xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : "คุณอ้น" ไปงาน "เหยื่อ 112" เพื่ออะไร? - แก๊งทะลุวัง=ค้ามนุษย์? - ONE LUMPINEE จุดเปลี่ยนมวยไทยสู่ตลาดโลก - ผู้อยู่เบื้องหลังชัยชนะ "หัวเว่ย"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 22 ก.ย.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ได้แก่
- "คุณอ้น" ไปงาน "เหยื่อ 112" เพื่ออะไร?
- ทำไมตำรวจต้องลงท้องถิ่น?
- แก๊งทะลุวัง=ค้ามนุษย์?
- ONE-LUMPINEE จุดเปลี่ยนมวยไทยสู่ตลาดโลก
- ผู้อยู่เบื้องหลังชัยชนะของ "หัวเว่ย"

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.207



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 208 [22 ก.ย. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean :SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2566 ผมขอสวัสดีแฟนรายการที่รับชมสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok วันนี้เรามีหลายเรื่องที่จะพูด เราจะไปพูดเรื่องๆ หนึ่งซึ่งดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่จริงๆ แล้วมีนัยและสร้างความไม่พอใจให้คนจำนวนมาก คือเรื่องที่ "คุณอ้น" ไปงาน "เหยื่อ 112" ที่นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ได้จัดที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ไปเพื่ออะไร ? ไปเพื่ออะไร ฟังผมพูดก็แล้วกัน

เรื่องที่สองที่ผมจะพูด ซึ่งผมค้างอยู่คราวที่แล้ว คือเรื่องทำไมต้องกระจายอำนาจตำรวจลงท้องถิ่น เรื่องที่สาม คือ ฉีกหน้ากากจอมบงการ แก๊งทะลุวัง = แก๊งค้ามนุษย์ เรื่องที่สี่ ท่านผู้ชมจะประหลาดใจ วันนี้ผมจะพูดเรื่องมวย "ONE LUMPINEE จุดเปลี่ยนมวยไทย Soft Power ล้ำค่า สู่ตลาดโลก" และเรื่องสุดท้าย คราวที่แล้วผมพูดเรื่องหัวเว่ยสร้างปรากฏการณ์เกมเปลี่ยน ผมจะแนะนำ เปิดเผยตัวที่อยู่เบื้องหลัง ชื่อ หยูเฉิงตง คือตัวการที่ทำให้หัวเว่ยต้องพลิกสถานภาพ ทำให้ไม่แพ้ทางตะวันตกอีกต่อไป


ท่านผู้ชมครับ วันนี้เราพูดเรื่อง "พระสยามพุทธาธิราช" กันนิดหนึ่ง พระสยามพุทธาธิราช คือ พระเพื่อความมั่นคงสถาพร นี่คือพระของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตอนนี้ องค์นี้องค์ละแสน มีคนจองเข้ามาเกิน 100 องค์แล้ว เราทำแค่ 250 องค์ ส่วนเหรียญ 2,000 บาท ก็เหลืออยู่ไม่มาก เหลืออยู่ประมาณสองพันกว่าเหรียญ ใครสนใจรีบจองเข้ามา ติดต่อที่ไลน์ (LINE) เพิ่มเพื่อนและพิมพ์คำว่า @tambun

ท่านผู้ชมครับ ในวันเสาร์ที่ 23 กันยายนนี้ จะมีพิธีพลีมวลสารชนวนโลหะ ซึ่งชนวนโลหะนี้มีเยอะ ไม่ว่าจะเหรียญหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ เหรียญศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เราจะเริ่มทำพิธีตอน 10.00 น. ณ บ้านพระอาทิตย์ ท่านผู้ชมท่านใดอยากมาร่วมพิธี เชิญมาเลยครับ ยินดีต้อนรับ

ต่อไป วันพฤหัสฯ ที่ 28 กันยายน เวลา 15.29 น. จะมีพิธีฤกษ์เจิมแบบหล่อ ตัวอย่างเหรียญนำฤกษ์ และตัวอย่างพระพุทธรูปนำฤกษ์ ที่วัดหน้าพระเมรุ จังหวัดอยุธยา และวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม จะมีพิธีฤกษ์ปั๊มเหรียญ ที่โรงหล่อใกล้วัดปรางค์หลวง บางใหญ่ นนทบุรี


ซึ่งในวันที่ 7 เราจะจัดงานระลึก 7 ตุลาฯ ที่เราว่างเว้นไปสองปีในช่วงโควิด ปีนี้เราจะกลับมาจัด ที่บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ จะมีพิธีทำบุญตักบาตร อุทิศส่วนกุศลแก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ใครคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ มาร่วมงานได้ ก็จะมีการตักบาตรตอนเช้าจากพระป่า แล้วก็มีการสวด ทำบุญทำกุศล แล้วก็มีการพูดจาบนเวทีบ้างเล็กๆ น้อยๆ เพื่อระลึกถึงวันที่โศกสลดเศร้าเสียใจของพวกเรา รวมทั้งวงดนตรีที่เราเอามาเล่น เจ้าเก่า คือ แฮมเมอร์


วันนี้เป็นวันสุดท้ายของหลักสูตรบูรณาการจับชีพจรวิเคราะห์โรค ม.รังสิต สมัครเข้ามาวันนี้เป็นวันสุดท้าย จะได้โปรโมชั่น หลักสูตร ค่าเรียนทั้งสิ้น 64,000 บาทต่อคน วันนี้เป็นวันสุดท้าย ถ้าท่านสมัครทัน จะลดราคาพิเศษเหลือแค่ 48,000 บาท

สุดท้ายนี้ อย่าลืม "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" อาจารย์ปานเทพ ท่านผู้ชมสั่ง 6 กล่อง จะได้ภาพ "แผนผังสมุฏฐานวินิจฉัยจักรา" ของอาจารย์ปานเทพ แผนภูมินี้อาจารย์ปานเทพ ทำขึ้นมาเอง พิมพ์จำนวนจำกัด อาจารย์ปานเทพ ได้เอาความรู้ทางการแพทย์แผนไทยในพระคัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัย มาเรียบเรียงอยู่ในวงกลม เรียงไปตามจักรราศีของโหราศาสตร์ไทย ท่านผู้ชมซื้อยาลมฯ 6 กล่อง จะได้แผนภูมิสมุฏฐานวินิจฉัยจักรา ของอาจารย์ปานเทพ คนละ 1 ชุด ส่งแผนภูมิได้วันที่ 29 กันยายน ขอย้ำนะครับท่านผู้ชม มีจำนวนจำกัด สนใจติดต่อที่ LINE ID พิมพ์คำว่า @sunherb


ท่านผู้ชมจำขนมไหว้พระจันทร์ของเชฟเพนนีได้ไหม ตอนนี้เอามาขายที่ SUN PAN ขายดิบขายดีมาก ไม่พอขาย ตอนนี้เริ่มเพิ่มกำลังผลิตแล้ว จะเริ่มวางขายวันนี้ (วันศุกร์) จนถึงช่วงไหว้พระจันทร์ ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ 29 กันยายน ของมีจำนวนจำกัด แล้วก็อย่าลืม สินค้าประจำร้าน ไม่ว่าจะเป็นโอเลี้ยง ขนมปัง หมูแท่ง ปลาแท่ง มีวางจำหน่ายเหมือนเดิม


ท่านผู้ชมครับ ผมและทีมงานตัดสินใจจะทำแก้วครบรอบ 4 ปี รายการ SONDHI TALK เราจะครบ 4 ปี ภายในเดือนกันยายนนี้ ประมาณสิ้นเดือนกันยายน เราจะจัดทำของที่ระลึก เป็นแก้วเก็บอุณหภูมิ ใส่ร้อน ใส่เย็นได้ ราคา 500 บาท รายได้จากการสั่งแก้วทั้งหมดจะเข้ามูลนิธิไชย้ง ลิ้มทองกุล เพื่อเอาไว้ใช้ช่วยเหลือการศึกษา ทำบุญ สาธารณกุศลต่างๆ ถ้าใครสนใจสั่งจองมาได้ที่ inbox "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เราทำมาจำนวนจำกัดนะครับ ใส่น้ำร้อน ใส่น้ำเย็นได้ ครบรอบ 4 ปี ท่านดูในรูปก็แล้วกัน ด้านหนึ่้งเขียนว่า "4th ANNIVERSARY SONDHI TALK" และด้านหลังพิมพ์ว่า "ความจริงมีหนึ่งเดียว" และมีลายเซ็นผม ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ


ก่อนที่จะเข้ารายการ ผมมีเรื่องจะแนะนำหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ชื่อ "ATADIA" คนแต่งคือ คุณณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ คือใคร ? ชื่อเล่นชื่อ "คิด" เป็นลูกชายคนโตของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หนังสือเล่มนี้เขาอธิบายว่า เมืองอนาคต มนุษย์สังคม กับปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำ ความจริงของข้อมูลมากมายที่อยู่ในกำมือของทุกคน

ดร.ณภัทร หรือชื่อเล่นว่า "ต้นคิด" เขาเชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยี BIG DATA เรียนหนังสือมาดีมาก สถาบันการศึกษาที่สูง จบปริญญาตรีด้านคณิตศาสตร์ ปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยวิสคอร์เนล (Cornell University) ปริญญาโทด้านรัฐศาสตร์และการเงินระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกา เคยมีประสบการณ์ทำงานเป็นผู้ช่วยวิจัยด้านนโยบายสาธารณะที่มหาวิทยาฮาร์วาร์ด


ดร.ณภัทร ในประวัติที่เขียน เป็นคนดื้อและขวางโลก เห็นไม่เหมือนชาวบ้านเขา หนังสือเล่มนี้แบ่งเป็น 2 ภาค ภาคแรก เป็นนวนิยายเกี่ยวกับโลกอนาคต ซึ่งมีพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ภาคที่สอง คือภาคเรื่องจริง คำอธิบายอย่างละเอียดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับโลกที่เราอยู่ทุกวันนี้ มีหลายเรื่อง หลายประเด็น นอกจากนี้ ยังครอบคลุมถึงเรื่องอื่นๆ ของมนุษย์อีกมากมายหลากหลายมิติ เช่น เทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรม รวมไปถึง "ความรักในยุคสังคมก้มหน้า"


ท่านผู้ชมครับ แค่ฟังก็น่าสนใจแล้ว หนังสือเล่มนี้ขายไม่ดี ไม่มีใครสนใจเท่าไรนัก อาจจะดูว่าหนักไป แต่ผมอ่านแล้วผมสนุก ผมเห็นว่าหนังสือเล่มนี้ดีมาก ผมอยากให้แฟนๆ รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ต้องรู้ ดีจนผมสั่งซื้อจาก ดร.ณภัทร มาเป็นจำนวน 100 เล่ม เล่มละ 400 บาท เขาลดให้ เป็น 40,000 บาท ท่านผู้ชมครับ ผมจะแจกฟรี ท่านผู้ชมที่สนใจให้เขียน inbox เข้ามา แต่ผมต้องการจะรู้ว่าทำไมถึงอยากได้หนังสือเล่มนี้ เพราะอะไร ไม่ใช่ว่าใครอยากได้เพื่อเอามาประดับห้องสมุด ก็ส่งมา ให้ผมส่งไป ผมไม่ส่ง ต้องคนสนใจอยากรู้จริงๆ คนที่ผมคัดกรองแล้ว ให้เหตุผลที่ดีจำนวน 100 คน ผมจะส่งหนังสือเล่มนี้มูลค่า 400 บาท ให้ฟรีคนละ 1 เล่ม

ไปเพื่ออะไร?

ท่านผู้ชมครับ เมื่อ 4 วันที่แล้ว 19 กันยายน 2566 สื่อของอเมริกา คือรัฐบาลอเมริกาอยู่เบื้องหลัง เป็นสื่อของ CIA ชื่อ Voice of America (VOA) ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเขาโพสต์ข่าวอะไร ? พร้อมภาพด้วย เขาโพสต์ข่าวของ "คุณอ้น" หรือชื่อ คุณวชรเรศร วิวัชรวงศ์ หรือที่เขาชอบเรียกกันว่า "ท่านอ้น" ซึ่งเป็นโอรสองค์ที่สองในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ว่า ได้เดินทางไปร่วมชมนิทรรศการ "โฉมหน้าเหยื่อ มาตรา 112" ณ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย จัดโดยนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้ต้องหาคดี 112 ที่หนีคดีไปอยู่ญี่ปุ่น


ตัว "คุณอ้น" หรือ คุณวชรเรศร ก็โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ว่า "วันนี้มี exhibition เกี่ยวกับมาตรา 112 มาเปิดที่มหาวิทยาลัย Columbia University. ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์กผมก็ไปดู

ผมรักและเทิดทูนสถาบัน แต่เชื่อว่า "รู้" ดีกว่า "ไม่รู้" แต่ละคนก็มีความคิดเห็นของตัวเองที่มาจากประสบการณ์ของเขา ถ้าเผื่อ เราไม่รับฟังความคิดเห็นของเขาก็ไม่ได้ทำให้มุมมองและความคิดเห็นของเค้าหายไป

เพราะฉะนั้น รู้และรับฟังไว้ก็ดี รับรู้เหตุผลและมุมมองของหลายๆ ฝ่าย เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็อีกเรื่องนึง คุยกันด้วยเหตุผล"


ท่านผู้ชมรู้ไหม พอคุณวชรเรศร ไปปรากฏตัวในงาน นายปวิน รีบนำภาพมาโพสต์ในเฟซบุ๊กทันที เขียนข้อความว่า "...ได้รับเกียรติจากคุณวัชรเรศร วิวัชรวงศ์ หรือคุณอ้น มาร่วมชมด้วย นี่คือการพูดคุยอย่างมีอารยะต่อประเด็นที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน สังคมจะก้าวหน้าต่อไปไม่ได้ หากกลุ่มอำนาจเก่าไม่เปิดใจรับฟังปัญหา" ท่านผู้ชมจำคำพูดนี้ไว้นะครับ นายปวิน บอกว่า "นี่คือการพูดคุยอย่างมีอารยะต่อประเด็นที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน" เดี๋ยวผมจะเอาคำพูดนี้มาย้ำให้ท่านผู้ชมฟัง และย้ำให้คุณอ้นฟังด้วย "พูดคุยอย่างมีอารยะต่อประเด็นที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน"


ประเด็นครับท่านผู้ชม ผมหงุดหงิดมาก ผมยอมรับ ผมไม่รู้ว่าคุณอ้น หรือท่านอ้น แม้คุณไม่ได้อยู่ในสถานะสมาชิกราชวงศ์ แต่คุณวชรเรศร ต้องรู้นะว่าคุณคือใคร คุณไม่ใช่คนธรรมดา อย่างไรก็ตาม คุณยังมีสายเลือดขัตติยะของ "ราชวงศ์จักรี"

เดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา คุณกับน้องชายของคุณเดินทางมาเมืองไทย ได้รับการต้อนรับจากประชาชน ให้ความสนใจอย่างมาก มีคนไปรอรับ เดินทางมาชื่นชมจำนวนมาก คุณต้องทราบว่าคนที่ไปต้อนรับคุณนั้น ชื่นชมคุณ น่าจะเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นคนรักสถาบัน รักราชวงศ์จักรี รักพระเจ้าอยู่หัว ปกป้องสถาบันทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นเขาจะไปต้อนรับคุณทำไม แล้วจู่ๆ คุณกลับไปปรากฏตัวกับคนอย่างนายปวิน ไปอยู่ในนิทรรศการที่พูดอยู่ข้างเดียว เรื่องมาตรา 112 ว่าคนโน้นคนนี้เป็นเหยื่อกฎหมายอาญา โดยไม่มีคนให้ข้อมูลโต้แย้ง

คุณไม่รู้เลยหรือว่าที่คุณปวิน พูดนั้น ตอหลดตอแหล โกหกหน้าด้านๆ ที่บอกว่าพูดคุยอย่างมีอารยะต่อประเด็นที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน ป่าเถื่อนยังไง ? เพราะเรื่องของมาตรา 112 นั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของความป่าเถื่อน แต่เป็นเรื่องของอีกฝ่ายหนึ่งเหยียดหยาม ด้อยค่า ทำลายความรู้สึกของประชาชน เผารูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขียนด่าหยาบๆ คายๆ ลงไป นี่ใครป่าเถื่อนกัน ? ปวิน ใครป่าเถื่อนกันแน่ ? พวกคุณนี่ล่ะที่ป่าเถื่อน แล้วคุณก็เอานิทรรศการนี้ไปออกที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ด้านเดียว ด้านเดียวจริงๆ


แล้วคุณอ้น คุณวชรเรศร คุณรู้หรือคุณแกล้งไม่รู้ว่านายปวิน เป็นคนอย่างไร คุณเข้าไปเช็กกูเกิลได้เลย ถ้าไม่รู้ กูเกิลมีนี่ คุณก็อยู่อเมริกา และอเมริกาก็อยู่เบื้องหลังคุณไม่ใช่หรือ ไม่ว่าจะที่มาเมืองไทยคราวที่แล้ว หรือจัดงานที่โคลัมเบีย อเมริกาอยู่เบื้องหลังทั้งนั้น คุณตกเป็นเครื่องมือให้เขา หรือว่าคุณเต็มใจเป็นเครื่องมือให้เขา ? ผมก็ไม่รู้ ถ้าคุณเสิร์ชประวัติของนายปวิน ในกูเกิล แป๊บเดียวคุณจะรู้ว่านายปวินตั้งกลุ่มในเฟซบุ๊ก ชื่อ รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส วิพากษ์วิจารณ์ ปล่อยข่าวให้ร้าย ข่าวปลอม ข่าวลวง ภาพตัดต่อต่างๆ เกี่ยวกับสถาบัน แล้วคุณอ้นไม่รู้หรือว่านายปวินเป็นคนที่ดูหมิ่น เหยียดหยาม อาฆาตมาดร้ายสถาบันกษัตริย์มาโดยตลอด ไอ้นี่มันด่าทอ ใส่ร้ายป้ายสี ใช้คำหยาบคาย ปล่อยความเท็จเรื่องท่านพ่อของคุณ ในหลวง รัชกาลที่ 10 มันเหยียดหยามด่าทอไปจนถึงท่านปู่-ท่านย่าของคุณ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ถึงสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แต่คุณยังไปยืนยิ้มในงาน คุณคิดได้อย่างไร

ถ้ามีการสัมมนาทั้งสองฝ่าย หรือการเสนอความเห็นทั้งสองฝ่ายไปเพื่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งคิดอย่างไร ยังมีเหตุมีผล แต่นี่มันฝ่ายเดียวเลย นายปวิน เหยียดหยามไปถึงปู่ ย่า ถึงพ่อคุณ แล้วคุณบอกว่าคุณจะไปรับรู้ว่าเขาคิดอย่างไร คุณคิดว่าที่คุณทำนี่คุณเท่หรือ คุณอ้น ? ไม่ได้เท่เลย ผมอยากให้คุณใช้สติปัญญาหน่อยได้ไหม แล้วใครเป็นที่ปรึกษา เป็นคนแนะนำให้คุณไป ? ใครล่ะ ?

ข้ออ้างที่คุณบอกว่าไปเพื่อรู้ นั่นฟังไม่ขึ้นเลย เพราะนายปวิน แค่ชื่อเรื่อง โฉมหน้าเหยื่อ 112 ก็รู้แล้วว่าเป็นนิทรรศการด้านเดียว มุ่งโจมตีสถาบัน ทำลายความมั่นคงของประเทศชาติ หรือคุณวชรเรศร ไปเพื่อหาเสียง หาแสง หาแนวร่วม ใช่ไหม หาแนวร่วมกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่พอใจสถาบัน จะล้มเจ้า ใช่ไหม แล้วคุณจะหาแนวร่วมกับพวกบ้านี่ทำไม ถ้าคุณพูดมาตั้งแต่ต้นว่าคุณนั้นจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ สังเกตว่ามีสื่ออเมริกา Voice of America ไปทำข่าวอยู่เจ้าเดียว คุณไม่ผิดสังเกตบ้างหรือ คนอื่นเขาไม่ทำหรอก


คุณรู้หรือเปล่าว่า Voice of America เจ้าของคือ CIA จริงๆ คุณอ้น คุณน่ะเป็นเครื่องมือของ CIA ที่จะใช้คุณเข้ามาสร้างความวุ่นวายในอนาคต ถ้าเกิดมีความวุ่นวายขึ้นมา จนวันนี้คุณยังไม่รู้อีกหรือ คุณยังคิดว่าคุณยังอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์หรือ ผมขอเตือนคุณนะว่า อาจจะมีคนคิดว่าสิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดนี้ ผมจะบอกให้คุณรู้ ผมฟันธงว่าอเมริกาอยู่เบื้องหลัง ปวินรับใช้อเมริกาอยู่ แล้วที่ปรึกษารอบกายคุณ ไม่ว่าจะเป็นคุณไพรินทร์ ที่นิวยอร์ก หรือ ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ที่เคยพูดบอกว่าท่านอ้นควรจะสามัคคีกับทุกฝ่าย ความเป็นกลาง คุณอ้นครับ สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มีความเป็นกลาง มีอยู่สองทาง ฝ่ายล้ม ต้องการล้มเจ้า และอีกฝ่าย คือ ผม ต้องการปกป้องสถาบันกษัตริย์ มีแค่นั้น ไม่มีคำว่ากลาง คุณเลิกฟังเสียทีได้ไหมพวกที่ให้คำปรึกษาคุณที่นิวยอร์กหรือที่เมืองไทย ห่วยแตก ผมผิดหวังกับคุณมาก แล้วผมพูดแทนใจคนไทยอีกเยอะเลย ที่เขารู้สึกเหมือนผมแต่เขาไม่กล้าพูด ผมกล้าพูด เพราะคุณทำผิดอย่างมาก ผมจะเตือนคุณเอาไว้นะ คุณจะทำอะไร ทำด้วยจิตบริสุทธิ์ คุณอย่าตกเป็นเครื่องมือของใครเป็นอันขาด นี่คุณเสร็จไปเรียบร้อย มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย

ผมไม่กล้าว่าคุณเหลวไหล หรือโง่เขลา เพราะระดับคุณไม่โง่เขลา แต่อาจจะเหลวไหลบ้าง อย่าลืมนะครับ อย่าตกเป็นเครื่องมือเขาอีก

ทำไมตำรวจต้องลงท้องถิ่น?

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์ที่แล้วผมพูดถึงการกระจายอำนาจตำรวจลงท้องถิ่น มีทั้งคนคัดค้านผม และเห็นด้วยกับผม ส่วนที่คัดค้านก็เป็นเรื่องของการที่ตั้งเป้าเอาไว้ แล้วก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นท้องถิ่น นายก อบจ. อบต. ก็เป็นมาเฟียสิ ตัดทิ้งเรื่องนั้นไปก่อน ผมถามคุณว่า ตำรวจวันนี้ยังไม่ลงท้องถิ่น ทุกวันนี้นายก อบจ. ยังเป็นมาเฟียอยู่หรือเปล่า ในความเป็นจริงคุณต้องยอมรับความเป็นจริงว่ามันยังเป็นมาเฟียอยู่ แต่มันมีปรากฏการณ์อันหนึ่งที่เกิดขึ้น ท่านผู้ชมสังเกตไหม การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว พรรคก้าวไกลโค่นบ้านใหญ่ทุกจังหวัดพังทลายไปหมดเลย แสดงว่าประชาชนต่างจังหวัดเริ่มตื่นรู้ ตื่นตัวแล้ว


ระหว่างคนๆ หนึ่งที่ขึ้นอยู่กับสำนักนายกรัฐมนตรี เป็น ผบ.ตร. แล้ว ผบ.ตร. คนนี้คุมตำรวจสามแสนคนทั่วประเทศ ท่านผู้ชมที่มีปัญหากับตำรวจ การทำงานของตำรวจ พฤติกรรมของตำรวจ การรีดไถของตำรวจ การกลั่นแกล้ง ท่านผู้ชมไปร้องเรียนที่ไหน ผมถามซิ ท่านผู้ชมเข้ามาร้องเรียน ผบ.ตร. ยื่นหนังสือเข้าสู่สำนักงานเลขาฯ สำนักงานเลขาฯ ก็นำเรื่องนี้ไปตามระบบ กระบวนการ ขั้นตอน ตั้งคณะกรรมการสอบสวน

ท่านผู้ชมยังมองแบบเดินในทุ่งลาเวนเดอร์หรือเปล่า ว่าเขาตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้วจะได้รับความยุติธรรม ไม่ใช่ เขาปกป้องพวกเขาเอง เลวที่สุดของเขาคือเขาก็ย้ายตำรวจบ้านั่น ตัดออกจากตำแหน่งนั้นแล้วไปประจำ ชั่วคราว เพื่อให้เรื่องมันเงียบ แล้วหลังจากนั้นเขาค่อยกลับมาประจำอยู่ที่อื่น


เอาล่ะ ท่านผู้ชมครับ เรามามองข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงที่เป็นความจริงมีหนึ่งเดียว ไม่มีใครปฏิเสธได้เลย คืออะไรรู้ไหม ? ตำรวจที่ทำงานอยู่ เป็นมือทำงานนั้น ทุกจังหวัด 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ระดับประทวนทั้งสิ้น พลตำรวจ สิบตำรวจตรี สิบตำรวจโท สิบตำรวจเอก จ่าตำรวจ นายดาบตำรวจ ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ หรือ 7 เปอร์เซ็นต์ เป็นนายตำรวจระดับสัญญาบัตรที่ถูกย้ายมาเพื่อประจำชั่วคราวเพื่อกินตำแหน่ง มีตำแหน่งผู้กำกับว่างที่นั่น รองผู้กำกับว่างที่นี่ ใช้เส้นใช้สายตัวเองย้ายเข้ามานั่ง นั่งเสร็จพอมีตำแหน่งใหม่เกิดขึ้น เลื่อนตัวเองไปที่อื่น ไหลไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีใครอยู่กับท้องที่นั้นเพื่อพัฒนา เพื่อปราบปราม เพื่อให้ความปลอดภัยกับประชาชน ไม่มี เมื่อมันไม่มีแล้ว มันจะต่างอะไรกันตรงไหน ถ้าคุณให้ตำรวจนั้นขึ้นอยู่กับการปกครองท้องถิ่น นายก อบจ. เพราะตำรวจที่ทำงานก็ตำรวจชุดเดียวกันนั่นล่ะที่อยู่

สมมุติว่าคนโคราช ตำรวจที่โคราช คุณไปดูสิ ไปดูประวัติได้เลย ประทวนก็จะอยู่ในโคราช เป็นคนรอบๆ โคราช อาจจะอยู่ยโสธร อาจจะอยู่ขอนแก่น อาจจะอยู่โน่นอยู่นี่้ ไม่มีหรอกครับตำรวจจากหาดใหญ่ขึ้นมาเป็นตำรวจที่โคราช ไม่มี หรือตำรวจที่โคราชจะลงไปเป็นตำรวจที่ยะลา ก็ไม่มีเช่นกัน ใช้คนที่เป็นพื้นบ้านทั้งนั้น นี่คือคนทำงาน แล้วทำไมนายก อบจ. ถึงจะดีกว่า ผบ.ตร. เพราะว่านายก อบจ. นั้น เวลาเขาหาเสียง ถ้าเขาได้คุมตำรวจแล้ว สิ่งที่เขาหาเสียงคืออความมั่นคง ความปลอดภัย ถ้าข้าพเจ้าและทีมงาน อบจ. เข้ามารับผิดชอบในการปกครองท้องถิ่นจังหวัดนี้ ข้าพเจ้าจะให้ความมั่นใจพี่น้องประชาชนว่า หนึ่ง ข้าพเจ้าเน้นความปลอดภัย สอง ความยุติธรรม สาม จะต้องไม่มียาเสพติด สี่ ไม่มีบ่อนการพนัน ห้า ไม่มีการใช้อำนาจทางมาเฟียเกิดขึ้น กลั่นแกล้งประชาชน


เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อมันสู้กันด้วยคำมั่นสัญญาตรงนี้ แล้วมันมีการเลือกตั้งทุกๆ 4 ปี เพื่อเปลี่ยนทีมนายก อบจ. ทั้งหมด นั่นคือโอกาสที่ประชาชนจะมีสิทธิ์เรียกร้อง หรือสนับสนุนคนที่ทำได้จริงๆ เพื่อความมั่นคง ความปลอดภัย ต่อทรัพย์สินและชีวิต ไม่มีบ่อนการพนัน ไม่มีนักเลงหัวไม้ มองแค่นี้ท่านผู้ชมก็เห็นความแตกต่างกันแล้ว กับระบบที่อยู่ปัจจุบันที่ท่านผู้ชมไม่มีปัญญาเลย ท่านผู้ชมโดนผู้มีอิทธิพลในจังหวัดรังแก ท่านไปร้องใครล่ะ ท่านไปร้องตำรวจ ตำรวจก็ขึ้นอยู่กับส่วนกลาง แต่ถ้าอยู่ในจังหวัดนั้น โดนผู้มีอิทธิพลในจังหวัดกลั่นแกล้งรังแก ประชาชนที่เขารู้เรื่องนี้ เขาจะช่วยท่าน งวดหน้าอย่าไปเลือกมัน ทีมพวกนี้ หรืออาจจะมีคนตั้งทีมเพื่อจะแข่งขันกับนายก อบจ. ต้องมีการคานกันด้วยวิธีนี้ ทุกวันนี้ตำรวจไม่มีการคานกันเลยแม้แต่นิดเดียว อำนาจอยู่ที่ ก.ตร. แล้วอะไรที่ทำให้เรามีความมั่นใจ ? ชอบพูดกันนักว่าคนต่างจังหวัดยังไม่พร้อม ไม่พร้อมอะไรกัน โซเชียลมีเดียมันไปทั่วประเทศไทยอยู่แล้ว คนหนุ่มคนสาว คนรุ่นใหม่ เขาโค่นบ้านใหญ่ลงไปหมดแล้ว ถ้าบ้านใหญ่แน่จริง นครปฐม "สะสมทรัพย์" ไม่พ่ายถึงขนาดนั้นหรอก ถ้าบ้านใหญ่แน่จริง "คุณปลื้ม" ก็ไม่พ่ายอย่างนั้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเช่นกัน

เพราะฉะนั้นวันนี้ประชาชนในต่างจังหวัดเขาตื่นแล้ว เขาตื่นแล้ว ไม่มีอะไรดีเท่ากับตำรวจลงท้องถิ่น เพราะเป็นชุดเดียวกับที่ทำงาน แต่ว่าควบคุมได้มากกว่า คานอำนาจกันได้มากกว่า


ตำรวจนั้น ส่วนกลางก็ยังสามารถที่จะรักษาตำรวจภาคได้ อย่างเช่น ภาค 1 ภาค 2 ภาค 3 ภาค 4 ... ตำรวจภาคทำหน้าที่อะไร ? ทำหน้าที่พัฒนาตำรวจแต่ละจังหวัดในภาคนั้น ทำหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนทุกจังหวัดในภาคนั้น กรณีที่มีคนเข้ามาร้องเรียนว่าถูกตำรวจจังหวัดนั้นรังแก และพึ่งพาจังหวัดนั้นไม่ได้ ถ้าภาคยังไม่ทำงานให้เขาได้รับความยุติธรรม เขามีสิทธิเอาเรื่องราวนั้นวิ่งเข้ามาส่วนกลาง จะเป็นดีเอสไอ หรือจะเป็นตำรวจสอบสวนกลาง ได้ทั้งนั้น

ท่านผู้ชมเข้าใจผมหรือยัง วันไหนถ้าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่มีอำนาจลงสู่ท้องถิ่น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งนายพล 76 จังหวัด และผู้กำกับอีกหลายร้อยตำแหน่ง เรื่องการซื้อขายตำแหน่งก็จะหมดไป ถ้ามันจะซื้อขายตำแหน่ง ให้มันซื้อขายตำแหน่งกันในจังหวัดนั้น แล้วจุดสูงสุดของจังหวัดนั้นก็คือเป็นผู้บังคับการตำรวจจังหวัดนั้น จบ เท่านั้นเอง

ทำไมตำรวจที่เป็นตำรวจทุกคนจะต้องชิงกันขึ้นเป็น ผบ.ตร. กันให้ได้ จริงๆ แล้วเป็นถึงระดับขึ้นเป็นผู้กำกับโรงพัก ผู้กำกับสารภี ผู้กำกับอำเภอเมืองเชียงใหม่ ผู้กำกับอำเภอหนองไผ่ ผู้กำกับอำเภอโน้นอำเภอนี้ ทำงานให้ดี นั่นคือจุดที่เกษียณอายุได้เช่นกัน ในลักษณะนั้น นี่คือเราต้องเข้าใจโครงสร้างทั้งหมดที่ผมกำลังต่อสู้ให้ อธิบายให้ฟังว่า ถ้ามาลงท้องถิ่นแล้ว มันจะดีกว่าระบบปัจจุบันเยอะมาก ไม่ใช่ดีธรรมดา แน่นอน การปรับเปลี่ยนอย่างนี้มันต้องปรับเปลี่ยนกฎหมายหลายฉบับ เมื่อกฎหมายหลายฉบับเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันต้องปรับเปลี่ยนเรื่องงบประมาณ ปรับเปลี่ยนหลายๆ อย่าง การจัดซื้อจัดจ้างก็เป็นปัญหาซึ่งจะสามารถแก้ไขได้ด้วยระดับท้องถิ่น ไม่ใช่จัดซื้อจัดจ้าง เหมือนงบประมาณวันนี้ เจ็ดพันกว่าล้าน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ของ 191 ที่กำลังวิ่งกันตีนขวิด มีไม่กี่เจ้าที่วิ่งกัน เดี๋ยวผมจะเปิดให้ดูว่าใครบ้างที่วิ่งอยู่ตอนนี้


นี่คือหลักการกว้างๆ เพราะฉะนั้นแล้ว ตำรวจที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น สนใจอย่างเดียวคือตำแหน่ง เพราะวันนี้เป็นรองผู้กำกับอยู่จังหวัดนี้ วิ่งเต้น สามารถขึ้นผู้กำกับอีกจังหวัดหนึ่ง ก็ไปทางโน้น เมื่อจากผู้กำกับจังหวัดทางโน้น วิ่งเต้นขึ้นรองผู้การอีกจังหวัดหนึ่งก็ไปทางโน้น ขึ้นเป็นผู้การ แล้วใครมานั่งทำงานให้กับจังหวัดล่ะ ? ก็จะได้นายตำรวจใหม่ๆ ที่วิ่งเต้นเข้ามาสวมตำแหน่งนั้นๆ ตลอดเวลา ไม่มีเวลาพัฒนา ไม่สนใจ

เพราะฉะนั้นแล้ว โมเดลการกระจายอำนาจไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ ดูการเมืองประเทศไทยผ่านมาถูกคุมด้วยนักการเมืองบ้านใหญ่ ตระกูลศิลปอาชา (สุพรรณบุรี) อัศวเหม (สมุทรปราการ) เทียนทอง (สระแก้ว) คุณปลื้ม (ชลบุรี) สะสมทรัพย์ (นครปฐม) และอีกเยอะแยะะ

การเลือกตั้งครั้งล่าสุดสะท้อนว่าการกระจายอำนาจเกิดขึ้นได้จริงๆ ตัวอย่างชัดเลยที่ผมบอกว่าบ้านใหญ่พังทลายไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเรากระจายอำนาจ เราต้องกระจายอำนาจของการเป็นตำรวจเข้าไปด้วย นี่คือหลักการของผม

ท่านผู้ชมครับ อย่าไปประมาท อย่าไปใช้ความคิดสั้นๆ ว่าถ้าอย่างนั้น อบจ. ก็เป็นมาเฟียได้ เพราะมีตำรวจอยู่ในมือ เอ้า! ทุกวันนี้ไม่มี อบจ. เข้าไปคุมตำรวจ บ้านใหญ่ก็คุมตำรวจได้เช่นกัน อย่าว่าแต่บ้านใหญ่เลย เอาแค่กำนันสถุนๆ อย่างกำนันนก มันยังเรียกตำรวจ บางคนเป็นถึงผู้กำกับพญาไท ยังมานั่งถอดเสื้อกินเหล้ากับมันได้ รับส่วยกับมันได้ แล้วมันต่างอะไรกันล่ะ


ถ้าจังหวัดนครปฐม ตำรวจลงท้องถิ่น ประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม รถบรรทุกของกำนันนกวิ่งไปแล้วทำลายถนน มีอำนาจบาตรใหญ่ ประชาชนสามารถใช้สิทธิของตัวเองนี่ล่ะ อย่างน้อยที่สุด ต่อสู้ทางการเมืองเพื่อให้มีการเปลี่ยนคณะผู้บริหารจังหวัดได้ เขายังมีช่องทางที่จะทำอย่างนั้นได้ นี่คือหลักๆ ท่านผู้ชม หลักๆ อยู่ตรงนี้ แต่ผมจะบอกให้ ว่ามันต้องแก้กฎหมายเยอะ มันไม่ได้เกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้หรือวันมะรืนหรอก

ท่านผู้ชมครับ หลังจากที่ผมพูดอาทิตย์ที่แล้วมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล โทรศัพท์มาหาผม ก็พูดในทำนองที่ว่าผมไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับคุณสุรเชษฐ์ เพราะคุณสุรเชษฐ์ ยืนยันว่าเขาไม่ได้คิดที่จะหิวแสง แล้วการที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ โยนคดีของเขาให้ไปอยู่ในมือของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช หรือ ผู้บัญชาการก้อง เขาก็พร้อมจะโยนให้อยู่แล้ว เอาเถอะ ประเด็นที่ผมติง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ คือ ผมไม่อยากให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ล้ำเส้น ล้ำเส้นในเรื่องอะไร ? ในเรื่องการนำเอาความลับในการสืบสวนสอบสวนมาเปิดเผยให้สื่อมวลชนทราบ แต่คุณสุรเชษฐ์ บอกว่า ผมว่าเขาแรงไป ผมจำไม่ได้ว่าผมว่าเขาแรงขนาดนั้นหรือ ผมรู้แต่ว่าผมพูดความจริง จริงๆ แล้วผมพูดกับเขาแบบคนที่เป็นห่วงเป็นใยว่าเขากำลังล้ำเส้นอยู่ ให้เขาหยุด แต่ถ้าเขาไม่สบายใจ ผมก็ขอโทษ ไม่เป็นไรหรอก เอาล่ะ เมื่อเขาชี้แจงมา ผมก็เล่าความรู้สึกกับเขาให้ท่านผู้ชมฟัง


ประเด็นสำคัญที่สุดวันนี้ ทำไมผมถึงพูดว่าอยู่กับตำรวจสอบสวนกลางที่ดีที่สุด ? เพราะไม่มีใครเข้าข้างใครล่ะ ผมเล่าให้ฟังว่ามี 3 คน พล.ต.อ.รอย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่มีสิทธิ์ที่จะเป็น ผบ.ตร. ผมพูดเพราะผมไม่ต้องการให้มีการเข่นฆ่ากันในทางด้านชื่อเสียง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ อาจจะมีจุดอ่อนอยู่เยอะมาก ก็อาจจะถูกมองไปว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถือโอกาสนี้ทำงานด้านนี้ เพื่อที่จะทำให้การคัดเลือก ผบ.ตร. นั้น มันไม่เป็นไปตามที่ทุกคนคาดหมาย แต่ไม่เป็นไร ถ้า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่าเขาไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่ผมก็ยังยืนยันว่าสิ่งที่ผมทำนั้น ไม่ผิด เพราะ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้นพูดเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เรื่องความลับในการสอบสวนมากจนเกินไป มากจนเกินงาม แต่ถ้า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่สบายใจ ร้องเรียนมาทางผม ผมก็จะอธิบายให้ฟังว่านี่คือความคิดเห็นของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เอาเถอะ ถ้า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่าเขาไม่ได้คิดอย่างนั้น และเขาตั้งใจทำงาน ก็แล้วแต่ ถ้าคุณพูดอย่างนี้มา ก็โอเค ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น แต่การกระทำทุกอย่างจะเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะผมเคยพูดมาตั้งนานแล้วว่า "ความจริงมีหนึ่งเดียว" และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช จะต้องทำความจริงที่มีหนึ่งเดียวให้ปรากฏให้ได้ นั่นคือสิ่งที่ผมยืนยันอยู่ตลอดเวลา ว่าวันนี้ พล.ต.ท.จิรภพ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับใคร แต่จะทำงานชิ้นนี้ด้วยความตรงไปตรงมา ไม่เข้าข้างใคร แล้วถ้าสมมุติ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอย่างนั้น และไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น ก็ให้ท่านผู้ชมเข้าใจแล้วกันว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ประท้วงผมมาแล้ว แล้วก็ชี้แจงในเหตุการณ์ต่างๆ ท่านผู้ชมเข้าใจตามนี้กันนะครับ

แก๊งทะลุวัง = แก๊งค้ามนุษย์ ?

ท่านผู้ชมครับ ผมมีเรื่องหนึ่งที่ผมติดค้างท่านผู้ชมเอาไว้ เป็นกรณีของแก๊งเด็กถ่อย สถุน พ่อแม่ไม่สั่งสอน ที่ชื่อ "กลุ่มทะลุวัง" ผมกับทีมงานได้เจาะข้อมูล ทยอยเอาเรื่องราวมาเปิดเผยไปตั้งแต่กรณี "หยก" กับโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ ที่กลายเป็นประเด็นทางสังคมตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 แล้ว ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านผู้ชมที่เคยติดตามข่าวก็จะเห็นว่า หยก กับแก๊งทะลุวัง ออกมาสร้างเรื่องอีก ภายใต้การสนับสนุนในการสร้างสตอรี่ เรื่องราว สร้างภาพของแก๊งทะลุวัง และเพจเฟซบุ๊กเครือข่ายสามนิ้วว่า น้องหยก อดไปทัศนศึกษาค่ายภาษาจีน โรงเรียนเตรียมพัฒน์ เมื่อปลายเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมานี้


เฟซบุ๊ก "ไข่แมวชีส" ซึ่งเป็นเครือข่ายกลุ่มสามนิ้ว ได้เผยแพร่กระจายกิจกรรมต่างๆ และกลุ่มต่างๆ และกลุ่มทะลุวัง เฟซบุ๊กนี้รายงานว่า ช่วงเช้าพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม หยก อายุ 15 ปี แต่งกายด้วยชุดไพรเวต เดินทางไปโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ เขตสวนหลวง เพื่อไปเข้าค่ายเรียนภาษาจีนที่จังหวัดนครปฐม โดยมีเจ้าเก่า ซึ่งในขณะนี้ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง ซึ่งขณะนี้โดนตำรวจตั้งประเด็นสอบสวนในกรณีค้ามนุษย์ แกนนำกลุ่มตัวเองที่เรียกว่า ทะลุวัง พาไปส่งที่โรงเรียน โรงเรียนปฏิเสธก็เลยวุ่นวายขึ้นมา


จากข้อมูลข้อเท็จจริงที่ส่งมาก็คือว่า หยก กับแก๊งทะลุวัง ที่หยกไป หยกไม่ได้กะจะไปทัศนศึกษาหรอก เพราะอะไร ? เพราะ หยก รู้อยู่แล้วว่าตัวเองสถานะนักเรียนไม่มี เพราะการมอบตัวไม่สมบูรณ์ เงินค่าเทอมที่ บุ้ง มั่วนิ่วเอาไปจ่ายเป็นค่าเล่าเรียน โรงเรียนเขาคืนมาให้แล้ว หยก บอกจะไปทัศนศึกษาค่ายภาษาจีน แต่ดูชุดที่ หยก ใส่ ดูสีผม เปรียบเทียบกับเพื่อนคนอื่นแล้วเขาทำตามระเบียบ หยก ไม่ได้ทำตัวตามระเบียบโรงเรียน อยากเข้าร่วมกิจกรรม แล้วก็อ้างคำพูดเก่าๆ ว่าปกป้องสิทธิตัวเอง


หยก อ้างว่าจะไปค่าย แต่ หยก ยกพลเป็นทีมเลย พร้อม บุ้ง กับแก๊งทะลุวังไปกันหมด มีทั้งทีมตากล้อง ทีมเขียนคอนเทนต์สำหรับภาพจากกล้อง นี่ที่ผมได้ดู เป็นกล้องอย่างดี เตรียมถ่ายภาพ สร้างภาพเอาไว้ให้เหมือนว่าหยกถูกรังแก ถูกเพื่อน ถูกโรงเรียนทอดทิ้ง แต่ถ้าเราพิจารณาถึงองค์ประกอบทุกอย่างแล้ว อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าไปค่ายครับ เขาเรียกว่ามาสร้างคอนเทนต์ หาเรื่อง ส่วนพวกที่ทำอยู่ก็ไม่ใช่พฤติกรรมของนักเรียน แต่เป็น "นักแสดง" ซึ่งจุดประสงค์ของการทำทั้งหมดนี้เพื่อเก็บเอาไว้ เอาไปโชว์ เพื่อขอเงินนายทุนอีกทีหนึ่ง


หลักฐานชิ้นหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าแก๊งทะลุวังกำลังแสดงละครอยู่ คือ หยก ขึ้นไปบนรถทัวร์และแอบอัดคลิป แอบไลฟ์ระหว่างที่พูดคุยและโต้เถียงกับเพื่อนๆ บนรถทัวร์ที่กำลังจะไปทัศนศึกษา แต่ต้องยกย่องชมเชยคุณครูโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ กับเพื่อนๆ เขาเตรียมตัวไว้แล้ว เขาไม่หลงกล ไม่ได้ต่อว่าหรือพูดอะไรรุนแรงไป เพราะว่า หยก อัดคลิปเอาไว้เผื่อมีการพูดจารุนแรง จะได้เอามาประจาน แล้วเขาพยายามใช้ความอดทน ใจเย็น อธิบายเหตุผลให้ หยก ฟังว่าทำไม หยก ไปทัศนศึกษาไม่ได้ ข้อหนึ่ง ข้อสอง ข้อสาม ข้อสี่ ข้อห้า ซึ่งถ้าคนได้ฟังแล้วจะเข้าใจทันทีและชื่นชมว่าโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ ทั้งครู ผู้ปกครอง อบรมสั่งสอนเด็กนักเรียนที่นี่เพื่อรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างดี มีปฏิภาณไหวพริบดีมาก


นอกจากนี้ ในอีกไม่กี่วันต่อมา คือวันที่ 12 กันยายน หรืออีก 12 วันต่อมา หยก พร้อมบุ้ง เนติพร ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ปกครอง หยก เดินทางมาโรงเรียนเพื่อยื่นหนังสือถึงผู้อำนวยการโรงเรียน สอบถามความชัดเจนเรื่องประเด็นต่างๆ ที่ หยก สงสัย โดยมีคุณสายพิณ พุทธิสาร รองผู้อำนวยการกลุ่มบริหารทั่วไป เป็นผู้รับหนังสือ

มีทวิตเตอร์ของ "เจ๊จุก คลองสาม" โพสต์ภาพ ระบุว่า น.ส.เนติพร หรือ บุ้ง พา หยก สวมเสื้อยืด-กางเกงขายาว มาที่หน้าโรงเรียนตั้งแต่เวลา 08.30 น. เพื่อรอผู้สื่อข่าวออนไลน์เข้ามาทำข่าว ก่อนจะนั่งอ่านหนังสือหน้าประตู ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพเสร็จก็ลุกออกไป มาให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพเท่านั้นเอง ระบุว่า เปิดโปงขบวนการอีแอบอยู่เบื้องหลัง ทั้งหมดนี้ หยก ไม่ได้คิดเองหรอก มีคนวางพล็อตให้ มองแววตาของ หยก ตอนนี้แล้วเห็นแววตาของเด็กอีกคนหนึ่งอยู่ในนั้น เพราะว่าแด๊ดดี้พาทำคอนเทนต์ตั้งแต่เด็กเลย พรรคก้าวไกลคือตัวการสำคัญที่อยู่เบื้องหลัง หยก ท่านผู้ชมครับ จำคำพูดผมไว้ "พรรคก้าวไกลคือตัวการสำคัญที่อยู่เบื้องหลัง หยก ตั้งแต่ต้น" พรรคก้าวไกลอย่าปล่อยให้ หยก สู้ตามลำพัง ออกมาได้แล้ว


สิ่งที่ผมจะบอกในเรื่องนี้คือว่า สิ่งที่แก๊งทะลุวัง สิ่งที่พวกคุณกำลังทำอยู่นั้นมันย้อนแย้งสิ้นดี เรียกร้องสิทธิเสรีภาพของตัวเอง คุณเอาแต่ตัวกู ของกู แต่คุณได้ละเมิดสิทธิผู้อื่น เยาวชนคนอื่นเขาถามมาว่า หยก เอาสิทธิอะไรมายืนขวางรถที่เขากำลังจะไปทัศนศึกษา ไม่ให้เขาไป เอาตากล้องไปถ่ายรูป/คลิปคนโน้นคนนี้ แอบเอามือถือไปไลฟ์ แอบอัดเสียงเพื่อนนักเรียน ม.4 เตรียมพัฒน์ฯ ยาวนานตั้ง 30-40 นาที แล้วต่อมา หยก ก็ไปนั่งหน้าโรงเรียนสร้างภาพ สร้างอีเวนต์ เข้าโรงเรียนไม่ได้ก็เลยนั่งอ่านหนังสือหน้าโรงเรียน ตีข่าวเป็นตุเป็นตะ ทำเอาผู้ปกครองและเด็กคนอื่นๆ ไม่เป็นอันจะเรียนหนังสือ


ทั้งหมดนี้มันชัดเจนว่า หยก เรียกร้องสิทธิของตัวเอง เคลื่อนไหวโน่นเคลื่อนไหวนี่ แต่ตัวพวกคุณเองกำลังละเมิดสิทธิของคนอื่น ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ เขาฟ้องร้องคุณ คุณจะออกมาร้องไห้กระจองอแงว่าถูกรังแก แล้วคุณก็สามารถจะสร้างคอนเทนต์ สรุปแล้วคือ สร้างคอนเทนต์เพื่อให้ยัยบุ้งไปเรียกเงินเขา ง่ายๆ


เอาล่ะ เรามาดูต้นเดือนกันยายน วันที่ 3 กันยายน ช่อง YouTube ได้เผยแพร่คลิปสัมภาษณ์เมนู สุพิชฌาย์ ชัยลอม กับ พลอย เบญจมาภรณ์ นิวาส อดีตสมาชิกกลุ่มทะลุวัง ซึ่งประกาศแตกหักกับ บุ้ง และแก๊งทะลุวัง ตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 ปัจจุบันขอลี้ภัยอยู่ที่ประเทศแคนาดาแล้ว ทั้งสองคนกล่าวถึงเบื้องหลังและรายละเอียดระหว่างออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยไปอาศัยอยู่กับ บุ้ง ทะลุวัง น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม ที่คอนโดมิเนียม คลิปดังกล่าวยาวประมาณครึ่งชั่วโมง ผมจะสรุปเนื้อหามาให้ท่านผู้ชมได้รับทราบก็แล้วกัน ใจความสำคัญมีอย่างนี้ครับ


บุ้ง ชอบรับเด็กที่มีปัญหาครอบครัวให้มาอยู่ด้วย ทำตัวเหมือนพ่อแม่ แต่บังคับ ขูดรีดให้ทำงานเคลื่อนไหวตลอดเวลา เพื่อแลกกับการเอาเรื่องราวต่างๆ ของเด็กพวกนี้มาไถเงินกลุ่มคนที่ต้องการสร้างความวุ่นวายและการดูแล เมนู กับ พลอย ย้ายไปอยู่กับบุ้งเนื่องจากมีปัญหาทะเลาะกับที่บ้าน จากการที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง พ่อของเมนูเป็นตำรวจ เมนู รู้จักกับ บุ้ง ตอนอายุ 19 ส่วนพลอยรู้จักบุ้ง มา 3 ปี ตั้งแต่ 15-16 ปี ทั้งสองคนก็เลยไปพึ่งพายัยบุ้ง ซึ่งตอนนั้น 25-26 ปีแล้ว เป็นผู้ใหญ่คนเดียวในบ้าน ที่เหลือเป็นเด็ก


"ตอนแรกบุ้งเขาทำตัวเหมือนพ่อแม่ เหมือนคลอดเราออกมา พออยู่ไปนานๆ เข้า มันก็มีเรื่องของการเอาเงิน มีผลประโยชน์เกิดขึ้น เราต้องออกไปทำกิจกรรม เขาเอาจุดที่เราไม่มีที่บ้านซัปพอร์ตตรงนี้มาในการขอทุนเพื่อเลี้ยงดูเราและตัวเขาด้วย ตัวเขาไม่ได้ทำงาน พอเราเหนื่อย หมดไฟ เขาก็เริ่มแสดงออกด้วยการพูดจารุนแรง นอกจากเงินทุนที่เราออกไปทำกิจกรรมแล้ว มันก็ยังมีเงินที่เราขายของได้ พวกสติกเกอร์ เขาเป็นคนบอกเราว่าจะต้องเอาเงินตรงส่วนนี้ไปจ่ายค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ เอาเงินเราไปหมดเลย" พลอย เบญจมาภรณ์ กล่าว


ท่านผู้ชมครับ แม้แต่เด็กอย่างเมนู กับพลอย ก็รู้สึกกลัว แต่ต้องทำตามเพราะถูกกดดันจากบุ้งอย่างหนัก โดยในกลุ่มมีสมาชิกประมาณ 10 คน มีคนออกหน้าแค่ 4 คน ที่เหลือนั้นอยู่เบื้องหลัง

ท่านผู้ชมยังจำภาพนี้ได้ไหม เป็นเหตุการณ์ของ หยก ที่โรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ที่้ผ่านมา ในภาพระบุรายละเอียดคร่าวๆ สอดคล้องกับที่ เมนู สุพิชฌาย์ ออกมาเปิดเผยล่าสุด "หยก" เป็นนักแสดง "บุ้ง" เป็นผู้กำกับ "ตะวัน" เป็นโปรดิวเซอร์ เป็นที่ปรึกษา กำกับบท


ส่วนข้างล่างเป็นภาพเมื่อวันอังคารที่่ 12 กันยายน ที่ผ่านมา เร็วๆ นี้เอง เป็นภาพหน้าโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ มีขบวนการนักแสดง มีการบรีฟแผนว่าต้องแสดงอย่างนี้ๆ นะ มีการจัดพร็อพ ช่างภาพนำไปลงส่งสื่อต่างๆ ในเครือข่าย เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ เว็บไซต์ ส่งไปที่เว็บไซต์ The Matter ซึ่งเป็นเว็บไซต์ตัวการอีกเว็บไซต์หนึ่งที่สนับสนุนกลุ่มทะลุวัง แล้วก็วางแผนอยู่เบื้องหลังเช่นกัน สำนักข่าวอื่นๆ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีฝ่ายบัญชี ฝ่ายไลฟ์สดโซเชียล ฝ่ายเก็บภาพนิ่ง ฝ่ายวิดีโอ ท่านผู้ชมครับ นี่มันคือการสร้างหนังนะ โดยเอาเด็ก คือ หยก มาเป็นเหยื่อ เป็นตัวละคร ที่สำคัญมีนักข่าวจากสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ตามประกบอยู่


ท่านผู้ชมครับ ไอ้สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย มีใครอยู่รู้ไหม ? นายโจนาธาน เฮด นักข่าวฝรั่งตัวสำคัญจาก BBC

BBC อีกแล้วท่านผู้ชม ไอ้สำนักข่าวเลวระยำนี่ล่ะ ไม่ว่าจะเป็น BBC ภาษาอังกฤษ หรือ BBC ภาษาไทย ยุแยงตะแคงรั่วกระทบสถาบันกษัตริย์ อ้างว่าเป็น Free Speech สิทธิในการพูดจา ล่าสุด BBC สัมภาษณ์นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยังพาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ เปิดประวัติในอดีตแล้ว นายโจนาธาน เฮด เคยถูกแจ้งจับข้อหาหมิ่นเบื้องสูงด้วย แต่มันหลุดคดีนี้ได้อย่างไร ผมสงสัยอยู่ว่ามีใครช่วย ทุกวันนี้ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมไทยได้ ผมไม่เข้าใจผู้รับผิดชอบ ถ้าผมเป็นรัฐบาล ผมจะเนรเทศไอ้บ้านี่ออกไป ถ้าไม่เนรเทศออกไปก็แสดงว่าพวกคุณสมรู้ร่วมคิดกับไอ้บ้านี่ใช่ไหม


เอาล่ะ เรากลับมาถึงเบื้องหลังของ บุ้ง เนติพร กับแกนนำกลุ่มทะลุวังต่อไป เมนู สุพิชฌาย์ เปิดเผยบรรยากาศระหว่างที่อยู่กับ บุ้ง ว่า เขาเลือกที่จะใช้วิธีไปพูดกับคนอื่นว่าเราเป็นคนไม่ดี ตลอดเวลาที่อยู่กับเขาบรรยากาศในห้องมันแย่มากๆ มันเหมือนนรก ทุกคนไม่มีความสุข ไม่มีใครกล้าทำอะไร ทุกคนอึดอัด ออกไม่ได้ ต่างคนต่างคิดว่าออกไปแล้วจะทำอย่างไรดี ตอนที่พวกเราโดนหมายจับ แทนที่จะได้หายใจได้กลับไปตั้งหลักตั้งสติใหม่ กลายเป็นต้องหนีหัวซุกหัวซุน ทั้งๆ ที่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย มันเป็นความแพนิคของเขาไปเอง กดดันให้ทุกคนเครียด หมายจับออกแล้วนะ หลังจากนั้นต้องเข้าไปคุยกับนักจิตบำบัด

เมื่อถามว่าเงินที่ บุ้ง เนติพร และกลุ่มทะลุวัง ใช้ในการเคลื่อนไหว ใช้ในชีวิตประจำวันมาจากไหน ? พลอยตอบว่า "จากแฟนเขาส่วนหนึ่ง แต่เราไม่รู้เบื้องหลัง ตรวจสอบบัญชีไม่ได้ว่ามาจากไหนบ้าง แต่ที่รู้มาแน่ๆ ตอนนั้นเด็กออกจากบ้านกันหมด มันมีเงินจากแหล่งทุนมาซัปพอร์ตจากต่างประเทศ แล้วเราต้องทำคอนเทนต์โปรไฟล์ยื่นไปขอทุนทำกิจกรรม แล้วเงินก็ถูกส่งเข้าบัญชี บุ้ง คนเดียว บุ้ง เอามาดูแลบริหารชีวิตตัวเอง ดูแลชีวิตแฟนเขา คือนายทิด โชคสิทธิกร และดูแลพวกเด็กๆ ที่เดือดร้อน ออกจากบ้าน บุ้ง ไม่ได้ทำงานแล้ว เขาลาออก ส่วนแฟนเขาเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน


ถ้าท่านผู้ชมลองไปค้นหาข่าวย้อนหลัง ไม่ว่านายทิด แฟนหนุ่มของบุ้ง น่าจะรู้จักและจบมหาวิทยาลัยเดียวกัน คือเกษตรศาสตร์ เคยตกเป็นข่าวว่าบุกเข้าไปในห้องเพื่อค้นหาบัตรประชาชนของบุ้ง โดยไม่ได้ขออนุญาตเด็กๆ ผู้หญิงในห้อง สร้างความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

ประเด็นครับ เมื่อท่านผู้ชมลองไล่เรียงเรื่องราวและเงื่อนไขต่างๆ ปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ท่านผู้ชมก็จะเห็นว่าแท้ที่จริงแล้ว แก๊งทะลุวัง คือ "ลัทธิ" หรือขบวนการอะไรบางอย่างในการหลอกเอาเด็ก/เยาวชนที่มีปัญหาในครอบครัวมาใช้งาน กระทำการมีเป้า วัตถุประสงค์ถูกกำหนดไว้แล้ว รูปแบบแก๊งทะลุวัง หรือลัทธิ จะมีแบบนี้ครับ หนึ่ง คัดสรร ตามล่าเอาเด็กที่มีปัญหา ทะเลาะกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง ยกตัวอย่างเช่น หยก พลอย เมนู ยัดข้อมูลต่างๆ เอาหนังสือจากคนโน้นคนนี้ โดยเฉพาะฝั่งสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน และนักวิชาการเครือข่ายล้มเจ้า ยุยงส่งเสริมให้ออกมาต่อต้านสถาบัน แล้วก็พัฒนาไปสู่ความรุนแรงเพื่อให้โดนคดีความ ยกตัวอย่างเช่น ผิดพระราชบัญญัติการชุมนุม ผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112


เมื่อเด็กเหล่านี้โดนคดีก็มีปัญหากับพ่อแม่ ผู้ปกครอง ส่วนใหญ่จะทะเลาะกันรุนแรง ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการตัดเงิน ตัดค่าขนม เด็กเหล่านี้เมื่อขาดที่พึ่งก็วิ่งเข้าไปหาคนกลุ่มนี้โดยอัตโนมัติ เพราะตอนแรกคนอย่าง บุ้ง เนติพร จะทำตัวเหมือนพ่อเหมือนแม่ รับเข้าไปอยู่ด้วย เอาไปอยู่ที่คอนโดฯ ให้ที่พัก เลี้ยงข้าว เลี้ยงน้ำ เลี้ยงขนม ตามใจ พาไปเที่ยว ซื้อของโน่นซื้อของนี่ พออยู่ได้สักพักเด็กเริ่มตายใจ ก็จะถูกใช้ให้ทำโน่นทำนี่ ยกระดับการเคลื่อนไหวไปถึงขั้นก่อความรุนแรงโดยการใช้ความกดดันเชิงจิตวิทยาให้รู้สึกว่าต้องทำ ต้องทำ ต้องทำ ถ้าไม่ทำเหมือนจะเอาเปรียบเพื่อนๆ คนที่ถูกเชิดมาเป็นนักแสดงตัวหลัก "หยก" ก็คือหนึ่งในนักแสดงนั้นเช่นกัน


เมนู กับ พลอย เคยถูกใช้เป็นนักแสดง แต่ตอนหลังหนีออกจากบ้านแล้วขอลี้ภัยไปต่างประเทศ มีคนอื่นๆ คอยแบ็กอัป เขียนบท มีสื่อต่างๆ ทั้งโซเชียลมีเดีย สื่อในประเทศ สื่อต่างประเทศ ทำกันอย่างเป็นขบวนการ

ท่านผู้ชมลองนึกภาพดูสิครับ นี่เป็นภาพที่เจ้าหน้าที่ได้ค้นรังของกลุ่มทะลุวังเมื่อปี 2565 จากหลายๆ คดีที่คนในกลุ่มโดน ผมเอาภาพขึ้นให้ดู ภาพนี้คือกระดานไวท์บอร์ดที่สมาชิกกลุ่มทะลุวังเขียนไว้ เขียนเรื่องอะไร ? เขียนถึงตารางงานการเคลื่อนไหวและแผนต่างๆ ออกอย่างเป็นระบบ ตามผมมา ผมจะเอาภาพให้ดูแล้วจะเอาข้อความในภาพออกมาชี้แจงให้ฟัง


18 เมษายน ยื่นหนังสือสถานทูตเยอรมัน (เช้า) ทำโพลกฎหมาย (เย็น) 19 เมษายน บุ้ง+ใบปอ เจอคุก เครื่องหมายตั้งคำถาม คือในกรณีถ้าติด พลอยโกนหัว เผารูปรัชกาลที่ 10 เอาภาพพลอยทะลุวังร่ำไห้ โกนหัวประท้วง ใบปอ+ บุ้ง ถูกขัง ลั่น! ประเทศนี้แสดงความเห็นไม่ได้ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565


20 เมษายน ลงสัมภาษณ์รอยเตอร์ พร้อมประกาศแถลงข่าวที่ FCCT สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศฯ สมาคมระยำ ช่วยไปบอกมันด้วย ไปบอกโจนาธาน เฮด ด้วยว่าพวกมึงนี่ระยำมาก

21 เมษายน พลอย และ เมนู แถลงว่าต้องการตรวจสอบคุกวังทวี โยงมาว่าให้ FCCT สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ประชาสัมพันธ์เรื่องคุกวังทวีของพลอย 22 เมษายน เขียนว่า คุกนานเข้า คุกวังทวี (เช้า)


ท่านผู้ชมครับ มีการคิดหัวข้อการทำโพลที่จงใจกระทบกระเทือน ด้อยค่าและหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ ทางด้านขวายังมีการจัดเตรียมทำอาร์ตเวิร์กงานพีอาร์ต่างๆ ใบปอ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดต่างๆ โพล สรุปผลโพล ประมวลภาพพีอาร์ตอนขึ้นศาล พีอาร์เรื่องติดคุก พีอาร์เรื่องแถลงข่าว


ท่านผู้ชมครับ แก๊งทะลุวังมันทำทั้งหมดนี้เพื่ออะไร ? ผมเอาคำตอบของ เมนู กับ พลอย ให้ฟังก็แล้วกัน เมนู กับ พลอย บอกว่า ทำทั้งหมดนี้เพื่อนำผลงานไปขอทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ อ้างว่าเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนไหว ท่านผู้ชมครับ การกระทำนี้เข้าข่ายว่าเป็นการกระทำผิด อะไรรู้ไหม ? ข้อหาและบทลงโทษแรงมาก คือ "การค้ามนุษย์" ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส


เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 ได้นำพยานหลักฐานเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามค้ามนุษย์ (ปคม.) มี พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา เป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบพยานหลักฐาน โดยเป็นหลักฐานที่แสดงว่า บุ้ง ทะลุวัง หรือ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม มีพฤติกรรมเบื้องต้น คือ รับเลี้ยงเด็กอายุ 15 หรือ หยก ธนลภ โดยหวังผลประโยชน์ ใช้เด็กเป็นเครื่องมือในการรับเงินเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายในการอุปการะเลี้ยงดู ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง นอกจากนี้ ยังมีบุคคลที่เคยอยู่ในความดูแลของ บุ้ง เช่น พลอย ทะลุวัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุถึงพฤติกรรมที่เข้าข่ายค้ามนุษย์ของ บุ้ง ทะลุวัง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวน


ท่านผู้การศารุติ ครับ เร็วหน่อยได้ไหมครับ อย่าชักช้า ยิ่งช้าเท่าไร คนที่เจ็บช้ำที่สุดก็คือ หยก เพราะถูกพวกนี้หลอกใช้ คนที่ได้เงินได้ทองคือ บุ้ง และประเทศชาติเสียหายทั้งหมด สถาบันพระมหากษัตริย์เสียหายไปหมด

ความผิดฐานค้ามนุษย์ และการบังคับใช้แรงงาน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มีองค์ประกอบ 3 ข้อ

1, มีการกระทำ "จัดหา ซื้อ ขาย จำหน่าย พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด หน่วงเหนี่ยวกักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้" ตรงเป๊ะเลย คือยัยบุ้ง ไปเที่ยวหาเด็กมา เอามาอยู่ด้วย

2. มีวิธีการ "ข่มขู่ ใช้กำลังบังคับ ลักพาตัว ฉ้อฉล หลอกลวง ใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้อำนาจครอบงำด้วยภาวะอ่อนด้อย ขู่เข็ญ ให้เงินหรือผลประโยชน์อื่นแก่ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล" ยัยบุ้ง เข้าข่ายนี้หมด

3. มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ "แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ 8 รูปแบบ ได้แก่ (1) การค้าประเวณี (2) การผลิตหรือเผยแพร่สื่อลามก (3) ประโยชน์ทางเพศรูปแบบอื่น (4) การเอาคนลงเป็นทาส (5) การนำคนมาขอทาน (6) การตัดอวัยวะเพื่อการค้า (7) การบังคับใช้แรงงานหรือบริการตามมาตรา 6/1 (8) การอื่นใดที่คล้ายคลึงกันอันเป็นการขูดรีด"


กรณีการทำกับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ยกตัวอย่างกรณีที่ บุ้ง เนติพร ทำกับ หยก และ พลอย แค่องค์ประกอบ 2 ข้อ ได้แก่ (1) การกระทำ และ (3) มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ไม่จำเป็นต้องใข้ข้อ (2) ก็เข้าข่ายค้ามนุษย์แล้ว ท่านผู้การศารุติ ครับ เร็วหน่อยครับ จับพวกนี้เข้าข้อหาค้ามนุษย์ ฟ้องศาล แล้วก็ยื่นคัดค้านการประกันตัว

จากกรณีการเคลื่อนไหวของ หยก และการออกมาแฉของ เมนู และ พลอย เวลานี้คนส่วนใหญ่ในสังคมเริ่มเห็นธาตุแท้ของแก๊งทะลุวังกันมากขึ้นแล้ว แต่ประเด็นสำคัญที่คนถามอยู่ตลอดเวลา คือ แล้วใครเป็นไอ้โม่ง เป็นนายทุนที่คอยให้เงินให้ทุน คอยดันหลัง รวมทั้งคอยให้ความช่วยเหลือเมื่อถูกดำเนินคดีและการประกันตัวกลุ่มทะลุวัง ? จริงๆ แล้วถ้าท่านผู้ชมติดตามข่าวมา เรื่องนี้ค่อนข้างชัดเจน แม้ว่าในวันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา เมนู และ พลอย ทะลุวัง จะพยายามออกมาปฏิเสธว่าการเคลื่อนไหวของแก๊งทะลุวังนั้นไม่มีหลักฐานว่าพรรคการเมืองใด หรือกล่าวจริงๆ ก็คือพรรคก้าวไกล เข้ามาสั่งการแทรกแซงหรือครอบงำก็ตาม แต่หลักฐานและภาพถ่ายต่างๆ ที่ยืนยันถึงความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ระหว่างแก๊งทะลุวัง และพรรคก้าวไกลนั้น ปรากฏชัดเสียยิ่งกว่าชัด ผมจะทบทวนความจำให้ฟังอีกทีนะครับ


2565 "ตะวัน ทะลุวัง" น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ เคยตกเป็นผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกมาจากเรือนจำ ในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน มาตรา 368 ฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงาน และความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ ในกรณีที่เธอโพสต์เฟซบุ๊กไลฟ์สดก่อนมีขบวนเสด็จ ณ วันที่ 5 มีนาคม 2565 ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 นายประกันของ ทานตะวัน ทะลุวัง คือใคร ? ชื่อนายกฯ ทิพย์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ศาลให้เหตุผลว่า ผู้ร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นผู้น่าเชื่อถือ จะกำกับดูแลและควบคุมจำเลยได้กรณีนี้จึงมีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย


ท่านผู้ชมครับ ผมเอารูปของนายพิธา กับ ตะวัน แบม ทะลุวัง เวทีหาเสียงของพรรคก้าวไกล มีอยู่หลายรูป ท่านผู้ชมดูเอาเองก็แล้วกันครับ

แม้กระทั่งเจี๊ยบ อมรัตน์ ก็ออกมาแสดงท่าที เมื่อกลุ่มทะลุวังออกมาจี้ให้ช่วย น้องหยก กรณีมีปัญหาเข้าเรียนที่้เตรียมพัฒน์ฯ เจี๊ยบ ก้าวไกล แกนนำพรรคก้าวไกล เป็นนายประกันที่ยื่นขอประกันตัวกับสายน้ำ ทะลุวัง หรือ นภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ ภาพข้างล่างคือเอกสารที่ เจี๊ยบ อมรัตน์ เคยยื่นให้สถานีตำรวจยานนาวา เมื่อเดือนธันวาคม 2563


จากหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เปิดเผยจากหน้าสื่อ และเป็นที่รับรู้กันทั่วไปเหล่านี้ชัดเจนเลยว่าพรรคก้าวไกลแท้ที่จริงแล้วคือไอ้โม่งจอมบงการที่อยู่เบื้องหลังแก๊งทะลุวังนั่นเอง

ท่านผู้ชมครับ นอกจากหลักฐานเชิงประจักษ์ทางหน้าสื่อแล้ว ทางผมกับทีมงานยังมีหลักฐานเชิงลึกที่เมื่อนำมาปะติดปะต่อกับเส้นทางเวลา หรือไทม์ไลน์ การเคลื่อนไหวของแก๊งทะลุวังและเหล่าแกนนำหลักๆ ไม่ว่าจะเป็น บุ้ง ตะวัน แบม สายน้ำ รวมถึงหยก เราจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ภาพอะไร ?

ภายหลังจากเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคก้าวไกล พ่ายแพ้จากการลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีจากรัฐสภาแบบขาดลอย สัปดาห์ต่อมา วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายพิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. เมื่อเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นก็เลยมีความพยายามในการฟอร์มตั้งรัฐบาลใหม่ การฉีก MOU 8 พรรคเดิมที่พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยที่พรรคเพื่อไทยเป็นตัวตั้งตัวตี


2 สิงหาคม พรรคเพื่อไทย โดยนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ประกาศฉีก MOU 8 พรรคของการตั้งรัฐบาลพรรคก้าวไกล เนื่องจากติดเงื่อนไขเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ที่ทำให้การจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคไม่สำเร็จ พร้อมทั้งเสนอนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกฯ

วันที่ 4 สิงหาคม 2566 ผู้ที่ทรงอิทธิพล เบื้องหลังพรรคก้าวไกล เป็นผู้หญิง มีเอกลักษณ์คือคางยื่นๆ ได้แอบย่องเข้าไปที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งแถวๆ บางซื่อ กรุงเทพฯ อาคารดังกล่าวเป็นคอนโดมิเนียมที่ บุ้ง เนติพร เสน่ห์สังคม หัวโจกแก๊งทะลุวัง พักอาศัยอยู่ มีหลักฐาน มีรูปถ่ายทั้งหมดว่าคนคางยื่นคนนี้ไปหา บุ้ง เนติพร ตั้งแต่ช่วงเที่ยงถึงช่วงบ่าย ใช้เวลาเจอกันอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นผู้หญิงคางยื่นคนนี้ก็เดินออกมาจากคอนโดฯ ของบุ้ง


จากนั้น บุ้ง เนติพร รีบออกจากคอนโดมิเนียมทันที โดยปลายทางไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ตรงดิ่งไปที่งานเสวนาของคณะสังคมศาสตร์ เพื่อไปรวมกลุ่มรวมก้อนกับสมาชิกแก๊งทะลุวังที่รออยู่ในงานเสวนา สาเหตุที่แก๊งทะลุวังต้องไปนัดคุย รวมตัวที่งานเสวนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อจะหลบรอดสายตาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ที่แฝงสะกดรอยตาม ดูความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ เพราะเจ้าของงานไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เข้างาน เพราะไม่ใช่นักศึกษา

จากนั้นแก๊งทะลุวังใช้เวลาอยู่ในงานเสวนาไม่นาน ออกมารวมตัวกันหน้าคณะสังคมศาสตร์ ดังรายชื่อต่อไปนี้ ตะวัน-ทานตะวัน ตัวตุลานนท์, ชาติชาย แกดำ, แทนฤทัย แท่นรัตน์, สมยศ พฤกษาเกษมสุข (คนนี้ท่านผู้ชมน่าจะคุ้นเคยกันดี ผมรู้จักเขาดีพอสมควร เพราะว่าเขาเคยติดคุกอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แล้วเขามาสอบมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เขาย้ายจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แล้วมาพักอยู่แดนเดียวกับที่ผมอยู่ คือแดน 7 เราได้มีโอกาสทานข้าวมาด้วยกัน), บุ้ง-เนติพร เสน่ห์สังคม, ชาญชัย น้อยวงศ์, นรินทร์ กุลพงศธร, สายน้ำ-นภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์, ณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร, อันนา อันนานนท์ และ วิชญาพร ตุงคะเสน ซึ่งเป็นแฟนสาวของสายน้ำ


(รูป) นายสมยศ คนใส่แว่น กับเหล่าสมาชิกกลุ่มทะลุวัง วันที่ 4 สิงหาคม 2566


สำหรับนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ทุกคนรู้มาว่าแกติดคุกเพราะมาตรา 112 แล้วแกเป็นคนที่เด็ดขาด ไม่เอากษัตริย์อย่างแน่นอน ล้มล้างได้ด้วยวิธีใดจะล้มล้างหมด เพราะว่าแกเป็นคนที่ติดอยู่ 7 ปี ครบกำหนดโทษ โดยที่คนบอกให้ขอยื่นพระราชทานอภัยโทษ แกไม่ยอม มันก็เลยเป็นบาดแผลในใจซึ่งเคียดแค้น อาฆาตแค้นมาจนทุกวันนี้

นายสมยศ เป็นโซ่ข้อกลาง ตัวเชื่อมสำคัญระหว่างแก๊งทะลุวัง กับกลุ่มล้มเจ้า ทำลายสถาบัน และพรรคก้าวไกล ท่านผู้ชมย้อนกลับไปดูอีกภาพจะเห็นว่าความสัมพันธ์นี้ได้ชัดขึ้น ภาพเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2566 ซึ่งกลุ่มทะลุวัง นายสมยศ เจี๊ยบ-อมรัตน์ ก้าวไกล พร้อมกลุ่มคณาจารย์นิติศาสตร์ รวมตัวกันเดินขบวนไปยื่นห้าพันกว่ารายชื่อถึงประธานศาลฎีกาให้ปล่อยตัวตะวัน และ แบม


เรากลับมาที่เหตุการณ์ช่วงเย็นวันที่ 4 สิงหาคม 2565 หลังจากนั้นพอพวกคุณทั้ง 11 คน เจอนายสมยศ ออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พวกคุณไปนั่งวางแผน สุมหัวกัน หลังจากที่ บุ้ง เนติพร รับออร์เดอร์จากผู้หญิงคางยื่น ผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังพรรคก้าวไกล ที่ร้านไอศกรีมกะทิสูตรโบราณ หลังวัดโพธิ์ ท่าเตียน เสร็จแล้วพวกคุณก็แยกย้ายกันกลับ หลังจากนั้นอีกสองวัน วันที่ 6 สิงหาคม พวกคุณออกปฏิบัติการ ไปอาละวาดที่กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อสร้างผลงานอันทุเรศ มุ่งเป้าไปเพื่อด่าทออาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ ที่ไม่ยกมือโหวตนายกรัฐมนตรีให้กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งเมื่อไปไล่ดูช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา คุณจะเห็นได้ว่าความเคลื่อนไหวของม็อบสามนิ้ว และแนวร่วม ไม่ว่าจะเป็นแก๊งทะลุวัง โมกหลวงริมน้ำ อานนท์ นำภา 24 มิถุนาฯ ประชาธิปไตย กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม สอดคล้องและเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย โดยเป็นไปในทิศทางเดียวกับนายพิธา และพรรคก้าวไกล โดยตลอด จะปฏิเสธว่าพรรคก้าวไกลไม่เกี่ยวข้องคงจะปฏิเสธยากล่ะครับคราวนี้ มีทั้งผู้หญิงคางยื่นๆ มีทั้งเจี๊ยบ-อมรัตน์ เกี่ยวข้อง

ผมจะไล่เรียงกิจกรรมต่างๆ และขึ้นกราฟิกให้ดูตามไปด้วย

12 กรกฎาคม 2566 จัดกิจกรรมแสดงเจตจำนงกดดัน กกต. ร้องนายพิธา กรณีถือหุ้นสื่อ

13 กรกฎาคม 2566 ให้กำลังใจนายพิธา กรณีโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี


14 กรกฎาคม 2566 กลุ่ม 24 มิถุนาฯ ประชาธิปไตย จัดกิจกรรมกดดัน ส.ว. เลือกนายกฯ ตามมติประชาชน

14 กรกฎาคม จัดกิจกรรม Respect My Vote

16 กรกฎาคม 2566 กิจกรรมคาร์ม็อบ โดยนายอานนท์ นำภา เอาใบลาออกไปยื่นให้ ส.ว. ถึงที่ เพื่อไม่ให้ทำหน้าที่ ให้ออกไปซะ

18 กรกฎาคม Respect My Vote จัดกิจกรรมยื่นหนังสือ


19 กรกฎาคม กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จัดกิจกรรม 19 กรกฎาฯ ฌาปนกิจ ส.ว.

21 กรกฎาคม กลุ่มพรรคอาทิตย์ใหม่ นักศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรฯ จัดกิจกรรมชุมนุมร่วมขจัด ส.ว. ใจทราม

21 กรกฎาคม กลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอก และกลุ่มเฟมฟู (Femfoo) จัดกิจกรรมม็อบ Twerkถล่ม ส.ว.

27 กรกฎาคม กลุ่ม DRG และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม "เห็นหัวกูบ้าง"

1 สิงหาคม กลุ่มโมกหลวงริมน้ำ นำโดยนายโสภณ สุรฤทธิ์ธำรง จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แจกใบปลิวขับไล่ ส.ว.

2 สิงหาคม แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จัดกิจกรรมคาร์ม็อบ "แห่มาลัยวิวาห์ ยื่นรายชื่อประชาชนคล้องใจ 8 พรรคการเมือง"

6 สิงหาคม 2566 กลุ่มทะลุวัง จัดกิจกรรมระบายอารมณ์ใส่ ส.ว. เห็นหัวกูบ้าง

7 สิงหาคม กลุ่มทะลุวัง จัดกิจกรรมที่หน้าพรรคเพื่อไทย


13 สิงหาคม โมกหลวงริมน้ำ จัดกิจกรรมไล่หนูตีเพื่อนรว๊ากก

13 สิงหาคม 2566 กลุ่ม iLaw จัดกิจกรรมลงชื่อเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ

14 สิงหาคม กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จัดกิจกรรมส่องไฟให้ทางประชาธิปไตย

ท่านผู้ชมครับ พวกเขารับงานจัดกิจกรรมถี่ๆ อย่างนี้หรือ ที่คุณบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง เกี่ยวข้องกันทั้งแก๊ง ไม่ได้มีสายสัมพันธ์ ไม่ได้รับงานพรรคก้าวไกล ท่านผู้ชมครับ ใครเชื่อเขาเรียกว่าไอ้ควาย!

ณ เวลานี้ กระบวนการฝ่ายความมั่นคงเขาจับตาดูพวกคุณอยู่ มีอยู่ 5-6 กลุ่ม และที่เคลื่อนไหวร่วมกัน สอดประสานกันและกันอย่างแนบแน่น ได้แก่ แก๊งทะลุวัง แก๊งทะลุแก๊ส แก๊งโมกหลวงริมน้ำ กลุ่มสายภาคี กลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอก และกลุ่มสื่ออิสระ

วิธีการเป็นอย่างไร ? ผมจะเล่าให้ฟัง กลุ่มไหนคิดกิจกรรม คิดอีเวนต์ กลุ่มนั้นจะเป็นหัวขบวน โดยจะมีนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข คอยให้คำปรึกษาในทุกกิจกรรม และใช้กลุ่มสื่ออิสระไลฟ์สดในกิจกรรมต่างๆ ลงในช่องทางสื่อโซเชียลมีเดีย เมื่อดำเนินตามขั้นตอนเหล่านี้ได้ ถือว่ากิจกรรมนั้นเสร็จแล้ว วางบิลได้แล้ว และก็รับเงินได้

ทั้งนี้ ประเด็นเส้นทางการเงินที่สนับสนุนกิจกรรมเหล่านี้ สอบไปสอบมาเบื้องต้นเขาใช้วิธีรับเงินสด มาจาก 3 ส่วน ส่วนแรก จากกลุ่มผู้มีอิทธิพลอยู่พรรคเบื้องหลังก้าวไกล คือแก๊งคนคางยื่น จ่ายเป็นเงินสดให้เป็นงานๆ ไป สอง เครือข่าย NGO ในประเทศ สาม เครือข่าย NGO นอกประเทศ

ทั้งหมดนี้คือข้อมูลเชิงลึกของจอมบงการแก๊งทะลุวัง กับเครือข่ายการเคลื่อนไหวที่สอดประสานไปทิศทางเดียวกันกับพรรคก้าวไกล ที่ผมพูดได้ และผมฟันธงได้เลย พรรคนี้เป็นพรรคที่ตั้งขึ้นมาเพื่อล้มล้างสถาบันกษัตริย์ด้วยวิธีต่างๆ ทั้งบนดิน และใต้ดิน ได้รับการสนับสนุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

คำถามที่สำคัญ เมื่อหลักฐานข้อมูลชัดเจน ชัดแจ้งขนาดนี้แล้ว เมื่อไรเราจะจัดการกับคนพวกนี้เสียที ? หรือปล่อยให้คาราคาซังไปเรื่อยๆ เต้นชะชะช่า เดินหน้าสองก้าว ถอยหลัง 2-3 ก้าว เหมือนกับที่ คสช. ทำ ตั้งแต่รัฐบาลเมื่อปี 2557 จนถึงวันนี้ ท่านผู้ชมครับ ผมบอกแล้วบอกอีกว่าในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาแห่งความสูญเสียของการจัดการกับขบวนการล้มล้างสถาบันและทำลายประเทศชาติอย่างแท้จริง และผมก็พูดไม่ผิดด้วย ท่านผู้ชมที่เป็นติ่งลุงตู่ ท่านต้องยอมรับ นี่คือข้อผิดพลาดของ 3 ป. ไม่ยอมดำเนินการจัดการเสียที

ก่อนที่จะเข้าอีกเรื่องหนึ่ง อยากจะฝากถึง พล.ต.ต.ศารุติ ผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ให้รีบดำเนินการหน่อยได้ไหมครับ อย่าช้าครับ ถ้าบุ้ง เนติพร เข้าข่ายขบวนการค้ามนุษย์ ดำเนินการได้ทันทีเลยครับ ไม่ต้องไปหวั่นเกรงหรอกครับว่าบิดาของบุ้ง เนติพร เป็นผู้พิพากษา ผมเชื่อว่าเรื่องพวกนี้ ท่านผู้พิพากษาซึ่งเป็นบิดา น.ส.บุ้ง เนติพร จะไม่ยุ่งเลยแม้แต่นิดเดียว


เอาล่ะ เอาเล็กๆ น้อยๆ ก็แล้วกัน 14 กันยายน ที่ผ่านมานี้ โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์กรุงเทพ จัดพิธีไหว้ครูประจำปีการศึกษา ภายใต้แนวคิดว่า "ปลูกฝังจิตสำนึกความกตัญญูในการศึกษาแบบโรงเรียนนานาชาติ ที่สอนโดยครูต่างชาติ

ท่านผู้ชมครับ มิสเตอร์แอนดี้ เอ็ดมอนด์ ครูใหญ่ ให้เกียรติกล่าวต้อนรับครู-นักเรียนที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ ตลอดจนพูดถึงความสำคัญของพิธีไหว้ครู เนื่องจากรีเจ้นท์ โรงเรียนนานาชาติมีนักเรียนชาวต่างชาติจำนวนมากที่เดินทางมาจากทั่วโลกเพื่อศึกษาจนจบระดับชั้น ม.6 (Year 13) นอกจากชาวไทยแล้ว เรายังมีนักเรียนอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลียน นิวซีแลนด์ อาร์เมเนีย จีน ญี่ปุ่น และชาติอื่นๆ ปัจจุบันผู้ปกครองไทยนิยมส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติมากขึ้น คำถามที่เกิดขึ้นคือ เด็กๆ จะยังคงดำรงวัฒนธรรมไทยอันดีงามอยู่หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเคารพและกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ


การที่โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ฯ จัดงานไหว้ครูขึ้นมานี้ จะเห็นได้ชัดว่า แม้กระทั่งนักเรียนโรงเรียนนานาชาติเขายังให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมในการเคารพครูบาอาจารย์ มีความกตัญญูรู้คุณคน มันช่างตรงกันข้ามกับกลุ่มบ้าๆ บอๆ กลุ่มตะกวด ไอ้พวกกลุ่มทะลุวัง อันโน้นอันนี้ ที่ออกมาด้อยค่าครูบาอาจารย์ ละทิ้งความกตัญญูกติเวทีไป ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว ท่านผู้ชมเห็นข้อแตกต่างกันหรือยังล่ะครับ


ONE LUMPINEE จุดเปลี่ยนมวยไทยสู่ตลาดโลก

ท่านผู้ชมครับ ช่วงนี้มีการพูดถึงเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) กันเยอะ โดยรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันพุธที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา ถึงกับมีการตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ขึ้นมา ดึงคนโน้นคนนี้เข้ามาเป็นกรรมการเยอะแยะไปหมด มากจนเกินควร ผมเกรงว่าจะทำให้การมีมติหรือเห็นพ้องต้องกันทั้งหมดมันคงยาก เพราะแต่ละคนมีความคิดไม่เหมือนกัน


ท่านผู้ชมครับ จริงๆ ผมเคยพูดเรื่องนี้มานานแล้ว ขณะที่ทุกวันนี้กระแสวัฒนธรรมเกาหลีนั้นฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง หรือญี่ปุ่น จีนเองก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นบันเทิง ละคร อาหาร การท่องเที่ยว ไทยเราต้องใช้ซอฟต์พาวเวอร์ของเราเป็นอำนาจละมุน เป็นแนวรุกทางวัฒนธรรมเช่นเดียวกัน

ตอนนั้น ในปี 2564 ผมยังเปิดเผยข้อมูลให้ฟังด้วยว่า เว็บไซต์ US News and World Report ได้ประกาศรายชื่อการจัดอันดับประเทศที่ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก โดยมีการร่วมมือกับ BAF Group หน่วยงานของบริษัทศึกษาระดับโลก และ The Walton School โรงเรียนสอนบริหารธุรกิจ MBA ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ได้ทำการสำรวจผู้คนมากกว่า 17,000 คน จาก 4 ภูมิภาค พบว่า 10 อันดับประเทศที่ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก ประจำปี 2020 ได้แก่ (1) สเปน (2) อิตาลี (3) กรีซ (4) ฝรั่งเศส (5) เม็กซิโก (6) อินเดีย (7) ประเทศไทย


ประเทศไทยอยู่อันดับ 3 ของเอเชีย (น่าจะรองจีน) และอันดับ 1 ในอาเซียน ในอาเซียนประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ที่มีซอฟต์พาวเวอร์

(8) อียิปต์ (9) ตุรกี และ (10) ญี่ปุ่น

เกาหลีใต้ น่าสนใจมาก ไม่ติดอันดับ Top10 อยู่อันดับที่ 42 เสียด้วยซ้ำ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าจะเอ่ยชื่อถึงหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ที่ทรงพลังที่สุดของไทย นอกเหนือจากแหล่งท่องเที่ยวไทย อาหารไทย ประวัติศาสตร์ไทย สถาบันพระมหากษัตริย์ รวมไปจนถึงยิ้มสยาม และความน่ารักของคนไทยแล้ว ศิลปะการต่อสู้อย่างมวยไทยก็ถือว่าเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่โด่งดัง ได้รับการยอมรับของทั่วโลกมานาน


อย่างไรก็ดี ความคุ้นเคย ทัศนคติของสังคมไทยต่อมวยไทย ยังมองว่ามวยไทยเป็นกีฬาสกปรก ที่อยู่คู่กับการพนัน มีเซียนพนัน มีเจ้าพ่อ มีมาเฟีย กรณีจ้างกรรมการ จ้างล้มมวย ขณะที่นักกีฬามวยไทยก็เป็นนักกีฬาที่อาภัพอย่างสุดๆ มาจากคนที่ยากจน ปากกัดตีนถีบ ต่อสู้ดิ้นรน เจ็บตัว เหนื่อยยากแสนสาหัส แต่ค่าตัวถูกแสนถูก อุปมาอาชีพนักมวยเหมือนหมาล่าเนื้อ สุดท้ายบั้นปลายชีวิตไม่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้

นั่นก็เป็นความเชื่อหรือทัศนคติที่ไม่ผิดนัก เพราะที่ผ่านมาซอฟต์พาวเวอร์ที่ทรงพลังนี้เป็นเช่นนั้นจริงๆ และวงจรอุบาทว์อย่างเรื่องล้มมวย กรรมการรับงาน นักมวยชกไม่สมศักดิ์ศรี ก็ยังคงเกิดขึ้นในวงการมวยซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นข่าวอยู่เสมอ


แต่ว่าวันนี้มวยไทยเปลี่ยนไปจากเดิมเยอะมาก เปลี่ยนไปชนิดที่แม้คนไทยที่คุ้นเคยกับมวยไทยอาจจะคาดไม่ถึง

ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึง ONE LUMPINEE จุดเปลี่ยนวงการมวย

ตอนนี้วงการมวยไทยเปลี่ยนไปอย่างไร ? ทำไมต้องเร่งผลักดันให้กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์อันล้ำค่า ควรค่าแก่การสนับสนุน เผยแพร่ไปสู่ตลาดโลกให้มากที่สุด ?


ก่อนอื่นครับท่านผู้ชม สำหรับคอมวยในกรุงเทพฯ หรือแฟนมวยทั่วประเทศที่ติดตามรับชมจากมวยจอตู้ คือมวยที่ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ มักจะคุ้นเคยกับสนามมวยลุมพินี และสนามมวยราชดำเนิน ที่เป็นสังเวียนการต่อสู้ระดับตำนาน

ในทีนี้เราจะพูดถึงสนามมวยลุมพินี เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนึ่งในสนามมวยระดับตำนานนี้ ปัจจุบันพูดได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของวงการ

จุดเปลี่ยนที่ว่า เริ่มต้นมาเมื่อเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา ตอนนี้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ภายใต้การแข่งขันการชกภายใต้การแข่งขันการชกมวยที่ชื่อ "ONE LUMPINEE"

คำว่า 'ONE' มาจาก 'ONE CHAMPIONSHIP' ซึ่งเป็นองค์กรศิลปะการต่อสู้ที่วันนี้กล่าวได้ว่าใหญ่ที่สุดในโลก มีเครือข่ายเผยแพร่ไปหลายประเทศ และฐานคนดูหลายสิบล้านคนทั่วโลก มีผู้ร่วมก่อตั้งที่เป็นคนไทย ชื่อ "ชาตรี ศิษย์ยอดธง" เดิมมีฐานอยู่สิงคโปร์ ส่วน 'LUMPINEE' คือสนามมวยลุมพินีที่อยู่ในการบริหารจัดการของกองทัพบก ต้องบอกว่า ONE LUMPINEE เกิดขึ้นมาได้ มีเบื้องหลังที่ไปที่มาอย่างน่าสนใจมาก

ชาตรี ศิษย์ยอดธง
ถ้าท่านผู้ชมจำได้ว่าสนามมวยของทหารนี้ย้ายจากย่านลุมพินีมาที่ย่านรามอินทราเมื่อหลายปีก่อน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ลุ่มๆ ดอนๆ มีวิกฤตโควิด 2563 ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่าครับ ชื่อของสนามมวยลุมพินี เป็นตำนานที่แย่ เมื่อเกิดคลัสเตอร์โควิด-19 ที่สนามมวยลุมพินี ทำให้คนในสังคมเดือดร้อน ภาพลักษณ์กองทัพบกก็เสียหาย จนสนามมวยแห่งนี้ต้องถูกปิดชั่วคราวไป 8 เดือน


กระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการ มีคนที่มีวิสัยทัศน์เข้ามาจัดการ ชื่อ พล.อ.สุชาติ แดงประไพ ประธานที่ปรึกษาศูนย์พัฒนากีฬากองทัพบก หรือ มวยไทยลุมพินี ซึ่งเป็นอดีตนายสนามมวยลุมพินี เข้ามาจัดการเปลี่ยนทัศนคติใหม่ ตั้งเป้าหมายอยากให้สนามมวยลุมพินีไม่ใช่แค่สวัสดิการกองทัพ แต่ต้องบริการกำลังพลและครอบครัว รวมทั้งข้าราชการที่เกษียณ และประชาชนได้ด้วย ซึ่งควรเป็นสวัสดิการเชิงธุรกิจที่เป็นมืออาชีพและสากล พัฒนาไปเป็นศูนย์อุตสาหกรรมด้านกีฬา และสร้างระบบนิเวศใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของสังคม เรียกว่าระบบมวยจะถูกเปลี่ยนระบบนิเวศทั้งหมดในที่สุด เพราะจริงๆ แล้วในบรรดาศิลปะการต่อสู้บนโลก หากพูดถึงมวยยืน ต้องนับว่ามวยไทยสนุกที่สุด

สนามมวยลุมพินีจึงอยากเป็นสะพานที่เชื่อมคำว่า "มวยยืนที่สนุกที่สุดในโลก" และเป็นซอฟต์พาวเวอร์ สร้างให้ไทยได้รับความนิยมต่อชาวโลก สร้างศิลปะของโลกในโซนเอเชีย ให้ไทยเป็นบ้านของมวยไทยให้ได้ กลายเป็นเรื่องของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับมวยไทย นักมวย และผู้เกี่ยวข้อง สร้างมูลค่าให้กับประเทศไทยและมวยไทยต่อไป

แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมครับ จะไปถึงตรงนั้นได้ กว่าจะมาเป็น ONE LUMPINEE อุปสรรค หืดขึ้นคอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องต่อสู้กับคนในวงการมวยด้วยกัน เพระว่าด้วยเป้าหมายที่ต้องการจะเปลี่ยนระบบนิเวศมวยใหม่ โจทย์แรกสุด คือรายการมวยที่จัดในสนามมวยลุมพินีนั้น "ต้องไม่มีการพนัน"


การไม่มีการพนัน กลับเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด เพราะมวยอยู่คู่กับการพนันมานาน หรือมวยต้องพึ่งเซียนมวย เมื่อ ONE LUMPINEE เกิดขึ้นก็เลยมีคำถามว่า คุณจะบ้าหรือเปล่ามาจัดมวยแบบไม่มีพนัน มันมีที่ไหนในโลก

เชื่อหรือเปล่าครับ วงเงินหมุนเวียนในวงพนันมวยแต่ละปี มีจำนวนเท่าไร ? มีการประเมินว่าสูงถึง 1 หมื่นล้านบาทต่อปี เลยทีเดียว

พอไม่มีการพนันในสนาม ผลปรากฏว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันมวย โปรโมเตอร์ หรือผู้จัดการแข่งขันหลายรายต่างพากันวอล์กเอาต์ ไม่เห็นด้วยกับแนวทางสนามมวยก็จะไม่จัด บรรดาเซียนพนัน คนดูที่ชอบพนัน จะไม่มาเพราะเขาเชื่อว่าไม่ใช่วิถีของมวยไทย คือพวกนี้เชื่ออยู่แล้วว่า ถ้ามีมวยไทย ต้องมีการพนัน ถ้าไม่มีการพนัน ไม่ใช่มวยไทย ผมคิดว่าเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวและตื่นเขินอย่างบัดซบที่สุด


จากนั้นลุมพินีก็เดินตามนโยบายเป็นสนามมวยปลอดการพนัน โดยภายในสนามมวยต้องไม่มีการพนัน เขาทำอย่างไรรู้ไหมท่านผู้ชม ? ยุ่งยากมาก ลำบากมาก เขาต้องจัดระเบียบใหม่ทั้งระบบ อันดับแรก เขาต้องทำรูปแบบการแข่งขันที่ยุติธรรม มวยต้องต่อยสนุก ทำให้คนดูทึ่งทั้งในและนอกสนาม เห็นว่ามวยไทยเป็นกีฬาอาชีพจริงๆ ต้องไม่ใช่จัดเพื่อนักการพนัน ต่อยสนุกก็ต้องมีความยุติธรรมเกิดขึ้นจากการตัดสินที่มีความยุติธรรม เพราะฉะนั้นแล้ว กรรมการสนามมวยจะถูกติวเข้มในเรื่องนี้มา 8 เดือนเต็มๆ ท่านผู้ชมอย่าลืมนะ กรรมการที่อยู่สนามมวยไหน อยู่กันตั้งแต่หนุ่มจนแก่เฒ่า อยู่มานมนาน ดังนั้น มีการจัดระเบียบเรื่องการให้คะแนนใหม่ทั้งหมด จากเดิมที่จะตัดสินโดยใช้ภาพดุลพินิจ เปลี่ยนเป็น "ภาพที่เห็น" ให้คะแนนที่มีรายละเอียดครบ ใครออกอาวุธมากกว่า รุนแรงกว่า เข้าเป้าหมายสำคัญกว่า ทำให้คู่ชกบอบช้ำกว่า คู่ต่อสู้มีอาการมากกว่า และไม่กระทำผิดกติกา ผู้นั้นจะชนะในยกนั้น ซึ่งในแต่ละยกเราจะไม่ดูแค่ภาพรวม ดูการออกอาวุธทั้งเชิงรุกและเชิงรับ

ขณะเดียวกัน ค่ายมวยทั้งหลายที่จะส่งนักมวยขึ้นชก จะต้องถูกกำชับว่านักมวยของค่ายต้องต่อยให้เร้าใจและเต็มที่ในทุกๆ ยก เพื่อไม่ให้มีการยืดเยื้อหรือน่าเบื่อหน่าย เขาลดจากจำนวน 5 ยก เหลือแค่ 3 ยก แต่ 3 ยกนี่ก็ต้องเดินหน้าออกอาวุธกันเต็มที่ ทั้งเข่า ทั้งศอก ทั้งลูกถีบ ทั้งเตะ ทั้งเข่าลอย ทั้งจระเข้ฟาดหาง จะไม่เหมือนสมัยก่อน ดูเชิงยกหนึ่ง ยกสอง ออกอาวุธยกสาม ยกสี่ แล้วยกห้าวิ่งหนี แบบนั้นไม่มีอีกแล้ว สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้มวยไทยเกิดมาตรฐาน ทำให้กลายเป็นกีฬาอาชีพให้ได้

แรกๆ ของการเปลี่ยนแปลง ปรากฏว่าผลการดำเนินงานเป็นไปอย่างทุลักทุเล กระท่อนกระแท่น แต่ว่าวิกฤตกลับเป็นโอกาส

ก่อนจะไปจับมือกับค่าย ONE เพราะความพยายามดิ้นรนเพื่อไปสู่เป้าหมายทำให้สนามมวยลุมพินีเป็นสังเวียนมวยไทยที่เป็นกีฬาอาชีพ จำเป็นที่สนามมวยต้องเฟ้นหาค่ายมวยและโปรโมเตอร์ที่มีทัศนคติเดียวกัน มาทดแทนโปรโมเตอร์หรือค่ายมวยที่ตีจาก แล้วจากการค้นหาพบว่าเห็นเป็นประจักษ์ ได้รับการยอมรับในวงการมวยตลอดหลายสิบปี มีค่ายมวยค่ายเดียว คือค่ายแฟร์เท็กซ์ (Fairtex) ภายใต้การบริหารงานของ เปรม บุษราบวรวงษ์ เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม


ด้วยเหตุนั้น Fairtex จึงถูกทาบทามให้เข้ามาช่วยเหลือสนามมวยลุมพินีในช่วงเวลายากลำบากของลุมพินี แต่การทาบทามคุณเปรม บุษราบวรวงษ์ ไม่ใช่งานง่าย เพราะคุณเปรม ดันมีบิดาชื่อ คุณบรรจง บุษราบวรวงษ์ ซึ่งในวงการมวยเรียกว่า "เฮียบรรจง"

เฮียบรรจง ไม่อยากปล่อยให้ลูกชายเข้ามาเผชิญหน้าบนความขัดแย้งของวงการมวย แต่เผอิญแนวความคิดของลูกชาย คุณเปรม ไม่มีเรื่องการพนันมาก่อน และต้องการเห็นมวยไทยถูกยกระดับเป็นกีฬาสร้างเงินสร้างรายได้ให้นักมวย จนในที่สุด เฮียบรรจง ก็อนุญาต


ท่านผู้ชมครับ ถ้าเราเอ่ยชื่อค่าย Fairtex คอมวยทุกคนจะต้องมีภาพของเฮียบรรจง เป็นภาพจำเพาะ ถือเป็นเจ้าของค่ายมวยที่ยังมีตำนานอยู่ และยังมีลมหายใจอยู่

เฮียบรรจง เล่าประวัติคร่าวๆ ชีวิตของคนๆ นี้ต้องบอกว่าโลดโผนโจนทะยานอยู่ในยุทธจักรหมัดมวยมาในทุกรูปแบบ เป็นคนจีนที่เกิดในประเทศจีน แล้วมาเปลี่ยนสัญขาติเป็นคนไทย เตี่ยคุณบรรจง อพยพจากจีนมาอยู่ย่านสุรวงศ์ มาแบบคนมีเงิน เอาเงินมาทำค้าขาย เฮียบรรจงสมัยเด็กเกเร ไม่ชอบเรียนหนังสือ ชอบมวยไทยมาก อายุ 9-10 ขวบ ถูกส่งไปเรียนที่ฮ่องกง โรงเรียนที่ดังที่สุด ภาษาจีนเขาเรียกว่า กุ่ยเจ๊ง บรรจงก็แบกกระสอบทรายไปด้วย เพราะว่าใจรักมวยไทย


ส่วนตัวเฮียบรรจง เป็นคนที่ชอบแฟชั่น เพราะสมัยเด็กชอบแต่งตัว พอค้าขายก็คิดทำธุรกิจสิ่งทอและแฟชั่น อย่างเช่นเสื้อยืด เฮียบรรจง เป็นคนแรกของประเทศไทยที่เอาเสื้อยืดเข้าห้างได้ ปกติแล้วสมัยนั้น เสื้อยืดเมื่อ 40-50 ปีก่อน ต้องสั่งจากนอกทั้งนั้น ไม่มียี่ห้อของคนไทย เสื้อใน กางเกงใน ถ้าใส่เสื้อเที่ยว เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปขายในห้างได้ แต่เฮฺียบรรจงทำได้

ถึงแม้พื้นฐานจะมีเงิน เป็นพ่อค้า พ่ออยากให้ค้าขาย แต่เฮียบรรจงรักมวยไทยมาก ก็เลยขอเปิดค่ายมวยไปด้วย เฮียบรรจง บอกว่าทำให้มีความมั่นใจในตัวเอง ไปถึงไหนก็ไม่โดนใครเขารังแก และเราก็บอกกับตัวเราเองว่า วันหนึ่งจะตอบแทนบุญคุณมวยไทย เมื่ออายุ 18-19 ปี เพื่อตอบแทนบุญคุณ เฮียบรรจง ก็เลยขอพ่อเปิดค่ายมวยที่โรงงานเล็กๆ แห่งเดียว เปิดหนึ่งเวทีอยู่ที่สวนพลู


จริงๆ แล้ว ตอนแรก พ่อเป็นคนจีน ไม่ยอม แต่เฮียบรรจงก็ใช้ไม้เด็ดพูดกับพ่อว่า ถ้าไม่ยอม กลางคืนผมไม่รู้จะทำอะไร ผมจะออกไปเที่ยว จีบผู้หญิง กินเหล้า อาจจะไปทำให้ผู้หญิงท้องขึ้นมา แล้วเอาลูกเข้ามาให้พ่อแม่เลี้ยง แล้วไปทำเขาท้องอีก เพราะการไปเที่ยวกลางคืน ระหว่างที่เปิดค่ายมวย และผมอยู่กับบ้านคุมมวย กับไปเที่ยวสำมะเลเทเมา คุณพ่อจะเอาอย่างไร พ่อก็เลยยอม เลือกให้อยู่บ้านคุมมวย ก็เลยยอมให้เปิด

เพราะฉะนั้นค่ายมวย Fairtex ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับโรงงานสิ่งทอของครอบครัว ก็เปิดค่ายมวยมาตั้งแต่เกือบหกสิบปีที่แล้ว เหตุการณ์สำคัญๆ คนในตำนานของวงการมวยไทย เช่น แคล้ว ธนิกุล โหงว ห้าพลัง ชัยวัฒน์ พลังวัฒนกิจ อดีตนายกสมาคมมวยอาชีพแห่งประเทศไทย เฮียบรรจง ล้วนแล้วแต่เคยสัมผัสคลุกคลีผ่านร้อนผ่านหนาวในวงการมวยมาทุกรูปแบบ ผ่านวงการมาเฟียมาทุกรูปแบบเช่นกัน


เมื่อลูกชาย คือคุณเปรม ถูกขอให้ช่วยสนามมวยลุมพินีกู้วิกฤต กำลังเปลี่ยนแปลง โดยที่ลุมพินีมีนายสนามมวยที่แข็งมาก ไม่ยอมให้มีการพนัน พวกเซียนมวย โปรโมเตอร์ต่อต้าน ไม่มีคนเลย สุดท้ายก็เลยต้องเชิญลูกชายของเฮียบรรจง คือ คุณเปรม มาเป็นโปรโมเตอร์ เฮียบรรจง ก็บอกเปรม ว่า ถ้าเปรมปฏิเสธ ลุมพินีจะไม่มีใครแล้ว อาจจะต้องเลิกทำมวย ซึ่งก็เสียดาย เพราะว่าลุมพินีนั้นมีชื่อเสียงทั่วโลก

เบื้องหลัง ผู้เป็นพ่อบอกกับลูกว่าลองกัดฟันช่วย อดทน เพราะว่ามีอนาคตที่ดีรออยู่ ขณะเดียวกัน ONE เริ่มดังโดยที่เปรม กับคุณชาตรี ค่าย Fairtex สนิทสนมกับ ONE จึงเป็นที่มาของการำพูดคุยกันระหว่างสนามมวยลุมพินี เปรม และชาตรี เพื่อดึงเอา ONE เข้ามาจัดที่ลุมพินีด้วยกัน ซึ่งทุกคนเชื่อว่าถ้า ONE เข้ามาลุมพินี ทุกอย่างจะดีขึ้น ซึ่งสุดท้ายก็เป็นความจริงในเวลาต่อมา นี่เป็นเหตุผลของการจับมือกับ ONE เพราะการแข่งขัน ONE CHAMPIONSHIP ก็เป็นวิธีการพัฒนามวยไทยในรูปแบบใหม่ที่ได้เห็นไปทั่วโลกว่าเป็นสากลและยุติธรรมแล้ว การสร้าง ONE LUMPINEE จึงมีลักษณะก้าวกระโดด


ขณะเดียวกัน ชาตรี ศิษย์ยอดธง ผู้ร่วมก่อตั้ง ONE คุณชาตรี เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น เรียนรู้มวยไทยมาตั้งแต่เด็ก ไปเรียนหนังสือที่ต่างประเทศ ท่านผู้ชมเชื่อไหมทุกวันนี้คุณชาตรี ยังซ้อมมวยมาอย่างยาวนาน เขารักในมวย ทำมวยจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ยิมมวยใหญ่ๆ ทั่วโลกก็อยู่ในมือเขามากมาย

การจับมือครั้งนี้ของลุมพินี กับ ONE ไม่ใช่เรื่องที่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย

ชาตรี บอกว่าเขาเป็นคนไทย อยากจะตอบแทนประเทศไทย การร่วมมือกับลุมพินีนั้นต้องถือว่าเป็นต้นตำรับมวยไทยเมื่อ 66 ปีที่แล้ว เขามองว่าเป็นโอกาสดีที่เห็นคนไทยต่อสู้กับคนต่างชาติในเวทีแห่งนี้ นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้เด็กๆ นักมวยทุกคนได้มีอาชีพ

แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมครับ การตัดสินใจของคุณชาตรี เข้ามาร่วมกับลุมพินีนั้น เอา ONE มาร่วม น่าสนใจมาก


ชาตรี ถูกทาบทามมาหลายเวทีแล้ว ให้มาจัด ONE ที่เมืองไทย แต่พอชาตรี เห็นสภาพนักพนัน เซียนพนัน และมาเฟียครองเวทีแล้ว ครอบครัวเขาทุกคนห้ามชาตรีกันทุกคน เพราะกลัวโดนยิงตาย ถ้ามาแล้วขัดผลประโยชน์กับกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งต้องโดนยิงตายอย่างแน่นอน ท่านผู้ชม ผมฟันธงให้ได้เลย

จุดเปลี่ยนของเรื่องนี้คือ ชาตรี ได้รับการประกันจากท่านอดีต ผบ.ทบ. "บิ๊กบี้" พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ว่า กองทัพรับประกันความปลอดภัยทุกอย่าง จะไม่มีมาเฟีย นักเลง หรือทหารมาเฟียคนไหนมาแทรกแซงอย่างเด็ดขาด


และนี่คือข้อมูลทางลับที่ผมอยากจะเห็นความตั้งใจของกองทัพในเรื่องนี้ และทุกฝ่ายก็ฟันฝ่ามาจนสำเร็จ

ท่านผู้ชมครับ ONE LUMPINEE ที่ไม่มีการพนัน เรามาดูกันครับว่าผ่านไป 9 เดือน สำหรับการจัดรายการหลังเปิดตัว ONE LUMPINEE อะไรเกิดขึ้นบ้างในวงการมวยไทย ?

ในแง่ของซอฟต์พาวเวอร์ ONE CHAMPIONSHIP เป็นที่รู้จักในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้น จากที่มีการถ่ายทอดสดทุกสัปดาห์เมื่อต้นปี ผลงานวิจัยของบริษัท มิลยู อินไซด์ บริษัทวิจัยผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า 1 ใน 2 คน ของคนไทยที่มีอายุระหว่าง 18-45 ปี ท่านผู้ชมเชื่อไหมว่ารู้จัก ONE

การรับรู้แบรนด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของ ONE เป็นผลจากการผลักดันรายการ ONE LUMPINEE หรือชื่อที่ใช้เผยแพร่ในประเทศอื่นว่า ONE Friday Fights (OFF) ซึ่งเป็นรายการแข่งขันมวยไทยและศิลปะการต่อสู้หลากหลายแขนงที่เผยแพร่สัญญาณถ่ายทอดสดไปยัง 180 ประเทศทั่วโลก


ขณะที่บริษัท นีลสัน บริษัทวิจัยการตลาดที่มีชื่อ ยกให้ ONE เป็นสื่อกีฬายักษ์ใหญ่ ติดอันดับ Top10 ของโลก ผู้ติดตามโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มเติบโตขึ้น 6 เท่า จาก 14 ล้านคน (บัญชี) เป็น 82 แอกเคานต์ ในปัจจุบัน ดันให้ยอดรับชมวิดีโอนออร์แกนิกพุ่งสูงขึ้น 10 เท่า ภายในระยะเวลาเพียง 5 ปี

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นสำคัยอยู่ที่ไหน ? เรตติ้งของผู้ชม ONE รายการมวยที่ไม่มีการพนันได้รับความนิยมอย่างสูง โดยเรตติ้ง ONE ที่ถ่ายทอดสดในคืนวันศุกร์นั้น ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า สำหรับเมืองไทยที่ละครน้ำเน่ามาอันดับหนึ่ง กลับโดน ONE Friday Fights ทิ้งอย่างไม่เห็นฝุ่น สะท้อนให้เห็นว่าเรตติ้งของคนคอกีฬา นิยมกีฬา มีมากกว่าคนที่นิยมการพนัน พิสูจน์ชัดเจนแล้ว

สำหรับความคาดหวังว่ามวยไทยจะเป็นพื้นฐานของอาชีพที่สะอาด สามารถสร้างรายได้ สร้างครอบครัวได้ วันนี้มีตัวอย่างจากข้อมูลเว็บไซต์ของคุณชาตรี ศิษย์ยอดธง www.onefc.com ศิษย์ผู้ก่อตั้ง เขายืนยันว่าสำหรับ ONE LUMPINEE ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า "ชกมวยก็รวยได้" โดยมีนักกีฬามากหน้าหลายตาที่คว้าโบนัสติดต่อกัน รวมทะลุหลักล้าน สามารถพลิกชีวิตความเป็นอยู่ของเขาและครอบครัวให้ดีขึ้น ถ้าใครมีหัวใจเป็นนักสู้ ออกอาวุธโดยใช้ศิลปะการต่อสู้ในแขนงนั้นๆ ได้อย่างสวยงามจนเกิดประสิทธิภาพ สร้างเกมการแข่งขันให้ดุเดือด เร้าใจ และพร้อมปิดเกมตามจิตวิญญาณนักสู้ ก็มีสิทธิ์จะได้โบนัสทันที 350,000 บาท ไปครอง สุดยอด!

มวยแชมป์ในอดีตที่ผ่านมา ที่มีเซียนการพนันอยู่ มีโปรโมเตอร์การพนันอยู่ นักมวยที่ได้ที่หนึ่ง ได้อย่างมากก็ไม่เกินแสน ด้วยเหตุนี้เลยมีแรงผลักดันให้นักกีฬาทุกคนพยายามมุ่งมั่นฝึกซ้อมอย่างหนัก ขึ้นสังเวียนด้วยความกระหายในชัยชนะ เพราะอะไร ? เพราะโอกาสที่เขาจะพลิกชีวิตเขาได้ ให้พ้นจากความยากจน ซื้อบ้านซื้อช่องให้พ่อแม่อยู่ได้ มันอยู่ที่ตัวเขา และอยู่ที่นี่้

ตลอดการแข่งขันในช่วง 32 อีเวนต์ที่ผ่านมา มีนักกีฬาหลายคนคว้าโบนัสไปครองได้สำเร็จ บางรายสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ รวมแล้วทะลุยอดหลักล้านเลย เอาล่ะ ผมเอาตัวอย่างมาให้ดู


เสกสรร อ.ขวัญเมือง ฉายา "คนไม่ยอมคน" นักสู้จอมบู๊วัย 34 ปี จากนครศรีธรรมราช ครั้งหนึ่งเคยคิดจะแขวนนวม ก่อนจะได้รับโอกาสเข้ามาโชว์ฝีมือใน ONE LUMPINEE เพียงแค่ไฟต์เปิดตัวในนัดปฐมฤกษ์ เขาออกอาวุธสู้กับไทสัน แฮร์ริสัน ได้อย่างดุเดือด พิชิตโบนัสก้อนโต มูลค่า 1,750,000 บาท มากกว่ามาตรฐานของ ONE LUMPINEE ถึง 350,000 บาท รวมทั้งคะแนนที่เขาเอาชนะนาธาน เบนดอน นักสู้จากอังกฤษ ในศึก ONE LUMPINEE 22 เจ้าตัวก็คว้าโบนัสแบบยกกำลังสองเป็นเงินกว่า 700,000 บาท สไตล์การเดินชก เดินหน้าล่าคู่ต่อสู้อย่างดุดัน ทำให้เสกสรร อ.ขวัญเมือง คว้าชัย รับโบนัสไปตลอด 8 ไฟต์ที่ต้องแข่งขัน รวมทั้งสิ้น 3,500,000 บาท จากคนที่เคยคิดจะแขวนนวม เพราะอาชีพนักมวยไม่ได้ให้อะไรเขาเลย มีแต่ให้ความจนและการเจ็บตัว


เงินจำนวนนี้พลิกชีวิตให้เสกสรร จากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาไปซื้อบ้านหลังใหม่เก็บเอาไว้ เงินที่เหลือเป็นทุนการศึกษาให้ลูก

อีกคนหนึ่ง ก้องไกล เอ็นนี่มวยไทย วัย 24 ปี จากพิษณุโลก ประเดิมไฟต์แรกในศึก ONE LUMPINEE ด้วยการคว้าโบนัสรวมมูลค่า ยอดรวมทั้งสิ้น 1,400,000 บาท เจ้าตัวมีเงินไปต่อบ้านได้อย่างที่ตั้งใจ


อีกคนหนึ่ง ทองพูน พีเค. แสนชัย เจ้าของฉายา "โล้นทองคำ" จากมหาสารคาม 26 ปี ชีวิตการชกมวยของเขาที่ใช้ 5 ยก ลุ่มๆ ดอนๆ แต่พอได้โอกาสโชว์ฝีมือใน ONE LUMPINEE เขาสามารถพลิกบทบาทตัวเองกลายเป็นขวัญใจของแฟนๆ จากสถิติชนะรวด 3 ไฟต์ที่ขึ้นชก โบนัสที่ได้คือ 1,050,000 บาท


อีกคนหนึ่ง เสือแบล็ค ท.พราน 49 มวยซ้าย อาวุธแกร่ง 27 ปี จังหวัดเพชรบุรี ตัวแทนความภูมิใจของชาวกะเหรี่ยงป่าเต็ง เป็นนักกีฬารายล่าสุดที่คว้าโบนัสทะลุหลักล้าน จากการเอาชนะน็อก ชินจิ ซูซูกิ ในศึก ONE LUMPINEE คว้าชัยชนะ โบนัสติดต่อกัน 3 ไฟต์ที่ขึ้นชกบนสังเวียนแห่งนี้ รวมยอดโบนัสเข้าบัญชีตอนนี้กว่า 1,050,000 บาท เจ้าตัวไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตจะมาถึงจุดนี้ได้ หลังจากที่ได้เข้ามาชกใน ONE LUMPINEE ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงในทันที จนมีเงินเป็นหลักแสน มอบให้พ่อแม่อย่างภูมิใจ ต่อยอดทำค่ายมวยเล็กๆ ตั้งใจจะเปิดให้เป็นแหล่งเรียนรู้วิชามวยไทยของเยาวชนชาวปะกาเกอะญอรุ่นต่อไป


และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือมวยผู้หญิง ชื่อ แสตมป์ Fairtex เธอชื่อจริงว่า ณัฐวรรณ พานทอง อายุ 25 ปี สาวแกร่งมากความสามารถ ดีกรีแชมป์ ONE WORLD GRANDPRIX (MMA) อดีตแชมป์โลก ONE มวยไทยและคิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวต พร้อมตามล่าเข็มขัดเส้นที่ 3 เธอจะขึ้นชิงแชมป์โลก ONE MMA รุ่นอะตอมเวตหญิงเฉพาะกาล น้ำหนัก 105-115 ปอนด์ กับ ฮามซอฮี สาวเก๋าเก่งชื่อดังจากเกาหลีใต้ ในศึก ONE Fight ในวันเสาร์ที่ 30 กันยายนนี้


ทั้งนี้ แสตมป์ จะเป็นนักกีฬาหญิงไทยคนแรกของ ONE มีสิทธิ์ลุ้นค่าตัว 10 ล้านบาท ทันที หากสามารถเอาชนะ ฮาม ซอ ฮี คว้าแชมป์โลก ONE MMA รุ่นอะตอมเวตหญิงเฉพาะกาล มาคาดเอวได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม กว่าจะมีวันนี้ เส้นทางของแสตมป์ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เธอเป็นชาวระยอง หัดชกมวยตั้งแต่อยู่ชั้นอนุบาล อายุแค่ 5 ขวบเอง เหตุผลเพราะว่าถูกเพื่อนที่โรงเรียนแกล้ง


พ่อของแสตมป์ เป็นอดีตนักมวยไทย ชื่อ วิสันต์เล็ก ลูกบางปลาสร้อย ขณะที่ลุงก็มีค่ายมวยเล็กๆ ของตัวเอง มาถึงวันนี้แสตมป์ผ่านอุปสรรค ช่วงเวลาแห่งความผิดหวังมามากมาย เธอเองไม่เคยคิดฝันว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เคยได้ค่าตัวเป็นแค่หลักหมื่น กลายเป็นนักมวยไทยที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และจะสามารถสร้างรายได้ทะลุเจ็ดหลัก และอาจจะก้าวกระโดดถึงหลักสิบล้านในเร็ววันนี้

แต่ถ้าเรามามองตัวหลักสิบล้าน แสตมป์ จะถือเป็นรายล่าสุด ก่อนหน้านี้มีนักมวยไทยชื่อ รถถัง จิตรเมืองนนท์ แชมป์โลก ONE มวยไทยรุ่นฟลายเวต ได้รับค่าตัวอัปถึงสิบล้านบาทเช่นกัน


เพราะฉะนั้นแล้ว วันนี้ต้องถือว่าเป็นยุคทองของนักกีฬามวย วงการมวยไทยนับตั้งแต่ ONE เข้ามาสนับสนุน และร่วมมือกับสนามมวยลุมพินี ด้วยชื่อเสียงระดับตำนานของสนามมวยเก่าแก่ และเครือข่ายที่แข็งแกร่งของ ONE ด้วยพื้นฐานของนักมวยไทยที่มุมานะ ผมเชื่อว่า ONE LUMPINEE จะเป็นจุดเปลี่ยนมวยไทย ซอฟต์พาวเวอร์ที่ล้ำค่าที่ออกไปสู่ตลาดโลกให้คนไทยได้ภาคภูมิใจ และสามารถต่อยอดไปในเรื่องอื่นๆ ได้อีกมากมายนับไม่ถ้วน


เรื่องนี้ต้องขอชมกองทัพบกที่ยืนนโยบาย "สนามมวยปลอดการพนัน" อย่างเข้มแข็ง และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ทำให้มวยไทยของลุมพินีก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ใครที่ติดตามวงการมวยจะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันมีสิ่งที่น่าเสียดายคือบรรดาสปอนเซอร์ไทยเจ้าใหญ่ๆ กับยังมีความคิดแบบเก่าๆ ยกตัวอย่างเช่น บางเจ้าเคยสนับสนุนเวทีลุมพินี 10 ล้านบาทต่อปี กลับไปมองว่า เมื่อลุมพินีมีหลายศึกต่อย ก็จะแบ่งงบประมาณ 10 ล้าน ก้อนเดิม ไปเป็นส่วนต่างๆ เช่น สนับสนุนลุมพินี 3 ล้าน ONE 3 ล้าน ศึกอื่น 2 ล้าน รวมเป็น 10 ล้าน เป็นงบเท่าเดิม

ผมจะชำแหละให้ดูงบ 10 ล้านบาทต่อปี เมื่อเฉลี่ยเป็นเดือนจะตกอยู่ที่เดือนละราว 800,000 บาท ท่านผู้ชมรู้ไหมเฉลี่ยอาทิตย์จะเหลืออาทิตย์ละ 200,000 บาท นี่คืองบในรูปแบบเดิมที่เขายังไม่คิดจะกระจายนะครับ 200,000 บาท ถ้าท่านผู้ชมซื้อสปอตโฆษณา ยังไม่ได้สักสปอตเลย แล้วยังคิดมาแยกงบนี้กระจายออกไปเป็นก้อนเล็ก ให้ลุมพินีบ้าง ONE บ้าง รายการอื่นบ้าง สปอนเซอร์เหล่านี้ไม่ได้มองว่าปัจจุบันนี้ลุมพินี และ ONE เขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ไปสู่ระดับโลก ดูกีฬามวยไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ได้ผลักดันจนสำเร็จขึ้นมา นี่คือเรื่องน่าเศร้าที่สินค้าคนไทยด้วยกันคิดแบบกบในกะลา สิ่งที่น่าปวดใจ โดยเฉพาะช่วงที่กองทัพต้องต่อสู้กับวงการพนันมวย เม็ดเงินจากสปอนเซอร์หายเกลี้ยง ต้องถือว่าสปอนเซอร์พวกนี้เห็นแก่ตัวมากๆ

ถ้ามีสปอนเซอร์แบรนด์ไหนสนับสนุน ONE อย่างจริงจัง ท่านผู้ชมครับ ช่วยสนับสนุนกันเยอะๆ เถอะครับ เพื่อส่งเสริมมวยไทยให้มีชื่อเสียง ให้สนามมวยลุมพินีเป็นสนามมวยไทยที่ไม่มีการพนันอย่างเด็ดขาด และนักมวยที่ขึ้นรายการ ONE LUMPINEE จะเป็นนักมวยที่ได้รายได้สมน้ำสมเนื้อ ไม่ใช่ถูกโปรโมเตอร์มวยหรือค่ายมวยกดและเหยียบเอาไว้ใต้ฝ่าเท้าเหมือนในอดีต

“หยู คนบ้าบิ่น”เบื้องหลัง“หัวเว่ย” คว้าชัยศึกสมาร์ทโฟน?


ท่านผู้ชมครับ สัปดาห์ที่แล้วผมเล่าให้ฟังอย่างละเอียดถึงความเคลื่อนไหวของหัวเว่ย ยักษ์ใหญ่ในแวดวงโทรคมนาคมของจีน และของโลก ที่ล่าสุดได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนหัวเว่ย รุ่น เมท 60 โปร ซึ่งถือเป็นการพลิกเกมครั้งสำคัญในวงการเทคโนโลยีของโลกเลยทีเดียว หลังจากออกรายการไปตอนที่แล้วมีคนให้ความสนใจเรื่องนี้กันมาก ทั้งใน YouTube, Facebook, TikTok แอปฯ SONDHI TALK มีคนเข้าไปชมแล้วหลายแสนคน

อย่างที่ผมทิ้งท้ายเอาไว้ในตอนที่แล้วว่าเรื่องนี้มีข้อมูลรายละเอียดที่น่าสนใจอีกมาก วันนี้ผมมีเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งที่คิดว่าควรต้องเล่าให้ฟัง

ผมจะแนะนำให้รู้จักคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ เมท 60 โปร สมาร์ทโฟนสะเทือนโลก คนๆ นี้ชื่อ หยู เฉิงตง (ริชาร์ด หยู) มีตำแหน่งเป็น CEO ของกลุ่มหัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส ที่ดูแลผลิตภัณฑ์ไอทีฝั่งผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ จอมอนิเตอร์ สมาร์ทวอทช์ และหูฟัง


หยู เฉิงตง มีฉายาในหัวเว่ย เขาเรียกว่า หยู คนบ้าบิ่น ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Crazy Yu หรือว่า หยูจอมเพี้ยน เพราะว่านายหยู เฉิงตง เป็นตัวตึงในบริษัท มักจะคิดความคิดที่แหกคอก สร้างความเปลี่ยนแปลงน่าตื่นเต้นตกใจให้กับคนหัวเว่ยอยู่เสมอ สำหรับคนภายนอกแล้ว หยู เฉิงตง เป็นผู้บริหารหัวเว่ยที่ชัดเจน กล้าทำ กล้าพูด จนได้ชื่อว่า หยูปากดี คือ Big mouth ที่มีความมั่นใจสูงและกล้าประกาศออกมาต่อสาธารณชนในวันเปิดตัวหัวเว่ย P6 ด้วยวลีเด็ด คือคำว่า 'Far ahead' หรือแปลเป็นไทยว่า ก้าวหน้า ล้ำหน้าสุดๆ เพื่ออธิบายความเฉียบขาดของสมาร์ทโฟนหัวเว่ย

พ่อของหยู เฉิงตง เคยสอนเขาเสมอว่า เกิดเป็นคนจงใจชีวิตให้ถ่อมตัว ระมัดระวังเหมือนข้าวสาลี ยิ่งรวงข้าวโน้มต่ำลงแสดงว่าเมล็ดข้าวเต็ม หรือกล่าวสั้นๆ ว่า ยิ่งสูงยิ่งต้องนอบน้อม

ท่านผู้ชมเชื่อไหมว่าคำสอนของพ่อของนายหยู เฉิงตง กลับเดินสวนทาง เพราะคติพจน์ในชีวิตที่เขาเชื่อนั้นคือว่า ตราบใดที่ศีรษะของเขายังเชิดได้อยู่ แสดงว่าชีวิตยังคงสามารถจะมีความทรนงอยู่ได้เหมือนเดิม

หยู เฉิงตง เกิดปี พ.ศ. 2512 ปัจจุบัน 55 ปีแล้ว ในครอบครัวชนบทเขตฮั่วชิว มณฑลอันฮุย มณฑลอันฮุย ขึ้นชื่อว่าเป็นมณฑลหนึ่งในประเทศจีนที่ถือว่ายากจน อดีตประธานาธิบดีจีน อย่างเช่นนายหู จิ่นเทา อดีตนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ก็เกิดที่มณฑลอันฮุย อาจจะเป็นเพราะมณฑลนี้ยากจน เด็กในมณฑลนี้ก็เลยต้องสู้ชีวิตทุกมิติ หนักหนากว่าเด็กในมณฑลที่สบายๆ


ตัวนายหยู เฉิงตง นั้นขาดอาหารตั้งแต่เป็นเด็ก เวลาหิวมักจะหิวตลอดเวลาเมื่อไปโรงเรียน แต่เขามุ่งมั่นจนสามารถเข้าเรียนได้ที่วิทยาลัย Nortwestern Polytechnic University สาขาวิทยาศาสตร์ ได้คะแนนสูงสุด ก็เลยได้เข้าไปต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยชิงหัว ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีอันดับหนึ่งของจีน เปรียบได้กับ MIT ของอเมริกา

หยู เฉิงตง เริ่มทำงานกับหัวเว่ยในปี 2536 ทำมาแล้ว 30 ปี เริ่มตอนอายุ 24 ในตำแหน่งช่างเทคนิค เงินเดือนแค่ 800 หยวน หรือ 4,000 บาท ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าหนุ่มที่พูดสำเนียงเหน่อๆ บ้านๆ ของมณฑลอันฮุย จะกลายเป็นผู้บริหารคนสำคัญที่ผลิตสินค้าที่ออกมาพลิกฟ้าคว่ำดินได้ของหัวเว่ย

เขาพัฒนาตัวเองในสายวิจัยและพัฒนาระบบควบคุมโปรแกรมดิจิทัลรุ่นแรกของหัวเว่ย ในเวลานั้น ผู้ก่อตั้งหัวเว่ย คือ นายเหริน เจิ้งเฟย ได้ใช้ยุทธศาสตร์เมืองล้อมชนบท คือส่งพนักงานหัวเว่ยจากเซินเจิ้นเดินสายไปขยายตลาดตามหมู่บ้านในเมืองต่างๆ หยู เฉิงตง ทำงานเข้าตา ผลงานดี ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเรื่อยๆ แต่หยู มีความทะเยอทะยานมากกว่านั้น ในปี 2541 เขาเสนอโครงการสื่อสารไร้สาย ซึ่งตอนนั้นหัวเว่ยยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยกับเรื่องพวกนี้ เขารับผิดชอบธุรกิจ 3G เป็นธุรกิจใหม่ที่หัวเว่ยไม่เคยทำ และก็ไม่มีความมั่นใจ

เหริน เจิ้งเฟย
ประการแรกท่านผู้ชมต้องเข้าใจว่าอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในจีนขณะนั้นเพิ่งจะเริ่มต้น มีอุปสรรคทางเทคโนโลยีสูง ตลาดจีนส่วนใหญ่ถูกครอบงำโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมจากประเทศที่พัฒนาแล้ว

ประการที่สอง การวิจัยและพัฒนานี้ต้องใช้เงินลงทุน 6,000 ล้านหยวน เยอะมากสมัยโน้น คิดเป็นเงิน 1 ใน 3 ของงบประมาณวิจัยของหัวเว่ย ดึงมาให้นายหยู เฉิงตง ทำ มีเสียงคัดค้านอย่างรุนแรงจากผู้บริหารอื่นๆ ในบริษัท แต่ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ กล้าได้กล้าเสียอย่างนายเหริน เจิ้งเฟย มีวิสัยทัศน์ ให้โอกาสสนับสนุนคนหนุ่ม นายหยู เฉิงตง เต็มที่ แต่งตั้งเขาเป็นผู้อำนวยการแผนกสื่อสารไร้สายของหัวเว่ย ที่มีเป้าหมายธุรกิจ 3G ในปี 2546 หลังจากที่เหริน เจิ้งเฟย ตัดสินใจลงทุน 1,000 ล้านหยวน เพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมผลิตสมาร์ทโฟน

แม้หัวเว่ยจะครองตำแหน่งที่โดดเด่นในภาคธุรกิจผู้ให้บริการ แต่มาเป็นผู้มาใหม่ในธุรกิจทำสมาร์ทโฟน

2546 หยู เฉิงตง ได้นำผลิตภัณฑ์ธุรกิจบริการ 3G หัวเว่ย เขาไปยุโรปเลย ใจกล้ามาก เพื่อสำรวจตลาด ในเวลานั้นหัวเว่ยยังไม่มีชื่อเสียงเลย 30 ปีที่แล้ว ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ แต่หลังจากเขาทำงานหนักมาเป็นเวลาหลายเดือน ในที่สุดผู้บริการโทรคมนาคมรายเล็กของฝรั่งเศสเจ้าหนึ่งก็มาร่วมมือกับหัวเว่ย


ระหว่างเจรจากัน หยู เฉิงตง พบว่าสถานีฐาน 3G ของบริษัทต่างประเทศขนาดใหญ่ มีขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก บำรุงรักษายาก ค่าใช้จ่ายสูง เขาเลยตัดสินใจรวดเร็วเปลี่ยนทำสถานีฐานแบบแยกส่วนที่น้ำหนักเบา แต่ในที่สุดเขาก็เผชิญการต่อต้านในบริษัท เพราะลงทุน 3G ยังไม่เท่าไร ยังไมได้ผลตอบแทนคืนเงินลงทุน 6,000 ล้านหยวนเลย จะไปเสี่ยงกับการลงทุนรอบใหม่อีก ก็เลยถูกตั้งคำถามว่าในโลกนี้มีใครเขาออกแบบสถานีฐานแบบนี้หรือเปล่า ใช้งานได้ดีหรือเปล่า ทำไมเราต้องเปลี่ยนมันด้วย หยู เฉิงตง ก็เลยหงุดหงิดขึ้นมา เขาถึงกับตบโต๊ะระหว่างประชุมว่า เราต้องทำ ไม่อย่างนั้นจะทำหลังอีริคสัน เขามีเป้าแล้วว่าเขาต้องการโค่นบริษัทฝรั่งให้ได้

ในที่สุดองค์กรไปรอด/ไม่รอด จริงๆ จะก้าวหน้า กระโดดก้าวไกลจริงๆ ที่สุดอยู่ที่ผู้นำองค์กร เหริน เจิ้งเฟย เจ้าของบริษัท ตัดสินใจเสี่ยงอีกครั้งหนึ่ง พิสูจน์แล้วว่าเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง เพราะในเวลาเพียง 6 เดือน การพัฒนาสถานีฐานแบบแยกส่วน ให้สัญญาณที่แรงกว่า นวัตกรรมนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก หัวเว่ยได้รับคำสั่งซื้อมูลค่า 25 ล้านดอลลาร์ จากบริษัทสัญชาติดัตช์ ทำให้หัวเว่ยเริ่มสร้างชื่อเสียงในยุโรป และยังคงต่อยอดความสำเร็จนี้ต่อไป ในปี 2550 หัวเว่ยได้พัฒนาสถานีฐานรุ่นที่ 4 สามารถแบ่งปัน 2G, 3G, 4G ได้ เลยทำให้สถานภาพของหัวเว่ยนั้นแข็งแกร่งขึ้น

2555 (11 ปีที่แล้ว) หัวเว่ยได้ลงนามกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในยุโรป 12 แห่ง จากทั้งหมด 15 ราย ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 33 เปอร์เซ็นต์ ในการตลาดสื่อสารไร้สายของยุโรป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนนั้นเป็นจุดสูงสุดของหัวเว่ย


ผลงานนี้เกิดขึ้นหลังจากที่หยู เฉิงตง บุกตลาดยุโรปและอเมริกาสำเร็จ ในปี 2554 เหริน เจิ้งเฟย ได้ออกคำสั่งโอนเขากลับมาบริหารดูแลธุรกิจเรือธงสมาร์ทโฟนหัวเว่ยที่จีน เพราะผลประกอบการ ยอดขาย กำไรธุรกิจสมาร์ทโฟนหัวเว่ยภายใต้ผู้บริหารคนเก่า 3 คน ไม่มีความคืบหน้า เหริน เจิ้งเฟย รู้นิสัยของหยู ดีกว่าใครๆ ว่าเมื่อเขารับปาก ตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง เขาจะทุ่มสุดตัว หยุดทำอะไรไม่ได้เลยจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย

ในที่สุดแล้ว จากการที่สมัยก่อนหัวเว่ยรับจ้างผลิต โดยส่วนใหญ่ผลิต OEM และ Feature Phone คือมือถือระดับกลาง แต่เมื่อสื่อสารไร้สาย ไว-ไฟ 3G เริ่มแพร่หลาย มีสมาร์ทโฟนแบรนด์ประสิทธิภาพสูงจากต่างประเทศ เช่น โมโตโรลา อีริคสัน ชาร์ป โนเกีย เข้าสู่ตลาดจีน ยอดขายสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยก็ลดลงทุกปี

ด้วยเหตุนี้ เมื่อหยู เฉิงตง ที่ได้รับฉายาว่า Crazy Yu เข้ามามีอำนาจบริหารธุรกิจโทรศัพท์มือถือหัวเว่ย เขาตัดสินใจเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างรุนแรง คือเขาตัดธุรกิจ Feature Phone และธุรกิจมือถือระดับล่างออกไป 90 เปอร์เซ็นต์ เขามุ่งเน้นตลาด Hi-end ตั้งเป้าว่าอย่างน้อยเราควรจะเป็น Audi หรือ Porsche ของอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของคนในวงการ เพราะเมื่อปี 2554 นั้น สถานการณ์ที่ตกต่ำของหัวเว่ยนั้นดูน่าสังเวชมาก

ปรากฏว่าการตัดสินใจของหยู ครั้งนี้ ส่งผลให้ยอดขายโทรศัพท์มือถือของหัวเว่ยลดลง 30 ล้านเครื่อง ยุคนั้นลดลง 30 ล้านเครื่อง ถือว่าเรื่องใหญ่นะ บริษัทแทบล้มเลย รายได้ลดฮวบ คนในบริษัทประท้วง ต่อต้านแนวทางของเขาอย่างรุนแรง บางคนเขียนจดหมายร้องทุกข์กล่าวโทษหยู วางบนโต๊ะทำงานของท่านประธานเหริน เจิ้งเฟย ซึ่งยังคงยืนอยู่ข้างหยู เฉิงตง ประกาศว่า การไม่สนับสนุนหยู เฉิงตง ก็หมายความว่าไม่สนับสนุนผมเช่นกัน นั่นคือสิ่งที่เหริน เจิ้งเฟย พูดออกมากับลูกน้อง


2555 หยู เฉิงตง และทีมของเขา เปิดตัวหัวเว่ย Ascend P1 สมาร์ทโฟนเครื่องแรกของหัวเว่ย ราคาเครื่องละ 305 เหรียญอเมริกา ไม่ประสบผลสำเร็จทางการตลาด ขายได้แค่ 500,000 เครื่องเท่านั้น เพราะโทรศัพท์รุ่นนี้ใช้งานยาก เกิดปัญหาบ่อยครั้งจากเครื่องช้าและร้อนเกินไป ทำให้เหริน เจิ้งเฟย รู้สึกหงุดหงิดมาก เขาขว้างโทรศัพท์ใส่หน้าของหยู และสั่งตัดโบนัสประจำปีของหยู เฉิงตง เลย

แต่ว่าหนึ่งปีต่อมา พฤษภาคม 2556 หยู เฉิงตง ไม่ยอมแพ้ เขาไล่ตามความฝันและเปิดตัวหัวเว่ย Ascend P2 สมาร์ทโฟน ราคา 525 เหรียญสหรัฐ ก็พบชะตากรรมเดียวกัน ประสบความล้มเหลวเช่นกัน ทำให้เกิดข่าวลือในหัวเว่ยว่าหยู เฉิงตง อาจจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง หลังจากผลกำไรทั้งหมดของธุรกิจสมาร์ทโฟนหัวเว่ยที่เขาดูแลนั้นลดลงต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคาร

แต่ท่านผู้ชมรู้ไหม คนที่ใจสู้ ไม่ยอมแพ้ ถึงจะล้มเหลวซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า หยู เฉิงตง ไม่ยอมแพ้ เขาเริ่มใช้ปัญญาแก้ไขสิ่งที่ผิด เขาเรียนรู้ ศึกษาวิธีของ "เหลย จุน"

เหลย จุน คือใคร ? คือผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เสียวหมี่ เริ่มจากสร้างบัญชีเวย์ปั๋ว ก็คือบัญชีโซเชียลออนไลน์ของจีน เขาทำทำไม ? ทำเพื่อสื่อสารโดยตรงกับลูกค้า ส่งพนักงานด้านออกแบบ แบบวิจัยพัฒนาลงไปสำรวจตลาด ไปรับฟังปัญหาการใช้โทรศัพท์หัวเว่ยของลูกค้าด้วยตัวเอง เขาทุ่มเทผลักดันให้พนักงานของเขาไม่ลดละ ดึกๆ ดื่นๆ เขามักจะโทรหาพนักงานเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสมาร์ทโฟน แล้วเขาตัดสินใจรับผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทอย่างเช่นโนเกีย และซัมซุง มาทำงานด้วย


จนกระทั่งมิถุนายน 2556 ผลงานความมานะพยายามของทีมงานประสบผลสำเร็จ เปิดตัวสมาร์ทโฟนหัวเว่ย Ascend P6 ราคาเครื่องละ 600 เหรียญสหรัฐ มีความบางที่สุดในโลก คือ 6.18 มิลลิเมตร หยู เฉิงตง มั่นใจมากๆ กับโทรศัพท์เครื่องนี้ ได้เตรียมขายไว้ถึง 3 ล้านหน่วย ในปีนั้น หัวเว่ย P6 ขายได้ถึง 4 ล้านเครื่อง เป็นชัยชนะที่ประทับใจของหยู เฉิงตง

ความสำเร็จของหัวเว่ย Ascend P6 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับธุรกิจสมาร์ทโฟนหัวเว่ย หลังจากนั้นหัวเว่ยได้เปิดตัวรุ่นใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับชิปคิริน ของตัวเอง และเริ่มเข้าสู่ยุคทอง ยอดขายโทรศัพท์มือถือเติบโตอย่างรวดเร็ว มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

2561 ห้าปีที่แล้ว ยอดขายโทรศัพท์มือถือของหัวเว่ยทะลุ 200 ล้านเครื่อง แซงหน้าแอปเปิล หัวเว่ยขึ้นเป็นอันดับสองของโลก และปี 2562 เขาแซงหน้าซัมซุง และหัวเว่ยครองอันดับ 1 ของโลก ในช่วงเวลานั้น หยู เฉิงตง มีความมั่นใจมากในการแถลงข่าวหลายครั้ง เขาบอกว่าเขาจะเหนือกว่าแอปเปิลภายในสองปีนี้ และซัมซุง ภายใน 5 ปี คำพูดที่ยะโสโอหังของเขาสร้างความอึ้ง แต่ก็สร้างความประทับใจชาวเน็ตอย่างชัดเจน เขาได้รับฉายาว่า "หยู ต้าจุ่ย" ก็คือ หยูขี้โม้ ต้าจุ่ยก็คือปากมาก ปากใหญ่ ขี้โม้


2562 หยู เฉิงตง คงไม่คาดคิดว่าเขากำลังจะเจอวิกฤต ธุรกิจโทรศัพท์มือถือของหัวเว่ยอยู่ในจุดสูงสุด จู่ๆ อเมริกาก็บังคับการใช้ การควบคุม การส่งออกชิปซอฟต์แวร์ อุปกรณ์ต่างๆ ส่งผลให้หัวเว่ยพังทลายข้ามคืนกลายเป็นเทวดาตกสวรรค์ เพราะขาดแคลนชิป ท่านผู้ชมรู้ไหมผลประกอบการโทรศัพท์มือถือของหัวเว่ยในปี 2563 หลุดออกจาก 5 อันดับแรกของโลก ดูเหมือนว่าอนาคตโทรศัพท์มือถือของหัวเว่ยจะมืดมนหลังจากที่อเมริกาคว่ำบาตรจีนเต็มพิกัด ไม่สามารถนำเข้าชิประดับ Hi-end จากต่างประเทศ และยังบีบให้หัวเว่ยไม่สามารถใช้ระบบ Android ของกูเกิลได้

แม้ในอนาคตเราจะถูกแบนไม่ให้ใช้ Android แต่ไม่เป็นไร หัวเว่ยเตรียมพร้อมและเรามีแผนสำรองไว้แล้ว หยู เฉิงตง ก็ยังอดที่จะโม้ต่อไม่ได้

2564 หัวเว่ยเปิดตัวสมาร์ทโฟน เมท 50 หยู เฉิงตง ไม่กล่าวคำว่าล้ำหน้ากว่าใครอีกแล้ว แต่เขาพูดว่า อย่างที่คนรู้ๆ กันอยู่แล้วว่าการคว่ำบาตรของอเมริกา 4 รอบ เราใช้ชิป 5G ของเราในลักษณะของชิป 4G พูดเสริมว่าชิปใหม่ที่เราใช้ ยังคงใช้ได้ดีอยู่และก็ไม่เป็นไร


สิงหาคม 2565 หัวเว่ยได้เปิดตัว P50 โปร อย่างเงียบๆ โทรศัพท์เครื่องนี้เป็นเครื่องแรกของหัวเว่ยที่ไม่มีระบบ Android และกล่าวไว้อย่างมีนัยสำคัญว่า จากใจแม่ทัพหัวเว่ย หยู เฉิงตง ที่นำโทรศัพท์มือถือหัวเว่ยกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง หลังจากตกสู่เหวของการคว่ำบาตรของอเมริกา เป็นการกลับคืนมาของชิป 5G ที่หยู เฉิงตง นำทัพสู้กลับอย่างไม่ย่อท้อ เพราะว่าหัวเว่ยเป็นบริษัทที่ครอบครองสิทธิบัตร 5G จำนวนมากมายที่สุดในโลก

โทรศัพท์มือถือหัวเว่ยต้องเผชิญกับความขึ้นๆ ลงๆ มากในช่วง 30 ปี หยู เฉิงตง ได้ร่วมทัพรบทัพจับศึกกับข้าศึกศัตรู อยู่ในกระบวนการเติบโตอย่างน่าทึ่งของหัวเว่ย ยืนหยัดเคียงข้างบริษัทในยามวิกฤตต่างๆ มากมาย บางคนก็ชื่นชมเขา ขณะเดียวกัน ปกติธรรมดา ก็มีคนเกลียดเขา แต่เขาไม่เคยหยุดวิ่ง วิ่งไม่ได้เขาก็เดิน เดินไม่ได้ก็คลาน ทุกๆ การตัดสินใจของเขาได้แสดงความชัดเจน ความมุ่งมั่นแน่วแน่ และการปฏิเสธที่จะประนีประนอมอย่างสิ้นเชิง

ท่านผู้ชมครับ 4 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่อเมริกาคว่ำบาตร ขึ้นบัญชีดำหัวเว่ย และบริษัทสัญชาติจีน 70 แห่ง โดยอเมริกาอ้างปัญหาของความมั่นคงแห่งชาติ กิจการหัวเว่ย และหยู เฉิงตง ผู้บริหารระดับสูงของหัวเว่ย ต้องประสบช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตของเขา แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมครับ ความเป็นนักสู้ พวกเขาไม่ยอมจำนนหรือยอมแพ้ ยิ่งกดดัน ยิ่งแข็งแกร่งดุจเพชร เขาบอกว่าสมาร์ทโฟนเรือธงหัวเว่ยของเราอยู่บนเส้นทางของการฟื้นคืนกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง เมื่อมองย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา เราเอาชนะความยากลำบากนับไม่ถ้วน และเมื่อเรามองย้อนกลับไป เรือธงของเราได้แล่นผ่านภูผานับพัน นี่คือคำพูดที่ลึกซึ้งของหยู เฉิงตง ในวันที่หัวเว่ยเปิดตัวเมท 60 โปร


ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์การพัฒนาสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยที่พึ่งพาเทคโนโลยีของจีนเองทั้งหมด หยู เฉิงตง ในฐานะผู้บริหารระดับสูงของหัวเว่ย ยืนบนเวทีด้วยความปีติที่เอ่อล้นออกมาด้วยน้ำตาเป็นครั้งแรก น้ำตาไหลพรากเลย เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า การวิจัยและพัฒนาโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้อาศัยฝีมือของคนจีนล้วนๆ เลย ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง

CEO หัวเว่ย หยู เฉิงตง อธิบายความสำเร็จของสมาร์ทโฟนที่เขาภาคภูมิใจในชัยชนะของความเป็นสมาร์ทโฟนของชาติจีน หลังจากที่เขาอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมากในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดหลายปี เขานอนไม่หลับเวลากลางคืน ต้องออกไปเดินข้างนอก เดินคนเดียว ผมสีดำกลายเป็นสีขาวอย่างรวดเร็วในช่วงสองปีที่ผ่านมา จนกระทั่งเขาทำได้สำเร็จ มันเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมที่เป็นอิสระของหัวเว่ย แม้มีความยากลำบากมากมาย ฝ่าอุปสรรคปัญหาไปได้ นับเป็นการฟื้นตัวของห่วงโซ่อุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือและการวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยีที่พึ่งพาตัวเองของจีน 100 เปอร์เซ็นต์


ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้ก็สิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ แต่ก่อนจะสิ้นสุดเรื่องนี้ ก็ต้องพูดให้ฟังว่า วลีของ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ที่ผมนำมาพูดเล่าให้ท่านผู้ชมฟังนั้นตอนนี้หลายๆ คนก็เริ่มใช้คำว่าความจริงมีหนึ่งเดียว เลียนแบบผมกันไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร ผมไม่ได้หวงห้าม ใช้ไปเลยครับ เพราะความจริงมีหนึ่งเดียวจริงๆ หรือใครก็ตามที่มาใช้ความจริงมีหนึ่งเดียว พูดได้ ไม่มีการจดลิขสิทธิ์ ไม่ผิด พูดได้เต็มที่ แต่ให้ระวังผลที่เกิดขึ้น เหมือนอย่างวันนี้คนจับตาดู ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่กำลังรวบรวมอำนาจทุกอย่าง ไม่ยอมแบ่งงานให้คนอื่นเลย เอาส่วนที่สำคัญที่สุดเข้ามาอยู่ในมือตัวเอง มันก็อดที่จะทำให้ประชาชนหรือคนติดตามข่าวอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ถึงรวบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวพันกับงบประมาณระดับมาก ๆ ไว้กับตัวเอง และในที่สุดความจริงก็จะมีหนึ่งเดียวว่าเพราะอะไร รอวันนั้นก็แล้วกัน แล้วเราค่อยจับตาดูกันต่อไป แล้วอาทิตย์หน้าเราค่อยเจอกัน สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น