xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ]SONDHI TALK : ดับแสง “โจ๊ก อัคนี” - “มินนี่” สาวน้อยร้อยเว็บ - ระวัง Oil shock! น้ำมันโลกขาดแคลนเฉียบพลัน - ทำไม “อินเดีย” เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจไม่ได้ - จีนปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 29 ก.ย.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยสิ่งที่จะเล่าในวันนี้เป็น

- ปฏิบัติการดับแสง “โจ๊ก อัคนี”
- “มินนี่” สาวน้อยร้อยเว็บ
- ระวัง Oil shock! น้ำมันโลกขาดแคลนเฉียบพลัน
- ทำไม “อินเดีย” เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจไม่ได้
- จีนปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบใหม่ สร้างนวัตกรรมพึ่งพาตัวเองเต็มรูปแบบ

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.208



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 209 [29 ก.ย. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean :SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2566 เป็นวันไหว้พระจันทร์ ก็หวังว่ายังมีเวลาเหลือพอนะครับ ไปซื้อขนมไหว้พระจันทร์ของเชฟเพนนี ที่ตอนนี้มีวางขายแล้วที่ร้าน SUN PAN


ผมอยากขอทักทายแฟนๆ ที่ชมการถ่ายทอดสดที่ Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok โดยเฉพาะอย่างยิ่ง TikTok ผมจะแนะนำให้เข้าดูรายการข่าวลึกปมลับ และถอนหมุดข่าว ซึ่งทีมงานผม คุณนพรัฐ พรวนสุข ได้อัปเดต และออกมาทาง TikTok และทาง News1 ด้วย ได้อัปเดตเรื่องราวต่างๆ ในความขัดแย้งของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กับท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ คือ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อย่างถึงพริกถึงขิง


ทุกๆ คลิปของ TikTok นั้น มียอดคนเข้ามาเป็นล้านๆ คน และเป็นที่นิยมชมชอบกันมาก ถ้าจะพูดไปก็เหมือนจะเชียร์พวกเดียวกันเอง เป็นคลิปที่ฮอตมาก แล้วก็พูดอย่างถึงแก่นถึงใจ ฟังทีเดียว ครั้งเดียวเข้าใจ และไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นในเรื่องข้อสงสัย เมื่อฟังเรื่องราวของคุณนพรัฐ พรวนสุข ที่ออกมาทาง News1 แล้ว ข่าวลึกปมลับ หรือ ถอนหมุดข่าว แล้ว จะเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ก็ขอแนะนำนะครับ ท่านผู้ชมหลายท่านอาจจะเคยเข้าไปดูแล้ว หลายท่านยังไม่เคยเข้าไปดู รีบๆ เข้าไปดูนะครับ คุณนพรัฐ พรวนสุข เทหมดกระเป๋าเลยในเรื่องนี้

วันนี้เป็นครบรอบ 4 ปี รายการ "SONDHI TALK" เราจัดรายการมาทุกวันศุกร์ ไม่หยุดเลยแม้แต่สัปดาห์เดียว รายการ SONDHI TALK ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหลายเหตุการณ์ หลายเรื่องราว ตอนที่เริ่มทำ SONDHI TALK นั้น คำถามมีอยู่ว่า นับวันที่ออกจากคุกมาแล้วผมควรจะทำอะไรดี ? ลูกๆ หลานๆ เพื่อนพ้องน้องพี่ก็บอกว่า คุณสนธิ อายุมากแล้ว สี่ปีที่แล้วผม 71 เอง บอกให้หยุดดีกว่า พักผ่อน แต่ผมมีความรู้สึกว่าความรู้มันอัดแน่น น่าจะระบายออกไปบ้าง และผมก็ใช้หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่าการให้ปัญญาคน การให้ปัญญาคนเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผมก็เลยตัดสินใจเอาความรู้เก่าๆ ที่เรามีอยู่ ที่ผ่านมาแล้วเป็นสิบๆ ปี จนกระทั่งผสมผสานกับความรู้ใหม่ที่เราได้รับทราบและเรียนรู้ แล้วใช้สติปัญญาของผมเองเข้ามาวิเคราะห์ เพื่อที่จะเล่าแจ้งแถลงไขให้ท่านผู้ชมว่าเรื่องนี้มันเป็นอย่างไรนะ


รายการ SONDHI TALK ไม่ใช่รายการข่าวสดที่จะมาบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นว่าอะไรเกิดขึ้น เกิดขึ้นเมื่อไร เกิดขึ้นที่ไหน และสิ่งที่สำคัญที่สุด เราเน้นว่าเกิดขึ้นอย่างไร และทำไมถึงเกิดขึ้น เป็นข่าววิเคราะห์ ทุกเรื่อง เพราะชื่อก็บอกแล้วว่า "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เราทำทุกเรื่องครับ เพียงแต่ย่นระยะเวลา ย่อระยะเวลาที่ท่านผู้ชมต้องไปขวนขวายหาความรู้ เพราะทุกวันนี้ข่าวมันมาแบบสายฟ้าแล่บ มันแล่บแปล๊บเข้ามาหาท่านผู้ชม ท่านผู้ชมรับทราบแล้วก็ลืมไป จริงๆ แล้วที่มันแล่บออกมามันมีข้อความและข้อมูลหลายๆ อย่างว่าทำไมถึงแล่บแบบนั้น แต่คนไม่ค่อยใช้กัน ก็จะมีรายการ SONDHI TALK และรายการของน้องนุ่งผม คุณนพรัฐ พรวนสุข ในเรื่องของข่าวลึกปมลับ และ ถอนหมุดข่าว เพราะเราเป็นทีมเดียวกัน เรามี DNA เดียวกัน เพราะฉะนั้นท่านดูแล้วท่านก็จะไม่ต้องอ่านหนังสือพิมพ์เลย เหมือนกับที่ท่านผู้ชมหลายๆ ท่านบอกผมว่า ทุกวันนี้เขาไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ เขาจะรอวันศุกร์ เป็นเพียงแต่ว่า เนื่องจากผมออกอาทิตย์ละครั้ง จะสู้ความหลากหลายของคุณนพรัฐ พรวนสุข ไม่ได้ เพราะเขาออกทุกวัน บางครั้งเขาออกตามอารมณ์ วันละ 2 ครั้ง 3 ครั้ง สุดแล้วแต่เขาจะพอใจ แต่ท่านผู้ชมไม่ผิดหวังหรอกครับ ผมยังเป็นแฟนคลิปของเขาอยู่เลย

หลายเรื่อง หลายบุคคล หลายเหตุการณ์ที่ผมพูดถึง ถ้าท่านผู้ชมตามผมมาตั้งแต่ต้น ท่านผู้ชมจะจำได้ ผมพูดถึงเสี่ยโป้ โป้อานนท์ ผมพูดถึงเรื่องคุณอภิรักษ์ โกฎธิ ผมพูดถึงเรื่องคุณแทนไท ป้ายแพง คุณท้อป บิทคับ จนมาถึงเจ้าของเว็บพนัน อั้ม PSV




นอท กองสลากพลัส ที่ตอนนั้นดูเสมือนว่าเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ หนักแน่นเหมือนเทือกเขาหิมาลัยซึ่งไม่มีใครจะโค่นล้มได้ ผู้กำกับโจ้ถุงดำ หลงจู๊สมชาย มาจนถึงคณะราษฎร 2475 ซึ่งผมก็เอาข้อมูลมาจากอาจารย์ปานเทพ ว่ามันเป็นคณะราษฎร หรือคณะโจร กันแน่ แล้ววันนี้ก็พิสูจน์ชัดแล้วว่า 2475 เป็นคณะโจร ผมพูดถึงแก๊งทะลุวัง บอส อยู่วิทยา รวมไปจนถึงคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และวันนี้ผมก็จะพูดถึงคุณสุรเชษฐ์ หักพาล กับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. คนปัจจุบัน

ทั้งหมดที่ผมพูดถึง ทุกๆ คนที่ผมเอ่ยชื่อนี้ ผมพูดในตอนที่เขาพีก (peak) เขาขึ้นสูงสุดเลย ซึ่งไม่มีใครกล้าไปแตะเขา แต่อาจจะเป็นเพราะว่าผมมีลางสังหรณ์ หรือว่าผมมีข้อมูลที่ผมเห็นว่าเอ๊ะ มันไม่ใช่นี่้ ผมไม่ได้เป็นคนวิเศษพิสดารกว่าใคร แต่ผมคิดว่าความจริงที่มีหนึ่งเดียวนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องเอามาตีแผ่ให้ท่านผู้ชม ผมไม่สนใจท่านผู้ชมที่ไหนหรอก ผมสนใจคนที่ดูรายการผม FC ผม ผมอยากให้คนที่ดูรายการผมเขามีองค์ความรู้ และเขาไม่ถูกหลอกลวง หรือถูกปั่นข่าว ปั้นข่าว เพราะท่านผู้ชมต้องรู้นะครับว่ายุคนี้ สมัยนี้ เรื่องราวต่างๆ มันเกิดขึ้นเพราะว่ามันมีตัวจำเลยที่มันหิวแสง เอาแสงมาบดบัง เบียดบังความจริงที่มีหนึ่งเดียวไป และอีกประการหนึ่ง สื่อมวลชนทั่วๆ ไป 99 เปอร์เซ็นต์ จะพอใจกับการที่จะเอาเรื่องราวที่คนๆ หนึ่งพูดออกมาเพื่อกินแสง รับแสง แล้วออกมาพาดหัวข่าวให้ฮือฮากัน ทั้งๆ ที่ในข้อเท็จจริงแล้วคนๆ นี้ ข้อเท็จจริงในชีวิตเขากับสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นมันเป็นเรื่องข่าว... และผมก็ดีใจที่สุดว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมาผมได้ให้ปัญญากับท่านผู้ชม แฟนๆ รายการของผม ได้เพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง


ในวาระครบรอบ 4 ปี ของรายการ SONDHI TALK ผมพูดถึงเรื่องแก้ว มาแล้วครับ เป็นตัวอย่าง ใส่น้ำร้อน-น้ำเย็นได้ ถ้าท่านสนใจสามารถเข้ามาเช็กได้ที่ inbox แก้วนี้เก็บน้ำได้ 350 มิลลิลิตร เก็บได้ทั้งร้อนและเย็น 7-8 ชั่วโมง ใบละ 500 บาท รายได้ทั้งหมดหักค่าใช้จ่ายแล้วจะมอบให้มูลนิธิไชย้ง ลิ้มทองกุล เพื่อเอาไปทำบุญทำกุศลให้กับชาติบ้านเมือง แก้วมีจำนวนจำกัดนะครับ ถ้าต้องการ สั่งมาได้เลยโดยด่วน

วันนี้เรามีเรื่องหลายเรื่องที่เราอยากจะเล่าให้ฟัง เรื่องแรกคือการปฏิบัติการดับแสง "โจ๊ก อัคนี" ทำไมถึงต้องเป็น "โจ๊ก อัคนี" ? สมัยก่อนเป็น "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" หวานเจี๊ยบ พูดจาเพราะ เข้าหาผู้ใหญ่คนไหนผู้ใหญ่ก็หลง แต่วันนี้กลายเป็น "โจ๊ก จอมเผาผลาญ" แล้ว แสงอำมหิตออกจากร่างกาย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รุนแรง ร้อนแรงมาก สามารถจะเผาทุกคนที่คุณสุรเชษฐ์ หักพาล พูดถึง ให้ไหม้เป็นจุณไปเลย

เรื่องที่สอง มันโยงเรื่องเกี่ยวกับปฏิบัติการดับแสง "โจ๊ก อัคนี" ก็คือผมจะพูดถึงเด็กคนหนึ่ง ชื่อ "มินนี่" สาวน้อยร้อยเว็บ มินนี่ ที่ตามทะเบียนราษฎร์อายุแค่ 25-26 ปี แต่เมื่อทีมงานผมค้นลึกลงไปแล้ว ปรากฏว่าจริงๆ เธอน่าจะอายุสามสิบกว่าแล้ว ไม่ใช่แค่ 25-26 ปี แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อทะเบียนราษฎร์บอกว่า 25-26 ปี ก็เป็น 25-26 ปี ก็แล้วกัน

มินนี่ คือจุดเกิดเหตุของทุกเรื่อง เหมือนกับไฟลามทุ่ง ไฟไหม้ป่า ไหม้มาจนจะถึงแสงไฟ ความร้อนของไฟ ตลอดจนสะเก็ดไฟกระเด็นเข้ามาเผา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ไปด้วยเช่นกัน

เรื่องที่สาม เป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่สื่อมวลชนเมืองไทยไม่มีใครสนใจที่จะพูดและเตือนประชาชนคนไทย ก็คือ ผมกำลังจะบอกให้กับท่านผู้ชมว่า น้ำมันโลกปลายปีนี้จะขาดแคลนอย่างฉับพลัน และจะเกิดภาวะการณ์ที่เขาเรียกว่า Oil shock ซึ่งมันจะมีผลอย่างมากกับชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเรา ต้นทุนการใช้จ่ายของพวกเราจะต้องสูงขึ้น เงินเฟ้อก็อาจจะสูงขึ้น ก็ต้องมาดูฝีมือของคุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีแกะกล่องคนนี้ ว่าจะสามารถลดความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างไร

เรื่องที่สี่ กับเรื่องที่ห้า เป็นเรื่องเดียวกัน ถ้าท่านผู้ชมรู้จักอินเดียดี ท่านผู้ชมต้องรู้ว่าอินเดียได้รับการขนานนามจากสื่อตะวันตกว่าอินเดียจะกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่จะมาดับแสงจีน

ท่านผู้ชมหลายท่านบอกว่าผมเป็นแฟนจีน ผมไม่ได้เป็นแฟนจีนหรอกครับ แต่ผมเป็นแฟนของความจริงที่มีหนึ่งเดียว ทุกอย่างที่ผมพูดเรื่องจีนนั้น เป็นเรื่องที่มีเหตุมีผล มีหลักฐานเชิงประจักษ์ มีข้อมูลที่พิสูจน์ได้ชัด

ผมตั้งปุจฉาเอาไว้เพื่อให้ท่านผู้ชมวิสัชนา และผมจะวิสัชนาให้ฟังว่าทำไมอินเดีย ถึงแม้ว่าสื่อตะวันตกจะเชียร์กันมากมายมหาศาลก็ตาม ทำไมถึงไม่มีปัญญาและไม่มีทางที่จะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้เหมือนจีน คือพูดง่ายๆ ว่าวันนี้จีนเหนือกว่าอินเดีย ภาพรวมเศรษฐกิจมากกว่าอินเดียถึง 5 เท่า และจะทิ้งห่างไปเรื่อยๆ เพราอะไร ? เพราะมันผูกพันกับการลงทุนของประเทศจีนที่ลงทุนในเรื่องของทุนมนุษย์ ที่เขาเรียกว่า Human Capital และให้ความเท่าเทียมกันระหว่างสิทธิของผู้ชายกับผู้หญิง

และสุดท้าย ต่อเรื่องจากอินเดียไม่มีทางเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเหมือนจีน ผมจะตบท้ายด้วยข้อเท็จจริงข้อหนึ่ง ซึ่งถ้านายกรัฐมนตรีโมดี เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด และติดตามข่าว ต้องมีความรู้สึกสะพรึงกลัวกับข้อมูลนี้

ท่านผู้ชมครับ ผมจะพูดถึงเรื่องจีนกำลังสร้างพันธกิจใหม่ จีนกำลังจะปฏิวัติอุตสาหกรรมอีกครั้งหนึ่้ง อุตสาหกรรมเก่าของจีนคืออุตสาหกรรมรับจ้างทำของ อุตสาหกรรมใหม่ของจีนจากนี้ไป ตามที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้วางเส้นทางเอาไว้ คือเป็นอุตสาหกรรมของนวัตกรรม หมดยุคหมดสมัยที่จีนจะรับจ้างทำของแล้ว จะต้องไปเพิ่มน้ำหนักที่นวัตกรรมของจีน เพื่อให้เมดอินไชน่าเกิดขึ้น สินค้าจีนในยุคของสี จิ้นผิง ยังไม่ต้องถึงนโยบายใหม่นี้ ทุกวันนี้เราก็เห็นจีนเป็นตัวนำนวัตกรรมในหลายๆ ด้าน อย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้า การสร้างสถานีอวกาศ รถไฟความเร็วสูง โน่นนี่นั่น เยอะแยะไปหมด หรือแม้กระทั่งสองอาทิตย์ที่แล้วผมพูดถึงเรื่องโทรศัพท์ของหัวเว่ย ชื่อ เมท 60 โปร ผมอธิบายให้ท่านผู้ชมฟังแล้วว่าถ้าท่านผู้ชมฟังรายการผมดีๆ ท่านผู้ชมอย่าไปเสียเวลาฟังคนอื่นที่พูดเรื่องนี้เลย เพราะว่าฟังรายการผมแล้วจะเข้าใจ รู้ลึกซึ้ง เห็นป่าทั้งป่า แล้วจะไม่มีความจำเป็นต้องฟังที่ไหนเลย "จีนกับพันธกิจปฏิวัติอุตสาหกรรมสร้างเทคโนโลยีในอนาคต"


ก่อนจะเข้าสู่รายการก็ต้องเรียนให้ท่านผู้ชมทราบนิดหนึ่ง เราเอาภาพที่อาจารย์ปานเทพ คิดขึ้นมา แล้วเราก็บอกว่าถ้าซื้อ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" 6 กล่อง เราจะแจกภาพนี้ฟรี ซึ่งเป็นภาพที่อาจารย์ปานเทพ กลั่นทุกอย่างในสมองออกมาแล้วเขียนเป็นภาพนี้ออกมา แล้วมีการบรรยายทางโหราศาสตร์ทางพุทธศาสตร์ให้เข้ากับโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์เรา แล้วสิ่งที่น่าทึ่งมากก็คือว่า สิ่งที่อาจารย์ปานเทพ เขียนลงไปนั้นเป็นความจริงทุกประการ

ล็อตแรก ชุดแรก อาจารย์ปานเทพ ทำมา 50 แผ่น ก็ปรากฏว่าใครจะขอปฏิทินพิเศษนี้ไปต้องซื้อ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" 6 กล่อง ตอนนี้หมดไปแล้วชุดแรก มีเสียงเรียกร้องเข้ามามาก เราก็เลยต้องเอาอันนี้มาให้เพิ่มเติมอีก ไม่มาก ถ้าท่านผู้ชมต้องการต้องรีบเข้ามา

อีกเรื่องหนึ่ง ท่านผู้ชมจำเรื่องหนังสือได้ไหมครับ ที่ผมบอกว่าผมจะมอบให้กับท่านผู้ชม หนังสือเล่มนี้เขียนโดยลูกชายของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ชื่อ ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ เป็นคนหนุ่ม ความรู้ดีมาก แล้วก็เป็นคนดื้อ เป็นคนที่แหกคอก มองอะไรไม่เหมือนคนอื่น


หนังสือเล่มนี้ชื่อ ATADIA ผมบอกแล้ว ผมซื้อจาก ดร.ณภัทร มา 100 เล่ม จะแจกให้ท่านผู้ชมที่ inbox เข้ามา ให้บอกผมมาว่าทำไมต้องการหนังสือเล่มนี้ แล้วผมจะพิจารณาเป็นรายๆ ไป ปรากฏว่าท่านผู้ชมเข้ามาเกือบ 400 คน ขอหนังสือกันเต็มไปหมด 400 คนนี้ก็ให้เหตุผลร้อยแปดพันประการ ผมกับทีมงานมานั่งพิจารณาแล้วรู้สึกว่าทุกคนมีเหตุผลหมด ขอให้มีความอยากอ่านเท่านั้นก็มีเหตุผลพอแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจว่า เอาล่ะ ขอมาเกินกว่าร้อย เกือบ 400 คน ผมก็เลยสั่งซื้อจาก ดร.ณภัทร เพิ่มอีก ยอดทั้งหมดสามร้อยกว่าเล่ม ผมก็เริ่มจัดส่งไปแล้ว ทยอยส่งแล้ว หลายๆ ท่านคงได้รับ อ่านแล้ว คิดแล้ว เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร เข้ามาใน inbox ของผมหน่อย เล่าให้พวกผมฟัง

ตอนนี้เรากลับมาที่ "พระสยามพุทธาธิราช" น่าสนใจมาก วันนี้เปิดรายการจะยาวนิดหนึ่ง แต่ข้อความที่ยาวนั้นล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น

เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว วันที่ 23 กันยายน เราได้มีการจัดพิธีพลีมวลสารชนวนโลหะ คราวที่แล้วเราพลีมวลสารซึ่งเป็นพระผง สมเด็จบางขุนพรหม พระผงสุพรรณ นางพญา พระรอด ฯลฯ งวดนี้เราพลีมวลสารชนวนโลหะ ก็คือเหรียญต่างๆ อย่างเช่น เหรียญหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์ มีแม้กระทั่งเหรียญหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค จังหวัดนครสวรรค์


มีเหรียญหมดทุกอย่างที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่บ้านพระอาทิตย์ มีพี่น้องประชาชนเข้ามาร่วมพิธีพอสมควร มีท่านพระราชรัตนมงคล เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และผมเป็นประธานฝ่ายฆราวาส แล้วก็มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น เพราะว่าคืนวันที่ 22 ฝนตกหนักมาก ทั่วประเทศไทย ทั่วกรุงเทพฯ หนักมากจนน้ำท่วม วันที่ 23 เมฆครึ้มไปหมดเลย และมีแนวโน้มฝนจะตกอีก อาจารย์ปานเทพ ก็เลยมาปรึกษาผม อาจารย์ปานเทพ โทรถามผมว่าจะทำอย่างไรดีคุณสนธิ ที่จะบนบาน ผมก็เลยบอกว่าให้บนบาน 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ครุฑ นาค อินทร์ ยม พรหม ยักษ์ ด้วยธูป 31 ดอก (16 ชั้นฟ้า + 15 ชั้นดิน เป็น 31 ดอก) แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า เนื่องจากกำลังจะทำงานสำคัญเพื่อพระพุทธศาสนาในการพลีมวลสารที่เป็นชนวนโลหะ เพื่อให้กิจการในการทำงานทำนุบำรุงศาสนาเป็นไปได้ด้วยดี ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงชะลอการตกของฝนจนกว่าพิธีจะจบสิ้น


ก็ปรากฏว่าในระหว่างทำพิธีนั้น ก็เห็นว่าเมฆที่เต็มไปหมดจู่ๆ เมฆก็เปิดแล้วก็มีพระอาทิตย์ออกมาส่องแสงสว่างออกมาที่ปะรำพิธี แล้วเราก็ทำพิธีพลีมวลสารเรียบร้อย จบสิ้น ท่านผู้ชมเชื่อไหม เก็บของไว้เรียบร้อยทุกอย่าง เอาขึ้นรถหมดทันที ฝนตกลงมาห่าใหญ่ ไม่ใช่ตกธรรมดา ตกแบบห่าใหญ่เลย นานแสนนาน ก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ อาจารย์ปานเทพ ถามผมว่าคาถานี้ผมได้มาอย่างไร ?


ไม่ใช่ได้มาอย่างไรหรอกครับ ตอนที่ผมไปประท้วง จัดรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร" ที่สวนลุมพินี เป็นครั้งแรกนั้น ฝนก็ทำท่าจะตกเหมือนกัน ตอนนั้นผมก็โทรศัพท์ไปถามพ่อแม่ครูอาจารย์ คือ หลวงพ่อญาท่าน วัดกุดโพนทัน จังหวัดหนองบัวลำภู ท่านก็บอกว่า ลูก เอาธูปมา 31 ดอก แล้วตั้งจิตอธิษฐานอย่างที่พ่อสอน และทุกครั้งผมทำพิธีอะไรก็ตามที่อยู่กลางแจ้งแล้วถ้ามีแนวโน้มว่าฝนจะตกก็จะใช้วิธีนี้ ก็ได้ผลชะงัด เพราะว่าฝนไม่ตกเลย

และเมื่อวานนี้ วันที่ 28 วันพฤหัสฯ มีพิธีเจิมแบบหล่อตัวอย่างของเหรียญนำฤกษ์ และตัวอย่างพระพุุทธรรูปนำฤกษ์ ที่วัดหน้าพระเมรุ จังหวัดอยุธยา และวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม จะมีพิธีปั๊มเหรียญที่วัดปรางค์หลวง บางใหญ่ นนทบุรี


สรุปตัวเลขคนที่จองพระองค์ใหญ่เข้ามาเกือบ 150 องค์แล้ว เหลือจองได้อีกไม่มาก เพราะเราทำแค่ 250 องค์ หมดแน่นอนครับ และพระพุทธรูปชุดนี้จะเป็นพระพุทธรูปที่ทุกคนต้องการแสวงหาอย่างมากที่สุดในอนาคต หนึ่งในพระพุทธรูปที่คนแสวงหาอย่างมาก เพราะทำด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ส่วนเหรียญก็จะหมดแล้ว รีบจองเข้ามานะครับ เหลืออยู่ไม่เยอะ


พระพุทธรูปพระสยามพุทธาธิราช ให้เช่าบูชาองค์ละ 1 แสนบาท เหรียญชุดละ 2,000 บาท ถ้าท่านผู้ชมสนใจ ติดต่อไลน์ (LINE) เพิ่มเพื่อน และพิมพ์คำว่า @tambun

ท่านผู้ชมครับ เล็กๆ น้อยๆ งานระลึก 7 ตุลาคม ทำบุญให้กับผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ที่เราหยุดทำไป 2 ปี แต่ว่า 2 ปีที่หยุดทำไปนั้น ผมก็เอารูปมาตั้งไว้ในห้องพระ ท่านผู้ชมคงเห็นไปแล้วที่ผมเคยออกรายการไป และผมก็ทำพิธีสงฆ์ และสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิแผ่เมตตาให้กับทุกๆ ท่าน


โควิดหมดไปแล้วสองปี ตอนนี้ทุกคนกลับไปสู่ภาวการณ์ปกติ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องจัดงานรำลึก 7 ตุลาฯ ที่บ้านเจ้าพระยา ที่เก่า ที่ท่านผู้ชมที่เคยมาประจำจะจำได้ เราจะมีการทำพิธีตักบาตรอุทิศกุศลแก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 และช่วงชุมนุม 193 วัน ผมอยากจะเชิญพี่น้องพันธมิตรฯ มาพบปะพูดคุยกัน ณ บ้านเจ้าพระยา โดยที่มาร่วมทำบุญตักบาตรกัน แล้วมาทำประโยชน์และรำลึกถึงเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาฯ


อีกอันหนึ่งซึ่งยังไม่มีกำหนดการตายตัว แต่ขอเกริ่นให้ทราบก่อนแล้วกัน ประมาณเดือนมกราคม ปีหน้า ค่อนข้างแน่นอนแล้ว ท่านผู้ชมรู้จักคุณแอ้ม-สโรชา พรอุดมศักดิ์ ใช่ไหมครับ คุณแอ้ม-สโรชา พรอุดมศักดิ์ ตอนนี้เป็นมะเร็งอยู่ สามวันดีสี่วันไข้ เข้ามาปรึกษาหารือกับพวกเราว่า คุณสนธิคะ ปีนี้ ปี 2566 เป็นปีที่ครบรอบการจัดทำรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" ครบรอบ 20 ปี แอ้มอยากให้พวกเราจัดงานครบรอบ 20 ปี ของ "เมืองไทยรายสัปดาห์"




เพื่อเป็นการระลึกถึงครั้งหนึ่งเราได้เคยจัดรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" ไว้ ถึงแม้ตอนนี้ไม่มีแล้ว แต่ยังมีคนระลึกถึงการจัดรายการแบบนั้นมาก ผมก็เลยตกปากรับคำไป ตอนนี้ก็หาสถานที่ได้แล้ว เหลือแต่กำหนดวันเท่านั้นเอง

เป็นวันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม และจัดที่โรงละครสยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน จุคนได้แค่พันกว่าคนเอง เราก็ขอว่าบัตรที่จะเข้ามาดูนั้น เราก็คิดประมาณ 2,000 บาท

ปฏิบัติการดับแสง "โจ๊ก อัคนี" และ "มินนี่" สาวน้อยร้อยเว็บ

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมคิดว่าท่านผู้ชมทุกท่านอาจจะสนใจมากที่สุดในขณะนี้ เราก็เลยวางเป็นเรื่องแรกเลย ผมตั้งใจพูดก่อนเพื่อนเลย


เมื่อวานซืนนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ได้มีการคัดเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ 14 แทน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ที่เกษียณอายุในวันพรุ่งนี้ (30 ก.ย. 66) มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน การประชุมเริ่มต้นตั้งแต่บ่ายสองโมง ที่ประชุมมีมติตอนบ่ายสี่โมงยี่สิบแปดนาที ให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ 14 ซึ่งเป็นผู้อาวุโสชิงตำแหน่งในลำดับที่ 4 ซึ่งเป็นลำดับสุดท้าย

ลำดับอาวุโสของรอง ผบ.ตร. นั้น ที่เป็นผู้ชิงตำแหน่ง ผบ.ตร. ลำดับที่หนึ่งคือ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ลำดับที่สอง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ลำดับที่สาม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ลำดับที่สี่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล


พอประชุมเสร็จเรียบร้อย พล.ต..อาชยน ไกรทอง รองผู้บัญชาการ สตม. ในฐานะโฆษก ตร. กล่าวว่า การประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 10/2566 วันนี้ได้คัดเลือกแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่ พิจารณารายชื่อเรียบร้อยแล้ว อยู่ในระหว่างขั้นตอนธุรการ เพื่อนำความไปกราบบังคมทูล จึงไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ในวันนี้

ท่านผู้ชมครับ ชนวนเหตุของเรื่องใหญ่โตครั้งล่าสุดก่อนที่จะมาถึงเรื่องการแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนปัจจุบันนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 25 ความเข้มข้นจริงๆ แล้วมันสืบเนื่องต่อมาจากขบวนการของ "กำนันนก" แล้วมาต่อด้วยกระบวนการวันจันทร์ที่ 25 กันยายน


พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการ สอท. หรือ ตำรวจไซเบอร์ และ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการกองบังคับการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ รักษาการผู้บังคับการตำรวจทางหลวง หรือ ปปป. และ ทล. สนธิกำลังเจ้าหน้าที่เกือบร้อยนาย นำหมายค้นเข้าตรวจค้นบ้านพัก 5 หลัง ในหมู่บ้าน Avenue 60's ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม. ตำรวจพร้อมอาวุธครบมือได้แบ่งกันเข้าตรวจค้นบ้านจำนวน 5 หลัง ประกอบด้วย บ้านเลขที่ 9/146, 9/147, 9/148, 9/157 และ 9/158 ภายในหมู่บ้านดังกล่าว หลังสืบทราบว่ามีผู้ต้องหาคดีเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ Betflix Royal อาศัยใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในบ้าน 5 หลังนี้


เมื่อหัวหน้าชุดนำกำลังไปก็พบว่าบ้านเลขที่ 9/147 และ 148 มีลักษณะเป็นทาวน์โฮมสองชั้น เชื่อมกัน หากันได้ทั้งสองคูหา ที่ว้าวไปมากกว่านั้นคือมีภาพที่ปรากฏออกมา สื่อระบุชัดเจน ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านที่ชุดปฏิบัติการต้องปลุกขึ้นมาเจรจา คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบในการค้น อ่านรายละเอียดหมายค้นให้คุณสุรเชษฐ์ ซึ่งยังอยู่ในสภาพชุดนอน สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว นุ่งกางเกงขาสั้น บ็อกเซอร์สีฟ้า ใส่ถุงเท้าสีขาว ยืนเท้าสะเอวฟังจนจบ

ประโยคแรกที่รอง ผบ.ตร. พูดกับเจ้าหน้าที่ชุดดำเนินการคือ กูไม่ให้ค้น พวกมึงกลับไป ทำให้ชุดปฏิบัติการพิเศษ หรือหน่วยคอมมานโด ต้องกลายสภาพจากการสังเกตการณ์ธรรมดา กลายเป็นประกอบทีมเข้าสแตนด์บายในที่กำบัง นำกำลังเข้าประจำการทางฝั่งตรงข้าม โดยใช้ฝากระโปรงรถเป็นที่มั่น


การเจรจาระหว่างตำรวจชั้นผู้น้อย กับผู้พักอาศัยซึ่งเป็นถึง ผบ.ตร. ผ่านไปนานเกือบสองชั่วโมงกว่าจะมีการตกผลึก โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ขอประสานทนายความของตนเองให้เดินทางมาที่บ้านและต่อรองให้พนักงานสอบสวนตามผู้บังคับบัญชาระดับสูงซึ่งรับผิดชอบภารกิจนี้ เข้ามาร่วมตรวจค้นด้วย จึงเป็นเหตุให้ พล.ต.ท.วรวัฒน์ และ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ต้องเดินทางไปปรากฏกายในพื้นที่เป้าหมายก่อนจะได้รับอนุญาตให้ตรวจค้น ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกภารกิจ โดยเฉพาะผู้สื่อข่าว เข้าไปค้นในบ้าน


จากการค้นบ้านสองหลังเชื่อมต่อกัน ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พักอาศัย พบว่าไม่ได้มีทรัพย์สินมีค่าเอาไว้จำนวนมาก นอกจากรถหรูจำนวน 3 คัน จุดนี้ใช้เวลาตรวจ 1 ชั่วโมง


ส่วนบ้านเลขที่ 9/157, 9/158 ซึ่งเป็นบ้านทาวน์โฮมเจาะถึงกันในลักษณะเดียวกัน พบตัว พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร ตำแหน่งนายตำรวจติดตามรอง ผบ.ตร. (พล.ต.อ.สุรเชษฐ์) ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ เลขที่ จ.879/2506 ลงวันที่ 22 กันยายน ข้อหาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบและร่วมกันฟอกเงิน อยู่ในบ้านแฝดหลังดังกล่าว ชุดจับกุมจึงดำเนินการควบคุม ส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ พื้นที่ที่เกิดเหตุตั้งแต่ต้น


ในเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่อีกหลายชุดก็สนธิกำลังไปยังเป้าหมายอีก 30 แห่ง ในพื้นที่ 6 จังหวัด กรุงเทพมหานคร เพชรบุรี นครปฐม ขอนแก่น เลย สมุทรปราการ เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีเดียวกัน เบื้องแรกสามารถรวบตัวตำรวจคนสนิท พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ได้เพิ่มเติมอีก 7 ราย มี พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรมกลาง กองบัญชาการตำรวจนครบาล พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รองผู้บังคับการสืบสวน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 พ.ต.อ.อาริศ คูประสิทธิ์รัตน์ ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ รองผู้กำกับการสืบสวน สถานีตำรวจภูธรสำโรงเหนือ และมีชั้นประทวนอีก 2 นาย นอกจากนี้ ยังมีพลเรือนหมายจับคดีเดียวกัน ถูกจับกุมได้อีก 9 คน ผมคงไม่อ่านรายชื่อให้ฟังนะครับ


ท่านผู้ชมครับ สรุปแล้วผู้ต้องหา 17 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 8 นาย และพลเรือน 9 ล้วนตกเป็นผู้ต้องหาในข้อหาเดียวกัน มีเพียง พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย ที่โดนหนักกว่าเพื่อน คือโดนข้อหาร่วมกันจัดให้มีการเล่นหรือทำอบายมุข ล่อ ช่วยประกาศโฆษณาโดยตรงหรือทางอ้อม ให้ผู้อื่นเข้ามาเล่นและพนันในทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน สมคบกันโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบและร่วมกันฟอกเงิน

พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย
จากนั้นตำรวจควบคุมผู้ต้องหา 17 คน เข้าวอร์รูมกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 โดยมี พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT 4 ซึ่งคุณไตรรงค์ เป็นน้องชายของ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือที่เขาเรียกว่า เสธ.หิ ซึ่งเป็นอดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มารอแยกตัวผู้ต้องหาในฐานะหัวหน้าทีมสอบสวน

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ
ประเด็น ในช่วงชุดจับกุมทยอยนำตัวผู้ต้องหาเข้าวอร์รูมนั้น มีผู้ที่ปล่อยคลิป พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กำลังร้องเพลงอยู่ในงานเลี้ยงกับ หนึ่ง ทนายตั้ม คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด สอง น.ส.ธันยนันท์ หรือ สุชานันท์ สุจริตชินศรี ชื่อเล่น "มินนี่" เจ้าแม่วงการเว็บพนัน


มีการปล่อยภาพ พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย นั่งโอบน้องมินนี่ น.ส.ธันยนันท์ อย่างใกล้ชิดสนิทสนม แก่ผู้สื่อข่าว


มีคลิปวิดีโอ 3 คลิป คลิปแรกเป็นคลิปที่ทนายตั้มถ่าย ปรากฏภาพบิ๊กโจ๊ก ยืนถือไมค์คู่กับมินนี่ คลิปที่สอง เป็นคลิปปรากฏภาพคู่กันระหว่างบิ๊กโจ๊ก กับมินนี่ ร้องเพลงมหาวิทยาลัยวัวชน ของศิลปินวงพัทลุง


คลิปที่สาม เป็นคลิปเจ้าหน้าที่ PCT ชุดที่ 4 เคยเข้าจับกุมตัวมินนี่ ฐานกระทำความผิดกับเว็บพนันออนไลน์


ส่วนภาพคู่ที่ พ.ต.อ.ภาคภูมิ นั่งโอบมินนี่ นั้น มีการปล่อยข้อมูลว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง

ด้าน พล.ต.ท.ไตรรงค์ เปิดเผยว่า คดีนี้ต้องย้อนรอยไปถึงช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 วันที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ หรือที่เขาเรียกว่า PCT 4 ดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ Betflix Royal เอาไว้ 3 ราย หลังจากนั้นทั้ง 3 ราย ถูกดำเนินคดี และได้ขยายผลการดำเนินการออกหมายจับผู้ร่วมเครือข่ายอีก 23 ราย โดย 8 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ อีก 15 ราย เป็นพลเรือน ถูกจับวันนี้แล้ว 8 ราย ยังเหลืออีกที่ต้องหลบหนีอีก 9 ราย จับแล้ว เหลืออีก 6 ราย

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยังปฏิเสธด้วยว่า ปฏิบัติการดังกล่าวไม่ได้ดิสเครดิตรอง ผบ.ตร. แต่อย่างใด การประสานกำลังกับหลายฝ่ายผ่านการปฏิบัติการที่ชื่อ Big Cleaning Day วันทำความสะอาดกวาดบ้านตำรวจ ปูพรมลงพื้นที่ 6 จังหวัด 30 เป้าหมายครั้งนี้ทำไปเพราะว่ามีพยานหลักฐานเชื่อมถึง

นอกจากนี้แล้ว ยังอ้างว่าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านดังกล่าวมีนายตำรวจระดับรอง ผบ.ตร. อาศัยอยู่ เพราะชื่อเจ้าของบ้านทั้งห้าหลังนั้นไม่ใช่ชื่อรอง ผบ.ตร. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ชุดทำงานทราบเพียงแต่เบาะแสว่า พ.ต.ต.ชานนท์ นายตำรวจติดตาม ไปพักอาศัยอยู่เท่านั้น จึงขอหมายค้นดำเนินการตามกฎหมาย

ท่านผู้ชมครับ ผมไม่อยากลงรายละเอียดการตอบโต้กันระหว่างทีมตำรวจที่จับกุมกับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ตอบโต้กันเป็นรายวัน วันละหลายๆ รอบ พูดผ่านตรงโน้นที ตรงนี้ที ขู่จะร้องขอความเป็นธรรม ฟ้องศาลประเด็นโน้นประเด็นนี้ แต่ผมอยากจะพูดในเรื่องนี้ในส่วนที่เป็นรายละเอียดสำคัญและเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้


ท่านผู้ชมครับ ผมขอแนะนำหญิงสาวหน้าตาดี ที่ทะเบียนราษฎร์บอกว่าอายุ 25-26 ปี แต่ในข้อเท็จจริงอาจจะถึง 34 ปี แล้วก็ได้ ชื่อ "มินนี่ อายุน้อยร้อยเว็บ" หัวเบี้ยเครือข่ายเว็บพนัน กุญแจหรือจุดเชื่อมของการทลายเครือข่ายครั้งนี้ มินนี่ หรือ น.ส.ธันยนันท์ สุจริตชินศรี เป็นตัวการสำคัญ มีคนอยากรู้จัก "มินนี่" ว่าเป็นใคร เจ้าแม่เว็บพนันมาจากไหน เธอมาทำอะไรกับก๊วนตำรวจลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล


มินนี่ ปัจจุบันเธออายุแค่ 26 ปี (ตามทะเบียนราษฎร์) เป็นคนจังหวัดเลย พื้นเพทางครอบครัวมินนี่ก็พอมีกินพอมีใช้ มีบารมี มีแม่เป็นถึงสมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวัดเลย

มินนี่ เคยถูกตำรวจจับกุมมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2566 ยึดของกลางเป็นสมุดบัญชีธนาคารพาณิชย์รวม 100 รายการ นอกจากนี้ ยังมีของกลางที่เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์กว่า 55 ใบ โทรศัพท์มือถือจำนวน 30 เครื่อง เงินสด 920,000 บาท คอมพิวเตอร์ iPad เครื่องรับ-ส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตหลายรายการ พบเงินหมุนเวียนถึงร้อยกว่าล้านบาท


มินนี่ เป็นกรรมการบริษัท MY 999 จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2564 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดเลย เธอยอมรับว่าเธอเป็นเจ้าของเว็บไซต์พนันออนไลน์ ชื่อ Betflix Spin, Betflix E88, Betflix Up, Sabuy Betflix 101, Spinning Up, Spinning Centre ก่อนจะได้รับการประกันตัวออกมาสู้คดี ปัจจุบันหลังจากที่ได้รับการประกันตัวมีข่าวดังเรื่องทลายเครือข่ายพนันออนไลน์ ใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล

คำถามที่ทุกคนคงจะถามว่า เด็กสาววัยรุ่น อยู่ๆ ทำไมสามารถก้าวมาดำรงตำแหน่งเจ้าแม่เว็บพนันออนไลน์แห่งภาคอีสานได้ ? คำตอบคือ ตำรวจใกล้ชิดของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นสองพี่น้องหนุ่มหน้าตาดี คนหนึ่งชื่อเล่นชื่อ เปียก คือ พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย นักเรียนนายร้อยรุ่น 51 ผู้บังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี คนที่สองคือ พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย หรือชื่อเล่นชื่อ หนึ่ง นักเรียนนายร้อยรุ่น 52 รองผู้บังคับการสืบสวน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4

พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย และ พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย
ถ้าเราจะเข้าใจเรื่องนี้เราต้องมองย้อนไปในอดีต ในปี 2560-2561 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ตั้งชุดเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อจัดการกับหลายภารกิจ โดยหนึ่งในนั้นคือภารกิจในการปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจพนันออนไลน์ ต่อมา พ.ต.อ.ภาคภูมิ หรือ หนึ่ง ได้มีความสนิทสนมกับมินนี่ สมัยที่คุณภาคภูมิ ไปรับราชการที่จังหวัดเลย

วันพุธที่ 27 กันยายน 2566 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยผ่านรายการ "เจาะลึกทั่วไทย" ทางช่อง MCOT HD ถึงกรณีภาพ พ.ต.อ.ภาคภูมิ ดูสนิทสนมกับมินนี่ ผู้ต้องหาเว็บพนันออนไลน์ คุณสุรเชษฐ์ อ้างว่า พ.ต.อ.ภาคภูมิ รู้จักสนิทสนมกับมินนี่ในช่วงปี 2563 เท่าที่ถามจาก พ.ต.อ.ภาคภูมิ ตำรวจมือทำงานของตน โดยตนมีชื่อเสียงแบบนี้เพราะมีลูกน้องที่ดี ซึ่งทราบจาก พ.ต.อ.ภาคภูมิ ว่า เคยรับราชการเป็นผู้กำกับ สภ.เมืองเลย และแม่ของมินนี่ เป็น ส.จ. จังหวัดเลย ในช่วงนั้นตนโดนย้ายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปอยู่สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเท่าที่ทราบมา พ.ต.อ.ภาคภูมิ และมินนี่ ไปรู้จักกันตอนนั้น แต่จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งแค่ไหน ตนไม่ทราบ ซึ่งสังคมอาจจะมองได้จากภาพที่ปรากฏออกมา


ความสัมพันธ์ของ พ.ต.อ.ภาคภูมิ และมินนี่ ผมไม่รู้มาก่อน (นี่คือคำพูดของสุรเชษฐ์ หักพาล) พ.ต.อ.ภาคภูมิ อยู่ตำรวจเมืองเลย 2 ปี ผมโดนมาประจำสำนักนายกฯ 2 ปีเช่นกัน ต่อมา พ.ต.อ.ภาคภูมิ ได้ถูกย้ายขึ้นตำแหน่งรองผู้บังคับการสืบสวนภูธรภาค 4

อย่างไรก็ตาม ท่านผู้ชมต้องให้ความเป็นธรรมกับ พ.ต.อ.ภาคภูมิ ด้วย เพราะหลังจากที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกมาให้สัมภาษณ์ดังกล่าว พ.ต.อ.ภาคภูมิ ก็ออกมาปฏิเสธ ยอมรับว่าตัวเองรู้จักกับมินนี่ มีความใกล้ชิดกันจริง แต่ไม่ได้เจอกันบ่อย โดยรู้จักมินนี่ไม่นาน ช่วงไปเป็นผู้กำกับเมืองเลย ปลายปี 2563 แม่มินนี่เป็น ก.ตร. จังหวัดเลย ก่อนย้ายไปขอนแก่น ไม่ได้เจอกันประมาณสองปี แต่เพิ่งมาได้คบกันอีกครั้งเมื่อต้นปี ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันสามี-ภรรยา ท้าให้ตรวจสอบได้ โดยหลังเกิดเรื่องยังไม่ได้พูดคุยกับมินนี่

คุณภาคภูมิ บอกว่า "ที่ผ่านมาทำงานหนักจนไม่มีวันหยุด ไม่มีพฤติกรรมแบบนั้นหรอก และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเส้นเงินต่างๆ ที่พูดกันว่าถือบัญชีม้าของครรชิด และ พุฒิพงษ์ ผมไม่มี ชีวิตผมมีอยู่บัญชีเดียว สิ่งไหนที่ผมทำ ผมรับผิดชอบหมด แต่สิ่งไหนที่ผมไม่ได้ทำ ก็ต่อสู้ไปตามกระบววนการ พร้อมขอโทษลูก, ภรรยา ผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ"


ท่านผู้ชมครับ ถ้าผมจะเปรียบเทียบบทบาทของน้องมินนี่ วันนี้ ที่ผมเห็นในภาพ มันช่างคล้ายกับบทบาทของ อั้ม-ภูริพัฒน์ กับ แยม-ธมลพรรณ์ สองสามี-ภรรยา เจ้าของเว็บพนัน และเว็บลามก ที่ถูกจับกุมเมื่อปลายปีที่แล้ว คือในปี 2565 ถูกจับกุมและยึดทรัพย์ไปเจ็ดร้อยกว่าล้านบาท โดยอั้ม ภูริพัฒน์ ประเสริฐวิทย์ กับ แยม-ธมลพรรณ์ ภานุชิตพุทธิวงศ์ เปรียบเสมือนเป็นหน้าเสื่อ เป็นขาใหญ่ ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่คอยควบคุมดูแลปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์สายหนึ่ง คือ ตำรวจไซเบอร์ กระทรวงไอซีที กับผู้ใหญ่ในสำนักงาน ปปง.

ส่วนมินนี่ ก็เป็นหน้าเสื่อที่ดูแลต่อสายเว็บพนัน และแก๊งอาชญากรรมออนไลน์ ที่ดูแล เว็บ สายเว็บในภาคอีสาน ก่อนจะมาเจอหน้ากัน มินนี่ มีบทบาทเป็นหน้าเสื่อ คอยเคลียร์ส่วยให้กับตำรวจภาค 4 อยู่ก่อนแล้ว พ.ต.อ.ภาคภูมิ เมื่อได้รู้จักกับสาวสวยเจ้าของเว็บพนัน ก็เลยเกิดการสานสัมพันธ์กัน และมินนี่เองอยากจะยกระดับจากการเป็นเจ้าของเว็บพนันมาเป็นหน้าเสื่อขาใหญ่ที่คอยเคลียร์ผู้ใหญ่ให้สามารถทำธุรกิจพนันออนไลน์ได้อย่างสะดวกโยธิน

มินนี่ เป็นคนคล่องแคล่ว ปฏิภาณไหวพริบสูงในการเอาอกเอาใจ ดูแลหลังบ้านผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ขาดตกบกพร่อง


สาวมินนี่เลยใช้เวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ในช่วงโควิดระบาด ผลักดันตัวเองขึ้นมาเป็นหน้าเสื่อระดับขาใหญ่ของภาค ทำหน้าที่เก็บเงินจากเว็บพนันตำรวจ เอามาส่งส่วยให้กับตำรวจ เธอเลยกลายเป็นเจ้าแม่ที่มีเว็บเครือข่ายเป็นพนัออนไลน์จำนวนมากในมือ กลายเป็นเจ้าแม่อายุน้อยร้อยเว็บ ยังมีเว็บพวกที่ไม่มีเส้น ต้องพึ่งบารมีสาวน้อยที่มีอายุเพียงแค่วัยเบญจเพสเท่านั้น

ทั้งนี้และทั้งนั้น เป็นที่รู้กันว่าตำรวจภูธรภาค 4 อย่างจังหวัดเลย จังหวัดขอนแก่น ต้องเรียกว่าเป็นศูนย์กลางการทำเว็บพนันออนไลน์ภาคอีสาน เลยรวยกันอู้ฟู่ ทั้งเว็บ ทั้งตำรวจ ยิ่งในช่วงที่มีการกวาดล้างจับกุมเจ้าของเว็บพนันขนานใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2565-2566 หลายคน ไม่ว่าจะเป็นแก๊งมาเก๊า 888 เมฆ รามา สามีดาราสาว หยาดทิพย์ ราชปาล รวมทั้งรายอื่นๆ กิจการเว็บพนันต่างๆ ถึงคราวสะดุด เพราะโดนกวาดล้างหนัก

ส่วนมินนี่ จัดการเคลียร์จนหนทางสะดวก เพียงแต่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเท่านั้น จากเดิมเว็บพนันไซส์ S ต้องส่งส่วยตำรวจเดือนละ 5 แสนบาท แต่ช่วงการกวาดล้าง มินนี่ จัดการเรียกเก็บเครือข่ายละ 1.5 ล้านบาทต่อเดือน เว็บเหล่านั้นต้องควักจ่ายเพื่อให้สามารถทำธุรกิจได้สะดวก จากนั้น มินนี่ ก็เอาเงินไปส่งให้นายตำรวจใหญ่ ทำให้กิจการสีเทาใต้ปีกของเธอกลับมาคึกคัก เติบโตตามเดิม โดยเข้าไปรับหน้าเสื่อโยงกับ ตาล ลำพูน และเบสท์ Betflix รายได้ทั้งสองคนและเงินหมุนเวียน มินนี่ จะมาจากสองทาง หนึ่ง เงินหมุนเวียนในเครือข่ายเว็บพนันอย่าง Betflix หรือ SPINIX ประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อเดือน โดยเป็นเงินที่หมุนเข้าและหมุนออก สอง เงินส่วยที่ตนเองได้จากการเป็นหน้าเสื่อรับเคลียร์เว็บพนันต่างๆ ประมาณ 10-15 สาย แต่ละสายก็มีอยู่หลายเว็บ คิดเป็นรายได้หลายสิบล้าน ถึงร้อยล้านต่อเดือน นอกจากส่งส่วยให้ตำรวจใหญ่แล้ว ยังไม่ต้องมีรายจ่ายใดๆ เพิ่มเติมอีกด้วย เพราะทำตัวเป็นขาใหญ่คอยเคลียร์ตำรวจให้


มีข้อมูลเชิงลึกบอกว่า มินนี่ มักจะเดินทางไปประเทศสิงคโปร์เป็นประจำ เพราะที่นั่นมีกาสิโนถูกกฎหมาย สามารถใช้ฟอกเงินได้ อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังในรายการมาก่อนหลายครั้งแล้วว่า การจ่ายเงินจ่ายทองหลายครั้งทำกันที่บ่อนการพนันที่ประเทศสิงคโปร์

อย่างไรก็ตาม การที่เครือข่ายของมินนี่ ถูกจับและสอบเส้นทางการเงินได้นั้น เพราะมีเครือข่ายของเธอชะล่าใจ เนื่องจากว่าไม่ได้มีการปรับวิธีการทำธุรกรรมโดยใช้เงินคริปโตฯ เหมือนเครือข่ายการพนันออนไลน์อื่นๆ ที่เลิกใช้เงินสด เงินโอน หรือบัญชีม้า ในการทำธุรกรรมไปแล้ว แต่ยังคงใช้เงินสดและบัญชีธนาคารต่างๆ ในการทำธุรกรรมอยู่

ท่านผู้ชมครับ ว่ากันว่าจากการจับกุมปลายเดือนกรกฎาคม 2566 และการตรวจสอบทรัพย์สินมินนี่ ในคราวนั้น พบว่าเธอมีทรัพย์สินร่ำรวยในระดับพันล้านไปเรียบร้อยแล้ว เงินระดับพันล้านนี้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าแม่เว็บพนันวัยเบญจเพสเท่านั้น นี่ไม่ใช่เงินหมุนเวียนของธุรกิจการพนันแต่อย่างใด แสดงว่าเงินพันล้านที่เธอมีอยู่นั้น เป็นเงินที่เธอได้มาจากการสะสมในการที่เป็นหน้าเสื่อ ขาใหญ่ เคลียร์ปัญหาเรื่องตำรวจกับเจ้าของเว็บพนัน โดยเธอทำตัวเป็นคนที่รับค่าต๋งทุกเดือน ที่ทุกเว็บในทุกๆ สาย ซึ่งมี 15 สาย ต้องส่งให้เธอเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้รอดพ้นจากการกวาดล้างจับกุม

ดับแสง "โจ๊ก อัคนี"


ท่านผู้ชมครับ นี่คือเรื่องราวคร่าวๆ ผมมีเรื่องที่จะพูดหน่อย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานี้ มันทำให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เกิดอารมณ์ขึ้นมา ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว จริงๆ แล้วคดีนี้เป็นคดี ... พูดไปตามเนื้อหาคดีแล้ว ไม่ใช่คดีหนักหนาสาหัสสากรรจ์อะไร เป็นเรื่องเว็บพนัน แต่ปัญหาที่เป็นที่น่าสังเกตหลายอย่างก็คือว่า ในขณะซึ่งเว็บมาเก๊า 888 หรือนายภูมิพัฒน์ หรือคนที่ทำแบบมินนี่ เมื่อถูกจับตัวแล้ว ศาลไม่ให้ประกันตัว แต่ปรากฏว่าคนที่ถูกจับตัวครั้งนี้ เมื่อถูกส่งไปที่ศาลแล้ว ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคัดค้าน ศาลก็ยังให้ประกันตัวไปเหมือนเดิม นี่จะแปลว่าอะไร ท่านผู้ชมคิดเอาเองก็แล้วกันว่า บางครั้งเครือข่ายต่างๆ ของมินนี่ อาจจะมีเครือข่ายที่มีอำนาจมากพอสมควร แต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง


ช่วงที่มีเกิดเหตุขึ้นมานั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งผมเคยเตือนท่านแล้ว เรื่องนี้ถ้าท่านผู้ชมจำได้ ผมเคยเตือน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่าให้ใจเย็นๆ อย่าล้ำเส้น สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นนักสู้ คนโบราณเขาเรียกว่า พอประดาบ เลือดก็เดือดเลย ลุยเต็มที่ ไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม แล้วระหว่างที่คุณสุรเชษฐ์ ออกมาตอบโต้นั้น ความที่ตัวเองลนและโกรธ คล้ายๆ ว่ามาหักหน้ากัน ตัวเองก็บอกว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้อง ตอนที่้ตำรวจเข้าไปนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็บอกว่า นี่บ้านผม แต่ในข้อเท็จจริงกลายเป็นบ้านเสี่ยแต๋ม จากอุดรฯ แล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็อ้างว่าบ้านญาติ เช่าอยู่ บอกว่าเคยให้ข้อมูล ป.ป.ช. ไปแล้ว

เรื่องบ้าน 5 หลังนั้น ตอนโดนบุกค้น บิ๊กโจ๊ก บอกว่าซื้อบ้าน 5 หลัง ให้ลูกน้องมาอยู่รวมๆ กัน แต่ตอนหลัง บิ๊กโจ๊ก แก้ข่าวว่าบ้าน 5 หลัง เป็นของญาติที่เป็นคนสงขลาด้วยกัน ให้อยู่ได้ฟรีๆ


ต่อมา วันอังคารที่ 26 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้ข่าวใหม่ บอกว่าบ้าน 5 หลัง เป็นบ้านที่เช่า จ่ายค่าเช่าเดือนละ 5 หมื่นบาท แล้วยอมรับว่าเจ้าของบ้านคือ เสี่ยแต๋ม อุดรฯ นายชินรัตน์ วัฒนกูล นักธุรกิจขนส่งรายใหญ่แห่งอุดรธานี พร้อมอ้างเหตุที่เสี่ยแต๋มคิดค่าเช่าไม่แพงเพราะเป็นญาติกัน โดยจ่ายค่าเช่า 2 หลัง อีก 3 หลัง ไม่มีคนอยู่ เสี่ยแต๋ม เลยฝากให้ บิ๊กโจ๊ก ดูแล แต่เหมือนกับว่า เสี่ยแต๋ม ไม่ได้อ่านไลน์กลุ่ม พอมีนักข่าวโทรศัพท์ไปสอบถามเรื่องบ้านเจ้าปัญหา เสี่ยแต๋ม บอกว่าเขาไม่ได้เป็นญาติโกโหติกาอะไรกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แต่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่าเป็นญาติกัน

การที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตั้งหลักต่อสู้ว่าเป็นบ้านเช่า ไม่ใช่บ้านฟรี ความตึงเครียดก็ต้องไปตกอยู่กับ เสี่ยแต๋ม เขาต้องถูกพนักงานสอบสวนสอบปากคำ และต้องมีหลักฐานมายืนยันให้ตรงกับสิ่งที่ บิ๊กโจ๊ก พูด แต่การที่ บิ๊กโจ๊ก ต่อสู้ว่าบ้านเช่า 5 หลังมาจากเสี่ยแต๋ม อาจจะเป็นเพราะแก้ตัวแบบเมาหมัด ซึ่งต้องยอมรับว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เมาหมัดมาก ตอนนั้น

ความเมาหมัดของ บิ๊กโจ๊ก อ้างว่าส่วนกลางของหมู่บ้านจำนวน 140,000 บาท ที่ เสี่ยแต๋ม ออกให้นั้น อาจเท่ากับ บิ๊กโจ๊ก ได้รับของขวัญเกิน 3,000 บาท ตามประกาศของ ป.ป.ช. โดยใครฝ่าฝืนมีโทษจำคุกถึง 3 ปี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล คงไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นได้ทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. ไปแล้ว นี่ก็เป็นอีกคดีหนึ่งที่ถ้าหากดำเนินคดีไป ก็ต้องไปสู้กัน แต่หลักฐานที่พูดออกมาแล้ว หลักฐานพิสูจน์ชัด จะเห็นได้ชัดว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้นได้รับของขวัญมากกว่า 3 พันบาท ก็ต้องไปสู้กันในชั้นศาล


ตอนนี้ ในขณะนี้ ทนายความที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ใช้ ก็ออกมาตอบโต้ว่าศาลออกหมายค้นไม่ถูกต้อง คือพูดง่ายๆ ว่า หมายศาลต้องมีระบุชื่อ ตำแหน่ง แต่ในข้อเท็จจริงแล้วการออกหมายจับ/หมายค้นนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขอศาลออกหมายจับ/หมายค้นนั้น เช็กชื่อจากทะเบียนราษฎร์ แล้วในทะเบียนราษฎร์นั้นไม่มีการระบุตำแหน่งแห่งที่ ไม่มีการระบุยศ จะเป็นพลตำรวจเอก หรือจอมพล ยศก็แค่ "นาย" แค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงตามกฎหมาย การออกมายค้น เจ้าหน้าที่ต้องยึดตามข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ต้องใช้คำว่า "นาย" อย่างเดียว

เพราะฉะนั้นแล้ว คดี มินนี่ ที่ต้องขึ้นศาลเดียวกัน อุปมาอุปไมยเหมือนตำรวจไปเล่นไฮโลกับชาวบ้าน ก็ต้องขึ้นศาลอาญาธรรมดา ทนายของบิ๊กโจ๊ก บอกว่า ต้องไปขึ้นศาลอาญาคดีทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งไม่ใช่ เพราะนี่เป็นคดีอาญาธรรมดา และมีการไปแจ้งความที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ และผู้กำกับ สน.ทุ่งมหาเมฆ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น การที่ทนายของบิ๊กโจ๊ก ก็คือนายอนันต์ชัย อ้างบอกว่าต้องไปขึ้นศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบนั้น ไมน่าจะถูกต้อง


ท่านผู้ชมครับ มีการพบชื่อผู้ต้องหาค้ายาเสพติดเครือข่ายมินนี่ เป็นคนจ่ายค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ให้กับบ้าน 5 หลัง ท่าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่าไม่รู้จัก มินนี่ โบ้ยบอกว่าลูกน้องใช้บัญชีม้าทำไม มีหลักฐานการจ่ายค่าไฟจากบัญชีม้าของเครือข่ายมินนี่ ที่เป็นผู้ต้องหาค้ายาเสพติด เจ้าของบัญชีม้าคือ นายครรชิต สองสมาน เคยต้องโทษคดีค้ายาเสพติด และก็เป็นคนจ่ายค่าไฟทั้ง 5 หลังให้


คุณสุรเชษฐ์ บอกว่าเส้นทางการเงินทั้งหมดไม่ได้มาที่ตัวเอง เป็นเรื่องลูกน้อง ตัวเองไม่รู้จัก มินนี่ ลูกน้องรู้จัก ส่วนประเด็นเรื่องลูกน้องเดี๋ยวจะต้องไปถามดูว่าติดพนันหรือเปล่า เล่นเว็บพนันหรือไม่ ใช้บัญชีม้าเพราะอะไร

ท่านผู้ชมครับ ผมไม่ลงรายละเอียดก็แล้วกัน แต่สรุปง่ายๆ แล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล พลาดตั้งแต่ตอนแรก คือจริงๆ ถ้าตำรวจมาค้น ต้องระงับความโกรธ เพราะตัวเองรู้อยู่แล้วว่าค้นอย่างไรก็ไม่เจออะไร ต้องรู้จักนิ่งให้เป็น เพราะตัวเองเป็นถึงรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้องรู้อยู่แล้วว่าคดีนี้มันคดีขี้หมา แต่ที่สำคัญมากกว่าขี้หมา อาจจะเป็นขี้ช้างก็ได้ คือเส้นทางการเงินมันจะโยงถึงใคร เท่านั้นเอง ผมว่าสิ่งที่คุณสุรเชษฐ์ หักพาล น่าจะกังวลคือเรื่องเส้นทางการเงินมากกว่า แต่มาถกเถียงกันเรื่องบ้าๆ บอๆ แบบนี้ แสดงว่าคุณสุรเชษฐ์ อาการหลุด ไม่มีทรงเลยแม้แต่นิดเดียว และจริงๆ แล้วเรื่องทั้งหมดนี้มันจะจบลงด้วยคำพูดที่ง่ายที่สุดสำหรับคุณสุรเชษฐ์ หักพาล คำพูดนั้นคนที่มีสติแล้วก็คิดเป็น ไม่เอาอารมณ์เข้ามาตั้ง คือคำพูดที่บอกว่า "ไม่เป็นไรครับ ผมมั่นใจในความบริสุทธิ์ของผม และผมเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และผมมมั่นใจว่าผมไม่ผิด เชิญตามสบาย จะทำอะไรก็ทำไป" ตรงนั้นต่างหาก ท่านผู้ชม


แต่อาการของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้น ซึ่งผมเคยเตือนไปแล้วหลายครั้ง เนื่องจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นคนที่ใช้โซเชียลมีเดีย ใช้ผู้สื่อข่าว ใช้เครือข่ายนักข่าว ซึ่งตนเองมีส่วนผูกพัน ให้การสนับสนุนมาตลอด ก็เลยคิดว่าการที่มีโซเชียลมีเดีย หรือว่ามีสื่อมวลชนหลายคน ที่ตอนหลัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ยอมรับว่าได้เคยให้เงินเป็นค่าใช้จ่ายสื่อมวลชนรายละ 1 หมื่นบาท ให้แม้กระทั่งคนที่ชื่อ "เค" ท่านผู้ชมรู้จักไหมว่าคนที่ "เค" คือใคร ? คนที่ "เค" คือคนที่อยู่ติดตัวคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มิหนำซ้ำ ทนายอนันต์ชัย ก็เป็นทนายความของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์


อาการแบบนี้พิสูจน์ให้เห็นได้ชัดว่า ความผูกพันกันระหว่างคุณชูวิทย์ กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล นั้น มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันอย่างมาก มากถึงมากที่สุด เพราะ "นายเค" ก็เป็นคนซึ่งอยู่ ... "นายเค" เคยทำงานอยู่กับผม ASTV ตอนนี้ไม่มีสังกัด แต่ว่าไปอยู่ข้างๆ ตัวชูวิทย์ "นายเค" เป็นคนที่เป็นหน้าเสื่อ คอยเคลียร์เรื่อง "นายโน้ต" นักข่าวของผมที่ไปถามคุณชูวิทย์ ตอนนั้น แล้วคุณชูวิทย์ ก็ไปอาละวาด เรียกนายโน้ต เข้าไปในห้องประชุมเพื่อขอดูหลักฐาน แล้วตอนหลังอีกวันหนึ่ง พอไปประชุมแล้วแถลงข่าว พอนายโน้ต จะตั้งคำถาม คุณชูวิทย์ ก็ไล่นายโน้ต ออกจากห้อง เพราะฉะนั้น เป็นไปได้เลย อนุมานได้ทันทีว่า "นายเค" ซึ่งเป็นคนของคุณชูวิทย์ นั้น จะมาช่วย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ ก็หมายความว่าคุณชูวิทย์ ต้องส่ง "นายเค" เข้ามา ก็เลยอนุมานได้ทันทีว่า ทั้งคุณชูวิทย์ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้น รู้จักสนิทสนมกันดีอย่างมาก มิหนำซ้ำในงานศพบิดาของคุณสุรเชษฐ์ หักพาล นั้น คุณชูวิทย์ ก็ไปอยู่ทุกวัน ไม่ขาดเลยแม้แต่วันเดียว แม้กระทั่งวันเผา


ส่วนลูกน้องนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม ถ้า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีสติ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ตอบแค่คำเดียว "ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าลูกน้องผมเขาไปทำอะไร ตามสบายเลยครับ ถ้าเขาผิดก็ว่าไปตามผิด" แต่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ออกมายืนยันโน่นยืนยันนี่ แล้วก็เรื่องบ้าน ... จริงๆ แล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะจบเรื่องนี้ลงได้สวยก็คือ "ผมไม่มีความเห็นอะไรทั้งสิ้น เพราะผมไม่ผิด ผมไม่ต้องการที่จะโต้เถียงอะไรทั้งสิ้น ถ้ามีหลักฐาน ว่าไปตามหลักฐาน แต่การที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกมาอ้างว่าบ้านนี้ไม่ใช่บ้านของผม และเปลี่ยนมาเป็นบ้านของคนอื่น เปลี่ยนเป็นบ้านเสี่ยแต๋ม เป็นญาติผม แล้วเสี่ยแต๋ม ก็บอกว่าเสี่ยแต๋มไม่ได้รู้จัก ไม่ได้เป็นญาติอะไรกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งจริงๆ แล้วบ้านที่ไปอยู่นั้นไม่จำเป็นต้องบอกว่าเป็นบ้านของผม หรือบ้านของใคร ก็บอกไปตามตรงก็ได้ว่าเขาให้ผมอยู่บ้านนี้ เพราะว่าผมบางทีทำงานดึก ผมก็มาอยู่ที่นี่ ผมไม่อยากไปรบกวนภรรยาผมที่บ้าน เรื่องก็จบแค่นั้น


ส่วน พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย และ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ก็เหมือนกัน เมื่อเป็นลูกน้องคนสนิทแล้ว ก็ปล่อยเขาไปสิครับ ก็บอกว่าผมไม่รู้จักเขา เพราะฉะนั้นแล้ว การที่ออกมาแก้ตัวเรื่องราวต่างๆ และการแก้ตัวในขณะซึ่งจิตใจสับสน เมื่อจิตใจสับสนแล้ว คำพูดออกมาก็เลยไม่ซ้ำกัน ไม่เหมือนกันเลย ไม่เหมือนกับที่คุณสุรเชษฐ์ เคยพูดว่า "ความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว" นี่ไม่ใช่ล่ะ ถึงแม้ผมจะไม่เรียกลิขสิทธิ์ในเรื่องการใช้คำว่า "ความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว" แต่ว่าคุณสุรเชษฐ์ พลาดอย่างแรง เพราะคุณสุรเชษฐ์ นั้นไม่ยอมแพ้ใคร พลาดมากว่าตัวเองมีเครือข่ายสื่อมวลชน สื่อมวลชนพวกนี้กำลังจะต้องช่วยตัวเองก่อน ให้พ้นจากวังวนนี้ แต่คุณสุรเชษฐ์ ก็ได้สร้างเวรสร้างกรรมให้กับสื่อมวลชนอีก จากการที่จะให้เงินให้ทอง บอกว่าให้กันคนละหมื่น ตอนนี้สมาคมนักข่าวก็เริ่มขยับตัวแล้ว จะสอบเรื่องจริยธรรม

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ และหลายๆ ฉบับ รวมทั้งช่อง 7 ก็เริ่มตั้งตรวจสอบแล้วว่าความจริงเป็นอย่างไร มีส่วนเกี่ยวข้องไหม

เป็นที่น่าสังเกตว่า คุณสุรเชษฐ์ หักพาล เวลาจะออกทีวีเพื่อชี้แจงเรื่องตัวเองนั้น คนที่ให้บริการอย่างเต็มที่สุดลิ่มทิ่มประตู ชื่อ นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์


นายดนัย เอา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มาออกถึง 3-4 วันติดๆ กัน แก้ข้อกล่าวหา ข้อต่างให้ ถ้า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฐ ให้เงินนักข่าวครั้งละหมื่น เป็นไปได้ไหมว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้เงินคุณดนัย เป็นก้อนใหญ่มโหฬาร อันนั้นผมไม่ยืนยันนะครับ อาจจะไม่ได้ให้เงินก็ได้ เพราะคุณดนัย มีความรักใคร่ชอบพอกับคุณสุรเชษฐ์ ก็เลยยินดีที่จะทำงานให้ แต่เป็นที่น่าผิดสังเกตมาก ธรรมดาแล้วรายการของคุณดนัย นั้น จะไม่มีการเอาเรื่องราวที่ไม่ใช่การเมืองหรือเบื้องหลังมาออก แต่หลายครั้ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปงานอะไรก็ตาม ไปเปิดอะไรก็ตาม คุณดนัย จะเอารูปนี้มาออกตลอดเวลา ว่าได้ไปเปิดงานนี้ งานโน้น ซึ่งผิดปกติธรรมชาติของเนื้อหาและวิธีการนำเสนอรายการของคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์

มีคนถามผมว่า คุณดนัย นั้นอยู่ในบัญชีรายชื่อที่คุณสุรเชษฐ์ ให้เพื่อช่วยเหลือหรือเปล่า ผมบอก ผมไม่ทราบ มีหรือไม่มี ผมไม่ทราบ เอาเป็นว่า คุณดนัย จะเฟเวอร์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อย่างมากๆ ในการแก้ข่าวต่างๆ

ท่านผู้ชมครับ เรื่องราวที่มันเกิดขึ้นนี้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตมโหฬาร แต่คุณสุรเชษฐ์ ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร เพราะคุณสุรเชษฐ์ เจ็บใจ หาว่างานนี้ตัวเองถูกกลั่นแกล้ง


ผมก็มีเกร็ดอยู่บางเกร็ดที่จะให้ท่านผู้ชมได้ดู คุณสุรเชษฐ์ อาจจะไม่รู้นะ แต่ผมเป็นคนถือเคล็ด ผมเอารูปคุณสุรเชษฐ์ ให้ดู ท่านผู้ชมสังเกตไหมว่ารูปนี้ background ด้านหลัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เวลาไปแถลงข่าว หน้าคุ้นๆ ไหม คนๆ นี้ชื่อ "วรัญชัย โชคชนะ" เจ้าเก่า

ท่านผู้ชมจำได้ไหม คุณวรัญชัย ไปยืนเป็น background ให้ใคร คนนั้นมักจะจบไม่ค่อยสวย ใครก็ตามที่มีแสง คุณวรัญชัย จะไปขอแสงด้วย ยืนด้วย พอคนที่มีแสงต้องการแสง เจอคุณวรัญชัย แสงดับวูบไปเลย ก่อนหน้านั้นเคยไปยืนเป็น background หาแสงอยู่ข้างหลังคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ช่วงที่คุณชูวิทย์ เดินหน้าแฉอยู่บ่อยๆ ตอนนี้ไม่รู้คุณชูวิทย์ อยู่ไหนแล้ว คุณวรัญชัย ก็เลยมายืนข้างหลังคุณสุรเชษฐ์ หักพาล ผมขอเตือนคุณสุรเชษฐ์ นิดนะครับ ให้ระวังคุณวรัญชัย โชคชนะ หน่อย


อีกเรื่องหนึ่งที่ผมไม่พูดไม่ได้ ผมจะเตือนคุณสุรเชษฐ์ หักพาล เอาไว้ ความที่คุณอาการออก ไม่มีทรงเลย ทำให้คุณพูดออกไปด้วยความคั่งแค้น เมื่อคุณพูดด้วยความคั่งแค้นแล้ว นัยของคำพูดคุณมันสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นมันค่อนข้างจะติดลบมาก คุณพูดว่าคุณไม่เอาคืน แต่คุณมีข้อมูลเอาถึงตาย คุณบอกว่า "ผมจะไม่เอาคืน แต่มีข้อมูลอยู่มาก ถ้าเปิดเผยเมื่อไรก็ตายกันหมดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ"


ทำไมคุณสุรเชษฐ์ ไม่เปิดเลยล่ะ ถ้าคุณมีข้อมูลเยอะว่าตำรวจใน สตช. หรือใครบางคนที่เป็นศัตรูคุณนั้นเขามีข้อมูลทำอะไรผิดพลาดเยอะ คุณเป็นเจ้าหน้าที่ คุณรู้ว่ามีข้อมูลคนนี้ทำความผิดพลาด คุณต้องดำเนินคดีเขาเช่นกัน การที่คุณไม่ทำแล้วคุณมาอ้างว่าคุณมีข้อมูลเยอะ นอกจากเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แล้ว จะถูกมองว่าคุณจะใช้ข้อมูลนี้เป็นการแบล็กเมลคน อันนี้ไม่ถูกต้อง คุณสุรเชษฐ์ เพราะคุณพูดมากจนเกินไป แทนที่คุณจะพูดเงียบๆ สงบ สุภาพ ว่าผมไม่มีอะไรตอนนี้ผมยืนยันในความบริสุทธิ์ของผม ผมไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย เชิญตามสบายครับ ผมพร้อมที่จะสู้คดีทุกเรื่อง เพราะผมไม่ผิด และผมยืนยันว่าผมไม่ผิดอย่างแน่นอน คุณพูดแค่นี้ก็จบแล้ว แต่คุณมาท้าทายว่าถ้าผมเปิดไปแล้ว ตายหมู่ที่ สตช. คนอีกด้านหนึ่งก็บอกว่านี่คุณกำลังแบล็กเมลใครหรือเปล่า ประชาชนก็บอกว่ารับไม่ได้ที่คุณพูดอย่างนี้ แสดงว่าคุณรู้ว่าตำรวจคนไหนชั่ว แล้วในเมื่อคุณเป็นไอดอลของประชาชน ทำไมคุณไม่ลงออกมา แล้วบอกว่าผมพร้อม ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ผมมีข้อมูลว่าตำรวจคนนี้เคยค้ายาเสพติด คนนี้เกี่ยวข้อง ผมมีหลักฐาน โน่นนี่นั่น เปิดสิครับ ผมอยากให้เปิดเลย อยากให้คนชั่วตายให้หมด คุณพูดไปเพราะอาการเมาหมัดหรือเปล่า คุณยิ่งพูดยิ่งดูแย่ ลูกน้องคุณเช่นกัน ลามไปจนถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมาคมนักข่าวก็นั่งกันไม่ติด


เพราะฉะนั้นแล้ว ข้อผิดพลาดของคุณ ผมพูดมาตั้งนานแล้ว ข้อผิดพลาดของคุณในเรื่องที่ผมเตือนคุณอย่าหิวแสง ตอนนั้นผมเตือนด้วยความหวังดี แต่คุณก็เข้าใจผมผิด หาว่าผมไปเล่นงานคุณ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งคุณหมายถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล คุณก็บอกว่าชั่วมากกว่าผมเยอะ อ้าว ตายล่ะ! คุณพูดอย่างนี้ผมก็ตายสิ แสดงว่าคุณไม่ได้อ่านประวัติผม ว่าผมเคยพูดถึงใครบ้าง แต่การที่คุณออกมาอาละวาดฟาดงวงฟาดงาจนกระทั่งวันนี้ผมเข้าใจว่าคุณเริ่มรู้ตัวแล้วว่าคุณพลาดไปเยอะ คุณบอกว่าคุณจะไม่พูดอีกแล้ว คุณไม่ควรจะพูดตั้งแต่วันแรกที่เขาไปค้นบ้านคุณแล้ว คุณต้องออกมาแล้วบอกว่า เรื่องนี้ผมไม่ผิด ถ้าคุณจะพูดสั้นๆ เติมหน่อย ผมมั่นใจว่าผมถูกกลั่นแกล้ง ก็จบแค่นั้นเอง แล้วความจริงที่มีหนึ่งเดียวจะปรากฏเมื่อผมสู้คดีต่อไป

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอกครับ ท่านผู้ชม ทั้งหมดนี้เรื่องคือ คุณสุรเชษฐ์ คุณเป็นคนที่เชื่อโหราศาสตร์มาก ผมรู้มาว่ามีหมอดูที่คุณเชื่อถือมาก บอกว่าถ้าคุณไม่ขึ้นเป็น ผบ.ตร. ปีนี้แล้ว ต้องรออีก 4 ปี ถึงจะมีโอกาส ความที่คุณอยากเป็น ผบ.ตร. มากทั้งๆ ที่คุณมีเวลาราชการเหลืออีก 8 ปี คุณต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีการดิสเครดิตใครก็ตามที่เป็นคู่แข่งคุณ และคู่แข่งของคุณก็มีอยู่คนเดียว ก็คือ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เพราะคุณเป็นอาวุโสลำดับสอง

ถ้าพูดถึงเรื่องอาวุโสแล้ว คุณเอา พ.ร.บ.ตำรวจ มาพูด และหลายคนมาพูด หลายคนไม่ว่าจะเป็นฝั่ง พล.ต.อ.รอย บอกว่าผิดระเบียบข้อบังคับ ถ้าไปอ่านกฎหมายดีๆ เขาบอกว่าเรื่องอาวุโสให้คำนึงเอาไว้ "คำนึง" ก็คือให้พิจารณาให้ละเอียดรอบคอบ ถ้าพิจารณาละเอียดรอบคอบแล้วไม่เอาอาวุโสมาใช้ ก็ไม่ผิดกฎหมาย แต่เขาเตือนสติว่า "คำนึง" กฎหมายไม่ได้เขียนว่า คนที่จะขึ้น ผบ.ตร. นั้นจะต้องมีอาวุโสเท่านั้นเอง ถ้าไม่อาวุโสเป็นไม่ได้ สู้อาวุโสอันดับแรกไม่ได้ กฎหมายไม่ได้เขียนอย่างนั้น ผมจะบอกให้รู้ นี่ผมไม่ได้พูดเข้าข้างใครนะ ผมไม่อยากให้หลงทาง คุณอาจจะฟ้องศาลปกครอง พล.ต.อ.รอย อาจจะฟ้องศาลปกครอง ก็ไม่เป็นไร ก็ว่ากันไป กว่าคดีความจะเดินหน้าไป หรือมีคำพิพากษาตัดสินอะไรก็ครบเวลา 1 ปี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ก็เกษียณอายุแล้ว พล.ต.อ.รอย ก็เกษียณอายุแล้ว


เท่าที่ผมทราบมามันมีเส้นทางการเงินอยู่ทั้งหมด 152 เส้นทาง แล้วในเส้นทางการเงินนั้นมันพาดพิงไปถึงหลายๆ คน รวมทั้งคนที่ใกล้ชิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ด้วย ผมเป็นห่วงคุณสุรเชษฐ์ ผมเป็นห่วง คุณกับผมรู้จักกันดี ถ้าคุณจำได้ ผมเคยเตือนคุณว่าอย่างไร ผมบอกว่า ขอประทานโทษ โจ๊ก คุณมีเวลาตั้ง 7-8 ปี อย่ารีบร้อน อย่ารีบร้อน และผมก็เตือนว่า ถ้าคุณได้ขึ้นโดยที่คุณมีเวลาอีก 7-8 ปี คนอื่นเขาขวางคุณแน่นอน เขาไม่ต้องให้คุณขึ้น คุณก็พยายามที่จะสร้างชื่อเสียงของคุณมา ให้ประชาชนเห็นว่าคุณเป็นไอดอล เป็นตำรวจน้ำดีที่พร้อมจะปราบตำรวจชั่ว แต่คุณมีข้อมูลที่คุณอ้างว่ามีข้อมูลเยอะของตำรวจชั่ว แต่คุณไม่ทำอะไรเลย ประชาชนที่เขาเห็นคุณเป็นไอดอลเขาก็ถาม เอ้า! ไหนบอกว่ามีข้อมูล จับสิ เอาเลย ผมให้กำลังใจ ถ้าคุณไม่จับแสดงว่าคุณจะแบล็กเมลเขาใช่ไหม นี่ไง คุณสุรเชษฐ์ ถ้าคุณจำได้ว่าผมเตือนคุณ ผมบอกว่าคุณมีตั้ง 7 ปี จริงๆ คุณขึ้นเป็นรอง ผบ.ตร. แล้วคุณหาทางวิ่งไปเป็นอธิบดีดีเอสไอ ยังจะดีเสียกว่า ผมเชื่อว่าคุณไปเชื่้อหมอดูคนนั้นมากจนเกินไป ว่าถ้าไม่ขึ้นภายในปีนี้ อีก 4 ปี ก็ไม่ได้ขึ้น ต้องรอปีที่ 5

ทั้งหมดทั้งนี้ทั้งนั้นผมไม่ได้โกรธเกลียดคุณ ผมก็ยังเตือนคุณด้วยความหวังดี แต่ผมเป็นคนที่เห็นคุณทำอะไรพลาด ผมจะเตือนคุณ โดยที่ผมเห็นใจคุณ และผมคิดว่าคุณน่าจะเป็นตำรวจที่ดีได้ถ้าคุณใจเย็น และถ้าคุณประพฤติปฏิบัติอย่างตำรวจน้ำดีเหมือนอย่างทุกๆ คน

ท่านผู้ชมครับ ตำรวจทุกคนในวันนี้ ที่ขึ้นไปเป็นระดับผู้ใหญ่ใน สตช. ไม่มีใครไม่รับเงิน ไม่มีใคร ไม่มีจริงๆ การรับเงินรับได้ 2 แบบ แบบแรกคือเป็นพระยืนเปิดบาตร คนเอามาให้ อีกแบบหนึ่งก็คือ ตั้งทีมนายพรานออกไปตามล่า คนจะตั้งคำถาม ถามว่า ถ้า มินนี่ เป็นขาใหญ่ที่คอยเคลียร์เงินเคลียร์ทองให้กับตำรวจ ส่งส่วยตำรวจทุกคน ส่งไปหมดเลย ทุกคนต้องจ่าย มินนี่ 1 ล้าน 1.5 ล้าน ต่อ 1 เว็บ ถ้า 100 เว็บ ก็เดือนละ 150 ล้านบาท แล้วเผอิญคุณมินนี่ ก็สนิทสนมกับตำรวจมือซ้าย-มือขวาของคุณสุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งคุณสุรเชษฐ์ อาจจะบอกว่าไม่รู้เรื่อง ซึ่งก็อาจจะไม่รู้เรื่องจริงๆ แต่คำถามคือ ประชาชนที่รับทราบเรื่องนี้มาเขาจะเชื่อหรือเปล่าว่าคุณไม่รู้เรื่องจริงๆ นี่ไง

สิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้ กลับกลายเป็นไม่ใช่เรื่องหลักฐานแล้ว กลายเป็นว่า ประชาชน ความเชื่อถือนั้นมีมากน้อยแค่ไหน ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Perception คือ เขาเชื่อว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ เขาเชื่อว่าคุณเป็นเจ้านายของคนที่สนิทสนมกับ มินนี่ และเขาเชื่อว่า มินนี่ เป็นขาใหญ่คอยเคลียร์ส่วย คอยเคลียร์เงินค่าเว็บพนัน เมื่อเขาเชื่ออย่างนี้แล้ว เขาก็ต้องอนุมานได้สิว่า แล้วคุณสุรเชษฐ์ เกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า นี่ไง เข้าใจไหมคุณสุรเชษฐ์ Perception ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณเรื่องนี้อีกแล้ว แต่ผมจะบอกอะไรให้อย่างนะ สมัยผมอยู่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา ผมเป็นเด็กประจำ ผมเกเรมาก อัสสัมชัญศรีราชา มีหลายแก๊ง หลายก๊ก ชกต่อยกันประจำ แต่ผมมีชื่ออยู่อย่างหนึ่ง ทุกคนบอกว่าอย่าไปยุ่งกับสนธิ - ทำไมล่ะ ? - ไอ้สนธินี่ แค่บอกว่ามึงมีอะไรกับกูรึเปล่า ยังไม่ทันพูดเลยว่าไปต่อยกันหลังห้องประชุมมั้ย ผมต่อยก่อนเลย คุณสุรเชษฐ์ ครับ ตอนนี้คุณโดนต่อยก่อนแล้ว จริงๆ แล้วถ้าคุณยังยึดหลักตรงไปตรงมา ถ้าคุณมีข้อมูลเกี่ยวกับศัตรูคู่อาฆาตของคุณ ถ้าคุณเล่นงานเขาไปก่อน แต่คุณต้องมีข้อมูลที่ดีนะ ถ้าคุณเล่นงานเขาไปก่อน คุณไม่อยู่ในสภาพแบบนี้หรอกวันนี้ พอคุณโดนเขาต่อยปั๊บ ทีนี้คุณเมาหมัดแล้ว กว่าคุณจะรู้ตัวก็ผ่านไป 2-3 วัน ถึงคุณจะรู้ตัว ถึงคุณบอกว่าตอนนี้ผมหยุดพูดแล้ว ไม่พูดแล้ว


ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้มีอยู่แค่นี้ ท่านผู้ชมคิดว่าตำรวจยังจะปฏิรูปกันได้หรือเปล่า ? ผมคิดว่าตำรวจต้องปฏิวัติ ปัญหาใหญ่ที่ผมขอฝาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล คุณมีเวลา 1 ปี คุณต้องทำงานให้เข้าตาประชาชน ผลประโยชน์ที่อาจจะเคยมีมาก่อน หรืออย่างไรก็ตาม ที่มาล่อใจ คุณต้องไม่รับอะไรทั้งสิ้น นั่นล่ะคือทางออกของคุณ แต่จะเป็น 1 ปี เพราะว่าจาก 1 ปีมา คุณสุรเชษฐ์ เขามีเครือข่ายสื่อมวลชนเต็มไปหมด และเขามีพรรคการเมือง พรรคก้าวไกล หนุนหลังเขาอยู่ เพราะฉะนั้นแล้ว รังสิมันต์ โรม ก็จะพูดในสภาฯ ก็จะเอาข้อมูลมาจากไหนผมไม่รู้ แต่ท่านผู้ชมคงจะเดาออกว่าเอามาจากไหน เอามาฟาดฟันคุณต่อศักดิ์ สุขวิมล เพราะฉะนั้นจะเป็น 1 ปี ที่ขมขื่นและทุกข์ทรมานของท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 14 ครับ

เตรียมรับมือวิกฤตน้ำมันขาดแคลน

ท่านผู้ชมครับ ในช่วงนี้ท่านนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน กำลังมีเรื่องปวดหัวเยอะแยะไปหมด อย่างน้อยที่สุดก็เรื่องของการโยกย้ายแต่งตั้งตำรวจ ซึ่งท่านผู้ชมคงจะรู้ไปแล้วว่าผลเป็นอย่างไรบ้าง ผมจะไม่พูดเรื่องนั้นก็แล้วกัน เรื่องนั้นค่อยแยกมาพูดอีกทีวันหลัง เบื้องหน้าเบื้องหลังมีอย่างไรบ้าง แต่ที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในขณะนี้ ผมคิดว่าท่านนายกฯ เศรษฐา และที่สำคัญคือท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จะต้องระมัดระวังตัวอย่างมากๆ เพราะถ้าเตรียมตัวไม่ดี พลาดนิดเดียว นั่นถือว่าเป็นการล่มสลายทางเศรษฐกิจของบ้านเรา ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูงครับ


ตอนนี้ปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลชุดนี้ก็รู้อยู่แก่ใจว่า ขณะนี้การลดราคาน้ำมันในครั้งนี้ ที่บอกว่ามีระยะเวลา 3 เดือนนั้น เป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้นเอง เพราะตอนนี้การลดราคาน้ำมัน ที่ลดกันอยู่ทุกวันนี้มันเป็นภาพลวงตา รัฐบาลลดน้ำมันโดยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการลดภาษีสรรพสามิต เอาเงินกองทุนน้ำมันมาโปะ ทั้งหมดนี้ก็คือการบรรเทาชั่วคราวเท่านั้นเอง และผมก็เชื่อว่าท่านนายกฯ เศรษฐา ท่านก็รู้เหมือนกันว่าเป็นการบรรเทาชั่วคราว การบรรเทาชั่วคราวก็ยังดีกว่าไม่ได้บรรเทา แต่ว่าสภาพตอนนี้ เมื่อลดภาษีสรรพสามิตแล้ว ก็ทำให้รัฐบาลขาดรายได้ อันนี้แน่นอนที่สุด กองทุนน้ำมันฯ เมื่อเอาเงินกองทุนน้ำมันฯ มา ก็อยู่ในสภาพที่ติดลบตลอดเวลา

ท่านผู้ชมรู้ไหมว่ากองทุนน้ำมันฯ ของเรา ณ วันนี้ สิ้นสุดวันที่ 24 กันยายน 2566 ติดลบอยู่ 64,400 ล้านบาท อีกไม่นานก็ทะลุถึง 1 แสนล้านบาท และในที่สุดรัฐบาลก็ต้องเอาเงินใส่เข้ามาให้อีก ผสมผสานกับรายได้ที่ขาดไปจากภาษีสรรพสามิตเรื่องน้ำมัน ตอนนี้พูดตรงๆ ก็คือว่าแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปชั่วคราวก่อน แต่ว่าที่เหมือนนรกจะเข้ามาเยือนก็คงจะเร็วๆ นี้ ไม่เกินสิ้นปีนี้เราจะได้เห็นเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น และผมมีเหตุผลสำคัญที่จะอธิบายให้ฟัง


ตอนนี้ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า สถานะกองทุนน้ำมันฯ ติดลบเพิ่มขึ้นถึงกว่าเดือนละ 16,000 ล้านบาท ตอนนี้ติดลบอยู่ 64,000 ถ้ายังติดลบอยู่เดือนละ 16,000 ไปอีก 3 เดือน + 64,000 ก็แสนล้านแล้ว

คือปัญหาน้ำมันในขณะนี้คนทั่วไปอาจจะไม่รู้ สื่อมวลชนอาจจะไม่สนใจ แต่คนอยู่ในแวดวงน้ำมัน หรือกระทรวงพลังงาน ขณะนี้นั่งขนหัวลุกกันทุกคน เพราะรู้ว่าเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในเรื่องของพลังงานกำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งผมสามารถจะใช้ได้ว่ากำลังจะเกิด 'Oli Shock' ที่รุนแรงมากที่สุดในรอบสิบปี ภายในช่วงสิ้นปีนี้

ทำไมผมถึงบอกว่าจะเกิดอาการ Oil shock ? เพราะเมื่อวันที่ 13 กันยายน วันเดียวกับที่มีการประชุม ครม.เศรษฐา นัดแรก องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ หรือ IEA รายงานว่า ในปี 2567 สินค้าคงคลังน้ำมันดิบจะลดลงอย่างมากๆ ทำให้ตลาดน้ำมันอาจจะเผชิญกับปัญหาขาดแคลนอุปทานที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ ในช่วงสิ้นปีนี้


ทั้งหมดนี้เนื่องจากการลดกำลังการผลิตโดยผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 1 คือ ซาอุดีอาระเบีย และรายที่ 3 คือ รัสเซีย ผมคาดว่าตลาดน้ำมันจะเผชิญการขาดแคลนตามที่ซาอุดีอาระเบีย และรัสเซียประกาศร่วมกันว่าจะลดกำลังการผลิต น่าจะขาดอยู่ประมาณ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะนี้ ช่วงครึ่งหลังของปี ขาดอยู่แล้ว หลังจากที่มอสโก และริยาด ประกาศแผนการจะขยายการลดการส่งออกและการผลิตในช่วงปี 2566

12 กันยายน 2566 องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือ โอเปก ระบุในรายงานอีกฉบับว่า เขาเชื่อว่าปริมาณการขาดแคลนอาจจะสูงถึง 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อกี้ที่ผมพูดไป 1.2 ล้าน แต่พวกโอเปกทั้งหลายบอกว่าอาจจะขาดแคลนถึง 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน อีกเกือบ 3 เท่า ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งตอนนี้เรากำลังก้าวไปสู่ไตรมาสที่ 4 แล้ว อีกไม่กี่วันก็จะถึงไตรมาสที่ 4 แล้ว ซึ่งถ้าผู้นำกลุ่มโอเปกพลัส คงการลดกำลังการผลิตเอาไว้ ก็จะต้องขาดแคลนอย่างแน่นอนที่สุด


เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัสเซียจะประกาศขยายเวลาลดการส่งออกน้ำมัน โดยสมัครใจอีก 3 แสนบาร์เรลต่อวัน การที่รัสเซียประกาศระงับการส่งออกน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินทั่วโลก เขาทำเพื่อรักษาเสถีรภาพภายในประเทศ แต่ยกเว้นยังสามารถส่งออกไปยัง 4 ประเทศสมาชิกสหภาพโซเวียต ได้แก่ เบลารุส คาซัคสถาน อาร์เมเนีย และ คีร์กิซสถาน


ท่านผู้ชมครับ ผมเคยพูดแล้วใช่ไหม อย่าเอาภูมิรัฐศาสตร์เข้ามาเป็นเงื่อนไขในการที่เราจะต้องถูกมัดมือชกสั่งน้ำมันจากบางประเทศได้ และสั่งน้ำมันจากรัสเซีย หรืออิหร่านไม่ได้ ตามนโยบายของตะวันตก ซึ่งนำโดยประเทศสหรัฐอเมริกา

ท่านผู้ชมครับ ขอนอกเรื่องนิด ท่านผู้ชมรู้ไหมครับวันนี้ยุโรปซื้อน้ำมันดิบของรัสเซีย แต่ใครเป็นคนขาย ท่านผู้ชมรู้ไหม ? อินเดียครับ เพราะอินเดียซื้อน้ำมันรัสเซียได้ส่วนลด 30 เปอร์เซ็นต์ ยุโรปก็วิ่งเข้าไปซื้อจากอินเดีย อินเดียก็โขกกำไรเข้าไปอีก จะว่าอินเดียฉลาด หรือโง่ ? เขาฉลาดครับ เพราะเขาทำเพื่อประเทศของเขา


คำถามคือ เราผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่สงครามยูเครนเกิดขึ้น แล้วมีการลงมติในสหประชาชาติ เราดันไปประณามรัสเซียเขา ซึ่งรัสเซียเขาเป็นมิตรกับเราอยู่แล้ว และเขาต้องการจะเป็นมิตรกับเราอย่างมาก แม้กระทั่งอิหร่าน ก็พยายามขายน้ำมันมาทางเรา แต่เราก็อ้างอยู่คำเดียวว่า ติดอยู่ที่อเมริกาห้ามซื้อน้ำมันจากอิหร่าน ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่าวิกฤตวันนี้มันพิสูจน์ได้ชัด เวลาเราเดือดร้อน ใครช่วยเหลือเรา เวลาเราเดือดร้อนเรื่องนี้ เรื่องน้ำมันที่เราซื้อถูก ซื้อตามที่เราต้องการไม่ได้ อเมริกาส่งน้ำมันขายให้เราราคาถูกไหม ? ก็ไม่ เหมือนอะไรรู้ไหมท่านผู้ชม ? ผมขอต่อเรื่องนิดหนึ่ง เหมือนการที่อเมริกาบอยคอต แซงก์ชัน ไมโครชิป เครื่องชิปคอมพิวเตอร์ ไมโครชิปของจีน และในที่สุดแล้ว สั่งให้ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตเครื่องมือทำชิป ที่เขาเรียกว่า ลิโธกราฟิก (Lithographic) ซึ่งครองตลาดโลกอยู่ ไม่ให้ส่งเครื่องมือทำชิปไปที่จีน จนในที่สุด วันนี้จีนผลิตเครื่องทำไมโครชิปได้ หรือเครื่องที่เขาเรียกว่า ลิโธกราฟิก บริษัทชิปในเนเธอร์แลนด์ ชื่อ ASML ก็ทำท่าจะเจ๊งเอาแล้ว เพราะจีนไม่สั่งซื้อข้าวของจากเนเธอร์แลนด์


ท่านผู้ชมครับ ความจริงมีหนึ่งเดียว คือเราต้องเอาประเทศเรารอดก่อน จะไปสนใจเสียงของชาวโลกได้อย่างไร ชาวโลกมีไม่กี่ประเทศคือทางตะวันตก ร้อยกว่าประเทศยืนข้างจีน ยืนข้างรัสเซีย ทำไมเราถึงงุมะงาหรายืนข้างฝรั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ไปได้ ผมยังยืนยันนะครับท่านผู้ชม ผมยืนยันมานานแล้ว และผมจะยืนยันต่อไป เวลาเราลำบาก สหรัฐอเมริกาไม่เคยคิดที่จะช่วยอะไรเราเลยแม้แต่นิดเดียว รวมทั้งอียู ยุโรปตะวันตก เรายังมีคนไทยอยู่เยอะพอสมควร และสื่อมวลชนไทยที่ยังโง่ๆ อยู่เยอะ ที่ไปเห็นความสำคัญของตะวันตกและอเมริกา

เอาล่ะครับ เรื่องน้ำมันนี้มีนักวิเคราะห์ออกมาแสดงความกังวลว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้การประเมินสถานการณ์น้ำมันโลกเป็นไปได้ยาก นักวิเคราะห์ยังเตือนว่า หลายประเทศอาจจะได้รับผลกระทบในการจัดหาเชื้อเพลิงให้ทันก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว อาจจะเกิดการขาดแคลนที่รุนแรงได้ในไตรมาสที่ 4

ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า อียูแซงก์ชันรัสเซีย แต่วันนี้ด้วยภาวการณ์ขาดแคลนน้ำมัน และต้องเตรียมน้ำมันสำหรับฤดูหนาว ทำให้บริษัทรัฐวิสาหกิจสั่งน้ำมันเข้าของเยอรมนีแหกโค้งเลย ไม่ฟังคำสั่งใครทั้งสิ้น เจรจากับรัสเซียโดยตรงแล้วว่าขอสั่งน้ำมันจากรัสเซียเข้ามาเลยได้ไหม ไม่สนใจการแซงก์ชัน เห็นหรือยังครับ


การห้ามส่งออกดังกล่าวของรัสเซียสอดคล้องกับที่รัสเซียประกาศจะไม่ให้ส่งออกน้ำมัน สอดคล้องกับซาอุดีอาระเบียที่ปฏิบัติตาม และขยายเวลา โดยลดการผลิตโดยสมัครใจ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จนถึงสิ้นปีนี้

นอกจากจะลดกำลังการผลิต และห้ามการส่งออกของประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันสำคัญของโลกระดับ Top 3 อย่างซาอุดีอาระเบีย และรัสเซียแล้ว หน่วยงานพลังงานของโลกยังเตือนว่า จากสาเหตุข้างต้นยังจะส่งผลให้สตอกน้ำมันดิบจะหมดลงอย่างรุนแรงภายในปี 2567 ก็คือว่าผลของการที่ลดการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล ซึ่งกลุ่มโอเปกเองบอกว่าอาจจะสูงถึง 3.3 ล้านบาร์เรล จะทำให้ปี 2567 นั้น จะทำให้สตอกน้ำมันดิบจะหาไม่ได้แล้ว ส่งผลให้ราคาน้ำมันตกอยู่ในสภาวะที่เขาเรียกว่าสภาวะตกตะลึง หรือว่า Oil shock นั่นเอง

ประเทศจีนนั้นไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น เพราะประเทศจีนเขาเซ็นสัญญาซื้อน้ำมันกับรัสเซียอย่างหนัก และเขาซื้อเพิ่มทุกวัน แล้วรัสเซียก็จะไม่บอยคอต ไม่แซงก์ชันจีน เพราะฉะนั้นจีนก็จะรอด แต่กลุ่มประเทศอาเซียนจะต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวกัน นี่ถ้าเรายังมีสายสัมพันธ์กับอิหร่าน สายสัมพันธ์กับรัสเซียอยู่อย่างดี ประเทศไทยเป็นประเทศที่ทั้งอิหร่าน และรัสเซียชอบมาก แสวงหาความเป็นมิตร แต่เรากลับไปทะลึ่งฟังฝรั่งกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และอียู ให้บอยคอตทั้งรัสเซีย และอิหร่าน

เอาล่ะ มาดูตัวเลขราคาน้ำมันนิดหนึ่ง วันศุกร์ที่แล้ว 22 กันยายน 2566 ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทั่วโลก ขึ้นถึง 93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส พุ่งทะลุ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้ว ราคาน้ำมันที่จะขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์ ภายในสิ้นปีนี้ หรือต้นปีหน้า อาจจะถึง 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นั้น มาอย่างแน่นอนที่สุด ค่าน้ำมันเบนซิน ค่าน้ำมันดีเซล ค่าแก๊ส ค่าไฟ ค่าอะไรหลายอย่างที่ต้องใช้พลังงานจะต้องขึ้นอย่างมากมายที่สุด มากมายหลากหลายเหลือเกิน


บริษัทที่วิเคราะห์เหตุการณ์ อย่างเช่น เจพี. มอร์แกน เชส และ อาร์บีซี แคปปิตอล มาร์เก็ต เขาคาดการณ์ว่า จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นมากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ปลายมิถุนายนที่ผ่านมา สามเดือนปรับตัวขึ้นมาแล้ว 25 เปอร์เซ็นต์ ท่ามกลางความต้องการเชื้อเพลิงทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น เขาวิเคราะห์ว่า อาจจะทำให้ราคาพุ่งขึ้นมาเหนือ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และพุ่งถึง 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ภายใน 3 ปี เสียด้วยซ้ำ

ท่านผู้ชมครับ ปัญหาราคาน้ำมันดังกล่าวจะเข้ากระทบ ซ้ำเติมเศรษฐกิจของไทยและโลก โดยเศรษฐกิจประเทศจีนเองก็ยังประสบปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่มีการก่อสร้างมากเกินความต้องการเป็นจำนวนมาก มิหนำซ้ำยังมีหนี้เสีย ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงอย่างมาก อาจจะต้องใช้เวลาสักพักในการแก้ไข ซึ่งจีนคงแก้ไขได้ แต่ต้องใช้เวลา

สอง การที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัว จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทางภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทย ซึ่งต้องพึ่งพาเศรษฐกิจจีนเป็นอย่างมาก ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว

สาม นอกจากนี้แล้ว การเลือกตั้ง การเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ทำให้การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลลดลง 4.3 เปอร์เซ็นต์ ต่อเนื่องจากการลดลง 6.3 เปอร์เซ็นต์ ในไตรมาสก่อนหน้านี้

ข้อที่สี่ ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ค่อนข้างจะย่ำแย่ และน่าจะขยายตัวต่ำกว่าการคาดการณ์ของแบงก์ชาติ หลังจากที่ไตรมาสที่สองของปีนี้ ไทยขยายตัวได้แค่ 1.8 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นเอง

ข้อที่ห้า ที่สำคัญการส่งออกในปีนี้จะติดลบ โดยตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว การส่งออกติดลบไปแล้ว -5.5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการท่องเที่ยวที่จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยลดลงมาก ด้วยเหตุนี้่รัฐบาลคุณเศรษฐา จึงต้องกระตุ้นการท่องเที่ยว ให้ฟรีวีซ่าจีน คาซัคสถาน เริ่มต้นตั้งแต่วันจันทร์ที่ 25 กันยายน ที่ผ่านมา


ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณเตือนทางเศรษฐกิจที่ผมอยากจะเล่าให้ท่านผู้ชมทุกท่านฟัง และต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดและเตรียมตัวไว้อย่างเนิ่นๆ นะครับ

เอเชียนเกมส์ที่หางโจว จีนโชว์ไฮเทค

ท่านผู้ชมครับ ผมกำลังจะพูดเรื่องเกี่ยวกับเอเชียนเกมส์ที่หางโจว อันนี้จะเป็นแพกเกจใหญ่ เพราะจบเอเชียนเกมส์ที่หางโจวแล้ว ผมจะอธิบายข้อถกเถียงกัน ที่คนเขาถกเถียงกันตลอดเวลาว่าอินเดียสามารถจะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและแซงจีนได้หรือไม่ ผมมีคำตอบให้ครับ


แต่ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความยินดีกับนักกีฬาไทยทุกท่านที่คว้าเหรียญ ทำชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ 2023 ครั้งที่ 19 ที่เมืองหางโจว ประเทศจีน ที่จัดขึ้น 23 กันยายน - 8 ตุลาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้องเทนนิส นักกีฬาเทควันโด้ ทำเอาผมหัวใจแทบจะวาย สุดยอดมาก เหรียญทองเทควันโด้ 2 เหรียญ จากน้องเทนนิส-พาณิภัคร วงศ์พัฒนกิจ และ น้องหยู-บัลลังก์ ทับทิมแดง วินด์เซิร์ฟหญิง 1 เหรียญ น้องดาว-ศิริพร แก้วดวงงาม เหรียญทองเรือใบ 2 เหรียญ จาก นพภัสสร ชุนบุญจันทร์ และ ม.ล.เวฆา ภานุพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ม,ล.เวฆา ภานุพันธ์ นั้นก็เป็นหลานแท้ๆ ของคุณวิโรจน์ นวลแข


สำหรับ ม.ล.เวฆา นั้น ผมเคยเล่าประวัติอย่างละเอียดให้ฟังแล้วว่า ม.ล.เวฆา เป็นนักกีฬาระดับโลกในเรื่องเรือใบไทย มีเสด็จปู่ เสด็จปู่ของท่านก็คือ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ที่คนไทยรู้จักกันในนามของพระองค์เจ้าพีระ นักแข่งรถฟอร์มูลาร์ วัน ของประเทศไทย ส่วนคุณตาของ ม.ล.เวฆา คือ คุณวิโรจน์ นวลแข อดีตศิษย์เก่าวชิราวุธ อดีตนักรักบี้ทีมชาติ ก็เคยเป็นนักกีฬาเรือใบทีมชาติด้วย เคยเข้าร่วมการแข่งขันและชนะหลายครั้ง ได้เหรียญทองในกีฬาซีเกมส์

เพราะฉะนั้น ความสำเร็จของ ม.ล.เวฆา เรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ

เป็นเกร็ดเล็กน้อยครับ ฟังดูให้ฮาๆ ก็แล้วกัน ผมมีข้อสังเกต ผมไม่ทราบว่าตอนนี้กัมพูชาได้กี่เหรียญแล้ว ถ้าเทียบกับผลงานมหกรรมซีเกมส์ ครั้งที่ 32 เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา กัมพูชาเป็นเจ้าภาพ กวาดเหรียญมาได้ถึง 81 เหรียญทอง 74 เหรียญเงิน 127 เหรียญทองแดง รวม 282 เหรียญ


แต่ผมก็คิดว่าถ้าอย่างนั้นฟอร์มนักกีฬากัมพูชาในเอเชียนเกมส์ครั้งนี้ควรจะแสดงออกให้ทัดเทียมกันหน่อย แต่ปรากฏว่าเท่าที่ผมเช็กดูโดยละเอียดแล้ว ไม่ติด 1 ใน 11 เลย เท่าที่เช็กอย่างละเอียดแล้ว ผมยังทราบมาว่า ไม่แน่ใจนะครับ แต่ผมคิดว่ากัมพูชายังไม่ได้รับเหรียญอะไรเลยแม้แต่เหรียญเดียว นี่ก็พิสูจน์ได้ชัดนะครับ กีฬา ถ้ากติกาเป็นธรรม กรรมการเป็นธรรม ผู้จัดมีจิตใจเป็นนักกีฬาแล้ว คนที่เคยได้เหรียญทองอย่างกัมพูชา ซึ่งได้มาจากการไม่ซื่อตรง ไม่ตรงไปตรงมา อาจจะเข้าถึงขั้นคดโกง เพื่อให้นักกีฬาประเทศตัวเองนั้นได้เหรียญทอง ในที่สุดก็ต้องเผยธาตุแท้ตัวเองว่าจริงๆ แล้วตัวเองไม่มีฝีมือเลยในเวทีที่ใหญ่กว่าซีเกมส์


ทีนี้ผมจะพูดถึงจีนในเรื่องเกมกีฬา เอเชียนเกมส์ที่หางโจว อย่างไร ? มหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 หางโจวเกมส์ ที่เมืองหางโจว ประเทศจีน ครั้งนี้ เป็นที่ฮือฮากันมาก พิธีเปิดยิ่งใหญ่มากๆ โชว์ความเป็นไฮเทคของจีนที่ไปไกลมากๆ พิธีเปิดครั้งนี้มีการใช้เทคโนโลยีสี แสง เสียง ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ทันสมัย สร้างความอลังการตระการตา สมกับเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างหางโจว แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่าทำไมต้องเป็นที่หางโจว ?


หางโจว มีทะเลสาบที่ชื่อ ซีหู หรือทะเลสาบตะวันตก เป็นเมืองเก่าแก่มาหลายราชวงศ์แล้ว ผมเคยไปหางโจวหลายครั้ง เดินรอบทะเลสาบก็มีความสุข นั่งเรือล่องทะเลสาบก็มีความสุข เป็นทะเลสาบที่ใช้คนขุดขึ้นมา และเป็นทะเลสาบที่ใหญ่มาก และที่จีนเลือกหางโจว เพราะหางโจว เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ความทันสมัย คือเป็นเมืองเก่าทางประวัติศาสตร์ และขณะเดียวกัน มีความทันสมัยอย่างสุดยอด และอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนที่สุด


หางโจว เป็นเมืองหลวงของมณฑลเจ้อเจียง เป็นเมืองเก่าแก่ 1 ใน 6 ของประเทศจีน เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ มีวัฒนธรรมที่ยาวนาน เป็นเมืองที่มีทัศนียภาพที่สวยสดงดงามเมืองหนึ่งของจีน

พื้นที่ของหางโจวส่วนใหญ่ถูกล้อมรอบด้วยเทือกเขา มีทะเลสาบซีหูเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ถ้าย้อนกลับไปสมัยราชวงศ์ฉิน หางโจว เป็นศูนย์กลางการค้า มีการขุดคลองเชื่อมระหว่างปักกิ่ง-หางโจว สำเร็จ ต่อมาหางโจวก็ได้กลายเป็นเมืองหลวงสมัยราชวงศ์ซ่ง หรือที่เขาเรียกว่าราชวงศ์ซ้อง

เกือบ 800 ปีก่อน ปี ค.ศ.1230 มาร์โคโปโล ได้เดินทางมาถึงเมืองหางโจว และได้ขนานนามเมืองนี้ว่า เป็นเมืองที่งดงามที่สุดในโลก ในเมืองหางโจว มีทะเลสาบซีหูที่เป็นต้นกำเนิดของบทกวี วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงมากมายอีกมากด้วย หนึ่งในนั้นคือเรื่อง "นางพญางูขาว"


2559 หางโจว ยังเป็นสถานที่จัดงานสำคัญ อย่างเช่น การประชุมผู้นำ G20 ด้วย

ส่วนในแง่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หางโจวถูกวางไว้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มีเป้าหมายในการเป็นฐานการผลิตเทคโนโลยีชั้นสูงของจีน หางโจว ได้รับฉายาว่าเป็น ซิลิคอน วัลเลย์ (Silicon Valley) ของจีน ซึ่งในเมืองจีนนั้นมีอยู่ 2 ที่ หางโจว อีกที่หนึ่งคือเซินเจิ้น เป็นซิลิคอน วัลเลย์ เช่นกัน เป็นพื้นที่ที่รวมความรู้อย่างมหาวิทยาลัยต่างๆ สถาบันวิจัย ศูนย์การทดลอง เอาไว้ด้วยกัน เพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนด้านเทคโนโลยี เป็นเมืองหลวงที่รวมบริษัทสตาร์ทอัพ และบริษัทเทคโนโลยี ไว้เยอะที่สุด อะไรบ้างล่ะ ? Alibaba, ANT GROUP, oppo โทรศัพท์มือถือ, GEELY ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และรถไฟฟ้าชั้นนำของจีน, HIK VISION ผู้ผลิตกล้องวงจรปิด มีการพัฒนาระบบ AI ปัญญาประดิษฐ์ ระบบไบโอเมทริกซ์ระดับโลก เป็นต้น


ท่านผู้ชมครับ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจแต่น้อยว่าทำไมจีนถึงเลือกจัดเอเชียนเกมส์เมืองหางโจว ผมมีข้อมูลที่จะเล่าให้ฟังตอนต่อๆ ไปว่าทำไมเอเชียนเกมส์ที่หางโจว ปีนี้ ถึงถือว่าเป็นอีเวนต์ใหญ่ และเป็นจุดเปลี่้ยนของเทคโนโลยีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของจีน


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า 15 ปีที่แล้ว ท่านผู้ชมยังเป็นหนุ่มอยู่ หรือท่านผู้ชมที่เพิ่งจะยี่สิบกว่า ฟังรายการอยู่ตอนนี้ ท่านผู้ชมคงไม่รู้ จำไม่ได้ ที่กรุงปักกิ่งเป็นเจ้าภาพการจัดกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ปักกิ่ง 2008 รวมทั้ง World Expo ที่เซี่ยงไฮ้ ปี 2010 ช่วงนั้นโอลิมปิก เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ก็จัดอย่างอลังการแล้วใช้เทคโนโลยีที่คนก็ยังฮือฮากันอยู่มากมายจนถึงทุกวันนี้


แต่พอมาเจอหางโจว พิสูจน์ได้ชัดว่า 15 ปีที่ผ่านมา จากโอลิมปิกครั้งแรกที่จัด มาถึงเอเชียนเกมส์ หางโจว ครั้งนี้ เทคโนโลยีจีนก้าวกระโดดไกลไปกว่าสมัยที่จัดโอลิมปิกเสียอีก พัฒนาการไปอีกขั้นหนึ่งอย่างมหาศาล เรื่องนี้เอาไว้ผมค่อยๆ แกะออกมาแล้วสัปดาห์ต่อๆ ไปผมจะเอามาเล่าให้ฟังครับ

อินเดียยากที่จะทัดเทียมจีน

ท่านผู้ชมครับ คราวนี้มาถึงเรื่องที่ผมพูดไปตอนต้นว่า ผมฟันธงลงไปได้ว่าทำไมอินเดียจึงไม่สามารถจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้เหมือนจีน ต้องขอประทานโทษกับพี่น้อง FC ที่เป็นคนอินเดียด้วยนะครับ สิ่งที่ผมพูด เดี่ยวผมจะอธิบายให้ฟังว่าเพราะอะไร

สัปดาห์ที่แล้วผมเดินทางไปทำธุระที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายมหาศาล ทางด้านเทคโนโลยีของจีน ตั้งแต่เดินทางเข้าประเทศเขา ที่ต้องใช้เทคโนโลยีในการสแกน ในการที่จะรู้ประวัติของคนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ความตั้งใจของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของจีน ซึ่งค่อนข้างจะละเอียดรอบคอบและจริงจังมากๆ กับการเช็กประวัติของนักเดินทางทุกคน

เทคโนโลยีในการใช้ในประเทศจีนนั้น ยิ่งกับหน่วยงานรัฐแล้ว ดูแล้วแทบจะไม่น่าเชื่อ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าท่านผู้ชมยังไม่เคยไปประเทศจีน หรือไปมาแล้วเมื่อนานมาแล้ว ให้กลับไปอีกที ท่านผู้ชมจะอึ้งไปหมด

ท่านผู้ชมหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบ หรือทราบแล้วแต่มีความสงสัยในหลายๆ เรื่องที่ยังหาคำตอบไม่ได้ เกี่ยวกับประเทศจีน และอินเดีย สองมหาอำนาจที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ทั้งคู่อยู่ในเอเชียทั้งสิ้น จีนอยู่ในเอเชียตะวันออก อินเดียอยู่ในเอเชียใต้


เดือนเมษายน 2566 หรือ 5 เดือนที่แล้ว มีรายงานข่าวของสหประชาชาติระบุว่า ปี 2566 ถือว่าเป็นปีแรกที่จำนวนประชากรอินเดียเพิ่มขึ้นแซงประชากรจีนไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา คือประชากรอินเดียพุ่งทะลุถึง 1,429 ล้านคน ส่วนประชากรจีนเริ่มชะลอตัวลง อยู่ที่ 1,426 ล้านคน จริงๆ แล้วก็เท่าเทียมกันล่ะตอนนี้ จากการซึ่งจีนเคยนำอินเดีย วันนี้ประชากรเท่ากันแล้ว

แต่ท่านผู้ชมครับ ถ้าเราทอดเวลาไปอีก 70-80 ปีข้างหน้า คือปี ค.ศ.2100 ซึ่งผมโชคดีที่ผมจะตายก่อน แนวโน้มประชากรอินเดียเพิ่มขึ้นและมากกว่าประชากรจีนในขณะนั้นถึง 1 เท่าตัวทีเดียว


และนี่เองเป็นปัจจัยที่มีคนมักจะนำสองประเทศมหาอำนาจมาเปรียบเทียบกัน จีน และอินเดีย เป็นประเทศที่มีอารยธรรมโบราณนับพันปี มีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม และมีการค้ามายาวนาน แต่ในศตวรรษที่ 20 การแข่งขันระหว่างทั้งสองได้ก้าวไปสู่ความแตกต่างอย่างมาก ความสัมพันธ์กึ่งมิตรกึ่งศัตรู คู่แข่งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่มีลักษณะที่ลึกซึ้งและซับซ้อน มีทั้งการร่วมมือกันและแข่งขันกัน


เมื่อประมาณสัก 30-40 ปีที่แล้ว ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 มีการมองโลกในแง่ดีว่าอินเดียจะแซงหน้าจีนในทางเศรษฐกิจ โดยอ้างว่าอินเดียเป็นประเทศประชาธิปไตย ขณะที่จีนปกครองด้วยระบบพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ความจริงในปัจจุบันแล้ว อินเดียยังตามหลังจีนอยู่อย่างมาก

ท่านผู้ชมครับ ถ้าเรามาดูขนาดของผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือ จีดีพี ของจีน ใหญ่กว่าอินเดียถึง 5.4 เท่า นอกจากนี้ สถิติของธนาคารโลกที่ชี้ให้เห็นว่าเมื่อ 60 ปีก่อน ผมอายุเพียง 15 ปีเอง อินเดียและจีนต่างมีผลผลิตมวลรวม (จีดีพี) ภายในประเทศต่อหัว ใกล้เคียงกันมาก อยู่ที่ราวๆ 82-89 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อคน โดยในเวลานั้นประเทศทั้งสองต่างมีประชากรจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชนบทและมีฐานะยากจน แต่อีกหลายปีถัดมา จากการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและเปิดประเทศ ทั้งการเปิดกว้างทางการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้จีนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว คือตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา จีนได้กลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ส่วนการเปลี่ยนแปลงของอินเดียนั้นเชื่องช้ากว่ามาก แม้ว่าตัวเลขจีดีพีต่อหัวของอินเดียจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว แต่เมื่อเทียบกับจีนแล้ว จีดีพีต่อหัวของอินเดียกลับเป็นแค่ 1 ใน 5 ของจีดีพีต่อหัวของจีนเท่านั้น


ตัวเลขจีดีพีต่อหัวในปี 2565 หรือปีที่แล้ว ของสองประเทศ มีดังนี้ ของจีน จีดีพีต่อหัวอยู่ที่ 12,598 ดอลลาร์ หรือราวๆ 450,000 บาท ส่วนอินเดียนั้น จีดีพีต่อหัวอยู่แค่ 2,389 หรือราวๆ แค่ 86,000 บาท

ท่านผู้ชมรู้ไหมครับ เบื้องหลังความสำเร็จของจีนที่เติบโตทางเศรษฐกิจจีนอย่างแข็งแกร่ง คือการนำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เอาคนเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนประเทศจีน ให้ความสำคัญกับทุนมนุษย์ หรือ Human Capital ส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับการศึกษา ได้รับการดูแลด้านสาธารณสุข และการมีส่วนร่วมทางสังคม และแรงงานของผู้หญิง ที่มีบทบาทสำคัญมาก ท่านผู้ชมครับ จีนเน้นทุนมนุษย์ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น มีการมีส่วนร่วมทางสังคม และบทบาทของแรงงานสตรี สำคัญมาก


ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าคะแนนดัชนีทุนมนุษย์ของจีนสูงกว่าอินเดีย และจีนสร้างผลผลิตที่ดีกว่า จีนมีมหาวิทยาลัยชั้นสูงที่สถานะแข็งแกร่งด้านวิจัย พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จีนเน้นการพัฒนาเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ แม้ว่าอินเดียจะมีประชากรมากที่สุดในโลก มีโครงสร้างประชากรหนุ่มสาวจำนวนสูง แต่คุณภาพแรงงานและโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาทุนของมนุษย์ อินเดียต่ำกว่ามาก

ทั้งหมดนี้บ่งชี้ให้เห็นว่าอนาคตการแข่งขันกับจีนในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อินเดียยังต้องผ่านอุปสรรคด้านทุนมนุษย์ (Human Capital) และโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าหลังกว่าจีน

คำถามที่น่าสนใจ ท่านผู้ชมครับ อะไรที่ทำให้อินเดียก้าวหน้าช้าลง ขณะที่จีนแซงหน้า และอะไรเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างรวดเร็วของจีนที่สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล คำตอบอยู่ที่ประธานาธิบดีจีน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ประกาศเป็นนโยบายและแนวทางที่เน้นให้ความสำคัญกับ "คน" ให้เป็นศูนย์กลางส่งเสริมให้คนเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนประเทศ โดยจีนลงทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพ และจีนให้ความเท่าเทียมกันทางเพศสูงกว่าอินเดียมากมายมหาศาล


นอกจากนี้แล้ว ในปี 2561 ห้าปีที่แล้ว โครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีนได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตคน มีอุตสาหกรรมที่เกิดใหม่สำคัญหลายอย่าง ได้แก่ เศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยีด้านคมนาคมขนส่ง เช่น รถไฟความเร็วสูง โดรนขนส่งสินค้า และรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

นอกจากนี้แล้ว ผลประกอบการด้านการลงทุนร่วมกับนานาชาติก็มีการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะโครงการ Belt and Road Initiative หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ชื่อย่อภาษาอังกฤษว่า BRI และปีนี้เป็นปีที่สิบที่ สี จิ้นผิง เป็นผู้นำ เขาได้บรรลุเป้าหมายนำพาประชากร 100 ล้านคน หลุดพ้นจากความยากจน


รวมทั้งการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน และมีการปรับโครงสร้างการบริหารงานของพรรคคอมมิวนิสต์ให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก

ผมเอารูปโดรนช่วยขนส่งส้มในสวนส้มที่อำเภอจือกุ่ย มณฑลหูเป่ย ที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง จีนขนส่งส้ม ในขณะที่เมืองไทยยังใช้คนเก็บส้มอยู่ ที่อำเภอฝาง


นอกจากนี้แล้ว ย้อนดูช่วงเวลาที่เศรษฐกิจจีนเจริญเติบโต โตมาปีละมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ แต่อินเดียไม่เคยเจริญเติบโตเลย ทั้งๆ ที่เดือนมีนาคม 2528 สามสิบแปดปีที่แล้ว หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลขณะนั้น ยกย่องนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอินเดีย ราจีฟ คานธี และนักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เขียนในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ว่า ในเวลานั้นอินเดียมีศักยภาพที่สร้างปัญหาทางเศรษฐกิจมากกว่าจีนมากขึ้น ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล ก็ผิดอีกแล้ว และผิดมาตลอด เพราะหนังสือพิมพ์ทางตะวันตกนั้นจะมีอคติกับจีน เนื่องจากว่าจีนไม่ได้มีระบอบประชาธิปไตยที่ตะวันตกส่งเสริมและเชิดชูกัน

จีน และอินเดีย เป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในโลก ต้นทศวรรษที่ 1980 ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในประวัติศาสตร์ เนื่องจากทั้งจีน และอินเดีย ริเริ่มการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ และเปิดเศรษฐกิจของตน ทั้งสองจุดประกายความคาดหวังของการปฏิวัติและปาฏิหาริย์

เรามาดูทุนมนุษย์ ความแตกต่างระหว่างจีน กับอินเดีย ความเท่าเทียมกันทางเพศ และวรรณะ เราต้องยอมรับว่าในขณะที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของจีน ที่มีรากฐานมั่นคงในแผนแห่งชาติด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ แต่อินเดียกลับล้มเหลวในแง่มุมสำคัญ คือการพัฒนาคน


ความแตกต่างเหล่านั้นมีรากฐานทางประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้ง รวมทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม

2524 ธนาคารโลกได้ตั้งข้อสังเกตเปรียบเทียบเกี่ยวกับอายุขัยระหว่างคนจีน กับอินเดีย คนจีนจะมีอายุขัยเฉลี่ย 64 ปี ขณะที่คนอินเดียอายุสั้นกว่า อยู่ที่ 51 ปี เพราะคนจีนเข้าถึงโภชนาการอาหารได้ดีกว่าคนอินเดีย คือพูดง่ายๆ ว่ามีอาหารกินมากกว่าอินเดีย

รัฐบาลอินเดียจัดงบประมาณดูแลสุขภาพอยู่ที่ 2 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพี ต่ำที่สุดในโลก ประมาณการว่ามากกว่า 1 ใน 3 ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี จะมีลักษณะภาวะแคระแกร็น ครึ่งหนึ่งของผู้หญิงในกลุ่มอายุ 15-49 ปี เป็นโรคโลหิตจาง ขณะที่ระบบสาธารณสุขของจีนใช้งบประมาณดูแลสุขภาพถ้วนหน้า และที่สำคัญคือการส่งเสริมพัฒนาสิทธิด้านการศึกษาของพลเมืองจีน รวมถึงผู้หญิง มีอัตราการศึกษาระดับประถมศึกษาสูงกว่าอินเดีย ซึ่งอินเดียยังมีทัศนคติเดิมที่ด้อยค่าสตรีอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ปัญหาความรุนแรงทางเพศต่อผู้หญิงอินเดีย เป็นประเทศที่มีเหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การลวนลามผู้หญิงในพื้นที่สาธารณะของผู้ชายเกิดขึ้นอยู่เสมอ


(รูป) มีการประท้วงปี 2563 หลังหญิงสาวอินเดียวรรณะจัณฑาลโดนชาย 2 คน รุมโทรมและทำร้ายบาดเจ็บสาหัสจนเสียชีวิตเป็นรายที่สอง ในช่วงระยะเวลาแค่ 2 สัปดาห์ หลังจากที่เหยื่อรายแรกเพิ่งเสียชีวิต เลยจุดชนวนการประท้วงขึ้นมาหลายเมือง

ถึงแม้สังคมอินเดียจะเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งให้สิทธิ ความเท่าเทียม และเสมอภาค แก่ประชาชน แต่ดูเหมือนว่าความจริงเป็นแค่ลายลักษณ์อักษรในตัวบทกฎหมายเท่านั้น แต่ยังคงไม่สามารถกระเทาะแก่นโครงสร้างทางสังคมโบราณของอินเดียได้ รายงานของธนาคารโลกเน้นย้ำถึงความก้าวหน้าที่โดดเด่นของจีนในด้านความเท่าเทียมกันทางเพศมาตั้งแต่สมัยยุคประธานเหมา เจ๋อตุง แล้ว ที่ให้ผู้หญิงเข้าถึงการศึกษา เพิ่มบทบาทสำคัญในแรงงานสตรี ส่งผลทำให้ผู้หญิงทำงานมากขึ้น รวมทั้งนโยบายลูกคนเดียวในยุคเติ้ง เสี่ยวผิง ที่บังคับใช้ในปี 2522-2559 สามสิบเจ็ดปี เพื่อควบคุมการเกิด ประชากรที่เพิ่มขึ้น ได้ส่งเสริมปรับปรุงการเลี้ยงดูเด็ก เพราะมีลูกเพียงคนเดียว ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


ในขณะเดียวกัน ได้มีการเปิดเสรีทางการตลาดที่มีบทบาทสำคัญในการเติบโต ทั้งจีน และอินเดีย อย่างปฏิเสธไม่ได้ จีนได้สร้างกลยุทธ์พัฒนาที่ประสบความสำเร็จบนรากฐาน 2 ประการ ของการพัฒนาทุนมนุษย์ และ ความเท่าเทียมทางเพศ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อินเดียล้าหลังอย่างเห็นได้ชัด

ดัชนีทุนมนุษย์ของธนาคารโลก หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Human Capital Index ประจำปี 2563 วัดผลลัพธ์ทางด้านการศึกษา สุขภาพของประเทศ ระดับ 0-1 อินเดียได้คะแนนแค่ 0.49 คะแนน ต่ำกว่าประเทศอย่างเช่นเนปาล และเคนยา แม้อินเดียจะร่ำรวยกว่าก็ตาม ในทางตรงกันข้าม จีนได้คะแนนสูงกว่ามาก ซึ่งทัดเทียมกับประเทศร่ำรวยอย่างสิงคโปร์ และญี่ปุ่น แม้ว่าอัตราการมีส่วนร่วมของแรงงานหญิงของจีนจะลดลงเหลือประมาณ 6.2 เปอร์เซ็นต์ จากประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2583 แต่อัตราส่วนของอินเดียกลับลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาเดียวกัน โดยลดลงจาก 32 เปอร์เซ็นต์ เหลือแค่ 25 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมือง นั่นคือการมีส่วนร่วมของแรงงานหญิง


ส่วนการผสมผสานรวมกันระหว่างการพัฒนาทุนมนุษย์ที่เหนือกว่า ความเท่าเทียมกันทางเพศที่มากขึ้น ทำให้จีนสามารถบรรลุการเติบโตของผลิตภาพโดยรวมที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำหน้าที่เป็นการวัดประสิทธิภาพในทรัพยากรที่ครอบคลุมที่สุด

ในปี 2496 หรือช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อ 80 ปีก่อน เศรษฐกิจทั้งสองประเทศ ทั้งจีน และอินเดีย มีผลิตภาพที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่พอมาช่วงทศวรรษที่ 1980 หรือช่วงปี 2530 เมื่อมีการปฏิรูปเศรษฐกิจ และจีนใช้นโยบาย 4 ทันสมัย ปรับปรุงความทันสมัยประเทศจีน ก็เพิ่มผลผลิตได้มากกว่าอินเดียถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ปัจจุบันผลผลิตของจีนสูงเกือบสองเท่าของอินเดีย

ยกตัวอย่างเรื่องวิทยาการทางด้านคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง อยู่อันดับที่ 9 ของโลก นอกจากนี้แล้ว ยังมีมหาวิทยา 9 แห่ง ที่อยู่ใน 50 อันดับแรกของโลกในด้านคณิตศาสตร์ ในทางตรงกันข้าม ไม่มีมหาวิทยาลัยใดในอินเดีย รวมทั้งสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดียที่มีชื่อเสียงมาก ติดอันดับ 1 ใน 100 อันดับแรกของโลก


จีนเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจที่มาแรงจากบริษัทเทคโนโลยีที่ก้าวเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากในปัจจุบัน จีนเน้นเรื่องการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปี (2021-2025) จีนได้ทุ่มเงินถึง 1.3 ล้านล้านหยวน เพื่อพัฒนา 300 โครงการสำคัญ ซึ่งเป็นโครงการที่ครอบคลุมทางด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต นวัตกรรม และเทคโนโลยีระดับสูง

นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนมีความก้าวหน้าอย่างมาก เพิ่มทั้งปริมาณและคุณภาพของงานวิจัยพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาต่างๆ เช่น เคมี วิศวกรรมศาสตร์ วัสดุศาสตร์ ที่วางตำแหน่งตัวเองให้เป็นผู้นำในด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เรียกว่า AI


จีนได้ตั้งเป้าเพิ่มงบประมาณการลงทุนในงานวิจัยพัฒนา R&D อยู่ในระดับ 7 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพี ส่งผลให้จีนเป็นประเทศที่มีงบประมาณการวิจัยพัฒนาสูงที่สุดในโลก ทั้งในมิติมูลค่าและสัดส่วนต่อจีดีพี ในขณะที่อินเดียเจียดงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา R&D ต่ำ คิดแล้วเป็นแค่ 0.7 เปอร์เซ็นต์ ต่อจีดีพีของประเทศ ในปี 2563 ในขณะที่จีนตั้งไว้ 7 เปอร์เซ็นต์

แม้ว่าการยื่นสิทธิบัตรทางทรัพย์สินทางปัญญาในอินเดียจะเพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตามนโยบายรัฐบาลนายโมดี ที่ส่งเสริมโครงการสตาร์ทอัพอินเดีย ให้สตาร์ทอัพยื่นจดสิทธิบัตร มีสิ่งจูงใจ คือได้รับส่วนลดสูงสุด 80 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการยื่นจดสิทธิบัตร และยังมีส่วนลดให้อีก 50 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการยื่นเครื่องหมายการค้า


แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า ตามข้อมูลขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก จำนวนสิทธิบัตรของอินเดียดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ ยังเป็นส่วนเสี้ยวเดียวของสิทธิบัตรของจีน

จีนได้รับสิทธิบัตร 530,000 สิทธิบัตร ในโลกนี้ ที่จดทะเบียนไปแล้ว แม้แต่อเมริกายังได้แค่ 352,000 สิทธิบัตร


ความแตกต่างเกิดจากค่าใช้จ่ายนการวิจัยและพัฒนาที่ต่ำในอินเดีย คิดเป็น 0.7 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพี ของประเทศในปี 2563 นอกจากนี้แล้ว ยังมีความล่าช้า ความซับซ้อนของขั้นตอน เป็นปัจจัยอื่นๆ บางส่วนที่เป็นอุปสรรคต่อหลายๆ คนในการยื่นสิทธิบัตรในอินเดีย

อย่างไรก็ตาม อินเดียถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งที่จะแทนที่จีน ในฐานะศูนย์กลางการผลิตของโลก เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศมีประชากรมากที่สุดในโลก 1,429 ล้านคน ภายในสิ้นปีนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มคนสาว อายุน้อย ต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า และมีอุตสาหกรรมที่หลากหลาย

นอกจากนี้แล้ว อินเดียยังรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชาติตะวันตก เป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา ต้านอิทธิพลจีนในภูมิภาค และบางประเทศ อย่างเช่นอังกฤษ ก็มีผู้นำเชื้อสายอินเดียเป็นนายกรัฐมนตรี หรือในบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง อย่างเช่น กูเกิล เป๊ปซี่ มีผู้บริหารระดับสูงชาวอินเดียบริหารอยู่

อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านคุณภาพแรงงานและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานของอินเดียยังคงล้าหลังกว่าจีนมาก แม้หลายคนมองว่าค่าแรงที่ต่ำของอินเดียเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันเมื่อเปรียบเทียบกับจีน

ท่านผู้ชมครับ ถ้าเรามองเรื่องค่าแรงขั้นต่ำเป็นปัจจัยหลัก เรามองผิดไปแล้ว เพราะคำถามที่เกิดขึ้นมีอย่างนี้ ค่าแรงที่ต่ำจะมีประโยชน์อะไร ถ้าผลประโยชน์โดยรวมค่อนข้างต่ำ แม้อินเดียจะมีความก้าวหน้าในการพัฒนาอย่างน่ายกย่องในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา แต่การเสริมสร้างศักยภาพของอินเดียกลับไม่ทันจีน อัตราการรู้หนังสือของผู้ใหญ่ก็ตามหลังจีนประมาณ 3 ทศวรรษ หรือกว่าสามสิบปี ชาวอินเดียจำนวนมากยังยากจน อาศัยอยู่ในสลัม ว่างงาน กลายเป็นคนชายขอบที่ตกสำรวจจากบันทึกของรัฐบาล ส่งผลให้ข้อมูลทางการอินเดียไม่ครบถ้วน และขาดดุลขีดความสามารถด้านแรงงาน ส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพของคนงานและโอกาสเติบโตทางอาชีพ

ในความเป็นจริงแล้ว หากอินเดียล้มเหลวในการจัดการกับการขาดดุลขีดความสามารถเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งจำนวนประชากรอินเดียเพิ่มขึ้น แต่ว่าไร้ทักษะ ก็ยิ่งอาจจะเป็นบ่อนทำลายเสถียรภาพทางสังคม แม้ว่ารัฐบาลนายกรัฐมนตรีนายนเรนทรา โมดี จะพยายามแก้ไขแล้วก็ตาม ขณะที่จีนมีแผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ลงทุนทรัพยากรพัฒนาคุณภาพคน ทุ่มงบการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งยกการปฏิบัติต่อชายและหญิงอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น ทำให้คนหนุ่มคนสาวมีโอกาสทางเศรษฐกิจ ทั้งเก่าและใหม่


ท่านผู้ชมครับ จีนเขามีแผนที่ชัดเจนในการจัดการกับความท้าทายที่ไปสู่เป้าหมาย แต่อินเดียอาจติดอยู่กับการมองเป้าหมายการเติบโตที่ไม่สมจริง โดยไม่พิจารณาถึงการพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ แม้ว่าอินเดียจะมีจุดแข็งด้านประชากรคนหนุ่มสาว และได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก แต่ดูเหมือนว่าอินเดียไม่น่าจะสามารถแทนที่จีนได้ ในห่วงโซ่อุปทานการผลิตทั่วโลก หรือบรรลุสถานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้ในอนาคตอันใกล้ ทั้งหมดนี้บ่งชี้ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่เป็นเหตุผลง่ายๆ ว่าทำไมอินเดีย ประเทศประชาธิปไตยใหญ่ที่สุดในโลก จึงไม่สามารถเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้เหมือนจีน

จีนปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบใหม่ มุ่งสู่เศรษฐกิจไฮเอนด์

ท่านผู้ชมครับ เมื่อกี้นี้ผมเพิ่งเล่าเรื่องของการที่อินเดียจะไม่มีทางจะไล่ตามจีนได้ในการเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยข้อมูล ด้วยข่าวสารลึกซึ้งออกมา ทีนี้เผอิญมันมีข่าวชิ้นหนึ่งซึ่งคนไทยอาจจะไม่สนใจ แต่ผมคิดว่าคนอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่กำลังดูแลเรื่องเศรษฐกิจของอินเดียอยู่ อาจจะตกใจก็ได้ แล้วก็หาทางที่จะไปเล่าให้นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ฟังว่า อินี่ นายจ๋า ประเทศจีนมันก้าวกระโดดไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว อินเดียจะตามไม่ทัน คือเมื่อเร็วๆ นี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เขาประชุมแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ แล้วเขาประกาศเป็นแนวนโยบายใหม่ แนวนโยบายนั้นคือการปฏิวัติอุตสาหกรรมใหม่ของจีน คือพูดง่ายๆ ว่าจีนกำลังมองดูว่าอุตสาหกรรมเก่าของจีนนั้นเป็นอุตสาหกรรมที่เน้นในเรื่องของการรับจ้างทำของ วันนี้จีนบอกว่า เอาล่ะ รับจ้างทำของก็ทำไป แต่ฉันจะมีอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมา ก็คืออุตสาหกรรมที่เป็นนวัตกรรมของจีนเอง สร้างขึ้นมา เขาต้องการสร้างประเทศให้เข้มแข็ง ฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองของชาติในยุคสมัยใหม่


สี จิ้นผิง เรียกร้องให้ทุ่มเทสรรพกำลังเพื่อปรับตัวและสร้างบทบาทนำในการปฏิวัติเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์รอบใหม่ และ สี จิ้นผิง ใช้คำพูดว่า เป็นการเปลี่ยนผ่านทางอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นยุคของเศรษฐกิจดิจิทัล และอุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสาร

เมื่อวันศุกร์และวันเสาร์ที่ผ่านมา 22 และ 23 กันยายน จีนได้กำหนดทิศทางของประเทศไปสู่การพัฒนาที่ (1) ต้องมีคุณภาพที่สูงขึ้น พัฒนาแบบทั่วๆ ไปไม่เอาแล้ว เน้นคุณภาพแล้ว ไม่เน้นปริมาณ (2) สร้างนวัตกรรม สร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่อุปทาน เหมือนกับโทรศัพท์มือถือหัวเว่ย เมท 60 โปร


ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าทำในประเทศจีนหมดเลย 90-95 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่า 90-95 เปอร์เซ็นต์นั้น พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่จีนมีอยู่แล้วในประเทศจีน คือพูดง่ายๆ ว่าในการทำห่วงโซ่อุปทาน เหมือนกับเราเคยรู้มาว่าเวลาสร้างคอมพิวเตอร์ขึ้นมา 1 ตัว คีย์บอร์ดเอาจากประเทศนี้ สกรีน/จอ เอาอีกประเทศหนึ่ง ชิปเอาจากอีกประเทศหนึ่ง โน่นนี่นั่น ห่วงโซ่อุปทานที่จะสร้างสินค้าชิ้นหนึ่ง มันต้องพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากแต่ละประเทศเพื่อส่งเข้ามาแล้วประกอบชิ้นส่วน แต่จีนบอกว่า สร้างความเข้มแข็งให้ห่วงโซ่อุปทาน หมายความว่าจากนี้ไปแล้ว ประเทศจีนคิดอะไรขึ้นมาแล้ว องค์ประกอบของสินค้าชิ้นนั้นต้องสามารถที่จะผลิตได้ในจีนด้วย จะได้ไม่ต้องไปพึ่งพาต่างชาติ

(3) จีนจะเน้นสนับสนุนอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ก็คือ High Value added items คือผลิตอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง จะให้มันเป็นแบบทั่วๆ ไปไม่ได้แล้ว ต้องมีมูลค่าสูง เหมือนทางการเกษตรบ้านเรา ถ้าเราส่งสินค้าทางการเกษตรไป ก็งั้นๆ ทุกคนก็ทำกัน แต่ถ้ามูลค่าสูงของเรา สิ่งแรกที่เราเริ่มก่อนได้ก็คือ หนึ่ง สินค้าทางการเกษตรของเราต้องเป็นสินค้าที่ปลอดสารพิษ ออร์แกนิกหมด เพราะฉะนั้นแล้ว พืช ผัก ผลไม้ ข้าว ทุกอย่าง ถ้ามาจากเมืองไทยต้องเป็นปลอดสารพิษ เสร็จแล้ว มูลค่าเพิ่มก็คือต้องหัดเอาเรื่องหีบห่อ แพกเกจจิ้งเข้ามาเพิ่มเติม นั่นคือการเพิ่มมูลค่าเพิ่ม นั่นคือสิ่งที่จีนทำอยู่ แล้วจีนก็เน้นข้อที่ (4) คือ ต้องมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เหมือนอย่างหัวเว่ย หัวเว่ยนี่เป็นตัวอย่างของการรุกคืบทางจีน จีนต้องการจะโชว์หัวเว่ยให้กับโลกรับรู้ ว่าจีนวันนี้ไม่เหมือนจีนแต่ก่อนแล้วนะ หัวเว่ย เมท 60 โปร คุณสมบัติของหัวเว่ย เมท 60 โปร นั้นเหนือกว่าไอโฟน 15 เสียด้วยซ้ำ นั่นคือเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย

อย่างที่บอกครับ จีนเขาจะเปลี่ยนบทบาทจากการรับจ้างผลิตที่เป็นโรงงานของโลก มาเป็นผู้นำภาคเศรษฐกิจชั้นนำ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Hi-end จีนเขาเล่นทาง Hi-end แล้ว


ผู้เชี่ยวชาญจีนบอกว่า ถึงแม้ประเทศจีนจะเป็นผู้นำของโลกในเรื่องธุรกิจ พาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ อี-คอมเมิร์ซ การชำระเงินออนไลน์ แต่ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลโดยรวม จีนเขายอมรับว่ายังต่ำกว่ามุมมองของทั่วโลก ปีที่แล้ว (2565) เศรษฐกิจดิจิทัลจีนเป็นสัดส่วน 40 เปอร์เซ็นต์ จีนไม่พอใจ จีนต้องการให้เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ สัดส่วนดังกล่าวยังต่ำกว่าประเทศอย่างเช่นสหรัฐฯ เยอรมนี ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพราะฉะนั้น สี จิ้นผิง และพรรคคอมมิวนิสต์ก็มองว่า เป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการสร้างการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจของประเทศจีน ต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และอุตสาหกรรมยุคใหม่ ซึ่งจะทำให้ประเทศจีนสามารถทำสิ่งต่างๆ ที่เคยเป็นแค่ความฝันอยู่ทุกวันนี้ ให้เป็นจริงขึ้นมาให้ได้ จีนก็เลยตั้งยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศโดยนวัตกรรม ซึ่งที่ผ่านมา 2555 จีนทุ่มเงินลงไปในการวิจัยและค้นคว้า R&D มากกว่า 1 ล้านล้านหยวน อีก 7 ปีต่อมา หลังจาก 2555 ในปี 2562 เงิน R&D จีน ที่เคยลง 1 ล้านล้านหยวน เมื่อ 7 ปีที่แล้ว เพิ่มเป็น 2 ล้านล้านหยวน และปีที่แล้ว (65) สามปีเท่านั้นเอง ต่อมา งบประมาณด้าน R&D เพิ่มเป็น 3 ล้านล้านหยวน (1 หยวน เท่ากับ 5 บาท ก็เท่ากับ 15 ล้านล้านบาท)

งบประมาณทางวิจัยของจีนยังมากกว่างบประมาณประเทศไทย 5 เท่า เกือบ 5 เท่า เกือบ 500 เปอร์เซ็นต์ ท่านผู้ชมนึกดูก็แล้วกัน ตอนนี้งานวิจัยของจีนที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการชั้นนำของโลกเพิ่มขึ้น 16,349 ชิ้น แซงหน้าผลงานวิจัยของสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ต้องถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกแล้ว

สี จิ้นผิง ระบุว่า มีการแข่งขันอย่างรุนแรงในบางอุตสาหกรรมที่นำโดยอเมริกา ที่พยายามปิดล้อมจีน และสร้างกลุ่มเล็กๆ เพื่อกีดกันจีน ก็คืออุตสาหกรรมไมโครชิป ชิปคอมพิวเตอร์ ตอนนี้จีนเริ่มแหกวงล้อมได้แล้ว คือพูดง่ายๆ ว่าเหมือนเอากำแพงมาปิดเอาไว้ แล้วจีนเพิ่งเจาะได้รูหนึ่ง สามารถออกไปได้แล้ว แต่รูยังเล็กอยู่ แต่ไม่ต้องกังวลท่านผู้ชม เวลาผ่านไปเรื่อยๆ รูที่กำแพงนั้นจะถูกทำลายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีกำแพงอันใดมาปิดกั้นจีนได้อีก

การเปิดตัวสมาร์ทโฟนหัวเว่ย เมท 60 โปร ที่ผมเล่าให้ฟังโดยละเอียดไปแล้วสองตอน เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน สามารถก้าวข้ามการกีดกันทางเทคโนโลยีของอเมริกาได้ การพัฒนาไมโครชิปของจีนมีความก้าวหน้ามากในสองปีที่ผ่านมา ประมาณการว่าในปีนี้ (2566) จีนจะพึ่งพาชิป ซึ่งแต่ก่อนพึ่งที่ผลิตเองในประเทศได้แค่ 5 เปอร์เซ็นต์ เขาบอกว่าปีนี้ชิปในประเทศจะผลิตให้กับจีนได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ อีก 5 เท่า


ประเด็นครับ จีนใช้เวลาไม่กี่ปีทำในสิ่งที่ประเทศอื่นๆ ต้องใช้เวลาถึง 20-30 ปี การคว่ำบาตรทางเทคโนโลยีของอเมริกาที่ใช้กับจีน ถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่มีน้ำยา ส่วนคำขู่ล่าสุดของสหภาพยุโรป ที่จะสอบสวนว่ารถยนต์ไฟฟ้าพลังงานใหม่ หรือ EV ของจีน ทำผิดกฎเรื่องการปกป้องทางการค้า ขายในราคาถูกกว่าปกติ เพราะได้รับการสนับสนุนจากทางการจีนนั้น ยิ่งจะเป็นแรงกระตุ้นให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองให้ล้ำหน้ามากขึ้นกว่ายุโรปอีก อุตสาหกรรมใหม่ของจีนจะมีรากฐานอยู่บนเทคโนโลยีใหม่ คือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) และ Big Data จะขยายตัวครอบคลุมทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับห่วงโซ่อุปทาน และลดความเสี่ยงที่จะถูกปิดล้อมในอนาคต

ท่านผู้ชมครับ นอกจากนั้นแล้ว จีนจะระดมนโยบายการเงินและการคลังเพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ธุรกิจที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นหัวหอกในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่ แม้กระทั่งภาคการเกษตรก็จะได้รับประโยชน์จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่เช่นเดียวกัน

ท่านผู้ชมครับ จีนบอกว่าพยากรณ์อากาศของจีนจากนี้ไปจะแม่นยำมาก ใช้ข้อมูล ข่าวสาร เพื่อติดตามแมลงศัตรูพืช โรคระบาด รวมทั้งใช้เทคโนโลยีปรับปรุงสายพันธุ์พืชให้ดียิ่งขึ้น

นี่คือเส้นทางเดิน หรือโรดแมป แผนกลยุทธ์การปฏิวัติอุตสาหกรรมใหม่ของจีนที่ถูกเปิดเผยออกมาล่าสุด ไม่ใช่เป็นเรื่องการไปกีดกัน การแซงก์ชัน หรือทำลายประเทศอื่น แต่เป็นการใช้หลักของพระพุทธเจ้า คือ อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเอง สร้างตัวเองให้ดีขึ้น ให้เข้มแข็ง ให้แข็งแกร่ง และพึ่งพาตัวเองได้ในทุกภาคส่วน ซึ่งผมเห็นว่าหนทางนี้คือหนทางที่ถูกต้อง และควรจะเป็นแนวทางการพัฒนาประเทศ อย่างเช่นประเทศไทยเช่นเดียวกัน

ท่านผู้ชมครับ วันนี้รายการก็จบลงเพียงแค่นี้ แล้วเรามาพบกันใหม่ในอาทิตย์หน้าด้วยประเด็นที่ร้อนแรงและด้วยองค์ความรู้ ประเด็นที่มีองค์ความรู้อย่างสมบูรณ์แบบ ท่านผู้ชมครับ ทำตัวให้เป็นน้ำครึ่งแก้ว แล้วผมจะหาน้ำมาเติมให้ท่านผู้ชมไปเรื่อยๆ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น