ ซึ่งท่านผู้ชมเชื่อหรือไม่ ทั้งสามอย่างนี้จีนพึ่งพาตัวเองหมดเลย ทำด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งต่างชาติ เฉพาะแบตเตอรีซึ่งเป็นหัวใจของธุรกิจรถ EV แบตเตอรีนี้ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเป็นต้นทุน 30-40 เปอร์เซ็นต์ ของต้นทุนรถ EV ทั้งคัน


แม้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะมีหลายร้อยบริษัท แต่บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรีที่มีคุณภาพสูงนั้น กลับมีจำนวนไม่มาก ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่าผู้ผลิตแบตเตอรีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 10 รายใหญ่ของโลก มี 6 ราย เป็นของจีน บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือบริษัท CATL ผู้ผลิตแบตเตอรีลิเธียมไอออน มีส่วนแบ่งการตลาดในโลกนี้สูงถึง 37 เปอร์เซ็นต์ ในปีที่ผ่านมา ครองอันดับ 1 ของโลก 6 ปีติดต่อกัน ทิ้งห่างอันดับ 2 คือ LG ENERGY SOLUTION ของเกาหลีใต้ มีส่วนแบ่งในตลาดเพียง 14.4 เปอร์เซ็นต์ น้อยกว่าของ CATL ของจีนตั้งไม่รู้กี่เท่าตัว


นอกจากนี้แล้ว บริษัทผู้ผลิตลิเธียมไอออน อันดับ 3 คือ BYD ซึ่งเป็นรถ EV ของจีน พัฒนาแบตเตอรีของตัวเอง มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 11.8 เปอร์เซ็นต์

ด้วยส่วนแบ่งการตลาดของ CATL และ BYD ของจีน รวมกันกว่า 46.6 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้ผลิตรถ EV ในโลก ณ ปัจจุบัน ไม่ว่าจะมีอยู่กี่ร้อยบริษัทก็ตาม ล้วนแล้วแต่จำเป็นต้องพึ่งพาแบตเตอรีจากประเทศจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย

จากรายงานเรื่องอุตสาหกรรมแบตเตอรี EV ขนาดมโหฬารของจีน อเมริกาจะตามทันหรือไม่ จากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลในปีนี้ ยืนยันว่า เมื่อพิจารณากำลังผลิตแบตเตอรีทั่วโลกแล้ว จีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ครองสัดส่วน 70 เปอร์เซ็นต์ อเมริกาผลิตได้แค่ 5.9 เปอร์เซ็นต์ เลยต้องพึ่งพาผู้ผลิตแบตเตอรีจากต่างชาติ แบตเตอรีที่ผลิตโดยประเทศอื่นนั้น สัดส่วนมีอยู่แค่ 24.1 เปอร์เซ็นต์


ปัจจุบันจีนมีกำลังการผลิตแบตเตอรีมากถึง 558 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ขณะที่ปกติแล้วรถ EV 1 คัน จะใช้ขนาดแบตเตอรีแค่ 60 กิโลวัตต์ หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่า จีนมีกำลังผลิตแบตเตอรีสำหรับรองรับรถ EV ได้มากถึง 9.3 ล้านคันต่อ 1 ปี ขณะที่ประเทศที่มีกำลังการผลิตอันดับ 2 คือ อเมริกา มีกำลังผลิตแบตเตอรีได้เพียง 44 ล้านกิโลวัตต์ หรือรองรับการผลิตรถ EV ได้แค่ 7 แสนกว่าคันต่อปี น้อยกว่าจีน 10 เท่า

อเมริกาพยายามจูงใจให้บริษัทต่างๆ มาตั้งฐานการผลิตแบตเตอรีในอเมริกา แต่ว่าการย้ายฐานการผลิตนั้นไม่ง่ายเหมือนอย่างที่คิด

บริษัท Panasonic ผู้ผลิตแบตเตอรีใหญ่อันดับ 4 ของโลก จากญี่ปุ่น เป็นพันธมิตรกับ Tesla ตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรีขนาดใหญ่ที่รัฐเนวาดา อเมริกา แต่ต่อมาพบว่าการผลิตแบตเตอรีนั้น ไม่ใช่แค่นำเข้าวัตถุดิบมาผลิตในโรงงานที่ประเทศไหนก็ได้ เพราะมีกฎเกณฑ์เรื่องความปลอดภัย มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ระบบการผลิต เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังต้องฝึกอบรมพนักงานที่ควบคุมการผลิตแบตเตอรี เพราะว่าถ้ามีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย จะเป็นอันตรายใหญ่หลวง เช่น แบตเตอรีระเบิด ทำให้โรงงานระเบิดด้วย


ด้วยเหตุนี้ Panasonic และ Tesla จึงต้องแบกรับการขาดทุนในการผลิตแบตเตอรีในอเมริกามานานหลายปี เพิ่งจะมีกำไรในธุรกิจเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้บริษัทต่างๆ ตระหนักว่าการผลิตแบตเตอรีใช้ทั้งทรัพยากร นวัตกรรม และเวลามากกว่าที่คาดคิดเอาไว้

ส่วนประเทศจีนนั้น เป็นเจ้าตลาดในการผลิตแบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้า เพราะว่ามีเทคโนโลยีและ Supply Chain ของตัวเอง ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ

เริ่มต้นตั้งแต่การผลิตแบตเตอรีนั้นต้องมีแร่ธาตุ เป็นตัวสร้างประจุพลังงานภายในแบตเตอรี ยกตัวอย่างเช่น ลิเธียม นิกเกิล โคบอลต์ และกราไฟต์ แล้วท่านผู้ชมรู้ไหม ทั้งหมดนี้ จีนเป็นเจ้าของแร่ธาตุเหล่านี้ในสัดส่วน 78-91 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่อเมริกามีแร่ธาตุเหล่านี้น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์


จีนมีกำลังผลิตลิเธียมกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ จากเหมืองแร่ลิเธียมทั่วโลก จากการที่บริษัท เทียนฉีลิเธียม (Tianqu Lithium) ของจีนเข้าไปถือหุ้นใหญ่ในบริษัท Talison Lithium ของออสเตรเลีย แต่แร่อีกชนิดหนึ่งที่ใช้ผลิตแบตเตอรีคือโคบอลต์ จีนเป็นรายใหญ่เช่นกัน เพราะโคบอลต์กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของโลกมาจากเหมืองแร่ในคองโกที่จีนเป็นผู้ถือสัมปทานอยู่

นอกจากนี้ แบตเตอรีส่วนใหญ่ที่ผลิตในอเมริกาและจีนยังใช้แร่ธาตุที่แตกต่างกัน คือในอเมริกานิยมผลิตแบตเตอรีโดยใช้แร่ธาตุ อย่างเช่น แมงกานีส นิกเกิล และโคบอลต์ ซึ่งมีต้นทุนสูง ในจีนนั้นนิยมผลิตแบตเตอรีโดยใช้แร่ธาตุฟอสเฟต และเหล็ก ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่าแบตเตอรีชนิดที่เรียกว่า LFP

ทั้งนี้ แบตเตอรี LFP ของจีนใช้งานได้นานกว่า มีความร้อนน้อยกว่า แต่มีข้อด้อยคือ เมื่อใช้ในรถยนต์จะวิ่งได้ระยะทางน้อยกว่า คือต้องชาร์จไฟบ่อยๆ

ขณะนี้บริษัทต่างๆ ก็เลยเร่งสร้างนวัตกรรมที่จะผลิตแบตเตอรีด้วยการผสมแร่ธาตุต่างๆ ให้ได้แบตเตอรีที่มีประสิทธิภาพสูง ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา วิ่งได้ไกล ชาร์จไฟได้เร็ว และทนทานใช้ได้นาน เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่าแร่ธาตุต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี ไม่ว่าจะเป็นลิเธียม นิกเกิล โคบอลต์ และกราไฟต์ ประเทศจีนนั้นถือเป็นผู้นำทั้งหมด ยึดครองการผลิตตั้งแต่ 44-100 เปอร์เซ็นต์ สัดส่วนสหรัฐฯ ผลิตได้แค่ 2-5 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น


ยิ่งไปกว่านั้น ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์จีนออกประกาศว่า ตั้งแต่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมา จีนได้ควบคุมการส่งออกสำหรับกราไฟต์ เพื่อความมั่นคงของชาติ ผู้ส่งออกกราไฟต์ที่มีคุณภาพสูงจะนำไปผลิตแบตเตอรี จะต้องยื่นขอใบอนุญาตการส่งออกจากจีน และนี่คือการตอบโต้อเมริกาและประเทศทางตะวันตกที่แซงก์ชันจีนในเรื่องไมโครชิป จีนเอาคืนบ้าง

อนึ่ง การจัดหาแร่ธาตุ ข้อจำกัดที่สำคัญในการผลิตแบตเตอรีทั้งจีนและอเมริกาไม่ได้ใช้แร่ธาตุที่ผลิตในประเทศตัวเอง ส่วนใหญ่จะนำเข้าจากออสเตรเลีย คองโก และอินโดนีเซีย ซึ่งจีนได้เข้าไปลงทุนในเหมืองประเทศเหล่านี้มานานแล้ว แต่ว่าอเมริกาพยายามทำเหมืองในประเทศตัวเอง กฎระเบียบ สิ่งแวดล้อมต่างๆ ทำให้เหมืองกว่าจะได้แร่ธาตุนี้ ต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี ถึงแม้อเมริกาจะไปลงทุนในเหมืองที่แอฟริกา อย่างกานา และขนแร่ธาตุมาแปรรูปในอเมริกา แต่การแปรรูปแร่ธาตุไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะอเมริกามีข้อกำหนดเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะว่าผู้คนที่อยู่อาศัยในอเมริกานั้น ไม่ต้องการมีอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษของตัวเอง

แม้ว่าผู้ผลิตแบตเตอรีในอเมริกาจะพยายามหาทางออกด้วยการทำรีไซเคิล คือพยายามแยกธาตุจากแบตเตอรีที่ใช้แล้ว และเศษวัสดุต่างๆ เอากลับมาใช้อีกครั้ง แนวทางที่จะรีไซเคิลแร่ธาตุได้ช่วยสร้างความหวังให้กับอุตสาหกรรมแบตเตอรีในอเมริกา แต่ยังห่างชั้นกับประเทศจีนที่เป็นผู้รีไซเคิลแบตเตอรีรายใหญ่ที่สุดในโลก และยิ่งเป็นไปได้ยากที่จะเปลี่ยนแบตเตอรีให้เพียงพอกับความต้องการของตลาดได้


ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญจึงยอมรับว่า อุตสาหกรรมแบตเตอรีอเมริกาจะไม่มีวันตามจีนได้ทัน เพราะจีนล้ำหน้าอยู่หลายขุม พูดภาษากำลังภายในคือ ล้ำหน้าไปหมื่นลี้ สิ่งที่อเมริกาพอจะทำได้ก็คือการสร้างห่วงโซ่อุปทานให้มีการผลิตในประเทศบางส่วน เพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ และบรรเทาการขาดแคลนแบตเตอรี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างทางพลังงานจากรถยนต์สันดาป สู่รถยนต์พลังงานใหม่

ทั้งหมดที่พูดมานี้เป็นสถานการณ์การต่อสู้ของมหาอำนาจเรื่องรถ EV ในตลาดโลกปัจจุบัน คืออเมริกา และจีน แม้ว่าอเมริกาจะเป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรม ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับจีน ยังไม่ต้องพูดถึงญี่ปุ่นที่ยังไม่ได้เริ่มคิดจะพัฒนาอุตสาหกรรมรถ EV อย่างจริงจัง เพราะคิดแต่เพียงจะผุกขาดรถยนต์และยานยนต์พลังงานใหม่ อย่างเช่นไฮโดรเจน ที่ตัวเองคิด และคิดว่าตัวเองจะผูกขาดต่อไป

แล้วท่านผู้ชมครับ ผมเอาข้อมูลใหม่ให้ทราบสำหรับท่านผู้ชมที่สนใจรถ EV จีนเป็นผู้นำการพัฒนานวัตกรรมแบตเตอรี Quick charge ประเทศจีนไม่เพียงแต่เป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และควบคุมแร่ธาตุต่างๆ ในการผลิตแบตเตอรี ยังก้าวหน้าไปกว่านั้น เพราะจีนไม่ได้หวังว่าตัวเองจะสามารถผลิตสิ่งของต่างๆ ได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่าผู้ผลิตรายอื่นๆ ในโลก แต่รัฐบาลมีการสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ พัฒนาระบบแบตเตอรีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาการชาร์จเร็ว ซึ่งเป็นจุดอ่อนของรถยนต์ไฟฟ้า


เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บริษัทแบตเตอรียักษ์ใหญ่ของโลก CATL ของจีน ผู้ผลิตแบตเตอรีอันดับหนึ่งของโลก เปิดตัวแบตเตอรีแบบชาร์จเร็วพิเศษ ชื่อ เสินสิง ที่แปลว่า เร็วดุจเทพ มีประสิทธิภาพทำให้รถ EV สามารถชาร์จเพียง 10 นาที ก็ขับขี่ไปได้ไกลถึง 400 กิโลเมตร ถ้าชาร์จได้เต็มแบตเตอรี 100 เปอร์เซ็นต์ ก็จะไปได้ไกลถึง 700 กิโลเมตร แบตเตอรีรุ่นนี้ช่วยบรรเทาความกังวลของผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมาก และเปิดศักราชใหม่ของการชาร์จ EV ด้วยความเร็วสูง โดยตั้งเป้าว่าจะเริ่มผลิตจำนวนมากในปลายปีนี้ และเริ่มส่งมอบให้ปีหน้า

แบตเตอรีรุ่นเสินสิง ของ CATL นอกจากชาร์จเร็วและวิ่งได้ไกลแล้ว ยังแก้ปัญหาแบตเตอรีที่ชาร์จไม่เข้า ชาร์จไม่เต็ม ในสภาพอุณหภูมิต่ำ โดยอุณหภูมิห้องแบตเตอรีเสินสิงจะชาร์จได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลา 10 นาที ณ อุณหภูมิต่ำสุด -10 สามารถชาร์จ 80 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเวลา 30 นาที คือพูดง่ายๆ ว่าอุณหภูมิห้อง ชาร์จไว้ที่บ้าน จะชาร์จได้ 80 เปอร์เซ็นต์ ใช้เวลา 10 นาที


ยิ่งไปกว่านั้น CATL ไม่เพียงพัฒนาแบตเตอรีแบบเดิม แบบเดิมคือแบตเตอรีใช้ลิเธียมไอออน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังคิดปฏิวัติวงการด้วยการผลิตแบตเตอรีด้วยเทคโนโลยีใหม่และทรัพยากรที่หาง่ายกว่า นั่นคือแบตเตอรีโซเดียมไอออน

แบตเตอรีโซเดียมไอออน ผลิตจากโซเดียม ซึ่งเป็นธาตุในหมู่เดียวกับลิเธียม แต่มีคุณสมบัติคือสามารถหาได้ทั่วไปบนพื้นโลก โดยไม่ต้องไปหาไกลที่ไหน นั่นคือเกลือแกง สารให้ความเค็มที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง เป็นแร่ธาตุหลักที่อยู่ในน้ำทะเลถึง 80 เปอร์เซ็นต์


ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าจีนเขาใช้เมืองฉางซา มณฑลหูหนาน เป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมแบตเตอรี มีนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่ทำงานเกี่ยวกับความก้าวหน้าของแบตเตอรีปัจจุบัน นครฉางซามีบริษัทชั้นนำด้านวัสดุการกักเก็บพลังงานมากกว่า 100 บริษัท รวมทั้งบริษัทที่ดำเนินการใช้รีไซเคิลแบตเตอรี

บริษัท CATL เดินหน้าพัฒนาโซเดียมไอออนที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อกลางปี 2564 โดยผลิตแพ็กแบตเตอรีแบบไฮบริด มีเซลล์โซเดียมไอออน และเซลล์ลิเธียมไอออน ในแพ็กเดียวกัน

ทั้งหมดที่ผมพูดมานี้ มันเป็นเหตุผลว่าทำไมผมบอกว่า เมื่อรถ EV จีนโค่นรถญี่ปุ่นตกจากบัลลังก์แล้ว เป็นเรื่องยากที่รถญี่ปุ่นจะกลับมาทวงคืนได้ในเร็ววันนี้


สัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสคุยกับหลานสาวของผม คือ ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล หรือ ดร.อ้อย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแบตเตอรีที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย ตอนนี้เธอดำรงตำแหน่งนายกสมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย และหัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน กลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ดร.อ้อย บอกว่า เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มผู้บริโภคชาวไทยในการปรับเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปภายในมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV แล้ว ดร.อ้อย เชื่อว่า เดิมทีที่คาดไว้คืออีก 7-8 ปีข้างหน้า หรือปี ค.ศ. 2030 แต่เธอเชื่อ หลังจากที่ดูเหตุการณ์ต่างๆ แล้วว่า ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงภายใน 3-5 ปี แรงขับเคลื่อนที่สำคัญคือต้นทุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่ต่ำกว่าน้ำมันและก๊าซอย่างชัดเจน คือค่าชาร์จพลังงานไฟฟ้ารถ EV นั้น ถูกกว่าค่าเติมน้ำมันและก๊าซอย่างมาก คือแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ของราคาน้ำมัน ในการใช้จ่าย

เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าท่านผู้ชมใช้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในและเติมน้ำมันสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1,000 บาท เมื่อเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ EV จะเหลือค่าไฟแค่ตกครั้งละ 200 บาทเอง จาก 1,000 บาท เหลือ 200 บาท เดือนๆ หนึ่งท่านผู้ชมประหยัดไป 3,000-4,000 บาท

ถ้าท่านผู้ชมเติมน้ำมันเฉลี่ยสัปดาห์ละ 2,000 บาท เดือนละ 8,000 บาท ค่าไฟที่เสียไปจริงๆ 20 เปอร์เซ็นต์ คือ 1,500-1,600 บาท เดือนๆ หนึ่งท่านผู้ชมประหยัดเงินไป 6,000-6,500 บาท


นี่ยังไม่นับกับค่าบำรุงรักษาเครื่องยนต์ น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก น้ำมันหล่อลื่น ชิ้นส่วนต่างๆ เพราะรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV นั้น ท่านผู้ชมครับ ผมบอกว่ารถ EV แต่ละคันมีชิ้นส่วนประกอบน้อยกว่ารถเครื่องยนต์สันดาปภายในมาก เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าท่านผู้ชมเปลี่ยนมาใช้รถ EV เหมือนมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นทันที แล้วไม่ต้องคำนึงว่าอีก 5 ปี 10 ปี เมื่อขายต่อเป็นรถมือสองแล้วราคาจะตกฮวบอย่างที่บรรดาสาวกค่ายรถญี่ปุ่นขู่เอาไว้ว่าเต็นท์รถมือสองจะไม่รับซื้อรถ EV

ผมถามจริงๆ เถอะครับ คนที่ขู่น่ะ ถ้าเทคโนโลยีพัฒนาไปอีก 5 ปี 10 ปี รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน/เติมก๊าซ ก็ไม่น่าจะมีใครเอามาใช้อย่างจริงจัง ไม่มี ยอดรถเติมน้ำมัน/เติมก๊าซ ก็จะลดฮวบฮาบไปเลย เพราะค่าน้ำมัน ค่าก๊าซมาก นอกจากซื้อขายเป็นรถวินเทจ หรือรถพวกนักสะสม เพราะฉะนั้นแล้ว รถที่เขาบอกว่า รถมือสอง TOYOTA ALTIS, TOYOTA CAMRY, HONDA ACCORD, HONDA CIVIC พอใช้ไป 5 ปี แล้วมาขายต่อ ยังมีราคาอยู่ที่สูงพอสมควร ผมถามว่าอีก 5 ปีข้างหน้า ไม่มีใครเขาใช้แล้วครับ HONDA กับ CAMRY คุณไปขายใคร

ในมุมกลับ ถ้าคุณใชัรถพลังงานสันดาป อีก 5 ปีข้างหน้า คุณเอารถไปขาย ไปเปลี่ยนเป็น EV คุณขายไม่ออกแล้ว เพราะไม่มีตลาดรับซื้อ เพราะเขาซื้อไปแล้วเขาจะไปขายใครต่อล่ะ ไม่มีใครใช้แล้ว ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยัง

ยิ่งไปกว่านั้น รถยนต์จากจีนเข้ามาสู่ประเทศไทย ต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า กำลังรุกเข้ามาตลาดไทยอย่างรุนแรง รวดเร็วมาก ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าในจีนมีบริษัทรถยนต์ผลิต EV ถึง 300 เจ้า แข่งขันกันสูงมากในเชิงเทคโนโลยีใหม่ๆ คุณภาพ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ วิธีการทำตลาด ต้นทุน และการขาย


ท่านผู้ชมครับ รถยนต์ EV ของจีนที่เราเห็นเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยนั้น ต้องถือว่ามีส่วนน้อยมาก จะต้องมีอีกหลายแบรนด์ที่อาจรุกเข้ามาแย่งชิงตลาดรถยนต์เพิ่มเติมอีกในอนาคตอันใกล้นี้

มีท่านผู้ชมถามผมมาว่า ตอนนี้ควรจะซื้อรถ EV เลย หรือจะรอก่อน ? ผมอยากให้คำแนะนำอย่างนี้ครับ คนที่ใช้รถเยอะมากๆ อย่างรถรับจ้างที่วิ่งในเมือง หรือแท็กซี่ แต่วิ่งไม่เกินวันละ 400 กิโลเมตร ควรจะหันมาใช้รถ EV เลย เพราะคุณจะประหยัดค่าน้ำมัน/ค่าก๊าซได้อย่างมหาศาล และควรจะหารถที่ประกันแบตฯ ระยะยาวๆ ด้วย ส่วนรถตู้/รถรับจ้างที่วิ่งไกลๆ เช่น ไปต่างจังหวัด จังหวัดโน้น จังหวัดนี้ ตอนนี้อาจจะยังไม่ค่อยเหมาะ ให้รอหน่อย เพราะโครงสร้างพื้นฐานจุดชาร์จไฟระหว่างจังหวัดมีแพร่หลายน้อย รออีกสักนิดแล้วค่อยซื้อ

ส่วนรถยนต์โดยสาร ใครที่แต่ละวันใช้รถเกิน 30-50 กิโลเมตร หรือขับรถเฉลี่ยปีหนึ่งไม่เกิน 20,000 กิโลเมตร บ้านอยู่บางนา อยู่แถวปทุมธานี ต้องไป-กลับทำงาน รับ-ส่งลูกในเขตกรุงเทพฯ ก็น่าซื้อรถ EV มาใช้ เพราะสามารถประหยัดน้ำมันได้ทันทีเดือนละ 3,000-5,000 บาท แต่คนที่ใช้รถน้อย หรือไม่ได้ใช้ประจำ ขับแค่วันละ 10-20 กิโลเมตร ไม่เกิน 3,000 กิโลเมตรต่อปี หรือ 5,000 กิโลเมตรต่อปี สัปดาห์หนึ่งขับแค่ 2-3 วัน ผมยังแนะนำให้ใช้รถน้ำมันอยู่ เพราะรถไฟฟ้าถ้าใช้งานสม่ำเสมอ มีการชาร์จไฟเข้า-ออก แบตเตอรีจะทนทาน ถ้าไม่ได้ใช้นานๆ แบตเตอรีจะเสื่อมเร็ว

ท่านผู้ชมครับ การปฏิวัติเรื่องยานยนต์ไฟฟ้านั้นไม่ได้ส่งผลต่อการล้มกระดาน หรือ disruption ในแวดวงยานยนต์เพียงอย่างเดียว แต่ยังเชื่อมโยงเข้าสู่เรื่องราวต่างๆ และโอกาสทางธุรกิจอีกมากมาย เช่น การปฏิรูปอุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมน้ำมัน ก๊าซ และปิโตรเลียม เกี่ยวพันประเด็นเรื่องค่าไฟฟ้าที่มีความพยายามจะผลักดันให้มีการขึ้นค่าไฟกันหลายระลอก เกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงและล้มกระดานนโยบายอเมริกาในการบังคับให้ใช้เงินดอลลาร์เพื่อซื้อขายปิโตรเลียม หรือที่เรียกว่า เปโตรดอลลาร์ ที่ผมเคยเล่าให้ฟังมาแล้ว เกี่ยวพันกับอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย และประชาธิปไตยในเรื่องพลังงาน ซึ่งผมเป็นหัวหอกเรียกมาตลอดให้หน่วยงานผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น กฟผ. กฟน. กฟภ. รวมถึงคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กกพ.) ให้หยุดการผูกขาดการผลิตพลังงานได้แล้ว ให้กระจายอำนาจนี้ไปสู่มือประชาชน เช่น นโยบายหักลบกลบหน่วย ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า net metering เสียที เพราะประชาชนที่เขาผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ได้ เขาจะได้ลดค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้า และสามารถใช้ไฟฟ้าคืนเข้าสู่ระบบได้ด้วย นี่ยังไม่นับเรื่องตลาดรถมือสอง เต็นท์รถต่างๆ ที่กำลังจะล่มสลาย เรื่องอู่รถยนต์ต่างๆ ที่เดิมทีรับซ่อมแซมรถยนต์น้ำมัน โอกาสทางธุรกิจของ SMEs หรือชุมชนในต่างจังหวัดสามารถจะรวมตัวกันตั้งปั๊มชาร์จไฟ พร้อมบริการอื่นๆ ระหว่างการชาร์จไฟ ไปจนถึงเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรม EV เพราะปลายทาง EV คือการเชื่อมโยงยานพาหนะเข้ากับระบบการสื่อสารแบบ 6G ที่จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ยานยนต์ที่สามารถจะขับเคลื่อนด้วยตัวเองแบบไร้คนขับ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Autonomous Vehicle ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีบุคลากรรองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ เหล่านี้เลย

ท่านผู้ชมครับ แล้วผมจะทยอยนำเรื่องนี้มาเล่าขยายความให้ท่านผู้ชมฟังในรายการต่อๆ ไป ให้ติดตาม "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เพราะว่าเราพยายามเอาเรื่องความก้าวหน้าของรถยนต์ EV แล้วเราจะเป็นเจ้าเดียวที่จะลงลึกอธิบายให้ฟังได้อย่างสมเหตุสมผลและมีหลักฐานประกอบ อย่างเช่นวันนี้ผมอธิบายให้ฟังว่า ควรจะซื้อรถ EV ตอนนี้ หรือให้รอก่อน ผมมีตัวเลข back up ให้เสร็จ รับรองครับ ความจริงที่มีหนึ่งเดียว ฟังผมแล้วการตัดสินใจในเรื่องการซื้อรถ EV ไม่ผิดพลาดหรอกครับ


ท่านผู้ชมครับ ผมมีเรื่องอยากทิ้งท้ายไว้สักนิดหนึ่ง คือเรื่องยอดจองรถยนต์ในงาน Motor Expo เพิ่งจบไปเมื่อวันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม ที่ผ่านมา ท่านผู้ชมจะเห็นได้ว่ารถญี่ปุ่นขาใหญ่อย่าง TOYOTA กับ HONDA ทำยอดแซงรถจากจีนมาได้ช่วงวันท้ายๆ แบบปรู๊ดปร๊าดเลย มีคนวงในให้ข้อมูลผมว่า จากแนวโน้มยอดจองช่วงวันแรกๆ ที่รถไฟฟ้าจีนมาแรงมาก ค่ายญี่ปุ่นรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ยอมไม่ได้ที่จะเสียตำแหน่งแชมป์รถขายดีในงานแสดงรถยนต์ใหญ่อย่าง Motor Expo หรือ Motor Show เพราะเสียชื่อมาก เพราะตัวเองชนะมาทุกปี

ด้วยเหตุนี้ในช่วงวันหลังๆ ค่ายรถญี่ปุ่นที่เพลี่ยงพล้ำได้ออกแคมเปญ ผ่อน 9 ปี 108 เดือน เลือกบางรุ่นในบางตลาด เพื่อมากระตุ้นยอดขาย เพราะลดราคาก็ไม่ได้ คือพูดง่ายๆ ว่าขายของเลหลัง ใช้วิธีจูงใจลูกค้าผ่อนยาวๆ แทน ท่านผู้ชมตามผมมา ตั้งใจฟังแล้วคำนวณให้ดีๆ


ท่านผู้ชมผ่อนรถ 9 ปี 108 เดือน มันเป็นอะไรที่คิดสั้นมาก สำหรับทั้งค่ายรถยนต์และคนซื้อ จริงๆ แล้วแค่ 5-6 ปี ก็ถือว่าแย่แล้ว แต่ผ่อนตั้ง 9 ปี นี่มันเกือบๆ ผ่อนบ้านแล้วนะท่านผู้ชม

การออกแคมเปญผ่อน 9 ปี แสดงว่าค่ายรถญี่ปุ่นต้องการจะขายผ้าเอาหน้ารอด เทกระจาดรถน้ำมันแน่ๆ และเพราะอย่างที่ผมว่าไป รถเป็นอะไรที่เสื่อมค่าเร็วมาก ตามหลักกฎหมาย ค่าเสื่อมรถยนต์และเครื่องจักรอยู่ที่ 5 ปี สูงสุดไม่เกิน 10 ปี ดังนั้น เมื่อเลยไปถึงปีที่ 5 แล้ว ก็แทบจะไม่มีเหลือมูลค่าอะไรเลย แต่ผมเคยเตือนแล้วใช่ไหมท่านผู้ชม ว่าภายในแค่ 3 ปีนี้ รถไฟฟ้าจะวิ่งเต็มถนน รถยนต์สันดาปภายในที่ใช้เครื่องยนต์ ตลาดมือสอง ก็จะเจ๊งกันเป็นระนาว เพราะซื้อมาไม่คุ้มค่าน้ำมัน เติมก๊าซ หรือค่าบำรุงรักษา แล้วค่ายญี่ปุ่นที่มาโม้ว่า ซื้อรถ EV แล้ว พอจะขายต่อมือสอง ไม่มีตลาดรองรับ หรือว่าราคาจะตกไปมากๆ สู้รถสันดาปไม่ได้

แล้วรถสันดาปถ้าท่านผู้ชมผ่อนไป 9 ปี ท่านผู้ชมคิดว่าพอท่านผู้ชมจะขายทิ้ง มันยังจะมีรถสันดาปมือสองเหลืออยู่ในประเทศไทยอีกเหรอ ไม่มีแล้ว ท่านผู้ชมคงต้องเก็บรถคันนั้นเอาไว้ปลูกสะระแหน่ ปลูกผัก

สึนามิของรถ EV ไฟฟ้า จะมาทำลายรถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิล จะมาเร็วมากและถล่มเร็วมาก ให้จำคำพูดผมเอาไว้ คนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะค่ายญี่ปุ่น ยุโรป ไม่ว่าจะเป็นดีลเลอร์ ซัปพลายเออร์ ผู้ผลิตอะไหล่ รวมทั้งร้านซ่อมบำรุง ช่างซ่อม ถ้าไม่รีบปรับตัวจะประสบความยากลำบากอย่างยิ่ง ถึงขั้นเจ๊งไปเลยอย่างแน่นอน

ท่านผู้ชมครับ หลายๆ ค่ายยอดขายตกมาก หลายค่าย ผมไม่อยากเอ่ยชื่อ ยอดหายไป 50 เปอร์เซ็นต์ จากการขาย

สหรัฐฯ มือถือสากปากถือศีล

ท่านผู้ชมครับ ข่าวชิ้นนี้มันสะเทือนใจผมมาก สะเทือนใจและมันตอกย้ำความคิดของผมมาตั้งนานแล้ว ว่าประเทศสหรัฐอเมริกามันโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่มีความเป็นมนุษยธรรมอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว สำหรับท่านผู้ชมที่ลุ่มหลง หลงใหล และคลั่งไคล้สหรัฐอเมริกา ตั้งใจฟังข่าวชิ้นนี้ให้ดีๆ


เมื่อเร็วๆ นี้ วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2566 นายอังตอนียู กูแตรึช เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ใช้สิทธิพิเศษมาตรา 99 ตามกฎระเบียบสหประชาชาติ เรียกประชุมฉุกเฉินสมาชิกสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อพิจารณาร่างมติที่เสนอโดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ให้มีการหยุดยิงในพื้นที่กาซา หลังจากมีการต่อสู้ระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ทำให้ชาวปาเลสไตน์ส่วนใหญ่เสียชีวิตไปร่วม 18,000 คน บาดเจ็บอีกกว่า 50,000 คน

ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ 18,000 คน ที่เสียชีวิตไปนั้นส่วนใหญ่จะเป็นชาวปาเลสไตน์ที่ไม่มีทางต่อสู้ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะถูกอิสราเอลใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดทำลายโรงพยาบาล ทิ้งระเบิดทำลายค่ายผู้ลี้ภัย แล้วที่ตายส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก คนแก่ และผู้หญิง


ปัจจุบันสมาชิกสภาความมั่นคงอเมริกามี 15 ประเทศ มีสมาชิกถาวร 5 ประเทศ มีจีน ฝรั่งเศส รัสเซีย อังกฤษ และ อเมริกา สมาชิกหมุนเวียน 10 ประเทศ คือ แอลเบเนีย บราซิล เอกวาดอร์ กาบอง กานา ญี่ปุ่น มอลตา โมซัมบิก สวิตเซอร์แลนด์ และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์


ท่านผู้ชมรู้ไหม ผลการลงมติ ชาติสมาชิกทั้งหมด 13 ประเทศ ยกมือให้เพื่อเปิดทางมนุษยธรรม ยกเว้น 2 ประเทศ คือ อังกฤษ อับอายขายหน้ามาก แต่ไม่กล้าขวางอเมริกา งดออกเสียง ก็สรุปง่ายๆ ว่าคนที่คัดค้าน มีสิทธิ์วีโต้ด้วย คืออเมริกา เพราะอเมริกาเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงฯ สามารถใช้สิทธิ์วีโต้ได้


ท่านผู้ชมครับ ผมฟังเรื่องนี้แล้วผมทุเรศมาก อเมริกาใช้สิทธิ์วีโต้เพื่อคว่ำมติสหประชาชาติที่เรียกร้องหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมในสงครามระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ขณะเดียวกัน แค่ข้ามวันนั้นไป อเมริกาอนุมัติฉุกเฉินให้ขายกระสุน 14,000 นัด ให้กับอิสราเอลที่ใช้ในรถถัง อเมริกาแก้ตัวอ้างว่าถ้าหยุดยิงแล้ว เป็นการเปิดโอกาสให้ฮามาสควบคุมฉนวนกาซา เขาบอกว่าวอชิงตันอยากเห็นสันติภาพที่ยั่งยืนบนพื้นฐานทางออก 2 รัฐคู่ขนาน แต่อ้างว่าฮามาสไม่ปรารถนาในหนทางนั้น ไม่ใช่ ต้องการให้มี 2 รัฐ แต่อเมริกาขายอาวุธ ส่งอาวุธ ส่งเงินส่งทองไปช่วยอิสราเอลตลอดเวลาไม่หยุด ยังหน้าด้านพูดว่าอเมริกาสนับสนุนในความพยายามยุติความขัดแย้งโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และช่วยอำนวยความสะดวกในการป้อนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมดเพิ่มเติมเข้าไปในฉนวนกาซา แต่ในที่ประชุมพอยกมือ ตัวแทนสหรัฐอเมริกา นายโรเบิร์ต วูด ประจำสหประชาชาติ กลับลงมติขวางสันติภาพเสียอย่างนั้น

จากการสนับสนุนออกนอกหน้าของสหรัฐฯ และอังกฤษ ทำให้นายกิลาด เออร์ดาน ทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ แสดงความยินดีที่มตินี้ตกไป โดยกล่าวหาเลขาธิการสหประชาชาติว่าบิดเบือนศีลธรรม แสดงว่านายกูแตรึช มีอคติต่ออิสราเอล เรียกร้องให้นายกูแตรึช ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ

ทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติคนนี้ คือคนที่เปิดคลิปวิดีโอสะเทือนใจกลางที่ประชุมสมัชชาใหญ่ เป็นภาพที่อ้างว่ากลุ่มฮามาสพยายามตัดศีรษะแรงงานไทยขณะที่บุกโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม


นอกจากนั้นแล้ว นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ก็ยังชื่นชมอย่างหน้าไม่อายถึงการแสดงจุดยืนที่ถูกต้องของสหรัฐฯ จริงๆ แล้วสหรัฐฯ อ้างข้างๆ คูๆ เขาไม่ให้ค่ากับสหประชาชาติเลย โดยอ้างว่าผลการหยุดยิงจะให้ประโยชน์กับฮามาสเพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้คิดถึงประชาชนชาวปาเลสไตน์ที่ถูกกลุ่มอิสราเอลและทหารอิสราเอลทำร้าย ทำลาย เข่นฆ่าด้วยการทิ้งระเบิด ยิงด้วยปืนรถถัง หลายโรงพยาบาลต้องพังพินาศฉิบหาย คนต้องตายเป็นเบือ

สิ่งที่อเมริกาต้องการคือ หนึ่ง ต้องการให้มีการประณามการโจมตี การก่อการร้ายเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ของฮามาส ต้องการอ้างอิงว่าอิสราเอลมีสิทธิ์ในการป้องกันตัวเอง อเมริกาสนับสนุนการพักรบเพื่อปกป้องพลเรือน เปิดทางปล่อยตัวประกันที่ถูกฮามาสจับตัวไป แค่นั้นเอง อเมริกาอยากใช้การทูตของตัวเองแทนความเคลื่อนไหวของสหประชาชาติเพื่อช่วยเหลือตัวประกันเพิ่มเติม และกดดันอิสราเอลให้ปกป้องชีวิตพลเรือน

แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า นานาชาติไม่เชื่อว่าอเมริกาจะกดดันอิสราเอลได้ ในข้อเท็จจริงอิสราเอลนั้นมีอิทธิพลเหนืออเมริกา เพราะว่าคนอเมริกันเชื้อสายยิวที่อยู่ในอเมริกานั้น ที่มีอำนาจ มีเงินมีทอง เจ้าของธุรกิจ รวมทั้งอยู่ในแวดวงทางการเมืองของอเมริกานั้น คือผู้ที่ปกครองอเมริกาอย่างแท้จริง อเมริกาไม่อยู่ในสถานภาพของความเป็นคนกลาง เพราะอเมริกายืนข้างอิสราเอลอย่างเต็มตัว


ท่านผู้ชมครับ ทำความเข้าใจกันใหม่นะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เชียร์อิสราเอลในประเทศไทย การปล่อยตัวประกันที่เกิดขึ้น เป็นผลงานของชาติอาหรับ อย่างกาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน ไม่ใช่อเมริกาครับ

อเมริกาได้เปิดเผยธาตุแท้ตัวตนที่แท้จริงให้โลกเห็น ว่าประเทศที่อ้างว่าเป็นชาติที่เคารพในสิทธิมนุษยชน ท่านผู้ชมจำได้ไหม องค์กรสิทธิมนุษยชนที่อเมริกาใช้เป็นเครื่องมือ เที่ยวไปโจมตีมณฑลซินเจียงของจีน หรือเข้ามายุ่งในเรื่องของประเทศไทยและหลายประเทศ ทำตามนโยบายอเมริกาที่อ้างว่าชาติตัวเองเคารพสิทธิมนุษยชน พิทักษ์สันติภาพ แต่เมื่อเหตุเกิดกับอิสราเอลและฮามาส ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจเบื้องหลังการเมืองในวอชิงตัน อเมริกาแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนอิสราเอลอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ไม่มีข้อจำกัด ละทิ้งศีลธรรมไปหมดเลย

นับตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ปะทุขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน อเมริกาได้ขวางมติของสหประชาชาติที่ให้การสนับสนุนประเทศต่างๆ ทั่วโลกไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งกลางเดือนพฤศจิกายน 2566 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเห็นชอบในมติหนึ่งที่เรียกร้องให้หยุดพักความเป็นปรปักษ์เพื่อมนุษยธรรม ซึ่งได้รับเสียงสนับสนุน 12 เสียง รัสเซีย สหรัฐฯ และ อังกฤษ งดออกเสียง มติที่เรียกร้องให้หยุดพักความเป็นปรปักษ์เพื่อมนุษยธรรมได้นำไปสู่การหยุดยิงชั่วคราวเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ซึ่งแรงงานไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกันได้รับการปล่อยตัวมาหลายคน แต่พอครบกำหนด 7 วัน อิสราเอลก็เดินหน้าถล่มพื้นที่กาซาอย่างหนัก

ท่านผู้ชมครับ สหประชาชาติมีความพยายามอีกครั้งที่จะให้มีการหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมในทันที และปล่อยตัวประกันที่ถูกจับตัวไปอย่างไม่มีเงื่อนไขโดยทันที แต่อเมริกานั้นวีโต้มตินี้ บัดซบไหมครับ นี่คือเนื้อแท้ของอเมริกา

ท่านผู้ชมครับ ผมใช้เวลาในอเมริกามา 9 ปี เรียนหนังสือ ทั้งปริญญาตรี-ปริญญาโท และทำงาน แต่ผมเห็นว่าอเมริกาเป็นประเทศที่ชั่วช้ามาก ผมไม่ได้หลงไปกับอเมริกาเลยครับ


แล้วในที่สุด หลังจากมตินี้ออก ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าสหรัฐฯ ถูกรุมประณาม นายจาง จุน เอกอัครราชทูตจีนประจำสหประชาชาติ แถลงว่า การที่อเมริกาคัดค้านมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เป็นพฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอก มือถือสากปากถือศีล

ทูตจีนบอกว่า รู้สึกผิดหวัง เสียใจอย่างมาก ที่อเมริกาขัดขวางมติดังกล่าว คำแก้ตัวของอเมริกาเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะสหรัฐฯ ลงมติเปิดทางให้เดินหน้าสู้รบต่อไป ขณะเดียวกัน ก็อ้างว่ามีความห่วงใยต่อชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนในกาซา ให้ความสำคัญกับมนุษยธรรม นี่เป็นพฤติกรรมที่ย้อนแย้งในตัวเอง

ส่วนนายไอย์มาน ซาฟาดี (Ayman Safadi) รัฐมนตรีต่างประเทศจอร์แดน บอกว่า การที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ล้มเหลวในการเห็นชอบร่างมติ เท่ากับเป็นการมอบใบอนุญาตให้อิสราเอลในการเดินหน้าสังหาร ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในกาซาต่อไป


ประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป เอร์โดอาน แห่งตุรกี วิพากษ์วิจารณ์มติมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างรุนแรงว่า องค์กรนี้กลายเป็นผู้ปกป้องอิสราเอลไปแล้ว เรียกร้องให้มีการปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เอร์โดอาน บอกว่า โลกมีขอบเขตใหญ่โตมากกว่า 5 ชาติ สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อันประกอบด้วย จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักร และอเมริกา ซึ่งมีสิทธิ์วีโต้มติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

ทั้งหมดนี้ มาดูความหน้าไหว้หลังหลอกของอเมริกา ในเวลาที่ใกล้เคียงกับที่ทูตสหรัฐฯ ลงมติยับยั้งมติหยุดยิงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กระทรวงการต่างประเทศอเมริกาได้แจ้งต่อสภาคองเกรสในวันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2566 ว่าได้ขายกระสุน อาวุธปืนรถถัง 120 มม. อานุภาพสูง ถึง 13,900 ถึงเกือบ 14,000 นัด อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องอีก


ท่านผู้ชมครับ กระสุนรถถังที่ขายให้อิสราเอลจะมาจากคลังแสงของอเมริกา อิสราเอลจะใช้ในการป้องปรามภัยต่างๆ ในภูมิภาค ไม่ใช่หรอกครับ ในข้อเท็จจริงอิสราเอลจะใช้ในการทำลายล้าง ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์

ท่านผู้ชมครับ แม้กระทั่งศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ยังใบ้กิน ดูดายอิสราเอลเข่นฆ่าปาเลสไตน์ นอกจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติแล้ว ที่กลายเป็นเสือกระดาษ ไม่สามารถพิทักษ์สันติภาพได้ตามปณิธานของการก่อตั้งองค์กรแล้ว อีกหน่วยงานหนึ่งเผยธาตุแท้จากการนิ่งดูดาย ปล่อยให้อิสราเอลเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์ คือ ศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC


สัปดาห์แรกหลังจากเกิดสงครามอิสราเอลและปาเลสไตน์ นายคาริม ข่าน อัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ สัญชาติอังกฤษ ออกแถลงเตือนอิสราเอลว่า การขัดขวางการส่งความช่วยเหลือเข้าไปยังพื้นที่กาซาอาจจะเป็นอาชญากรรมตามรัฐธรรมนูญกรุงโรม ว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่หลังจากนั้น ในวันที่ 29 ตุลาคม เขาเดินทางไปยังพรมแดนระหว่างอียิปต์-กาซา เขาแถลงต่อผู้สื่อข่าว โดยเนื้อหาส่วนใหญ่กลับไปเน้นที่การโจมตีของกลุ่มฮามาสในวันที่ 7 ตุลาคม ทั้งที่ยังไม่มีการสืบสวนที่เป็นอิสระ ว่า สิ่งที่ว่ากันว่าเป็นการโจมตีของฮามาสเป็นชนวนศึกครั้งนี้นั้น เป็นเรื่องจริงหรือว่าเป็นแค่ตอบโต้ต่อการเข้าครอบครองดินแดนอย่างผิดกฎหมาย และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ของอิสราเอล ที่ดำเนินมานานกว่า 70 ปี

ท่านผู้ชมครับ เรามามองย้อนหลังศาลนี้หน่อย ย้อนหลังไป 2 ปี เกือบ 3 ปี มีนาคม 2564 ICC ศาลอาญาระหว่างประเทศ เริ่มต้นสอบสวนเป็นทางการเกี่ยวกับอาชญากรรมทางสงครามในปาเลสไตน์โดยฝ่ายอิสราเอล โดยประกาศว่าจะไม่ให้ความร่วมมือกับ ICC ไม่ยอมรับเขตอำนาจศาล ICC ให้รัฐอิสราเอล ยังเรียกร้องให้ ICC สืบสวนการทำผิดของกลุ่มฮามาส ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าผ่านมาสองปีกว่าการสอบสวนของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เรื่องการกระทำอาชญากรรมของอิสราเอลไม่มีความคืบหน้าเลย แตกต่างจากการออกหมายจับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กรณีสงครามยูเครน ศาลฯ นี้ใช้เวลาพิจารณา 4 วัน เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่า ศาลนี้อยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของตะวันตก พอใจจะออกหมายจับใคร ไม่พอใจจะออกสืบสวนใคร ก็ทำตามบัญชาตะวันตก


ในช่วงเวลากว่าสองเดือน อิสราเอลโจมตีกาซา จำนวนผู้เสียชีวิตชาวปาเลสไตน์ โดยเฉพาะที่เป็นเด็ก มีมากกว่าอิสราเอลมากถึง 6 เท่าตัว ระเบิดที่อิสราเอลใช้ถล่มกาซา เพียงแค่ไม่ถึงเดือน ระหว่างวันที่ 7 ตุลาคม ถึง 2 พฤศจิกายน มีจำนวนมากกว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่สหรัฐฯ ใช้ถล่มเมืองฮิโรชิมาในสงครามโลกครั้งที่สอง อิสราเอลไม่แยแสกับเรื่องมนุษยธรรม ปิดกั้นการส่งอาหาร เวชภัณฑ์ เชื้อเพลิง ตัดน้ำตัดไฟในพื้นที่กาซา คนเสียชีวิตเกือบ 20,000 คน บาดเจ็บกว่า 30,000 คน คนเกือบๆ 2 ล้านคน พลัดพรากจากบ้านเมืองของตัวเอง


ท่านผู้ชมครับ สงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ระลอกล่าสุดนี้ทำให้โลกได้เห็นธาตุแท้ของอเมริกา และบรรดาองค์กรโลกบาลทั้งหลาย เช่น ICC อวดอ้างตัวเองว่าเคารพสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ แต่แท้ที่จริงแล้วไอ้พวกนี้คือพวกมือถือสากปากถือศีลเท่านั้นจริงๆ

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้ก็สิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ เรากำลังหาทางออกเพื่อสร้างแพลตฟอร์มของเราเอง โดยขยายจาก Sondhi App ออกมา แล้วเรากำลังโคลนทุกอย่างให้เหมือนเฟซบุ๊ก เราจะมีแอปฯ ของเรา โดยที่มีอยู่แล้วคือ Sondhi App แต่จะขยายตัว ตกแต่งใหม่ ทำใหม่ ท่านผู้ชมดูแล้วจะไม่จืดชืด สามารถ cast ขึ้นทีวีได้ ดูผ่านทีวีได้เลย หรือว่าท่านลงแอปฯ นี้ไป ท่านใช้โน้ตบุ๊กก็เคาะเข้าไป ท่านก็เข้ามา เต็มจอเหมือนทุกอย่างที่ท่านดูอยู่ในเฟซบุ๊ก แต่ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ให้อิสระเสรีภาพในการพูดจาของพวกผม เอาเรื่องที่เขาห้ามไม่ให้พูดมาพูดให้ท่านผู้ชมฟัง เอาเรื่องที่เขาจะบล็อก หรือเขาจะเตือน มาพูด แอปฯ นี้จะเป็นแอปฯ ที่มีความจริงเพียงหนึ่งเดียว และไม่ต้องเสียเงิน อย่าลืมนะครับท่านผู้ชม เราจะเริ่มไม่เก็บเงินแล้ว จากวันนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องสมัครมาแล้ว ท่านผู้ชมที่เคยสมัครแอปฯ เอาไว้แล้ว อายุยังไม่หมด แจ้งมาทาง inbox เราจะคืนเงินให้ทุกคนครับ สวัสดีครับ แล้วพบกันใหม่อาทิตย์หน้า
กำลังโหลดความคิดเห็น