วันที่ 10 พ.ย.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่
- เบิกเนตรอดีตประธานศาลอุทธรณ์ ความจริงเรื่องพันธมิตร และทัษิณ กับคดี 7 ตุลา
- จีนแบน “ลิซ่า” จริงหรือ?
- อเมริกาล้มละลายไปแล้ว
ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.214
คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 215 [10 พ.ย.66]
ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean :SONDHI TALK
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ผมขอสวัสดีท่านผู้ชมที่ชมรายการอยู่ปัจจุบันนี้โดยผ่านทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok ก่อนจะเข้าไปดูว่ามีรายการอะไร ผมมีเรื่องที่ผมต้องชี้แจงนิดหนึ่ง ผมได้จัดรายการ SONDHI TALK เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2565 ออกรายการซ้ำวันที่ 19 มีนาคม 2565 ผมพูดถึงคุณปองพล อดิเรกสาร หรือที่ผมเรียกว่า พี่ป๊อก ซึ่งรู้จักกันมาสี่สิบกว่าปีแล้ว เป็นรุ่นพี่ผม ได้ฟ้องผมข้อหาหมิ่นประมาท ในคดีหมายเลขดำที่ อ 1446/2565 เรื่องนี้ก็มีการไกล่เกลี่ยกัน โดยทางศาลเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้ ก็เอาเป็นว่าผมจะอ่านข้อตกลงกันว่าผมว่าคุณปองพล อดิเรกสาร ว่าอย่างนี้ครับ "หรือว่าพี่ป๊อกหลับตาข้างนึงออกมายืนปกป้องลุงตู่ แลกทุกอย่างแม้กระทั่งความสุ่มเสี่ยงของประเทศชาติและประชาชนเพื่ออนาคตทางการเมืองของลูกชาย ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ที่วันนี้ประกาศยืนข้าง พล.อ.ประยุทธ์ เต็มตัว ถึงขั้นย้ายพรรค ออกจากพรรคพลังประชารัฐ ตามไปอยู่พรรคไทยสร้างชาติ กับแรมโบ้ เสกสกล อัตถาวงศ์" และมีอีกตอนหนึ่งที่ผมบอกว่า "ผมว่าพี่ป๊อกใช้ไม่ได้เรื่องนี้ ที่ต้องการจะส่งเสริมลูกชายให้เจริญก้าวหน้าในพรรคใหม่"
อยากจะขอชี้แจงท่านผู้ชมที่ได้รับฟังข้อความนี้ว่า เป็นข้อความที่ไม่ตรงต่อข้อเท็จจริง และผมก็ได้คุยกับพี่ป๊อกแล้ว คุณปองพล อดิเรกสาร ซึ่งผมรู้จักกันมาร่วมสี่สิบปี พี่ป๊อกก็บอกว่าไม่เป็นไร ให้อภัยผม ก็เลยต้องขอขอบคุณ คุณปองพล อดิเรกสาร มา ณ ที่นี้ด้วย
ท่านผู้ชมครับ เมื่อสามวันที่แล้ว วันที่ 7 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เป็นวันคล้ายวันเกิดผม อายุเต็ม 75 ปี ขอกราบขอบพระคุณแฟนๆ รายการ และทุกๆ ท่านที่้เข้ามาสวัสดี ให้กำลังใจผม วันนั้นก็มีคนเข้ามาเยี่ยมเยียนและอวยพรผมมากมายเป็นพิเศษ มีคนมาถามผม ผมก็ไม่มีอะไรพิเศษ ทำบุญเลี้ยงพระที่บ้านพระอาทิตย์ โดยพระสายวัดป่าทุกองค์ มีหลวงปู่บุญเรือง ท่านเป็นองค์ประธาน เพราะท่านพรรษาเยอะมากที่สุด และมีแม้กระทั่งพระอาจารย์สุธรรม ซึ่งเป็นท่านเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด พระอาจารย์จิรวัฒน์ วัดป่าไชยชุมพล และพระอาจารย์หลายๆ ท่าน พระอาจารย์ชิน วัดธรรมสถิต ที่ระยอง ตลอดจนอีกหลายองค์ที่ผมรู้จักมักคุ้น
ผมได้รับคำอวยพรจากพ่อแม่ครูอาจารย์ พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งที่ผมได้รับมาทั้งหมดผมขออนุญาตส่งต่อให้ท่านผู้ชมทุกท่านที่มีความปรารถนาดีต่อผม นำคำอวยพรนั้นไปด้วยก็แล้วกัน
ทีนี้มีคนถามผมมาเยอะว่า อายุ 75 แล้ว ผมคิดอะไร อยากฝากอะไรให้เป็นข้อคิด จริงๆ แล้วตอนที่ผมออกจากเรือนจำปี 2562 ตอนปลายปี ผมกำลังอยู่ในช่วงเวลาของการตัดสินใจว่าผมจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร รอวันตายไปดีกว่า เพราะว่าเจ็ดสิบกว่าแล้ว บุตรชายผมก็มีหลานคนหนึ่ง ชื่อ พอเพียง เป็นเด็กที่น่ารักมาก จะให้ผมเลี้ยงหลานเหรอ ผมคิดสะระตะแล้วว่า ผมเสียดาย เสียดายองค์ความรู้ที่ผมมีมาตั้งแต่ผมยังเป็นหนุ่ม ถ้านับไปแล้ว ตอนนี้ผม 75 ปี องค์ความรู้ผมสั่งสมมาตั้งแต่ผมยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่ต่างประเทศ มาจนถึงวันนี้ต้องมีหกสิบปีแล้ว หรือห้าสิบปีอย่างน้อย องค์ความรู้ที่สั่งสมมาเรื่อยๆ
นอกจากนั้นแล้ว อยู่ในวงการสื่อมวลชนมาตลอด ไม่ว่าจะทำรายการโน้น รายการนี้ หรือฝึกอบรมพวกผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของผมให้รู้จักว่าการทำข่าวที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร ตลอดจนส่วนตัวผมเองนั้น ผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ และผมเป็นที่ชอบดูคลิป คลิปนี่ผมดูหมดทั้งฝ่ายตรงกันข้าม ฝ่ายอีกฝ่ายหนึ่ง
คือสรุปง่ายๆ ว่าผมดูข้อความต่างๆ ในคลิป ดูข้อความต่างๆ ที่พิมพ์ออกมา ไม่ว่าจะเป็นสำนักข่าวต่างประเทศ อย่างเช่นรอยเตอร์ หรือฟังสำนักข่าว CNN, BBC มาเรื่อย ตลอดจนฟัง/อ่านข่าวของสำนักข่าวรัสเซีย (RT) หรือของจีน Global Times ตลอดจนได้สัมผัสกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ ก็เลยทำให้ผมมีความรู้สึกว่า (นี่ส่วนตัวผมนะครับ ถ้าผมไปก้าวล่วงละเมิดใครก็ตาม ก็ขอโทษ ณ ที่นี้ด้วย) เมืองไทยนั้น ปัญหาใหญ่ที่สุดคือคนไทยยังมีปัญญาน้อยอยู่ เวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จะมองปัญหาที่เกิดขึ้น ณ วัน ว. เวลา น. เวลานั้น และไม่พยายามที่จะหาความรู้เพิ่มเติม ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ สมมุติอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น มันมีที่มาที่ไปอย่างไร สนใจเฉพาะ Real time เอาล่ะ มันเกิดขึ้นแล้ว วิพากษ์วิจารณ์ตรงนั้นดีกว่า
ท่านผู้ชมจำได้ไหมผมเคยเอาคำพูดของท่านประยุทธ์ ปยุตฺโต มาพูดว่า การจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรนั้น ต้องมีองค์ความรู้ก่อน ถ้าไม่มีองค์ความรู้แล้วจะโพสต์ จะพูดเรื่องอะไร มันไม่มีประโยชน์ เพราะองค์ความรู้มันมีหลายๆ อย่างที่มันเกี่ยวพันกัน มีที่มาที่ไปของมัน หรือตามหลักธรรมที่เราเรียกว่า "อิทัปปัจจัยตา" อันนี้มีตลอดเวลา แต่เราไม่ค่อยได้ใช้กัน
เมื่อปี 2562 ผมก็เลยตัดสินใจว่า ผมจะใช้เวลาส่วนที่เหลือของชีวิตทำงานเพื่อให้ความรู้คน ให้ปัญญาคน ตราบจนกระทั่งผมไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำ เพราะทุกวันนี้หลังจากออกรายการแล้ว เวลาว่างของผม ไม่ได้ไปตีกอล์ฟ ผมตีไม่เป็น ไม่ได้ไปเดินชอปปิ้ง อายุผมมากขนาดนี้แล้วผมไม่จำเป็นต้องใช้แฟชั่นอะไรทั้งสิ้น แล้วก็ไม่ได้เดินไปร้านโน้นร้านนี้เพื่อทานอาหาร สำหรับผมแล้วทานอาหารง่ายๆ ผมสบายใจมากที่สุด แต่ผมจะใช้เวลาที่เหลือนั้นดูหนังสือ อ่านหนังสือ ฟังคลิป เข้าไปในเว็บไซต์ต่างๆ เข้าไปในแอปฯ ต่างๆ เพื่อศึกษาหาความรู้ที่ผมคิดว่าตัวผมเองนั้นยังเป็นน้ำครึ่งแก้วอยู่ ต้องพยายามหาทางเติมให้มันเต็มแก้วให้ได้
ด้วยเหตุนี้ผมก็เลยบอกพรรคพวกที่ทำงานร่วมกันอยู่ทุกวันนี้ ว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมอยากจะทำรายการสักรายการหนึ่ง ทุกอาทิตย์ ผมระบุไปเลยว่าเป็นวันศุกร์ เป็นรายการที่จะเรียกว่า "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เพราะผมเคยทำรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ออกมาแล้วทางวิทยุ ถ้าท่านผู้ชมที่เคยติดตามผมยังจำได้ ซึ่งผมทำเรื่องนั้น แต่เป็นทุกเรื่องที่เกี่ยวกับบ้านเมือง แต่ไม่ใช่การเมือง เป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องการศึกษาของลูก เรื่องการลงทุน เรื่องใช้ชีวิตอย่างไร แต่ทีนี้ผมทำ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เป็นการครอบหมดทุกอย่าง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ฯลฯ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นและผมคิดว่ามันมีประเด็น มีมิติที่ผมคิดว่าในบรรดาสื่อมวลชนทั้งหลายนั้น ซึ่ง 99 เปอร์เซ็นต์ จะไม่อธิบายที่มาที่ไปของมัน ผมมีหน้าที่ที่จะต้องอธิบายที่มาที่ไปของมัน ผมก็เลยตัดสินใจทำ
ผมทำครั้งแรกก็มีคนหลายคนเห็นใจผมว่าผมอายุมากแล้ว บอกว่าทำอย่างมาก 1-2 เดือน ก็พอได้แล้ว คิดว่าผมเป็นคนจับจด ไม่จริงจัง แต่ปรากฏว่าผมทำมาแล้ว 4 ปี ทุกอาทิตย์ ปีละ 52 ตอน สี่ปีก็ร่วมสองร้อยตอนแล้ว ไม่ใช่เรื่องเล็กนะท่านผู้ชม และไม่เคยขาดเลยแม้แต่อาทิตย์เดียว กลายเป็นว่ารายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในขั้นสุดท้ายในชีวิตของผม ถ้าผมทำจนกระทั่งผมตายไปกับโต๊ะตัวนี้ ผมก็ยินดีที่จะทำ เพราะว่าผมเคยเรียนให้ท่านผู้ชมทราบแล้วว่าสิ่งที่ผมกลัวที่สุดในโลกนี้ คือผมไม่อยากให้ตายไปอย่างโง่ๆ และผมคิดว่า อันความโง่นั้น ไม่ใช่ความผิดของคนที่โง่ แต่เขาไม่รู้จักแสวงหาข้อมูลเพิ่มเติม แสวงหาปัญญา และ/หรือ ในสังคมสภาพปัจจุบันนั้น เขาไม่มีเวลาแสวงหาความรู้ ผมมาทำหน้าที่เป็นคนแสวงหาความรู้ หาความรู้มาบอกเขาดีกว่า และผมยึดถือคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ผมเคารพรักอย่างสูง คือองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
หลวงตามท่านพูดกับผมมาตลอด ในวันที่ผมออกมาประท้วงคุณทักษิณ หรือในวันที่หลวงตามหาบัวขอให้ผมออกมาต่อสู้ให้กับองค์สมเด็จญาณสังวร พระสังฆราชองค์ที่แล้ว ที่โดนสมเด็จเกี่ยว และคุณวิษณุ เครืองาม ตลอดจนคุณทักษิณ ชินวัตร รังแก กลั่นแกล้ง หลวงตาบอกผมตลอดเวลาว่า สนธิ ให้เอาธรรมนำหน้าตลอด ธรรมจะชนะอธรรม จะชนะอวิชชา ใช้เวลาหน่อยสนธิ แต่ในที่สุดธรรมก็จะปรากฏออกมาว่าสิ่งที่สนธิพูดนั้นมันถูกต้อง เอาธรรมนำหน้าไม่มีวันแพ้ นั่นคือสิ่งที่ผมจะบอกฝากให้ได้ว่าหลังจากวันเกิดวันนี้แล้ว ผมคิดอย่างไรกับการใช้ชีวิต
และท่านผู้ชมเชื่อไหมครับ ยิ่งวันยิ่งแสดงธรรมออกไป ยิ่งวันยิ่งเอาธรรมนำหน้า ยิ่งวันยิ่งทำให้ผมซึ่งปฏิบัติธรรมอยู่แล้วเป็นประจำ ผมก็เข้มงวดกับตัวเองมากขึ้น ปฏิบัติธรรม เพราะว่าจิตของผม ผมเป็นเจ้าของ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นสมบัติของผมเอง ถ้าผมไม่ภาวนา ไม่ปฏิบัติธรรม ไม่รักษาจิตให้มั่นคง ให้สงบให้นิ่ง เดี๋ยวจิตมันก็ดีบ้าง ร้ายบ้าง สับสนบ้าง โน่นนี่นั่น เพราะฉะนั้นแล้ว ดีที่สุดคือรักษาจิตให้มีความมั่นคง รักษาจิตให้มีเสถียรภาพ รักษาจิตให้มันคงอยู่ แล้วก็ใช้จิตพิจารณาพร้อมปัญญาที่เรามี สติที่เราได้จากการปฏิบัติธรรม ทำให้ก่อให้เกิดปัญญา ทำให้เราสามารถกำหนดจิตเราได้ว่าเรื่องนี้มันต้องเป็นอย่างนี้นะ มันน่าจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า และผมเคยบอกพวกญาติๆ หรือรุ่นน้องที่อยู่กับผม ผมบอกว่า เวลาผมปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ท่านผู้ชมทราบใช่ไหมครับ ผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว ผมเล่าซ้ำอีกทีสำหรับท่านที่ยังไม่ทราบ
ผมเป็นคนที่ตื่นตีสี่ทุกวัน ไม่มีเว้นวันหยุด จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสฯ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ พอตื่นตีสี่แล้ว ผมออกจากบ้านประมาณตีสี่ครึ่ง มาถึงที่ทำงานประมาณอีกสิบนาทีตีห้า แล้วผมใช้เวลาสองชั่วโมงจากนั้นสวดมนต์ ผมสวดพระปริตรวันละ 12 จบ และมนต์คาถาอื่นๆ อีก เสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็นั่งทำสมาธิภาวนา แน่นอน ระหว่างทางก็เบรกนิดหน่อย หลังจากสวดมนต์จบ ก่อนนั่งสมาธิภาวนาผมก็จะทานกาแฟ ทานผลไม้ ทานน้ำผลไม้ปั่น ทานโน่นทานนี่ แต่ไม่มีอาหารเช้า แล้วผมก็เข้ามานั่งสมาธิภาวนาประมาณสี่สิบห้านาทีถึงหนึ่งชั่วโมง เป็นอย่างนี้ทุกวัน ไม่มีวันหยุด แล้วผมก็รู้สึกกับตัวผมเอง จะเอาประสบการณ์ตัวผมเองมาเล่าให้ฟังก็ได้ ไม่เป็นไร
ผมมีความรู้สึกว่าการทำสมาธิภาวนาคือการสร้างปัญญาและทำให้ตัวเองมีสติมากขึ้น อายุมากแล้ว เวลาเดินเหินคนก็เป็นห่วง ลูกน้องใกล้ชิดก็บอกว่าพี่เดินระวังหน่อยครับ ทำไมยังเดินแข็งแรงอยู่
ผมเคยเห็นหลวงตามหาบัวตอนที่ท่านอายุมากๆ แล้ว หนึ่ง พระอริยสงฆ์ หรือพระที่ปฏิบัติธรรมอย่างสูง ผมไม่เคยเห็นพระพวกนี้เดินสะดุด หกล้ม หรือเป็นอะไรทั้งสิ้น ผมมาเข้าใจทีหลังว่า อ๋อ ท่านมีพุทโธตลอดชีวิต หายใจเข้าก็พุทธ หายใจออกก็โธ พอผมอายุมากขึ้นผมก็เลยใช้วิธีการ เวลาผมก้าวเท้าซ้ายลงที่ไหน ผมพุทธ แล้วยกเท้าขวาก้าวต่อไปก็โธ เพราะฉะนั้นแล้วผมก็ไม่มีวันที่จะสะดุดขั้นบันได ผมเดินขึ้นมาที่ทำงาน เดินขึ้นบันไดมาชั้นสอง เท้าซ้ายวางลงบนบันไดขั้นแรกก็พุทธ เท้าขวายกไปขั้นที่สองก็โธ ตลอดเวลา ไม่มีสะดุดเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นแล้ว คำว่า "พุทโธ" ที่พ่อแม่ครูอาจารย์บอกว่าให้อยู่กับตัวเราเอง นี่คือยาวิเศษ นี่คือคำสั่งสอนที่เป็นทิพย์ ทิพย์จริงๆ พุท โธ พุท โธ
เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าจะมีอะไรที่ผมแนะนำก็คือว่า ถ้าใครยังไม่เคยภาวนา ทำสมาธิ ให้ทำซะ ทำไปเถอะครับ ใหม่ๆ อาจจะยังไม่ชิน นั่งอยู่ 5 นาที จิตมันเป็นลิง กระโดดออกไป ดึงมันกลับเข้ามา แต่ต้องมีความเพียร พยายาม อย่าท้อ ถ้าจิตมันออกไปเยอะก็ดึงมันกลับมา เริ่มเล็กๆ น้อยๆ 5 นาทีก่อน ต่อวัน พอเริ่มนิ่งแล้วก็ต่อไปเป็น 10 นาที จาก 10 นาที ก็ต่อไปเรื่อยๆ ผมเริ่มอย่างนี้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ผม 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง สบายๆ นี่คือสิ่งที่ผมทำประจำและผมก็อยากจะให้ท่านผู้ชมทั้งหลายที่เป็น FC หรือที่ฟังรายการนี้ เชื่อผมเถอะครับ ปฏิบัติตาม ไม่ผิดหรอกครับ เรื่องนี้เชื่อผมได้เลย ไม่ผิด
แล้ววันนั้นทั้งวัน ท่านผู้ชมคงจะเดาออกว่าผมเป็นคนยุ่งมาก จะมีคนมาพบเรื่องโน้นเรื่องนี้ โน่นนี่นั่น ท่านผู้ชมเชื่อไหม ให้มันวุ่นแค่ไหนก็ตาม จากการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิภาวนากรรมฐาน ทำให้ผมเรียบเรียง เรียงลำดับความสำคัญของการทำงานในวันนั้นเป็นขั้นตอน เป็นชิ้นเป็นอัน แล้วผมก็จบลงด้วยการที่ไม่มีอะไรคั่งค้างอีกเลยในวันนั้น แล้วก็ไม่มีวันที่จะยุ่งเหยิงในเรื่องสมองของผม มีความรู้สึกว่าจบแล้วนะวันนี้ ไม่มีอะไรแล้ว แต่เริ่มหลังจากนั่งสมาธิเสร็จ พอลงไปทานข้าวเช้าตอนแปดโมงเช้ากับพรรคพวก ปัญหาก็เริ่มเข้ามาแล้ว ข้อมูลเริ่มเข้ามาแล้ว และทุกคนที่นั่งทานข้าวกับผมทุกเช้าจะพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า ผมเป็นคนที่สงบมาก เล่าเรื่องอะไรก็ตามที่เป็นเรื่องที่น่าตกอกตกใจ ผมไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรไปกับมันเลย เพราะว่าผมอายุมาถึงขนาดนี้แล้ว ขอให้เชื่อผม เชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์เถอะครับ หลวงตาบอกว่า สนธิ ในที่สุดแล้วชีวิตคือความว่างเปล่า คือความว่างเปล่าจริงๆ ไม่มีอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นแล้วทำจิตให้สงบ ปัญหาเข้ามาก็แก้ไปตามสติปัญญา และสมาธิปัญญาที่เรามี
นั่นก็คือคำแนะนำที่ผมซึ่งอายุย่าง 76 แล้ว เอามาให้ท่านผู้ชมฟัง
ท่านผู้ชมครับ สัปดาห์ที่แล้วมาผมและทีมงานได้ไปทอดกฐินตามวัดต่างๆ ได้เงินทอดกฐินมาจากที่พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย FC ทั้งหลายเช่าพระ บางคนไม่ต้องการพระ แต่ส่งเงินมาร่วมทำบุญด้วย ผมไปทอดกฐินมาแล้ว 1-2 วัด ผมขอให้ท่านผู้ชมที่เสียสละเงินเช่าพระร่วมอนุโมทนาบุญ รับกุศลผลบุญที่ผมเอากฐินไปทอด กฐินเป็นบุญใหญ่ พ่อแม่ครูอาจารย์สั่งสอนมาตลอดเวลาว่ากฐินเป็นบุญใหญ่ที่ควรจะเข้าไปร่วมทำบุญกัน
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ผมไปที่วัดป่าภูแปกญาณสัมปันโน อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ของหลวงปู่เฉลิม สรุปยอดกฐินที่วัดได้ไป หมายถึงจำนวนเงินที่ผมมอบให้ไปรวมทั้งประชาชนภายนอกที่เข้ามาร่วมทำบุญที่วัด ได้ทั้งหมด 8,009,790 บาท แล้วเราก็ได้โอนเงินไปทอดกฐินล่วงหน้าที่วัดป่าไชยชุมพล อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ทำบุญกฐินไปแล้ว 1 ล้านบาท ท่านผู้ชมครับ ขออนุโมทนากับทุกท่านที่มาร่วมบุญในครั้งนี้
กำหนดการวัดที่จะทอดกฐินหลังจากนี้ คือวันเสาร์ วันพรุ่งนี้ (11 พ.ย.) ผมจะไปที่เชียงราย วัดป่าวังศิลา อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย ซึ่งจะทอดกฐินในวันอาทิตย์ที่ 12 วันเสาร์ที่ 11 วันเดียวกับที่ผมจะไปวัดป่าวังศิลา ก็มีการทอดกฐินโดยที่พวกเราเป็นเจ้าภาพ แต่จะส่งตัวแทนไป ที่วัดบึง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของหลวงพ่อเพย วันอาทิตย์ที่ 12 เช่นกัน วัดธรรมสถิต อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เป็นวัดของหลวงพ่อชิน ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ของพ่อท่านเฟื่อง
เสาร์ที่ 18 จะไปสกลนคร ไปที่วัดป่าพุทธนิมิตร อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร และวันอาทิตย์ที่ 19 ไปทอดที่วัดป่าหนองไผ่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ซึ่งวัดนี้เป็นวัดดั้งเดิมที่พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงพ่อสุธรรม ที่เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ จะไปปฏิบัติธรรม ไปฟังท่านเทศน์ด้วย วันอาทิตย์ที่ 19 วัดป่าดอยลับงา เป็นวันเดียวกันก็เลยต้องส่งคนไปแทน อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร
ท่านผู้ชมครับ ใครสนใจร่วมทำบุญยังสามารถโอนเงินมาร่วมทำบุญได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย ชิ่อบัญชี มูลนิธิไชย้ง ลิ้มทองกุล เลขบัญชี 008-2978777-1 หรือท่านผู้ชมอาจจะทำบุญโดยผ่านการจองพระก็ได้ เพราะว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เข้ามา เราเอาไปทำบุญหมด เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมจองพระมา เช่าพระไปแล้ว ก็ให้รีบจองเข้ามายังพอจองได้อยู่ เรามีพระพุทธรูป "พระสยามพุทธาธิราช" เราให้เช่าบูชาองค์ละ 1 แสนบาท เราทำมาแค่ 250 องค์ ตอนนี้เหลือ 57 องค์แล้ว และเหรียญชุดละ 2 พันบาท เหลืออยู่ไม่มากจริงๆ สนใจติดต่อที่ไลน์ (LINE) เพิ่มเพื่อน และพิมพ์คำว่า @tambun
เรื่องที่สองที่จะเล่าให้ฟังคือ "เมืองไทยรายสัปดาห์" ครบรอบ 2 ทศวรรษ มีผม และคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ พร้อมแขกรับเชิญ ที่จะมาจัดสดๆ หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ท่านผู้ชมจำได้ไหม "เมืองไทยรายสัปดาห์" เคยจัดที่ช่อง 9 แล้วถูกถอดรายการออกมา แล้วเราก็มาจัดข้างนอก และครั้งแรกสุดที่เราจัดก็คือหอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 21 มกราคม นะครับท่านผู้ชม อีกสองเดือน เวลา 13.00 น. ตอนนี้แฟนๆ จองบัตรเข้ามาพอสมควรแล้ว ใครสนใจติดต่อมาได้ครับ ราคาบัตร 2,000 บาท กับ 1,500 บาท ถ้าต้องการรายละเอียดการจองบัตร แอดมาที่ไลน์ @sondhitalk
ท่านผู้ชมครับ ผมไปทำบุญทอดกฐินที่วัดป่าภูแปก ผมบอกพรรคพวกที่นั่งเครื่องบินไปกับผม เรานั่งเครื่องบินไปลงจังหวัดเลย ผมบอก เฮ้ย เราต้องไปงานชุมนุมที่มีคนเยอะ ให้อัดฟ้าทะลายโจรไปเลย เราออกเดินทางเช้าวันเสาร์ 4 เม็ด แล้ววันเสาร์ เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน 4 เม็ดๆๆๆ วันอาทิตย์ทอดกฐิน ตื่นมาก็อีก 4 เม็ดๆๆๆ แล้วก็วันจันทร์ ผมอัดประมาณสามวัน พรุ่งนี้ผมจะไปที่เชียงราย ก็เช่นกัน ก็อีก 4 เม็ดๆๆๆ ทำไมถึงทำอย่างนี้ ? ช่วงนี้คนป่วยเยอะ ไปสนามบินทีไร ถ้าไม่ระวังตัว จะติด เดี๋ยวนี้โควิด-19 กับไข้หวัดใหญ่ อาการมันเหมือนกัน ถึงกับทางสาธารณสุข หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ บอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่ต้องวัดแล้วว่ากี่ขีด พอแค่มีอาการไอ ไม่ใช่ไอแบบคันคอนะครับท่านผู้ชม ไอแบบติดๆ กัน ไม่ต้องรอให้มันลาม เอาฟ้าทะลายโจรของอาจารย์ปานเทพ ระดับพรีเมียม ทำจากใบ รับประทานเข้าไปเลย 4 มื้อ มื้อละ 4 เม็ด ทานไปทันทีเลย อย่ารอให้เกิดอาการตัวร้อนหรือเจ็บคอขึ้นมาทีหลัง พอรู้สึกว่าเริ่มไอปั๊บ ทานทันทีเลย แล้วถ้าไม่เป็นอะไรมาก ไม่เกิน 3 วัน ก็จะหายดี
เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมอยู่ในที่ๆ คนเยอะๆ ช่วงนี้เป็นช่วงงานกฐินเยอะ พบปะคนเยอะ ทั้งสนามบิน ในงาน หรือท่านไปที่ไหนก็ตามที่มีคนเยอะๆ ให้ทานไปเลย
ส่วนท่านผู้ชมที่ยังไม่ป่วย ให้เจริญด้วยธาตุไฟ เสริมภูมิคุ้มกันเอาไว้ กิน "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ทุกวัน เพราะตามคัมภีร์การแพทย์แผนไทยระบุว่า ถ้าเป็นผู้สูงวัยอย่างผม หรือเขาบอกว่าตั้งแต่ 55 ขึ้นไป หรือ 50 ขึ้นไป ก็ถือว่าสูงวัยแล้ว ในช่วงฤดูฝนให้ทานยารสร้อน ขม และหอมเย็น ทั้งหมดนี้อยู่ในตำรับยาลมตัวนี้ ผมทานอยู่ทุกวัน นี่ขึ้นปีที่สี่แล้ว ถ้าสนใจ ทั้งฟ้าทะลายโจร ยาลม ๓๐๐ จำพวก เจ็บคอ เอาสเปรย์พ่นคอสมุนไพร ของสมุนไพรบ้านพระอาทิตย์ พ่น ซื้อได้ที่ไลน์ไอดี @sunherb
อาทิตย์นี้เรามีแค่ 3 เรื่องเอง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก พลาดไม่ได้เลย ท่านผู้ชมจำได้ไหมครับอาทิตย์ที่แล้วที่ผมพูดไป เรื่องเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เรื่องกรณีที่อัยการสั่งฟ้องพวกผม ทั้งหมดจำเลย 21 คน ข้อหาไปสร้างความวุ่นวาย ทำผิดกฎหมายข้อโน้นข้อนี้ ในการชุมนุมหน้ารัฐสภา แล้วก็ปรากฏว่าทางศาลชั้นต้นท่านพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วท่านก็มีคำสั่ง ไม่ผิด ยกฟ้องไปเลย
ผมมีข้อสังเกตอย่างหนึ่ง จากวันที่อัยการท่านอุทธรณ์ จนถึงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ท่านผู้ชมรู้ไหมครับ ผมนึกว่าแค่สองปีก็จบ เล่นเอาสามปีกว่า เกือบสี่ปี ผมเพิ่งจะมารู้ทีหลังเองว่ามีความเห็นแย้งของท่านประธานศาลอุทธรณ์ (ตอนนั้นท่านเป็นประธานศาลอุทธรณ์อยู่ แต่ตอนนี้ท่านเป็นผู้พิพากษาอาวุโสศาลอุทธรณ์ ก็เลยน่าจะมีการถกเถียงกันภายในยาวพอสมควร จนในที่สุดแล้วก็มีการอ่านคำพิพากษาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว และอ่านออกมาแล้วปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ท่านพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น รายละเอียดเดี๋ยวผมจะพูดอีกทีหนึ่ง แต่ปรากฏว่ามีอยู่นิดหนึ่ง ท่านประธานศาลอุทธรณ์ในเวลานั้น คือท่านชูชัย ท่านมีความเห็นแย้งกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แล้วท่านก็แย้งออกมา คือท่านเอาตามที่อัยการสั่งฟ้องหมด ผมก็เลยคิดว่าไม่ได้แล้ว งานนี้ คงต้องเอาองค์รวม ภาพรวมของเรื่องราวต่างๆ ของพันธมิตรฯ มาเล่าให้ฟัง เพราะว่าพวกผม ผมและอาจารย์ปานเทพ ใช้หลักอิทัปปัจยตา หรือ ปฏิจสมุปบาท เนื่องจากมีเหตุนี้เกิดขึ้น ที่มันเกิดขึ้นเพราะมีเหตุก่อนหน้านั้นเกิดขึ้น แล้วเหตุก่อนหน้ามันเกิดขึ้นก็เพราะมีเหตุก่อนหน้านั้นเกิดขึ้นเช่นกัน
แล้วท่านผู้พิพากษาศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ท่านก็ใช้หลักนี้มาพิจารณา มันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเดี๋ยวจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ต้นเลย ให้ท่านผู้ชมได้ฟัง ที่สำคัญคือให้ท่านชูชัย ท่านอดีตประธานศาลอุทธรณ์ที่มีความเห็นแย้งได้ฟังในทางวิชาการ เรามาถกเถียงกันในทางวิชาการ ไม่ได้ว่าใครผิดใครถูก แต่ว่าผมเอาเหตุผลของผมให้ฟัง และหลักฐานทางวิชาการ
เรื่องที่สองคือ ผมกำลังพูดถึงทำไมประเทศจีนถึงต้องแบนลิซ่า ลลิษา มโนบาล ของเรา มีเบื้องหน้าเบื้องหลังเยอะพอสมควร
เรื่องสุดท้าย อาจจะมีคนสนใจและอาจจะตระหนกตกใจ แต่ไม่ต้องตระหนกตกใจนะครับ เรื่องนี้ผมพูดมานานแล้ว ผมกำลังบอกท่านผู้ชมว่า อเมริกานั้นล้มละลายไปเรียบร้อยแล้ว
ความจริงเรื่องพันธมิตรฯ และทักษิณ กับคดี 7 ตุลาฯ
ท่านผู้ชมครับ ผมได้เคยเกริ่นให้ท่านผู้ชมได้รับทราบแล้วในรายการเมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน 2566 ผมและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวม 21 คน ได้ไปฟังคำสั่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีดำเลขที่้ อ 4924/55 กรณีที่ได้ร่วมชุมนุมกันที่หน้ารัฐสภา แล้วอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องผม นายสนธิ ลิ้มทองกุล และแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลยผิดฐานร่วมกันใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเหตุการณ์เมื่อปี 2551
คดีนี้เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2562 หรือประมาณสี่ปีที่แล้ว ศาลชั้นต้นท่านได้พิเคราะห์แล้วบอกว่าการชุมนุมของพวกเรานั้นเป็นสัญลักษณ์ มีการปราศรัยที่สมเหตุสมผลตามรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 63 การชุมนุมไม่ปรากฏมีความรุนแรง หรือมีผู้ฝ่าฝืนทำทรัพย์สินเสียหาย พันธมิตรฯ เป็นฝ่ายถูกกระทำ ตำรวจเองกลับเป็นคนที่ทำเกินกว่าเหตุ ศาลท่านเลยพิพากษายกฟ้อง
ต่อมาอัยการโจทก์ท่านยื่นอุทธรณ์ขอให้ลงโทษพวกผม ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ทั้งสามท่านในองค์คณะที่พิจารณาคดีนี้ ท่านเอาแต่ละข้อๆ ที่อัยการโจทก์นั้นกล่าวหาพวกผมมา แล้วลงลึก อธิบายหักข้อกล่าวล้างของอัยการ ท่านไม่ได้จู่ๆ หักข้อกล่าวหานะ ท่านฟังคำให้การ ท่านดูหลักฐาน แล้วท่านลงลึกไปเลยเป็นข้อๆ จนในที่สุดผู้พิพากษาทั้งสามท่านในองค์คณะ ประกอบด้วย ท่านบุษยา รอดยินดี ท่านประเสริฐศักดิ์ ณรงค์รักเดช และท่านกนกวรรณ ดลนิมิตสกุล มีความเห็นพ้องต้องกันทุกประการ และให้พิพากษายกฟ้องตามศาลชั้นต้น
แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่ามีท่านประธานศาลอุทธรณ์ในเวลานั้น ชื่อท่านชูชัย วิริยะสุนทรวงศ์ ท่านได้ทำความเห็นแย้งต่อคำพิพากษาของผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ทั้งสามท่าน โดยคำเห็นแย้งของท่านนั้นระบุไว้ท้ายคำพิพากษาตั้งแต่หน้า 60-91 รวมแล้ว 32 หน้า ท่านบอกว่า ความเห็นแย้ง ข้าพเจ้า นายชูชัย วิริยะสุนทรวงศ์ ประธานศาลอุทธรณ์ ได้ตรวจร่างคำพิพากษาและสำนวนคดีทั้งสามสำนวนนี้ ซึ่งรวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกันแล้ว ไม่เห็นพ้องกับคำพิพากษาที่องค์คณะผู้พิพากษาวินิจฉัยมา จึงมีความเห็นแย้ง
ผมจะไม่ลงรายละเอียดให้ยืดยาวนะครับ แต่สรุปสุดท้ายคือ ท่านชูชัย ท่านบอกว่าท่านไม่เห็นพ้องด้วยกับองค์คณะ โดยระบุว่าควรจะลงโทษพวกผม โดยอ้างว่าเป็นการแสดงความเห็นตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 11 (1)
เมื่อท่านชูชัย ให้ความเห็นแย้งระบุในคำพิพากษาเช่นนี้ ท่านผู้ชมครับ และท่านชูชัยครับ ผมจะขออนุญาตใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงในทางวิชาการอธิบายให้ท่านฟัง ส่วนท่านจะเห็นด้วยกับผมหรือไม่เห็นด้วย ก็สุดแล้วแต่ท่าน แต่ท่านชูชัยครับ ความจริงมันมีหนึ่งเดียว
ผมจะลำดับเหตุการณ์ประกอบข้อเท็จจริงเพื่อเป็นทัศนะเชิงวิชาการ ทำไปเพื่อหักล้างสิ่งที่ท่านชูชัย ในฐานะประธานศาลอุทธรณ์ แย้งมาว่า ความเห็นของท่านนั้นมีความผิดพลาด มีจุดบกพร่องอย่างไรบ้าง เป็นข้อๆ ไป ท่านผู้ชมครับ ท่านชูชัยครับ กรุณาอย่าหาว่าผมมาทะลึ่งตึงตังมาโต้เถียงท่านเลยนะครับ เอาเป็นว่าผมไม่เห็นด้วยกับท่าน และผมจะอธิบายว่า อะไรทำให้ผมไม่เห็นด้วย โดยหลักวิชาการจริงๆ
จริงๆ แล้วเรื่องที่ผมพูดวันนี้ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้แชร์ไปให้ท่านผู้พิพากษาทั้งหมดได้ดูกันสักนิดหนึ่ง เพราะการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนั้น มันมีนัยสำคัญมาก และที่ผมจะอธิบายให้ฟังเป็นข้อๆ มันก็มีนัยสำคัญเช่นกัน
ข้อที่หนึ่ง เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว (2551) ปรากฏการณ์ที่หน้ารัฐสภานั้น เป็นเหตุการณ์ปลายทางของสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ผมเล่าให้ฟังไง คือปลายทางที่มีการประท้วงที่รัฐสภา แล้วปลายทางอีกอันหนึ่งก็คือการเข้าไปประท้วงที่สนามบิน แต่เอาเฉพาะรัฐสภาก่อน พอรัฐสภาจบแล้ว ถ้าท่านได้ฟังและเข้าใจแล้ว ท่านจะเข้าใจเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่สนามบินนั้นมันเป็นเรื่องเดียวกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่รัฐสภา
ตามหลักปฏิจจสมุปบาท อิทัปปจยตา ซึ่งท่านชูชัยจะเข้าใจหลักธรรมเรื่องนี้หรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่ถ้าท่านไม่เข้าใจผมจะอธิบายให้ท่านฟัง
หลักปฏิจจสมุปบาท คือทฤษฎีหรือหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับอิงอาศัยกัน นั่นคือความเป็นเหตุเป็นผลของสิ่งทั้งหลาย เรื่องเหตุและปัจจัยการเกิดของทุกข์และการดับทุกข์ ส่วนอิทัปปจยตา เป็นกฎธรรมชาติ มีความหมายที่สำคัญคือ เพราะว่ามีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมี หมายความว่าเมื่อสิ่งนี้มีแล้ว สิ่งนี้มันต้องมี เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งนี้ก็ต้องเกิดขึ้น เรียงลำดับกันเลย
เช่นเดียวกัน ปรากฏการณ์ที่หน้ารัฐสภาเมื่อปี 2551 มันต้องมีที่มาที่ไป ไม่ใช่เรื่องนี้เกิดขึ้นแบบโดดๆ ไม่มีลำดับเหตุการณ์ แล้วก็มาพิพากษาตัดสินความในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้ารัฐสภา โดยไม่พิจารณาคำนึงถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้น แล้วต่อมาก็มีอีกสิ่งเกิดขึ้น เพราะสิ่งแรกเกิดขึ้น อันที่สามเกิดขึ้นเพราะมีอันที่หนึ่งและอันที่สองเกิดขึ้น ... และในที่สุดก็มาสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้
ข้อที่สอง การก่อตัวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก่อตัวมาก่อนหน้าปี 2551 ราวสามปี คือปี 2548 เราก่อตัวเพื่ออะไร ? ท่านชูชัยครับ เราก่อตัวเพื่อต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันและประพฤติมิชอบของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2549 จนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า คตส. เพื่อตรวจสอบการทุจริตต่างๆ ในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และมีคดีทุจริตต่างๆ ขึ้นสู่ศาลหลายต่อหลายคดี ซึ่งคำพิพากษาของศาลก็เป็นที่ประจักษ์ แล้วยุติมาแล้ว 12 คดี ท่านชูชัยครับ ท่านผู้ชมครับ ตั้งใจฟังนิดหนึ่งนะครับ
เราได้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการทุจริตต่างๆ ในรัฐบาลไทยรักไทย มีคดีทุจริตต่างๆ เกิดขึ้น และมีคำพิพากษาของศาลเป็นที่ประจักษ์ ยุติแล้วทั้ง 12 คดี
หนึ่ง คดีซื้อที่ดินรัชดาภิเษก ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 เป็นคดีแดงที่หมายเลข อม 1/2550
คดีที่สอง คดีการออกสลากพิเศษโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2552 คดีแดงที่ อม 10/2552
คดีที่สาม คดียึดทรัพย์ครอบครัวชินวัตร กว่า 46,000 ล้านบาท เพราะการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ป และบริษัทในเครือ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 คดีแดงหมายเลข อม 1/2553
คดีที่สี่ คดีทุจริตการซื้อยานพาหนะดับเพลิง อุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2556 เป็นคดีแดงที่ อม 27/2556
คดีที่ห้า คดีการทุจริตธนาคารกรุงไทย ที่ปล่อยกู้โดยไม่ชอบ มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2558 คดีหมายเลขแดงที่ อม 55/2558
คดีที่หก คดีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร หรือยุคนั้นก็คือหมอเลี้ยบ นายแพทย์สุรพงษ์ การแก้ไขสัญญาเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจครอบครัวนายทักษิณ ชินวัตร ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2559 คดีหมายเลขแดงที่ อม 107/2547
คดีที่เจ็ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการเลือกบุคคลดำรงตำแหน่งในธนาคารแห่งประเทศไทย ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2559 คดีแดงที่ อม/2559
คดีที่แปด เป็นคดีที่นายทักษิณ ชินวัตร ให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ปล่อยกู้ให้กับสหภาพเมียนมา เพื่อเอื้อประโยชน์ธุรกิจดาวเทียมของครอบครัว ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2562 คดีแดงหมายเลข อม 4/2551
คดีที่เก้า คดีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อช่วยเหลือครอบครัวชินวัตรเลี่ยงภาษีอากร ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2562
คดีที่สิบ คดีการแก้ไชกฎหมายภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของครอบครัวนายทักษิณ ชินวัตร ตามคำพิพากษาของศาลฎ๊กาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 เป็นคดีแดงที่ อม 5/2551
คดีที่สิบเอ็ด คดีการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามคำพิพากษายืนของคณะวินิจฉัยอุทธรณ์ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 4 มีนาคม
คดีที่สิบสอง คดีการใช้อำนาจโดยทุจริตของผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย แก้ไขสัมปทานเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจโทรศัพท์มือถือของครอบครัวนายทักษิณ ชินวัตร ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา วันที่ 21 กันยายน 2562
ท่านชูชัยครับ การที่คดีทั้งหลายดำเนินการมาจนมีคำพิพากษาในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และพวก มาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมได้สำเร็จ ท่านชูชัยทราบหรือเปล่าว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ได้ตรวจสอบ ชุมนุม ต่อต้านพรรคพลังประชาชนมิให้แก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 309 เพื่อมิให้ล้มล้างผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. รวมทั้งคัดค้านการออกกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้กับนักการเมืองด้วยกันเองทุกรูปแบบนั้น การต่อต้านของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่อย่างนั้นไม่มีการขยับกันแบบนี้หรอกครับ
จาก 12 คดีข้างต้น ท่านชูชัยรู้หรือไม่ว่าพวกเรา เหมือนอย่างที่หลวงตามหาบัวบอกผมว่าต้องใช้ธรรมนำหน้า ใช้เวลาหน่อย แต่ในที่สุดความจริงอันเป็นหนึ่งเดียวจะปรากฏ พวกเราใช้เวลา 15 ปี จึงพิสูจน์ให้เห็นได้ชัดว่าการชุมนุมของพวกเราพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเราเลย แต่เป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งท่านชูชัยก็รู้ว่า ย่อมเป็นการทำหน้าที่ของปวงชนชาวไทยที่ต้องได้รับการคุ้มครองตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
ข้อที่สาม การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ จึงไม่ใช่การใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมเท่านั้น ท่านชูชัยครับ การชุมนุมของพันธมิตรฯ นั้น ไม่ได้ใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมเท่านั้น แต่เป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในหมวดที่ 4 ซึ่งเป็นหน้าที่ปวงชนชาวไทยในมาตราที่ 71 ซึ่งระบุชัดเจน ท่านชูชัยฟังเอาไว้ เขียนเอาไว้อย่างนี้ครับ "บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ รักษาผลประโยชน์ของชาติ และปฏิบัติตามกฎหมาย"
สี่ นอกจากพันธมิตรฯ จะเคลื่อนไหวต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันประพฤติมิชอบแล้ว ยังเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านการโกงการเลือกตั้งอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในห้วงเวลานั้น เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 ระบุไว้ชัดเจนว่า กรรมการบริหารคนใดที่โกงการเลือกตั้ง ให้ถือว่าทั้งพรรคนั้นโกงและต้องยุบพรรคด้วย ผมไม่ทราบว่าท่านชูชัยได้เคยติดตามข้อมูลนี้บ้างหรือเปล่า
กลุ่มพันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์มาต่อเนื่อง ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 28 ท่านชูชัยเป็นผู้พิพากษา เป็นถึงประธานศาลอุทธรณ์ ให้ความเห็นในคดีนี้ ท่านได้อ่านครบถ้วนทุกฉบับหรือเปล่า ถึงมาให้ความเห็นแย้งแบบนี้ ผมต้องถามกลับท่าน แสดงว่าท่านไม่ได้อ่านถ้วน หรือถ้าอ่านถ้วน ท่านอาจจะไม่เข้าใจ
การโกงการเลือกตั้งในตอนนั้นของพรรคพลังประชาชน ซึ่งแปลงร่างมาจากพรรคไทยรักไทย ได้ลงลึกจนถึงการโกงในระดับเจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งได้ปลอมแปลงเอกสารพยานปากสำคัญ ต่อมารัฐบาลพรรคพลังประชาชนมิได้ฟังเสียงคัดค้านของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยมีข้อเท็จจริงปรากฏในเวลานั้นว่า รัฐบาลพรรคพลังประชาชนประกาศอย่างชัดเจนว่าจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี พ.ศ. 2550 แล้วรู้ไหมครับว่าทำไมเขาจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ? พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในเวลานั้นก็เลยออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4/2551 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2551 ในหัวข้อเรื่อง "คัดค้านและประณามการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิดของตนเองและพวกพ้อง" ว่าการที่รัฐบาลประกาศจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 เพื่อหลบเลี่ยงการกระทำความผิดในการทุจริตการเลือกตั้งที่จะนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน
มิหนำซ้ำแล้วยังจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 เพื่อยกเลิกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) อันจะนำไปสู่การตัดตอนคดีความที่กำลังดำเนินต่อนายทักษิณ ชินวัตร และพวกพ้อง เพื่อไม่ให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลในทุกวิถีทาง
แถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ 4/2551 ยังได้ยืนยันถึงการได้มาซึ่งอำนาจมิชอบของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ได้ทุจริตการเลือกตั้งที่จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2551 ปรากฏในคำแถลงการณ์พันธมิตรฯ ตอนหนึ่งว่า "เมื่อพรรคการเมืองในรัฐบาลนอมินี กรรมการบริหารพรรคที่เข้าข่ายการกระทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง แล้วจะใช้วิธีแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 237 เพื่อลบล้างความผิดที่ได้ทำสำเร็จไปแล้วนั้น จึงถือได้ว่าเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองและพวกพ้องได้พ้นความผิดอย่างไร้ความอายเป็นอย่างยิ่ง
แถลงการณ์ของพันธมิตประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ 4/2551 จึงได้นัดหมายประชาชนเพื่อร่วมแสดงพลังการชุมนุมและร่วมแสดงความคิดเห็นในการจัดสัมมนา ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันที่ 28 มีนาคม 2551 และต่อมา เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2551 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 52551 เรื่อง "พร้อมต่อต้านอาชญากรประชาธิปไตยเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญฟอกความผิดให้ตนเอง" โดยปรากฏข้อความในแถลงการณ์ที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลต้องการลบล้างความผิดในคดีทุจริตการเลือกตั้งที่จะนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน และยกเลิกการตรวจสอบทั้งหลายในคดีทุจริตคอร์รัปชันของนายทักษิณ ชินวัตร ครอบครัว และพวกพ้อง ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 และมาตรา 309
โดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่าการกระทำของพรรคพลังประชาชนนั้น มีเป้าหมายเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษการกระทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งของตัวเองและพวกพ้อง ตลอดจนทำลายและตัดตอนกระบวนการยุติธรรมเพื่อล้มล้างคดีความนายทักษิณ ชินวัตร ครอบครัว และพวกพ้อง ในชั้นศาล พวกเราจึงได้ย้ำในจุดยืนข้อที่สองของแถลงการณ์ฉบับนี้ว่า ปวงชนชาวไทยมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญในมาตรา 70 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงขอใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ตามมาตรา 69
ท่านชูชัยครับ พวกผมไม่ได้ใช้เฉพาะมาตรา 63 พวกผมใช้มาตรา 70 มาตรา 69 ซึ่งอนุญาตให้พวกผมทำได้ ซึ่งผมจะขึ้นให้ดูว่าการดำเนินการของพันธมิตรฯ นั้น เป็นไปตามสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญที่ได้ระบุชัดเจนอย่างชัดแจ้งในมาตราที่ 68 และ 69 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้ตัดสินมาแล้วว่า นายยงยุทธ ติยะไพรัช กรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน โกงการเลือกตั้ง โดยใช้เงินซื้อเสียงผ่านกำนันอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เพื่อสนับสนุนพรรคพลังประชาชน ซึ่งแน่นอน คำตัดสินดังกล่าวจะต้องนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชนต่อไปอย่างแน่นอน แล้วทำไมพวกผม กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะไม่มีความชอบธรรมในการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ โดยขัดขวางมิให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จากพรรคพลังประชาชน เข้าไปแถลงนโยบายต่อสภาฯ ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ท่านเข้าใจหรือยัง
พวกผมมีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เพราะว่าคุณสมชาย เข้าไปในสภาฯ แล้วในที่สุดก็จะแก้ไขรัฐธรรมนูญอีก ท่านชูชัยครับ ด้วยเหตุนี้ไงครับ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับเดียวกันกับที่ท่านชูชัยเห็นแย้งท่านองค์คณะ 3 ท่านนั้น ชี้ชัดเลย ในหน้า 35-36 ชี้ชัดว่าอย่างไร ? ชี้ชัดว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ร่วมกันชุมนุมเพื่อโต้แย้ง คัดค้านการทำงานของรัฐบาล และคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งจำเลยที่ 1, 2 และ 4 ถึง 21 เชื่อว่ารัฐบาลกระทำเพื่อช่วยเหลือพวกพ้องที่มีพฤติการณ์ทุจริตหลายประการ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1, 2, 4 ถึง 21 กระทำเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดิน หรือรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มพันธมิตรฯ เอง หากแต่จำเลยเชื่อว่ารัฐบาลในขณะเกิดเหตุขณะนั้นมีพฤติการณ์ทุจริต และไม่ต้องการให้รัฐบาลบริหารประเทศ อันเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ ทั้งเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต
ท่านชูชัยครับ ผมเอาหลักฐานทางวิชาการและหลักฐานที่ท่านองค์คณะทั้งสามท่านอ้างอิงมา มาให้ท่านฟัง
ข้อที่ห้า จากการโกงการเลือกตั้งดังกล่าวของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ก็ได้รับการยืนยันจากศาลฎีกาด้วยคำตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน ในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญชี้ให้เห็นว่าพรรคพลังประชาชนนั้นได้อำนาจรัฐมาโดยมิชอบ จากการโกงการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550
ท่านชูชัยครับ ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว วันที่ 2 ธันวาคม 2551 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 20/2551 ให้ยุบพรรคพลังประชาชน เนื่องจากนายยงยุทธ ติยะไพรัช หัวหน้าพรรค และประธานสภาผู้แทนราษฎร กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง มีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองในประเทศ ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ
คำวินิจฉัยซึ่งเป็นมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2551 ฉบับลงวันที่ 2 ธันวาคม ในการยุบพรรคพลังประชาชนนั้น ได้วินิจฉัยเอาไว้ถึงความร้ายแรงของคดี ศาลรัฐธรรมนูญท่านวินิจฉัยว่า เป็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรมโดยคณะกรรมการบริหารพรรคเสียเอง จึงเป็นคดีร้ายแรง เป็นการเลือกตั้งที่ได้มาเพราะอามิสสินจ้างหรือผลประโยชน์ เป็นภัยคุกคามต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของประเทศ พรรคพลังประชาชนกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ใช่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ จึงวินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังประชาชน ผู้ถูกร้อง เนื่องจากนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2550 ซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นการกระทำให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ประกอบมาตรา 237 วรรคสอง และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ซึ่งดำรงตำแหน่งในขณะที่กระทำความผิด เป็นระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 วรรคสอง ประกอบมาตรา 68 วรรคสี่
ท่านชูชัยครับ ประเด็นอยู่ที่ไหน ? คำวินิจิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวอ้างบทบัญญัติมาตรา 68 ประกอบมาตรา 237 วรรคสอง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นเหตุให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนขณะที่กระทำความผิด และยุบพรรคการเมืองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 วรรคสอง ประกอบมาตรา 68 วรรคสี่ ฉะนั้นการได้อำนาจมาในการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชาชนจึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ต้น และมีความหมายว่า การได้มาอำนาจนี้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญตั้่งแต่วันเลือกตั้ง คือวันที่ 23 ธันวาคม 2550 การยุบพรรคพลังประชาชน เป็นเวลาก่อนที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะได้ออกแถลงการณ์ฉบับแรก ก่อนการชุมนุมเสียด้วยซ้ำ
ข้อที่หก ทั้งหมดนี้ได้รับการยืนยันอีกครั้ง โดยต่อมาเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 ทั้งหมดนี้ ที่เราสู้เพื่อต่อต้านการคอร์รัปชัน การคดโกง การเลือกตั้งที่ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ การทุจริตทุกอย่าง ทั้งหมดนี้ได้รับการยืนยันอีกครั้งในวันที่ 1 กันยายน 2566 ได้มีประกาศราชกิจจานุเบกษา เรื่องลดโทษให้กับนักโทษชายเด็ดขาดทักษิณ ชินวัตร จาก 8 ปี เหลือ 1 ปี โดยนายทักษิณได้ยื่นหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษเป็นการส่วนตัว และได้รับยอมรับการกระทำผิดทั้งหมดดังความปรากฏในราชกิจจานุเบกษา ในเนื้อความที่ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ความว่า "เมื่อถูกดำเนินคดีและศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกดังกล่าวด้วยความเคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา" นี่ผมไม่ได้พูดเองนะท่านชูชัย เป็นข้อความปรากฏในการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ ย่อมแสดงให้เห็นแล้วในที่สุดนักโทษชายเด็ดขาดทักษิณ ชินวัตร ก็ได้เคารพต่อกระบวนการยุติธรรมแล้ว ยอมรับผิดในการกระทำว่าเป็นความจริง สำนึกผิดแล้วจึงกลับมารับโทษตามคำพิพากษา ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งหรือมีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมตามที่นายทักษิณกล่าวหาให้ร้ายมาตลอด
ในทางตรงกันข้าม พฤติกรรมของนายทักษิณ ชินวัตร นอกจากจะได้โจมตีให้ร้ายต่อศาลและกระบวนการยุติธรรมด้วยความเท็จแล้ว ยังมีพฤติกรรมของทนายที่ละเมิดอำนาจศาลด้วยเงินอีกด้วย นั่นคือคดีถุงขนม ท่านชูชัยคงจะจำได้
หลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการต่อต้านรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ของพวกผม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะทักษิณ ชินวัตร และพวก มีพฤติการณ์ในการทุจริตคอร์รัปชันนั้น หาใช่ความเชื่อโดยเลื่อนลอย แต่เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ต่อมาภายหลังว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกผมสู้มานั้น มันเป็นความจริงทุกประการ ไม่เชื่อก็กลับไปอ่านราชกิจจานุเบกษาอีกครั้งหนึ่ง ท่านชูชัย
ท่านชูชัยครับ หรือท่านผู้พิพากษาทุกท่านที่อ่านเรื่องนี้ ฟังเรื่องนี้อยู่ ผม สนธิ ลิ้มทองกุล คนธรรมดา ลูกเจ๊กไม่มีตำแหน่งหรือเครื่องราชฯ ใดๆ กลับเป็นฝ่ายปกป้องศาลยุติธรรมมาตลอด 15 ปี ท่านผู้พิพากษาทั้งหลายท่านรู้หรือเปล่า พวกผมปกป้องศาลมา 15 ปี กว่าจะถึงวันที่ทักษิณยอมสำนึกผิด และสารภาพ ซึ่งแม้แต่วันนี้ทักษิณก็ไม่ได้ติดคุกครบแม้แต่หนึ่งวัน ท่านชูชัยคิดว่ากระบวนการยุติธรรมสามารถให้ความยุติธรรมกับประชาชนได้จริงหรือไม่ และใครเป็นคนทำลายความยุติธรรม ก่อความไม่มีเสถียรภาพในกระบวนการยุติธรรมกันแน่
ข้อที่เจ็ด ท่านชูชัยครับ นอกจากที่ผมพูดมาแล้ว ภายหลังจากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ท่านชูชัยรู้หรือเปล่าว่าใช้เวลาเก้าปีกว่า พวกผมถึงได้รับความเป็นธรรม เก้าปีกว่า ศาลปกครองสูงสุดในที่สุดได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2560 อันเป็นที่ยุติต่อพฤติการณ์ของผู้ชุมนุมว่าเป็นกลุ่มประชาชนผู้ใช้สิทธิเสรีภาพ ทำหน้าที่ของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญ เป็นสุจริตชน เป็นพลเมืองดีที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ อีกทั้งยังระบุว่า พฤติกรรมของพรรคพลังประชาชนที่อาจจะมีผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม ล้วนแล้วเป็นไปตามแถลงการณ์ที่ผมออกมา และวิธีการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้งสิ้น
ตอนหนึ่งของคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ซึ่งท่านชูชัยไม่ยอมรับ "เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงต่อสื่อมวลชนหลายแขนงว่า บรรดารัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคพลังประชาชนมีความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยแสดงเจตนาที่จะกระทำการแก้ไขบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 237 วรรคสอง มาตรา 309 และบทเฉพาะกาล ซึ่งนำไปสู่การถกเถียงของประชาชน อาจมีผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม หน่วยงานและองค์กรที่กำลังตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
นอกจากนั้นแล้ว การบริหารกิจการบ้านเมืองของรัฐบาลในขณะนั้นยังเป็นที่น่าสงสัยในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อปกป้องพิทักษ์ไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข การป้องกันประเทศ การรักษาผลประโยชน์ของชาติ การปฏิบัติการตามกฎหมาย ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพ เป็นหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีและประชาชนชาวไทยที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งการใช้อำนาจตามกฎหมายในทางปกครองในการสั่งการและปฏิบัติการเข้าสลายการชุมนุมนั้นควรรกระทำด้วยความละมุนละม่อม ปรากฏตามคำพิพากษาคดีดำหมายเลขที่ อ 280/2556 คดีหมายเลขแดงที่ อ 1442/2560 หน้าที่ 20 ของศาลปกครอง
คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดยังได้อธิบายความชอบธรรมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการขัดขวางรัฐบาลซึ่งได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิถีทางที่ไม่ได้บัญญัติในรัฐธรรมนูญ ใจความอีกตอนหนึ่ง ว่า จากพยานหลักฐานที่ได้วินิจฉัยมาโดยลำดับ เห็นได้ว่าเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการกระทำของผู้ชุมนุมเป็นการกระทำเพื่อขัดขวางมิให้นายกรัฐมนตรีเข้าแถลงนโยบายต่อสภาฯ อันเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ปรากฏตามคำพิพากษาคดีดำหมายเลข อ 280/2556 คดีหมายเลขแดงที่ อ 1442/2560 หน้าที่ 111 ของศาลปกครอง
เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วยความรุนแรง เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ได้ปรากฏการเผยแพร่ข่าวหลายสำนักข่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า ผู้ชุมนุมเป็นพลเมืองดี แต่เป็นฝ่ายถูกกระทำด้วยความรุนแรงเกินสมควรจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจนมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง
เช่น หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 8 ตุลาคม 2551 พาดหัวว่า "ทรราชฆ่าประชาชน พระราชินีพระราชทานเงิน รับผู้ป่วยพันธมิตรฯ" โดยโปรยข่าวระบุมีคนเสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บเกือบ 400 ราย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระราชทานเงิน 2 แสนบาท พร้อมทั้งรายงานผู้เสียชีวิต 2 ราย คือ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ และ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี และรายชื่อผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเมื่อเวลา 20.30 น. จำนวน 231 ราย
นอกจากนั้นแล้ว นายทักษิณ ชินวัตร ยังฟ้องแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ร่วมกันโฆษณาและอ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 4/2551 และฉบับที่ 5/2551 รวมทั้งคำสัมภาษณ์หลังแถลงการณ์ เป็นคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาท
ท่านชูชัยครับ เจ็ดปีผ่านไป วันที่ 4 ธันวาคม 2557 ศาลฎีกาพิพากษาที่ 15927/2557 ยกฟ้องแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ด้วยเหตุว่าเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัย ประชาชนย่อมกระทำไม่เกินเลยไปจากความจริง
ท่านชูชัยครับ การที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าแถลงการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ 4/2551 และฉบับที่ 5/2551 เป็นการแสดงความเห็น ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยประชาชนย่อมกระทำ ไม่เกินเลยไปจากความจริง จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วว่าแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีความชอบธรรม เป็นไปโดยสุจริต และเนื้อหาในแถลงการณ์ก็เป็นความจริงทั้งสิ้น
สิ่งที่ท่านชูชัยใช้สถานะของท่าน ตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ เห็นแย้งมาในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีชุมนุมหน้ารัฐสภาของกลุ่มพันธมิตรฯ 2551
ทั้งหมดนี้ เมื่อดูเหตุการณ์ที่ผมเล่ามาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ละเหตุการณ์ๆ แถลงการณ์แต่ละแถลงการณ์นั้น จึงไม่สอดคล้องกับหลักปฏิจจสมุปบาท อิทัปปจยตา ซึ่งเป็นพระธรรมขั้นสูงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านชูชัยท่านก็เคารพ ท่านคงเป็นพุทธศาสนิกชน ท่านคงต้องเคารพว่าพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นไม่ผิด ไม่มีผิด ถ้าผิด หลวงตามหาบัวก็ผิด หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ก็ผิด หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก็ผิด หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ก็ผิด หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ก็ผิด สมเด็จญาณสังวร ก็ผิด
เพราะว่าทั้งหมดนี้ท่านชูชัยพูดถึงแต่ปลายเหตุ ท่านไม่ยอมพูดถึงต้นเหตุเลย หรือผลที่ตามมาจากนั้น แต่อย่างใด แล้วถ้าประชาชนที่เสียสละบาดเจ็บล้มตาย ไม่ว่าจะในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 หรือก่อนหน้านั้น หรือหลังจากนั้นก็ตาม เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ ไม่ให้คนโกงรอดพ้นจากการทุจริตคอร์รัปชัน ป้องกันไม่ให้คนโกงเข้ามามีอำนาจ ถ้าประชาชนที่ทำหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญและความถูกต้องในสังคมเหล่านี้อย่างพวกผมถูกลงโทษ ผมถามว่าต่อไปใครจะทำความดี ต่อไปใครจะยอมเสียสละตัวเองเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม
นอกจากนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ ต่อไปใครจะออกมาปกป้องกระบวนการยุติธรรม ศาล องค์กรที่ท่านชูชัยเจริญเติบโต ทำมาหาเลี้ยงชีพมาชั่วชีวิต พวกผมและประชาชนออกมาเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องศาล หรือเรียกร้องให้มีการรักษากระบวนการยุติธรรม ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร มิหนำซ้ำยังถูกลงโทษอีก ถ้าอย่างนั้นผมอยู่เฉยๆ เลยไม่ดีกว่าหรือ พวกเราอยู่เฉยๆ เลยไม่ดีกว่าหรือ ทุกคนก็เห็นแก่ตัว หรือไม่หากเกิดอะไรไม่ถูกต้องก็อยู่เฉยๆ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หรือไม่เอาตัวรอด วิ่งหาทางการเมืองไม่ดีกว่าหรืออย่างไร
ท่านผู้ชมครับ ท่านชูชัยครับ ถ้าเป็นศาล ถ้าเป็นเมืองนอก ผมขอจบเรื่องนี้ว่า I rest my case.
ทำไมจีนถึงแบนลิซ่า
ท่านผู้ชมครับ สัปดาห์ที่แล้วมีข่าวใหญ่ในวงการบันเทิงระดับโลกข่าวหนึ่ง คือกรณีที่น้องลิซ่า ลลิษา มโนบาล ศิลปิน K-Pop ชาวไทย ได้ถูกสื่อสังคมออนไลน์ของจีนแบน คาดเดาว่าน่าจะเป็นเพราะการแสดงบนเวที CRAZY HORSE ที่กรุงปารีส เรื่องนี้มีหลายมิติในมุมมองที่น่าสนใจครับ
เหตุมันเกิดวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 คนที่ใช้โซเชียลมีเดียชื่อ เว่ยป๋อ (Weibo) ในประเทศจีน ต่างพบว่าไม่สามารถเข้าสู่บัญชีเว่ยป๋อของลิซ่า ลลิษา มโนบาล ได้ แม้ทางเจ้าของแพลตฟอร์มอย่างเว่ยป๋อจะไม่มีการชี้แจงถึงเหตุผลในการแบนบัญชีของลิซ่า แต่พอจะคาดเดาได้ว่า เป็นเพราะการแสดงโชว์บนเวที CRAZY HORSE ที่ชาวจีนมองว่าเป็นการแสดงที่ไม่เหมาะสม (คำว่าชาวจีน อาจจะหมายถึงทางการจีนที่คุมเว่ยป๋ออยู่) เพราะมีการโชว์เรือนร่างอย่างเปิดเผย ซึ่งรัฐบาลจีนได้เคร่งครัด ไม่ให้ส่งเสริมการแสดงที่เปิดเผยร่างกายเกินสมควร ตามข้อบังคับของสมาคมศิลปะการแสดงแห่งประเทศจีน
ทั้งนี้ ไม่เพียงแค่ลิซ่า แต่นักแสดงสาวชาวจีนเองอย่าง แองเจล่าเบบี้ และ เจนนี่ จาง ที่ไปร่วมชมโชว์ ก็โดนบล็อกบัญชีเช่นกัน แต่ตอนนี้บัญชีของทั้งสองคนกลับมาใช้เป็นปกติแล้ว
ท่านผู้ชมครับ ลิซ่า มีชื่อในเมืองจีนมากพอสมควร บัญชีเว่ยป๋อของเธอมีผู้ติดตามมากกว่า 8 ล้านคน นอกจากนี้เธอยังเคยเป็นเมนเทอร์ คือกรรมการในรายการวัยรุ่นวัยฝัน รายการเรียลิตี้ชื่อดังในประเทศจีนที่คัดเลือกวัยรุ่นที่จะมาเป็นไอดอล
แต่ว่าความมีชื่อเสียงของลิซ่ากลับเป็นดาบสองคม เมื่อทางจีนมองว่าการแสดงออกที่ CRAZY HORSE นั้นขัดต่อค่านิยมที่พึงประสงค์
ขออธิบายความว่า "ค่านิยมที่พึงประสงค์" ดังกล่าวไม่ได้มีความหมายว่าเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดี แต่เป็นการมองระยะยาวถึงลักษณะเยาวชนที่จีนต้องการให้ออกมาเป็นไปแบบใด
บรรดาแฟนคลับของลิซ่าอาจจะมองว่านี่เป็นการกระทำที่เกินเลยไป เพราะลิซ่าไม่ใช่ศิลปินชาวจีน และการแสดงของเธอไม่ได้แสดงในเมืองจีน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทางจีนไม่ได้มีคำสั่งแบนลิซ่าอย่างเป็นทางการ สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเพียงการระงับบัญชีโซเชียลมีเดียบนเว่ยป๋อเท่านั้น
คนไทยจำนวนมากอาจจะยังไม่รู้ว่าเว่ยป๋อคืออะไร ทำไมจึงมีบทบาทต่างๆ ในวงการจีนอย่างมากมาย "เว่ยป๋อ" มีความหมายตามอักษร คือ Micro Block หมายถึงแอปพลิเคชันที่ผู้ใช้สามารถเผยแพร่และส่งต่อข้อความสั้นๆ รูปภาพ วิดีโอ หรือก็คือเหมือนกับทวิตเตอร์ที่เราคุ้นเคยกันดี
ผู้ให้บริการเว่ยป๋อเป็นรายแรกคือบริษัท ซีน่า คอร์ปอเรชัน (Sina Corporation เปิดตัวเว่ยป๋อเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2552 หรือสิบสี่ปีที่แล้ว หลังจากนั้นผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียรายใหญ่ของจีน ทั้ง TenCent, Sohu, NetEase ต่างก็เปิดแพลตฟอร์มเว่ยป๋อของตัวเองเพื่อแข่งขันกับ Sina แต่ท้ายที่สุดแล้วทั้งหมดก็ยุติการให้บริการลง ทำให้ปัจจุบัน Sina Weibo คือเจ้าของแพลตฟอร์มเพียงรายเดียวในปัจจุบัน และได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า คำว่า "Weibo" เป็นของตนเอง
เว่ยป๋อ สร้างความนิยมด้วยการเชิญบรรดาคนดัง ทั้งดารา ศิลปิน อินฟลูเอนเซอร์ และสินค้าแบรนด์ต่างๆ มาเปิดบัญชีเว่ยป๋อ เพื่อสื่อสารกับกลุ่มแฟนคลับผู้ติดตาม และสร้างฐานลูกค้าในประเทศจีน แม้แต่นักการเมืองต่างชาติหลายคนยังเปิดบัญชีเว่ยป๋อของตัวเอง เช่น นายเควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย ที่พูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่วและเชี่ยวชาญเรื่องจีน ปัจจุบันเป็นเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำสหรัฐอเมริกา นายบอริส จอห์นสัน นายเดวิด คาเมรอน อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ
ศิลปินต่างชาติที่มีบัญชีเว่ยป๋อ เช่น Avril Lavigne นักร้อง นักแต่งเพลงชาวแคนาดา เดวิด เบกแฮม ทอม ครูซ เอมม่า วัตสัน แซมมูเอล แจ็กสัน และ ไมค์ ไทสัน เป็นต้น
เว่ยป๋อ ถือว่าเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศจีน โดยจากการรายงานสถิติเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 มีผู้ใช้งานรายเดือนที่มีความเคลื่อนไหวทุกเดือน หรือ Monthly Active User มากกว่า 590 ล้านคน ในทางธุรกิจแล้ว Sina Corporation แยกธุรกิจเว่ยป๋อออกมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นแนสแด็ก เมื่อปี 2557 ผู้ถือหุ้นคือ Sina ที่เป็นเจ้าของเดิม ถือหุ้นอยู่ 44.7 เปอร์เซ็นต์ Alibaba ถือหุ้นอยู่ 29.8 เปอร์เซ็นต์ เว่ยป๋อได้ทำสถิติข้อมูล มูลค่าทางการตลาด หรือ Market Cap สูงถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2561 หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาท
แล้วใครล่ะอยู่เบื้องหลังการแบนลิซ่า ? ปัจจุบันลิซ่าเป็นศิลปินระดับหัวแถวของโลก ในอินสตาแกรมของเธอนั้นมีผู้ติดตามมากกว่า 100 ล้านคน เรียกว่าเป็นผู้ที่มีคนติดตามในโซเชียลมีเดียมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่เว่ยป๋อนั้นเป็นโซเชียลมีเดียของจีน และถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีนอย่างเคร่งครัด
เว่ยป๋อ เป็นโซเชียลมีเดียของเอกชน เหมือนกับเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ สื่อสังคมออนไลน์เหล่านี้ต่างก็มีกฎระเบียบในการใช้งานของตัวเอง และมีมาตรการในการระงับบัญชีชั่วคราว หรือปิดบัญชีอย่างถาวร เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลที่หลากหลาย เช่น ภาพโป๊ เปลือย ความรุนแรง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ถูกปิดบัญชีทวิตเตอร์อย่างถาวร หลังจากยุยงให้บรรดาผู้สนับสนุนคัดค้านผลการเลือกตั้งคราวที่แล้วที่เขาพ่ายแพ้ต่อโจ ไบเดน แล้วบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ จนทุกวันนี้เขาจำเป็นต้องสร้างโซเชียลมีเดียของเขาเอง
โซเชียลมีเดียของตะวันตกก็มีการแบนและลดการเข้าถึงในหลายกรณีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและค่านิยมเช่นกัน มีครับ เหมือนกันเลย เป็นต้นเรื่องโควิด ฟ้าทะลายโจร สงครามยูเครน สงครามอิสราเอลและปาเลสไตน์ รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ก็ถูกเฟซบุ๊ก ยูทูบ แบนและลดการเข้าถึง หรือแม้แต่การโพสต์ขายสินค้าบางกรณีก็อาจจะถูกเฟซบุ๊กแบนก็ได้ แต่เว่ยป๋อ รวมถึงโซเชียลมีเดียทุกอย่างของจีนมีความเข้มงวดมากกว่า มีองค์กรของรัฐและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน คือสำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซ ซึ่งมีหน้าที่คล้ายกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ของประเทศไทย
สำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซ ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 หรือประมาณสิบสองปีที่แล้ว โดยเป็นหน่วยงานในกำกับของคณะรัฐมนตรีจีน มีงานหลักอยู่ประมาณ 5 ด้าน หนึ่ง ติดตามความเห็นและการวิพากษ์วิจารณ์ทางอินเทอร์เน็ต สอง ติดตามสื่อสังคมออนไลน์ สาม บริหารจัดการเครือข่ายโทรคมนาคม สี่ ดูแลความปลอดภัยด้านอินเทอร์เน็ต และ ห้า ความร่วมมือระหว่างประเทศ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 สำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซ ได้รับการยกระดับให้มาขึ้นตรงกับศูนย์กลางอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ และขยายขอบเขตอำนาจขึ้นอย่างมาก ครอบคลุมถึงเรื่องความมั่นคงทางไซเบอร์ ตรวจสอบและกำกับการเผยแพร่ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต รวมทั้งจัดการเนื้อหาและการสืบสวน และลงโทษเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมาย
หลังจากที่ถูกยกระดับองค์กร สำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซได้ให้ความสำคัญกับงานตรวจสอบด้านเนื้อหามากกว่างานโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศทางไซเบอร์อย่างมาก เราจะเห็นได้จากตำแหน่งผู้อำนวยการของสำนักงาน จะควบตำแหน่งรองอธิบดีสำนักงานโฆษณาการของศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งชื่อจีนคือ จงซวนปู้ ไปพร้อมกัน
สำนักงานไซเบอร์สเปซ คือหน่วยงานที่กำกับดูแลแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทั้งประเทศจีน ทั้งเว่ยป๋อ ที่ได้ระงับบัญชีลิซ่าด้วย
คำถามต่อมา ท่านผู้ชมคงจะสงสัยว่าแล้วทำไมต้องแบนลิซ่า ? โซเชียลมีเดียของจีนแตกต่างกว่าของตะวันตกตรงที่โซเชียลมีเดียของจีนมีหน่วยงานทางการกำกับอยู่ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว โซเชียลมีเดียของจีนจะเซ็นเซอร์ตัวเองก่อน คือมีระบบเพื่อตรวจจับข้อความที่มีความอ่อนไหว เช่น คำต้องห้ามทางการเมือง ข่าวปลอม ภาพอนาจาร ความรุนแรง เรื่องที่สร้างความตื่นตระหนกใหญ่ในหมู่ประชาชน รวมทั้งค่านิยมที่ไม่เหมาะสม ที่ต้องทำเช่นนี้เพื่อรักษาแพลตฟอร์มของตัวเองไว้ ไม่ให้หน่วยงานที่กำกับลงโทษ
ตั้งแต่ปี 2561 เว่ยป๋อได้เพิ่มความเข้มงวดในการใช้งาน ผู้ใช้ทุกรายต้องลงทะเบียนด้วยชื่อจริงและบัตรประชาชน หลังจากนั้นจึงสามารถเปลี่ยนเป็นชื่อบัญชีและชื่อเล่นได้ และยังจำกัดไม่ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 14 ปี ลงทะเบียนใช้เว่ยป๋อ
นอกจากนี้แล้ว บัญชีเว่ยป๋อจะแสดงตำแหน่ง IP ของผู้ใช้งานว่าอยู่เมืองไหน ประเทศใด รวมทั้งโพสต์จากอุปกรณ์อะไร เช่น iPhone หรือยี่ห้อโทรศัพท์อื่นๆ มาจากแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์ หรือแชร์มาจากเว็บไซต์ เป็นต้น
ยกตัวอย่าง โพสต์ล่าสุดของเดวิด เบคแฮม ระบุว่าโพสต์จากเครื่อง iPhone 11 Pro Max วันที่ 1 ธันวาคม 2564 เว่ยป๋อประกาศข้อตกลงในการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อสร้างวัฒนธรรมทางอินเทอร์เน็ต ห้ามผู้ใช้โพสต์คำหยาบ ข้อความและภาพที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งเนื้อหาสาย Y คือสายชายรักชาย หรือชายที่กระตุ้งกระติ้ง ก็ห้ามเผยแพร่
ระบบคัดกรองเว่ยป๋อ หรือ AI ปัญญาประดิษฐ์ จะเข้มงวดขึ้นตามจำนวนผู้ติดตาม บัญชีที่มีผู้ติดตามจำนวนมากก็จะยิ่งถูกจับตามากเป็นพิเศษ บัญชีผู้ติดตามลิซ่านั้นมีถึง 8 ล้านคน
เว่ยป๋อ ใช้ทั้ง AI และพนักงานกว่าพันคนเพื่อคัดกรองเนื้อหา เกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ ของข้อความที่ผิดกฎ จะถูกลบภายใน 5-30 นาที 90 เปอร์เซ็นต์ จะถูกลบภายใน 24 ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวของเราได้สอบถามเรื่องการระงับบัญชีของลิซ่า กับอินฟลูเอนเซอร์ชาวจีนรายหนึ่งที่มีผู้ติดตามบนเว่ยป๋อมากกว่า 1 ล้านคน เธอให้ความเห็นในกรณีนี้ว่า หนึ่ง เนื่องจากลิซ่ามีแฟนคลับจำนวนมาก และกลุ่มผู้ติดตามเป็นเยาวชน สอง เรื่องนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในประเทศจีน และมีทั้งกลุ่มแฟนคลับที่สนับสนุนลิซ่า และกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ ที่วิพากษ์วิจารณ์แบบโจมตี สร้างเรื่องเท็จ เช่น ใส่ความว่าสินค้าแบรนด์ดังหลายรายยกเลิกสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของลิซ่า คนเหล่านี้หวังจะปั่นกระแสในโซเชียลมีเดีย ซึ่งทางการจีนก็ไม่ต้องการให้เกิดกระแสเช่นนี้ขึ้น
สาม การแสดง CRAZY HORSE ในจีนถือว่ามีนัยทางเพศ และไม่ได้รับอนุญาต แม้แต่การแชร์มาจากต่างประเทศก็ทำไม่ได้ สี่ คนจีนจำนวนมากรู้จัก CRAZY HORSE จากลิซ่า มีข่าวว่านักท่องเที่ยวจีนหลายคนที่ไปฝรั่งเศส เข้าไปดูการแสดง CRAZY HORSE เพื่อนำมาสร้างกระแสสื่อสังคมออนไลน์ ห้า จีนตั้งกฎเกณฑ์ของบุคคลสาธารณะไว้ว่าจะต้องเป็นแบบอย่างที่พึงประสงค์ ต้องไม่มีปัญหาทางกฎหมายและค่านิยม
ไหนๆ จะพูดเรื่องนี้แล้ว เรามาพูดถึงระเบียบข้อบังคับ และกฎเหล็กที่ทางการจีนคุมเข้มการใช้อินเทอร์เน็ตของเยาวชน นอกจากการควบคุมเนื้อหา พฤติกรรมของผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์แล้ว สำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซ ยังออกกฎระเบียบควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตของเยาวชนอย่างเข้มงวดด้วย
เดือนพฤศจิกายน 2563 ออกกฎป้องกันเยาวชนเสพติดเกม ห้ามเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี เล่นเกมในช่วง 4 ทุ่ม ถึง 8 โมงเช้า ซึ่งมีเหตุผลมาก ผมคิดว่ามีเหตุผลจริงๆ เมืองไทยกำลังประสบปัญหานี้อย่างมากๆ กับพ่อแม่หลายคน กับลูกตัวเอง สอง จำกัดเวลาเล่นเกม ไม่เกิน 90 นาที ในวันธรรมดา แล้ววันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุด ไม่เกิน 3 ชั่วโมง สาม เยาวชนอายุ 8-16 ปี ใช้เงินซื้อไอเทมในเกมได้ไม่เกินเดือนละ 200 หยวน หรือประมาณ 1,000 บาท สุดท้าย เยาวชนอายุ 16-18 ปี ใช้เงินซื้อไอเทมในเกมได้ไม่เกินเดือนละ 400 หยวน หรือ 2,000 บาท
เดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ได้เปิดการประชาพิจารณ์เพื่อออกกฎจำกัดเวลาการใช้อินเทอร์เน็ตของเยาวชน คือ หนึ่ง ห้ามเด็กและเยาวชนใช้อินเทอร์เน็ตตั้งแต่เวลา 4 ทุ่ม ถึง 6 โมงเช้า สอง เด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี จะใช้อินเทอร์เน็ตได้ไม่เกินวันละ 40 นาที สาม เด็กอายุ 8-16 ปี จะใช้อินเทอร์เน็ตได้ไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง สี่ เยาวชนอายุ 16-18 ปี จะใช้อินเทอร์เน็ตได้ไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง ห้า ทุกๆ 30 นาทีของการใช้งาน จะมีคำเตือนขึ้นมา หก ผู้ปกครองสามารถอนุญาตให้ลูกหลานใช้อินเทอร์เน็ตนอกเวลาหรือเกินเวลาที่กำหนดได้ เจ็ด ยกเว้นแอปพลิเคชันที่เกี่ยวกับการศึกษาและข้อมูลข่าวสาร จะไม่ถูกจำกัด แปด จะไม่มีการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต แต่จะให้ผู้บริการแอปพลิเคชันต่างๆ ต้องทำโหมดเยาวชนเพื่อจำกัดการใช้งาน เมื่อใช้งานเกินเวลา แอปพลิเคชันจะปิดตัวลง
แล้วลิซ่า ผมเชื่อว่าจะไม่จางหายไปจากวงการบันเทิงจีน ถ้าพูดอีกนัยหนึ่ง ลิซ่าในจีนขณะนี้ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการแบน เพราะว่าทางการจีนไม่ได้มีมาตรการลงโทษ หรือห้ามเธอไม่ให้ปรากฏในที่สาธารณะ เพียงแค่เว่ยป๋อ ซึ่งเป็นสื่อสังคมออนไลน์แห่งหนึ่งที่ได้ระงับบัญชีลิซ่าเท่านั้น
ทั้งนี้และทั้งนั้น การที่จีนลดพื้นที่บนสื่อของบุคคลสาธารณะ เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งและมีหลายสาเหตุ ซึ่งรวมถึงการเมืองด้วย หลายปีก่อนจีนเคยแบนศิลปินเกาหลีใต้ทั้งหมด คือไม่ให้มาเปิดคอนเสิร์ตในประเทศจีน ไม่เชิญมาออกรายการโทรทัศน์ให้สื่อต่างๆ ลดจำนวนซีรีส์เกาหลี ลดการนำเสนอเรื่องราวของศิลปินเกาหลี จีนได้ทำเพื่อตอบโต้เกาหลีใต้ที่นำระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯ มาประจำการในเกาหลีใต้ ซึ่งจีนประท้วง และจีนมองว่าการนำระบบป้องกันขีปนาวุธของอเมริกามาติดตั้งในเกาหลีใต้นั้น ที่เสมือนอยู่หลังบ้านของจีน แม้เกาหลีใต้จะย้ำมาตลอดว่าเป็นการประจำการเอาไว้เพื่อรับมือกับภัยคุกคามของเกาหลีเหนือก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เมื่อความขัดแย้งระหว่างจีนและเกาหลีใต้ผ่อนคลายลง การแบนศิลปินเกาหลีใต้ก็ไม่ได้ทำกันอย่างจริงจังเหมือนตอนต้นๆ กรณีที่ชัดเจนยิ่งกว่านี้ ท่านผู้ชมจำดาราสาวจีน สาวสวยที่มีชื่อมาก คือ ฟ่านปิงปิง ได้ไหมครับ เธอเป็นอดีตซูเปอร์สตาร์จีนอันดับหนึ่งของจีน ที่ปลายปีก่อน เธอเผชิญข้อกล่าวหาหลบเลี่ยงภาษี เธอถูกปรับเป็นเงินถึง 883 ล้านหยวน หรือราวๆ 4,500 ล้านบาท
ฟ่านปิงปิง เงียบหายไปจากวงการถึง 5 ปี แต่ล่าสุดเธอได้หวนคืนวงการแล้ว เดินทางมาร่วมงานเทศกาลหนังเมืองเบอร์ลิน ครั้งที่ 73 ประเทศเยอรมนี เพื่อโพรโมตภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่ชื่อ Green Night นั่นแสดงว่าการจำกัดพื้นที่บุคคลสาธารณะของจีนก็ไม่ได้ใช้ตลอดไป แม้แต่คนที่มีความผิดตามกฎหมายเหมือน ฟ่านปิงปิง ก็ยังหวนคืนวงการได้เมื่อเธอได้รับโทษแล้ว
ในกรณีลิซ่า เธอไม่ได้มีความผิดอะไร เป็นเพียงแต่จีนต้องการลดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และเป็นเรื่องของค่านิยมที่พึงประสงค์เท่านั้น ซึ่งค่านิยมก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกจากนี้แล้ว บัญชีเว่ยป๋อของลิซ่าถูกสร้างขึ้นและบริหารจัดการโดยต้นสังกัดทางเกาหลี คือบริษัท YG Entertainment ในฐานะที่ลิซ่า เป็น ลิซ่า BlackPink แต่เมื่อลิซ่าไม่ต่อสัญญากับ YG Entertainment การอุทธรณ์เพื่อขอฟื้นชื่อบัญชีก็เลยไม่เกิดขึ้น ฝ่ายบริษัทเกาหลีก็ยังคงต้องการระงับบัญชีอยู่แล้ว
ท่านผู้ชมครับ หลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ลิซ่าอาจจะไม่ใช่ BlackPink แต่เธอจะกลายเป็นตัวของตัวเองแล้ว คือจะกลายเป็นลลิษา มโนบาล เธอยังมีกลุ่มแฟนคลับจำนวนมากในประเทศจีน มากกว่า 8 ล้านคน ที่ติดตามบัญชีเว่ยป๋อ ที่ YG Entertainment เป็นคนสร้างขึ้น ผมเชื่อว่าไม่ช้านัก ลิซ่าก็จะหวนคืนสู่แดนมังกรด้วยศักยภาพของตัวลิซ่าเอง
อเมริกาล้มละลายไปแล้ว ?
ท่านผู้ชมครับ ถ้าผมเริ่มเรื่องนี้ด้วยการบอกว่า อเมริกาล้มละลายไปแล้ว ท่านผู้ชมจะเชื่อผมไหม ? ท่านผู้ชมคงจะพอจำได้ว่าผมเคยหยิบเรื่องนี้มาพูดหลายครั้ง ล่าสุดในตอนที่ 182 หายนะทางการเงินอเมริกา อภิมหาแชร์ลูกโซ่ ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 ในเวลานั้นมีเหตุการณ์ที่สร้างผลกระทบไปทั่วโลก การล้มลงของธนาคารหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Silicon Valley Bank, Signature Bank และ First Republic Bank รวมไปถึงวิกฤตธนาคารยุโรป คือการล้มลงของ Credit Suisse ธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับสองของสวิตเซอร์แลนด์ และติดอันดับ Top 30 ของโลก อายุเกือบ 170 ปี ที่ล้มครืนไปในระยะเวลาใกล้ๆ กัน ทำให้ UBS ธนาคารใหญ่อันดับหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ ต้องเข้าไปซื้อกิจการ และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ต้องเข้าไปกอบกู้สถานการณ์
ท่านผู้ชมครับ กรณีเหล่านี้ในตอนนั้นผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน การธนาคาร และการคลังในบ้านเรา ส่วนใหญ่มองว่าเป็นวิกฤตการณ์ชั่วคราว เป็นเรื่องปกติของเศรษฐกิจระบบทุนนิยม เป็นวงจรของระบบเศรษฐกิจ แล้วเขาก็บอกว่า เดี๋ยวก็กลับไปเหมือนเดิม
ผมพูดเรื่องนี้มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยทำรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" มาเป็นรายการ "มองโลก มองเรา" ล่าสุดคือรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ที่วันนี้ทำกันอย่างต่อเนื่องมาสี่ปีกว่าแล้ว ผมเคยบอกว่าเวลาเรามองเศรษฐกิจ การเมือง หรือเรื่องราวต่างๆ ในอเมริกา ที่ต้องการแก้เกมทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกด้วยการก่อสงครามไปตลอดทุกสถานที่ ด้วยเหตุผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการก่อสงครามไปตลอดทุกสถานที่ ด้วยเหตุผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือเศรษฐกิจยามสงคราม ที่ศัพท์เศรษฐศาสตร์ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า War Economy เพราะอะไร ? เพราะอเมริกาต้องการได้ประโยชน์ยิ่งกว่าเดิม ความหมายคือ เมื่อโลกแบ่งข้างชัดเจน การซื้อน้ำมันปิโตรเลียม ก๊าซจากตะวันออกกลาง จะได้ในราคาที่สูงกว่าเดิม
ต่อที่สองคือการที่ราคาปิโตรเลียมสูงขึ้นนั้น ทำให้ดอลลาร์สหรัฐยังสามารถครองสัดส่วนมูลค่าสกุลเงินในการซื้อขายพลังงานไว้อยู่ ยังไม่นับต่ออุตสาหกรรมการทหาร ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Military Industrial Complex ที่จะขายอาวุธสงคราม จรวด เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ กระสุนปืน และยุทโธปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสงครามอีกมากมายมหาศาล
เอาล่ะ วันนี้เรามาดูสถานการณ์และสัญญาณต่างๆ เพิ่มเติมกัน ตอนนี้ผมจะพูดเรื่องอเมริกา ประเทศที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 182 "หายนะของอเมริกา อภิมหาแชร์ลูกโซ่" ออกอากาศเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2566 ผมเคยเล่าให้ท่านผู้ชมได้รับทราบว่าปัจจุบันอเมริกานอกจากเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกแล้ว เนื่องจากเป็นประเทศโลกเสรีที่อ้างว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย เป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับหนึ่งของโลก แต่ท่านผู้ชมต้องไม่ลืมนะครับว่าอเมริกาก็เป็นประเทศที่ก่อหนี้มากที่สุดในโลกด้วย
ปัจจุบันอเมริกามีหนี้สาธารณะสะสมมาประมาณ 3-3.7 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,200 ล้านล้านบาท เข้าไปแล้ว
การก่อหนี้สาธารณะอย่างต่อเนื่องแบบไม่หยุดไม่หย่อนของอเมริกาไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนานมาหลายต่อหลายปี นับตั้งแต่ปี 2563 มาเป็นเวลาเกือบสี่ปีแล้ว หนี้สาธารณะของอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา ก็เลยมีประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมาก คือเขาจะพูดกันเรื่องเพดานหนี้สาธารณะ ภาษาอังกฤษเรียกว่า National Debt Ceiling
ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตั้งแต่ปีที่แล้ว (2565) ผมเคยเล่าให้ฟังถึงประเด็นเรื่องเพดานหนี้สาธารณะไปแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง ว่าปัญหาดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังตกอยู่ในสภาวะวิกฤต คือในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ปีที่แล้ว ตัวเลขหนี้สาธารณะของอเมริกาพุ่งสูงถึง 30 ล้านล้านดอลลาร์ ประมาณ 1,000 ล้านล้านบาท เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และเป็นระดับที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือที่เรียกว่า GDP เกือบ 1.3 เท่า
ปัจจุบัน GDP ของอเมริกาอยู่ที่ 26 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 930 ล้านล้านบาท ยังส่งให้อเมริกานั้นก้าวไปอยู่ในอันดับต้นๆ ของรายชื่อประเทศที่มีภาระหนี้สินหนักที่สุดด้วย นี่คือคำพูดของกระทรวงการคลังอเมริกานะครับ
ในความจริงแล้ว หนี้สาธารณะอเมริกาปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลาช่วง 2 ทศวรรษ หรือยี่สิบปีที่ผ่านมา มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะมาตรการรับมือการระบาดโควิด-19 ที่รวมความถึงการอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อเร่งอัตราการขยายตัวของประเทศ
ท่านผู้ชมครับ ข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ชี้ว่า ณ สิ้นปี 2562 หรือก่อนเกิดโควิด-19 หนี้สาธารณะอเมริกาอยู่แค่ 22.7 ล้านล้านดอลลาร์ พอต่อมาอีกหนึ่งปี หนี้สาธารณะปรับขึ้นมาเป็น 27.7 ล้านล้านดอลลาร์ ปรับมาตั้ง 5 ล้านล้านดอลลาร์ อีกปีถัดมา 2564 เพิ่มเป็น 30 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นประมาณ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์
ต่อมาเมื่อตุลาคม ปีที่แล้ว กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ออกมายอมรับว่า หนี้สาธารณะสูงขึ้นไปแตะระดับ 31.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,075 ล้านล้านบาท แล้วอย่างรวดเร็ว
ต้นปีที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566 หนี้สหรัฐฯ ก็แตะเพดานหนี้ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 1,120 ล้านล้านบาท ทำให้รัฐบาลนายโจ ไบเดน ต้องเจรจากับรัฐสภาเพื่อขยายเพดานหนี้เพิ่มเติมขึ้นอีก
31 พฤษภาคม 2566 สภาคองเกรสประชุมเพื่อพิจารณาและลงมติผ่านร่างกฎหมายเพดานหนี้ที่นายโจ ไบเดน และนายเควิน แม็กคาร์ธี ประธานสภาคองเกรส และทีมงานร่วมร่างขึ้น หลังจากการเจรจามาหลายเดือน เรียกว่ารอดพ้นแบบเฉียดฉิวในการที่อเมริกาจะผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่ในช่วงต้นมิถุนายน 2566
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พ้นวิกฤตเรื่องเงินกู้ยืมชนเพดานหนี้มาแล้ว อเมริกากลับกู้เงินเพื่อมาใช้จ่าย มือเติบมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นโครงการภายในประเทศต่างๆ ที่สำคัญคือ รวมการสนับสนุนสงครามใหญ่ในยูเครน และล่าสุดการให้คำมั่นสัญญากับอิสราเอลว่าจะช่วยเหลือสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการจัดการปัญหาปาเลสไตน์
18 ตุลาคม 2566 มีข่าวแพร่สะพัดออกมาว่านายไบเดน กำลังจะของบประมาณจำนวนมหาศาลจากสภาคองเกรสอีก 1 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยทำสงครามตัวแทนในหลายภูมิภาคทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นยูเครน อิสราเอล หรือไต้หวัน ท่านผู้ชมครับ 1 แสนล้านดอลลาร์ ไม่ใช่เงินน้อยๆ คิดเป็นเงินบาทก็ 3.55 ล้านล้านบาท หรือมากกว่างบประมาณประจำปีทั้งปีของประเทศไทยอีก และนี่เป็นแค่งบประมาณที่อเมริกาขอสนับสนุนการทำสงครามเพิ่มเติมในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกเท่านั้น
ประเด็น นี่จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่า นับจากปลายเดือนพฤษภาคม 2566 ถึงต้นเดือนมิถุนายน ปีนี้ แค่ระยะเวลาห้าเดือนที่ผ่านมา หนี้สาธารณะอเมริกาถึงพุ่งขึ้นจาก 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 1,120 ล้านล้านบาท มาปัจจุบันแตะที่ 33.7 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 1,200 ล้านล้านบาท เข้าไปแล้ว ถ้าจะพูดกันง่ายๆ ว่า ระยะเวลาเพียง 5 เดือนเท่านั้นเอง หนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกาพุ่งกระฉูดขึ้นกว่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยก็ 80 ล้านล้านบาท
ท่านผู้ชมครับ หนี้สาธารณะ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับ 1,200 ล้านล้านบาทนั้น มากมายแค่ไหน มีการคำนวณว่าหนี้สาธารณะอเมริกาที่สูงขนาดนี้ เท่ากับประชากรอเมริกา 330 กว่าล้านคน ทุกคนมีหนี้สินติดตัวตั้งแต่เกิดมาคนละ 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ หนี้สาธารณะดังกล่าวของอเมริกาสูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP อเมริกา อยู่ที่ 26.2 ล้านล้านดอลลาร์ ไปแล้ว หนี้สาธารณะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 129 เปอร์เซ็นต์ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ทั้งปีของอเมริกา
ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว หนี้สาธารณะ 33 ล้านล้านดอลลาร์ ยังมีมูลค่าสูงพอๆ กับขนาดของระบบเศรษฐกิจของชาติยักษ์ใหญ่ของโลก 4 ชาติรองๆ ลงมา คือ จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี และ สหราชอาณาจักร รวมกันอีกด้วย
นอกจากนี้แล้ว เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นไป ท่านผู้ชมลองคำนวณจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ของประเทศไทยในปี 2565 ทั้งปีมีอยู่ที่ 17.5 ล้านล้านบาท จะพบว่าถ้าเอา GDP ของไทยทั้งประเทศไปชำระหนี้ดังกล่าวของอเมริกาต้องใช้เวลานานถึง 68 ปี
เพราะฉะนั้นถ้าเปรียบสหรัฐอเมริกาเป็นครอบครัวหนึ่ง อาจจะกล่าวได้ว่าครอบครัวใหญ่ครอบครัวนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว รายได้ที่หามาได้แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปีนั้น ไม่เพียงพอค่าใช้จ่าย จนต้องไปกู้หนี้ยืมสินญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน คนรู้จัก กู้ยืมมาหมดแล้ว ก็ยังไม่พอในการใช้จ่าย คำถามที่น่าสนใจคือ การก่อหนี้สาธารณะที่มากมายมหาศาลของรัฐบาลสหรัฐฯ นั้น เอาหนี้นี้ให้ไทยกู้หนี้ยืมสินใครมาบ้าง คำตอบก็คือ เขากู้ยืมผ่านการพิมพ์พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือพิมพ์เป็นเงินดอลลาร์ขึ้นมาจ่ายคืนนั่นเอง
นี่เป็นประเด็นที่สำคัญมาก เป็นสาเหตุที่ผมบอกมาตลอดว่าการขยายเพดานหนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ ของสหรัฐอเมริกาจาก 20 ล้านล้านดอลลาร์ มาเป็น 22 ล้านล้าน 27 ล้านล้าน 30 ล้านล้าน 31 ล้านล้าน 33 ล้านล้าน 37 ล้านล้าน และต่อๆ ไป ก็ต้องบอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในวันนี้ไม่ได้ต่างกว่าแชร์ลูกโซ่ หรือที่เขาเรียกว่า Ponzi Scheme ในอเมริกาแต่อย่างใด ทำไมผมถึงกล้าพูดว่าเหมือนแชร์ลูกโซ่ ? ก็เพราะว่าธรรมชาติของแชร์ลูกโซ่คือการที่ไม่ได้ทำธุรกิจสร้างผลิตภาพหรือผลิตผลใดๆ เพื่อหารายได้มาโปะกับรายจ่ายจริงๆ แต่คือเร่หาเงินลงทุนใหม่เข้ามาเพื่อเอาไปจ่ายเงินทุนเก่าที่รอมาก่อนหน้านี้ โดยหากไม่สามารถหาเงินลงทุนใหม่ได้ เครือข่ายแชร์ลูกโซ่นั้นก็ต้องประสบความล่มสลายหรือหายนะไปในที่สุด
ท่านผู้ชมครับ ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยสถานะการเป็นเจ้าโลก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การทหาร อเมริกาไม่เคยต้องกลัวที่จะต้องหาเงินลงทุนใหม่มาซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือพิมพ์เงินดอลลาร์อเมริกาเพื่อจ่ายหนี้คืน เพราะพันธบัตรอเมริกาและเงินดอลลาร์สหรัฐ ถูกหนุนหลังโดยระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่โตและทรงอิทธิพลที่สุดในโลก อเมริกาเปรียบเทียบตัวเองเป็นเจ้าโลก ตำรวจโลก มีความน่าเชื่อถือที่สุดในโลก จะทำอะไรก็ได้ จะบีบบังคับให้การซื้อขายน้ำมัน ก๊าซ พลังงานของทุกๆ ประเทศบนโลกนี้ ต้องใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นที่ทำได้ จะจับกุม อายัดบัญชี ใคร บริษัทไหน หรือจะเก็บภาษีใครเพิ่ม เขาก็หาเหตุผลมาได้ตลอดเวลา ณ วันนี้ เวลานั้น มันผ่านไปแล้ว สถานการณ์ไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป
ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมติดตามข่าวต่างประเทศทุกๆ มิติอย่างใกล้ชิดแบบผม ซึ่งผมทำมานานเป็นสิบๆ ปีแล้ว ท่านผู้ชมจะเริ่มพบเห็นความผิดปกติหลายประการเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวทางการเงินระหว่างประเทศ ณ ปัจจุบัน เพราะว่าจีนซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าหนี้รายใหญ่สุดของอเมริกา ได้เทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างหนักและต่อเนื่องไปแล้วกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ พันธบัตรของรัฐบาลอเมริกาที่จีนยังถืออยู่เหลือเพียง 805,400 ล้านดอลลาร์ ณ เดือนสิงหาคม 2566 ซึ่งต้องถือว่าเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 14 ปี นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2552 ซึ่งเวลานั้นจีนถืออยู่ 776,400 ล้านดอลลาร์
ท่านผู้ชมครับ จีนนั้นรู้ดีว่าอเมริกาจะต้องล่มสลายในที่สุด จึงค่อยๆ ทยอยขายเงินดอลลาร์ไป การที่จีนปฏิบัติตัวเช่นนี้ทำให้เกิดความกังวลและความผันผวนในตลาดเงินว่าหากมีการขายพันธบัตรและเงินสกุลดอลลาร์ออกมาอย่างหนักและต่อเนื่อง เงินจะไหลกลับไปที่อเมริกาโดยตรง และการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้คนหวั่้นเกรงว่าจะเกิดสงครามค่าเงินขึ้น
นอกจากนี้แล้ว เศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ คือเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของอเมริกาอายุ 10 ปี (พันธบัตรจะมีอายุ 1 ปี 3 ปี 5 ปี 10 ปี) พุ่งขึ้นเพิ่ม 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2550 ทำให้นักลงทุนแห่เทขายพันธบัตรอเมริกา เพราะเมื่อไรที่อัตราดอกเบี้ยรัฐบาลสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แทนที่จะสะท้อนถึงเศรษฐกิจที่เติบโตได้ดี กลับเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าวิกฤตตลาดการเงินเกิดขึ้นแทน ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ?
ถ้าพันธบัตรระยะยาว 10 ปี ให้ดอกเบี้ยสูงผิดปกติ แสดงว่าอเมริกาขาดเงิน วิกฤตทางการเงินเกิดขึ้นแล้ว เหตุการณ์เก่า วันจันทร์ที่มืดมัว คือ Black Monday ตลาดหุ้นล่มสลายเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2530 หรือ 36 ปีที่แล้ว นี่ผมเล่าแต่ละเหตุการณ์ให้ฟังนะครับ 36 ปีที่แล้วมีการล่มสลายของตลาดหุ้น 19 ตุลาคม
ต่อมาปี 2537 หรือ 29 ปีที่แล้ว ก่อนเกิดวิกฤตเตกีล่าในลาตินอเมริกา ก็คือวิกฤตทางการเงิน ถ้าเกิดที่เมืองไทยก็เรียกวิกฤตต้มยำกุ้ง ส่วนลาตินอเมริกาเขากินเหล้าขาวกัน ที่เรียกว่า เตกีล่า ก็เลยเรียกวิกฤตเตกีล่า
ค่าเงินเปโซของเม็กซิโกลดค่าลงครึ่งหนึ่งหลังจากทั้งสองเหตุการณ์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงอย่างรวดเร็ว สู่ระดับต่ำสุดใหม่ ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น จนกระทั่งเมื่อเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งในเอเชียเมื่อปี 2540 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปี 2542 ก่อนจะเกิดวิกฤตฟองสบู่ ที่เขาเรียกว่า "ดอทคอมแตก" หลังจากทั้งสองเหตุการณ์ อัตราผลตอบแทนลดลงสู่ระดับต่ำสุดใหม่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นในปี 2549 ก่อนเกิดวิกฤตทางการเงินโลกอีกครั้ง อีกสี่ปีให้หลัง 2553 ก็เกิดวิกฤตการณ์เงินสกุลยูโร อัตราผลตอบแทนยังเพิ่มขึ้นก่อนราคาน้ำมันจะตกต่ำในปี 2557 ในทุกกรณี อัตราผลตอบแทนจะพุ่งสูงก่อนจะลดลงสู่ระดับต่ำสุดใหม่
ด้วยเหตุนี้ สถานการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่พุ่งเกือบ 5 เปอร์เซ็นต์ล่าสุด จึงเป็นตัวบั่นทอนการขยายตัวของบริษัทต่างๆ เพราะต้นทุนในการกู้ยืมเพื่อทำธุรกิจสูงขึ้น นอกจากนี้แล้ว ผลตอบแทนของพันธบัตรสูงขึ้น นักลงทุนก็จะบอกว่าทำไมต้องไปรับความเสี่ยงจากตลาดหุ้นที่มีความผันผวน ความไม่แน่นอนสูง สู้ไปซื้อพันธบัตรที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้ดอกเบี้ยที่แน่นอนไม่ดีกว่าหรือ เท่ากับวันนี้รัฐบาลกลางอเมริกาได้ดำเนินนโยบายผลักความเสี่ยงลงสู่ผู้ลงทุนในตลาดพันธบัตรและตราสารหนี้
ตลาดพันธบัตรอเมริกากำลังเผชิญกับภาวะขาลง ก็คือภาวะที่ตลาดหุ้นต่ำลงต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน ปริมาณซื้อขายมีน้อย เปรียบเสมือนการเคลื่อนไหวของหมีที่อืดอาดเชื่องช้า ซึ่งครั้งนี้รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา ตลาดนี้เขาเรียกว่า Bear Market คือ ตลาดหมี ช้ามาก โดยอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 160 จุด ตั้งแต่กลางปี 2566 สวนทางมูลค่าแท้จริงของพันธบัตร ขณะที่ต้นทุนในการจัดหาเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นในอเมริกา ควบคู่กับสถานะหนี้สาธารณะของประเทศอเมริกาที่ผมบอกไปแล้วว่า หนี้สินล้นพ้นตัว เพราะพุ่งสูงขึ้นถึง 33.7 ล้านล้านดอลลาร์ ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ถ้ารวมทุกภาคส่วนเข้าไป หนี้รวมทั้งหมดประมาณ 86 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คือพูดรวมหนี้ทั้งหมดทุกภาคส่วนของอเมริกา อย่างเช่นหนี้ของสวัสดิการสังคม หนี้โน่นหนี้นั่น ซึ่งรัฐบาลกลางต้องเข้าไปค้ำประกันหนี้ ก็จะพบว่าอเมริกามีหนี้ที่จะต้องจ่าย 86 ล้านล้านดอลลาร์ ไม่ใช่ 37.7 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งนั่นเป็นหนี้จากต่างประเทศ
ดูเหมือนอเมริกานั้นจะแกล้ง จงใจทำให้ตัวเองอ่อนแอเพื่อดันเงินเฟ้อให้เกิดขึ้น จะได้สามารถเพิ่มค่าแรงโดยที่ค่าแรงถูกจากค่าเงินที่มันอ่อน สามารถจะดึงอุตสาหกรรมกลับมาโดยแลกกับความขัดแย้งและวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น คนที่ถือดอลลาร์อเมริกาก็เลยแห่เทขายออกมา บวกกับเงินดอลลาร์สหรัฐที่ล้นระบบมากเกินไป ไม่หมุนเวียน จึงเกิดการเสื่อมค่า บวกกับเรื่องสงคราม ไม่ว่าสงครามยูเครน-รัสเซีย สงครามฉนวนกาซา ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ก่อให้เกิดเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของโลกแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย
ปัญหาใหญ่ที่ใหญ่กว่านี้คือการนำโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดแตกพร้อมๆ กันในตราสารหนี้ ตลาดหุ้นก็แตก ตลาดตราสารอนุพันธ์เพื่อซ่อนหนี้และฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์
ขณะนี้คนที่ถือตราสารหนี้อเมริกาคือธนาคารกลางทั่วโลก กำลังลดการถือครองพันธบัตรอเมริกา และลดการพึ่งพาเงินสกุลดอลลาร์ ซึ่งเป็นเงินหนุนหลังการพิมพ์ของทุกประเทศ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Dedollarization หันมาให้ความสำคัญกับทองคำ ทำให้บทบาทของเงินดอลลาร์สหรัฐ ในฐานะเงินสกุลสำรองหลักของโลกอ่อนแอลง
นอกจากนี้แล้ว การเพิ่มขึ้นของสกุลเงินดิจิทัล และสกุลเงินที่แบ็กโดยทองคำ กำลังท้าทายการครอบงำของเงินดอลลาร์สหรัฐ และระบบพันธมิตรดั้งเดิมของสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดระเบียบโลกทางการเงินรูปแบบใหม่ มีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก
ท่านผู้ชมครับ ผมฟันธงได้ว่าไม่เกินปีนี้ ช้าที่สุด เงินดอลลาร์จะมีปัญหาถึงขั้นที่เรียกว่าจะเริ่มไร้ค่าออกไป แล้วคนจะถูกบังคับให้ต้องทิ้งเงินดอลลาร์หมดทั้งโลก
เวลาเราเป็นหนี้ ไม่ว่าจะกับธนาคาร หรือหนี้นอกระบบ หรือหนี้อะไรก็ตาม สิ่งที่มากับหนี้คือค่าดอกเบี้ย ไม่มีใครหนีดอกเบี้ยได้ ไม่มีทาง อัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ต้นทุนการจัดหาเงินกู้ในอเมริกาก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวด้วยเช่นกัน ปัจจุบันนี้หนี้สาธารณะของประเทศสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นทะลุ 33.7 ล้านล้านดอลลาร์ ด้วยเหตุนี้ ในปีงบประมาณ 2566 รายจ่ายดอกเบี้ยของหนี้สาธารณะทั้งหมดของอเมริกา 6 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 23.5 ล้านล้านบาท นี่คือค่าดอกเบี้ยที่อเมริกาต้องจ่าย ณ หนี้เวลานี้ เพิ่มขึ้นจากงบประมาณปีที่แล้วซึ่งจ่ายอยู่ 475,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบๆ สองแสนล้านดอลลาร์
ด้วยเหตุนี้ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ นางเจเน็ต เยลเลน ก็เลยให้สัมภาษณ์กล่าวเตือนว่า จากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ของประเทศ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในช่วงสามปีที่ผ่านมา มากกว่าในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา และคาดว่าต้นทุนหนี้สาธารณะของอเมริกาในช่วงอีกสิบปีข้างหน้า เขาคาดไว้เลยว่าอีกสิบปีข้างหน้าจะพุ่งทะลุเกินปีละ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินบาทก็ 42.5 ล้านล้านบาท
ท่านผู้ชมครับ หากความขัดแย้งสงครามระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ยังคงยืดเยื้อบานปลายอยู่จนอเมริกาต้องหากู้เงินเพื่อทุ่มงบประมาณสนับสนุนสงครามต่อไปอีกในระยะยาว วิกฤตพันธบัตรของสหรัฐฯ ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนที่สุด
ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่สำคัญที่สุดคือสงครามระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์กำลังส่งผลกระทบต่อตลาดโลก มันมีกองทุนที่เรียกว่า Save Haven ที่คาดว่าจะรักษาเงินต้นหรือเพิ่มมูลค่าในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเกิดการผันผวนและสามารถลดความเสี่ยงในกรณีที่กำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อาจไม่จำเป็นต้องสนับสนุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อีกต่อไป อาจจะต้องใช้ตัวเลือก Save Haven อื่นๆ หรือสินทรัพย์แบบอื่นๆ เช่น ทองคำ ไม่น่าประหลาดใจว่าทำไมจีนและรัสเซียถึงทุ่มเงินซื้อทองคำมาตลอดเวลา รวมทั้งอีกหลายต่อหลายประเทศ
โดยพันธบัตรของกระทรวงการคลังอเมริกาครั้งหนึ่งถูกมองว่าเป็นเครื่องวัดสำคัญของราคาสินทรัพย์โลก กำลังจะกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เมื่อเทียบกับทองคำ ซึ่งเป็นของจริง แล้วยืนหนึ่งมาตลอดในประวัติศาสตร์โลก
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางทั่วโลกให้ความสำคัญกับทองคำอย่างต่อเนื่อง ไม่สนใจคำเรียกร้องให้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ หลายประเทศพยายามลดการพึ่งพาอาศัยเงินดอลลาร์ โดยอาศัยทางเลือกอื่นแทนเงินสกุลดอลลาร์อเมริกา
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้โมเดลหนี้ที่อาศัยสถานภาพของเงินดอลลาร์อเมริกาเป็นเงินสำรองหลักของโลก กำลังอ่อนแอลง และถูกผลักดันให้เข้าใกล้จุดแตกหักมากขึ้น จากความผันผวนและความไม่แน่นอนของสถานะในอนาคตของเงินดอลลาร์ดังกล่าว
ท่านผู้ชมตามผมมา เดือนเมษายน ที่ผ่านมา สมาชิกสภาคองเกรสจากรีพับลิกันจำนวน 3 คน ประกอบด้วย Alex Mooney, Andy Biggs และ Paul Gosar ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้มีการนำมาตรฐานทองคำกลับคืนมา เขาระบุว่า เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของเงินดอลลาร์ในฐานะเงินสำรอง ระบบการเงินนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานของเศรษฐกิจอเมริกา
อย่างไรก็ดี สถานภาพระบบเงินดอลลาร์ปัจจุบันอยู่บนพื้นฐานของแชร์ลูกโซ่ Ponzi Scheme โดยใช้เงินจากนักลงทุนใหม่ผูกติดแน่นกับหนี้อเมริกา ทำให้บรรดาประเทศพันธมิตรสหรัฐฯ ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ พากันถอนตัวจากพันธบัตรอเมริกาอย่างรวดเร็ว และสั่นคลอนตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯ ลดการครอบงำสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อและการลดค่าสกุลเงินดอลลาร์ทั่วโลก และท่านผู้ชมจำได้ไหม เหตุการณ์หนึ่ง ท่านผู้ชมอาจจะจำไม่ได้ แต่ผมเคยพูดมาแล้ว
เหตุผลที่นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เรียกร้องให้จีนซื้อพันธบัตรอเมริกาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ง้อแล้วง้ออีก เดินทางไปปักกิ่ง ไปโค้งคำนับผู้นำจีนอย่างอ่อนน้อมก็ยอม ฝ่ายนาย Ray Dalio ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associate เฮดจ์ฟันด์ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เตือนว่าปัญหาเกี่ยวกับเงินดอลลาร์สหรัฐ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าอเมริกาพยายามจะขายพันธบัตรนโยบายการเงินที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ นำมาใช้ก็ตาม
ท่านผู้ชมครับ ทุกวันนี้มีประเทศต่างๆ กว่าร้อยประเทศทั่วโลกกำลังดำเนินการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์อเมริกาในฐานะแกนหลักของระบบการเงินโลก ก็ถูกบั่นทอนลงไปเรื่อยๆ
สิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งเนื่องจากสหรัฐอเมริกามักเผชิญวิกฤตหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงเข้าด้วยกัน ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์และพันธบัตรอเมริกาลดลงอีกแล้ว การล่มสลายของพันธบัตร กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าและสถานะของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และผลประโยชน์การเงินที่สำคัญที่ได้รับในฐานะสกุลเงินสำรองหลักของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย
ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังค่อยๆ ลดการถือครองพันธบัตรอเมริกา และแนวโน้มการเปลี่ยนไปใช้ทองคำกำลังเกิดขึ้นตลอดเวลา รายงานล่าสุดจากสภาทองคำโลกชี้ให้เห็นว่าบทบาทของทองคำจะเป็นไปอย่างโดดเด่นในไตรมาสที่สี่ของปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากเหตุปัจจัยต่างๆ เช่น สงครามความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ที่กระตุ้นให้เกิดการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้ออเมริกา และการหยุดชะงักของ Supply Chain หรือห่วงโซ่อุปทานน้ำมันที่จะมาจากตะวันออกกลาง ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะยังคงต้องการลงทุนในทองคำมากขึ้น
สิงหาคมที่ผ่านมานี้ ธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มการลงทุนในทองคำสุทธิ 77 ตัน เป็นเดือนที่สามติดต่อกันของการซื้อขายสุทธิ รวมแล้ว 219 ตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนกลายเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเงินดอลลาร์อเมริกาและพันธบัตรสหรัฐฯ ขณะที่ผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางก็เป็นผู้ซื้อที่มีศักยภาพ
2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จากสื่อของสิงคโปร์ชื่อสเตรทไทมส์ ระบุว่า ข้อมูลของสภาทองคำโลกนับตั้งแต่ต้นปี 2566 สิงคโปร์ติดสามอันดับแรกของประเทศที่ระดมซื้อทองคำเก็บสำรองมากที่สุดในโลก ประเทศจีน ตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นมา เพิ่มการถือทองคำเป็น 181 ตัน รวมแล้วตอนนี้จีนถือทองคำอยู่ 2,192 ตัน โปแลนด์ นับตั้งแต่ต้นปี ธนาคารแห่งชาติโปแลนด์สะสมทองคำเพิ่มขึ้นอีก 105 ตัน สิงคโปร์ ตั้งแต่ต้นปี 2566 ธนาคารกลางสั่งซื้อทองคำเพิ่มอีก 66 ตัน
นอกจากนี้ ต้นปี 2566 ที่ผ่านมา ยังมีรายงานว่าอิหร่านกับรัสเซียกำลังวางแผนในการออกเงินสกุลสำรองดิจิทัลที่หนุนด้วยทองคำ โดยเงินสกุลนี้จะช่วยอิหร่านสามารถผูกติดกับอัตราทองคำระหว่างประเทศ และใช้สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ข้ามพรมแดน เชื่อมต่อระบบบัญชีระหว่างประเทศ และธนาคารกลางอิหร่านยังอนุญาตให้ทำธุรกรรมทองคำในสกุลเงินตราต่างประเทศ เช่น เงินหยวน และเงินยูโร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในเชิงกลยุทธ์
ท่านผู้ชมครับ วันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา สถาบันวิจัย McGill International แนะนำว่าผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางประเทศต่างๆ เช่น อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สามารถแปลงส่วนหนึ่งของรายได้น้ำมันของตนให้เป็นทองคำสำรองได้ คล้ายๆ กับที่ธนาคารกลางทั่วโลกขายพันธบัตรอเมริกาเพื่อซื้อทองคำ ซึ่งสนับสนุนโอกาสให้สร้างระบบเงินสกุลสำรองดิจิทัลทั่วโลกที่ยึดกับทองคำ
ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่ามันเริ่มมีความหลากหลายในการชำระหนี้สินค้าโภคภัณฑ์ สินทรัพย์ทุนสำรองระหว่างประเทศ เงินสกุลดิจิทัล เงินสกุลที่ใช้น้ำมัน บ่งชี้ว่าการครอบงำของปิโตรดอลลาร์ที่กินเวลายาวนานมากว่าครึ่งศตวรรษ และระบบพันธบัตรอเมริกากำลังเผชิญกับปัญหาความท้าทายและความเชื่อมั่นในพันธบัตรสหรัฐฯ ที่หนุนหลังหนี้ของประเทศ กำลังตกอยู่ในสภาวะวิกฤต ท่ามกลางการขยายตัวเพิ่มขึ้นของสกุลเงินดิจิทัล ควบคู่ไปกับทองคำ ระเบียบโลกของการเงินใหม่คู่ขนานกับดอลลาร์สหรัฐ กำลังเกิดขึ้น เพราะเงินสกุลดิจิทัลสามารถเชื่อมต่อตรงกับธนาคารทั่วโลกจำนวนมากขึ้น ไม่ต้องใช้ระบบธนาคารที่ใช้เงินดอลลาร์อเมริกาอีกต่อไป
บทบาทของดอลลาร์อเมริกากำลังถูกประเมินใหม่และมีสัญญาณถึงการล่มสลายของระบบดอลลาร์ สถานภารณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังต่อสู้กับสภาวะที่้ถดถอย สงครามปาเลสไตน์-อิสราเอล อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในเศรษฐกิจอเมริกาและความเสี่ยงในการขาดดุลทางการคลังกับการผิดนัดชำระหนี้ของอเมริกาที่เพิ่มสูงขึ้น ที่กัดกร่อนความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก และพันธมิตรอเมริกาเร่งจัดการลดความเสี่ยงด้วยการลดคุณค่าของดอลลาร์ ลดการพึ่งพาไป
ขณะที่จีนกำลังตัดขาดการถือพันธบัตรสหรัฐฯ และธนาคารกลางทั่วโลกกำลังเพิ่มทุนสำรองเป็นทองคำมากขึ้น การเพิ่มขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลทำให้เกิดศักยภาพในการสร้างระเบียบโลกการเงินใหม่ โดยมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อเศรษฐกิจอเมริกาและระบบการเงินโลก สถานการณ์นี้เราต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงอย่างใกล้ชิดและรอบคอบ โดยเฉพาะความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอลที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนของตลาดและประเทศต่างๆ เราจะต้องจัดการความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง ผมฟันธงได้เลยครับ จุดจบของดอลลาร์อเมริกานั้นกำลังเกิดขึ้นและเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และภายในสิ้นปีนี้เราจะเห็นความแตกร้าวของความเข้มแข็งของเงินดอลลาร์อเมริกาว่าเริ่มจะค่อยๆ ล่มสลายไปทีละนิดๆ และไม่เกิน 2567 ผมเชื่อว่าสภาพของเงินดอลลาร์สหรัฐจะกระรุ่งกระริ่งอย่างที่สุด
ท่านผู้ชมครับ วันนี้รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจ ได้ผ่านไปแล้ว แค่ 3 เรื่อง แต่ละเรื่องใหญ่ๆ ทั้งนั้น ก็เอาไว้รอพบกันวันศุกร์หน้า น่าจะมีอะไรที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีก ผมจะไม่หยุดยั้งที่จะหาปัญญาต่างๆ มามอบให้ท่านผู้ชม สวัสดีครับ