xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : “แป้ง นาโหนด” สะท้อนยุติธรรมบิดเบี้ยว - พม่าใกล้แตก! สะท้านไทย สะเทือนไทย - “อินเดีย” ทาบรัศมี “จีน” มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่? - ”ทรัมป์โคลนนิง“ ผงาดกระแสขวาจัด ครองการเมืองโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 1 ธ.ค.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ได้แก่

- “แป้ง นาโหนด”สะท้อนยุติธรรมบิดเบี้ยว
- พม่าใกล้แตก! สะท้านไทย สะเทือนไทย
- “อินเดีย” ทาบรัศมี “จีน” มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่?
- “ทรัมป์โคลนนิง” ผงาดกระแสขวาจัด ครองการเมืองโลก

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.217



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 218 [1 พ.ย. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK

แอปพลิเคชัน :SONDHI APP

ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.

ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android

เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ

YouTube :Sondhitalk

เว็บไซต์:www.sondhitalk.com

Podcast หรือ podbean :SONDHI TALK


สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2566 เป็นวันแรกของเดือนสุดท้ายของปีนี้ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ท่านผู้ชมที่เข้ามาชมตอนนี้ ต้องขอร้องให้ช่วยกันกดไลก์ กดแชร์ และถ้าเป็น YouTube ให้ Subscribe ถ้าเป็นเฟซบุ๊กให้ Follow แล้วกดกระดิ่งด้วย ทั้งหมดนี้ที่ขอให้ทำเพราะว่าจะกระจายข่าวสารออกไปในวงกว้างที่สุด เพราะว่าตอนนี้แพลตฟอร์มเหล่านี้มีการลดการเข้าถึงเป็นจำนวนมาก เพราะต้องการที่จะให้คนที่เคยมีคนเข้ามาชมเยอะๆ จ่ายเงินจ่ายทองให้เขาเพื่อจะ boost แต่ถ้ามียอดไลก์มากขึ้น เขาก็จะไม่ปิดกั้นในเรื่องการมองเห็น

รายการวันนี้มีอยู่หลายเรื่อง วันนี้เปิดรายการอาจจะยาวสักนิด แต่เป็นความยาวที่มีสาระหมดทุกเรื่องให้ทุกท่านได้รับทราบ อย่าพลาดนะครับ ตั้งใจฟังดีๆ

เรื่องแรก ผมจะพูดถึงเรื่อง "แป้ง นาโหนด" เป็นเรื่องเก่าแล้ว แต่ผมมีมิติว่าเรื่องแป้ง นาโหนด มันสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยวไปหมด และผมก็ไม่รู้ว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไรถ้ายังไม่มีใครลงมาจัดการกับระบบกระบวนการยุติธรรมให้ดี

เรื่องที่สอง ท่านผู้ชมคงได้ข่าวเรื่องพม่า ตอนนี้พม่าเสี่ยงแตกเข้าสู่ยุคสามก๊ก สะท้านไทย สะเทือนโลก แต่มันมีเบื้องหลังอยู่เยอะมากที่ลึกที่สุด หลายๆ สื่อมวลชนอาจจะเคยลงข่าว ซึ่งทางฝรั่งไปทำมา แล้วก็มาแปลเป็นไทย แต่ที่นี่เราเข้าไปเจาะลึกด้วยตัวเราเอง ทำให้เราสามารถอธิบายให้ได้อย่างชัดเจนว่าทำไมพม่าถึงเป็นเช่นนี้ และอาจจะถึงขั้นต้องฟันธงด้วยว่า มิน อ่อง หล่าย อาจจะหมดอำนาจ อาจจะโดนปฏิวัติอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคนที่ปฏิวัติก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือบรรดาชนกลุ่มน้อยนั่นเอง

เรื่องที่สาม กระแสขวาจัดกำลังครองการเมืองโลก หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ผงาดขึ้นมา ตอนนี้กระแสขวาจัดคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งที่อาร์เจนตินา โดยผู้นำที่ชื่อนายบิลเลต์ ลักษณะจะเป็นผู้ที่ค่อนข้างจะเพี้ยนเอามากๆ แล้วก็ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ สองประเทศนี้จะเป็นจุดประสงค์อันใหญ่ที่ทำให้เรามองเห็นได้ว่าโอกาสที่ขวาจัดจะเริ่มกลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้งหนึ่งนั้น ค่อนข้างจะสูง

เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องที่ผมเคยพูดมาแล้วครั้งหนึ่ง จริงหรือเปล่าที่เขาว่าอินเดียกำลังขึ้นมาทาบรัศมีจีน จะกลายเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ เดี๋ยวค่อยตามมาดู

แต่ก่อนอื่น ท่านผู้ชมครับ เอาเรื่องคดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จะมีคำพิพากษาวันที่ 18 ธันวาคมนี้ เรื่องกรณีบุกสนามบินที่พวกเราถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย


เมื่อวันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2566 คุณอัจฉรา แสงขาว ทนายของแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรฯ ได้ยื่นคำแถลงการณ์เพื่อปิดคดีของผมในเหตุการณ์การชุมนุมที่ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อปี 2551 แม้คำแถลงของผมจะยาวถึง 26 หน้า แต่ผมจะสรุปสาระสำคัญที่สุดของคดีนี้ 4 ประเด็นสั้นๆ ในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่สำคัญ

ข้อแรก พันธมิตรฯ ประชุมโดยอาศัยสิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 69 ในการต่อต้านการได้อำนาจรัฐโดยการโกงการเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชน ซึ่งมันก็เป็นพรรคของคุณทักษิณ ชินวัตร และเราได้ทำหน้าที่ปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 70 และ 71 เพื่อต่อต้านพรรคพลังประชาชนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 และ 237 เพื่อล้างความผิดคดีทุจริตคอร์รัปชัน และทุจริตเลือกตั้งทั้งหมด ประเด็นนี้เป็นข้อกฎหมายอย่างชัดเจน


ข้อที่สอง พันธมิตรฯ ใช้สิทธิและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการชุมนุมสาธารณะ ซึ่งเป็นเสรีภาพที่กำหนดไว้ในมาตรา 63 ซึ่งหากจะมีการจำกัดขอบเขตเสรีภาพในการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ หรือการลงโทษผู้ชุมนุมนั้น รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีกฎหมายเฉพาะกาลชุมนุมสาธารณะเท่านั้น นั่นก็คือว่า ตามมาตรา 63 แล้ว จะต้องมีพระราชบัญญัติกฎหมายออกมาพูดถึงว่าการชุมนุมที่รัฐบาลอนุญาตนั้น จะเป็นอย่างไร อะไรบ้างที่ชุมนุมได้ อะไรบ้างที่ชุมนุมไม่ได้ แต่ขณะนั้น ปี 2551 ยังไม่มีกฎหมายชุมนุมสาธารณะ ก็เลยอาศัยกฎหมายฉบับอื่นมาลงโทษผู้ที่ชุมนุมโดยปราศจากอาวุธไม่ได้ ประเด็นนี้เป็นข้อกฎหมายเช่นกัน

ข้อที่สาม พื้นที่ที่ชุมนุม ทั้งที่ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นพื้นที่สาธารณะ เหมือนกับชานชาลาสถานีรถไฟที่หัวลำโพง พื้นที่สาธารณะ ใครก็เข้าไปได้ และการชุมนุมนั้นไม่ได้กระทบการบินเลย ซึ่งเรามีทั้งพยานโจทก์และพยานจำเลยที่มีความเห็นตรงกันว่าเป็นพื้นที่สาธารณะ แถมก่อนพันธมิตรฯ จะไปชุมนุม ยังมีการชุมนุมทั้งก่อนและหลังพันธมิตรฯ ตั้ง 5 ครั้ง ซึ่งก็ไม่เคยมีการปิดสนามบินมาก่อน พิสูจน์ได้ชัดเจน นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการบินทั้งที่สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างที่อ้างว่าปิดสนามบินแล้ว ยังมีการบินอยู่เลยช่วงที่มีการชุมนุม ซึ่งความจริงแล้วเป็นพื้นที่สาธารณะ แล้วไม่ได้ทำให้ความสามารถในการบินด้อยค่าลง หรือว่าไม่สามารถจะบินได้ เพราะว่ามีหลักฐานเชิงประจักษ์ รวมทั้งหลักฐานที่ยืนยันจากเจ้าหน้าที่ของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ว่า ไม่มีอะไรเสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว


ข้อที่สี่ ข้อนี้สำคัญมากๆ การประกาศข้อกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินในการห้ามชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ ตามกฎหมาย เมื่อประกาศแล้วนายกรัฐมนตรีจะต้องลงนามหลังประกาศข้อกำหนดดังกล่าวภายใน 48 ชั่วโมง ต้องลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ปรากฏว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มิได้มีการลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาจริง


ท่านผู้ชมครับ นี่คือ 4 ข้อหลัก ทั้งหมดเป็นข้อกฎหมาย เพราะฉะนั้นแล้ว ใครจะตั้งธงอะไรก็ตาม ยากที่จะปฏิเสธข้อกฎหมายนี้ ผมเชื่อว่าคดีนี้จะต้องต่อสู้จนถึงศาลฎีกา และแน่นอนที่สุด ถึงศาลฎีกาแล้ว เราจะยื่นฎีกาในเรื่องของข้อกฎหมาย ในเรื่องข้อเท็จจริงเราไม่จำเป็นต้องยื่น

ท่านผู้ชมครับ กลับมาเรื่องพระนิดหนึ่ง วันที่ 5 ธันวาคม วันประสูติของรัชกาลที่ ๙ จะมีพิธีพุทธาภิเษา "พระสยามพุทธาธิราช" ณ อุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรวิหาร ท่านผู้ชมครับ งานนี้เป็นงานใหญ่มาก มีพ่อแม่ครูอาจารย์มาจากทั่วสารทิศ ขออนุญาตนะครับ เสียเวลานิดหนึ่ง แต่ท่านผู้ชมฟังรายชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์แล้ว ท่านผู้ชมจะทึ่ง

ภาคเหนือเรามีหลวงพ่อสมชาติ อภิชาโต วัดป่าวังศิลา จังหวัดเชียงราย พระครูสุวีรธรรมนานุยุต หลวงปู่อินสม สุวีโร วัดป่าธรรมสันติ ตำบลน้ำแพร่พัฒนา อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พระครูจันทศีลคุณ หลวงปู่บุญจันทร์ วัดป่ากิ่วดู่ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนภาคใต้เรามีพระราชวิสุทธิกวี เจ้าคณะภาค 16 ธรรมยุต วัดพระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช และมีพระครูพุทธเจติยาภิมณฑ์ พระอาจารย์แว่น ท่านคือเจ้าอาวาสวัดเจดีย์ไอ้ไข่ อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ท่านมาด้วยตนเองครับ


ส่วนภาคตะวันออกเรามีพระอาจารย์ชิน ปริปุณโณ วัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นลูกศิษย์เอกของพ่อท่านเฟื่อง จังหวัดระยอง สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ยังมีพระอาจารย์สนิท จิรสินิทโธ วัดป่าคีรีเขต (วิเศษนิยม) จังหวัดจันทบุรี แล้วก็มีพระอาจารย์ก่อเกียรติ ธัมมิโก วัดพิชัยพัฒนาราม วัดป่าเขาน้อยสามผ่าน ตำบลสองพี่น้อง อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี

ส่วนทางภาคตะวันตกนั้น เรามีหลวงปู่บุญเรือง กิตติปุญโญ วัดพุมุด จังหวัดกาญจนบุรี สอง หลวงปู่มงคล สิริมังคโล วัดป่าโป่งกระทิงบน ตำบลบ้านบึง อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี และสาม เรามีพระอาจารย์เขียว คือพระอาจารย์สัมฤทธิ์ ฐิตสิทธิ วัดถ้ำจุนโท อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่สุธรรม สุธัมโม เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ก็มาด้วย หลวงปู่เฉลิม ธัมมธโร วัดป่าภูแปกญาณสัมปันโน บ้านกกบก ตำบลหนองงิ้ว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย

ส่วนภาคกลางนั้น เรามีหลวงพ่อเพย อุตตโม วัดบึง จังหวัดอยุธยา หลวงพ่อพระอาจารย์จิรวัฒน์ อัตตรักโข วัดป่าไชยชุมพล อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ และองค์ที่สามก็คือ พระมหาประกอบ ธมฺมชีโว วัดป่ามหา อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร

กรุงเทพมหานคร เรามีพระพรหมวชิราธิบดี อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวรารังสฤษดิ์ ราชวรวิหาร ท่านเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่ปรึกษาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร องค์ที่สอง พระราชสุวรรณเวธี เจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรี กรุงเทพฯ ท่านเป็นสายของหลวงปู่ศุข วัดคลองมะขามเฒ่า เกจิอาจารย์ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของเสด็จเตี่ย สาม พระราชมงคล วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร ท่านเคยเป็นอดีตพระเลขาฯ ในองค์สมเด็จญาณสังวร พระสังฆราชองค์ที่แล้ว สี่ พระมหาณัฐพงษ์ นาคถ้ำ วัดชำนิหัตถการ วัดสามง่าม เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

ทีนี้เราก็จะมีพระที่เข้ามาเจริญพุทธมนต์ 10 รูป มี พระธรรมวชิรมุนี วิ. กรรมการมหาเถรสมาคม ท่านเป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ พระราชวชิราภินันท์ (ม.ร.ว.นันทวัฒน์ ชยวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร พระราชวชิราธิบดี เลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรวิหาร เจ้าคณะเขตพระนคร และเป็นเลขาฯ ของท่านเจ้าคุณเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร พระเมธีวรญาณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ พระวชิรคณาภรณ์ เลขานุการเจ้าคณะใหญ่ คณะธรรมยุต วัดบวรนิเวศวิหาร พระครูกิตติปัญญาวัฒน์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรวิหาร พระครูปลัดญาณวรวัฒน์ เลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ธรรมยุต วัดบวรนิเวศฯ พระครูสังฆสิทธิกร พระครูฐานานุกรมในสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมวชิรญาณสังวร วัดบวรนิเวศฯ พระครูสังฆรักษ์อภิชัย อภิชโย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ พระมหาศิริพงษ์ วัดมหาธาตุฯ

ส่วนพระที่จะสวดพุทธาภิเษกมีอยู่ 4 รูป พระราชสุรวาที ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรวิหาร พระสรภาณกวี รองเจ้าคณะแขวงพระบรมมหาราชวัง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ พระมหาด็อกเตอร์ชัยณรงค์ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ พระครูศิลากร ปัญญาพโล วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

พิธีที่จะมีอย่างนี้ครับ วันที่ 5 ธันวาคม ตอน 11 โมงเช้า เราจะถวายเพลพระทั้งวัดมหาธาตุฯ บริเวณพระอุโบสถ และระเบียงโบสถ์ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ 5 โมงเย็น พิธีพราหมณ์บวงสรวง บริเวณด้านนอกระหว่างข้างพระอุโบสถกับพระวิหาร 18 นาฬิกา 6 โมงเย็น พิธีสดับปกรณ์ (บังสุกุล) ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เจริญพระพุทธมนต์ ในพระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ และ 19 นาฬิกา พิธีพุทธาภิเษก ในพระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

ผมขอเชิญชวนท่านผู้มีศรัทธา โดยเฉพาะท่านผู้ชมที่สั่งจองพระสยามพุทธาธิราช มาร่วมพิธีในพิธีพุทธาภิเษกครั้งนี้ ซึ่งเป็นพิธีที่ใหญ่มาก ถึงกับมีคนกล่าวว่าไม่เคยมีใครสามารถจะนิมนต์พระ 5 ภาค (ถ้ารวมภาคกลางด้วย) ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันตก และ ภาคใต้


ส่วนใครที่สนใจเช่าพระอยู่ ยังพอจองได้อยู่ แต่ผมเตือนไว้ก่อนนะครับ พระสยามพุทธาธิราชองค์นี้ให้เช่าองค์ละ 1 แสนบาท ท่านผู้ชมอย่าเพิ่งตกใจนะครับ เหลือแค่ 15 องค์เอง ส่วนเหรียญชุดละ 2 พันบาท เราทำมา 2 หมื่นเหรียญ วันนี้เหลือแค่ 1,500 เหรียญแล้ว ท่านผู้ชมอย่าช้านะครับ ถ้าสนใจติดต่อที่ไลน์ (LINE) เพิ่มเพื่อน @tambun

ท่านผู้ชมครับ สัปดาห์ที่แล้วผมได้เชิญชวนให้ประชาชนที่มีความศรัทธาสามารถเข้ามาร่วมปิดทองรูปหล่อพระบูชาหลวงปู่มั่น ที่ผมได้มาจากพระเดชพระคุณพระอาจารย์สุธรรม เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ตอนที่ผมไปวัดป่าหนองไผ่ จังหวัดสกลนคร ท่านได้มีเมตตามอบพระองค์นี้มาให้ผม ผมได้เปิดให้ประชาชนสามารถเข้ามาปิดทองได้ที่บ้านพระอาทิตย์ ปรากฏว่าสาธุชนเข้ามาร่วมปิดทองอย่างไม่ขาดสาย มีทุกวัน ท่านผู้ชมหรือท่านที่มีความศรัทธาในองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สามารถมาปิดทองรูปหล่อของพระบูชาหลวงปู่มั่นได้ที่บ้านพระอาทิตย์ เดิมทีตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น. วันจันทร์-ศุกร์ แต่ตอนนี้เปิดทั้งอาทิตย์เลย วันจันทร์-อาทิตย์ ไม่มีวันหยุด แต่เวลาที่ให้ปิดทองได้คือ 09.00-12.00 น. ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ


ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วครับท่านผู้ชม กับรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" แบบสดๆ ครบรอบ 20 ปี จัดที่หอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม เวลา 13.00 น. ท่านผู้ชมที่ทราบตำนานเรื่องนี้คือ "เมืองไทยรายสัปดาห์" หลังจากที่ถูกปลดออกจากช่อง 9 อสมท โดยนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นคนปลดตามคำสั่งของท่านประธาน อสมท คือ นายเรวัติ ฉ่ำเฉลิม ที่ถูกสั่งมาอีกทีจากทักษิณ ชินวัตร เราก็เลยมาจัดรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" นอกสถานีโทรทัศน์เป็นครั้งแรก นั่นคือหอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์ ตอนนี้ใครสนใจก็จองเข้ามานะครับ ราคาบัตร 2,000 บาท กับ 1,500 บาท ตอนนี้เหลือแค่ 50 ที่นั่ง ถ้าท่านผู้ชมช้า ไม่เกินธันวาคมนี้ ก็น่าจะหมดแล้ว สอบถามรายละเอียดและจองบัตรได้ที่ไลน์ @sondhitalk ท่านผู้ชมรีบๆ หน่อยนะครับ เป็นการจัด "เมืองไทยรายสัปดาห์" ที่ครบรอบ 20 ปี ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย งานนี้จัดให้เป็นเกียรติกับน้องแอ้ม คุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ เพื่ออะไร ? เดี๋ยวถึงวันงานแล้วผมจะเล่าให้ฟัง ว่างานที่จัดทั้งหมดนี้เพื่อน้องแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์


ท่านผู้ชมครับ ผมมีอะไรบางอย่างที่จะแนะนำให้รู้จัก จากน้องรักสนิทสนมของผม คืออาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จอมยุทธ์เจ้าปัญญา คิดโน่นคิดนี่ ไปเที่ยวสรรหาข้อมูล เอกสารลับ ข้อมูลโบร่ำโบราณ ตำรายาโบราณที่จารึกลงใบลาน ใบข่อย เอามาถอดรหัส แล้วก็ลงไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง สรรหา

อาจารย์ปานเทพเป็นคนที่ทำเรื่อง "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ท่านผู้ชมจำได้ใช่ไหมครับ ท่านผู้ชมที่เคยสั่งซื้อให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ของเรา พ่อแม่เรา ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา แล้วก็ได้ผลมาก ผมทานเป็นประจำมาปีที่สี่แล้ว วันละซอง ตอนบ่าย ไม่เคยพลาด เป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยความเคารพ ผมอายุ 76 ปีแล้ว ท่านผู้ชมดูแล้วกันนะครับว่าผมก็ยังไม่ได้ดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ทั้งหมดได้คุณสมบัติของ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก"

ทีนี้ อาจารย์ปานเทพไม่ได้หยุดแค่ยาลมฯ ก่อนหน้านั้นท่านก็คิดเอาฟ้าทะลายโจร ซึ่งชาวบ้านเขาทำกันมานานแล้ว แต่อาจารย์ปานเทพบอกว่า ส่วนใหญ่จะทำฟ้าทะลายโจรจากลำต้น ใบ และกิ่ง แต่อาจารย์ปานเทพไปเข้าห้องแล็บพิสูจน์แล้วว่า ถ้าฟ้าทะลายโจรทำจากใบ คุณภาพฟ้าทะลายโจรจะสูงกว่าที่ทำจากกิ่งและต้น ก็เลยเกิดยาฟ้าทะลายโจรที่ทำจากใบของอาจารย์ปานเทพ ซึ่งได้ผลชะงัดมาก ในช่วงที่มีโรคระบาดนั้น ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าฟ้าทะลายโจรที่ประชาชนบริจาคมาคิดเป็นเงิน 60-70 ล้านบาทนั้น เราแจกไปหมด ไม่คิดเงิน ช่วยชีวิตคนไปเป็นแสนๆ คน หลายแสนคนเลย หลายคนไม่ได้พึ่งยาฟาวิพิราเวียร์เลย แต่พึ่งฟ้าทะลายโจร แม้กระทั่งคุณหมอในโรงพยาบาลบางแห่ง อย่าให้ผมเอ่ยชื่ออเลยนะครับ ท่านบอกให้ประชาชนที่เข้าไปรักษา ให้ทานยาฟาวิพิราเวียร์ ตามคำสั่งของกระทรวงสาธารณสุข แต่คุณหมอท่านดันพกฟ้าทะลายโจรติดตัวไว้ แล้วพอท่านติดท่านก็ทานฟ้าทะลายโจรแทน


ท่านผู้ชมครับ นี่คือ "ยาขาว" คือยาลดไข้ ตรา "ปานเทพ" เป็นผลงานของอาจารย์ปานเทพ ขึ้นทะเบียน อย. แล้วนะครับ เหมือนกับ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ก็ขึ้นทะเบียน อย. ไม่ใช่เป็นยาผิดกฎหมาย ถูกต้องทุกประการ ขึ้นทะเบียน อย. หมดแล้ว "ยาขาว" นี้ จะบอกให้ก็ได้ว่า เลขทะเบียนที่ G 264/66

เอาล่ะ เรามาดูตำนานของ "ยาขาว" กันนิดหนึ่ง ท่านผู้ชมฟังแล้วท่านผู้ชมจะอึ้ง "ยาขาว" ในตลาดไม่มีขายครับ ตอนนี้ยานี้วางได้ตามร้านขายยา แต่เราไม่วาง เราจะขายช่องทางของเราให้กับพรรคพวกของเรานี่ล่ะ กลุ่มชุมชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มชุมชน FC ของ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" สถานที่ๆ เราวางขายก็จะมีร้านพอดีช้อป ร้านคลีน หรือว่าโทรศัพท์สั่งมาได้

เรื่องของมันเป็นอย่างนี้ครับ ท่านผู้ชม ในสมัยอยุธยานั้นมันมีโรคระบาดหลายชนิด จนกระทั่งมีผู้ที่มีความรู้คนหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมัยอยุธยา คือ เจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) ท่านเป็นเจ้าเมืองจันทบูร ในสมัยรัชกาลที่ 1 ท่านได้มาเขียนพระคัมภีร์ฉันทศาสตร์ เรื่อง "คัมภีร์ตักศิลา" ซึ่งเป็นคัมภีร์ว่าด้วยการเกิดโรคระบาด

ในสมัยนั้นได้ระบุขั้นตอนการใช้ยารักษาโรคหลายขั้นตอน ขั้นที่หนึ่ง ให้กระทุ้งพิษไข้ ใช้ตำรายาห้าราก จนเกิดเป็นผื่นที่ผิวหนังหลายรูปแบบ ก็คือว่าหลักการของยาไทยโบราณและหมอไทยก็คือว่า ถ้าเป็นอะไร ทานยาเพื่อไล่พิษให้ออกมาตามร่างกาย เมื่อออกมาแล้วไม่ต้องตื่นตระหนก นั่นก็คือว่าพิษมันเริ่มออกมาแล้ว

สอง ชุดตำรับยาประสะผิวภายนอก คือตำรับยาที่ใช้บรรเทาจากการปะทุพิษที่ผิวหนัง คือเมื่อไล่พิษออกมาแล้วก็ทานยาเพื่อรักษา บรรเทาจากการที่พิษออกมา


ขั้นที่สาม ชุดตำรับแปรภายในตำรับยาปรับธาตุในร่างกายให้สมบูรณ์ พอพิษออกมาแล้ว บรรเทาพิษ ให้ทานยาดูแลภายในปรับธาตุในร่างกายให้สมดุล

ขั้นที่สี่ เป็นยาครอบไข้ คือตำรับยาที่ไม่ให้ไข้กลับมาเป็นอีก

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมฟังแล้วมีตั้ง 4 ขั้นตอน ยาเหล่านี้ต้องอาศัยหมอจำนวนมาก อาจจะไม่ทันกับโรคระบาดได้ ท่านเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) ได้วางหลักของยาในการเกิดโรคระบาดเอาไว้ว่า "ถ้ายังไม่รู้ให้แก้กันดู แต่พรรณฝูงยาเย็นเปนอย่างยิ่ง ขมจริงโอชา ฝาดจืดพืชน์ยาตามอาจารย์สอน" คือรสยาจะต้องขม เย็น ฝาด และก็จืด ซึ่งยาที่เราใช้ได้ผลดีมากคือยารสขมจัด "ยาขมจัด" คืออะไร ? ฟ้าทะลายโจรของอาจารย์ปานเทพ ที่ทำจากใบ ช่วยชีวิตคนไว้มาก

จนมาสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านได้จัดทำศิลาจารึกประดับไว้ที่วัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ว่ามีตำรับยาตำรับหนึ่งที่แก้โรคระบาดหลายชนิด โดยที่ไม่ต้องอาศัยทั้ง 4 ขั้นตอนที่ผมเล่าให้ฟังตอนต้น เหมือนสมัยอยุธยา นั่นก็คือตำรับยาได้มีการพัฒนาให้ดีขึ้น คนในวงการแพทย์แผนไทยเขาเรียกยานี้ว่า "ยาขาว" ปัจจุบันนี้ขึ้นทะเบียน อย. เป็นตำรับยาลดไข้ ตรา "ปานเทพ" ซึ่งตำรับยานี้ได้เขียนลงในศิลาจารึก ว่า "ขนาน ๑ เอา กระเช้าผีมด หัวคล้า รากทองพันชั่ง รากชา รากง้วนหมู รากส้มเส็ด รากข้าวไหม้ รากจิงจ้อ รากสวาด รากสะแก รากมะนาว รากหญ้านาง รากผักข้าว รากผักสาบ รากผักหวานบ้าน เอาเสมอภาคทำเป็นจุณ บดทำแท่ง ไว้ละลายน้ำซาวข้าวกิน

แก้ไข้รากสาด ออกดำ แดง ขาว และแก้ไข้ประกายดาษ ไข้หงษ์ระทด และแก้ไข้ไฟเดือนห้า ไข้ละอองไฟฟ้า และแก้ไข้มหาเมฆ มหานิล ซึ่งกล่าวมาแล้วนั้น และยาขนานนี้แก้ได้ทุกประการ ตามอาจารย์กล่าวไว้ ให้แพทย์ทั้งหลายรู้ว่าเป็นมหาวิเศษนักฯ"

แปลว่าอะไร ? แปลว่าแก้โรคระบาดในสมัยนั้นได้หลายชนิด

ต่อมากรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเคยรวบรวมวิเคราะห์สมุนไพรเหล่านี้ว่า บางตัวต้านไวรัส บางตัวต้านแบคทีเรีย บางตัวลดการอักเสบ บางตัวต้านอนุมูลอิสระ บางตัวเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งน่าทึ่งมาก และที่น่าทึ่งไปกว่านี้ ท่านผู้ชมทราบไหมว่า รสยาตำรับนี้มีรสขม ฝาด และจืด ครบ ตรงตามที่เจ้าพระยาวิชยาธิบดีได้ระบุไว้ในพระคัมภีร์ฉันทศาสตร์ทุกประการ

ท่านผู้ชมครับ น่าเสียดายที่ศิลาจารึกแผ่นนี้ได้หายไป ที่อาจารย์ปานเทพ สามารถตกทอดภูมิปัญญาขึ้นทะเบียน อย. ได้ เป็นเพราะท่านอาจารย์ปานเทพเป็นคนซุกซน ไปสืบค้นจากอดีตเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ ซึ่งเคยบันทึกตำรับยาทั้งหมดจากศิลาจารึกเอาไว้ได้ แต่ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่าสมุนไพรทั้ง 14 ตัว ที่พูดไปนั้นไม่ได้มีการเพาะปลูกเพื่อรวบรวมเป็นตำรับยา แต่ท่านอาจารย์ปานเทพไปวางแผนและเพาะปลูก หาสมุนไพรที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพอยู่เกือบ 3 ปี อาจารย์ปานเทพทุ่มเวลา สติปัญญา ทำยานี้ และในที่สุดก็ผลิตตำรับยานี้ได้ ถ้ามีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ ท่านผู้ชมทานฟ้าทะลายโจรไปก่อนเลย สักพักถ้าไข้ไม่ลง อาการหนัก ก็เอา "ยาขาว" ผสมน้ำอุณหภูมิห้อง กิน 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น


ท่านผู้ชมครับ ยาลดไข้อาจารย์ปานเทพ กล่องละ 350 บาท เท่านั้นเอง มีทั้งหมด 15 ซอง ถ้าเป็นก็กินวันละ 3 ซอง 5 วัน หายหมด

ระหว่างนี้ ท่านผู้สูงวัยอย่าลืมทาน "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" วันละ 1 ซอง เหมือนที่ผมทานมา เพื่อแก้ลมกองหยาบ ขับลมในเส้น

ถ้าท่านผู้ชมสนใจยาฟ้าทะลายโจร ยาขาว ยาลมฯ ติดต่อที่ "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์" เพิ่มไลน์@ บัญชี @sunherb

ท่านผู้ชมครับ ถ้าผมจำไม่ผิด ผมเป็นคนที่แนะนำอะไรหลายอย่างให้ท่านผู้ชมรับประทาน ท่านผู้ชมจำได้ไหม ผมเป็นคนแรกในวงการที่ออกรายการสด และแนะนำให้ท่านผู้ชมหาน้ำมันมะพร้าวหีบเย็น ที่เขาเรียกว่า Virgin Oil ทานวันละ 4 ช้อนโต๊ะ ตามน้ำหนักตัวแต่ละคน ผมน้ำหนักมาก 80 ทาน 4 ช้อนโต๊ะ ใครน้ำหนักน้อย ก็ทาน 3 ช้อน 2 ช้อน

น้ำมันมะพร้าวหีบเย็นมีส่วนทำให้ผมไม่เคยเป็นหวัด ท่านผู้ชมรู้ไหมผมใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำมาประมาณเกือบ 3 ปี หย่อน 3 วัน จะครบ 3 ปี ผมสั่งน้ำมันมะพร้าวเข้ามาทาน เกือบ 3 ปีนั้นผมไม่เคยเป็นหวัดเลย ในขณะที่ชาวบ้านเขาติดหวัดกันทั่ว หวัดเล็ก หวัดน้อย หวัดใหญ่ แต่ผมไม่เป็น

แล้วผมก็เป็นคนแนะนำยาจากที่อาจารย์ปานเทพทำ ไม่ว่าจะเป็นฟ้าทะลายโจร และ ยาลม ๓๐๐ จำพวก ทำไมผมถึงกล้าแนะนำ ? เพราะผมทานของผมเอง ผมรู้ ท่านผู้ชมจำได้ใช่ไหมผมเคยบอกเวลาเราจะไปสถานที่ชุมชนคนเยอะๆ ไปงานกฐิน ไปงานแต่งงาน ไปงานวันเกิด ซึ่งถ้าหลีกเลี่ยง ก็หลีกเลี่ยงไป แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ไได้ ผมเป็นคนพูดมาแต่ต้นว่า ให้ทานฟ้าทะลายโจรก่อนไปงาน 4 เม็ด กลับมาถึงบ้าน ก่อนนอนอีก 4 เม็ด เช้า 4 เม็ด กลางวัน 4 เม็ด เย็น 4 เม็ด ก่อนนอนอีก 4 เม็ด ทานติดกัน 3 วัน ถ้าไม่มีอาการอะไรเลยก็หยุดทาน แต่ถ้ามีก็ทานต่อให้ครบ 5 วัน อาการหวัด การเจ็บคอก็จะหายขาด แล้วต่อมาผมก็ได้ทาน "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ก็ช่วยเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้มีการบาลานซ์ธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้เข้าหาซึ่งกันและกัน

มนุษย์เราถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งพร่อง นั่นคือสาเหตุหนึ่งของการที่ทำให้เราจะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย อีกประการหนึ่งที่ผมเคยพูด ผมขอรวมเข้าไปด้วยแล้วกัน ท่านผู้ชมมีเวลาต้องปฏิบัติธรรมด้วย นั่งสมาธิภาวนาทุกวัน ผมนี่วันละ 45 นาที และระหว่างที่ผมสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิภาวนา ลงจากรถก้าวเข้ามาสู่บ้านพระอาทิตย์ ผมพุทโธตลอด ตอนนั่งพูดอยู่นี่ผมก็กำหนดลมหายใจ หายใจเข้าที่ปลายจมูก หายใจออกที่จมูก ก็คือว่ากำหนดลมหายใจอิริยาบถ ทุกวินาที เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ ผมมั่นใจและผมยืนยันว่าอะไรที่ผมแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นยาต่างๆ ที่ผมทดลองด้วยตัวเองแล้ว และแม้กระทั่ง ProVita ซึ่งเดี๋ยวผมจะพูดให้ฟัง เป็นของดีหมด ผมไม่ได้รับสตางค์เลยแม้แต่บาทเดียวในการโพรโมตอันนี้ เพราะผมต้องการให้ท่านผู้ชมที่เป็นแฟนผม ติดตามรายการนี้ มีสุขภาพที่แข็งแรง ท่านผู้ชมทำความเข้าใจตรงนี้ก่อนนะครับ

ตอนนี้ย่างเข้าปลายปีแล้ว เทศกาลคริสต์มาส-ปีใหม่กำลังใกล้เข้ามา ท่านผู้ชมจำเชฟเพนนีได้ไหม เชฟเพนนีที่เคยทำขนมไหว้พระจันทร์ให้เรา ตอนนี้เชฟเพนนี้ท่านได้คิดทำฟรุตเค้ก จริงๆ แล้วผมแอบทานไปแล้วชิ้นหนึ่งก่อนออกรายการ เชฟเพนนีบอกว่าฟรุตเค้กเป็นเมนูที่ชาวอังกฤษนิยมทานและมอบให้เป็นของขวัญเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ฟรุตเค้กของเชฟเพนนีนั้น มาจากการรวบรวมประสบการณ์ในสมัยที่เชฟเพนนีเคยทำงานอยู่ที่อังกฤษนับสิบปี เธอเคยไปทำจัดงานเลี้ยงพระกระยาหารให้กับพระเจ้าชาร์ลสที่ 3 ในพระราชวังวินด์เซอร์ ในสมัยที่ยังเป็นเจ้าฟ้าชายชาร์ลส


ฟรุตเค้กของเชฟเพนนีเขารับประกันว่าทำจากเนยแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วเขาใช้ผลไม้แห้ง ถั่วคุณภาพพรีเมียม ข้างใน เช่น ลูกเกด แครนเบอร์รี ลูกฟิก เชอร์รี แอปริคอต ถั่วอัลมอนด์ และถั่ววอลนัท ท่านผู้ชมเปิดห่อมาจะได้กลิ่นหอมเหล้ารัม ส้ม และมะนาว ที่ใช้ในการหมักไว้ล่วงหน้าเพื่อความกลมกล่อม เนื้อเค้กหวานน้อย ความหวานจะมาจากผลไม้เป็นหลัก เค้กมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดประมาณ 5 นิ้ว ถ้าวางไว้นอกตู้เย็น (แต่อยู่ในห้องแอร์) ได้ 1 เดือน แต่ถ้าเก็บไว้ในตู้เย็น เก็บได้ถึง 3 เดือน ไม่ได้ใส่สารกันเสีย ยิ่งเก็บนานยิ่งอร่อย มีบริการจัดส่งทั่วประเทศ ถ้าท่านผู้ชมสนใจ ติดต่อไลน์ (LINE) @pennythechef


แล้วเชฟเพนนียังมีหน้าร้าน Penny The Chef ที่สยามพารากอน ใน Super Gourmet โทรศัพท์ 095-496-6636 หรือท่านผู้ชมเดินทางไปซื้อของที่ร้าน SUN PAN ที่ปั๊ม ปตท. ถนนวิภาวดีรังสิต ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ก็มีขายครับ

นอกจากนี้แล้ว ร้าน SUN PAN ยังมีเมนูยอดนิยมให้หาซื้อกันได้ตามปกติ ทั้งโชกุปัง ขนมปังมันม่วงญี่ปุ่น ขนมปังฟักทองญี่ปุ่น ขนมปังใบเตยกะทิ ชีสเค้ก แล้วก็อย่าลืม โอเลี้ยงสูตรคุณแม่ผม ไอศกรีม หมูแท่ง ปลาแท่ง ยังมีอยู่ตลอด และไปที่ร้านได้นะครับ อยู่ในปั๊ม ปตท. ราบ 1 ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดี

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์ที่แล้วผมแนะนำ ProVita เครื่องดื่มโพรไบโอติกผสมวิตามิน รสส้ม ไม่ต้องแช่ตู้เย็นอยู่ได้ 4 เดือน ตัวนี้มีทั้งจุลินทรีย์ไบโอติก มีความแข็งแกร่งมาก เหมาะสำหรับนักกีฬาหรือผู้เดินทางไปในที่ที่อาหารอาจจะไม่สะอาด มีจุลินทรีย์ที่ทำให้ท้องเสียเจือปนอยู่ คนที่เป็นเบาหวาน ความดันสูง ทานได้ เครื่องดื่ม ProVita ไม่มีการเติมน้ำตาล รสชาติที่หวานนั้นเกิดจากตัวน้ำส้มธรรมชาติเอง และสารให้ความหวานแทนน้ำตาล


ท่านผู้ชมครับ พูดแล้วอาจจะดูขำขัน แต่ผมจะบอกความลับให้ก็ได้ ProVita นี้มีข้อดีอย่างหนึ่ง เนื่องจากมีจุลินทรีย์ที่ดีมาก จุลินทรีย์จะกัดกินพวกความเน่าของอาหารที่อยู่ในลำไส้หมดเลย ผลปรากฏว่าตดไม่เหม็น แล้วคนที่ใช้ประจำยืนยันได้ว่าแม้กระทั่งการขับถ่าย อุจจาระก็ไม่เหม็นด้วย ProVita นอกจากทำให้ท้องดีแล้ว ยังขจัดความเน่าเหม็นในท้องด้วยจุลินทรีย์ที่อยู่ใน ProVita ครับ

ท่านผู้ชมที่จะซื้อ ProVita มีหลายช่องทาง ท่านเข้าไปในเว็บไซต์ tpipolene.com ร้านทีพีไอรักสุขภาพ ร้าน TPI New Normal, Lazada, Shopee, Villa Market, ตั้งฮั่วเส็ง นอกจากนี้แล้ว ท่านผู้ชมไปที่ร้าน SUN PAN ในปั๊ม ปตท. หรือร้านกรีนช้อป ซึ่งอยู่ติดร้าน SUN PAN ก็จะมี ProVita วางขายอยู่ ขวดละ 15 บาท คนที่ธาตุอ่อนทานวันละขวด อาจจะถ่ายบ่อยนิดหนึ่ง แต่คนที่ธาตุแข็ง ก็จะทำให้อุจจาระที่เคยแข็งนั้นอ่อนและถ่ายง่ายขึ้น ผมเป็นคนธาตุแข็ง ผมทานวันละ 2 ขวด เช้า ตื่นนอน เมื่อเช้านี้ทานไปแล้ว ก่อนนอนก็ทานอีกขวดหนึ่ง

"แป้ง นาโหนด" สะท้อนยุติธรรมบิดเบี้ยว

ท่านผู้ชมครับ ผมจะพูดเรื่อง "เสี่ยแป้ง นาโหนด" ภาพสะท้อนความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา กรณีเสี่ยแป้ง นายเชาวลิต ทองด้วง หรือ แป้ง นาโหนด อายุ 37 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจระดมกำลังติดตามจับกุมหลังหลบหนีออกจากโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จากการช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และพลเรือน ไปหลบซ่อนที่เทือกเขาบรรทัด ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2566 นี่ก็เดือนกว่าเข้าไปแล้ว


เสี่ยแป้ง มีความผิดคดีปล้นทรัพย์ ความผิดต่อเสรีภาพ พระราชบัญญัติอาวุธปืน กำหนดโทษรวมแล้ว 21 ปี 3 เดือน 25 วัน ถูกย้ายจากเรือนจำกลางพัทลุง เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2566 เนื่องจากเป็นผู้มีอิทธิพล กรมราชทัณฑ์ตั้งรางวัลนำจับไว้แล้ว 1 ล้านบาท ที่ผ่านมาหน่วยปฏิบัติการพิเศษภาค 9 หน่วยหนุมานจากสอบสวนกลางนับร้อยนาย พร้อมสรรพกำลัง ถูกส่งเข้าไปยังพื้นที่ที่ตั้งจุดตรวจจุดสกัด ปิดล้อมตรวจค้นบริเวณเทือกเขาบรรทัด จนวันนี้ยังจับไม่ได้


ปรากฏว่าวันที่ 24 พฤศจิกายน ชายหน้าคล้ายเสี่ยแป้ง นาโหนด เผยแพร่คลิปยาวกว่า 4 นาที อ้างว่าหนีการจับกุมเหตุเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม เสี่ยแป้งเล่ารายละเอียดว่า วันนั้นอัยการคนหนึ่งใช้โทรศัพท์ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นจังหวัดพัทลุงโทรมาหาตนเอง ให้ไปช่วยหลานที่ถูกอุ้ม แต่ตนเองกลับคิดว่าทำไมไม่แจ้งตำรวจ ซึ่งเขาบอกว่าแจ้งเรียบร้อยหมดแล้ว ทั้งที่ไม่เป็นจริง เพราะเขารู้ว่ามาอุ้มเรื่องยาเสพติด หลอกให้ตนเองไปอุ้ม โดยอัยการดังกล่าวเป็นคนบอกให้ตนไปดำเนินการ หลังจากนั้นจึงมีการดำเนินคดียาเสพติดกับตนเอง

เสี่ยแป้ง ยังกล่าวอ้างถึงเหตุปะทะว่าตำรวจมีเป้าหมายวิสามัญฆาตกรรมตนเอง เพราะเปิดฉากยิงจรวด ระเบิด M79 ใส่ทันทีจำนวน 10 นัด แต่ตนเองไม่ได้ยิงตอบโต้เพราะไม่ได้เป็นศัตรูกับเจ้าหน้าที่ เสี่ยแป้งเลยขอให้กระทรวงยุติธรรมนำอัยการคนดังกล่าว นักการเมืองท้องถิ่น ผู้อำนวยการคนหนึ่ง และตำรวจยศจ่าอีก 2 คน ไปดำเนินคดี แล้วตนเองจะมอบตัวทันที


หลังจากนั้นไม่นาน คลิปที่สองของเสี่ยแป้งก็ออกมาอีก ระบุว่า สาเหตุที่ต้องหนีเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการพิจารณาคดีของศาล ไม่ได้รับการประกันตัวเพียงคนเดียว แต่บางคนได้รับการประกันตัวในคดีพยายามฆ่าพนักงานรัฐในการปฏิบัติหน้าที่ มีตนที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าปล้น และมีอาวุธปืน กลับไม่ได้ประกันตัว ในขณะเดียวกัน ผู้ต้องหาอื่นที่ร่วมกันวางแผนและร่วมก่อเหตุ อัยการกลับสั่งไม่ฟ้อง ทำให้ตนสงสัยว่าทำไมจึงสั่งไม่ฟ้องกลุ่มที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีดังกล่าว เสี่ยแป้งยังพาดพิงถึงอัยการรายหนึ่งที่เป็นผู้รับเงินล้มคดี แต่ไม่มีการตรวจสอบ

นอกจากนี้แล้ว คลิปที่สองยังอ้างถึงเหตุที่ตำรวจต้องการวิสามัญฯ ตน เพราะมีปัญหากับตำรวจภาค 9 และนายตำรวจรายหนึ่งที่เคยร้องเรียนจากการใช้ปืนจี้ศีรษะชาวบ้านขณะเข้าจับกุมยาบ้า ตัวเองได้นำชาวบ้านไปประท้วงที่โรงพัก และยืนยันอีกครั้ง หากไม่มีการนำผู้ร่วมกระทำความผิดมาดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม ตนจะไม่เข้ามอบตัว 100 เปอร์เซ็นต์ หากไปก็เป็นศพเท่านั้น

นอกจากนั้นแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมายังมีการเปิดจดหมายฉบับใหม่และคลิปเป็นรอบที่สาม เนื้อหาสำคัญๆ ก็มีดังนี้ มีตำรวจ 3 นาย แบ่งเป็นชั้นสัญญาบัตร 2 นาย ชั้นประทวน 1 นาย เรียกรับสินบนแลกกับการไม่ดำเนินคดีเป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท ต่อมาอัยการเรียกเพิ่มอีก 500,000 บาท แต่เสี่ยแป้งปฏิเสธที่จะจ่ายเงินให้ไป จึงดำเนินการสั่งฟ้องตนเพียงคนเดียว


นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ตรวจสอบสินค้าในเรือนจำ เนื่องจากมีการขายสินค้าเกินราคาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของผู้คุมเรือนจำ ซึ่งเสี่ยแป้งอ้างว่าผู้คุมเรือนจำได้มีการทำร้ายร่างกายผู้ต้องขัง รวมทั้งให้มีการรื้อฟื้นคดีตัวเองด้วย

ทำไมผมถึงต้องเอาเรื่องเสี่ยแป้งมาพูด ? เรื่องนี้มีคนรู้จักและท่านผู้ชมห inbox มาถามผมว่าผมมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับกรณีเรื่องเสี่ยแป้ง ผมมองอย่างนี้ครับ เรื่องเสี่ยแป้งนั้นเป็นอีกหนึ่งกรณีที่พิสูจน์ได้ชัดเจนถึงเรื่องหนึ่งว่า กระบวนการยุติธรรมบ้านเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำ และกลางน้ำ คือ ตำรวจ และอัยการนั้น มันเน่าเฟะจนเกินกว่าที่จะเยียวยาได้

ทำความเข้าใจกันก่อนนะท่านผู้ชม เสี่ยแป้งไม่ใช่คนดี เป็นคนที่มีความชั่วร้ายอยู่ในตัวมากมาย แต่เมื่อตัวเองหลังชนกำแพงถูกจับติดคุกและตัวเองหนีรอดออกไปด้วยความคั่งแค้น การปล่อยคลิป 2-3 ครั้งของเสี่ยแป้งนั้น เป็นเรื่องราวที่น่าจะเป็นความจริงอย่างใกล้เคียงที่สุด การที่บอกว่าต้องเอาตำรวจและอัยการมาดำเนินคดีด้วย เขาถึงจะมอบตัว มันสะท้อนให้เห็นว่าผู้มีอิทธิพลในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคใต้ ซึ่งมีผลประโยชน์มหาศาล มากมาย เราสามารถอนุมานได้เลยว่าผู้ที่มีส่วนร่วมขบวนการชั่วต่างๆ เหล่านี้ของผู้มีอิทธิพล มันต้องมีกระบวนการยุติธรรมเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรืออัยการ อย่างแน่นอนที่สุด ทั้งต้นน้ำ คือ ตำรวจ กลางน้ำ คือ อัยการ


พอเสี่ยแป้งพูดออกมาอย่างนี้ก็เลยมีการขยับตัวทันทีเลย ต้นน้ำกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ออกโรงสั่งจเรตำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริง มีตำรวจคนใดบ้างถูกพาดพิง ขณะเดียวกัน ก็สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนพิสูจน์ทราบสถานที่แหล่งกบดานของเสี่ยแป้ง และผู้ให้การช่วยเหลือ โดยขอให้มอบตัว

ส่วนกลางน้ำกระบวนการยุติธรรม (อัยการ) ภายใต้การกำกับดูแลของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งการให้ปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เลขาธิการ ป.ป.ส. ให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง

ขณะเดียวกัน มีข่าวว่าพันตำรวจโทคนหนึ่งซึ่งเป็นอดีตตำรวจในชุดจับกุม นาย จ. ที่เป็นลูกน้องอัยการ ได้ออกมายืนยันคลิปเสี่ยแป้งออกมาระบายว่าเป็นความจริง ต้นเหตุมาจากเบี้ยวค่ายาบ้ากว่า 10 ล้านบาท โดยอ้างว่าตนเองเป็นผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์และรู้เรื่องราวก่อนหน้านี้ และยืนยันว่าทุกอย่างที่เสี่ยแป้งคุยนั้นเป็นความจริง มิหนำซ้ำยังมีหลักฐานบางส่วนที่ยังเก็บไว้


ท่านผู้ชมครับ เขาพูดว่า เชื่อว่าการออกมาของเสี่ยแป้งเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองน่าจะเกิดจากตัวเสี่ยแป้งถูกตั้งข้อหาและโดนจับกุม ทั้งๆ ที่เสี่ยแป้งไม่ได้เป็นคนทำและไม่ได้เป็นคนยิงตำรวจ แถมยังห้าม นาย จ. ไม่ให้ทำร้ายร่างกายตำรวจด้วย เหตุการณ์วันนั้นหากอัยการไม่ได้เป็นคนสั่ง หรือขอให้ช่วยเหลือ เสี่ยแป้งเองก็คงจะนิ่งเฉย และไม่กล้าเข้าไปช่วยอยู่แล้ว หากรู้ว่าเป็นตำรวจจริง แต่หลังจากถูกจับกลับถูกสั่งฟ้องและไม่ให้ประกันตัวเพียงคนเดียว ก็คือว่าทั้งตำรวจและอัยการคัดค้านการประกันตัว ศาลก็ไม่มีทางเลือก เพราะเมื่อตำรวจและอัยการคัดค้าน ก็ต้องยอมปล่อยให้ไม่ให้มีการประกันตัว


ประเด็น การที่เสี่ยแป้ง ซึ่งเป็นคนที่ทางการต้องการตัวด้วยข้อหาอาญาแผ่นดินหลายข้อหา ถึงแม้เสี่ยแป้งจะไม่ใช่คนที่ดี เป็นคนที่มีความชั่วร้าย แต่การที่นักโทษคนหนึ่งยอมควักเงินซื้อตัวเจ้าหน้าที่รัฐเปิดทางหลบหนี เสี่ยงคมกระสุนออกมาชนตำรวจ ทหาร อัยการ แสดงว่าคงจะคั่งแค้นใจมาก จากกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยว ท่านผู้ชมคุ้นๆ ไหมครับ เรื่องราวที่คล้ายกับเรื่องของเสี่ยแป้งยังมีอีกมากมายมหาศาล การล่มสลายของกระบวนการยุติธรรมแบบนี้เป็นเรื่องราวที่ประชาชนทั่วไปรับทราบกันอยู่ แต่เจ้าหน้าที่รัฐและรัฐบาลที่มีอำนาจปกครองประเทศชาติอยู่กลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำเป็นเสมือนเรื่องปกติธรรมดา


ยกตัวอย่างหลายๆ ครั้งในอดีต ไม่ว่าจะเป็นคดีเผาสวนงูของตู้ห่าว กับเมียตำรวจหญิงไทย คดีอัยการสั่งไม่ฟ้องเจ้าของเว็บพนันหลายแห่ง รวมทั้งคดีที่อัยการสูงสุดคนที่แล้ว คือคุณนารี ตัณฑเสถียร สั่งให้สอบ แต่กลับไม่มีการเปิดผลการสอบออกมา คดีมหากาพย์ "บอส กระทิงแดง" วรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชนตำรวจ สน.ทองหล่อ ตาย คดีบอส อยู่วิทยา ใช้เวลาร่วมสิบกว่าปี กว่าเรื่องจะแดงขึ้นมา ในที่สุดผู้กระทำความผิดก็ถูกแจ้งข้อกล่าวหาใน ป.ป.ช. รวมทั้งอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ก็โดนแจ้งข้อกล่าวหาด้วย สะท้อนให้เห็นว่าแม้กระทั่งคนที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งคือต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรม ก็ยังเป็นคนหนึ่งที่มีส่วนทำลายกระบวนการยุติธรรมเสียเอง

พม่าใกล้แตก สะท้านไทย สะเทือนโลก


ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้พม่ากำลังมีสงครามที่ค่อนข้างจะถึงจุดแตกหักกันแล้ว เป็นประเด็นที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเวลาใกล้เคียงกับสงครามอิสราเอล แต่ไม่ค่อยได้รับความสนใจในระดับโลกมากนัก แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับคนไทยในทุกระดับ เรียกว่ากระทบยิ่งกว่าสงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่มีปัญหาเรื่องแรงงานคนไทยเท่านั้นเอง


กลับมาถึงเรื่องสงครามในพม่ากันต่อ เรื่องนี้มีนัยสำคัญอย่างมาก ทั้งในประเทศไทยเอง ในระดับภูมิภาคนี้ คืออาเซียน และอินโดจีน รวมไปจนถึงสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ของโลก ผมจะใช้รายการในวันนี้ทยอยอธิบายนัยเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องของเรื่องราวต่างๆ เข้าด้วยกัน รวมทั้งขยายความให้ท่านผู้ชมรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ได้เห็นภาพที่ชัดเจน เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวข้องกันอย่างไร รับรองได้เลยว่าฟังรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ในวันนี้แล้ว จะรู้ที่มาที่ไปของเรื่องแบบนี้เจาะลึกที่สุด และผมรับประกันได้ว่าจะหาฟังที่ไหนไม่ได้อีกแล้วครับ


เอาล่ะ มันมีปฏิบัติการ 1027 กับการกวาดล้างจีนเทาชายแดนรัฐฉาน ท่านผู้ชมคงสงสัยว่าปฏิบัติการ 1027 คืออะไร ? เป็นปฏิบัติการที่เกิดขึ้นจากกองกำลังกลุ่มพันธมิตรพี่น้องชาติพันธุ์ ซึ่งรวมตัวกันในนามพันธมิตรภาคเหนือ ใช้เรียกขานการบุกโจมตียึดที่มั่นของทหาร-ตำรวจพม่าหลายจุด หลายเมืองในภาคเหนือของรัฐฉาน เริ่มต้นตอนเช้ามืดวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม และในเวลาต่อมาขยายไปเป็นเพื่อการสู้รบกับกองกำลังรัฐบาลทหารพม่าภายใต้การนำของ พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐประหารโค่นกลุ่มการเมืองจากพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ของนางอองซาน ซูจี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564


ในเวลาต่อมาเครือข่ายของพรรคนางอองซาน ซูจี ได้ตั้งรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติเมียนมา หรือ "รัฐบาลเงา" ขึ้นมา ต่อต้านรัฐบาลทหารที่นำโดย พล.อ.มิน อ่อง หล่าย พร้อมกับจัดตั้งกองกำลังพิทักษ์ประชาชนขึ้นมาจับอาวุธต่อสู้ด้วย


ท่านผู้ชมคงจะรู้เรื่องเมียนมา หรือ พม่า อยู่บ้าง คงทราบดีว่าในพม่านั้นมีกลุ่มชาติพันธุ์แตกแยกย่อยออกไปนับร้อยกลุ่ม แต่ในทั้งหมดร้อยกว่ากลุ่มนี้ถูกแบ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลัก 8 กลุ่ม ได้แก่ 1) ชาวพุทธพม่า 2) ชาวคะฉิ่น 3) ไทใหญ่ 4) ชิน 5) ยะไข่ 6) กะยา 7) กะเหรี่ยง และ 8) มอญ

กองกำลังกลุ่มพันธมิตรพี่น้องชาติพันธุ์นั้นประกอบด้วย 3 กลุ่ม คือ 1) กองกำลังโกก้าง 2) กองกำลังตะอั้ง และ 3) กองกำลังอาระกัน


อย่างไรก็ตาม ไม่มีตัวเลขชัดเจนว่ากำลังคนของ 3 กลุ่มนี้ เมื่อรวมกันแล้วมีเท่าใด แต่ตัวเลขที่สื่อตะวันตกนำเสนอหลังเริ่มมีปฏิบัติการ 1027 บอกว่ามีประมาณ 15,000 นาย หากจะว่าไป ตัวเลข 15,000 นาย จะถือว่าน้อยก็ไม่น้อย แต่จะถือว่ามาก ก็ไม่มากนะครับ

ประเด็นสำคัญไปกว่ากองกำลัง 15,000 นาย เป็นที่ทราบกันอยู่ว่า ปฏิบัติการ 1027 นั้น มีรัฐบาลจีนหนุนหลัง 3 กองกำลังกลุ่มพันธมิตรพี่น้องชาติพันธุ์นี้อยู่ เพื่อให้ช่วยดำเนินการกวาดล้างทุนจีนสีเทาในเขตรัฐฉานตอนเหนือที่ติดชายแดนจีน


ทั้งหมดนี้ส่งผลให้พม่าตกอยู่ในความวุ่นวายยิ่งกว่าช่วงการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เรียกได้ว่าเป็นความวุ่นวายและไร้เสถียรภาพที่สุดในรอบหลายสิบปี จนมีการคาดเดาและหวั่นเกรงว่าพม่าอาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ หรือหากจะเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์จีนโบราณ คือ ยุคสงครามระหว่างรัฐ หรือที่เรียกว่า จ้านกั๋ว ในช่วงก่อนก่อตั้งราชวงศ์ฉิน ของจิ๋นซีฮ่องเต้ หรือถ้าเราจะเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์จีนในยุคถัดๆ มาก็คล้ายคลึงกับยุคสามก๊ก ค.ศ.220-280 ในประเทศจีน เมื่อสองพันปีก่อน อันเป็นการตั้งยันกันระหว่าง 3 ฝ่าย คือ รัฐเว่ย หรือวุ่ยก๊ก นำโดยโจโฉ รัฐซู หรือที่เรียกว่า จ๊กก๊ก นำโดยเล่าปี่ และรัฐอู๋ หรือง่อก๊ก นำโดยซุนกวน

กลับมาถึงสามก๊กในพม่าในยุคปัจจุบันกันต่อ สถานการณ์สามก๊กในพม่าในยุคปัจจุบันนั้นสามารถแบ่งฝักแบ่งฝ่ายต่างๆ ได้ดังนี้ ก๊กที่หนึ่ง คือกองทัพของรัฐบาลทหาร ก๊กที่สอง กองทัพชาติพันธุ์ต่างๆ และ ก๊กที่สาม คือกองกำลังพิทักษ์ประชาชน ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลพม่า


ปฏิบัติการ 1027 เริ่มขึ้นตั้งแต่เช้ามืด เวลาตีสี่ของวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2566 มีการแบ่งกองกำลังเป็นชุดๆ ประกอบด้วย 1) ทหารโกก้าง เข้าบุกโจมตียึดฐานทหารพม่าในรัฐฉาน ประกอบไปด้วย เมืองเล่าก์ก่าย เมืองชิงส่วยเหอ เมืองกุ๋นหลง ซึ่งอยู่ในเขตปกครองตนเองของโกก้าง และยึดฐานที่อยู่ตามแนวทางหลวงหมายเลข 34 ตั้งแต่ชายแดนชิงส่วยเหอ มาถึงรอบๆ ตัวเมืองแสนหวี จังหวัดล่าเสี้ยว 2) ทหารโกก้างอีกส่วนหนึ่ง บุกโจมตีและยึดฐานพม่ารอบเมืองโก กับเมืองป่างชาย ชายแดนรัฐฉานกับจีน ในจังหวัดหมู่เจ้ รวมถึงโจมตีหนว่ยทหารพม่าอีกบางจุดในเมืองหมู่เจ้ 3) ทหารตะอั้ง บุกโจมตีฐานทัพพม่าในเมืองน้ำคำ กับอีกบางจุดในเมืองหมู่เจ้ และฐานทัพพม่าที่ตั้งอยู่ตามแนวทางหลวงหมายเลข 3 ตั้งแต่ชายแดนเมืองหมู่เจ้ เมืองน้ำผักกา เมืองก๊ดขาย ลงมาถึงเมืองแสนหวี 4) ทหารตะอั้ง และทหารอาระกัน ร่วมกันบุกโจมตีฐานพม่าที่ตั้งอยู่รอบๆ เมืองล่าเสี้ยว เมืองจ๊อกแม และเมืองหนองเขียว ในจังหวัดจ๊อกแม รวมทั้งเข้ายึดสะพานก๊กตวิน ด้านล่างสุดของหุบเขาก๊กเต๊ก ที่ลึกประมาณ 600 เมตร ซึ่งเป็นจุดเชื่อมเมืองปินอูลวิน ภาคมัณฑะเลย์ กับเมืองหนองเขียว จังหวัดจ๊อกแม รัฐฉาน และเป็นคอขวดที่มีความสำคัญมากของทางหลวงหมายเลข 3


ท่านผู้ชมครับ ปฏิบัติการ 1027 ทำให้เกิดภาวะสงครามที่ขยายวงกว้างไปทั่วทางภาคเหนือของรัฐฉาน ตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2566 จนถึงขณะนี้เข้าเดือนธันวาคม 2566 เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ในหลายจุดยังมีการรบกันอยู่อย่างดุเดือด


ผมจะเล่าเรื่องสายสัมพันธ์ 3 พันธมิตรภาคเหนือ กับจีน ถ้าท่านผู้ชมดูแผนที่ จะเห็นว่าทางตอนเหนือของพม่า ทั้งรัฐฉาน และคะฉิ่น มีพรมแดนติดต่อกับจีนยาวถึง 2,000 กิโลเมตร ย้อนอดีตไปนิดหนึ่ง เมื่อ 7 ปีที่แล้ว กองกำลังกลุ่มพี่น้องชาติพันธุ์ได้รวมตัวกันในนามพันธมิตรภาคเหนือ ภาษาจีนเรียกว่า เป่ยฟางเหลียนเหมิน จัดตั้งขึ้นเมื่อกลางปี 2559 เป็นการรวมตัวกันของกองกำลังติดอาวุธ 4 กลุ่ม นอกจาก 3 กองทัพชาติพันธุ์ กองทัพโกก้าง กองทัพตะอั้ง และกองทัพอาระกัน ที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังมีกองทัพเอกราชคะฉิ่นร่วมด้วยอีก 1 กรุ๊ป


ท่านผู้ชมครับ จุดเริ่มต้นของพันธมิตรภาคเหนือ คือการสนธิกำลังบุกโจมตีฐานของทหารพม่าที่ตั้งอยู่ในเมืองหมู่เจ้ ช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 ซึ่งถ้าหากดูจากแผนที่แล้วเมืองหมู่เจ้ตั้งอยู่ตรงข้ามเมืองรุ่ยลี่ เขตปกครองตนเองของชาติไต และจิ่งกัวเต๋อหง มณฑลยูนนาน โดยจุดนี้เป็นประตูการค้าที่สำคัญที่สุดในการค้าขายข้ามพรมแดนระหว่างประเทศพม่ากับประเทศจีน

นอกเรื่องนิดหนึ่ง เมืองรุ่ยลี่ ผมเคยไปเที่ยว สมัยที่ผมไปเมืองจีนใหม่ๆ ในยุค พ.ศ. 2535 หรือประมาณสามสิบเอ็ดปีที่แล้ว เป็นเมืองชายแดนที่สงบ ร่มรื่นมาก แล้วก็มีการค้าขาย มีกิจกรรมทั้งถูกกฎหมายและนอกกฎหมายเต็มไปหมด แต่เป็นเรื่องที่สงบเพราะถูกจีนควบคุมอย่างเข้มแข็ง มูลค่าทางการค้าระหว่างสองประเทศที่ผ่านด่านชายแดนแห่งนี้ในแต่ละปีสูงกว่า 175,000 ล้านบาท ทีเดียว


นอกจากปัจจัยด้านความสัมพันธ์ทางการค้าแล้ว รัฐฉานและจุดผ่านแดนรุ่ยลี่ หมู่เจ้ ยังมีความสำคัญต่อจีนเป็นอย่างยิ่งในเชิงยุทธศาสตร์ คือพื้นที่นี้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ที่สำคัญ ตามข้อริเริ่ม "1 แถบ 1 เส้นทาง" ของจีน เพราะว่าเป็นทางเชื่อมแผ่นดินใหญ่จีนออกสู่มหาสมุทรอินเดียที่สั้นที่สุด


ท่านผู้ชมดูแผนที่นะครับ ทางรถไฟจากเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน หรือว่าจากเมืองคุนหมิง มณฑลยุนนาน ลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เข้าสู่พม่าที่ชิงส่วยเหอ ชายแดนรัฐฉาน-จีน ในเขตปกครองตนเองโกก้าง ระยะทางยาวประมาณ 150 กิโลเมตร ทางรถไฟจากหลินชาง เมื่อเข้าสู่พม่าที่ชิงส่วยเหอแล้ว จะวิ่งผ่านเมืองกุ๋นหลง แสนหวี ไปบรรจบกับทางรถไฟอีกเส้นหนึ่งที่จีนกำลังเตรียมสร้างมาจากชายแดนหมู่เจ้-รุ่ยลี่ ที่จังหวัดล่าเสี้ยว

จากนั้น ทางรถไฟจะวิ่งจากล่าเสี้ยว ผ่านจ๊อกแม หนองเขียว มัณฑะเลย์ มุ่งสู่ชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย โดยมีปลายทางอยู่ที่ท่าเรือน้ำลึกเจ้าผิ่ว รัฐยะไข่ ซึ่งสำคัญมาก เป็นต้นทางของท่อก๊าซและน้ำมันพม่า-จีน ยาว 770 กิโลเมตร อีกด้วย


ผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว ตอนที่พม่ามีความวุ่นวายในยุคของอองซาน ซูจี กับ มิ่น อ่อง หล่าย นั้น จีนได้ส่งทหารนอกเครื่องแบบเกือบๆ 1 แสนคน เข้าไปที่ยะไข่ เพื่อคุ้มกันและคุ้มครองท่อส่งก๊าซ ท่อส่งน้ำมัน ที่ออกจากเมืองเจ้าผิ่ว แล้วส่งผ่านพม่า แล้วเข้าไปสู่ประเทศจีน มีการวางเป้าหมายว่าหลินชางจะเป็นเมืองศูนย์กลางของจีนสำหรับเชื่อมกับมหาสมุทรอินเดียผ่านรูปแบบการคมนาคมที่หลากหลาย ทั้งทางเรือ ถนน รถไฟ โดยมีปลายทางในจีนอยู่ที่เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ส่วนระยะทางท่าเรือน้ำลึกเจ้าผิ่ว รัฐยะไข่ ถึงเมืองเฉิงตู ยาว 1,170 กิโลเมตร โดยหากเส้นทางคมนาคมสายนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์ เมื่อสินค้าจากมหาสมุทรอินเดียมาขึ้นฝั่งที่เจ้าผิ่ว จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 วันเท่านั้นก็จะถึงเฉิงตู ลดเวลาการเดินทางของสินค้าจากเดิม ซึ่งใช้เวลาถึง 25 วัน ให้เหลือแค่ 3 วัน จากนั้นสินค้าก็จะกระจายจากเมืองเฉิงตูออกไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศจีน

เอาล่ะ เรากลับมาที่เรื่องพันธมิตรภาคเหนือของกลุ่มชาติพันธุ์พม่า ท่านผู้ชมเข้าใจภูมิรัฐศาสตร์ดีแล้วนะครับ ว่าสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อกี้นี้มีความสำคัญต่อจีนเพียงใด


นอกเหนือจากการรวมตัวของ 3 กองทัพในนามพันธมิตรภาคเหนือแล้ว ทั้งกองทัพเอกราชคะฉิ่น กองทัพโกก้าง กองทัพตะอั้ง และกองทัพอาระกัน ยังเป็นสมาชิกในองค์กรของกองกำลังชาติพันธุ์ 7 กลุ่ม ที่รวมตัวกันในนามคณะกรรมการเจรจาทางการเมือง โดยสมาชิกของคณะกรรมการนี้เหลือ 3 กลุ่ม ได้แก่ กองทัพสหรัฐว้า กองทัพเมืองลา กองทัพพรรคก้าวหน้ารัฐฉาน หรือที่รู้จักกันในนามกองทัพรัฐฉานเหนือ

คณะกรรมการเจรจาทางการเมืองได้มีการจัดตั้งขึ้นในเดือนเมษายน 2565 จากการผลักดันของรัฐบาลจีน โดยมีกองทัพสหรัฐว้าเป็นแกนนำ เป็นการรวมกลุ่มของกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ไม่ได้เซ็นสัญญาหยุดยิงทั่วประเทศกับรัฐบาลพม่า เพื่อใช้เป็นองค์กรกลางเพื่อต่อรองกับรัฐบาลพม่า เพื่อไม่ให้แยกเจรจากันเป็นรายกลุ่ม พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าจะคุยก็คุยกันทั้งกลุ่มเลย พูดง่ายๆ คือ จีนผลักดันให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการชุดนี้เพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองกำลังชาติพันธุ์ที่เป็นสมาชิกทั้ง 7 กลุ่ม


ด้วยเหตุนี้ฐานบัญชาการใหญ่ของกองทัพเอกราชคะฉิ่น กองทัพโกก้าง กองทัพสหรัฐว้า และกองทัพเมืองลา อยู่ติดชายแดนมณฑลยูนนาน (จีน) คนส่วนใหญ่ในกองทัพ 4 ส่วนนี้ล้วนมีความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติกับคนที่อยู่ฝั่งจีน เพราะเป็นชาติพันธุ์เดียวกัน คือชนชาติฮั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพโกก้าง ซึ่งชาวโกก้างคือใคร ? คือชาวจีนเชื้อสายฮั่นที่อพยพมาตั้งรกรากอยู่บริเวณนี้ตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน แต่หลังจากอังกฤษและจีนตกลงปักปันเขตแดนกันแล้ว เมืองเล่าก์ก่าย ซึ่งเป็นถิ่นฐานหลักของชาวโกก้าง ถูกขีดเส้นกำหนดให้อยู่ฝั่งรัฐฉาน แต่ทุกวันนี้ชาวโกก้างยังสื่อสารกันด้วยภาษาจีนกลาง ทั้งการพูดและการเขียน


พอพูดมาถึงตรงนี้แล้ว ท่านผู้ชมสงสัยไหมว่าชาวโกก้างคืออะไร ? ชาวโกก้าง เป็นหนึ่งในตัวละครเอกของความวุ่นวายครั้งนี้ ชาวจีนโกก้าง หรือชาวโกก้าง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศพม่า โดยชาวจีนที่พูดภาษาจีนกลาง ซึ่งจริงๆ แล้วชาวโกก้างเป็นชาวฮั่นที่้อพยพมาจากตอนกลางของประเทศจีน ในยุคปลายราชวงศ์หมิง ต้นราชวงศ์ชิง ก็คือว่าตอนที่ราชวงศ์หมิงล่มสลาย และราชวงศ์ชิงเข้ามาสวมแทนราชวงศ์หมิง

ชาวโกก้าง คือคนจีนที่อยู่ทางภาคกลางของจีน ตัดสินใจอพยพตัวเองหนีราชวงศ์ชิง เพราะตัวเองจะยืนอยู่ราชวงศ์หมิง แต่กลัวว่าราชวงศ์ชิงจะปราบปราม ก็เลยย้ายลงมา ประมาณ 300 ปีก่อน

ท่านผู้ชมเคยดูหนังเรื่อง ขุนศึกตระกูลหยาง ใช่ไหม เมื่อ 300 ปีก่อน คนตระกูลหยางทั้งหมดเป็นนักรบ ได้อพยพหนีภัยจากเมืองนานจิง ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์หมิง ลงมาอยู่ในมณฑลยูนนาน พร้อมกับกลุ่มคนที่จงรักภักดีกับราชวงศ์หมิงอีกจำนวนหนึ่ง พอ พ.ศ.2383 (ค.ศ.1840) กลุ่มคนเหล่านี้ได้อพยพต่อลงมาตั้งหลักปักฐานในดินแดนที่เป็นรัฐฉานปัจจุบัน เมื่อได้อาณาเขตที่ชัดเจน คนอพยพกลุ่มนี้ได้สร้างเมืองของตนขึ้นมา เรียกว่า เมืองโกก้าง ได้รับการรับรองจากฮ่องเต้จีน มอบตราตั้งให้คนตระกูลหยางขึ้นเป็นเจ้าเมือง


(รูป) เผิงเจียเซิง อดีตผู้นำโกก้าง กำลังอ่านหนังสือภาษาจีนอยู่)

ทุกวันนี้เนื้อหาในเพจข่าวโกก้าง ใช้ภาษาจีนเกือบจะทั้งหมด 90 กว่าเปอร์เซ็นต์


ในยุคที่ตะวันตกล่าอาณานิคม ค.ศ.1890 (พ.ศ.2433) เมื่ออังกฤษได้เข้าครอบครองหัวเมืองทั้งหมดของชาวไทใหญ่ กำหนดให้เป็นดินแดนภายใต้อารักขาของอังกฤษ จีนและอังกฤษได้แบ่งเขตแดนระหว่างกันให้ชัดเจน เมืองไทใหญ่หลายเมืองถูกผนวกเข้าไปอยู่ในดินแดนจีน แต่เมืองโกก้างกลับถูกรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรัฐฉานของพม่า

ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองโกก้างได้จัดตั้งกองทัพของตนเองขึ้นมาภายใต้การสนับสนุนของกองทัพก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ก ที่พ่ายแพ้ต่อกองทัพพรรคคอมมิวนิสต์จีน กองทัพโกก้างก็เลยต้องถอยร่นเข้ามาในรัฐฉาน กองทัพโกก้างมีทายาทสตรีตระกูลหยาง นาม หยางเจินซิว หรือ นางโอลีฟ หยาง เป็นผู้นำ เสียชีวิตไปแล้วเมื่อปี 2560 ในวัย 90 ปี มีแม่ทัพคนสำคัญคือ เผิงเจียเซิง และ หลอซิงฮั่น

2505 (ค.ศ.1962) เมื่อนายพลเนวิน ยึดอำนาจ ขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาลเผด็จการทหาร ปกครองพม่า ได้ส่งทหารมาจับกุมเจ้าฟ้าไทใหญ่ เจ้าฟ้าโกก้าง รวมถึงนางโอลีฟ หยาง ผู้นำกองทัพโกก้าง ไปกักขังไว้ ซึ่งเจ้าฟ้าหลายรายก็เสียชีวิตภายหลัง


เผิงเจียเซิง แม่ทัพคนสำคัญของกองทัพโกก้าง หนีกองทัพพม่าไปอยู่ในจีน ส่วนหลอซิงฮั่น ยังคงอยู่ในเมืองโกก้าง ต่อมานายหลอซิงฮั่น เป็นราชายาเสพติดที่ทางการสหรัฐฯ ต้องการตัว โดยเป็นจุดเริ่มต้นของชาวโกก้าง และกองทัพโกก้าง ในการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า


(รูป ซ้ายคือหลอซิงฮั่น ขวาคือเผิงเจียเซิง มันคือทหารจีนดีๆ นั่นเองล่ะครับ แต่เผอิญต้นตระกูลของพวกเขาย้ายมาเมื่อสามร้อยปีที่แล้ว มาอยู่ที่โกก้าง รัฐฉาน

ในช่วงปี 2503-2532 พื้นที่กลุ่มโกก้างถูกควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์พม่า ซึ่งเคลื่อนไหวภายใต้การสนับสนุนของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจากแผ่นดินใหญ่ แม้ผู้นำพรรคเป็นชาวพม่า แต่ก็ใช้กองกำลังกลุ่มโกก้าง และว้า เป็นปีกทหารคอยควบคุมของพรรคในดินแดนแถบนี้ ต่อมา ในปี 2532 หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์พม่าสลายตัวลง กองกำลังโกก้างได้ผันตัวไปเป็นกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา โดยมีเผิงเจียเซิงเป็นผู้นำ

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้โกก้างมีความแนบชิดสนิทกับจีน ทั้งเชื้อชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ ภาษา วัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ และวิถีชีวิต ระบบการเงินในโกก้างก็นิยมใช้เงินหยวนเป็นสกุลเงินหลักของพื้นที่ รวมทั้งใช้สถาบันการเงินของจีนมากกว่าของพม่า


ให้ผมสรุปสั้นๆ เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ในความเป็นจริงแล้ว ในทางประวัติศาสตร์และข้อเท็จจริงแล้ว เขตปกครองตัวเองโกก้าง จริงๆ แล้วถ้ามองในแง่ภูมิรัฐศาสตร์สมัยนี้ มันเป็นรัฐกันชน (Buffer State) ของจีนกับพม่า ซึ่งจีนยังต้องการมีอิทธิพลเหนือพื้นที่ชายแดนแห่งนี้อยู่ ด้วยเหตุผลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชิงเศรษฐกิจ ความมั่นคง การค้า ผลประโยชน์ต่างๆ ในการเป็นพื้นที่ทางผ่าน ในการคมนาคม และการลำเลียงพลังงาน


ท่านผู้ชมครับ ผมจะเล่าเรื่องเมืองเล่าก์ก่าย ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแก๊งจีนสีเทา ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา พื้นที่โกก้างเหมือนพื้นที่สีเทา ตามบริเวณชายแดนต่างๆ มันจะเกี่ยวกับธุรกิจสีเทา-สีดำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาเสพติดอย่างฝิ่นและเฮโรอีน อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ยี่สิบปีก่อน ในปี 2545 โกก้างได้ประกาศเป็นพื้นที่ปกครองปลอดยาเสพติดอย่างสิ้นเชิง มีการปราบปราม ลงโทษผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง โดยกองทัพโกก้าง นำโดยเผิงเจียเซิง ประกาศใช้นโยบายพื้นที่ปลอดฝิ่้น รัฐบาลทหารพม่าก็เห็นดีเห็นงามด้วย จึงอนุญาตให้มีการเปิดบ่อนกาสิโนในเมืองเล่าก์ก่ายได้เพื่อทดแทนรายได้ที่หายไปจากยาเสพติด

2546 ยี่สิบปีที่แล้ว สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ เขียนรายงานการมาเยือนเมืองเล่าก์ก่าย พบว่าการบริหารของรัฐบาลท้องถิ่นโกก้าง ภายใต้การนำของเผิงเจียเซิง มีนโยบายให้กาสิโนและผู้ประกอบการรายย่อยต่างๆ เปิดให้บริการอาหารจีน เพื่อเอาใจนักเล่นการพนันจากฝั่งจีน โดยเปิดขายอาหารจีนตั้งแต่จุดตรวจชายแดนจีน-พม่านั้นเลย ถึงปี 2563 เมื่อสามปีที่แล้ว เมืองเล่าก์ก่ายมีบ่อนกาสิโนมากมายถึง 30 แห่งแล้ว ให้บริการ 24 ชั่วโมง ตลอดทั้งปี ผลตอบแทนจากกาสิโน โรงแรม และสถานบันเทิงต่างๆ ที่สูงลิบลิ่วส่งผลให้มีการดึงดูดแรงงานไทยและสาวไทยบางส่วน ทั้งแบบสมัครใจและถูกหลอกไปค้าประเวณีที่เขตโกก้างนี้ โดยหญิงสาวที่ไปค้าประเวณีที่เมืองเล่าก์ก่าย รัฐฉาน เคยเล่าให้ฟังว่า ไปถึงที่นั่นแล้ว ได้รายได้เฉลี่ยเดือนละ 100,000-200,000 บาทต่อเดือน ช่างคุ้มค่าอะไรเช่นนี้


ธุรกิจที่เฟื่องฟูอย่างมากที่เมืองเล่าก์ก่าย ยังดึงดูดบรรดาจีนเทา ("จีนเทา" คือผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย หรือเป็นอาชญากรชาวจีนที่หลบลี้หนีรอดการจับกุมจากประเทศจีน เข้ามาแสวงพื้นที่ทำมาหากินที่เมืองชายแดนในประเทศพม่าแห่งนี้ด้วย) โดยที่ชายแดนรัฐฉานกับจีนนั้น ถือเป็นแหล่งใหญ่มากที่มีจีนเทานับพันๆ คนมาปักหลักอาศัยอยู่ ใช้ประกอบอาชญากรรม เริ่มจากการเป็นเจ้าของโรงแรม ร้านอาหาร ร้านคาราโอเกะ ตามมาด้วยการเปิดบ่อนการพนัน

ต่อมาเมื่อมีการแพร่ระบาดโควิด-19 ในปี 2563 บ่อนการพนันที่มีการเปิดไว้ถูกแปรสภาพให้กลายเป็นบ่อนการพนันออนไลน์ และต่อยอดด้วยธุรกรรมฉ้อโกงผ่านระบบออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"


การลงทุนของเหล่าจีนเทาตามแนวชายแดน ทำให้เกิดอาชญากรรมต่อเนื่องตามมาอีกหลายประเภท ทั้งเรื่องการค้ามนุษย์ ยาเสพติด ไปจนถึงการทำร้ายร่างกาย ทรมาน และฆาตกรรม มีการหลอกลวงหญิงสาวหน้าตาดีจากหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงไทยหลายร้อยคน ให้ลักลอบออกเดินทางไปทำงานกับธุรกิจสีเทาในพื้นที่เหล่านี้ ใช้ตัวเลขผลตอบแทนสูงลิ่วเป็นสิ่งล่อตาล่อใจ


เมืองหลักที่ถูกใช้เป็นแหล่งทำมาหากินของแก๊งจีนสีเทา ได้แก่ เมืองหมู่เจ้ เมืองเล่าก์ก่าย เมืองชิงส่วยเหอ เมืองป๋างซาง เมืองป๊อก เมืองลา ตามแนวชายแดนรัฐฉาน-จีน รวมถึงเมืองท่าขี้เหล็ก ในสามเหลี่ยมทองคำ เมืองสาตอน ชายแดนรัฐฉาน-จังหวัดเชียงใหม่ และเมืองเมียวดี ชายแดนรัฐกะเหรี่ยง-อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เจ้าเก่า ที่ผมเคยเล่าให้ฟังมาตลอด เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการจีนเทาที่ไปปักหลักอยู่ที่เมืองโกก้าง

ทั้งนี้ทั้งนั้น เมืองเล่าก์ก่าย เป็นเมืองหลวงของเขตปกครองตนเองโกก้าง เป็นเหมือนศูนย์กลางใหญ่ของแก๊งจีนสีเทาทั้งหมด


ท่านผู้ชมครับ 2565 หลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลายเป็นต้นมา รัฐบาลปักกิ่งเริ่มมีปัญหากับจีนเทาที่ทำมาหากินอยู่ตามตะเข็บชายแดนอย่างเด็ดขาด เพราะคอลเซ็นเตอร์พวกนี้อาละวาดไปหมด ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน แต่รุกเข้าไปในประเทศจีนด้วย ก็เลยขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน ในทุกประเทศ จีน พม่า ไทย ลาว กัมพูชา ได้ทำข้อตกลงเพื่อร่วมมือกันปราบปรามอาชญากรรมที่จีนเทาทำเอาไว้ในพื้นที่ให้ราบคาบ ทางการจีนถึงกับมีคำสั่งให้ประชากรชาวจีนที่อาศัยอยู่ในโกก้างเดินทางกลับมารายงานตัวภายในปีนี้ มิฉะนั้นจะถูกยึดบัญชีธนาคาร ตัดซิมโทรศัพท์มือถือ แม้กระทั่งยกเลิกทะเบียนบ้าน

อย่างไรก็ตาม สหายสนิทผู้มากบารมีในเขตโกก้างที่จีนไว้ใจมากอย่างเผิงเจียเซิง กลับเสียชีวิตไปก่อนหน้า


การเสียชีวิตของเผิงเจียเซิง วัย 94 ถูกประกาศออกมาเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 พิธีศพถูกจัดขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ เป็นเวลา 3 วัน ระหว่างวันที่ 29-31 มีนาคม ณ สนามกีฬากลาง ภายในเขตพิเศษหมายเลข 4 เมืองลา ตรงข้ามกับเขตปกครองตนเองของเมืองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน มีผู้เข้าร่วมงานกว่าสามพันคน แม้กระทั่ง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ยังได้ส่งพวงหรีดดอกไม้สีขาวขนาดใหญ่ไปร่วมแสดงความเสียใจ พร้อมกับมอบหมายให้ พล.ต.มินทุน ผู้บัญชาการกองทัพภาคสามเหลี่ยมจังหวัดเชียงตุง ได้เดินทางไปร่วมงานด้วยตัวเอง


(รูป) เผิงต้าเซิง หรือ เผิงเต๋อเหริน ผู้บัญชาการกองทัพโกก้าง และบุตรชายของเผิงเจียเซิง กำลังกล่าวคำไว้อาลัยให้กับบิดา

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนที่อยู่เบื้องหลังแก๊งอาชญากรรมจีนเทา คือบรรดาผู้มีอิทธิพลในเมืองเล่าก์ก่าย กลุ่มที่สำคัญที่สุดมีอยู่ 4 ตระกูลดัง 1. ตระกูลไป๋ (แซ่ไป๋) 2. ตระกูลหลิว (แซ่หลิว) 3. ตระกูลเว่ย (แซ่เว่ย) 4. ตระกูลหลิวเช่นกัน แซ่ซ้ำกัน สี่ตระกูลนี้ได้ยึดอำนาจการปกครองไปจากผู้ปกครองเดิม คือ เผิงเจียเซิง ซึ่งเสียชีวิตเมื่อปี 2565 และส่งอำนาจต่อให้กับลูกชาย

คนทั้ง 4 ตระกูลต่างเป็นลูกน้องของเผิงเจียเซิง กลับไม่เห็นด้วยกับนโยบายการเปลี่ยนธุรกิจเขตโกก้างเป็นธุรกิจสีขาว ถูกกฎหมาย ก็เลยสมคบกับผู้บริหาร นักการเมือง ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์ชายแดน และที่สำคัญ ร่วมมือกับกองทัพพม่าให้การสนับสนุน เนื่องจากทหารพม่าหลายนายได้รับผลประโยชน์จากอาชญากรรมเหล่านี้ แต่ละปีสร้างรายได้เป็นจำนวนมหาศาล บุกเข้าไปยึดอำนาจในที่สุด คนทั้ง 4 ตระกูลดังกล่าวยังเป็นพันธมิตรกับคนตระกูลหมิง (ตระกูลหมิงคือตระกูลที่ประกอบธุรกิจสีเทาในเขตโกก้าง)


(รูป) สมาชิก 4 คน ของตระกูลหมิง ผู้มีอิทธิพลและคุมแก๊งจีนเท่า ที่ขยายเครือข่ายอาชญากรรมไปในหลายเมืองตามชายแดนรัฐฉานและจีน

เมื่อ 4 ตระกูลดังร่วมกับทหารพม่า ร่วมกันยึดอำนาจ ทำให้ลูกชายของเผิงเจียเซิงต้องหลบหนี นำกองกำลังตัวเองไปตั้งฐานตัวเองอยู่ในเขตป่าเขาแทน ทำให้รัฐบาลเมื่อขอความร่วมมือมาจากไทย พม่า สปป.ลาว และกัมพูชา ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพราะส่งผลกระทบต่อชาวจีนที่ถูกหลอกไปทำงาน ทางรัฐบาลทหารพม่าให้ความร่วมมือจีนกวาดล้างแก๊งอาชญากรรม คอลเซ็นเตอร์ ธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่ท่าขี้เหล็ก และเมืองเมียวดี สามารถช่วยชาวจีนที่ถูกหลอก กลับประเทศได้ถึง 3,000-4,000 คน แต่ปรากฏว่า ในเขตปกครองตนเองของโกก้าง ที่ปกครองโดย 4 ตระกูลดัง และมีความสัมพันธ์กับตระกูลหมิง เจ้าพ่อธุรกิจสีเทา กลับไม่ให้ความร่วมมือ ทางการจีนจึงส่งสายลับตำรวจเข้าไปในเขตดังกล่าว 4 คน และเมื่อพบการเคลื่อนย้ายเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สายลับที่แฝงตัวในกลุ่มเหยื่อจึงแสดงตัวว่ามาจากทางการจีน และขอให้ยุติการเคลื่อนย้าย สุดท้ายแล้ว สายลับของจีนก็คงจะเป็นหน่วยงานราชการสืบความลับของจีน ถูกฆ่าและฝังไปเลย


นี่เป็นจุดแตกหักที่รัฐบาลปักกิ่งตัดสินใจใช้ไม้แข็งสั่งสอนรัฐบาลทหารพม่า ซึ่งรัฐบาลทหารพม่าอยู่เบื้องหลัง 5 ตระกูลดังแห่งโกก้าง เพื่อกวาดล้างปัญหาจีนเทา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด


ท่านผู้ชมครับ ด้วยเหตุนี้สงครามทางภาคเหนือของรัฐฉานในขณะนี้จึงเปรียบได้กับการสั่งสอนของทางการจีนต่อรัฐบาลทหารพม่าที่ใส่เกียร์ว่าง เพิกเฉยต่อคำขอของฝ่ายจีน ไม่ยอมจัดการกับขบวนการหลอกลวง และเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของจีนที่มีมหาศาลในพม่า จำนวนสมาชิกขบวนการหลอกลวงออนไลน์มากกว่า 31,000 คน ที่ถูกส่งตัวให้กับจีน หลังจากกองกำลังพันธมิตร 3 ฝ่าย บุกยึดพื้นที่ในตอนเหนือของรัฐฉานได้ สร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนจำนวนมาก และเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าขบวนการหลอกลวงที่มีฐานในพม่ามีขนาดใหญ่โตมโหฬาร โดยฝ่ายจีนประเมินว่า ผู้เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้น่าจะมีมากกว่า 1 แสนคน


ระยะเวลาเพียงแค่ 3-4 สัปดาห์ หลังจากที่ 3 กองกำลังพันธมิตรภาคเหนือปฏิบัติการ 1027 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2566 สามารถยึดพื้นที่ภาคเหนือของพม่าได้มากขึ้นเรื่อยๆ อาวุธที่จัดเต็ม แน่นอนที่สุดมาจากจีน มีทั้งโดรน เครื่องยิงระเบิด ปืนสงคราม มีแม้กระทั่งโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม ซึ่งจีนเป็นคนสนับสนุนให้

(ภาพด้านล่าง) ภาพทหารพันธมิตรภาคเหนือพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์แบบเต็มพิกัดเข้ายึดฐานของฝ่ายกองกำลังทัพพม่า อาวุธ อุปกรณ์ทันสมัย เทคโนโลยีทันสมัยที่พันธมิตรภาคเหนือใช้นั้นมีจำนวนมาก ไม่ได้ระบุว่าผลิตจากที่ไหน แต่เป็นที่รู้กันว่าเป็นของจีน


โฆษกกองกำลังพันธมิตรภาคเหนือยอมรับว่า จีนได้ร้องขอความร่วมมือให้ปราบจีนเทา เพราะกองทัพพม่าไม่ยอมให้ความร่วมมือตามที่จีนต้องการ ขณะเดียวกัน โฆษกของกองทัพพม่าได้แถลงผ่านสื่อของทางการว่า สงครามครั้งนี้มีการแทรกแซงจากต่างชาติ ให้การสนับสนุนเงินทุนและอาวุธ แต่ไม่กล้ากล่าวถึงประเทศไหนโดยตรง


นอกจากนี้แล้ว ยังมีกลุ่มสนับสนุนรัฐบาลทหารพม่าไปประท้วงหน้าสถานทูตจีนประจำเมืองย่างกุ้ง อ้างว่ารัฐบาลจีนแทรกแซงกิจการภายใน สนับสนุนกลุ่มชาติพันธุ์ให้เปิดฉากสู้รบในพื้นที่ทางตอนเหนือรัฐฉานด้วย


ท่านผู้ชมครับ คำถามที่น่าสนใจคือว่า ทำไมจีนต้องถึงขั้นสนับสนุนกองกำลังพันธมิตร 3 ฝ่าย เปิดศึกในรัฐฉาน ? คำตอบ ก็เพราะว่าจีนทนไม่ไหวที่รัฐบาลทหารพม่าเพิกเฉยต่อคำขอของจีนที่ให้จัดการกับขบวนการหลอกลวงที่มีคนจีน คนไทย และประชาชนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของขบวนการนี้ ในที่สุดจีนเลยตัดสินใจถอนรากถอนโคนขบวนการหลอกลวงให้สิ้นซาก ด้วยการเปลี่ยนตัวผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์โกก้างที่ปกครองพื้นที่ตอนเหนือรัฐฉาน ที่เป็นฐานปฏิบัติการใหญ่ของขบวนการนี้

เมื่อเราย้อนไปดูเหตุการณ์ที่ผ่านมา จะพบว่าทางการจีนได้ใช้ความพยายามหลายต่อหลายครั้งส่งผู้บริหารไปทุกระดับไปเจรจากับรัฐบาลพม่าที่กรุงเนปิดอว์เพื่อให้จัดการเรื่องนี้ เริ่มต้นจากวันที่ 4 เมษายน 2566 ส่งตัวแทนระดับมณฑล คือ นายหวังหนิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำมณฑลยูนนาน หรือว่าเป็นผู้ใหญ่ที่สูงสุดในมณฑลยูนนาน ไปพบกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย


หลังจากนั้น วันที่ 2 พฤษภาคม ห่างไปอีก 1 เดือน ก็ส่งผู้บริหารระดับสูง คือรัฐมนตรีต่างประเทศและมนตรีแห่งรัฐ คือ นายฉิน กัง ซึ่งในเวลานั้นยังไม่ถูกปลดจากตำแหน่ง เดินทางไปพบ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย อีกรอบ แต่ไม่เป็นผล


เมื่อวิธีทางการทูตไม่เป็นผล ในวันที่ 31 ตุลาคม ทางการจีนเลยใช้ไม้แข็งส่งนายหวัง เสี่ยวหง รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ อุปมาอุปไมยเหมือนกับว่าเป็น ผบ.ตร. ของประเทศจีนทั้งประเทศ ไปพบ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ท่านผู้ชมครับ เป็นเรื่องไม่ปกตินักที่รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคง ไปพบผู้นำสูงสุดของพม่า จุดแตกหักคือการฆ่าสายลับตำรวจจีน อย่างที่ผมกล่าวไปคือ 4 ตระกูลใหญ่โกก้าง ซึ่งยอมสวามิภักดิ์กับรัฐบาลทหารพม่า มีผลประโยชน์ร่วมกับขบวนการหลอกลวง ทั้งให้ใช้พื้นที่ที่เป็นฐานของคอลเซ็นเตอร์ ให้การคุ้มครองการทำผิดกฎหมายต่างๆ รัฐบาลจีนได้หารือกับรัฐบาลทหารพม่าหลายครั้ง ให้จัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่รัฐบาลทหารพม่าแค่ลูบหน้าปะจมูก มิหนำซ้ำยังปล่อยให้ 4 ตระกูลใหญ่โกก้างเหิมเกริม ทารุณ ฆาตกรรมตัวประกันที่ถูกบังคับให้ทำงานกับขบวนการหลอกลวง เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2566 ก่อนการปฏิบัติการ 1027 ได้ 7 วัน ระหว่างที่มีการเคลื่อนย้ายตัวประกันกลุ่ม 4 ตระกูลใหญ่โกก้าง ฆ่าสายลับตำรวจจีน 4 คน ทำให้จีนยอมไม่ได้อีกแล้ว


21 ตุลาคม ทางการเมืองหลินชัย มณฑลยูนนาน ส่งหนังสือเป็นทางการไปถึงทางเขตปกครองตนเองโกก้าง เพื่อถามถึงเรื่องพลเมืองจีนเสียชีวิต พร้อมกำชับให้โกก้างมีคำชี้แจงที่ชัดเจน หาผู้กระทำความผิดมาลงโทษ แต่ฝ่ายปกครอง 4 ตระกูลใหญ่ ผู้ปกครองเขตโกก้างในขณะนั้น ทำนิ่งเฉย มณฑลยูนนานเลยตัดสินใจส่งเรื่องไปที่กรุงปักกิ่ง

ต่อมา 12 พฤศจิกายน 2566 กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนออกหมายจับสมาชิก 4 คนตระกูลหมิง ซึ่งเป็นมือทำงานให้ 4 ตระกูลใหญ่โกก้าง ระบุว่า สมาชิกตระกูลหมิงเป็นแกนนำขบวนการหลอกลวง ยังเกี่ยวข้องการฆาตกรรม ทำร้าย จับตัวประกัน โดยตั้งรางวัลนำจับ 100,000-500,000 หยวน คิดเป็นเงินไทย 500,000-2,500,000 บาท


15 พฤศจิกายน 2566 ตำรวจจีนและกองกำลังพม่าจับตัวสมาชิก 4 คนของตระกูลหมิง โดยนายหมิง เสวียซาง ผู้นำกลุ่ม ฆ่าตัวตายหนีความผิด ระหว่างถูกจับกุม ขณะนี้กองกำลังพันธมิตรภาคเหนือ 3 ฝ่าย สามารถควบคุมพื้นที่ตอนเหนือของรัฐฉานได้เป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่รัฐบาลทหารพม่าของมิน อ่อง หล่าย ยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เหมือนว่ายังมีผลประโยชน์ร่วมกับกลุ่มอำนาจเก่าในรัฐโกก้าง ที่หนุนหลังขบวนการหลอกลวง ทำให้จีนไม่พอใจเพิ่มขึ้นอย่างยิ่ง

23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ขบวนรถบรรทุกสินค้าของจีนกว่า 120 คัน ถูกโจมตีโดยโดรนจนย่อยยับที่ชายแดนพม่า-จีน โดยรัฐบาลทหารพม่าอ้างว่าเป็นฝีมือกลุ่มต่อต้าน แต่ฝ่ายจีนไม่เชื่อ


หนึ่งวันต่อมา หน่วยบัญชาการภาคใต้ของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนประกาศซ้อมรบด้วยกระสุนจริงที่ชายแดนจีน-พม่า บริเวณมณฑลยูนนาน ตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา คือวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 โดยมีการฝึกซ้อมยุทธการฉับพลัน การควบคุมพรมแดน และการใช้อาวุธ มีเป้าหมายเพื่อพิทักษ์อธิปไตย เสริมสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดน คุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวจีน

ทั้งนี้ จากการเจรจาที่ผ่านมา และเป้าหมายที่กองทัพจีนประกาศออกมา ชัดแจ้งอยู่แล้วว่า การติดต่อระหว่างจีนกับพม่าได้ถูกยกระดับจากระดับมณฑลสู่ระดับกระทรวงการต่างประเทศ สู่ระดับกระทรวงความมั่นคง และในขณะนี้ จากการซ้อมรบบริเวณชายแดน เท่ากับว่า กองทัพจีนได้เคลื่อนพลประชิดชายแดนพม่าแล้ว

Global TImes สื่อทางการจีนระบุว่า การซ้อมรบครั้งนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าเมื่อชายแดนเผชิญความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก กองทัพจีนมีภารกิจที่จะพิทักษ์พรมแดน และสันติภาพ แต่สื่อทางการจีนก็ยังออกตัวว่า จีนจะไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น

ท่านผู้ชมครับ อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่าจีนมีผลประโยชน์มหาศาลในพม่า นอกจากจะมุ่งเป้ากวาดล้างขบวนการหลอกลวงที่ใช้พม่าเป็นฐานปฏิบัติการแล้ว ทางการจีนยังต้องพิทักษ์ผลประโยชน์ของตัวเองในพม่าที่มีอยู่มหาศาลอีกด้วย พื้นที่การสู้รบทางภาคเหนือของรัฐฉานเป็นด่านการค้าชายแดนที่สำคัญ การค้าชายแดนระหว่างจีน-พม่าราว 1 ใน 4 ผ่านพื้นที่นี้ มูลค่าในการค้าที่ผ่านมา 6 เดือน ระหว่างเมษายน-กันยายน 2566 ก่อนจะมีการสู้รบ สูงถึง 63,000 ล้านบาท โครงการของจีนที่ใหญ่ที่สุดในพม่าคือท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่เชื่อมระหว่างท่าเรือน้ำลึกเจาะพยู ในอ่าวเบงกอล ประเทศพม่า กับเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ท่อก๊าซและน้ำมันพม่า-จีน มีความยาวมากกว่า 2,500 กิโลเมตร เปิดใช้เต็มรูปแบบเมื่อเดือนตุลาคม ลำเลียงก๊าซได้ปีละ 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ท่อส่งน้ำมันลำเลียงได้ 22 ล้านตันต่อปี

นอกจากนี้แล้ว จีนยังสร้างท่าเทียบเรือและคลังน้ำมันที่สามารถจะเก็บกักน้ำมันได้ 300,000 ตัน มูลค่ากว่า 2,500 ล้านดอลลาร์ หลังจากเกิดรัฐประหารในพม่า มีข่าวว่าทางจีนส่งกองกำลังนอกเครื่องแบบประมาณเกือบแสนคนไปคุ้เมครองท่อก๊าซและน้ำมันในพม่าด้วย

นอกจากนี้แล้ว จีนยังต้องการทำโครงการอีกมากมายในพม่า เช่น เขื่อนผลิตไฟฟ้า โครงกาอื่นๆ ตามยุทธศาสตร์ "1 แถบ 1 เส้นทาง" แน่นอนว่าความวุ่นวายในรัฐฉานย่อมส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของจีน โรงเรียนที่ชายแดนในมณฑลยูนนานต้องปิดตัว กระทรวงการต่างประเทศจีนประกาศขอให้พลเมืองจีนอพยพจากเขตปกครองตนเองโกก้าง ถ้าสถานการณ์ลุกลาม จีนต้องเผชิญคลื่นผู้อพยพจำนวนมหาศาล ที่สหประชาชาติประเมินว่าต้องมีประมาณ 2 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม ท่านผู้ชมครับ จีนไม่เคยถือไพ่ใบเดียว จีนยังแอบผูกสัมพันธ์กับนางอองซาน ซูจี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง และก็มีการไปมาหาสู้กับผู้นำกองทัพอย่างสม่ำเสมอ หลังการรัฐประหารปี 2564 จีนประเมินสถานการณ์อย่างระมัดระวัง ไม่ประณามคณะรัฐประหารเหมือนบรรดาชาติตะวันตก ทำให้ผู้ต่อต้านรัฐประหารอ้างว่ารัฐบาลจีนรู้เห็นเป็นใจกับการก่อรัฐประหารพม่า กระแสต่อต้านจีนแพร่สะพัด มีการประท้วงจีน ไม่พอใจที่จีนนิ่งเงียบ มีการเผาทำลายโรงงานจีนกว่า 30 แห่ง จนกระทั่งรัฐบาลจีนออกมาเรียกร้องให้คณะรัฐบาลของมิน อ่อง หล่าย รับประกันความปลอดภัยในชีวิตและคุ้มครองทรัพย์สินชาวจีนในพม่า เอกอัครราชทูตจีนประจำพม่า กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในพม่าวันนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่จีนอยากจะเห็น

ขณะนี้ภารกิจเฉพาะหน้าที่จีนต้องจัดการ คือการกวาดล้างจีนสีเทาที่มีสมาชิกเป็นแสนๆ คน และมีผู้ตกเป็นเหยื่อเป็นล้านๆ คน จีนจึงตัดสินใจตัดรากถอนโคนกลุ่ม 4 ตระกูลใหญ่แห่งโกก้าง ที่เป็นผู้คุ้มครองให้กับขบวนการหลอกลวง โดยหันไปสนับสนุนกองกำลังพันธมิตร 3 ฝ่าย ให้ล้ม 4 ตระกูลใหญ่


ขณะเดียวกัน ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 นายหลิวจิ้นซง อธิบดีกรมเอเชีย กระทรวงการต่างประเทศจีน ก็ได้พบเอกอัครราชทูตพม่าประจำประเทศจีน เพื่อแลกเปลี่ยนถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งดูแล้วเป็นการใช้ยุทธการไม้อ่อนและไม้แข็งไปพร้อมๆ กัน

ท่านผู้ชมครับ จีนไม่ค่อยแคร์ว่าใครจะเป็นผู้นำในพื้นที่ต่างๆ ขอให้พม่ามีเสถียรภาพ และรักษาผลประโยชน์จีนไว้ได้ ถ้าใครเพิกเฉย ทำให้จีนเสียประโยชน์ ประชาชนจีนต้องเดือดร้อน ก็ต้องถูกสั่งสอน เหมือนกลุ่มอำนาจเก่าในรัฐฉาน และรัฐบาลพม่าในขณะนี้

ทั้งหมดที่ผมเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง มันมีผลพวงที่จะตามมาที่ผมคิดว่ามี ดังต่อไปนี้

สถานการณ์สู้รบในพม่าขณะนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของรัฐบาลทหารพม่า นำโดยนายพลมิน อ่อง หล่าย วิกฤตครั้งนี้ถือว่ารัฐบาลทหารพม่ากำลังเผชิญภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่สุดต่ออำนาจการปกครอง โดยรัฐบาลทหารเมียนมาขณะนี้สูญเสียเมืองยุทธศาสตร์ชายแดนบางแห่ง เสียตำแหน่งทางการทหารที่สำคัญ และเส้นทางการค้าที่สำคัญ ในระดับที่ไม่เคยพบเห็นในรอบหลายสิบปี


ในรัฐฉาน พื้นที่ชายแดนตอนเหนือ รัฐบาลทหารพม่าได้สูญเสียการควบคุมเมืองอย่างน้อย 6 เมือง ถนนสายหลักและด่านหน้า ค่ายทหารพม่ากว่า 100 แห่ง

ในรัฐยะไข่ กลุ่มตะวันตก ทางตะวันตก กลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์กองทัพอาระกันกลับมาสู้รบอีกครั้งหลังจากหยุดยิงชั่วคราวนาน 1 ปี สิ้นสุดลง กำลังเปิดแนวรบใหม่ การปะทะกับกองกำลังเผด็จการยังคงดำเนินต่อในหลายเมือง นอกจากนี้ ยังมีรายงานการแปรพักตร์ของทหารในกองทัพ และทหารหลายคนที่ยอมจำนน

ในรัฐชิน ทางตะวันตก ผู้คนหลายพันคนได้หลบหนีการสู้รบ ข้ามชายแดนอินเดีย ในจำนวนนี้มีทหารเมียนมา 43 นาย ที่หลบหนีจากค่ายทหารของตัวเอง


จากข้อมูลสำนักงานกิจการด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า การปะทะกันด้วยอาวุธในพม่าขณะนี้ถือว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุด ขยายเป็นวงกว้างที่สุดนับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารมา

จากสถานการณ์ต่างๆ ดังกล่าวที่เกิดขึ้น คาดว่ากลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์อื่นๆ ที่รอความหวังจากอเมริกา เมื่อได้เห็นความสำเร็จของกลุ่มพันธมิตรภาคเหนือ ก็อาจจะถือโอกาสนี้ในการลุกฮือขึ้นบ้าง อาจจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนในการต่อสู้ทางการเมืองจนมีอิทธิพลมากพอที่จะให้มีการเจรจาข้อตกลงระดับชาติในกระบวนการเปลี่ยนผ่านการปกครองตนเองแบบสหพันธรัฐกับรัฐบาลพม่าในอนาคตอันใกล้

ดังนั้น รัฐบาลพลัดถิ่นถ้ายังหวังเกาะชาติตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา เพื่อโค่นล้มรัฐบาลทหารมิน อ่อง หล่าย ก็ถูกกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ โดดขึ้นรถไฟจีนเอาตัวรอดไปก่อน จนรัฐบาลพลัดถิ่นอาจจะตกขบวนรถไฟสถาปนาอำนาจสหพันธรัฐเมียนมา แบ่งปันอำนาจการปกครองภายใต้ขบวนจีน แต่ถ้ากองกำลังใดแตกแถว ไม่เชื่อฟัง ก็โดนจีนเช็กบิล เล่นงานแบบว้า โกก้างใหม่ หรือแม้กระทั่งรัฐบาลทหารพม่าของมิน อ่อง หล่าย ก็อาจจะหนีไม่รอดเช่นกัน

ดังนั้น อิทธิพลของความมั่นคงของจีนที่เพิ่มขึ้นในพม่า ใจกลางภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ประชาคมระหว่างประเทศอาเซียน จะต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และเตรียมรับมือสงคราม การปะทะกันด้วยอาวุธที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ แน่นอน อเมริกาก็จะเข้ามายุยง ปั่นหัวหลอกใช้อาเซียน จะอ้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจจากอาชญากรรมฉ้อโกงการเงินในพม่า ปั่นหัวไทยและอาเซียน ให้จัดการการต่อต้านการแผ่อิทธิพลของจีน และปั่นให้แทรกแซงเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลทหารพม่าไปด้วย เพื่อหวังจะดึงกลุ่มติดอาวุธต่างๆ จากอ้อมอกร่มเงาของจีน ให้กลับมาเป็นเครื่องมือของสหรัฐฯ ดังเดิม ในยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ปั่นให้เกิดสงครามกับจีน เหมือนที่ปั่นให้เกิดสงครามกับยูเครน และอิสราเอลแล้ว


ท่านผู้ชมครับ ความเคลื่อนไหวในช่วง 1 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา ไม่ว่าเป็นกรณีที่กองทัพรัสเซียส่งผู้บัญชาการกองทัพเรือมาควบคุมการจัดซ้อมรบเรือดำน้ำขนาดใหญ่หลายลำที่ติดตั้งขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิค และขีปนาวุธร่อน ร่วมกับเรือดำน้ำกองทัพพม่า เป็นครั้งแรกในทะเลอันดามัน หรือการที่จีนดำเนินการซ้อมรบบริเวณพรมแดนจีน-พม่า ในมณฑลยูนนาน หรือส่งกองกำลังเรือรบ 3 ลำ ประกอบด้วย เรือพิฆาต เรือฟริเกต และเรือจัดส่งกำลัง พร้อมด้วยลูกเรือกว่า 700 นาย เดินมาที่ท่าเรือติลาวา นครย่างกุ้ง เมื่อวันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ระบุว่าเป็นการซ้อมรบเพื่อความปลอดภัยระหว่างพม่าและจีน


ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ชัดว่าแต่ละฝ่ายได้จัดวางกำลังเพื่อเตรียมรับมือภัยสงครามที่จะแผ่ขยายลุกลามจากยูเครน อิสราเอล มาสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งในพม่าเดินมาถึงจุดนี้ มีบางคนก็ถึงบางอ้อแล้วว่าทำไมอเมริกาถึงทุ่มเงินกว่า 10,000 ล้านบาท พร้อมกับเร่งมือในการก่อสร้างสถานกงสุลสหรัฐอเมริกาในเชียงใหม่เสียใหญ่โต มีกำหนดสร้างเสร็จในปลายปี 2566 หรืออย่างช้าปีหน้า

เรื่องสถานกงสุลอเมริกาในเชียงใหม่ ผมเป็นคนแรกที่ออกมาเปิดเผยและตั้งข้อสังเกต ตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้ว ในปี 2563

สำหรับประเทศไทย ที่มีพรมแดนใกล้ชิดกับพม่า ถ้าไม่อยากให้ไทยกลายเป็นสมรภูมิรบทางบก ทางทะเล จำเป็นต้องสร้างความสมดุลทางความสัมพันธ์ และจัดวางตำแหน่งของตนเองให้ถูกต้อง การสร้างความสมดุลนั้นเราต้องไม่ยอมให้อเมริกาและบรรดาชาติตะวันตกปั่นกระแสความขัดแย้งกับจีน รัสเซีย ได้เด็ดขาด เหมือนกับที่ทำกับฟิลิปปินส์สำเร็จมาแล้ว ตอนนี้กำลังเดินหน้าปั่นความขัดแย้งระหว่างเวียดนามกับจีน ด้วยแผนแม่บทอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ ซึ่งได้มีการเผยแพร่ออกมาก่อนหน้านี้แล้ว

"ทรัมป์โคลนนิง" ผงาดกระแสขวาจัด ครองการเมืองโลก

ท่านผู้ชมครับ เวลานี้กระแสการเมืองในประเทศไทยเป็นข่าวที่ผมเรียกว่า ข่าวปิงปอง คือโต้กันไปโต้กันมา แบบหาข้อสรุปหรือบทจบไม่ได้ เบื่อจริงๆ ไม่มีประโยชน์อะไรกับประชาชนเลย แต่ว่าในการเมืองระดับโลก มีประเด็น มีกระแสที่น่าสนใจ ที่บ่งบอกและสะท้อนให้เห็นถึงทัศนะของประชาชนในประเทศต่างๆ และท่านผู้ชมเชื่อไหมครับ แนวโน้มทางการเมืองกำลังจะแพร่กระจายไปทั่วโลกด้วย


ประเด็นที่ผมกำลังจะพูดถึงในวันนี้คือการเลือกตั้งใน 2 ประเทศที่อเมริกาต้าน คือ อาร์เจนตินา และที่ยุโรป (อียู) คือ เนเธอร์แลนด์

การเลือกตั้งประธานาธิบดีของอาร์เจนตินารอบสอง ถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา โดยนายฮาเวียร์ มิเล (Javier Milei) นักเศรษฐศาสตร์จอมเพี้ยน วัย 53 ปี จากพรรคเสรีนิยม ภาษาอังกฤษเรียกพรรคลิเบอรัล (Liberal) แต่ผมเรียกพรรคนี้เลียนแบบคุณทับทิม พญาไท ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ที่เรียกพวกลิเบอรัล ว่า "ลิเบอร่าน"


นายมิเล ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงสูงถึง 56 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของอาร์เจนตินา ต่อจากนายอัลเบร์โต เฟร์นันเดซ (Alberto Ángel Fernández) ที่กำลังจะหมดวาระลง โดยฮาเวียร์ มิเล จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งผู้นำคนใหม่อย่างเป็นทางการในวันที่ 10 ธันวาคมนี้

หลังได้รับชัยชนะ นายมิเล ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าผู้สนับสนุนในกรุงบูเอโนสไอเรส ว่า วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดความเสื่อมโทรมของอาร์เจนตินา เราจะเริ่มทำในสิ่งที่ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นแล้วว่าใช้ได้ผล และภายใน 35 ปี เราจะกลับมาเป็นมหาอำนาจของโลก


ท่านผู้ชมครับ ฟังดูแล้วแปลกๆ นะครับ ว่าประเทศอาร์เจนตินาซึ่งกำลังประสบปัญหาวิกฤตเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ตอนนี้เงินเฟ้อที่อาร์เจนตินาสูงถึง 143 เปอร์เซ็นต์ ในปีนี้อาจจะพุ่งสูงถึง 180 เปอร์เซ็นต์ แต่ผู้นำจอมเพี้ยนคนนี้กลับบอกว่าจะทำให้ประเทศอย่างอาร์เจนตินากลายเป็นมหาอำนาจของโลก ถ้าบอกว่าเป็นมหาอำนาจทางกีฬาฟุตบอล คงไม่มีใครเถียง เพราะอาร์เจนตินามีนักบอลอย่าง ลิโอเนล เมสซี และเพิ่งได้แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด แต่อาร์เจนตินาดูไม่มีวี่แววจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ หรือทางการเมืองโลกได้เลย แต่ด้วยจุดขายและความบ้าบิ่นของนายฮาเวียร์ มิเล ที่แตะโดนจุดที่เป็นวิกฤตของอาร์เจนตินา กล่าวได้ตรงใจชาวบ้านคือ อัตราเงินเฟ้อที่รุนแรง ประกอบกับความสิ้นหวังของประชาชน อาร์เจนตินาต้องต่อสู้กับวงจรของวิกฤตเศรษฐกิจที่ไม่สิ้นสุด ที่เกิดจากค่าเงินที่อ่อนค่าลงอย่างรุนแรงเกินกว่าเท่าตัว ในห้วงระยะเพียงปีเดียว


จากเดือนพฤศจิกายน เงิน 1 ยูเอสดอลลาร์ แลกได้ 165 เปโซอาร์เจนตินา พฤศจิกายน 2566 เงิน 1 ดอลลาร์ แลกได้ 360 เปโซอาร์เจนตินา หรือเปรียบเทียบง่ายๆ วิกฤตเศรษฐกิจของอาร์เจนตินา ณ วันนี้ มีความรุนแรงยิ่งกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งในประเทศไทยเมื่อช่วงปี 2540 หลายเท่าตัว นอกจากนี้แล้ว เงินทุนสำรองอาร์เจนตินาติดลบมาก อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในรอบกว่า 3 ทศวรรษ ทำให้คนอาร์เจนตินาต้องหอบเงิน 2,000 เปโซ เพื่อซื้อบิ๊กแมค แฮมเบอร์เกอร์เพียงชิ้นเดียว

จากหนึ่งประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ปัจจุบันกลายเป็นประเทศที่ประชากร 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ อาศัยอยู่อย่างยากจน มีหนี้ต่างประเทศถึง 22,000 ล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 775,000 ล้านบาท ที่ต้องชำระภายในปีหน้า (2567) แม้แต่ไอเอ็มเอฟ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้หลักของอาร์เจนตินา ก็ออกมาแสดงความกังวลว่ายากที่อาร์เจนตินาจะชำระคืนได้

จากวิกฤตที่รุมเร้าอาร์เจนตินาเหล่านี้ ทำให้นายมิเล ได้คะแนนเสียงถล่มทลายเหนือนายเซอร์จิโอ มาสซา (Serbio Massa) อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจของรัฐบาลก่อน คว้าตำแหน่งประธานาธิบดีแบบขาดลอย 56 ต่อ 44 เปอร์เซ็นต์


นายมิเล ชนะการเลือกตั้งด้วยแผนการหาเสียงแบบสุดโต่ง ชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน และรุนแรง สะใจโก๋ เช่น ในรายการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ เขาปิดตาแล้วใช้ไม้ฟาดกล่องที่เขียนว่า "ธนาคารกลาง" จนแตกกระจุย เอาหน้าเขาเองไปแปะบนป้ายหาเสียงที่ทำเป็นธนบัตร 100 ดอลลาร์สหรัฐ และสัญญาว่าจะพลิกฟื้นรัฐบาลที่พังทลาย ซึ่งบริหารเศรษฐกิจที่พังทลาย แคมเปญนี้โดนใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่สะใจคือ นโยบายที่จะปิดธนาคารกลางที่ก่อวิกฤตเศรษฐกิจ เงินเฟ้อรุนแรงจากการพิมพ์เงินให้รัฐใช้จ่ายเกินควร


เขาบอกว่าเขาจะยกเลิกเงินเปโซของอาร์เจนตินา แล้วหันมาใช้เงินสกุลดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาแทน เพื่อเก็บเงินดอลลาร์ในระบบเศรษฐกิจของอาร์เจนตินา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นายมิเลใช้หาเสียงนั้น พูดง่าย แต่ทำยาก เพราะการปรับใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการจะต้องใช้เงินกู้จำนวนมาก รวมทั้งต้องตัดยุบหน่วยงานรัฐบาล 8 กระทรวง ลดสวัสดิการ ลดเงินอุดหนุน และตัดงบค่าใช้จ่ายของรัฐ กับแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และยกเลิกกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อม


ไม่เพียงแต่นโยบายเศรษฐกิจที่สุดโต่งของนายมิเล แต่แนวคิดทางการเมืองของนายมิเลยังคงมีความเอียนเองไปทางลัทธิทุนนิยมแบบอนาธิปไตย และเสรีนิยมขวาจัด ที่เขาเรียกว่า "นีโอลิเบอรัล" (Neo-Liberal) และแสดงจุดยืนในการเป็นผู้ต่อต้านฝ่ายซ้ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์สุดโต่ง โดยนายมิเล เรียกประธานาธิบดีนิโกลัส มาดูโร แห่งเวเนซุเอลา แบบเต็มปากว่าเผด็จการ รวมทั้งประเทศนิการากัว คิวบา เกาหลีเหนือ จีน และ รัสเซีย ว่าเป็นเผด็จการด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกัน นายมิเลก็แสดงจุดยืนสนับสนุนอิสราเอลในสงครามฉนวนกาซา ถึงกับจะย้ายสถานทูตอาร์เจนตินาไปยังกรุงเยรูซาเล็มด้วย

พูดได้ว่านายฮาเวียร์ มิเล ถือเป็นนักเศรษฐศาสตร์จอมเพี้ยน และเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่แปลกประหลาดมากที่สุดเท่าที่โลกเคยเห็นมา ชีวประวัติของเขาที่คนขนานนามว่า เอล โลโก (El Loco) คนบ้า ที่เขียนโดยนักข่าวชื่อ ฮวน ลูอิส กอนซาเลซ (Juan Luis Gonzalez)


เผยให้เห็นถึงความแปลกประหลาดหลายประการของนายมิเล ยกตัวอย่างเช่น เขาได้เป็นเจ้าของสุนัขพันธุ์อิงลิช มาสทิฟฟ์ (English Mastiff) 5 ตัว โดย 4 ตัวตั้งชื่อตามนักเศรษฐศาสตร์สายอนุรักษ์นิยม และตั้งเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของเขา ทั้งหมดนี้โคลนนิ่งมาจากหมาตัวโปรดที่ชื่อโคนัน ที่เสียชีวิตเมื่อปี 2560

มิเล เล่าด้วยว่า เขามีความสามารถในการสื่อสารหลังความตายได้ น่าสงสารชาวอาร์เจนตินามากนะครับที่มาเจอประธานาธิบดีเพี้ยนๆ แบบนี้ นอกจากนี้ เขายังอ้างด้วยว่าได้ติดต่อกับพระเจ้าซึ่งมอบหมายให้เขาลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอาร์เจนตินา

นี่คือตัวอย่างความบ้าของนายมิเล ว่าที่ผู้นำอาร์เจนตินา ผมอยากให้ท่านผู้ชมลองเดาดูว่า ไอดอลของนายฮาเวียร์ มิเล คือใคร ? คำตอบคือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นที่คาดหมายว่าจะลงชิงชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับนายโจ ไบเดน ในปีหน้าอีกด้วย


หลังจากที่นายมิเล ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ออกมาทวีตว่า คนทั้งโลกจับตาคุณอยู่ ผมภูมิใจในตัวคุณมาก คุณจะพลิกประเทศของคุณ และจะทำให้อาร์เจนตินายิ่งใหญ่อีกครั้งอย่างแท้จริง

เรามาที่ประเทศเนเธอร์แลนด์กันบ้าง ไม่เพียงแต่ในทวีปอเมริกาใต้อย่างประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งนักการเมืองฝ่ายขวาจัดที่มีต้นแบบจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ในทวีปยุโรป ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีนักการเมืองขวาสุดขั้วคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปเช่นกัน

ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 นายเคียร์ต วิลเดอร์ส (Geert Wilders) เจ้าของฉายา "ทรัมป์แห่งเนเธอร์แลนด์" แห่งพรรค PVV หรือ Party for Freedom โดยชนะผู้นำพรรค PVV ซึ่งนำมาแต่ความวิตกกังวลโดยเฉพาะต่อทั่วยุโรป เนื่องจากพรรคนี้ หนึ่ง ชูนโยบายต่อต้านผู้อพยพ สอง ต่อต้านความเป็นอิสลาม และสาม ต่อต้านสหภาพยุโรป


ล่าสุด นายวิลเดอร์ ประกาศตั้งเป้าจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ และพรรคของตนจะเริ่มกระบวนการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล โดยในการเลือกตั้งครั้งนี้ เนื่องจากพรรค PVV ของเขาสามารถกวาดที่นั่งในรัฐสภาไปได้ทั้งหมด 37 ที่นั่ง จากทั้งหมด 150 ที่นั่ง มากที่สุดในบรรดาพรรคการเมืองทั้งหมดที่ลงสมัครเลือกตั้งครั้งนี้ และจำนวนที่นั่งที่พรรคได้รับมากกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อนในปี 2564 เกินถึงหนึ่งเท่าตัว เฉือนเอาชนะพันธมิตรพรรคกรีน พรรคซ้ายแรงงาน นำโดยฟรานส์ ทิมเมอร์มันส์ (Frans Timmermans) อดีตรองประธานคณะกรรมาธิการยุโรปแห่งสหภาพยุโรป ที่ได้รับที่นั่งในสภาฯ ไปทั้งหมด 25 ที่นั่ง ต่ำกว่าผู้ชนะ 12 ที่นั่ง มากเป็นอันดับสอง

ส่วนอีกพรรคหนึ่ง คือพรรค VVD หรือ Party for Freedom and Democracy ของพรรคอนุรักษ์นิยมขวากลาง ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลในปัจจุบัน คว้าที่นั่งได้เพียง 24 ที่นั่ง เพราะฉะนั้นพรรค PVV จึงสามารถมีบทบาทในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ โดยหากจะตั้งรัฐบาลผสมเสียงข้างมากได้สำเร็จ พรรคต้องเจรจาเพื่อหาพรรคร่วมรัฐบาลจนมีที่นั่งในสภาฯ รวมกันทั้งหมดเกิน 76 ที่นั่ง จากทั้งหมด 150 ที่นั่ง หรือเกินกึ่งหนึ่งของที่นั่งในสภาฯ


นั่นเลยเป็นปัจจัยความไม่แน่นอนว่านายเคียร์ต วิลเดอร์ส เจ้าของฉายา "ทรัมป์แห่งเนเธอร์แลนด์" และพรรค PVV ของเขา แม้จะเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับที่หนึ่ง แต่อาจจะไม่สามารถรวบรวมเสียงในสภาฯ ได้เกิน 76 จาก 150 ที่นั่ง คล้ายคลึงกับกรณีของไทย คือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ได้คะแนนเสียง ส.ส. ในการเลือกตั้งมากเป็นอันดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ เพราะไม่สามารถจะเจรจากับพรรคร่วมฯ เพื่อหาจุดลงตัวได้ในที่สุด

ทั้งนี้ ที่สำคัญกว่าหลังการหาเสียง นั่นคือการเจรจาทางการเมืองและการผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้ให้เป็นจริงได้นั่นเอง

ท่านผู้ชมครับ การหาเสียงนั้น หาได้ พูดได้ แต่ทำจริงนั้นไม่ง่าย ประเทศไทยเองก็มีประสบการณ์นี้ไม่ใช่หรือ ท่านผู้ชม นักการเมืองหาเสียง สัญญาโน่นสัญญานี่ แต่พอถึงเวลาแล้วทำไม่ได้


แม้ว่าการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนายมิเลที่อาร์เจนตินาจะส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเมืองอาร์เจนตินา เจตจำนงในการเปลี่ยนแปลงของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศที่มีจำนวน 45 ล้านคน แต่การดำเนินนโยบายสุดโต่งและบ้าบิ่นอย่างที่หาเสียงเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกธนาคารกลาง ยกเลิกเงินเปโซ หันไปใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ และตัดความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศต่างๆ อาจจะต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากฝ่ายบริหารที่ไม่สามารถควบคุมสภานิติบัญญัติได้

ก่อนหน้าที่นายฮาเวียร์ มิเล จะชนะการเลือกตั้ง อาร์เจนตินาเป็น 1 ใน 6 ของประเทศที่ได้รับเชิญให้เป็นสมาชิกใหม่ของกลุ่ม BRICS กลุ่มมหาอำนาจขั้วโลกใหม่ที่นำโดยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ แต่พอชนะการเลือกตั้งแล้ว นายมิเล ประกาศว่าเขาจะยุติความสัมพันธ์กับจีน และจะดึงอาร์เจนตินาที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่อันดับสองของอเมริกาใต้ ออกจากกลุ่มการค้า ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าระดับภูมิภาคลาตินอเมริกาที่ประกอบด้วย อาร์เจนตินา บราซิล ปารากวัย อุรุกวัย มีโบลิเวียเป็นสมาชิกเฉพาะกิจ ก่อตั้งมานาน 3 ทศวรรษ และจีนกลายเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของกลุ่มการค้า MERCOSUR


ขณะที่สหภาพยุโรปสูญเสียความสำคัญในภูมิภาคนี้ การส่งออกของกลุ่มการค้า MERCOSUR ไปประเทศจีนส่วนใหญ่ประกอบด้วยสินค้าเกษตร เช่น ถั่วเหลือง และแร่ธาตุ

ขณะที่นางไดอานา มอนดิโน (Diana Mondino) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ ย้ำจุดยืนว่า อาร์เจนตินาจะไม่เข้าร่วมสังฆกรรมกับกลุ่ม BRICS ขอยุติการมีปฏิสัมพันธ์เป็นทางการกับจีน และบราซิล เธอบอกว่า "เราไม่เข้าใจว่าการเข้าร่วมกลุ่ม BRICS จะเป็นประโยชน์ต่ออาร์เจนตินาในตอนนี้อย่างไร แต่ถ้าภายหลังพบว่ามีประโยชน์ เราอาจจะพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง" เธอกล่าว


เรื่องนี้เป็นประเด็นร้อน ทำให้นางเหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ถึงกับออกมาแถลงข่าวเตือนถึงแนวทางตัดสัมพันธ์ของนายมิเล ประธานาธิบดีคนใหม่ของอาร์เจนตินา เมื่อวันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ว่า ไม่มีประเทศไหนสามารถล้มความสัมพันธ์ทางการทูตไปแล้ว เมื่อล้มไปแล้วจะยังคงต้องมีส่วนร่วมทางการค้า เศรษฐกิจ และความร่วมมือได้เหมือนเดิม เพราะมันอาจจะเป็นการผิดพลาดด้านนโยบายต่างประเทศครั้งใหญ่สำหรับอาร์เจนตินา ถ้าจะตัดความสัมพันธ์กับ 2 ประเทศสำคัญ อย่างเช่นจีน และบราซิล


โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ย้ำว่า จีนยินดีที่จะเดินหน้าร่วมทำงานกับอาร์เจนตินาเพื่อส่งเสริมเสถียรภาพและความสัมพันธ์ทวิภาคีในระยะยาวต่อไป

ทั้งนี้ทั้งนั้น บราซิล และจีน 2 สมาชิกผู้ก่อตั้งกลุ่ม BRICS ถือเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งและอันดับสองของอาร์เจนตินา ส่วนอันดับสามคือ สหรัฐอเมริกา จีนเป็นผู้ซื้อรายใหญ่อันดับสองของการส่งออกสินค้าการเกษตรของอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นผู้ส่งออกอาหารที่ใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่า 18,000 ล้านดอลลาร์

ทั้งหมดนี้ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ประเด็นอยู่ที่อาร์เจนตินาภายใต้การนำของมิเล จะยุติความสัมพันธ์ทางการค้ากับบราซิลได้อย่างไรโดยไม่กระทบสภาพความเป็นอยู่ วิถีชีวิต และเศรษฐกิจชาวอาร์เจนตินาเอง ผมมองว่าไม่น่าจะเป็นไปได้


อาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ Global Times สื่อทางการของจีนได้เผยแพร่ทัศนะในเรื่องนี้ เขียนโดยคอลัมนิสต์ที่ชื่อ นายปีเตอร์ วอล์กเกอร์ หัวข้อว่า "ชาวอาร์เจนตินาต้องการการเปลี่ยนแปลง แล้วมันจะมีความหมายกับจีนและสหรัฐอเมริกาอย่างไร" ตอนหนึ่งของบทความระบุว่า ในฐานะที่เป็นประเทศเกษตรกรรมของอาร์เจนตินา ซึ่งเพิ่งพ้นจากภัยแล้งที่นามาถึง 3 ปี เศรษฐกิจของประเทศมีความเสี่ยงมากกว่าเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาทางพลังงานหรือฐานอุตสาหกรรมที่มั่นคง อาร์เจนตินาต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากทางการเงิน ปีนี้ต้องเจอเงินเฟ้อถึง 116 เปอร์เซ็นต์ ประชากร 2 ใน 5 ในอาร์เจนตินาเป็นประชากรที่ยากจน อาร์เจนตินาอยู่ในอำนาจโดยพรรครัฐบาลเก่ามานานหลายทศวรรษ เมื่อเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจอันมหาศาล ชาวอาร์เจนตินาเลยมีความรู้สึกว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอย่างมาก


การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะมีความหมายต่ออเมริกาและจีนอย่างไร ? อาร์เจนตินาเป็นประเทศสำคัญในฐานะสมาชิกของกลุ่ม G20 เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองในอเมริกาใต้ จึงมีความสำคัญมากสำหรับจีนและอเมริกา

บทความใน Global Times กำลังบอกว่า แม้ผู้นำคนใหม่อาร์เจนตินาจะพยายามบอกว่าจะถอยห่างออกจากจีนและกลุ่ม BRICS แต่ที่ผ่านมาจีนผ่านโครงการ BRI "1 แถบ 1 เส้นทาง" และกลุ่ม BRICS ได้นำเสนอการพัฒนาที่ดีกว่าโดยไม่ได้บีบบังคับให้ประเทศใดๆ ที่เข้าร่วมต้องปฏิบัติตาม หรือเปลี่ยนแปลงในเชิงอุดมการณ์ อย่างเช่น ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

คอลัมนิสต์ดังกล่าวยังพูดต่อ ปัจจุบันหลายประเทศในโลกต่างมีประสบการณ์เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยเป็นของตัวเอง ประเทศเหล่านี้มีมุมมองของตนเองว่า ประชาธิปไตยใช้ได้ผลหรือไม่ และทั่วโลกมีประสิทธิภาพอย่างไร ดังนั้นประเทศเหล่านี้จึงมุ่งเน้นไปที่ประเด็นเชิงปฏิบัติมากกว่ามาก ไม่ใช่อยู่ที่อุดมการณ์ แต่อยู่ที่ประเด็นเชิงปฏิบัติว่า พวกเขาเร่งการเติบโตของเศรษฐกิจของตนเอย่างไร ดังนั้น อเมริกาจึงต้องนำเสนอคุณค่าที่นอกเหนือไปจากอุดมการณ์ และช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นได้อย่างแท้จริง


ผู้เขียนคิดว่าจีนกำลังพยายามทำเช่นนั้น และหลายๆ คนคงจะบอกว่าพวกเขาประสบความสำเร็จพอสมควรในการทำเช่นนั้น

อเมริกามีทรัพยากรทางการเงินและเจตจำนงในยุคที่ผู้คนรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าสหรัฐฯ กำลังคุกคามที่จะกลายเป็นผู้โดดเดี่ยวมากขึ้นหรือไม่ แน่นอน ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นอย่างนั้น และถ้าทรัมป์ได้รับเลือกอีกครั้งก็คงเป็นเช่นนั้นอีกครั้งหนึ่ง


ดังนั้น ในอนาคตข้างหน้ามันจะปลอดภัยสำหรับทั้งจีนและอเมริกาที่จะสรรหาแนวทางเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวของอาร์เจนตินา และค้นหาวิธีทำที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น

ท่านผู้ชมครับ ผลการเลือกตั้งในอาร์เจนตินานั้นแสดงให้เห็นถึงสภาพภูมิรัฐศาสตร์ การเมืองแถบอเมริกาใต้ที่เปลี่ยนไปตามผู้นำคนใหม่ ซึ่งต้องจับตาว่านายฮาเวียร์ มิเล ที่ประกาศนำเข้าระบบทุนนิยมเสรีนิยมขวาจัดจากอเมริกาแบบเดียวกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะนำพาอาร์เจนตินารอดพ้นหรือประสบหายนะอย่างไม่มีที่สิ้นสุดกันแน่ แต่ในความเห็นส่วนตัวของผม ท่านผู้ชมครับ อาร์เจนตินาถ้ายังยึดถือนโยบายนายมิเลแบบนี้ จะต้องล่มสลายอย่างแน่นอนที่สุด


ส่วนยุโรป จากการเลือกตั้งของประเทศเนเธอร์แลนด์ กระแสความเปลี่ยนแปลงของเนเธอร์แลนด์นั้น ที่ทำให้นายเคียร์ต วิลเดอร์ส เจ้าของฉายา "ทรัมป์แห่งเนเธอร์แลนด์" ได้รับชัยชนะนั้น นักวิเคราะห์ทั้งหลายชี้ให้เห็นว่า การส่งสัญญาณชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับบรรดาประเทศในทวีปยุโรปทั้งทวีป จากเดิมซึ่งเคยอยู่ภายใต้บทบาทอำนาจของพวกเสรีนิยมภายใต้การนำของอเมริกามาโดยตลอด จนทำให้เกิดวิกฤตแห่งระบบที่บรรดาประเทศยุโรปกำลังต้องประสบเจอเหตุการณ์อันเลวร้ายที่นับวันมีแต่เลวลงเรื่อยๆ เนื่องมาจากประชาชนในโลกตะวันตกต่างกำลังไม่พอใจและการตัดสินใจของวิธีจัดการที่ผู้นำการเมืองทางยุโรปใช้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การเผยแพร่โรคโควิด-19 สงครามยูเครน-รัสเซีย อันนำมาสู่ภาวะข้าวยากหมากแพง และปัญหาที่เลวร้ายทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสภาวะความเลวร้ายทางเศรษฐกิจนับตั้งแต่โควิด-19 เป็นต้นมา จนถึงการยอมสิโรราบ ยอมเป็นพรมเช็ดเท้าให้กับคุณพ่ออเมริกาด้วยการต่อต้าน ปฏิเสธ หรือการแซงก์ชันรัสเซีย ทั้งที่ต่างเคยพึ่งพากันและกันในเรื่องสินค้าทางการเกษตร และพลังงานราคาถูกจากประเทศนี้มาโดยตลอด

นักเศรษฐศาสตร์จากฮัมบวร์ก คอมเมอร์เชียล แบงก์ (Hamburg Commercial Bank) ธนาคารฮัมบวร์ก ของเยอรมนี กล้าออกมาฟันธงกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่ามีสัญญาณค่อนข้างชัดเจนว่าเศรษฐกิจอียูทั้งอียูกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยในสิ้นปีนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงปฏิเสธได้

ด้วยเหตุนี้ ชัยชนะของกลุ่มขวาสุดโต่งในการเลือกตั้งของเนเธอร์แลนด์ จึงไม่เพียงจะนำไปสู่การสิ้นสุดของสงครามยูเครนและรัสเซีย ในแนวรบยุโรปตะวันออกเท่านั้น ยังอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโลกทั้งโลก หรือจากโลกที่เคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของตะวันตกมาตลอดนับศตวรรษ ให้กลายเป็นโลกที่ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป

สถานการณ์เช่นนี้จะนำไปสู่สภาวะใหม่ของโลกที่บรรดาขั้วอำนาจต่างๆ ที่มีอธิปไตยของตัวเองต่างเป็นอิสระต่อกันและกัน ไม่มีใครตกอยู่ในสภาพลูกไล่หรือพรมเช็ดเท้าของประเทศหนึ่งประเทศใด อย่างเช่นอเมริกาอีกต่อไป

เพราะฉะนั้นแล้ว โลกที่จะประกอบด้วยหลายขั้วอำนาจ ไม่ใช่โลกขั้วอำนาจเดียวอีกต่อไปแล้ว ท่านผู้ชมครับ โลกกำลังเปลี่ยนแปลงจริงๆ การได้รับชัยชนะของฝ่ายขวาจัดของเนเธอร์แลนด์ และการได้รับชัยชนะของฝ่ายขวาสุดโต่งที่เพี้ยน อย่างเช่นนายมิเลนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงระบบโลกขั้วเดียว ที่มีผู้นำในโลกนี้คือสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ผมคิดว่าเรื่องที่สำคัญที่สุด เราไม่ค่อยได้สังเกต แต่ผมเป็นคนช่างสังเกต เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในขณะนี้ ในกลุ่มประเทศอียูในขณะนี้ เริ่มมีคนแตกแถวกันออกมา ฮังการีเป็นคนแตกแถวในอียู ไม่ยอมแซงก์ชันรัสเซีย และดำเนินนโยบายที่เป็นมิตรกับรัสเซีย

เนเธอร์แลนด์ ถ้าได้รับการเลือกตั้งแล้วถ้าได้รับการจัดตั้งรัฐบาลในแนวทางของผู้ชนะการเลือกตั้ง โอกาสที่เนเธอร์แลนด์จะออกจากอียูก็สูง ไม่ใช่ต่ำ ออสเตรียในยุโรปนั้น ในขณะนี้เริ่มถอยออกมาจากจุดยืนของกลุ่มอียูที่เดินตามรอยเท้าสหรัฐอเมริกา เพราะว่าออสเตรียนั้นต้องการที่จะเอาตัวรอด และไม่ต้องการที่จะทะเลาะเบาะแว้งกับรัสเซีย ยังต้องการพึ่งพาพลังงานราคาถูกจากรัสเซียต่อไป

เยอรมนีนั้น เศรษฐกิจตกต่ำลงอย่างมากมาย และก็เริ่มเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เศรษฐกิจถดถอยหรือที่เขาเรียกว่า resession ภายในไม่เกินสิ้นปีนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ต้นปีหน้ายุโรปทั้งยุโรปกำลังจะล้มละลายในทางเศรษฐกิจกันแทบจะทุกประเทศ ตั้งแต่เยอรมนี ฝรั่งเศส ก็เป๋ไปเป๋มาทุกวันนี้ เนเธอร์แลนด์ฉีกแนวออกไปเรียบร้อยแล้ว ออสเตรียไม่เข้ากับใคร

เพราะฉะนั้นแล้วสงครามในยูเครนนั้น จริงๆ แล้วถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงในยุโรป มันก็จบลงแล้วด้วยชัยชนะของรัสเซียอย่างเด็ดขาด แต่การล่มสลายของยุโรปก็จะทำให้โลกขั้วเดียวเริ่มเปลี่ยนไปทันทีเลย แล้วตอนนั้นความวุ่นวายทั้งหมด การพยายามที่จะดิ้นรนเพื่อรักษาอำนาจในฐานะโลกขั้วเดียวของอเมริกาก็อาจจะรุนแรงขึ้น มากขึ้นๆ และเราปฏิเสธไม่ได้ว่าโอกาสที่จะเกิดสงครามนั้นมีสูงมาก เพราะว่าการเกิดสงครามนั้นถูกใช้มาเป็นวิธีการแก้ปัญหาเศรษฐกิจครับ

อินเดียทาบรัศมีจีน มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ ?

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมยังจำได้ไหมเมื่อไม่นานมานี้ รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 209 ออกอากาศเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2566 ผมเคยหยิบยกประเด็นในสื่อตะวันตก ที่กำลังเป็นกระแสพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ คือประเด็นเรื่องวาทกรรมในการพัฒนาของอินเดียเพื่อเทียบชั้นกับประเทศจีน


ในการเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตไปจนถึงแนวโน้มที่อินเดียจะกลายเป็นโรงงานโลกแทนจีน ที่ชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา พยายามใช้ คือนโยบายตีตัวออกห่างหรือนโยบายแบ่งขั้ว ไม่ว่าจะเป็นการแซงก์ชันทางเศรษฐกิจ ห้ามบริษัทผลิตชิปต่างๆ ส่งออกชิปไฮเทคให้กับประเทศจีน แบนบริษัทหัวเว่ย ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ไปจนถึงการบีบให้บริษัทแอปเปิลโยกย้ายฐานการผลิตไอโฟน และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของแอปเปิลจากประเทศจีนไปยังอินเดียแทน

ในรายการตอนที่ 209 ผมได้ชี้ หยิบยกเหตุผลมาให้ท่านผู้ชมเห็นแล้วว่า เหตุใดอินเดียไม่สามารถจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้เหมือนจีน แล้วผมมองดูข้อมูลแล้ว อินเดียยังน่าจะต้องเดินตามจีนอีกอย่างน้อย 50 ปี


ปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าหรือพัฒนาขึ้นมาได้นั้น มิได้อยู่ที่ระบบการปกครองว่าเป็นประชาธิปไตย หรือไม่เป็นประชาธิปไตย แต่อยู่ที่การให้ขจัดอุปสรรคต่างๆ หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน การให้ความสำคัญในการศึกษา การลดชนชั้นวรรณะ ลดความแตกต่างระหว่างเพศ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จีนทำมานานหลายสิบปีแล้ว และทำได้สำเร็จทุกเรื่อง ไม่เหมือนกับอินเดียที่ในสังคมปัจจุบันยังมีการแบ่งชนชั้นวรรณะอย่างสูง เพศ สตรีก็ยังถูกกดขี่อย่างหนัก จึงเป็นเรื่องยากที่อินเดียจะก้าวขึ้นมาพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความทัดเทียมกับจีนได้

รายงานธนาคารโลก (World Bank) ล่าสุด วันที่ 3 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ชี้ว่าในปีงบประมาณนี้ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเมื่อวัดจากผลิตผลมวลรวมในประเทศของอินเดียแข็งแกร่ง เติบโตเร็วที่สุด คือ 7.2 เปอร์เซ็นต์ อันดับสอง ในกลุ่มประเทศ G20 แต่คาดว่าปีหน้าอัตราการเติบโตของจีนจะเหลือ 6.3 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่สูงขึ้น อุปสงค์ หรือ Demand ทั่วโลกซบเซาลง สถานการณ์สงครามที่ปะทุขึ้นมาตามภูมิภาคต่างๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นยูเครนกับรัสเซีย ที่ยุโรป อิสราเอลกับปาเลสไตน์ ที่ตะวันออกกลาง และความตึงเครียดที่ทะเลจีนใต้


ขณะที่โกลด์แมนแซคส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่จากอเมริกา ประเมินว่าอินเดียจะกลายเป็นเศรษฐกิจอันดับสองของโลก รองจากจีน ต้องรออีก 52 ปีข้างหน้า

ท่านผู้ชมครับ ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้เป็นเหตุทำให้เว็บไซต์ QUORA ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มถาม-ตอบปัญหาออนไลน์ มีผู้ใช้ชาวอินเดียได้ตั้งประเด็นใหญ่ชวนให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเทศอินเดียว่า ถ้าไม่ต้องรอคอยอีก 50 ปี โดยเปรียบเทียบกัน ณ ปัจจุบัน ปี 2566 นี้ อินเดียถือว่าเป็นตัวการใหญ่ในการขับเคลื่อนความเจริญเติบโตทั่วโลกได้หรือไม่


ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมไม่เคยเข้า QUORA ผมอยากให้เข้านะครับ เพราะเว็บไซต์นี้ท่านผู้ชมตั้งคำถามได้ว่าเรื่องนี้มีใครตอบให้ได้บ้าง ทีนี้คนที่ใช้เว็บไซต์ QUORA มีจำนวนมากมายมหาศาล มีผู้เชี่ยวชาญหลายด้าน บางคนเชี่ยวชาญเรื่องนี้ พอถามเรื่องนี้มาเขาก็จะตอบมาทันทีเลย เหมือนอย่างล่าสุดมีคนถามว่า ทำไมระบบ HarmonyOS ของหัวเว่ยถึงสามารถที่จะชนะแอปเปิลได้ เพราะอะไร ? คนที่เข้ามาตอบก็เคยเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ เป็นคนอเมริกัน เป็นคนทางตะวันตก ก็ตอบให้อย่างชัดเจน นี่ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ นะครับ

ทีนี้ พอคนตั้งคำถามแบบนี้ขึ้นมาแล้ว หนึ่งในบทความที่ได้รับความนิยมอย่างสูงก็เป็นของนาย Fred Chuatiuco คนๆ นี้เป็นชาวอินเดีย อดีต CFO คือผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน เขาเรียกว่า Chief Financial Officer บริษัทด้านสุขภาพแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ ให้คำตอบ โดยนาย Fred Chuatiuco ตั้งข้อสงสัยว่า ณ ปัจจุบัน อินเดียจะเป็นตัวการสำคัญในการขับเคลื่อนทั่วโลก จะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะในเมื่อแม้แต่ธนาคารกลางอินเดียเพิ่งจะหยุดการจ่ายค่าน้ำมันของรัสเซียที่ส่งมอบสินค้าไปให้แล้ว ขณะที่ค่าเงินรูปีของอินเดียกำลังดิ่งลง เพราะว่ามีการสวอปเงินดอลลาร์กับรูปีจำนวน 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ กำลังจะหมดอายุ ทำให้อินเดียนั้นขาดแคลนเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่จ่ายเป็นค่าสินค้านำเข้า


แล้วลองนึกภาพดูว่า ประเทศที่อ้างว่ามีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตทั่้วโลก แต่ตัวเองต้องไล่แก้ปัญหาเงื่อนข้อตกลงมูลค่าการสวอปเงิน 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเรื่องน้ำมันขาเข้า ตลก

นาย Fred Chuatiuco ชี้ให้เห็นว่า นี่ไม่ใช่สภาพของประเทศที่จะอ้างว่าสามารถเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้ แต่เป็นสภาพของประเทศที่กำลังพัฒนา ที่กำลังดิ้นรน และอาจจะกล่าวได้ว่าเศรษฐกิจอยู่ในสภาวะที่ตกต่ำย่ำแย่เสียด้วยซ้ำ

เป็นที่ทราบกันว่ากลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ G7 เริ่มต้นบังคับใช้มาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันดิบทางทะเลของรัสเซีย ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2565 เพื่อจะทำลายศักยภาพทางเศรษฐกิจของรัสเซียระหว่างที่ทำสงครามกับยูเครน

รัฐบาลอินเดียของนายนเรนทรา โมดี ยกตัวอย่างง่ายๆ อินเดียอึ้ง เพราะว่ารัสเซียขอให้ชำระค่าน้ำมันเป็นเงินหยวนจีน นายโมดิฉกฉวยโอกาสสำคัญจากการที่สามารถซื้อน้ำมันดิบราคาถูกรายใหญ่ที่สุด ใช้วิธีเลี่ยงข้อจำกัดกลุ่ม G7 ที่กำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซียที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อินเดียจ่ายส่วนเกินจากเพดานด้วยเงินสกุลอื่นๆ เช่น ตอนนี้ราคาน้ำมันดิบของรัสเซียพุ่งเหนือระดับ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากรัสเซียประกาศระงับการส่งออกน้ำมันทั่วโลก เพื่อรักษาเสถียรภาพภายใน ดังนั้นส่วนเกินจากเพดาน 60 ดอลลาร์ อินเดียต้องการที่จะจ่ายในเงินสกุลรูปี แต่รัสเซียบอกว่า นายจ๋า ฉันมีเงินรูปีอินเดียเยอะเหลือเกิน และไม่รู้จะเอาเงินรูปีไปทำอะไร เพราะว่าซื้อสินค้าในอินเดียก็ซื้อไม่ได้ น้อยกว่า รัสเซียก็เลยยืนยันให้อินเดียจ่ายค่าน้ำมันดิบเป็นเงินหยวน


การที่รัสเซียมีเงินหยวนมากขึ้น ช่วยให้รัสเซียสามารถนำเงินหยวนไปซื้อสินค้าจากจีนได้ ปัจจุบันสินค้าจากจีน รัสเซียนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 12.8 เปอร์เซ็นต์ มีมูลค่าประมาณ 76.000 ล้านดอลลาร์ ทำให้เงินหยวนเป็นเงินสกุลที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในรัสเซีย แซงหน้าเงินดอลลาร์ไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวหลายแห่งเมื่อกลางเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ระบุว่า รัฐบาลอินเดียไม่สบายใจที่ปล่อยให้โรงกลั่นน้ำมันของรัฐชำระหนี้น้ำมันของรัสเซียด้วยเงินสกุลหยวน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมปีนี้ ทางบริษัท อินเดียน ออยล์ คอร์ป (Indian Oil Corp) ซึ่งเป็นกิจการโรงกลั่นน้ำมันชั้นนำของรัฐ ได้ชำระค่าน้ำมันที่ซื้อจากรัสเซียด้วยเงินสกุลหยวน ผ่านธนาคาร ICICI Bank ของอินเดีย และธนาคาร Bank of China ของจีน แต่โรงกลั่นอื่นๆ เช่น บารักปิโตรเลียมคอร์ป และฮินดูสถานปิโตรเลียม ขณะนี้ไม่ขอชำระค่าน้ำมันเป็นเงินหยวน แต่จะเปลี่ยนใช้เงินสกุลอื่นแทน แต่ทางบริษัทรัสเซียที่ขายน้ำมัน อย่างรอสเนฟ ริทัสโก และก๊าซพรอม ของรัสเซีย ยืนกรานต้องการซื้อขายด้วยเงินสกุลหยวนของจีนเท่านั้น


ด้วยเหตุนี้ รัสเซียซึ่งเป็นผู้จัดหาน้ำมันรายใหญ่ที่สุดให้กับรัสเซียจึงต้องรับมือกับการเล่นตัวของอินเดีย ในการชำระหนี้ค่าน้ำมันรัสเซียด้วยเงินหยวนจีน กระทรวงการคลังของอินเดียสั่งห้ามไม่ให้โรงกลั่นของรัฐที่มีอยู่ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ของโรงกลั่นทั้งหมด ชำระค่าน้ำมันรัสเซียเป็นเงินสกุลหยวนของจีน

ตอนนี้รัฐบาลอินเดีย รัฐมนตรีพลังงานอินเดีย ยอมรับว่าการพึ่งพาน้ำมันรัสเซียของเราอาจจะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ความเป็นจริงแล้ว ท่านผู้ชมครับ นิสัยแขก พูดอย่างทำอย่าง เพราะว่าข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าช่วงแปดเดือนแรกของปีนี้ ตั้งแต่มกราคม-สิงหาคม 2566 อินเดียได้นำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียเพิ่มขึ้น ยอดขายน้ำมันดิบทางทะเลของรัสเซียเพิ่ม 236.9 เปอร์เซ็นต์ เป็น 29,900 ล้านดอลลาร์ จากช่วงเดียวกัน

ในช่วงเดือนเมษายน-กันยายน 2566 ที่ผ่านมา อินเดียได้นำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียเฉลี่ย 1.76 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วถึงสองเท่า (ไหนบอกว่าจะไม่ซื้อแล้วไง) โดยปีที่แล้วอยู่เพียงแค่ 780,000 บาร์เรลต่อวัน ตอกย้ำความแข็งแกร่งของรัสเซียในฐานะที่เป็นซัปพลายเออร์หลัก ขณะที่โรงกลั่นต่างๆ ของอินเดียลดการซื้อน้ำมันจากตะวันออกกลางลง เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มียอดขายลดลงอย่างเห็นได้ชัด 61.6 เปอร์เซ็นต์


นอกจากปัญหาและอุปสรรคของการจ่ายหนี้การค้าของน้ำมันดิบด้วยเงินหยวนของจีนแล้ว อินเดียยังมีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับค่าเงินรูปี ร่วงต่ำเป็นประวัติการณ์ ตลอดปี 2566 ค่าเงินรูปีมีสถานะผันผวน ธนาคารกลางอินเดียต้องออกมาแทรกแซงปกป้องค่าเงินรูปีที่อยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้และทั้งนั้น คำชี้ชวนของรัฐบาลอินเดียที่โฆษณาบริษัทข้ามชาติทั้งหลายเข้ามาลงทุนและทำการค้าระหว่างประเทศ ต้องไม่ถูกหลอกด้วยคำอินเดียว่า เศรษฐกิจขนาดใหญ่ การเติบโตสูง และประชากรมาก เพราะบรรดาประเทศคู่ค้าเหล่านั้นจะต้องเผชิญกับความเป็นจริงมากมายที่ว่า การดำเนินธุรกิจการค้าลงทุนในอินเดียไม่ได้ง่าย ดังนั้นคำถามที่ถามว่า อินเดียจะเป็นตัวขับเคลื่อนอัตราเจริญเติบโตทั่วโลกได้หรือไม่ ในประเด็นนี้นอกจากนาย Fred Chuatiuco นักธุรกิจในสหรัฐฯ แล้ว ยังมีความเห็นของชาวอินเดียเอง เป็นความเห็นของคนที่ชื่อ Kanthasavamy Balasubramaniam ระบุตัวเองเป็นนักฎหมาย จบมหาวิทยาลัย Madras เมืองเจนไน รัฐทมิฬนาฑู อินเดีย เขาตอบคำถามว่า อะไรคือโอกาสที่อินเดียจะกลายเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับจีนในอนาคต และทำกับจีนได้ในแบบเดียวที่จีนทำกับอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในด้านเทคโนโลยี ธุรกิจ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสะอาด หุ่นยนต์ และเครื่องจักร

เขาบอกว่า โอกาสดังกล่าวเป็นไปได้น้อยมาก เพราะอินดียขาดวิสัยทัศน์และความอดทนที่ชัดเจนแบบที่จีนมี ซึ่งเขาบอกว่าความอดทนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด จีนไม่ได้เริ่มต้นตั้งแต่แรกด้วยการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ หรือวิทยาการหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นวิทยาการขั้นสูง แต่จีนเริ่มด้วยการผลิตกบเหลาดินสอ กระดาษกราฟ หนังยาง รวมทั้งกระดุม จีนเรียนรู้จากความล้มเหลว เตรียมพร้อมสำหรับความล้มเหลว และเมื่อคนทั้งโลกหัวเราะเยาะสมาร์ทโฟนของจีน พวกเขาก็ยังเดินหน้าต่อด้วยการเรียนรู้และหมกมุ่นกับการสร้างห่วงโซ่อุปทานส่วนประกอบ และเรียนรู้จากความผิดพลาด

พวกเขาพัฒนาแผนระยะยาว และมีกำหนดเวลาในการพัฒนา จีนลงทุนเป็นอย่างมากในการศึกษาระดับอุดมศึกษา การวิจัย ทุนการศึกษาจากต่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ทั้งยังยึดมั่นในระบบคุณธรรม ภาษาอังกฤษเรียกว่า meritalcracy หรือระบบสังคมที่เชื่อว่าความสำเร็จของตนเองไม่ได้ใช้สิทธิพิเศษของชนชั้นเหมือนอย่างอินเดียที่ยึดติดอย่างเหนียวแน่น


เหนือสิ่งอื่นใด เขามีผู้นำสูงสุดที่มีวิสัยทัศน์ ตั้งแต่เติ้ง เสี่ยวผิง จนถึง สี จิ้นผิง หลี่ เค่อเฉียง ยังมีผู้นำระดับรองๆ ลงไปที่ยอดเยี่ยม ที่สามารถนำเสนอความคิดริเริ่มของตัวเองในระดับท้องถิ่นได้ โดยไม่ต้องเดินตามรัฐบาลกลางแบบเป๊ะๆๆ ตัวอย่างเช่น ผู้นำมณฑลได้รับอิสระเต็มที่ในการดำเนินการด้วยตัวเองในการแก้ปัญหา และหากได้ผลเขาจะได้รับรางวัล ถ้าไม่ได้ผลจะถูกคัดออก เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องราวของจีนไม่ใช่เรื่องราวที่สร้างได้ในระยะเวลาเพียงหนึ่งวัน แต่เป็นเรื่องราวตั้งแต่เมื่อห้าสิบปีที่แล้ว เริ่มต้นด้วยนิมิตของชายคนหนึ่งตัวเตี้ยๆ ชื่อ เติ้ง เสี่ยวผิง ที่ไม่เห็นพ้องกับลัทธิมาร์กซิสเลนิน แล้วใช้วลี เติ้ง เสี่ยวผิง พูดว่า "สำหรับจีนแล้ว ประชาชนสำคัญที่สุด ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์นั้นสำคัญในระดับที่รองลงมา"


แล้วเขาถามต่อ ในส่วนของอินเดียล่ะ มีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์แบบนี้หรือเปล่า ? นักกฎหมายชาวอินเดียรายนี้บอกว่า อินเดีย ณ วันนี้ เปรียบเทียบกับจีนไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เปรียบเทียบไม่ได้ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า No-comparison อินเดียยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะต้องทำอะไรอย่างไร ตอนนี้เพียงมุ่งเป้าไปในการสร้างภาพลวงตาว่า พรรคภารตียชนตา หรือพรรค BJP ของนายนเรนทรา โมดิ นายกรัฐมนตรีอินเดีย กำลังทำได้ดีมาก เช่นเดียวกับระดับรัฐที่พวกเขาต้องการภาพลวงตาว่าพรรค BJP พรรค DMK กำลังบริหารจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างดี แต่ในความเป็นจริงแล้วคือปัจจัยและโครงสร้างพื้นฐานอินเดียนั้นฟอนเฟะ อ่อนแอดังเช่นในทศวรรษที่ 1990 หรือสามสิบปีก่อน

เขาพูดต่อว่า อินเดียไม่สามารถผลิตซิปคุณภาพดีได้ วันนี้อินเดียแค่ซิปรูดกางเกงยังไม่สามารถผลิตให้คุณภาพดีได้ แต่วันนี้อินเดียกลับทะลึ่งมาพูดถึงการผลิตไมโครชิปขนาด 7 นาโนมิเตอร์ แบบจีน อินเดียมีผลิตภาพต่ำที่สุดในหมู่ประเทศเอเชีย แม้กระทั่งประเทศบังกลาเทศยังมีผลิตภาพที่สูงกว่าอินเดีย

อินเดียไม่มีแผนงานสร้างแรงงานที่มีทักษะ แต่ผู้นำเรากำลังยุ่งกับการสอนเทคโนโลยีโดรน ปัญญาประดิษฐ์ AI ให้กับเด็กๆ มากขึ้น ทว่า กลับมีครูไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ที่มีความรู้พอจะสอนเทคโนโลยีเหล่านั้นได้ มันมีการวางแผนที่จะสอนเด็ก 5 แสนคน เกี่ยวกับ AI และโดรน แต่เขาต้องการครูที่มีคุณสมบัติ อย่างน้อย 15,000 คน แต่ว่าอินเดียไม่มีครูสักคนเลย จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องโกหกและดรามา

ท่านผู้ชมครับ ความเห็นของคนอินเดียซึ่งเป็นนักกฎหมาย ในเรื่องนี้ ที่ผมอ่านให้ฟัง สะท้อนให้เห็นถึงการศึกษาของไทยเช่นกัน


ผู้บริหารทุกยุคทุกสมัยมุ่งจะทำให้ประเทศไทยก้าวหน้า ผลิตนวัตกรรมได้ อยากให้เด็กเก่ง เป็นโปรแกรมเมอร์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ เชี่ยวชาญเทคโนโลยี AI เทคโนโลยี GEV เป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแทนที่รถยนต์สันดาป แต่ประเทศไทยเองก็ไม่ต่างจากอินเดีย ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นเบ้าหลอมทรัพยากรบุคคลของประเทศ นั่นคือครูบาอาจารย์ทั้งหลาย

ตัวอย่างเช่น ผมไปทอดกฐินที่จังหวัดสกลนคร 2 วัด วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2566 ผมแวะทำบุญสร้างโรงอาหารโรงเรียนบ้านห้วยยาง จังหวัดสกลนคร ผมบอกได้เลยว่า ก่อนที่จะคิดพัฒนาเด็ก ต้องพัฒนาครูก่อน ผมเลยบอกว่าถ้าครูคนไหนของโรงเรียนบ้านห้วยยาง อยากจะเรียนต่อในการพัฒนาความรู้ตัวเองเพื่อมาสั่งสอนเด็กๆ ถ้าไม่มีเงิน ผมจะสนับสนุนทุนการศึกษา โดยจะให้เขาติดต่อมา แล้วขอทุนมาที่มูลนิธิไชย้ง ลิ้มทองกุล และเเราจะเลือกพิจารณาว่าวิชาที่เขาต้องการจะไปเรียนเพิ่มเติมนั้น จะกลับมาสอนเด็กได้ประโยชน์หรือเปล่า


กลับมาถึงเรื่องอินเดียกับจีน คนอินเดียคนเดิมที่เป็นทนายความ ให้ความเห็นเปรียบเทียบว่า ขณะที่อินเดียกำลังเพ้อฝัน ในเวลาเดียวกัน ในประเทศจีนได้มีการเปิดการเรียนการสอน การประยุกต์ใช้ทางอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐานให้กับเด็กๆ ในชนบท คัดแยกสิ่งที่ดีที่สุด ส่งพวกเขาไปเรียนที่วิทยาลัยเพื่อเรียนรู้การแปลงค่าแคลคูลัส ฟูเรีย คือการแปลงเชิงปฏิพันธ์ ซึ่งเป็นคณิตศาสตร์ชั้นสูง

อย่างน้อยที่สุดในปัจจุบันอินเดียก็เป็นเหมือนเบี้ยหมากของสื่อกระแสหลักที่มุ่งเป้าในการโจมตีจีน โดยอ้างว่าอินเดียกำลังจะก้าวขึ้นแข่งขันเทียบชั้นจีน แต่พูดตามตรง นักวิเคราะห์คนนี้ซึ่งเป็นคนอินเดีย เป็นนักกฎหมาย บอกว่า ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย เพราะว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ได้ จีนสร้างรากฐานมา 30 ปี จากนั้นก็เร่งสร้างกลยุทธ์การพัฒนาแบบก้าวกระโดด

ในทางกลับกัน อินเดียไม่มีพื้นฐานใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่ทำคือสร้างกระแสโฆษณาที่ด้านบน เพียงเพื่อจุดประสงค์เพื่อเป็นภาพลวงตา ในฐานะที่ผมเป็นคนอินเดีย พูดได้เลยว่า เวลานี้จีนไม่ต้องกังวลเรื่องเกี่ยวกับอินเดียอีกต่อไปอีกนานแสนนาน จนกว่าอินเดียจะตื่นมามองโลกแห่งความเป็นจริง และตัดสินใจถึงเวลาที่จะหยุดโกหกและหลอกตัวเอง และเริ่มพัฒนาทุกอย่างอย่างจริงจัง

ท่านผู้ชมครับ ข้อมูลทั้งหมดที่ผมเล่าให้ฟังนี้คือคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามที่ว่า เศรษฐกิจอินเดียกำลังจะเติบโตและพัฒนาขึ้นมาทัดเทียมเศรษฐกิจจีนภายในปีนี้หรือปีหน้าได้จริงไหม คำตอบที่ชัดเจนคือ ไม่มีวัน รออีก 50 ปี ยังไม่รู้จะสำเร็จหรือเปล่า

ท่านผู้ชมครับ ขอนอกเรื่องคนละเรื่องเดียวกัน ท่านผู้ชมใช้ไอโฟนใช่ไหม ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าไอโฟน 15 ความที่อินเดียและความที่อเมริกาต้องการบีบแอปเปิลให้ไปผลิตไอโฟน 15 ที่อินเดีย เพื่อหลีกเลี่ยงจากฐานการผลิตของจีน แอปเปิลก็ไปจ้างบริษัท ฟอกซ์คอร์น ซึ่งไปตั้งโรงงานที่อินเดีย ปรากฏว่าคุณภาพที่ผลิตไอโฟนที่ทำจากอินเดียมีประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ของยอดทั้งหมด ขายแทบไม่ได้เลย ท่านผู้ชมครับ อย่าไปซื้อไอโฟน 15 เด็ดขาด โทรศัพท์ห่วยมากๆ เครื่องร้อนผิดปกติ ฝาด้านหลังหลุดออกมาโดยไม่รู้เรื่อง การประกอบไอโฟนของอินเดีย ถ้าท่านผู้ชมโชคร้ายไปหยิบเอาเครื่องที่ประกอบที่อินเดีย ท่านผู้ชมจะกลุ้มใจ ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ไอโฟน 14 กลับขายดิบขายดี ในขณะที่ไอโฟน 15 แทบจะไม่มีคนซื้อเลย ท่านผู้ชมครับ อย่าโง่ อย่าไปซื้อ 15 แล้วข้อแตกต่างระหว่างคุณภาพ 14 กับ 15 ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมายนักเลย ซื้อ 14 ที่ 15 เป็นไปอย่างนั้นเพราะว่ามันประกอบที่อินเดีย

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้มีเพียงแค่นี้ ท่านผู้ชมคงได้ฟังอย่างอิ่มหนำสำราญใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลในเรื่องของพม่า-จีน ที่ไม่มีใครในประเทศไทยเจาะข่าวได้ลึกซึ้งเท่ากับรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" รายการที่ผมออกวันนี้เก็บไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ ไม่มีใครอีกแล้วครับที่ทำได้แบบนี้

ท่านผู้ชมครับ วันที่ 5 ถ้าท่านผู้ชมต้องการไปร่วมทำบุญตามที่ผมเล่าให้ฟังแล้วนั้น ยินดีต้อนรับครับ มาร่วมบุญร่วมกุศลกัน ตั้งแต่เช้า ไปตกเย็น มีหมด การทำบุญทำให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ การถวายเพลพระทั้งวัด ที่วัดมหาธาตุฯ ตลอดจนการทำพิธีพุทธาภิเษกตอนหนึ่งทุ่ม เราจัดเตรียมที่นั่งเอาไว้ให้แล้วครับ ท่านผู้ชมเพียงเข้ามาร่วมมารับกุศลผลบุญกัน อย่าลืมนะครับท่านผู้ชม สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น