xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : ครม.เพื่อพ่อ “แม้ว” - เปิดโปงขบวนการสวาปาม "ปาล์มอินโด" (ภาคต่อ) - มหาสมุทรแปซิฟิก หรือบ่อน้ำทิ้ง? หายนะนิวเคลียร์ฟุกุชิมะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 1 ก.ย.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่
- ครม.เพื่อพ่อ“แม้ว”
- เปิดโปง “ขบวนการ สวาปาม” (ภาคต่อ) จากปาล์มอินโดฯ - ENERGY EARTH ถึง STARK ใครคือไอ้โม่งเบื้องหลัง
- มหาสมุทรแปซิฟิก หรือบ่อน้ำทิ้ง? หายนะนิวเคลียร์ฟุกุชิมะ

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.204



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 205 [1 ก.ย. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean :SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2566 ช่วงนี้จะมีเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและน่าติดตามหลายๆ เรื่อง และขอสวัสดีแฟนๆ รายการที่รับชมสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok
สวัสดีครับท่านผู้ชม เฉลิมฉลองวันแรกของเดือนกันยายน ซึ่งเป็นวันศุกร์ เรากลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่งตามปกติธรรมดาของทุกๆ ศุกร์ ผมขออนุญาตสวัสดีแฟนๆ รายการทั้งหลายที่ชมถ่ายทอดสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok

ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่องพระสยามพุทธาธิราช ท่านผู้ชมครับ ผมบอกไปแล้ว ตอนนี้ยอดจองพระสยามพุทธาธิราชหมดไปแล้ว 12,000 ชุด เหลือจริงๆ อีกไม่เกิน 6,000 ชุด ผมเข้าใจว่าไม่เกินกันยายนนี้ก็หมดแล้ว หมดแล้วหมดเลยนะครับ ท่านผู้ชมรีบเข้ามาโดยด่วน อย่าช้า เพราะว่าจะเป็นพระที่มีบุญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ และเมตตามหานิยมสูง ค่อนข้างจะครอบจักรวาล


ท่านผู้ชมทำบุญมา 2,000 บาท จะได้พระสยามพุทธาธิราช 1 ชุด ประกอบด้วย พระผง 1 องค์ และเหรียญโลหะ 1 องค์ เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาจากการจองพระ เราจะนำไปทำบุญทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าท่านผู้ชมสนใจ เปิดให้พรีออร์เดอร์ที่ไลน์ (LINE) @tambun

ทีนี้ก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่งซึ่งเราเคยพูดถึง คือ พระนารายณ์ทรงสุบรรณอนันตนาคราช รุ่นนี้เป็นงานประติมากรรม ทำโดยบริษัท Art Mulet ซึ่งผู้จัดทำเล่าให้ฟังว่าเป็นผลงานที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่สำคัญที่สุด และเป็นสิ่งที่ผู้คนทั้งหลายไม่เคยพบเห็นมาก่อน และเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่นี่ กับการอยู่ร่วมกันของครุฑและนาคอย่างสมานฉันท์ด้วยหน้าที่ ดังนั้น ผลงานประติมากรรมอันทรงพระนามว่า พระนารายณ์ทรงสุบรรณอนันตนาคราช จึงถือเป็นสามประสานแห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ คือตัวพระนารายณ์นั้นถือว่าเป็นตัวแทนแห่งเจ้าผู้ปกครอง เปี่ยมด้วยพระเมตตา คุณธรรม ความดี มีความเฉลียวฉลาด ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา อันเป็นคุณสมบัติควรค่าแก่การเป็นต้นแบบของเจ้าผู้ปกครองอย่างแท้จริง จะนำมาซึ่งบริวารที่มีความแกร่งกล้าสามารถ ไม่เป็นสองรองใคร นอกจากนั้น ยังมีความซื่อสัตย์ กตัญญูรู้คุณ และจงรักภักดี ถือเป็นคุณสมบัติประจำตัวของพญาครุฑ หรือพญาสุบรรณ


ส่วนพญาอนันตนาคราช ผู้เป็นราชาแห่งนาคทั้งปวง เปรียบประจุดดั่งว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่แห่งหนใดก็ตาม ไม่ว่าจะกระทำการก็ตาม ย่อมได้รับการสนับสนุนจากทุกๆ ฝ่าย และได้รับความเกื้อหนุนจากผู้คนทั้งหลาย โดยเหล่านาคนั้นมีอยู่มากมาย ทุกที่ ทุกสถานที่ที่เป็นอนันต์ และพญานาค ถือเป็นที่เคารพสักการะบูชามาตั้งแต่อดีตกาลจนปัจจุบัน

ผลงานดังกล่าวสืบเนื่องจากอาจารย์ธนทัศน์ ทองเนียม ประธานดำเนินการแห่ง Art Mulet ได้มาร่วมปรึกษาเพื่อค้นคว้าหาแนวทางในการจัดสร้างผลงานประติมากรรมแห่งศรัทธา มีหัวใจยันต์มหารวยของอาจารย์ไพโรจน์ ชื่นวิชา ขนาด 3.x3 เมตร เป็นต้นแบบ อันนำไปสู่การรังสรรค์ผลงานประติมากรรมนารายณ์ทรงสุบรรณอนันตนาคราช


ผลงานประติมากรรมนารายณ์ทรงสุบรรณอนันตนาคราชทุกชิ้น หล่อด้วยโลหะบรอนซ์ จากออสเตรเลีย หรือที่เขาเรียกกันว่าสำริดนอก จะมีพิธีจัดบวงสรวงเทวาภิเษก พิธีมหาพุทธาภิเษก วันที่ 20 ธันวาคม ปีนี้ ณ อุโบสถวัดขุนอินทประมูล อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง โดยสมเด็จพระมหารัชมงคลมนุนี หรือเจ้าประคุณสมเด็จธงชัย เจ้าคณะใหญ่หนกลาง วัดไตรมิตรวิทยาราม เสด็จมาเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ในการจุดเทียนชัย นั่งปรกอธิษฐานจิตร่วมกับพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกหลายรูป รายได้ร่วมการจัดสร้างที่พักสำหรับผู้มาปฏิบัติธรรมและศาลาอเนกประสงค์วัดขุนอินทประมูล จังหวัดอ่างทอง

ที่สำคัญ ทางบริษัท Art Mulet แจ้งว่าจะเปิดให้จองพระนารายณ์ทรงสุบรรณอนันตนาคราช จนปิดการจองวันที่ 9 กันยายน 2566 ในเวลาห้าทุ่มเท่านั้น ใครอยากได้ต้องรีบหน่อย ถ้าท่านสนใจ ติดต่อได้ที่ Facebook Inbox : artmuletoffial, IG : Artmulet, LINE ID : @artmulet หรือเข้าเว็บไวต์ก็ได้ ที่ www.artmulet.com จะชมตัวอย่างก็ได้ ให้ไปที่วัดขุนอินทประมูล จังหวัดอ่างทอง โทรศัพท์ 092-557-7511


ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เรามีประเด็นรายการเรื่องแรกคือ เราจะวิเคราะห์การเมือง "จัด ครม. เพื่อพ่อ" รอบนี้คนแพ้คือเพื่อไทย แต่จะแพ้ถาวรหรือชั่วคราว ลองฟังผมวิเคราะห์ดู

สอง ผมเปิดโปงโคตรอภิมหาทุจริตคอร์รัปชัน "ขบวนการสวาปาม" ภาค 2 ตามมาฟังเถอะครับ ท่านฟังแล้วท่านจะอึ้งเพราะนึกไม่ถึงว่า ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทที่อ้างธรรมาภิบาลสูงที่สุด กลับมีเรื่องฉาวโฉ่แบบนี้ ผสมผสานระหว่างคนในกับคนนอก อดีตคนในที่เคยมีตำแหน่งใหญ่ดึงคนนอกเข้ามาทำมาหากินกับ ปตท. จน ปตท. สูญเสีย เสียหายไปเป็นหมื่นๆ ล้าน

เรื่องสุดท้าย ท่านผู้ชมคงได้ข่าวมาแล้วว่าญี่ปุ่นเคยมีสึนามิและแผ่นดินไหว แล้วทำให้โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะต้องพังทลายลงไป มาวันนี้มีหายนะเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะญี่ปุ่นไปมองว่ามหาสมุทรแปซิฟิกนั้นเป็นบ่อทิ้งน้ำเสียส่วนตัว เทน้ำลงไป จะมีผลกระทบต่อโลกทั้งโลก ด้วยความเห็นแก่ตัวและความบัดซบของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ทำ และอเมริกาก็ให้การหนุนหลัง เพราะต้องการจะใช้ภูมิรัฐศาสตร์เพื่อดึงให้ญี่ปุ่นเป็นพวกตัวเอง ก็เลยจะไฟเขียว หลับตาข้างหนึ่ง แน่นอนที่สุดครับ จะมีผลกระทบต่อประเทศญี่ปุ่น และจะมีผลกระทบต่อโลกทั้งโลกด้วย

ครม.เพื่อพ่อ(แม้ว)


ถ้าเราเล่าเรื่องถึงการจัด ครม. แล้วก็บอกว่าใครได้อะไร พรรคไหนได้อะไรบ้าง กี่ที่ กี่ตำแหน่ง มันค่อนข้างจะจืดชืด แต่ถ้าผมเอาเบื้องหน้าเบื้องหลังว่าทำไมคนนั้นถึงมานั่งตรงนี้ แล้วการจัด ครม. ครั้งนี้พรรคไหนได้มากที่สุด และพรรคไหนเสียมากที่สุด ที่สำคัญคือ ทำไมพรรคที่ได้มากที่สุดถึงได้มากที่สุด มีเบื้องหลังอะไร และพรรคที่เสียมากที่สุดคือพรรคอะไร ทำไมถึงยอมเสีย

ถึงวันนี้แล้วการจัดตั้ง ครม. ของ "เศรษฐา 1" น่าจะสรุปได้แล้ว เห็นหน้าเห็นตาแล้วว่าไม่ว่าตำแหน่งใด ใครนั่งอยู่ที่ไหน กระทรวงไหนบ้าง ผมไม่ไล่เรียงรายละเอียดก็แล้วกัน ท่านผู้ชมหาอ่านได้จากที่อื่น

นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช
ในภาพรวมท่านผู้ชมต้องสังเกตว่า นายกฯ เศรษฐา นั้นถูกคุณทักษิณ ชินวัตร วางหมากล้อมเอาไว้รอบตัว เลขาธิการนายกฯ คือ หมอมิ้ง นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช นั่นคือด่านที่จะเข้าไปสู่ ครม. แล้วหมอมิ้ง ต้องคอนโทรลเกมทุกเกม ถ้าเรื่องไหนก็ตามที่คุณทักษิณ ไม่อยากให้เข้า ครม. หรืออยากให้เร่งเข้า ครม. หมอมิ้ง มีหน้าที่ทำเช่นนั้น อีกประการหนึ่ง หมอมิ้ง ก็จะเป็นคนที่ชำนาญการมาแล้วเรื่องพวกนี้


คนที่สอง คือ ผู้กำกับหนุ่ย พ.ต.อ.วทัญญู วิทยผโลทัย หรือผู้การหนุ่ย ที่คอยติดตามคุณทักษิณ และอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ คือเรียกว่าซื่อสัตย์อย่างสุดๆ แม้กระทั่งคุณยิ่งลักษณ์ หนีไปแล้ว ผู้กำกับหนุ่ยก็ยังไม่เฝ้าบ้านคุณยิ่งลักษณ์ อยู่สักพักหนึ่ง

อีกคนหนึ่งซึ่งโผล่ออกมาอย่างไม่มีใครคาดคิด คือ คุณพิชิต ชื่นบาน ทนายของตระกูลชินวัตร ซึ่งมีฉายาว่า "ทนายถุงขนม" ซึ่งคุณพิชิต แสดงความไม่พอใจอย่างมาก ออกมาโพสต์บอกว่าให้หยุดเรียก "ทนายถุงขนม" ได้แล้ว


ทั้งหมดนี้ คุณพิชิต เข้ามาในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ดูแลกฎหมาย คือพูดง่ายๆ ว่าคุณทักษิณ ล็อกทุกทางกับท่านนายกฯ เศรษฐา แล้ว 3-4 คน ที่ผมพูดไปนี้ ทุกคนพร้อมจะรับใช้ทักษิณ ชินวัตร อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู

ผมตั้งข้อสังเกต ครม. ชุดนี้ ผมจะเรียกว่า "ครม. เพื่อพ่อ" 35 คนที่จัดสรรมานี้ เป็นไปตามคณิตศาสตร์ทางการเมืองตามโควต้าเก้าอี้ ส.ส. คือ 9-10 ส.ส. ต่อ 1 เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการ


ข้อสังเกตข้อที่หนึ่ง ภาพการจับมือกันระหว่างนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน กับอดีตนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นเป็นตัวแทนระหว่างสองขั้วเลย คือ พรรคเพื่อไทย กับ พรรครวมไทยสร้างชาติ และสมาชิกวุฒิสภาอีกร้อยกว่าเสียงที่โหวตเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ให้กับท่านนายกฯ เศรษฐา ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแบบผ่านฉลุย ด้วยคะแนนเสียงถึง 482 เสียง ของรัฐสภา เกินกว่า 376 เสียงที่ต้องการเป็นร้อยเสียง ซึ่งจริงๆ แล้วการที่ลงคะแนนเสียงแบบนี้ได้ อนุมานได้ว่า แล้วก็ไม่ผิดพลาดด้วย ว่า เป็นการต่อรองระหว่างพรรเพื่อไทยที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวเรือ และฝั่งกลุ่มอำนาจเก่า คือพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งการต่อรองนี้เป็นผลทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติได้กระทรวงสำคัญๆ เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นโควต้ากลุ่มทุนพลังงานของพรรครวมไทยสร้างชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม


สำหรับพรรคที่มีเสียงสามสิบกว่าเสียง แล้วได้แบบนี้ เพราะพลังงงานนี่ต้องเป็น Top Grade A ที่สำคัญมาก ที่มีแต่คนอยากได้ เพราะว่าเงินอยู่ที่กระทรวงพลังงานเยอะมากในหลายๆ อย่าง ปัญหาคือ ถ้าสมมุติว่าคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีพลังงาน ท่านพีระพันธุ์ ท่านเป็นอดีตผู้พิพากษา ท่านเป็นนักกฎหมาย เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมาก่อน แต่พอมานั่งพลังงานแล้วจะมีปัญหาในด้านการดำเนินนโยบายการปฏิรูปพลังงานเรื่องลดค่าไฟฟ้า ลดค่าน้ำมัน ปฏิรูปพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานทางเลือก อย่างแน่นอน


นโยบายพลังงานของพรรคเพื่อไทยที่หาเสียงเอาไว้คือ ลดราคาน้ำมัน ไฟฟ้า แก๊สทันที คือจะปรับลดราคาพลังงาน น้ำมัน ไฟฟ้า แก๊ส ทันที เพื่อลดภาระในการเข้าถึงแหล่งพลังงานในชีวิตประจำวันให้ประชาชน แก๊สที่ครัวเรือนใช้กันในการหุงต้ม จะต้องเร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อนเพื่อเพิ่มแหล่งแก๊สธรรมชาติที่มีราคาถูกและสามารถสร้างรายได้ให้ภาครัฐจากค่าภาคหลวง สนับสนุนพลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก เพื่อลดการพึ่งพิงพลังงานแบบดั้งเดิม เพื่อเพิ่มความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ท่านรัฐมนตรีพีระพันธุ์ มาจากพรรคที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนพลังงาน ดังนั้นถ้าคุณพีระพันธุ์ นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีฯ พลังงานจริง ผมเชื่อว่าพลังงานยังมีแนวโน้มที่จะมีราคาแพงต่อไป

การลดราคานี้โดยไม่มีการปรับโครงสร้างทางพลังงาน อาจจะแก้ได้ให้ราคาลดลง แต่เป็นแค่ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะว่าถ้าลดนานจะไปกระทบต่อภาษี รายได้ของรัฐ เพราะคนพวกนี้จะวางแนวทางว่าให้รัฐลดภาษีตัวเอง นั่นก็คือรายได้ที่รัฐเคยได้และต้องหายไป เอามาชดเชยค่าพลังงาน ซึ่งไม่ใช่เป็นการแก้อย่างยั่งยืน เป็นการแก้ในเชิงการเมืองเท่านั้น

ซึ่งถ้าไม่มีการเปิดเสรีและปฏิรูปด้านพลังงานต่างๆ มันก็เท่ากับไม่มีอะไรที่จะไปเอื้อประโยชน์กับประชาชนในระยะยาวได้ ยกเว้นท่านรัฐมนตรีฯ พีระพันธุ์ มีความคิดแหกโค้ง อยากฝากผลงานเพื่อยกระดับเป็นผู้นำทางการเมืองคนใหม่ และที่สำคัญ ท่านรัฐมนตรีฯ พีระพันธุ์ ต้องยอมหักกับกลุ่มพลังงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน นี่คือข้อสังเกตของผมนะครับ


ข้อสังเกตข้อที่สอง พรรคภูมิใจไทยที่เดิมทีครองกระทรวงคมนาคมอยู่ และประสงค์ที่จะได้กระทรวงนี้ต่อ ต้องแลก เพราะกระทรวงคมนาคมนั้นมีโครงการเมกะโปรเจกต์เยอะมาก หลายโครงการที่มีผู้รับเหมาแล้ว ที่เหลือก็เดินหน้า แต่พอคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งตอนนี้มีฉายาว่า "สุริยะมือเหล็ก" มาคุมกระทรวงคมนาคม ก็อาจจะมีการทบทวนหลายโครงการที่ผ่านไปแล้ว เรียกผู้รับเหมามาคุยใหม่ คุณสุริยะ เป็นเซียนในเรื่องนี้ ชำนาญการ ชำนาญการมาก ว่าจะจัดการอย่างไรกับพวกโครงการที่ผ่านการอนุมัติไปเรียบร้อยแล้ว อันนี้เขาเรียกว่าเป็นทักษะส่วนบุคคลที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ ถ้าคุณสุริยะ เป็นอันดับสองของประเทศในเรื่องของการบริหารจัดการในเรื่องพวกนี้ ท่านผู้ชมพนันกับผมได้ว่า ถ้าคุณสุริยะ เป็นเบอร์สอง รับรองไม่มีใครขึ้นเบอร์หนึ่งได้ ด้วยเหตุนี้ฉายาของคุณสุริยะ ณ วันนี้ คือ "สุริยะมือเหล็ก" จะมือเหล็กอย่างไร ท่านผู้ชมไปคิดเอาเองก็แล้วกัน


แต่ที่สำคัญที่ผมอยากจะตั้งข้อสังเกต สำคัญมากๆ เลยท่านผู้ชม ทำไมคุณสุริยะ ซึ่งเพิ่งย้ายขั้วมาจากพรรคพลังประชารัฐ แล้วยังไม่มี ส.ส. ในมุ้งมากมายเลย ไม่กี่คนเลย ถึงมีบทบาทมากจนได้นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นกระทรวงเกรด A เพราะโครงการต่างๆ เป็นแสนๆ ล้าน เป็นล้านล้านล้าน อยู่ที่กระทรวงคมนาคม หลังจากที่พรรคภูมิใจไทย โดยคุณศักดิ์สยาม ชิดชอบ ได้มีความสุขความสำราญกับการนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมาตั้งเกือบสี่ปี

ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่าว่า ผมเคยรายงานข่าวว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นหลานของสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ หลานแท้ๆ ได้บินไปพบทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง เจรจากันลับๆ พอแยกจากกันทั้งสองฝ่ายเงียบกริบ ไม่มีใครพูดทั้งสิ้นเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 ที่ฮ่องกง


ท่านผู้ชมสังเกตได้หรือเปล่าว่า ผมรู้สึกผิดสังเกต วันที่ทักษิณ ชินวัตร บินกลับเมืองไทยแล้ว พอเข้าคุกกลับได้รับอภิสิทธิ์ต่างๆ จนคนเขาตำหนิติเตียน วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น VVIP ทำตัวเป็นนักโทษเทวดา ท่านผู้ชมสังเกตไหมว่า เรื่องนี้เป็นความเหลื่อมล้ำที่เห็นชัดเจน ทำให้กระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว แล้วท่านผู้ชมสังเกตหรือเปล่าว่า พรรคไหนก็ตาม ซึ่งไม่ต้องเอ่ยชื่อท่านผู้ชมก็คงเดาออก พรรคไหนล่ะที่สู้เรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมตลอดเวลา ในขณะซึ่งเด็กถูกจำคุกอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพวกเด็กที่ติดคดี 112 ก็ถูกพรรคก้าวไกลตำหนิติเตียนรัฐบาลว่านโยบายที่เหลื่อมล้ำ

วันนี้เมื่อเทียบถึงกรณีคุณทักษิณ เข้าไปติดคุก กับเด็กๆ ที่ติดคุกอยู่ เป็นที่น่าผิดสังเกตมาก ที่ตัวจี๊ดของพรรคก้าวไกลทุกคนเกิดอาการเป็นใบ้ขึ้นมา พูดไม่ได้ พูดไม่ออก มองหน้าไปทุกคนก้มหน้า ช่อ-พรรณิการ์ ไม่พูด วิโรจน์จอมซ่าก็ไม่พูด รังสิมันต์ โรม ก็ไม่พูด เจี๊ยบ-อมรัตน์ ที่ปากเก่งทุกเรื่อง ก็ไม่พูด พูดแต่เรื่องเศรษฐา


แสดงว่าเป็นไปได้อย่างสูงว่า ที่ธนาธร บินไปฮ่องกงรอบที่แล้ว น่าจะอนุมานได้ว่า ธนาธร กับ ทักษิณ ได้คุยกันเรียบร้อยแล้วว่า ถ้าทักษิณ กลับมาแล้ว ขอให้ก้าวไกลอย่ามาโจมตีเขาในเรื่องของอภิสิทธิ์พวกนี้ หรือขอให้เขาอยู่อย่างสุขสบาย และก็เป็นไปได้สูงว่า ธนาธร เองก็เสนอให้เอาสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นอาของตัวเอง ที่ข้ามห้วยมาใหม่ๆ เข้าไปนั่งกระทรวงคมนาคม ซึ่งทุกคนตะลึงกันหมด เพราะไม่เคยคิดว่าคุณสุริยะ จะได้นั่งคมนาคม อย่างดีที่สุดก็น่าจะเป็นอุตสาหกรรม แต่ทำไมคุณสุริยะ ได้มานั่ง ? ผมเชื่อเลยว่าเป็นการตกลงกันส่วนตัวระหว่างคุณธนาธร กับ คุณทักษิณ


เพราะสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ สมศักดิ์ เทพสุทิน อยู่พลังประชารัฐ ข้ามขั้วมาไม่นานเลย แถมจำนวน ส.ส. ที่ย้ายมาไม่ได้มีนัยสำคัญ แต่ได้นั่งกระทรวงคมนาคม ส่วนคุณสมศักดิ์นั้น เนื่องจากว่าเป็นคู่หูดูโอ้ แต่ความสำคัญไม่ได้สำคัญที่สมศักดิ์ กลับสำคัญอยู่ที่สุริยะ ก็เลยนั่งตำแหน่งรองนายกฯ แต่เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะคุณสมศักดิ์ กับ คุณสุริยะ นั้นคู่หูดูโอ้ เป็นนายพรานที่ออกไปล่าสัตว์พร้อมกันตลอดเวลา ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คุณสุริยะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในทางตรงกันข้าม คุณสมศักดิ์ ก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเงา นั่นเอง ขยันทำมาหากินกันทั้งคู่ เพื่อนรัก เพื่อนซี้ วิ่้งเข้าไปหาโครงการกัน แนะนำคนโน้นคนนี้มา โน่นนี่นั่น ที่เหลือท่านผู้ชมคิดเอาเองก็แล้วกัน

อีกประเด็นหนึ่งที่พิสูจน์ได้ชัดอีกครั้งหนึ่ง ว่าคุณธนาธร คือเจ้าของพรรคก้าวไกลที่แท้จริง การที่สามารถที่จะให้วิโรจน์ ช่อ รังสิมันต์ โรม หรือเจี๊ยบ อมรัตน์ หรือหลายคน จากคนที่พูดเก่ง ปากกล้า ดุเดือด ตื่นมาตอนเช้าวันหนึ่งคนพวกนี้เป็นใบ้ไปหมดเลย แบ๊ะๆๆ ไม่กล้าพูดถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำ คิดอะไรไม่ได้ นอกจากว่าคุณธนาธร คือคนที่ชี้ขาดในที่สุดว่าพรรคก้าวไกลจะเดินไปอย่างไร จะทำอย่างไร จะพูดเรื่องอะไร เห็นหรือยังครับที่ผมเคยตั้งทฤษฎีว่า เจ้าของพรรคตัวจริงคือคุณธนาธร และผมก็ไม่เชื่อว่าไม่มีการคุยกันระหว่างอากับหลาน ระหว่างคุณสุริยะ กับคุณธนาธร


คุณสุริยะ เดิมทีตั้งใจที่จะนั่งพลังงาน ชอบ เรียกร้อง เพราะเคยนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มาแล้ว เอ็นจอยมามาก ยุคสมัยที่คุณสุริยะ นั่งรัฐมนตรีพลังงานนั้น คุณสุริยะ มีความสามารถที่ทำให้ผู้ว่าฯ ปตท. จิตหลอนไปเลย จิตหลอนจริงๆ เพราะคุณสุริยะ เก่งเรื่องตัวเลข บวกตัวเลขเก่งมาก อะไรที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ คุณสุริยะ จะไม่พอใจ ก็จะคำนวณอยู่ในหัว ไม่ต้องเขียน แล้วบอกไปเลยว่ามันต้องอย่างนี้ทุกเดือน

เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า เนื่องจากพลังงานนั้นไม่มีทางที่จะยกให้ได้ เพราะตกลงกันแล้วว่านี่คือสิ่งที่รวมไทยสร้างชาติต้องการ และข้อตกลงในการแลกเปลี่ยนกับเอา ส.ว. หนึ่งร้อยกว่าเสียง เพื่อเทคะแนนให้คุณเศรษฐา เป็นนายกฯ นั้น ก็คือตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ด้วยเหตุนี้ ซึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องเลย ก็เลยต้องจับคุณสุริยะ มานั่งคมนาคม จริงๆ แล้วถ้าไม่มี factor คุณสุริยะ ขึ้น ก็เป็นไปได้ว่าภูมิใจไทยก็อาจจะได้คมนาคมกลับไปเหมือนเดิม แต่เนื่องจากว่ามีเหตุแบบนี้ขึ้น ท่านผู้ชมคิดตามผมให้ดีๆ ในที่สุดแล้วก็เลยต้องให้คุณสุริยะ ซึ่งเป็นคำขอร้อง หรืออาจจะเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่คุณธนาธร อยากให้อาของตัวเองได้นั่งกระทรวงคมนาคม เพราะคุณธนาธร อาจจะคิดว่าประเทศไทยถึงเวลาแล้วที่จะต้องสร้างรถไฟใต้ดินอีก 100 สาย สร้างสนามบินอีกประมาณ 50 สนามบิน ทำโน่นทำนี่ เพราะกระทรวงคมนาคมเป็นกระทรวงเกรด AAA (Tripple A) เดินเข้าไปที่ไหนหัวแตกหมด หัวแตกเพราะว่าหัวไปชนเงินที่วางกองเอาไว้ เดินไม่ระวังอาจจะบาดเจ็บ เพราะว่าจะมีคนเอาเงินเป็นปึกขว้างใส่ตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม


ข้อสังเกตข้อที่สาม จากข้อสังเกตที่สองนี้เอง ทำให้พวกเราอนุมานและอธิบายต่อได้ว่า ในที่สุดแล้วพรรคภูมิใจไทย เมื่อเช้าใจข้อจำกัดของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องยกพลังงานให้กับรวมไทยสร้างชาติ และยกคมนาคมให้กับสุริยะ อันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณทักษิณ ชินวัตร เพื่อไทยเลยจำเป็น จำเป็นมากๆ ที่ต้องกระชากกระทรวงมหาดไทยคืนจากคนของตัวเอง ทหารเอกของตัวเอง คือ ภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งภูมิธรรม ได้ถูกวางตัวไว้ที่กระทรวงมหาดไทย ต้องยกให้ภูมิใจไทย เพื่อทดแทนกับการที่เขาไม่สามารถกลับไปกระทรวงคมนาคมได้ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยก็เป็นกระทรวงสำคัญมาก จากเดิมที่มีการคาดหมายว่าพรรคภูมิใจไทยจะนั่งคมนาคม เพื่อไทยยกให้คนอื่น ก็เลยตัดใจที่จะยกกระทรวงที่มีความสำคัญด้านการปกครอง ด้านมวลชน มีความสำคัญยิ่งกว่าการจัดการเรื่องฐานเสียงของกระทรวงมหาดไทยให้กับพรรคภูมิใจไทย

นอกจากนั้นแล้ว คุณอนุทิน ชาญวีรกูล ก็ยังนั่งควบตำแหน่งรองนายกฯ คือพูดง่ายๆ ว่ารัฐมนตรีช่วยในมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการ เป็นของภูมิใจไทยทั้งหมดเลย ก็คือว่า พื้นที่ข้าฯ ใครอย่าแตะ" จะได้ตัดสินใจวางนโยบายอะไรชัดเจน

กระทรวงมหาดไทย เป็นกระทรวงที่มีเงินเยอะมาก เงินที่ลงท้องถิ่นนั้นเยอะมาก ผมเชื่อว่าคนในกระทรวงมหาดไทยรู้ เงินพัฒนาชุมชน มิหนำซ้ำแล้ว กระทรวงมหาดไทยยังกุมหัวใจในเรื่องกฎหมายในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโรงขยะไฟฟ้า


หรือแม้กระทั่งนโยบายพลังงานบางอย่าง ถ้าไม่ได้รับไฟเขียวจากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงานก็เดินหน้าต่อไม่ได้ ก็จะติดเหมือนสมัยหนึ่งที่กระทรวงพลังงานพยายามทำเรื่องไฟฟ้าขึ้นมา แล้วไปเกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย ปรากฏว่าเรื่องไปติดอยู่ที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไม่ยอมเซ็นออกมาเสียที ไม่ยอมอนุมัติเสียที การเมืองมันเป็นเช่นนี้ ท่านผู้ชม

แต่กระทรวงมหาดไทยทำดีๆ ก็จะมีโครงการเยอะมาก ไม่ว่าทำโครงการโซลาร์รูฟทอป มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าก็เป็นงานใหญ่มาก ยังไม่นับกับโรงขยะไฟฟ้าที่ครั้งหนึ่งสมัยอนุพงษ์ เผ่าจินดา มีอำนาจอยู่ มีข่าวเกี่ยวพันกับลูกชายที่ไปใช้บารมีของพ่อในการจัดตั้งโรงขยะไฟฟ้าตามจังหวัดต่างๆ ตอนนี้ก็น่าจะมีการเช็กบิลคืนกันได้แล้ว เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการช่วงหลังนี้ค่อนข้างจะเจ็บตัวมากเป็นพิเศษ เงินก็จ่ายไปให้แล้วกับรัฐบาลชุดที่แล้ว ให้กับรัฐมนตรีคนเก่า มาชุดใหม่ก็ถูกโบยด้วยแส้ ตีกบาลด้วยไม้หน้าสาม แล้วก็ต้องเพิ่มต้นทุนในการทำธุรกิจขึ้นมาอีก เพราะต้องจ่ายให้กับเจ้าใหม่อีกทีหนึ่ง

โรงขยะไฟฟ้านี้ต้องถือว่าเป็นเมกะโปรเจกต์ที่ซ่อนอยู่ ยังไม่นับกับการกุมสภาพการเมืองท้องถิ่น อบต. อบจ. ทั่วประเทศ คุมตรงนี้เท่ากับคุมการเมือง แต่ถ้าภูมิใจไทยรู้ แล้วคิดว่าเพื่อไทยไม่รู้เหรอ ? เพราะฉะนั้นแล้วผมถึงบอกให้ท่านผู้ชมจับตาดูดีๆ ว่าโอกาสปรับ ครม. ก็มีโอกาสสูงเหมือนกัน ภูมิใจไทยอาจจะต้องหลุดจากมหาดไทยอีกครั้งหนึ่ง หรือหลายๆ คนก็อาจจะหลุด ทั้งหมด ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขข้อเดียว คุณทักษิณ มีความสุขสบายดีไหม ? ถ้ามีความสุขสบายดี คุณทักษิณ ก็จะออกฤทธิ์อาละวาดได้แล้ว


ข้อสังเกตที่สี่ ท้อป-วราวุธ ศิลปอาชา พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นคนทำงานเก่งมาก แทนที่จะได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวการต่างประเทศ เพราะภาษาอังกฤษดีมาก และเป็นคนที่รู้เรื่องโลกดี หลังจากที่ตัวเองหลุดออกไปจากตำแหน่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ แล้วยกให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แล้ว ตัวเองโดนลดระดับไปที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ แต่อย่างว่าครับท่านผู้ชม การเมืองเป็นเรื่องตัวเลข เก้าอี้ ส.ส. พรรคชาติไทยพัฒนา มีแค่ 10 เสียง การได้นั่งรัฐมนตรีว่าการ 1 กระทรวง ก็ถือว่าดีอยู่แล้ว


ท่านผู้ชม ถ้ามีโอกาส ผมเคยพูดไปแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 201 วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 ผมพูดเรื่อง "ลับ ลวง พราง คณิตศาสตร์การเมือง" ผมพูดให้ฟังแล้วว่า การที่รัฐบาลบวกให้มีเสียง ส.ส. 234 เสียง แปลว่าอะไร ? แปลว่า ถึงที่สุดแล้วถ้าพรรคเพื่อไทยอาละวาดออกมา สามารถตัดออกได้ 3 พรรคเลย หรือว่าตัดออกพรรคใดพรรคหนึ่ง ไม่กระทบกระเทือนต่อการจัดตั้งรัฐบาล เพราะขอให้ได้เกิน 250 เสียง ก็พอ ตัดพรรคพลังประชารัฐออกไปได้เลย หรือตัดรวมไทยสร้างชาติออกไปได้เลย พลังประชารัฐมี 10 เสียง รวมไทยสร้างชาติมี 36 เสียง หรือชาติไทยพัฒนา ก็ยิ่งแล้วไปใหญ่ 10 เสียง ที่ยังเอาตัวรอดและยังมีแต้มต่ออยู่ก็คือพรรคภูมิในไทย เพราะมีตั้ง 71 เสียง ถ้าจะตัดออก ก็ต้องเอา ส.ส. งูเห่า 16 เสียงของพรรคประชาธิปัตย์ที่โหวตเห็นชอบนายกฯ และมีความกระสันอยากร่วมรัฐบาลใจแทบขาด ใจสั่น ตัวสั่นงันงก แต่ยาก เพราะต้องเป็นมติพรรคถึงจะถูกขับออก ถ้าออกเฉยๆ ก็จะสิ้นสภาพ ส.ส. เพราะว่าไม่สังกัดพรรคการเมือง และพรรคเองก็รู้ประเด็นนี้ ก็เลยไม่ยอมขับออก ผูกโยงให้ไปเป็นฝ่ายค้านไปด้วยกัน

16 กบฏของแม่พระธรณีนั้น อาจจะออกมาในรูป "ลงมติขับตัวเองออกจากพรรค" ก็เป็นได้ ก็เหมือนกับที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ออกมาตั้งพรรคการเมืองหลังจากที่มีความขัดแย้งกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ขับตัวเองออกจากพรรคพลังประชารัฐ ตอนนั้น


แต่ในทางกลับกัน ส.ส. 16 คน ซึ่งกุมเสียงข้างมากใน ส.ส. และกรรมการบริหารพรรค ก็อาจจะขับผู้อาวุโส เช่นคุณชวน หลีกภัย คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ คุณบัญญัตติ บรรทัดฐาน ออก ถ้าเขาออกมาได้ก็ต้องหาที่สังกัดพรรคใหม่ ท่านผู้ชมครับ มีอยู่ที่เดียว นั่นคือพรรคภูมิใจไทยที่เขาจะไปอยู่ด้วยได้ ถ้า ส.ส. ไปอยู่พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีอยู่ 71 เสียง จะทำให้ ส.ส. ภูมิใจไทย มีมากถึง 88 เสียง จะทำให้ภูมิใจไทยและกลุ่มกบฏ 16 ของพรรคประชาธิปัตย์ มีสถานภาพใหม่มั่นคงที่สุด ไม่มีใครสามารถจะตัดทิ้งได้เลย


ข้อสังเกตข้อที่ห้า พรรคพลังประชารัฐ ตามที่เป็นข่าว ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ได้กระทรวงเกรด A คือกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งการที่พรรคเพื่อไทย หนึ่ง ต้องสูญเสียกระทรวงมหาดไทยไป เป็นเรื่องใหญ่มาก สูญเสียกระทรวงพลังงานไป ก็เรื่องใหญ่มาก ดี/ไม่ดี ค่าไฟฟ้า ค่าพลังงาน อาจจะไม่ลงด้วย สาม สุดท้ายคือสูญเสียกระทรวงเกษตรฯ ที่เป็นฐานรากหญ้าที่ได้ครองเสียงประชาชน แล้วยังสูญเสียกระทรวงคมนาคมให้กับสุริยะ ซึ่งข้ามฟากมาจากพรรคพลังประชารัฐ


ท่านผู้ชมครับ พรรคเพื่อไทยไม่มีทางเลือก เพราะว่าคนที่ยืนเบื้องหลังพรรคพลังประชารัฐ คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และน้องชาย คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ สองพี่น้องนั้นมีอำนาจและบารมีสูงในบรรดาองค์กรอิสระทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น กสทช. หรือไม่ว่าจะเป็นที่สำคัญที่สุด คือ ป.ป.ช. เพราะฉะนั้นพรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องประนีประนอมตรงจุดนี้

ส่วน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็เป็นนักการเมืองที่เชี่ยวชาญเกมทางการเมือง กลุ่มต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐเท่าที่ทราบมามีอยู่ 9 กลุ่ม แต่ ร.อ.ธรรมนัส รวบอำนาจโดยเอาตัวเองเป็นประธานวิป แล้วใช้ตำแหน่งตัวเองที่เป็นประธานวิปเข้าไปเจรจาในนามของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

พอพรรคเพื่อไทยแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าไม่เอา พล.อ.ประวิตร เข้ามา คนแรกที่ยืนอยู่หัวแถว ที่พร้อมจะรับใช้พรรคเพื่อไทยทันที ก็คือ ธรรมนัส พรหมเผ่า ด้วยเหตุนี้ธรรมนัส พรหมเผ่า ถึงมีโอกาสที่จะได้นั่งกระทรวงเกรด A เช่นกัน

เพราะฉะนั้นแล้ว เท่าที่ผมพูดมา การจัด ครม. รอบนี้ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่าคนที่แพ้ตัวจริงคือพรรคเพื่อไทย แต่ผมเชื่อว่าเป็นการแพ้ชั่วคราว เพราะเหตุการณ์เฉพาะหน้าตอนนี้คือต้องเอาเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ และสามารถกุมสภาพกระทรวงยุติธรรมไว้ได้ เพราะมันเกี่ยวพันกับความเป็นอยู่และความเป็นอิสรภาพของทักษิณ ชินวัตร


คุณทักษิณ ชินวัตร ตอนนี้ถูกจำคุกอยู่ รัฐมนตรียุติธรรมนั้นคือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ลูกน้องเก่าคุณทักษิณ รัฐมนตรียุติธรรมสามารถเนรมิตได้ทุกอย่าง เพราะว่าเป็นคนคุมกรมราชทัณฑ์ คุมสภาพกระทรวงยุติธรรมในวาระของการอภัยโทษ ที่สำคัญ กระทรวงยุติธรรมนั้นเป็นคนที่เขียนกฤษฎีกาในวาระพิเศษของการขอพระราชทานอภัยโทษ แล้วการเขียนกฤษฎีกานั้น แล้วแต่จะตวัดปากกาไปทางไหน ตวัดไปอีกทางก็เป็นโทษ ตวัดอีกทางก็เป็นคุณ ตวัดซ้ำอีกทีก็เป็นคุณอย่างมากๆ เพราะว่ากฤษฎีกานั้น ที่สำคัญคือมีบัญชีแนบท้ายติดมาด้วย ตอนนี้เพื่อไทยไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น ขอให้ตั้งนายกฯ ให้ได้ เป็นมิตรกับทุกคน รักษาเสถียรภาพ คุมกระทรวงยุติธรรม กระทรวงพลังงาน คมนานคม มหาดไทย เกษตรฯ ไปหมดก็ไม่เป็นไร แต่ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับว่าพรรคเพื่อไทยไม่ใช่คนที่โง่ ทักษิณ ก็ไม่โง่ แต่ภาวะบีบคั้นตัวเองจำเป็นต้องทำให้ตัวเองต้องตั้งรัฐบาลให้ได้ ท่านผู้ชมเช้าใจหรือยังว่านั่นคือคำตอบว่าทำไมจู่ๆ ส.ว. สาย พล.อ.ประยุทธ์ ถึงเทมาให้คุณเศรษฐา ทวีสิน นี่คือคำตอบครับท่านผู้ชม และนี่คือการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง


เพราะตั้งแต่คุณทักษิณ กลับมา นอนในเรือนจำ 1 คืน แผนเดิมจะออกมารักษาตัวที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ แต่ว่ากระแสสังคมแรงมาก ก็เลยจำเป็นต้องมาอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ จริงๆ แล้วดีลลับที่ตกลงกันนั้น กับคุณทักษิณ ไม่ใช่กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่กลับเป็น พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งยังมีอำนาจตามกฎหมาย

ท่านผู้ชมยังจำได้ไหมครับ ก่อนเลือกตั้งวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 ทักษิณ ชินวัตร ทวีตข้อความว่า "ไม่ต้องกังวลว่าผมจะเป็นภาระพรรคเพื่อไทย ผมจะเข้าสู่กระบวนการกฎหมายและวันที่ผมกลับยังเป็นช่วงรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ ทั้งหมดคือการตัดสินใจของผมเองด้วยความรักผูกพันธ์กับครอบครัว/แผ่นดินเกิดและเจ้านายของเรา"


ซึ่งมีการวิเคราะห์ไว้อย่างมีเหตุผลว่า เป็นไปได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ นั้นมีข้อตกลงกับทักษิณ ว่าต้องการกลับมาช่วยปกป้องสถาบัน และเป็นเกราะป้องกันพรรคก้าวไกลที่จ้องจะล้มสถาบัน นั่นคือที่มาของ ส.ว. 125 คน โหวตให้นายเศรษฐา เพื่อไทย ภายใต้ข้อตกลงที่ตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านั้นว่า ทักษิณ จะกลับมาเข้าโรงพยาบาลเรือนจำ 1 คืน แล้วออกไปรักษาตัวโรงพยาบาลข้างนอก และยื้อยาวไปเลย ไม่กลับคุกอีกแล้ว รออภัยโทษ ไม่ต้องใส่ชุดนักโทษ ไม่ต้องกร้อนผม ให้ครอบครัวทำเรื่องของพระราชทานอภัยโทษ จากนั้นก็นอนรักษาโรคประจำตัวที่โรงพยาบาลยาวไป 12 เดือน อาจจะจนครบกำหนดพักโทษก็ได้

ประเด็นอยู่ที่ว่า ปัญหาตอนนี้คือเมื่อกระทรวงสำคัญทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงหลุดไปหมด จากนี้ ทักษิณ ชินวัตร ต้องเจอปัญหาภายในของตัวเองแล้ว เพราะที่ผมรู้มาและชัดเจนว่ามีความปั่นป่วนภายในพรรคเพื่อไทย ส.ส. อีสานเกือบทั้งชุดไม่พอใจมากที่ยกกระทรวงสำคัญ แล้วพวกตัวเองไม่ได้อะไรเลย

เมื่อกระทรวงเกรด A ไปหมดแล้ว พรรคมีโอกาสขัดแย้งกันรุนแรง ก็เลยเชื่อว่าหลังจากรัฐบาลเดินไปสักพัก ไม่เกินปีก็ต้องมีการปรับ ครม. อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ถือเป็นเรื่องเกินไปนัก มีคนตั้งฉายาคณะรัฐมนตรีชุดนี้ว่า "ครม. เพื่อพ่อ" เพราะพ่อปัจจุบันของ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ก็คือ นายทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง

ท่านผู้ชมครับ สรุป ครม. ชุดนี้เป็นช่วงต่อรองระหว่างทักษิณ กับกลุ่มอำนาจเก่า ซึ่งนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ เพราะผิดหวังเรื่องการอภัยโทษ ความเครียดเกิดจากอำนาจเงินตรา อัตตาที่คุณทักษิณมี ทำให้เกิดความคาดหวังที่แนวโน้มจะไม่ได้เป็นอย่างหวัง สังเกตได้อย่างหนึ่ง คุณอุ๊งอิ๊ง ได้ออกมาให้สัมภาษณ์หลังจากไปเยี่ยมพ่อ พูดจาโดยที่หน้าตาดูไม่ดีว่าพ่อเครียด


อีกประการหนึ่งที่คุณทักษิณ ต้องออกมาอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น ก็เพราะว่าเป็นการจัด ครม. โดยคุณทักษิณ เป็นคนกำหนดเกม เพราะถ้ายังอยู่ในคุก จะจัด ครม. ได้อย่างไร จะต้องมีคนเข้าไปพบ ถึงแม้กรมราชทัณฑ์จะประกาศว่าไม่เกิน 10 คน นั่นคือสิ่งที่กรมราชทัณฑ์พูด แต่กรมราชทัณฑ์ก็รู้ว่าใครเป็นนายตัวจริง เพราะฉะนั้นแล้ว บอกว่าไม่เกิน 10 คน แต่จริงๆ เข้าไปอาจจะเข้าไป 10-20 คน โดยหมุนเวียนเข้าไปแต่ละคนๆ เพื่อคุยกันเรื่องตำแหน่งแห่งที่

ท่านผู้ชมครับ ผมเคยพูดไปแล้วไง ถ้าทักษิณ ชินวัตร ปล่อยวาง ปฏิบัติตนแบบที่ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ คิดไม่ถึง คือยอมเป็นนักโทษจริงๆ ก็คือแค่ 25 เปอร์เซ็นต์ ในที่สุดแล้ว คุณทักษิณ เมื่อทำตัวไม่ได้ อดทนไม่ได้ คุณทักษิณ ปัจจุบันนี้ก็ยังคงเป็นปัญหาของแผ่นดินเหมือนเดิม

จริงๆ แล้วท่านผู้ชมรู้ไหม ถ้าเราวิเคราะห์กันอย่างถึงที่สุดแล้ว ทักษิณ ชินวัตร ถือไพ่เหนือกว่าอำนาจเก่า แต่พลาดไปได้อย่างไร ? พลาดเพราะว่าอำนาจเก่าดันไปกลัวพรรคก้าวไกลอยู่แล้ว อย่างไรเพื่อไทยก็มีอำนาจต่อรองอยู่แล้ว เพื่อไทยต้องเอาก้าวไกลมาเป็นตัวเล่น ถึงแม้ว่าจะไม่โหวตให้เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ พรรคเพื่อไทยมีอยู่อันดับสอง 140 เสียง จะเอาอนุทิน ขึ้นมา ก็เท่ากับว่าพรรคเพื่อไทยเอามีดจ่อหลังอนุทิน สามารถจะล้มรัฐบาลอนุทิน ได้ทุกเมื่อเช่นกัน ถ้าคุณเศรษฐา ไม่ได้ เพราะตกลงเรื่องดีลนี้ไม่ได้ หรือว่าทักษิณ เกิดหงุดหงิดขึ้นมาว่า เฮ้ย ที่พูดกัน ตกลงกันแล้ว ทำไมไม่เป็นอย่างที่ตกลงกัน คุณทักษิณ ต้องยอมเสียสละตัวเอง ก้าวเข้าไปในคุก สวมชุดนักโทษเวลาออกมาข้างนอก เพราะอยู่ในคุกไม่จำเป็นต้องสวมชุดนักโทษ กางเกงขาสั้น เสื้อโปโล รองเท้าผ้าใบ แต่ก็ยังคงอยู่ได้สุขสบาย กติกาอื่นก็ไม่เป็นไร กร้อนผมก็กร้อนสิ ไม่เห็นเป็นไรเลย ถ้าทักษิณ ยอมทรมานตัวเอง ลดอัตตาตัวเองได้ อำนาจเก่าจะทำอะไรคุณทักษิณ ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ซึ่งตอนนี้แต่ละพรรคล้วนแล้วแต่มีเชือกคล้องคอกัน พรรคภูมิใจไทย โดยศักดิ์สยาม ก็ต้องถูกสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ หรือพรรคเพื่อไทย เอาเชือกคล้องคอ เพราะว่ามันจะมีงานอีกเยอะที่สามารถขุดคุ้ยขึ้นมาได้ พล.อ.ประวิตร พล.ต.อ.พัชรวาท คล้องทักษิณ ด้วยองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์ คล้องคอทักษิณ ด้วยการที่ทักษิณ หวังพึ่งการประสานในการอยู่ในกระบวนการอภัยโทษ ตู่-ป้อม-ป๊อก ถูกคล้องเพราะเพื่อไทยที่ไปเป็นรัฐบาล ก็จะแฉเรื่องราวต่างๆ ระหว่างที่อยู่ในอำนาจของ 3 ป. ได้หมด ภูมิใจไทยก็ถูกเพื่อไทยคล้อง เพราะว่าคมนาคมโดนดึงไปคุม แต่ขณะเดียวกัน ภูมิใจไทยก็คล้องเพื่อไทย และจำนวนเสียง 77 เสียง เพราะคุมงานด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ


ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ ท่านผู้ชมต้องดูให้ดีๆ การเมืองที่มันควรจะเป็น มันไม่เป็นอย่างที่มันควรจะเป็น แต่การเมืองที่เป็นจริงๆ นี่คือสิ่งที่ผมเล่าให้ท่านผู้ชมฟังไปหมดแล้ว มันเป็นของมันอย่างนี้ล่ะ คุณทักษิณ ตัดสินใจกลับมา ไม่รู้ อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่าไปเชื่อใคร คุณทักษิณ ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ อยู่ว่าถ้ายื่นขอพระราชทานอภัยโทษไปแล้ว จะมีการพระราชทานอภัยโทษออกมา คำถามมีอยู่ว่า "ใครจะกล้าเสนอขึ้นไป" แล้วถ้าเสนอขึ้นไป คำถามก็มีอีกว่า ก็ยังไม่ใช่เป็นการแน่นอนว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็จะเซ็นพระราชทานอภัยโทษให้ เพราะมันขัดต่อความรู้สึกของประชาชนทั้งประเทศ ก็ต้องกลับมาที่เก่าที่ผมเคยพูดมาหลายครั้งแล้ว ใน 2-3 EP. ที่แล้ว ว่าคุณทักษิณ ต้องลดอัตตาตัวเอง คุณทรมานตัวเอง เท่ากับคุณได้รับชัยชนะจากทุกคน คุณทรมานตัวเอง คุณตัดสินใจอยู่เลยไม่เกิน 1 ปี ผมบอกแล้ว 1 ปี คุณยอมไปเลย

เมื่อคุณตัดสินใจเข้าไปแล้ว คุณก็ไม่ต้องให้โควต้าพรรครวมไทยสร้างชาติ รวมไทยสร้างชาติก็เป็นฝ่ายค้านไป ถึงแม้ว่าจะไม่ลงคะแนนเสียงให้เศรษฐา อนุทิน เป็นต่อไปก็จะมีปัญหา เพราะว่าอนุทิน จะไว้ใจได้อย่างไรว่าพรรคเพื่อไทยร้อยสี่สิบกว่าเสียงจะไม่หักหลัง เพราะถ้าก้าวไกลยกมืออภิปรายไม่ไว้วางใจปั๊บ เพื่อไทยเอากับก้าวไกลด้วย อนุทิน ก็อยู่ไม่ได้ ไม่เกินพฤษภาคม ปีหน้า ส.ว. หมดอายุ คราวนี้เพื่อไทยตั้งรัฐบาลได้เลย เพราะก้าวไกลเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของทุกคน เรื่องเกี่ยวกับมาตรา 112 เพียงแต่คุณทักษิณ ทนไม่ได้เท่านั้นเอง ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง ถ้าเขาเป็นนักโทษ ผมบอกท่านผู้ชมไปแล้วว่า ไม่เกิน 1-2 เดือน เขาจะได้ชั้นเยี่ยมทันที ซึ่งปกติแล้วต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี พอปีหน้า วันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ วันที่ 28 กรกฎาคม ครบ 6 รอบ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 72 ปี การอภัยโทษครั้งนั้นก็จะใหญ่มาก อาจจะใหญ่เป็นน้องๆ รองจากกรณีราชาภิเษก ก็ขึ้นอยู่กับคุณทวี สอดส่อง จะเขียนกฤษฎีกาอย่างไร จะเขียนกฤษฎีกาว่า ใครก็ตามอายุเกิน 70 ปี ถ้าได้ชั้นเยี่ยม ได้ลดโทษครึ่งหนึ่ง โทษที่เหลือจะปล่อยไป ส่วนคดีที่กำลังเดินมา มันยังมาไม่ถึง ค่อยออกมาสู้ข้างนอกได้

ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ ทั้งหมดเกิดขึ้นจากตัวคุณทักษิณ เอง ซึ่งในที่สุดก็จบลงด้วยการ คุณทักษิณ ก็ยังคงเป็นปัญหาของแผ่นดินอยู่ครับท่านผู้ชม

ขบวนการสวาปาม ปตท.


ท่านผู้ชมครับ เมื่อสองเดือนที่แล้ว ในวันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2566 ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 196 ผมได้เปิดโปง "ขบวนการสวาปาม" ปตท. ว่าด้วยเครือข่ายอดีตนักการเมืองใหญ่ อดีตบิ๊ก ปตท. และพวก สมคบคนนอกองค์กร ร่วมกันหาประโยชน์จากโครงการของ ปตท. และบริษัทในเครือ เช่น คดีปาล์มอินโดฯ ที่มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 22,000 ล้านบาท ต้องถือว่าเป็นคดีทุจริตคอร์รัปชันที่อื้อฉาว โคตรอื้อฉาว อภิมหาโคตรโกงคดีหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ ปตท. องค์กรใหญ่ที่อยู่มาตั้ง 45 ปี มีมูลค่าหลายแสนล้าน อีกทั้ง ปตท. ชอบเชิดชูธรรมาภิบาลมาตลอด


กลุ่มคนพวกนี้เข้าพัวพัน เกี่ยวข้องกับหลายๆ เรื่อง เรื่องแรก คือ สต๊อกน้ำมันปาล์มทิพย์ ของบริษัทในเครือ ปตท. GGC บริษัทลูกของ GC ในเครือ ปตท. ที่ก่อความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท อีกทั้งคนกลุ่มนี้อยู่เบื้องหลัง สมคบกันฮั้วราคาน้ำมันปาล์ม B100 ที่ส่งขายให้ OR ซึ่งมีข้อมูลว่าคนกลุ่มนี้เรียกรับค่าต๋ง 25 สตางค์ต่อลิตร แต่ละล็อตเท่าไร ไม่รู้ว่าทำงานกันนานแค่ไหน ได้ประโยชน์ไปเท่าไร รู้แต่ว่าพอถูกทำให้ฮั้วแตกล็อตเดียว OR ก็ประหยัดเงินไปเป็นร้อยล้านบาท


ยิ่งกว่านี้ แก๊งนี้นอกจากมีพฤติกรรมตะกละตะกลาม สวาปามที่ ปตท. ไม่พอ เครือข่ายขบวนการนี้ยังไปพัวพันกับคดีปล่อยกู้บริษัท ENERGY EARTH จำกัด (มหาชน) ที่ทำให้แบงก์กรุงไทยเสียหายอีก 10,500 ล้านบาท ตามที่ผมเล่าเกริ่นทิ้งท้ายเอาไว้เมื่อสองเดือนที่แล้ว ที่ผมเงียบไปเพราะเรื่องการเมืองมันกำลังร้อนแรง เพราะว่าคนในกลุ่มที่ผมรายงานไปนั้น คนหนึ่งก็ฟ้องผม คดีอาญา ที่ศาลอาญากรุงเทพ อีกคนก็ไปฟ้องผมที่ศาลจังหวัดแม่สะเรียง คงนึกว่าผมกลัว จะฟ้องใครก็ตามให้ดูหน้าดูตาก่อนว่าคนที่คุณฟ้องนั้น ผมโดนคดีหมิ่นประมาทมาทั้งชีวิตสองร้อยกว่าคดี ผมไม่ได้กลัวอะไรทั้งสิ้น และผมจะเดินหน้าเปิดโปงต่อไป ENERGY EARTH ทำให้แบงก์กรุงไทยเสียหายอีก 10,500 ล้านบาท


เอาล่ะ ทีนี้เรามาถลกหนังฉีกหน้ากากคนพวกนี้กันทีละเรื่อง ก่อนอื่นเราต้องวิเคราะห์จากภาพรวมให้ภาพป่าทั้งป่าก่อน จากคดีปาล์มอินโดฯ สต๊อกทิพย์ GGC ฮั้วราคาน้ำมัน B100 แล้วมาคดี EARTH-KRUNGTHAI รวมทั้งทำให้ ปตท. เกือบพลาดท่า เสียท่าในการเข้าไปร่วมลงทุนบริษัท STARK ซึ่งเป็นบริษัทที่เน่าเหม็นคละคลุ้ง วันนี้บริษัท STARK เจ๊ง พังพินาศฉิบหายไปหมดแล้ว จะเห็นได้เลยทั้งหมดที่ผมพูดนี้มันเป็นฝีมือคนกลุ่มเดียวกัน รูปแบบการวางแผนเพื่อเข้าหาผลประโยชน์จาก ปตท. และบริษัทในเครือ และกรุงไทย มีความคล้ายคลึงกันมาก วิธีการคือใช้คนภายนอกสมคบกับคนภายใน อาศัยบารมีของอดีตผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. เป็นตัวเชื่อม บงการเกม โดยหัวใจสำคัญนั้นปั่นมันทุกอย่าง ทั้งที่ไม่มีอยู่ หรือเป็นเรื่องทิพย์และไม่ตรงปก เอามาหลอกทั้ง ปตท. และธนาคารกรุงไทย

ปตท. ซื้อสวนปาล์มไปแล้ว แต่ที่ดินปลูกไม่ได้ เพราะว่าติดเป็นป่าสงวน ทำการเกษตรไม่ได้ คดีบริษัท ENERGY EARTH กู้เงินกรุงไทย ไปซื้อเหมือง แต่ไม่มีเหมือง ซื้อถ่านหินนำเข้า แต่ว่ามีแต่ถ่านหินทิพย์ GGC จ่ายค่าน้ำมันปาล์ม แต่สิ่งที่ได้คือสต๊อกทิพย์ กรณีให้บริษัท โออาร์ ในเครือ ปตท. ซื้อน้ำมันไบโอดีเซล B100 ของล้นตลาด แต่นายหน้ายังกินหัวคิว และโออาร์ในยุคนั้นก็จ่ายแพงเกินจริง ท่านผู้ชมครับ จำไว้นะครับงานนี้ทำได้ไม่สำเร็จหรอกถ้าไม่มีอดีตผู้บริหาร ปตท. ให้ความร่วมมือเป็นตัวเชื่อม


เรามาดูกันทีละเรื่องดีกว่าท่านผู้ชม เริ่มจากคดีแรก คือคดีปาล์มอินโดฯ เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566 ได้มีมติให้ตั้งเรื่องไต่สวนอดีตผู้บริหารระดับสูงบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในคดีที่บริษัท PTT GREEN ENERGY บริษัทลูกของบริษัท ปตท. ถูกกล่าวหาว่าลงทุนปลูกปาล์มน้ำมันที่ประเทศอินโดนีเซีย แต่พบความไม่ชอบมาพากลในการลงทุน และมีการจ่ายค่านายหน้าแพงเกินจริงกว่า 32 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมๆ แล้ว ปตท. เสียหายไปกว่า 20,000 ล้านบาท


เหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องมีการเสนอเรื่องตั้งไต่สวนอดีตผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายนี้ คือคุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ในคดีลงทุนปลูกปาล์มน้ำมันที่ประเทศอินโดฯ เพิ่มเติม เพราะ 1) ในการสอบสวนข้อมูลเชิงลึกพบว่าคุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ มีส่วนร่วมในการเสนอต่อคณะกรรมการ ปตท. วาระลับ พิจารณาอนุมัติลงทุนโครงการ PTAZ ที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ทำให้คณะกรรมการ ปตท. มีมติอนุมัติจำนวนสิทธิในที่ดินปลูกปาล์ม 117,500 เฮกตาร์ วงเงิน 62 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นวงเงินที่สูงเกินจริง

2) นอกจากนี้แล้ว อดีตผู้บริหารระดับสูง ปตท. คนนี้ คือคุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ยังยินยอมให้บุคคลภายนอกที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ปตท. ร่วมเดินทางไปงานเปิดสำนักงาน บริษัท PTTGE ประเทศอินโดนีเซีย แล้วก็เดินทางไปดูโครงการปลูกปาล์มหลายครั้ง และ ปตท. เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งหมด ตามรายงานข่าวมีรายละเอียดเพียงเท่านี้ ก็เลยนำข้อสงสัยมาว่า คุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ทำไมมีอิทธิพลบารมีถึงขนาดครอบงำบอร์ดเสนอวาระลับเข้ามาให้บอร์ด ปตท. พิจารณาเรื่องนี้แบบนี้ได้ ขณะเดียวกัน แล้วยังพาคนนอกบินไปอินโดฯ หลายครั้ง โดย ปตท. เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งหมด "คนนอก" คือใคร ? ผมไปค้นมาแล้ว และภาพนี้จะเป็นการให้คำตอบ

ผมเอาภาพข้อมูลการเดินทางปี 2550-2551 ที่นายธนกร นันที ร่วมเดินทางกับคณะผู้บริหาร ปตท. และผู้ที่ถูกกล่าวหากับ ป.ป.ช. เช่น นาง Nancy Matasuta ซึ่งเป็นนายหน้าขายที่ดินต่างๆ ให้ ปตท.


ดูรูปคุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ นั่งเครื่องบินเจ๊ตไปทริปดูงานเรื่องโครงการปาล์มที่ประเทศอินโดนีเซีย


พวกนี้จะอ้างว่าไม่รู้จักกัน จากซ้ายไปขวา คุณธนกร นันที นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ และนายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา


คุณนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา ยื่นฟ้องผมข้อหาหมิ่นประมาท ที่ศาลอาญา ขณะนี้ ส่วนคุณธนกร ก็ส่งจดหมายสำนักงานทนายความของตัวเองมาขู่ผมว่าขณะนี้คดีอยู่ในศาล ผมไม่ควรเอาเรื่องนี้มาพูด แต่คุณธนกร ลืมไปแล้วหรือว่าอาชีพผมคือสื่อมวลชน ผมมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะพูดอะไรก็ได้ ตราบใดที่สิ่งที่ผมพูดนั้นมีหลักฐานยืนยันในสิ่งที่ผมพูด

ท่านผู้ชมดูภาพเหล่านี้ด้วยตาตัวเอง จะเห็นความสัมพันธ์อันไม่ธรรมดาระหว่างผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. คือคุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปตท. กับคนนอก คือ คุณธนกร นันที นั่นเอง

ธนกร นันที
อย่างที่ผมเคยบอก คุณธนกร นันที เป็นอดีต ส.ส. พรรคไทยรักไทย สมัยรัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร ก่อนหน้านี้ยังเคยเป็นผู้อำนวยการพรรคชาติพัฒนา เคยเป็นอดีตเลขานุการรัฐมนตรียุติธรรมของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา เมื่อปี 2548 สมัยรัฐบาลทักษิณ 2 ด้วย

คุณธนกร ยังมีความสัมพันธ์เป็นพี่น้องกับนางธนิภา พวงจำปา คู่สมรสของนายประหยัด พวงจำปา อดีตรองเลขาธิการ ป.ป.ช. ที่ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดกรณีร่ำรวยผิดปกติ ให้ยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดินและไล่ออก

นายประหยัด - นางธนิภา พวงจำปา
คุณธนกร นั้น บทบาทหน้าที่เป็นอะไรไม่รู้ แต่ที่ชัดๆ คือเป็นตัวเชื่อม ร่วมมือกับผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. คือนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ เวลาบินเครื่องไปอินโดฯ นั่งเครื่องบินเจ๊ตส่วนตัวไปกัน พวกนี้บินอย่างหรูหรา อยู่อย่างราชา เพราะค่าใช้จ่ายไม่ต้องออกเอง เป็น ปตท. ควักจ่ายให้หมด

คุณธนกร คนนี้ยังเป็นนายหน้าเหมืองอินโดฯ ในกรณีอื้อฉาวในเรื่อง EARTH-KRUNGTHAI ทำงานประสานกับอดีตผู้บริหารระดับสูงของกรุงไทย และคุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ เดี๋ยวผมจะเล่าต่อไปให้ฟัง

กรณีสต๊อกทิพย์ก็ร่วมมือกันกับผู้บริหารระดับสูงของ GGC คนในที่ขณะนี้ตกเป็นจำเลยอยู่ในศาล ข้อหาสต๊อกทิพย์ ขณะนี้ขบวนการฮั้ว B100 ให้โออาร์ซื้อแพง เป็นผู้มีบารมีครอบงำผู้บริหาร ปตท. สั่งการให้ผู้มีอำนาจในการรับซื้อของโออาร์ ซื้อจากนายธนกร และพวก


ทั้งหมดนี้ผมต้องตั้งคำถามถามคุณธนกร ซึ่งส่ง Notice ของสำนักงานทนายความมาถึงรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ให้หยุดขุดคุ้ยเรื่องที่ผมพูดนี้ ใช่หรือเปล่า ผมเอาจดหมาย Notice ของสำนักงานคุณธนกร ส่งมาให้ดูนะครับ


คุณธนกร ครับ เวลาคุณจะขู่ใคร คุณต้องดูคน รู้จักคน ดูหน้าตาเขาหน่อย ลูกปืน 200 นัด ผมยังผ่านความตายมาแล้ว ผมไม่ได้กลัวคำขู่คุณนะครับ เรื่องนี้ผมพูดจบ คุณอยากฟ้องผม เชิญคุณฟ้องผมได้เลย ไม่เป็นไร แต่จำไว้ถ้าศาลยกฟ้องเมื่อไร คุณโดนข้อหาฟ้องเท็จทันทีนะ ใจเย็นๆ ผม 76 ปีแล้ว ผมทำงานบนพื้นฐานว่าความจริงมีหนึ่งเดียว

ผู้คนและสื่อมวลชนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นรูปคุณธนกร นันที ผมจะเปิดเผยให้เห็นหน้าเห็นตากันว่าเป็นคนอย่างไร

คำแก้ตัวง่ายๆ ที่คนกลุ่มนี้ให้การกับ ป.ป.ช. เขาพูดว่าไม่รู้จักกัน คุณธนกร ปฏิเสธว่าไม่รู้จักประเสริฐ และประเสริฐ ก็ปฏิเสธว่าไม่รู้จักธนกร แล้วภาพนี้มีอะไร ตามผมมา


ผมอธิบายภาพนี้ มีคนนั่งอยู่ 3 คน คนเหล่านี้ชอบปฏิเสธกับ ป.ป.ช. เหลือเกิน ยืนยัน ขึ้นศาลก็ยืนยันไม่รู้จักกัน คุณนิพิฐ คนดูแลโครงการปาล์มที่อินโดฯ บอกว่าไม่รู้จักคุณธนกร คุณธนกร ก็บอกว่าไม่รู้จักคุณนิพิฐ ท่านผู้ชมครับ ดูภาพนี้แล้วผมถามคุณธนกร ว่า ภาพที่นั่งคุยอยู่ด้วยกันนี้เป็นภาพของคนไม่รู้จักกันหรืออย่างไร คนที่นั่งซ้ายสุดก็คือ มิสเตอร์เบอร์ฮาน คนอินโดฯ ทั้งนายธนกร และนายนิพิฐ อย่าบอกว่าไม่รู้จักล่ะ

สำหรับนายเบอร์ ฮาน คนนี้เป็นนายใหญ่ ตำแหน่ง Presiden Director ของบริษัทร่วมทุนกับ ปตท. ทำปาล์มอินโดฯ เมื่อเริ่มต้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2552 คุยกับคุณนิพิฐ President PTT GREEN ENERGY และนาง Nancy Matasuta ซึ่งเป็นหนึ่งผู้ถูกกล่าวโทษโดย ป.ป.ช. ในคดีทุจริตปาล์มอินโดฯ ซึ่งนาง Nancy ยังอยู่ที่อินโดฯ และไม่ยอมมาเมืองไทย ถือว่าเป็นนอกอาณาเขตอำนาจกฎหมาย


เดือนกันยายน 2552 มาคุยโครงการปลูกปาล์มอินโดฯ ที่เมืองไทย นาง Nancy ก็แนะนำให้ไปพบกับนายธนกร

ต่อมาในเดือนธันวาคม 2552 ก็มาคุยต่อที่เมืองไทยเพื่อเจรจาร่วมทุน แต่นายนิพิฐ บอกกับนายเบอร์ฮาน ว่า จะต้องไปเจอนายธนกรก่อนเขาถึงจะคุยได้ ไม่ทราบว่าทำไมต้องเจอนายธนกรก่อน อาจจะเป็นเพราะว่านายธนกร ขณะนี้ทำตัวเป็นนายหน้า หรือเป็นผู้มีความสำคัญในการเชื่อมต่อ

ต่อมาในการพบกันทั้งที่กรุงเทพฯ และอินโดนีเซีย ซึ่งจัดการโดยนาง Nancy นายธนกร จะเข้าร่วมประชุมตลอด ไม่ว่าจะเป็นรับประทานอาหาร การพบกับผู้บริหาร ปตท. การไปเยี่ยมพื้นที่ที่อินโดนีเซีย เขายังบอกว่าโครงการนี้ค่าใช้จ่ายในการทำเอกสารในการทำธุรกิจปลูกปาล์ม หรือ HGU เขาเสนอราคาที่ 1,000 เหรียญต่อเฮกตาร์ แต่นายนิพิฐ บอกให้เพิ่มราคาต่อรองสุดท้าย จนกลายเป็น 1,325 เหรียญต่อเฮกตาร์ ก็คือ 1,000 เหรียญนั้นน้อยไป คุณนิพิฐ บอกมา


นอกจากนี้ บริษัทร่วมทุน ปตท. ถือหุ้น 75 เปอร์เซ็นต์ ปตท. เลยต้องจ่าย 1,325 เหรียญต่อเฮกตาร์ คูณด้วย 0.75 เท่ากับ 993.75 เหรียญต่อเฮกตาร์ ซึ่งเป็นบริษัทของเขา ได้รับ 750 เหรียญ และแบ่งให้คุณธนกร 243.75 เหรียญต่อเฮกตาร์

ท่านผู้ชมครับ ผมไม่ได้กล่าวเรื่องนี้ลอยๆ ขึ้นมาเอง นี่คือคำบอกเล่าของนายเบอร์ฮาน ที่ส่งมา ปตท. เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2556 หรือสิบปีที่แล้ว ยืนยันโดยนายเบอร์ฮาน


ซึ่งในรูปมีการนั่งประชุมกัน พิสูจน์ชัดเจน หลักฐานนี้ ป.ป.ช. น่าจะมีอยู่แล้ว ถ้าไม่มีเดี๋ยวผมจะส่งไปให้ รวมทั้งคดีที่นายนิพิฐ ฟ้องผม ผมก็จะเอาหลักฐานนี้ไปแสดงให้ศาลดู


ผมเอารูปให้ดูนะครับ รู้จักกันดี มั่วสุมกัน รูปต่างๆ เหล่านี้เป็นภาพทริปที่ไปดูโครงการปาล์มอินโดฯ ของผู้บริหาร ปตท. และคนนอก ซึ่งตัวละครต่างๆ อยู่ในภาพนี้หมด นั่งเครื่องบินเจ๊ตไปด้วยกัน เหมาลำโดย ปตท. อยู่ในเฟรม ใกล้ชิดกัน ผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น ก๊วนของนาง Nancy Matasuta หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาโดย ป.ป.ช. ในคดีทุจริตปาล์มอินโดฯ ที่เป็นคดีอยู่กับกลุ่ม ปตท. ร่วมกับนายธนกร นันที นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตผู้บริหาร ปตท. ที่ฟ้องผมหมิ่นประมาทในศาลอาญา




ทั้งหมดนี้ถูกส่งไปดู คุณนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา ถูกส่งไปดูโครงการที่อินโดฯ ร่วมพบปะพูดคุยกันด้วย ถามว่าใกล้ชิดสนิทสนมกันตามภาพเหล่านี้ นี่คือคนที่พวกนี้ปฏิเสธว่าไม่รู้จักกัน ท่านผู้ชมครับ แถวบ้านผมเขาเรียกว่าตอแหล ในศาลเขาเรียกว่าให้การเป็นเท็จ

กล่าวถึงอดีตผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. ที่อยู่ในภาพ เขาเป็นคนที่ว่าคีย์แมนโครงการปาล์มอินโดฯ และเป็นคนที่ ป.ป.ช. ตามหาเพื่อไต่สวนมานานแล้ว เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง เพราะผู้บริหารคนนี้คือคุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ เป็นบุคคลสำคัญ เป็นตัวเชื่อมระหว่าง PTT.GE บริษัทลูก และ ปตท. ซึ่งทราบรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการการลงทุนปลูกปาล์มน้ำมันที่ประเทศอินโดนีเซียเป็นอย่างดี หรืออีกนัยหนึ่งน่าจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด

ถามว่า ป.ป.ช. มีข้อมูลไหม ? ตอบว่า รู้ทั้งรู้ แต่ยังทำอะไรไม่ได้เสียที เป็นเพราะว่าคุณประเสริฐ แขวนพระรอดกรุมหาวัน จังหวัดลำพูน ซึ่งผมแขวนอยู่เหมือนกัน คุณประเสริฐ เป็นคนที่รู้จักคนเยอะมาก แกจะไปล็อบบี้ใครผมไม่รู้ คุณประเสริฐ เป็นคนที่ 14 ของจำเลยที่ ป.ป.ช. ต้องไต่สวนชี้มูลความผิด จนแล้วจนรอด ป.ป.ช. ก็ตั้งไต่สวนได้แค่ 13 คน ไม่ถึงคนที่ 14 เสียที ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเพราะอะไร

สำนักงาน ป.ป.ช. พยายามเสนอตั้งเรื่องให้ไต่สวนอดีตผู้บริหารระดับสูง บริษัท ปตท. รายนี้ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตั้งแต่ปี 2565 แต่ละครั้งจะโดนตีตกด้วยเหตุผลที่ว่าหลักฐานไม่เพียงพอ ให้ไปตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม แล้วที่สำเร็จเอาครั้งที่ 5 ในการประชุมเมื่อต้นเดือนเมษายน ที่ผ่านมา (2566) เพราะกรรมการบางคนที่ปกป้องคุณประเสริฐ ใช้กำลังภายในช่วยเหลือเกื้อกูลคุณประเสริฐอยู่นั้น อ่อนกำลังลง เขาเลยชงเรื่องขึ้นมาใหม่ ปรากฏว่าที่ประชุมกรรมการมีมติจำนวนเสียง 3 ต่อ 3 คือ 3 ให้ไต่สวน อีก 3 บอกไม่ต้องไต่สวนเพราะไม่มีมูล จวนเจียนไปว่าจะตกหรือไม่ตก


สุดท้ายเป็นคุณูปการของ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เป็นคนลงคะแนนชี้ขาดและก็ให้ไต่สวนได้ ต้องขอบพระคุณ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ซึ่งได้ทำคุณงามความดีเอาไว้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคุณประเสริฐเป็นคนที่มีคนรู้จักเยอะ ถ้าไม่รู้จักเยอะ จะหลุดพ้นจากการที่เป็นจำเลย/คนถูกไต่สวนคนที่ 14 ได้อย่างร มาตกม้าตายเอาครั้งสุดท้ายนี้ ที่กรรมการบางคนที่ช่วยเหลืออยู่ เกษียณอายุไปแล้ว ออกไปตามวาระ คะแนนถึงลงมาแค่ 3 ต่อ 3 และ พล.ต.อ.วัชรพล ท่านก็ชี้ขาดว่าต้องไต่สวน

แปลว่าอะไร ? แปลว่าหลังจากนี้แล้วกรรมการไต่สวนคดีนี้สามารถเข้าไปตรวจสอบอดีตผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. รายนี้ได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งให้การเท็จเมื่อไร ก็ถือว่าเป็นคดีอาญาเพิ่มเติม ไม่จัดส่งเอกสารต่างๆ ก็ถือว่าเป็นคดีอาญา

ที่ผ่านมาคุณประเสริฐวิ่งล็อบบี้ไม่ให้ ป.ป.ช. ตั้งเรื่อง ข้อต่อสู้ของคุณประเสริฐก็คือว่า ไม่ได้รู้จักสนิทสนมกับคุณธนกร และกลุ่มผู้กล่าวหา ตลกไหมล่ะท่านผู้ชม ผมเอารูปให้ดูแล้วไง ภาพถ่ายที่เป็นหลักฐานว่าคนทั้งสองไปอินโดฯ ด้วยกัน อยู่ด้วยกัน ที่เราเอามาโชว์วันนี้ แล้วมันแปลว่าจังใด๋ อย่างที่บอกไว้แล้วว่าวิญญูชนทั่วไปสามารถพิเคราะห์ด้วยตัวเองว่าจริงอย่างที่ประเสริฐ และธนกร บอก ป.ป.ช. ว่าไม่รู้จักกัน จริงหรือเปล่า

ประเด็นที่สำคัญ คือว่า กว่า ป.ป.ช. จะเอาคุณประเสริฐ เข้าไปเป็น 1 ใน 14 รายที่ต้องถูกไต่สวนคดีนี้ได้ ระหว่างเรื่องยืดเยื้อก็มีเหตุการณ์ที่ชวนสงสัย ทีมงาน ป.ป.ช. รู้มาว่าเอกสารสำคัญที่ ป.ป.ช. ขอไป ปรากฏว่าได้รับแจ้งจาก ปตท. ว่า เอกสารที่ ป.ป.ช. ต้องการนั้นไม่มี เพราะได้หายไปแล้ว นี่ยังไม่นับรวมกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่มีเหตุ จู่ๆ อาคารที่เก็บเอกสารสำคัญเกิดเพลิงไหม้เป็นปริศนา หาสาเหตุไม่ได้ เรื่องมันเลยชวนให้น่าสงสัยและอนุมานได้ว่าเกี่ยวข้องกับคดีปาล์มอินโดฯ หรือเปล่า


(รูป) ไฟไหม้ที่ชั้น 33 ศูนย์เอนเนอร์จี คอมเพล็กซ์ อาคาร A ถนนวิภาวดีรังสิต วันที่ 7 สิงหาคม 2565 ปีที่แล้วนี่เอง

คดีต่อมาคือ บริษัท ENERGY EARTH จำกัด ทำให้ธนาคารกรุงไทยได้รับความเสียหาย เป็นหนี้สูญ ถึง 10,500 ล้านบาท ปรากฏว่าสอบไปสอบมากลายเป็นกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องเข้ามาหาผลประโยชน์ มันเป็นขบวนการเดียวกันกับคดีสวามปามปาล์มอินโดฯ 20,000 ล้าน อย่างไม่น่าเชื่อ พวกเดียวกันเลยท่านผู้ชม พฤติกรรมการฉ้อฉลแทบจะก๊อปปี้กันมา คือเริ่มจากมีคนภายนอกสมคบคิดกับคนภายใน จากนั้นก็ปั้นแต่งโครงการ เอกสารสวยหรูดูแพง ผลักดันเข้าแบงก์เพื่อขอสินเชื่อ โดยที่พื้นฐานการทำธุรกิจมันไม่มีอยู่จริง ที่มาที่ไปคดีนี้ EARTH เริ่มเคยเข้ามาขอสินเชื่อกับธนาคารกรุงไทย ในสมัยที่นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ในช่วงปี 2547 และ 2551 แต่คุณอภิศักดิ์ ปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์
เหตุผลของการปฏิเสธ ท่านผู้ชมต้องไม่ลืมว่าคุณอภิศักดิ์เขาเป็นนายธนาคารมืออาชีพ มีประสบการณ์สูง อยู่ธนาคารนครหลวงไทย ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ คงจะดูพิจารณาตามหลักแล้ว EARTH จะกู้เงินก้อนโตโดยที่ความเป็นไปได้ทางธุรกิจมีข้อกังขา คุณอภิศักดิ์เลยไม่ปล่อยผ่าน แล้วทำไม EARTH ถึงกลับมากู้ได้ใหม่ EARTH กลับมากู้ได้ใหม่เพราะพอพ้นจากคุณอภิศักดิ์ไปแล้ว คนที่มาเป็นกรรมการผู้จัดการของ EARTH คนใหม่ชื่อ คุณวรภัค ธันยาวงษ์ ซึ่งมาเป็นกรรมการผู้จัดการกรุงไทย ช่วงระหว่างปี 2555-2559 คนก่อนหน้าที่จะเป็นนายผยง ศรีวานิช ปัจจุบัน ก็คือพูดง่ายๆ ว่า EARTH ได้รับสินเชื่อในยุคที่คุณวรภัค ธันยาวงศ์ เป็นกรรมการผู้จัดการกรุงไทย นั่นเอง ปรากฏว่าพอยื่นมาถึงยุคคุณวรภัค ซึ่งไม่ใช่ยุคคุณอภิศักดิ์ โครงการก็ผ่านฉลุย

วรภัค ธันยาวงษ์
ท่านผู้ชมครับ ผมจะเล่าประวัติความเป็นมาของบริษัท EARTH แต่ก่อนบริษัท EARTH เป็นบริษัทขนาดเล็ก ทำนอง SME ทำไปทำมากลายเป็นบริษัทอภิมหายักษ์ขึ้นมา เทรดดิ้งขนาดใหญ่โต ก็เลยคิดอ่านทำแผนอลังการงานสร้างในธุรกิจถ่านหิน ด้วยการอ้างว่าตัวเองซื้อถ่านหินล่วงหน้า หรือไปซื้อสิทธิ์ในเหมืองอินโดนีเซียได้อย่างไร เพื่อส่งออกไปต่างประเทศ และแบงก์กรุงไทยให้กู้ ภาษาแบงก์เขาเรียกว่า เริ่มไขก๊อก ตั้งแต่ปี 2558 ประเดิมปล่อยน้ำไหลไปตามท่อ

นี่เป็นจุดเริ่มต้นของบริษัท EARTH ที่เข้ามาเบิกเงินกู้ที่กรุงไทย และกลายเป็นความซวยของแบงก์กรุงไทย ที่ผลงานที่ปล่อยกู้นั้นคือนายวรภัค และคุณผยง กรรมการผู้จัดการคนปัจจุบัน ต้องแบกขี้ก้อนเบ้อเริ่มโดยที่ตัวเองอัดอั้นตันใจ พูดไม่ออก เพราะตัวเองยังมีมารยาทพอที่ไม่โยนความผิดนี้ไปให้คุณวรภัค วันนี้ผมทำหน้าที่โยนความผิดให้เองก็แล้วกันนะคุณผยง ไม่เป็นไรครับ ใครขี้ออกมา คนนั้นต้องเอาขี้ก้อนนั้นรับกลับไป อย่างน้อยที่สุด ในทางระบบไม่มี ก็เอาทางสังคมก็แล้วกัน จะได้รู้กันว่าบริษัทนี้มันเข้ามาโกงแบงก์กรุงไทยในยุคใครเป็นกรรมการผู้จัดการ


ทำไมผมถึงพูดอย่างนี้ ก็เพราะว่าต่อมาแบงก์รู้ทีหลังว่าโดนหลอกให้ปล่อยกู้ แล้วก็มีไปตรวจเจอที่ว่าหลักฐานเอกสารโครงการที่ยื่นให้แบงก์ กรณีเหมืองที่อินโดนีเซีย ที่ EARTH อ้างว่าขอกู้เงินจำนวนมหาศาลไปลงทุนเหมืองและซื้อถ่านหินนั้น มันไม่ตรงปก ไม่ตรงปกเพราะว่าเหมืองที่อินโดฯ ไม่มีอยู่จริง ตอนส่งเอกสารขอกู้ก็ไปถ่ายเหมืองที่ไหนมาก็ไม่รู้ ทำให้ดูดีไว้ก่อน แต่พอผู้บริหารแบงก์กรุงไทยซึ่งตอนหลังเริ่มรู้ว่าโดน EARTH หลอก ก็เลยบินไปพิสูจน์ที่อินโดฯ ที่นั่นที่ EARTH ระบุว่า ท่านผู้ชมจำตรงนี้ไว้ให้ดีๆ นะ ที่ตรงนั้นที่ EARTH ระบุว่าเป็นแปลงที่ดินที่เตรียมเปิดทำเหมืองในอินโดฯ อยู่ไกลทุรกันดานมาก เป็นดินแดนโซนอันตราย จะเข้าไปต้องมีทหารถืออาวุธครบมือคุ้มครองเข้าไปด้วย พอไปถึงแปลงที่ว่า บรรดาคณะที่บุกไปพิสูจน์ก็ตะลึงงัน เพราะว่าเห็นแต่ป่าและบ่อน้ำเล็กๆ


นักธรณีวิทยาอินโดฯ ที่พาคณะไปดูด้วยถึงกับบอกว่ามันจะเป็นเหมืองถ่านหินไปได้อย่างไร อย่างมากเป็นได้แค่บ่อน้ำที่เห็นเท่านั้น เรื่องหลอกที่ดินเหมืองไม่ตรงปก เชื่อหรือเปล่า อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น สืบไปสืบมาปรากฏว่าเหมืองอินโดฯ ของ EARTH เป็นพอร์ตของนาง Nancy Matasuta ซึ่งเป็นจำเลยคนหนึ่งของ ป.ป.ช. ถูกไต่สวนและต้องสอบสวนในเรื่องของที่ดินปลูกปาล์มที่มีเรื่องมีราวกันอยู่

นาง Nancy เป็นคนจัดหาที่ดินปลูกปาล์มให้กับ ปตท. ซึ่งไม่ต้องสงสัยพวกคนไทยที่ร่วมกับนายหน้า ก็กลุ่มเดียวกัน ซึ่งมีคุณธนกร นันที เป็นหัวขบวน กลุ่มคนพวกนี้หลอกปตท. เอาที่ดินป่าสงวนบ้าง เป็นที่ดินที่ไม่สามารถปลูกปาล์มได้บ้าง มาหลอกขายราคาแพง กินค่านายหน้าหลายสิบล้านดอลลาร์ กรณีธนาคารกรุงไทย ก็โดนแบบเดียวกันเป๊ะ ทำนองก๊อปปี้แล้วก็ตัดแปะกันเลย


ทั้งนี้ทั้งนั้น ในความเป็นจริง ช่วงก่อนปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย เคยได้วิเคราะห์ข้อมูลการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของธุรกิจจากที่ปรึกษา ซึ่งเขาแทงมาว่าเป็น Monkey Business เขาพูดถึง Monkey Business ผมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ปรึกษาเขาแทงมาบอกว่านี่คือ "ธุรกิจลิงหลอกเจ้า" หรือละครลิง หรือเป็นธุรกิจที่ไม่มีความคุ้มค่า ไม่ควรค่าแก่การลงทุน ทำไม EARTH ถึงกู้ผ่านได้ ? เดี๋ยวเราอดใจรอสักครู่

วิทยายุทธท่าพิสดารของ EARTH ที่ทำกับแบงก์กรุงไทยยังมีอีกหลายเรื่อง แต่ฝีมาแตกเอาช่วงท้ายๆ 2558-2559 ที่นายวรภัค นั่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ นั่นเอง

ท่านผู้ชมครับ นอกจากจะมีเหมืองทิพย์แล้ว ยังมีกรณีสต๊อกทิพย์ ปกติแล้วการทำธุรกิจของ EARTH คือ Trading คือซื้อมา ทำการสต๊อก ขายออก แต่คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต แบงก์จับพิรุธได้ว่าสต๊อกที่เก็บถ่านหินทะแม่งๆ คือสต๊อกบวม หรือสต๊อกทิพย์ เมื่อคุณอ้างว่าในสต๊อกคุณมีถ่านหินอยู่เยอะ ขอเบิก ทำไมถึงต้องขอเบิกเงินสินเชื่อเพื่อขอซื้อขายถ่านหินล่วงหน้าอยู่อีก มันผิดปกติ แบงก์จึงขอตรวจสอบ บริษัทก็บ่ายเบี่ยง ไม่ยอมให้สอบ (ผมเอารูปให้ดูนะ)


คุณขจรพงศ์ คำดี ประธานกรรมการบริหารบริษัท ENERGY EARTH จำกัด ให้ข้อมูลเท็จ ตอนหลังแบงก์จึงถึงบางอ้อว่า สต๊อกถ่านหินที่เก็บไว้ปริมาณมากๆ บวมนั้น มันเป็นสต๊อกทิพย์ เมืองไทยนี่ของทิพย์เยอะมาก ท่านผู้ชม เรามีนายกฯ ทิพย์ เรามีสต๊อกทิพย์ เรามีเหมืองทิพย์ โดยการปลอมแปลงใบตราส่งสินค้าทางเรือ ที่เขาเรียกว่า Bill of Lading (B/L) หรือใบขนถ่านหิน นำเข้าถ่านหินจากประเทศอินโดนีเซียปลอมๆ มาเบิกเงินกู้ไปเรื่อยๆ รวมแล้วทั้งหมด 84 ฉบับ

พอเรื่องแดง ถูกตัดวงเงินก็โวยวาย ใช้วิชามารกดดันแบงก์ ถ้าจำได้ ในช่วงนั้นมีข่าวคนกลุ่มนี้เกณฑ์คน ปลุกระดมคนมากดดันที่แบงก์กรุงไทยอยู่บ่อยๆ ต่อมา EARTH เกิดอาการหนัก เข้าขั้นโคม่า ธนาคารตั้งข้อสังเกตว่างบการเงินผิดปกติ ตามด้วยการผิดชำระหนี้ตั๋ว BE ในปี 2565 ซึ่งถือว่าผิดเงื่อนไขในสัญญา เจ้าหนี้ทั้งหลายก็เลยไม่ยอมให้เบิกเงินกู้ได้อีก EARTH ก็เลยถึงแก่กาลอวสาร

ท่านผู้ชมครับ สุดท้ายเรื่องระหว่างเจ้าหนี้ (กรุงไทย) กับลูกหนี้ (EARTH) ก็จบลงด้วยหนี้เน่า 10,500 ล้านบาท ที่เหลือทิ้งไว้ให้แบงก์ดูต่างหน้า ส่วน EARTH นั้นธุรกิจไม่เหลือซาก มีคดีความตามมาเป็นพรวน อย่างที่รับทราบกัน แบงก์กรุงไทยไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ EARTH ยื่นให้ดีเอสไอ กองปราบฯ และ ป.ป.ช. อย่างที่รู้กัน เรื่องนี้เป็นกรณีฉาวโฉ่มหากาพย์ต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ความคืบหน้าคดีเพื่อเอาผิดคนที่เกี่ยวข้อง ช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน คนในดีเอสไอก็ย่อมรู้ดีว่าใครดึงเรื่องเอาไว้ ผมขอฝากให้กับท่านรัฐมนตรียุติธรรม อดีตอธิบดีดีเอสไอเก่า ที่ชื่อ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง


ผมฝากเอาไว้ว่ากรุณาอย่าลืมเรื่องนี้ ทำความจริงให้ปรากฏ ออกมาปกป้องผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืมอง อย่าเข้าในข่ายที่วิ่งเต้นได้ ถูกเอาเงินเอาทองยัดได้ ผมอยากให้ท่านกระทุ้งไปที่ดีเอสไอหน่อย ว่าทำไมคดี EARTH ร้องเรียนมาที่ดีเอสไอมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่ไปไหนเลย

เอาล่ะ เรามาย้อนกลับข้อสงสัยว่าทำไมแบงก์กรุงไทยปล่อยกู้ให้ EARTH ทั้งๆ ที่เคยถูกปฏิเสธไปตั้งแต่สมัยนายอภิศักดิ์ เป็นกรรมการผู้จัดการแบงก์กรุงไทย เราจะพิสูจน์เรื่องนี้ เราต้องดูความโยงใยสายสัมพันธ์ว่าใครเป็นใคร โยงใยกันอย่างไร

เราเริ่มจากนายวรภัค ธันยาวงศ์ ชื่อเช่นชื่อ ต่อ กรรมการผู้จัดการแบงก์กรุงไทย ช่วงอนุมัติเงินกู้ให้ EARTH เขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเรียนเทพศิรินทร์รุ่นเดียวกับคุณธนกร นันที หัวขบวนที่เป็นนายหน้าเรื่องโครงการปาล์มอินโดฯ ของ ปตท. ส่วนจะรู้เห็นเป็นใจกับนายธนกร กรณี EARTH แค่ไหนนั้น ก็เป็นคำถามที่ต้องพิสูจน์กันต่อไป ถามต่อว่า แล้วคุณวรภัค เข้ามากุมบังเหียนกรุงไทยได้อย่างไร ? 2555 คุณวรภัค เข้ามาช่วงรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่ากันว่าภรรยาของคุณวรภัค เป็นลูกสาวเจ้าของร้านเพชรชื่อดังที่เพนนินซูลา ซึ่งคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร สนิทกับเจ้าของร้าน เรื่องนี้จะเป็นการฝากฝังกันต่อมาหรือไม่ ฝากลูกทำงานแบงก์กรุงไทยหน่อย ก็แล้วแต่จะคิดกัน

แต่ถ้าดูจากโปรไฟล์การทำงานของคุณวรภัค ก็ต้องบอกว่าอยู่ในวงการวาณิชธนกิจ หรือที่เขาเรียกว่า Merchant Banker เคยอยู่ที่เจพีมอร์แกนเชส ไปทำงานที่ไทยพาณิชย์ และฟินันซ่า เป็นลำดับ ก่อนจะมาอยู่ที่แบงก์กรุงไทย


ตอนทำงานอยู่ฟินันซ่าของวรภัค น่าสนใจ ว่ากันว่าที่นี่เขาทำงานกับคนกลุ่มของนายธนกร และผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. คือคุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ เพราะฉะนั้นด้วยความคอนเนกชันที่คุ้นเคยกันระหว่างวรภัค ธนกร และ ประเสริฐ ทั้งหมดก็เลยมาประสานงานกันอีกครั้งที่แบงก์กรุงไทย

เรามาดูข้อเท็จจริงกันนิดหนึ่งครับ แล้วเราจะอนุมานได้ คุณวรภัค นั่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ แล้วคุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ขณะนั้น อดีตผู้บริหารระดับสูง ปตท. เป็นกรรมการอิสระ และประธานกรรมการบริหารของแบงก์กรุงไทย ระหว่างปี 2554-2558 คุณธนกร เป็นนายหน้าให้ EARTH เรื่องเหมืองอินโดฯ ด้วยเหตุนี้หรือเปล่า การปล่อยกู้ EARTH จึงได้รับไฟเขียวผ่านฉลุย นี่เป็นคำถาม เพราะปกติแล้วการกู้เงินขนาดใหญ่ขนาดนั้น จะต้องเข้าบอร์ดบริหาร ซึ่งตามที่ผมเล่าให้ฟัง คุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายบริหาร เหมือนกับว่าเป็นคนที่รับผิดชอบในการอนุมัติสินเชื่อหลังจากที่ระดับล่างทำส่งขึ้นมา แล้วก็เข้าบอร์ดเลย

ขณะที่ระดับปฏิบัติการเพื่อดันให้แบงก์ปล่อยสินเชื่อได้เนียนๆ กับ EARTH ว่ากันว่ายังมีกลุ่มคนที่เคยเป็นคนเก่าคนแก่ของ ปตท. ที่ย้ายเข้ามาทำงานที่กรุงไทย และคนเก่าของแบงก์กรุงไทยที่ไปทำหน้าที่ที่ปรึกษาทางการเงิน และปฏิบัติหน้าที่เหมือน CFO ให้กับบริษัท EARTH รับผิดชอบโปรเจกต์ในการขอสินเชื่อกรุงไทย เรียกได้ว่างานนี้คนนอกคุ้นเคยภายในกรุงไทย ขณะที่คนในก็แปลงร่างจากเกลือเป็นหนอน


เมื่อข้างบนไฟเขียว กลุ่มคนเหล่านี้ก็สร้างสตอรี่ต่างๆ ปั่นเอกสารหลักฐานตามสั่ง ส่งเข้ามาคณะบอร์ดกลั่นกรอง สอดรับกันเป็นทอดๆ ด้วยการวางแผน คิดไตร่ตรองกันเป็นขบวนการ การขอกู้เงินกรุงไทยให้กับ EARTH ทั้งๆ ที่ควรสงสัยในตัวธุรกิจว่าจะคุ้มค่าหรือเปล่า ก็เลยไม่อยู่ในหลักการที่ควรจะใช้พิจารณา ผลที่เกิดขึ้น ธนาคารเสียหายนับหมื่นล้าน ใครได้ประโยชน์บ้าง เดากันได้ไม่ยากหรอกครับท่านผู้ชม

ข้อเท็จจริงต่างๆ กรณี EARTH กับกรุงไทย ก็ดี ปาล์มอินโดฯ กับ ปตท. ก็ดี ทั้งหลายทั้งมวลนี้อยู่กับ ป.ป.ช. หมดแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เห็นว่าจะมีหลายคนเข้ามาใหม่ จะรับตำแหน่งต่อจากคนเก่าที่พ้นวาระไปแล้ว หนึ่งในนั้นเป็นคนรู้ข้อมูลปาล์มอินโดฯ ดีที่สุด และเป็นคนที่อดีตผู้บริหารกลัวที่สุดด้วย จะเข้ามาฟาดฟันขบวนการนี้แค่ไหน เป็นเรื่องที่น่าสนใจน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากคดีที่เกิดขึ้นแล้ว งาบผลประโยชน์กันไปเรียบร้อยแล้ว ความไม่รู้จักพอ หรือย่ามใจว่าไม่มีใครเปิดโปง ขุดคุ้ยได้ เพราะคนพวกนี้เวลาพูดถึงเมื่อไร ก็ฟ้องตลอดเวลา ทำให้คนกลัว แต่ผมไม่กลัว ฟ้องมาสิ จะกี่คดีก็ฟ้องมาเลย ไม่เป็นไรหรอก เราไปเจอกันที่ศาล

ไม่มีใครกล้าเปิดโปง ขุดคุ้ยได้ เพราะทราบว่าขุมข่ายขบวนการนี้มีทั้งนักกฎหมาย รวมทั้งนักร้องเรียน เลี้ยงดูสื่อมวลชนหน้าด้านๆ บางกลุ่มที่ทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ คอยบิดเบือนข่าว เขียนเชียร์ เรียกว่าครบวงจรจริงๆ


กลุ่มคนชบวนการนี้ก็เลยขยันปั้นโปรเจกต์ส่งให้ ปตท. ไม่หยุดไม่หย่อน ที่ผมเคยเปิดประเด็นว่า เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลุ่มบ้านี่ชงเรื่องให้บอรด์ ปตท. พิจารณาเข้าถือหุ้นบริษัท STARK Corperation ที่ตอนนั้นถ้าบอร์ด ปตท. อนุมัติอยู่ล่ะ ดูไม่จืดถึงขั้นเน่าไปด้วยกันแน่ๆ ในวันนี้ ที่แน่ๆ แววเน่ามีมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว STARK ถูกปั่นขึ้นมา โน้มน้าวบอร์ดว่าธุรกิจ ปตท. ที่จะขยายไปข้างหน้า จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาสายไฟและสายเคเบิล ถ้าถือหุ้นใน STARK ก็จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าคุ้มราคา

ท่านผู้ชมครับ การนำเสนอโปรเจกต์ก็ก๊อปปีมา ก๊อปปี้มาเลย ... ในรูปแบบของปาล์มอินโด และ EARTH ไม่มีผิด โดยถือดีว่ามีแต้มต่อตรง สั่งได้ มีท่าพิสดาร ไม่ต้องผ่านบอร์ดกลั่นกรอง ทะลุเข้าบอร์ดพรวดๆ ได้เลย แต่เผอิญ เดชะบุญ ปตท. มีกรรมการไม่เห็นด้วย และรู้ข้อมูล STARK ดีว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ได้ดีเหมือนภาพสร้างที่คนกลุ่มนี้พยายามจะสร้างขึ้นมา เขาก็เลยไม่เห็นด้วย เบรกเอาไว้

มีข้อมูลว่าตอนก่อนจะชงเรื่อง STARK ให้บอร์ดพิจารณาอนุมัติให้ ปตท. ถือหุ้น หุ้น STARK ในตลาดหุ้น กราฟพุ่งปรี๊ดเลย ท่านผู้ชมครับ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนกลุ่มนี้รู้อินไซด์ มั่นใจว่าบอร์ด ปตท. ต้องอนุมัติอย่างแน่นอน เหมือนหลายๆ โครงการที่เสนอไป ทำให้ Insider Trading ปล่อยข่าวออกไป เมื่อบอร์ดอนุมัติแล้วจะได้เทขายทำกำไรงามๆ ปรากฏว่าพอบอร์ดเบรกโครงการ หุ้น STARK ร่วงเหมือนเครื่องบินโดนยิงตกลงไม่เป็นท่า ที่สุด STARK ก็ฝีแตกตาม EARTH กลายเป็นหุ้นเน่าๆ ที่อื้อฉาวที่สุดที่เรารับรู้ข่าวนี้ไปแล้ว


ท่านผู้ชมครับ คำถาม ใครเป็นคนคิดเอาดีล STARK มาให้ ปตท. และใครเป็นคนผลักดันเรื่องนี้

ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้เป็นเบื้องหลังคดีอื้อฉาว ปตท. และกรุงไทย โดยขบวนการสวาปาม ปตท. และกรุงไทย เป็นผู้เล่นกลุ่มเดียวกันหมด แพทเทิร์นเดียวกัน ที่เรานำมาเสนอก็ต้องบอกว่าบอร์ด ปตท. และกรุงไทย ต้องใช้โอกาสนี้ตัดวงจรอุบาทว์เครือข่ายพวกนี้ออกจากองค์กรให้ได้ แสดงถึงความมีธรรมาภิบาลให้ได้อย่างที่พยายามโฆษณาชวนเชื่อต่อสังคมไทย


ผมอยากจะฝากคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ ท่านเป็นคนที่ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันอย่างหนัก ท่านตั้งคณะกรรมการพิเศษสักชุดได้ไหมจากกระทรวงพลังงาน เข้าไปตรวจสอบเรื่องที่ผมพูดนี้ จัดการกับคนที่มีส่วน สมรู้ร่วมคิดในการโกงชาติ โกงบ้านโกงเมืองให้เด็ดขาด ถ้าท่านทำเรื่องโฮปเวลล์ได้สำเร็จ กรุณาทำเรื่องนี้ต่อให้สำเร็จด้วยก็แล้วกัน

ท่านผู้ชมครับ นี่คือปัญหาท้าทายของสังคมไทย และเป็นปัญหาท้าทายของคนที่มีอำนาจที่จะจัดการกับเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ คนที่ผมเอ่ยชื่อถึงนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีเครือข่ายสายสัมพันธ์ แล้วชอบนัก ใครพูดถึงเรื่องนี้เมื่อไรก็ฟ้องไปเลย เผอิญที่ผมหยุดไป 1-2 เดือนนั้น ไม่ใช่เพราะผมกลัวการถูกฟ้อง เพราะเขาฟ้องผมอยู่แล้ว คงจะไปนั่งคุยกันใช่ไหมว่าได้ผลแล้ว สนธิมันไม่พูดแล้ว เพราะฟ้องมันไปแล้ว ไม่ใช่ครับ ผมมัวแต่ยุ่งเรื่องการเมือง ตอนนี้มันค่อยๆ ซาแล้ว แล้วผมจะตามล้างตามเช็ดพวกคุณ ไม่ว่า ป.ป.ช. จะว่าอย่างไร คดีในศาลจะว่าอย่างไร ผมจะเอาข่าวคราวพวกนี้มาแถลงให้ท่านผู้ชมทราบ และที่คุณธนกร บอกว่าคดีของคุณนั้น คุณเป็นจำเลย ยังอยู่ในขั้นศาล ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาเรื่องนี้มาพูด ใครบอกคุณล่ะ ? คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าถึงบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน ถ้าคุณไปยื่นศาลให้ระงับไม่ให้ผมพูดถึง ผมก็จะเข้าไปคัดค้าน แล้วผมเชื่อว่าศาลก็จะเห็นด้วยกับผม เพราะเป็นสิทธิอันชอบธรรมของผม ตราบใดที่ผมพูดแล้วสามารถมีหลักฐานมายืนยันได้ และอนุมานได้ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง


ก่อนที่ผมจะจบเรื่องนี้ ผมต้องขอชมเชยสำนักข่าวอิศรา คนที่บริหารงานของสำนักข่าวอิศรา ชื่อ คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ หรือ คุณเก๊ พวกเราและทุกๆ คนที่รักความเป็นธรรม ต้องการความจริงที่มีหนึ่งเดียว ต้องขอบคุณสำนักข่าวอิศรา ข้อมูลที่ผมได้มาหลายอย่าง ได้มาจากสำนักข่าวอิศรา ผมขอชื่นชมคุณประสงค์ สื่อดีๆ อย่างนี้หายากยิ่งกว่ายาก ต้องดูแลปกป้อง แล้วให้อยู่รอดตลอดไป เพราะเขาเป็นคนที่ไม่เข้าข้างใครเลย เขายืนอยู่บนความจริงที่มีหนึ่งเดียว และเขาไม่กลัวอำนาจอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้นเลยครับ

หลักสูตรรจับชีพจรเพื่อวิเคราะห์โรค ม.รังสิต

ท่านผู้ชมครับ อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย แล้วก็จัดชุดใหญ่ให้เลยโดยอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์


เมื่อสี่ปีก่อน อาจารย์ปานเทพ ตอนที่ผมออกจากเรือนจำ อาจารย์ปานเทพ ตอนนั้นเป็นคณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ท่านได้เข้ามาจับชีพจรผม และวิเคราะห์ผมอย่างแม่นยำจนน่าทึ่ง รู้ว่าผมมีปัญหาการปัสสาวะขัด มีปัญหาเรื่องต่อมลูกหมากโต ตอนนั้นอาจารย์ปานเทพ ปรุงยาตำรับสมุนไพรของหมอพื้นบ้านให้ผมจนหายจากต่อมลูกหมากโตภายในเวลา 1 เดือน


ท่านผู้ชมรู้ไหม ผ่านไป 4 ปี อาจารย์ปานเทพ สั่งสมประสบการณ์มากขึ้น เมื่อเดือนกรกฎาคม ปีนี้ อาจารย์ปานเทพถูกแต่งตั้งเป็นคณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ก็ได้ทำในสิ่งที่ผมคิดว่าพวกเราต้องสนับสนุนกัน เพราะอาจารย์ปานเทพ ได้เปิดหลักสูตรสำคัญที่จะช่วยพัฒนาวงการสุขภาพประเทศไทย นั่นคือ หลักสูตรบูรณาการภูมิปัญญาการจับชีพจรเพื่อวิเคราะห์โรค ถือเป็นหลักสูตรในมหาวิทยาลัยแห่งแรก นอกจากทำการฟื้นฟูบูรณาการภูมิปัญญาการจับชีพจร ซึ่งเกือบจะสูญหายไปจากวงการแพทย์แผนไทยแล้ว


อาจารย์ปานเทพ จะทำให้การจับชีพจรเพื่อวิเคราะห์โรค พัฒนาเป็นบูรณาการศาสตร์และการเปรียบเทียบ ทั้งแพทย์แผนจีน แพทย์อายุรเวชอินเดีย แพทย์แผนไทย และแพทย์แผนปัจจุบัน ยังแถมความรู้ด้านการจับชีพจรในสัตว์เลี้ยงด้วย ไม่เคยมีที่ไหนให้การศึกษาแบบนี้มาก่อน แรงบันดาลใจของอาจารย์ปานเทพ มาจากไหน ? คือมันมีรากฐานทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ถ้าเราย้อนกลับไปสักสามร้อยกว่าปีที่แล้ว พ.ศ. 2330 สมัยอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีบันทึกจดหมายเหตุของ ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ ซึ่งเป็นราชทูตพิเศษของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ประเทศฝรั่งเศส เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ ราชทูตพิเศษฯ ไม่ค่อยสบาย สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้คณะหมอหลวง ซึ่งหมอหลวงมี แพทย์สยาม หมอรามัญ และ หมอจีน ผลัดกันตรวจจับชีพจร วินิจฉัยจ่ายยาต้มให้ ท่านผู้ชมคิดดูสิว่าหมอสยาม หมอรามัญ และ หมอจีน คณะหมอเหล่านี้สามารถบูรณาการภูมิปัญญาด้วยการสื่อสารวิเคราะห์โรคด้วยการจับชีพจรสามนิ้วบนข้อมือเหมือนกัน ในตำแหน่งเดียวกัน หมอเหล่านี้ทำงานบูรณาการกันได้ในฐานะที่เป็นภูมิปัญญาการแพทย์แผนตะวันออกเหมือนกัน มีการเชื่อมโยงโอนถ่ายความรู้ระบบการแพทย์ที่ได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนาตามพระไตรปิฎกเหมือนกัน ประเด็นอยู่ที่ไหน ?


ท่านผู้ชมทราบหรือเปล่าว่าเดี๋ยวนี้ผ่านไปแล้วสามร้อยกว่าปี เกือบสามร้อยห้าสิบปี แพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน แพทย์อายุรเวชอินเดีย กลับคุยกันไม่รู้เรื่องเลย เพราะเราแบ่งแยกด้วยกฎหมายใบประกอบวิชาชีพให้แยกขาดออกจากกันและกัน ไม่บูรณาการภูมิปัญญาตะวันออกเข้าด้วยกันเพื่อประโยชน์ของคนไข้เหมือนสมัยอยุธยาเมื่อ 336 ปีที่แล้ว และที่น่าเสียดายไปกว่านั้น คือแพทย์แผนไทยส่วนใหญ่จับชีพจรกันไม่เป็นแล้ว เพราะไม่มีการศึกษาอย่างเป็นระบบในมหาวิทยาลัย เพราะความรู้ในตระกูลหมอยาไทยก็ค่อยๆ สูญหายไป ที่ยังคงมีอยู่ ก็ยังหวงวิชาเอาไว้กับครอบครัวและลูกหลาน และก็ค่อยๆ สูญหายไปเช่นกัน ยังคงเหลือแต่แพทย์แผนจีนที่ยังสืบทอดและพัฒนาอย่างเป็นระบบ ส่วนแพทย์อายุรเวชอินเดีย ไม่มีกฎหมายรองรับในประเทศไทย

อาจารย์ปานเทพ ในฐานะที่เป็นคณบดีแพทย์แผนตะวันออก ให้นโยบายเปิดหลักสูตรบูรณาการภูมิปัญญาการจับชีพจรวิเคราะห์โรค ที่ไม่เพียงแต่จะศึกษาการจับชีพจรของหลายศาสตร์ เช่น แพทย์แผนไทยเอย การแพทย์แผนจีนเอย แพทย์อายุรเวชอินเดียเอย แพทย์แผนปัจจุบัน และแพทย์ทางเลือก ตลอดจนสัตวแพทย์ หลักสูตรนี้จะต้องสามารถบูรณาการและเปรียบเทียบข้ามศาสตร์กันได้ คือไทยไปจีน จีนไปอินเดีย อินเดียกลับมาไทย ที่อาจารย์ปานเทพทำสำเร็จก็เพราะว่าวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต รวบรวมอาจารย์และผู้บรรยายที่มีความรู้ข้ามศาสตร์ และมีประสบการณ์ในการจับชีพจรอย่างไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในวงการสุขภาพไทยที่มารวมตัวในหลักสูตรนี้


ผมยกตัวอย่างให้ฟัง เรามีอาจารย์ศัลยแพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญผ่าตัดเส้นประสาท และเป็นแพทย์แผนไทยด้วยในเวลาเดียวกัน อาจารย์แพทย์แผนปัจจุบัน และก็เป็นแพทย์แผนจีนในเวลาเดียวกัน อาจารย์แพทย์แผนปัจจุบันที่จบจากเยอรมนี ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีการแพทย์ทางเลือกที่ก้าวหน้าที่สุดในโลกตะวันตก อาจารย์แพทย์แผนไทยประยุกต์ที่จบการศึกษาแพทย์จากอินเดียในคนเดียวกัน อาจารย์ที่เป็นแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนจีนในคนเดียวกัน อาจารย์ที่เป็นนายสัตวแพทย์ซึ่งก็เป็นแพทย์แผนจีนในคนเดียวกัน เช่นกัน

นอกจากนั้น อาจารย์ปานเทพ ยังจะให้มีการบรรยายประสบการณ์ทางตรงทางคลินิก รวมทั้งการบรรยายของแพทย์แผนไทยดีเด่นประจำเขตสุขภาพบางท่านที่ยังสามารถสืบทอดภูมิปัญญาการจับชีพจรจากบรรพบุรุษมาได้

ผมยืนยันเลยว่าหลักสูตรรวมผู้เชี่ยวชาญขนาดนี้ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ถ้าไม่ใช่วิทยาลัยแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นคนจัดทำขึ้น หลักสูตรนี้ไม่จำกัดเฉพาะวงการแพทย์ตามใบประกอบวิชาชีพที่ต้องการบูรณาการข้ามศาสตร์กัน แต่ยังเปิดโอกาสให้คนธรรมดาที่ไม่เคยมีพื้นฐานทางการแพทย์เลย ได้เรียนด้วย เหมาะกับการพัฒนาศักยภาพของคนที่ต้องการดูแลสุขภาพและคนในครอบครัว หรือในเชิงธุรกิจก็ได้ด้วย คนทำธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพทั้งหมดที่ต้องการพัฒนาเพิ่มศักยภาพให้ตัวเอง เช่น ผู้ประกอบการ Wellness ผู้ประกอบการโรงแรมเพื่อสุขภาพพยาบาล แม้กระทั่งนักการตลาด คนขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ เภสัชกร นักการตลาดและนักขายในสถานบริการสุขภาพ ผู้ประกอบการศูนย์ดูแลผู้สูงวัย รวมทั้งผู้ขายประกันสุขภาพ และประกันชีวิต


ท่านผู้ชมครับ หลักสูตรนี้เปิดรับสมัครแล้ว วันนี้ (1 ก.ย.) เป็นต้นไป เป็นวันแรก จะปิดรับสมัครวันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2566 จะเรียนทุกวันศุกร์ เต็มวัน ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2566 รวมเบ็ดเสร็จ 11 สัปดาห์ สิ้นสุดการเรียนประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 หลักสูตรนี้มีค่าเรียนทั้งสิ้น 64,000 บาทต่อคน แต่ถ้าท่านสมัครตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 22 กันยายน จะได้ลดราคาพิเศษเหลือแค่ 48,000 บาท ลดไป 16,000 บาท แต่เนื่องจากเป็นหลักสูตรเชิงปฏิบัติการ จำนวนที่เรารับจำกัดมาก ใครมาก่อนได้ก่อน เพราะเป็นหลักสูตรเชิงปฏิบัติการด้วย ถ้าเต็มเมื่อไรเขาจะปิดรับสมัครทันที ถ้าท่านผู้ชมสนใจติดต่อได้ที่วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 061-950-6666 ถ้าสมัครตอนนี้ ปิดรับสมัครวันที่ 6 ตุลาคม สมัครก่อน ได้ก่อน ได้ส่วนลด 16,000 บาท และที่สำคัญที่สุด เขารับจำนวนจำกัด เพราะเป็นการฝึกอบรม ไม่ใช่เรื่องทางวิชาการอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องการปฏิบัติการที่แท้จริง สอนในการจับชีพจร ท่านผู้ชมอย่าช้า ของดีๆ แบบนี้หาที่ไหนไม่ได้แล้ว รีบมาเลยครับท่านผู้ชม

ญี่ปุ่นปล่อยน้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ 


ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่ระดับโลกเลย จากการกระทำชั่วๆ ของรัฐบาลหนึ่ง นั่นคือรัฐบาลญี่ปุ่นที่ไม่ได้ใส่ใจเลยว่าโลกจะพังพินาศฉิบหายเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงเรื่องหายนะนิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ภาคสอง ภาคหนึ่งคือการล่มสลายของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะ ที่เป็นเรื่องราวใหญ่โตมโหฬารมา

ท่านผู้ชมครับ น้ำเป็นของปลา ฟ้าเป็นของนก แต่ตอนนี้นรกเป็นของคนญี่ปุ่นและคนทั้งโลก นับตั้งแต่เมื่อไร ? นับตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่แล้ว วันที่ 24 สิงหาคม 2566 ที่ญี่ปุ่นกดปุ่มปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีที่เก็บเอาไว้นาน 12 ปี ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2554 ที่เกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และสึนามิเข้าถล่มโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ-ไดอิจิ ของบริษัท เทปโก้ คือ Tokyo Electric Power Company ซึ่งเป็นบริษัทที่ธรรมาภิบาลเลวที่สุด อาจจะที่สุดหนึ่งในไม่กี่บริษัทในโลกนี้ ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งถือเป็นสมบัติส่วนรวมของมนุษยชาติ ตั้งแต่บรรพบุรุษไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ญี่ปุ่นคงเข้าใจผิดว่ามหาสมุทรแปซิฟิกเป็นลำคลองส่วนตัวของตัวเอง


การที่เทปโก้ต้องใช้วิธีหมุนเวียนน้ำเพื่อควบคุมอุณหภูมิของแท่งเชื้อเพลิงให้เย็นลง ส่งผลให้น้ำมีสารปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีเกิดขึ้นทุกวัน รวมทั้งน้ำใต้ดิน และน้ำฝนที่ไหลซึมเข้ามาด้วย น้ำปนเปื้อนเหล่านี้จะถูกสููบออก และผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Advanced Liquid Processing System ก่อนจะถูกนำไปเก็บไว้ที่แท้งขนาดใหญ่ราว 1,000 ถัง ซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ-ไดอิจิ เป็นผลทำให้คนหลายแสนคนต้องอพยพถิ่นฐานและไร้ที่อยู่อาศัย อีกทั้งชุมชนและพื้นที่การเกษตรและมหาสมุทรต้องปนเปื้อนกับกัมมันตภาพรังสี


ญี่ปุ่นกำลังสร้างปัญหาร้ายแรงให้โลกอีกครั้ง การตัดสินใจของญี่ปุนบนความเห็นแก่ตัว ไร้ความรับผิดชอบ ที่ญี่ปุ่นปฏิบัติการปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก เหมือนว่าเป็นบ่อน้ำทิ้งของเสียส่วนตัวของตัวเอง เป็นอันตรายต่อระบบนิเวศทางทะเล ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล ในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก เนื่องจากกระแสน้ำในมหาสมุทรนำมลพิษข้ามโลก คนทั่วโลกต่างกังวลและสูญเสียความเชื่อมั่นและความไว้วางใจต่อรัฐบาลญี่ปุ่น

นี่คือผลจากการตัดสินใจของรัฐบาลนายฟูมิโอะ คิชิดะ ขวาจัด พรมเช็ดเท้า สุนัขรับใช้ของสหรัฐอเมริกา ภายหลังการประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อเช้าวันอังคารที่ 22 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายคิชิดะ ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม เป็นต้นไป ญี่ปุ่นจะเลือกปล่อยน้ำเสียกัมมันตภาพรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ-ไดอิจิ ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก โดยญี่ปุ่นมีแผนปล่อยน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีเป็นหลายเฟส


เฟสแรกจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 จนถึงเดือนมีนาคม 2567 ทยอยปล่อยน้ำเสียปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสี ครั้งนี้ประเมินว่าต้องใช้เวลาถึง 30 ปี ตอนนั้นคนทั่วโลกคงเป็นมะเร็งตายโหงตายห่ากันไปหมดแล้ว เราอาจจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ดูเรื่องราวต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

หลังจากนายคิชิดะ ประกาศข่าวร้ายนี้ ทางจีน คือนายวัง เหวิน ปิน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ออกมาวิพากษ์วิจารณ์โดยตรงถึงถ้อยแถลงของญี่ปุ่นเรื่องการจัดการปล่อยน้ำปนเปื้อนนิวเคลียร์จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ-ไดอิจิ ไม่สนใจเสียงคัดค้านของประชาคมโลก ว่า การขจัดน้ำเสียปนเปื้อนนิวเคลียร์ฟุกุชิมะ-ไดอิจิ ถือเป็นประเด็นสำคัญเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยทางนิวเคลียร์


เขาพูดต่อว่า ผลกระทบดังกล่าวไปไกลเกินขอบเขตของญี่ปุ่น ปัญหาเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวของญี่ปุ่นแต่อย่างใด นับตั้งแต่มนุษยชาติเริ่มใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อจุดประสงค์ทางสันติ ไม่เคยมีแบบอย่างหรือมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลในการปล่อยน้ำที่ปนเปื้อนนิวเคลียร์ลงสู่มหาสมุทร

นอกจากนี้ ทางจีนยังชี้ด้วยว่า น้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากน้ำเสียปกติที่ปล่อยจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไป


(รูป) ภาพวาดเพื่อทำให้เข้าใจได้ง่าย แสดงความแตกต่างระหว่างน้ำเสียที่ปล่อยจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์กรณีทั่วไป อันแรก คือ Normal (ปกติธรรมดาเขาปล่อยกันแบบนี้) กับกรณีฟุกุชิมะ คือมันปล่อยเข้าไปผ่านปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่อยู่ในโรงไฟฟ้านั้น

ความพยายามของญี่ปุ่นในการเปรียบเทียบทั้งสอง แสดงให้เห็นแนวทางที่ไม่เป็นตามหลักวิทยาศาสตร์ และตั้งใจทำให้ประชาคมระหว่างประเทศเข้าใจผิด เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับหายนะต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล และที่สำคัญที่สุด ต่อมนุษยชาติ เพราะญี่ปุ่นปล่อยน้ำปนเปื้อนด้วยนิวเคลียร์ ซึ่งมีสาร 64 ชนิด จำนวน 1.3 ล้านตัน เทียบกับปริมาณในสระว่ายน้ำมาตรฐาน 500 สระ ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก โดยสารไอโซโทป (Isotope) เช่น ทริเทียม (tririum) ยากที่จะกำจัดได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติทางเคมี อาจจะต้องอยู่นานถึง 30 ปี ถ้าบริโภคอาหารปนเปื้อนทริเทียมเข้าไปในปริมาณสูง ก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งอย่างแน่นอน


คำถามมีอยู่ว่า ญี่ปุ่นหมดปัญญาจัดการกับน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะจริงๆ หรือ หรือญี่ปุ่นยังไม่ได้สำรวจวิธีการทางเลือกในการจัดการน้ำเสียกับกัมมันตภาพรังสีอย่างเต็มที่ก่อนจะปล่อยลงมหาสมุทร เพราะโดยทั่วไปแล้วมันมี 5 แนวทางที่จะกำจัดไอโซโทป ที่เป็นธาตุกัมมันตภาพรังสี คือ หนึ่ง ทำการระเหยน้ำที่ปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีเป็นไอน้ำที่ถูกควบแน่น แล้วจัดการเก็บกักต่อไป วิธีนี้ญี่ปุ่นไม่เลือก อ้างว่าจะเป็นผลเสียต่อคุณภาพอากาศ

สอง ใช้รีไซเคิลด้วยกระแสไฟฟ้ามหาศาลด้วยวิธีอิเล็กโทรไลซิส (Electrolysis) แยกไอโซโทปออกจากน้ำ แต่ทำให้ญี่ปุ่นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก สาม ฝังกลบดิน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพดินของญี่ปุ่นและสุขภาพของผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น สี่ เก็บกักน้ำเสียที่ปนเปื้อนนิวเคลียร์ไว้ในถังขนาดใหญ่ แต่ต้องขยายพื้นที่จัดเก็บอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทโรงไฟฟ้าเทปโก้ โตเกียว อิเล็กทริก จำเป็นต้องทุ่มงบจำนวนมากในแต่ละปี


ห้า ปล่อยน้ำที่ปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก เป็นวิธีที่ผิดจรรยาบรรณมากที่สุด แต่มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด คือ 3,500 ล้านเยน หรือแค่ 850 ล้านบาทเท่านั้น สรุปง่ายๆ ก็คือว่าญี่ปุ่นเลือกวิธีที่ถูกที่สุด ใช้เงินน้อยที่สุด แต่ประชาคมโลกจะฉิบหายวายป่วงอย่างไร กูไม่สนใจ เพราะกูคือเลือดซามูไรบูชิโด ญี่ปุ่นที่กูจะทำอะไรก็ได้กับโลกนี้ เหมือนกับที่พวกญี่ปุ่นได้ทำการในสงครามโลกครั้งที่สอง ฆ่าคนจีนที่นานกิงเป็นล้านๆ คน ยึดภูมิภาคนี้ ยึดเกาหลี บังคับให้ผู้หญิงเกาหลีกลายเป็นผู้หญิงให้บริการ ทำลายล้างทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของญี่ปุ่น

การที่ญี่ปุ่นเลือกทางที่ 5 ผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง เนื่องจากเป็นการจัดลำดับความสำคัญบนพื้นฐานการคำนวณตัวเลขค่าใช้จ่ายในการจัดการที่ใช้ต้นทุนต่ำ มากกว่าพิจารณาผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประมง ชื่อเสียง ความเชื่อมั่น ที่สำคัญที่สุดคือความกังวลและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ถือว่าเป็นความเห็นแก่ตัว ไม่รับผิดชอบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมทางทะเล

ถึงแม้ญี่ปุ่นจะอ้างว่าได้กรองน้ำที่มีไอโซโทป กับกัมมันภาพรังสีลงมหาสมุทรให้เจือจาง ไม่ให้ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ เหลือแค่ทริเทียม ซึ่งมีการเจือจางให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าน้ำดื่มทั่วไป ตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก 7 เท่า

นายทาโร อาโซะ
การกล่าวอ้างประเด็นนี้ถูกนักการเมืองที่ญี่ปุ่นไม่สำนึกผิด หยิบยกเป็นข้ออ้าง เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายทาโร อาโซะ ที่กล่าวอย่างไร้ยางอายว่า การดื่มน้ำนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราน่าจะปล่อยสิ่งนี้มานานแล้วหากไม่มีปัญหา คือพูดง่ายๆ ว่า ทาโร อาโซะ อดีตนายกรัฐมนตรี อายุตั้ง 82 ปี ถ้าน้ำไม่มีปัญหา ทำไมไม่เอาไว้กินเองล่ะ นี่ต้องพูดกันหยาบๆ ล่ะ ผมก็รับไมได้ ถ้าไม่มีปัญหาก็เอาน้ำนั้นให้คนญี่ปุ่นกินทั้งประเทศสิ มาปล่อยที่มหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งประชาคมโลกเขาอาศัยอยู่ แล้วคำถามที่พิสูจน์ง่ายๆ ว่าน้ำถูกปล่อยมาจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ ปลอดภัยจริงหรือเปล่า


วันที่ 25 สิงหาคม 2566 นายเกิ่ง ส่วง เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรจีนประจำสหประชาชาติ ตั้งคำถามว่า หนึ่ง ถ้าน้ำที่ถูกปล่อยออกมาปลอดภัยจริง เพราะมีการเจือจางในระดับทริเทียมต่ำกว่ามาตรฐานน้ำดื่มของอนามัยโลก 7 เท่า โดยไม่มีสารกัมมันภาพรังสี เขาก็ถามว่า ทำไมคุณไม่เอาน้ำนี้ไปใช้ในการกิน บริโภค เพาะปลูกในประเทศสิ ไม่ต้องปล่อยลงมหาสมุทรสิ ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ มันย้อนแย้งกันแบบไหน

สอง ถ้าน้ำในกัมมันภาพรังสี หรือสารอันตรายอื่นๆ ปนเปื้อน ไม่ปลอดภัย ญี่ปุ่นต้องไม่ปล่อยน้ำนี้ลงสู่มหาสมุทร และแหล่งน้ำสาธารณะโดยเด็ดขาด คำพูดที่ไร้ความรับผิดชอบ มีปลุกกระแสไม่พอใจต่อเพื่อนบ้านมาก เกาหลีใต้ ศาสตราจารย์ซอคยอง ดุ๊ก แห่งมหาวิทยาลัยสตรีซองชิน รณรงค์ทำโปสเตอร์แคมเปญออนไลน์ตอบโต้คำกล่าวอ้างของนายทาโร อาโซะ ว่า น้ำเสียจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะนั้นปลอดภัยสำหรับการดื่ม ทำเป็นรูปนายทาโร อาโซะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ถือแก้วน้ำและมีคำพูดว่า YOU DRINK FIRST! มึงกินก่อนแล้วกัน


ทั้งนี้ นักชีววิทยาทางทะเลและผู้เชี่ยวชาญด้านมหาสมุทรได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวที่อาจจะเกิดขึ้นจากการปล่อยน้ำเสียกัมมันภาพรังสีอย่างต่อเนื่องจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ สู่มหาสมุทรแปซิฟิก ผลที่ตามมาของการคายประจุไอโซโทปเป็นเวลานานกว่า 30 ปี ซับซ้อนและมีเรื่องต้องระวังดังนี้

หนึ่ง ผลกระทบต่อระบบนิเวศ สารกัมมันภาพรังสีสามารถเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารทะเล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสายพันธุ์และระบบนิเวศต่างๆ สิ่งนี้สามารถทำลายสัตว์ทะเล ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งสายพันธุ์ที่สำคัญ ความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่น


สอง การสะสมทางชีวภาพ ธาตุกัมมันภาพรังสีอาจสะสมในปลา และสิ่งมีชีวิตในทะเลบางชนิดซึ่งเป็นห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ ส่งผลต่อความปลอดภัยของอาหารทะเลที่มนุษย์บริโภคได้

สาม การตรวจสอบสิ่งแวดล้อมระยะยาว สำหรับการตรวจสอบระดับกัมมันภาพรังสีในมหาสมุทร สิ่งมีชีวิตในทะเล และพื้นที่ชายฝั่งที่ครอบคลุมต่อเนื่องเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


สี่ ผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ต่อสุขภาพมนุษย์ ผ่านการบริโภคอาหารทะเลที่ปนเปื้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากไอโซโทปและธาตุกัมมันภาพรังสีอื่นๆ ที่เข้าสู่ห่วงโซ่อาหารทะเลไปแล้ว

ห้า ผลกระทบข้ามโลก มลพิษและกัมมันภาพรังสีไม่ได้จำกัดอยู่ในเขตแดนประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่กระแสในมหาสมุทรสามารถนำมลพิษในระยะทางไกล ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อทั่วโลก

หก ผลเสียระยะยาวจากการสัมผัสกับกัมมันตภาพรังสีจะส่งผลต่อระบบนิเวศทางทะเลและสุขภาพของมนุษย์อย่างแน่นอน

ท่านผู้ชมครับ เมื่อความจริงปรากฏเช่นนี้ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อการกระทำผิดของญี่ปุ่น ประเทศใหญ่ๆ ที่ต่อต้านอย่างหนักแต่แรกเริ่มแนวคิดปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันภาพรังสีฟุกุชิมะลงมหาสมุทรแปซิฟิก เดิมทีมีแค่จีน กับรัสเซียเท่านั้น แต่สิ่งที่ญี่ปุ่นกังวลมากที่สุดคือ จีน เนื่องจากว่าบทบาทอำนาจทางเศรษฐกิจจีนนั้น เหนือกว่าญี่ปุ่นค่อนข้างมาก


ท่านผู้ชมรู้ไหม สำนักศุลกากรจีน ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม ที่ญี่ปุ่นปล่อยน้ำลงไปนั้น สั่งห้ามอาหารทะเลทุกชนิดจากญี่ปุ่นเข้าประเทศ เพื่อปกป้องผู้บริโภคจีน แม้ว่านายกฯ ญี่ปุ่นจะใช้ช่องทางทางการทูตยุติการคว่ำบาตรอาหารทะเลจากญี่ปุ่นก็ตาม และที่แน่ๆ คือฮ่องกง และมาเก๊า ก็สั่งห้ามอาหารทะเลที่มาจากญี่ปุ่น แม้กระทั่งประเทศไทยก็ยังมีมาตรการที่ค่อนข้างจะเข้มงวดขึ้น โดยมีการประชุมหลายฝ่ายร่วมกัน แล้วให้ตรวจสอบอาหารทะเลที่สั่งเข้ามาจากญี่ปุ่นอย่างละเอียดถี่ยิบ จะทำให้การนำเข้าล่าช้ากว่าปกติ อันนี้ช่วยไม่ได้ มันจะมีผลกระทบต่ออาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย และประเทศจีน แน่นอนที่สุด คนจีนไม่มีสิทธิ์กินอาหารทะเลจากญี่ปุ่นต่อไป ผมคิดที่จะกระทบหนักอันหนึ่งก็คือบรรดาร้านโอมากาเสะทั้งหลาย ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในแฟนประจำโอมากาสะเช่นกัน

ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าในแต่ละปีจีนนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นเท่าไร ? มูลค่ากว่า 500 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบๆ 20,000 ล้านบาท ฮ่องกงประกาศนำเข้า มาเก๊าประกาศนำเข้า

ท่านผู้ชมครับ เกาหลีใต้ เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการตัดสินใจของญี่ปุ่นในการปล่อยน้ำเสียกัมมันภาพรังสีลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ประชาชนชาวเกาหลีใต้ออกมาเดินขบวนประท้วงแสดงความกังวล เดิมทีญี่ปุ่นตั้งใจจะปล่อยน้ำเสียปนกัมมันภาพรังสีในมหาสมุทรแปซิฟิก ปี 2564 แต่จากการต่อต้านจากจีนและเกาหลีใต้ ต้องเก็บเอาไว้ก่อน จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำเกาหลีใต้ จากนายมุน แจ-อิน เป็นนายยุน ซ็อก-ย็อล ซึ่งกระทำตนเป็นสุนัขรับใช้ ฝักใฝ่ญี่ปุ่นและอเมริกา


ท่ามกลางการประท้วงของประชาชนเกาหลีใต้ที่กดดันให้รัฐบาลแสดงจุดยืน หนักแน่นต่อการกระทำเห็นแก่ตัวโดยไม่รับผิดชอบ

นักประท้วงเกาหลีใต้ชูป้ายว่า เราประณามการกำจัดน้ำเสียนิวเคลียร์ของฟุกุชิมะลงในทะเล และเราคัดค้านการปล่อยน้ำเสียลงทะเลด้วยชีวิต

ผมเอารูปสุนัขรับใช้ของอเมริกาที่ไปประชุมที่แคมป์เดวิด กับโจ ไบเดน มาให้ดู


เรื่องการทิ้งน้ำเสียผสมนิวเคลียร์ของฟุกุชิมะนั้น ได้เป็นบทพิสูจน์ในการเมืองระดับโลกว่าเป็นการเมืองที่มือถือสากปากถือศีล การเมืองโลกได้เข้ามาปิดปากประเทศในยุโรป และกลุ่ม NGO ด้านสิ่งแวดล้อมให้เงียบกริบ ทุเรศมากมั้ยท่านผู้ชม เอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับสุขภาพของประเทศตัวเอง ประชาชนตัวเอง และประชาคมในโลกนี้ ขาดความรับผิดชอบ

อเมริกาที่บอกว่าตัวเองเป็นเจ้าโลก ได้ไฟเขียวเรื่องร้ายแรงที่ผ่านไป ย้อนกลับไปปี 2564 สองปีที่แล้ว นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา ถึงกับกล่าวชื่นชมญี่ปุ่นผ่านทวิตเตอร์ อ้างว่าญี่ปุ่นมีความพยายามที่จะเปิดกว้าง โปร่งใส ในการจัดการกับน้ำเสียปนเปื้อนนิวเคลียร์ ด้วยเหตุนี้ญี่ปุ่นเลยได้รับไฟเขียวจากเจ้านายตัวเอง เพื่อแลกกับการที่ให้ญี่ปุ่นสนับสนุนสงครามในยูเครน โดยการสนับสนุนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ ส่งความช่วยเหลือไปให้ยูเครน เพื่อแลกกับความพินาศฉิบหายของประชาคมโลก

ล่าสุด นายคิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และนายยุน ซ็อก-ย็อล เดินทางไปประชุมร่วมไตรภาคีต้านจีน กับนายไบเดน ที่แคมป์เดวิด 19 สิงหาคม ห้าวันก่อนที่ญี่ปุ่นจะปล่อยน้ำเสียลงไป


ท่านผู้ชมครับ ออสเตรเลีย ที่มีอิทธิพลด้านสิ่งแวดล้อมและภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและการเมืองญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา แม้อเมริกาจะกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล แต่ก็ยังแค่หืออือเบาๆ ไม่ประท้วงอย่างดุเดือด

แคนาดา โลกไม่เคยได้เห็น/ได้ยินรัฐบาลแคนาดาพูดเกี่ยวกับหายนะจากการปล่อยน้ำปนเปื้อนลงสู่มหาสมุทร ทั้งๆ ที่ทูตด้านสิ่งแวดล้อมของแคนาดาเคยทำโปสเตอร์รณรงค์ระดับโลกให้กำจัดหลอดพลาสติกเพื่อปกป้องเต่าทะเลและสิ่งแวดล้อมทางทะเล ตั้งแต่ปี 2518 แต่แคนาดาไม่สนใจว่าจะมีปลาตาย เต่าตาย หรือคนตายผ่อนส่งจากการปล่อยน้ำปนเปื้อนนิวเคลียร์ลงสู่มหาสมุทร เรื่องนี้อันตรายน้อยกว่า หรือมีความสำคัญน้อยกว่าหลอดพลาสติกในทะเล คนแคนาดาตอบไม่ได้ รัฐบาลแคนาดาก็ตอบไม่ได้


เยอรมนี ที่ได้ชื่อว่ามีองค์กร NGO ต่อต้านสิ่งแวดล้อมมากกว่าตั้ง 8,000 แห่ง มูลนิธิที่เกี่ยวข้องอีก 2,000 แห่ง มีพรรคกรีน พรรคที่เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม เป็นแนวร่วมกลุ่มสามนิ้วในไทย ที่ชูนโยบายคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและต่อต้านนิวเคลียร์ทุกกรณี แต่รัฐมนตรีต่างประเทศ นางอันนาเลนา แบร์บอค พรรคกรีน กลับมองไม่เห็นประเด็นนี้ ดันโง่ขึ้นมากะทันหันทันทีเลย ขณะที่เธอประชุมวิดีโอกับสถาบันวิจัย Lowe's Institute ซึ่งเป็น Think Tank ของออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม นางแบร์บอค ของเยอรมนี ไม่ได้พูดถึงญี่ปุ่นที่ปล่อยน้ำทิ้งตั้งแต่ปนเปื้อนสารกัมมันภาพรังสีในมหาสมุทรแปซิฟิกเลย แต่เธอกลับทะลึ่งมาพูดปั่นกระแสว่าจีนเป็นภัยคุกคาม ทั้งๆ ที่เยอรมนีเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการค้าการลงทุนกับจีนอย่างมากมายมหาศาล


ที่ตลกร้ายไปกว่านั้น ท่านผู้ชมครับ หลังจากที่ญี่ปุ่นตัดสินใจปล่อยน้ำพิษลงมหาสมุทรที่เป็นอันตรายต่อโลก ปรากฏว่าสื่อระดับโลกอย่าง CNN, BBC, NEW YORK TIME ยังคงนิ่งเงียบ มีเพียงรายงานข่าวแบบข่าวทั่วไป ทำราวกับว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย และเนื้อหาแสดงข่าวเชิงแก้ตัวเรื่องความไม่ปลอดภัยจากการปล่อยน้ำมีพิษสารกัมมันภาพรังสีลงสู่มหาสมุทร แทญี่ปุ่น บอกความจริงที่ไม่หมด ถึงหายนะห่วงโซ่ระบบนิเวศมหาสมุทรโลก เพราะสื่อเหล่านี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศ และการเอาชนะคะคานในทางภูมิรัฐศาสตร์นั่นเอง

นางสาวเกรตา ทุนเบิร์ก
ที่น่าเสียดาย ท่านผู้ชมนำเด็กคนนี้ได้ไหม ตอนนี้เป็นสาวแล้ว นางสาวเกรตา ทุนเบิร์ก นักประท้วงด้านสิ่งแวดล้อมชาวอายุ 20 ปี ดูเหมือนเธอไม่แยแส หรือ give a damn กับเหตุการณ์นี้แต่อย่างใด เพราะเหตุผลง่ายๆ คือเบื้องหลังของการหาแสงของเธอก็คือพันธมิตรทางการเมืองชาติตะวันตกกับญี่ปุ่นที่เธอสงวนจุดต่าง ไม่แสดงจุดยืน ที่ไม่สอดคล้องกับกระแสการเมืองหลักในโลกตะวันตก

ยิ่งไปกว่านั้น องค์กรสิ่งแวดล้อมที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ องค์กรกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ หรือกรีนพีซ ก็เงียบกริบต่อการกระทำที่ร้ายแรงครั้งนี้ของญี่ปุ่น


แต่กลับโวยวายเสียงดังเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในประเทศที่พัฒนา ซึ่งเกิดจากการพัฒนาของโลกตะวันตก การย้ายอุตสาหกรรมที่มีมลพิษไปตามภูมิภาคต่างๆ ของโลกแทน แต่เรื่องที่ใหญ่กระทบกระเทือนโลกทั้งโลก กลับเงียบสนิท ไม่พูด

การตัดสินใจของญี่ปุ่นในการปล่อยน้ำที่ปนเปื้อนนิวเคลียร์ลงสู่มหาสมุทร เป็นการกระทำอย่างรุนแรงที่เห็นแก่ตัวมากของญี่ปุ่น ทำลายมนุษยชาติ พฤติกรรมนี้ขาดศีลธรรม ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบใดๆ

มีรายงานการรับรองจากองค์กรที่มีอำนาจระหว่างประเทศ คือสำนักงานพลังปรมาณูระหว่างประเทศ ที่มีสำนักงานถาวรที่ฟุกุชิมะ และนายราฟาเอล กรอสซี เป็นผู้อำนวยการใหญ่ ได้ช่วยญี่ปุ่นไฟเขียวแผนการปล่อยของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ได้เผยแพร่การรายงานการประเมินอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการปล่อย ก็คือช่วยเหลือกัน


สรุปแล้วแนวทางในการปล่อยน้ำผ่านการบำบัด ALPS ลงสู่ทะเล และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยเทปโก้ NRA และรัฐบาลญี่ปุ่นนั้น สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง และจากการประเมินครอบคลุม IAEA ได้สรุปว่าการปล่อยน้ำบำบัด ALPS ตามที่เทปโก้วางแผนในปัจจุบันจะมีผลกระทบทางรังสีวิทยาเพียงเล็กน้อย

ท่านผู้ชมครับ งานนี้ทำให้นายกรอสซี ถูกรายล้อมไปด้วยฝูงชนที่สนามบินเกาหลีใต้ โดนนักข่าวเกาหลีตั้งคำถามตรงๆ ว่าเขารับสินบน มีข่าวว่าเขาได้รับสินบน 1 ล้านยูโร จากรัฐบาลญี่ปุ่นหรือไม่ เขาตอบอย่างไร ? เขาใส่ตีนหมาวิ่งหนีออกจากสนามบิน มีหน่วยรักษาความปลอดภัย 80 คน คุ้มกัน


พฤติกรรมของผู้อำนวยการ IAEA สะท้อนให้เห็นถึงการครอบงำของอเมริกาที่อยู่เบื้องหลัง นายกรอสซี ไม่กล้าขัดขืนเพราะกลัวจะโดนคุกคาม เหมือนกรณีนายโฮเซ มุสตานี ที่ถูกถอดถอนจากผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการเทคนิค องค์กรห้ามอาวุธเคมี หลังจากที่เขาปฏิเสธที่จะยืนยันว่าอิรักครอบครองอาวุธเคมี

ท่านผู้ชมครับ การปล่อยน้ำทิ้งปนเปื้อนสารกัมมันภาพรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ของญี่ปุ่นครั้งนี้ คือโศกนาฏกรรมของโลกที่จะส่งผลกระทบต่อเนื่องยาวนานไปอีกหลายสิบปี หรือเป็นร้อยปี โดยมีผู้นำองค์กรระหว่างประเทศบางคน พันธมิตรชาติตะวันตกต่างมีฉันทามติไฟเขียวเกี่ยวกับปัญหาการปล่อยน้ำที่ปนเปื้อนนิวเคลียร์ลงมหาสมุทร ของญี่ปุ่น ระหว่างการประชุม G7 เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่เมืองฮิโรชิมา

เพราะฉะนั้นแล้วคนที่ยังเชื่องมงายกับเรื่องเล่าด้านสิ่งแวดล้อมที่เผยแพร่โดยชาติตะวันตก ผ่านนักการเมือง สื่อ องค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม ต้องรู้ว่าพวกชาติตะวันตกเพียงต้องการใช้ประเด็นการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นอาวุธทางการเมืองของตัวเอง เพื่อปราบปรามประเทศกำลังพัฒนา เป็นเครื่องมือยุยงให้เกิดความไม่สงบในสังคมประเทศเหล่านั้น ถ้าเป็นตัวจริงเสียงจริง รักสิ่งแวดล้อม ทำไมประเทศตะวันตก องค์กรสิ่งแวดล้อม สื่อมวลชน กลุ่มคนเหล่านี้ ถึงนิ่งเงียบในประเด็นญี่ปุ่นปล่อยน้ำที่ปนเปื้อนนิวเคลียร์ลงมหาสมุทร สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่า เพียงเพราะเขามีเจ้านายคนเดียวกันอยู่เบื้องหลังเท่านั้นเอง นั่นคือสหรัฐอเมริกา

ญี่ปุ่นกระทำความผิดกับอเมริกาและชาติตะวันตกที่สนับสนุน โดยสมรู้ร่วมคิดอย่างไร้ยางอายและไม่รับผิดชอบ เมื่อสหรัฐฯ ให้ไฟเขียวกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจะตอบสนองทางยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก อย่างไม่ต้องสงสัย

ศูนย์วิจัย GMR ของเยอรมนีชี้ให้เห็นว่าเมื่อญี่ปุ่นเริ่มปล่อยน้ำปนเปื้อนนิวเคลียร์ พื้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นพื้นที่ตะวันออก และตอนเหนือของญี่ปุ่น สารกัมมันภาพรังสีจะแพร่กระจายไปยังมหาสมุทร ส่วนใหญ่ภายใน 57 วัน รายงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิงหัว ประเทศจีน ระบุว่า น้ำที่ปนเปื้อนนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นจะไปถึงชายฝั่งจีนแผ่นดินใหญ่หลังจากผ่านไปแล้ว 240 วัน และหลังจากผ่านไปแล้ว 1,200 วัน หรือประมาณ 4 ปี หรือประมาณ 3 ปีกว่า น้ำจะไปถึงชายฝั่งอเมริกาเหนือ และครอบคลุมแปซิฟิกเหนือทั้งหมด


ท่านผู้ชมครับ วิธีจัดการต่อการก่อภัยพิบัติครั้งนี้โดยน้ำมือของรัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายคิชิดะ และบริษัท โตเกียว อิเล็กทริก เทปโก้ นายทุนใหญ่ของโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ คือทุกคนที่เดือดร้อนในแต่ละประเทศที่ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ต้องฟ้องร้องเป็นคดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อสั่งสอน ลงโทษญ๊่ปุ่น ที่เป็นประเทศที่ไร้ยางอาย ให้ชดใช้และคืนเงินที่ไร้หัวใจของพวกเขาในราคาที่ญี่ปุ่นจะรับไม่ไหว และประเทศต้องรับผลกระทบต่างๆ ต้องสั่งห้ามอาหารทะเลจากญี่ปุ่นเข้าประเทศ โดยเด็ดขาด ผมรู้ ท่านผู้ชมครับ ผมเองก็ชอบไปเที่ยวญี่ปุ่น แต่การกระทำของญี่ปุ่นในครั้งนี้ แม้กระทั่งชาวญี่ปุ่นเองทุกวันนี้ ท่านผู้ชมรู้ไหม เวลาไปซื้อปลาในห้างสรรพสินค้า ยังเลือกซื้อปลาที่มาจากต่างประเทศ ไม่ใช่ปลาของญี่ปุ่นเอง

ท่านผู้ชมครับ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราต้องแสดงจุดยืนของเราให้ชัดเจน ญี่ปุ่นวันนี้เป็นภัยอันตรายที่ร้ายแรงต่อประชาคมโลก นายกรัฐมนตรีคิชิดะ สมควรที่จะกระทำเซ็ปปูกุ ท่านผู้ชมเข้าใจคำว่าเซ็ปปูกุ ไหม ? เซ็ปปูกุ คือการคว้านท้องตัวเองเพื่อรับผิดชอบต่อการกระทำที่ทำผิด นี่ล่ะครับท่านผู้ชม เดินตามก้นของอเมริกาที่ใช้ภูมิรัฐศาสตร์ทางการเมือง ให้ญี่ปุ่นได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แล้วให้ญี่ปุ่นทำตามที่ตัวเองต้องการในเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์การเมือง ทั้งในการสนับสนุนยูเครนให้ต่อสู้ต่อไป ส่งความช่วยเหลือไป แล้วก็เป็นเครื่องมือ เป็นสุนัขรับใช้ให้อเมริกาในการปิดล้อมประเทศจีน

ท่านผู้ชมครับ วันนี้เป็นวันแรกของเดือนกันยายน รายการวันนี้ก็มีเพียงแค่นี้ แต่ก่อนไป ท่านผู้ชมอย่าลืมเป็นอันขาด "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ซื้อให้พ่อให้แม่ ให้ลุงป้าน้าอา หรือตัวเองทานก็ได้ วันละซอง ทานตอนบ่าย เราไม่ได้ขายแยกซอง เราขายทั้งกล่อง ผมทานมาสามปีกว่าแล้ว ท่านผู้ชมครับ ยาอายุวัฒนะ พฤศจิกายนนี้ ผมจะครบ 75 แล้ว ย่าง 76 ท่านผู้ชมว่าคนอายุ 75 ย่าง 76 อย่างผม ทำไมถึงดูสดใส สองประการที่ดูสดใส ประการแรก ผมทานยาอายุวัฒนะทุกวัน เหมาะกับผู้สูงวัยทุกคน ประการที่สอง ผมปฏิบัติธรรมและผมเป็นคนที่ปล่อยวางได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม อย่าลืมนะครับท่านผู้ชม ซื้อให้ญาติพี่น้อง คนอายุมาก

สำหรับวันนี้ก็มีเพียงแค่นี้ครับ อาทิตย์หน้าก็จะมีเรื่องราวที่สนุกสนานอีก อาทิตย์หน้าผมจะเอา "ตั๋วปารีส ภาค 2" ถ้ามีเวลามากพอ ออกมาเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น