xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : คำเตือนถึง “นช. ทักษิณ” ระวังบ้านเมืองลุกเป็นไฟ! - ปิดฉาก 3 ป. “บิ๊กป้อม” จบไม่สวย - ปชป. สูญพันธุ์ - “ก้าวไกล” ก้าวผิด “พิธา นายกทิพย์” - จีนเผยไต๋ ระบบป้องกันรับมือนาโต้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 25 ส.ค.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้เป็น

- ปิดฉาก 3 ป. “บิ๊กป้อม” จบไม่สวย
- ปชป.สูญพันธุ์
- “ก้าวไกล” ก้าวผิด “พิธา นายกทิพย์”
- จีนเผยไต๋ ระบบป้องกันรับมือนาโต้แปซิฟิก
- คำเตือนถึง “นช. ทักษิณ” ระวังบ้านเมืองลุกเป็นไฟ!

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.203



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 204 [25ส.ค. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน :SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean :SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2566 ช่วงนี้จะมีเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและน่าติดตามหลายๆ เรื่อง และขอสวัสดีแฟนๆ รายการที่รับชมสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok

ก่อนที่จะเข้าไปสู่เรื่องราวที่จะพูดในอาทิตย์นี้ ซึ่งมีหลายเรื่องและน่าสนใจทุกเรื่อง ขอเรียนให้ทราบว่ามีคนถามผมมาเยอะว่าที่มาของ "พระสยามพุทธาธิราช" นั้น คิดออกมาอย่างไร ใครเป็นคนคิด ?


ท่านผู้ชมครับ การสร้างพระพุทธรูปเป็นการสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ เพราะเป็นการสร้างองค์สัญลักษณ์ของพระพุทธคุณ อันได้แก่ พระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และ พระมหากรุณาธิคุณ แผ่พุทธานุภาพปกป้องคุ้มครองสังคมให้ร่มเย็นเป็นสุข เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้สร้างต้องมีจิตใจบริสุทธิ์ ประกอบด้วยศีลธรรมอันงาม ตามด้วยประเพณีโบราณ อย่าว่าแต่การสร้างพระพุทธรูปเลย เพียงแค่การสร้างเครื่องไม้แขวนระฆัง ช่างยังต้องบำเพ็ญเพียรศีลภาวนาให้จิตบริสุทธิ์ มีคนเล่าขานมาตามธรรมเนียมคนจีนโบราณว่า ช่างไม้คนหนึ่งแกะสลักไม้สำหรับแขวนระฆังได้สำเร็จ ทุกคนที่ได้เห็นต่างอัศจรรย์ใจ ราวได้เห็นผลงานเนรมิตของเทพยดา เมื่อขุนนางคนหนึ่งเห็นเข้าก็เลยถามว่า เจ้าประดิษฐ์งานศิลปะนี้ขึ้นได้อย่างไร ช่างไม้ตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นช่างไม้ธรรมดาๆ จะมีศิลปะวิทยาสูงส่งได้อย่างไรเล่า แต่มีสิ่งหนึ่งจะบอกเล่าได้ คือก่อนเริ่มลงมือทำที่แขวนระฆัง ข้าพเจ้าได้ถือศีล ทำสมาธิ ชำระจิตใจจนกระทั่งปลอดโปร่ง เมื่อถือศีลได้ 3 วัน ความคิดคำนึงเกี่ยวกับคำชมเชย หรือรางวัล ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็สลายสิ้นไป เมื่อถือศีลได้ 5 วัน ก็สลัดทิ้งความวิตกกังวลในเรื่องของคำตำหนิหรือวิจารณ์ใดๆ ที่มีต่อผลงาน พอถือศีลได้ 7 วัน สมาธิ จิต ก็แน่วแน่จนลืมสิ้นแม้กระทั่งองคาพยพต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าแขน ขา เรือนกาย ราวกับว่าว่างจากตัวตน ในเวลานั้นแม้แต่พระราชาและขุนนางใหญ่ ต่างเลือนหายไปสิ้นจากวงความคิดของข้าพเจ้า ดวงจิตข้าพเจ้านิ่งเป็นหนึ่งเดียว สิ่งภายนอกไม่อาจจะเข้ามารบกวนได้ จากนั้นข้าพเจ้าจึงจาริกสู่ป่าเขา เสาะแสวงหาต้นไม้ที่มีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยม เมื่อพบแล้วข้าพเจ้าได้เพ่งดูจนลืมรูปทรงท่อนไม้นั้นไป ข้าพเจ้าเห็นเพียงแต่ที่แขวนระฆังปรากฏชัดเจน จึงลงมือแกะสลัก ด้วยญาณเช่นนี้ข้าพเจ้าจึงสามารถประสาน "สิ่งวิเศษ" เข้ากับ "สิ่งวิเศษ" สรรค์สร้างผลงานที่สะกดให้ผู้คนตะลึงได้

ท่านผู้ชมครับ กรณีสร้างพระพุทธรูปก็เช่นกัน เมื่อคนสร้างตั้งจิตอันเป็นกุศล ได้สร้างแบบพระพุทธรูปขึ้นมาแล้ว พระพุทธเนมิตกนามแห่งพระพุทธปฏิมานั้นก็ปรากฏขึ้นประจำพระองค์ด้วย ดังนั้น พระพุทธรูปางทรงเครื่องพระมหาจักรพรรดิ์ธรรมิกราชาธิบดินทร์พระองค์นี้ จึงมีพระเนมิตกนามปรากฏตามเจตนารมณ์ของผู้สร้างว่า "พระสยามพุทธาธิราช" เพื่อเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ส่งเสริมเทวฤทธิ์แห่งพระสยามเทวาธิราชในการพิทักษ์คุ้มครองชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ยั่งยืนสืบไปชั่วนานแสนนาน


ตอนนี้ต้องเรียนให้ท่านผู้ชมทราบว่ายอดจองพระเข้ามาเยอะมาก เหลือยอดจะจองได้จริงไม่กี่พันชุดเอง ผู้ที่ทำบุญ 2,000 บาท จะได้รับพระสยามพุทธาธิราช 1 ชุด ซึ่งประกอบด้วย พระผง 1 องค์ เหรียญโลหะ 1 องค์ ท่านผู้ชมที่ยังสนใจอยู่ รีบเร่งเข้ามานะครับ ตอนนี้เปิดให้พรีออเดอร์ที่ไลน์ (LINE) @tambum เราสร้างไว้ 20,000 ชุด แต่ใน 20,000 ชุดนั้น เราเก็บไว้ 2,000 ชุด สำหรับแจกพวกกรรมการ ตลอดจนวัดวาอารามต่างๆ ที่เรากำหนดเอาไว้ ส่วนที่เหลืออีก 18,000 ชุด เราถึงเปิดให้ท่านผุ้ชมได้สั่งจองมา ปรากฏว่าจองไปแล้ว 11,000 ชุด เหลือแค่ 7,000 ชุดเอง ระยะเวลาที่จะถึง ช่วงที่จะต้องทำกฐินนั้นก็มีอยู่ไม่มากแล้ว ประมาณเดือนกว่าๆ นิดๆ กันยายน หรือ 1 เดือนกับอีก 2 อาทิตย์ เราคิดว่าหมดแน่นอน เป็นเพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้ท่านผู้ชมได้รับโดยเร็ว ได้สั่งจอง โดยที่หมดแล้วหมดเลย ไม่มีการทำเพิ่มเติม

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ขออนุญาตแนะนำอะไรหลายอย่าง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมเรื่องสุขภาพ ช่วงนี้ก็ต้องอดทนกันนิดหนึ่ง ขอแนะนำสินค้าที่มีประโยชน์ต่อท่านผู้ชม อันแรกที่ผมอยากจะแนะนำคือ SABAI CBD PLUS REFRESHING BODY SPRAY ตอนนี้เข้าหน้าฝนเต็มรูปแบบแล้ว แต่อากาศยังร้อนอบอ้าว วิธีแก้ง่ายๆ ให้ใช้สเปรย์ดับร้อน SABAI CBD PLUS REFRESHING BODY SPRAY ฉีดเพิ่มความสดชื่นให้ผิวกาย


เป็นสเปรย์ที่ให้ความชุ่มชื้น ลดกลิ่นเหงื่อ ช่วยให้ผ่อนคลาย บรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรม ลดอาการปวดเมื่อย ท่านผู้ชมที่ทำงานออฟฟิศ นักออกกำลังกาย นักวิ่ง ต้องใช้นะครับ รู้สึกเมื่อยเมื่อไรหยิบมาฉีดได้ทันที ไม่เลอะมือ ใครสนใจสั่งซื้อได้ที่ไลน์ @Sunherb หรือจะเข้าไปชมสินค้าทั้งหมดได้ทางเว็บไซต์ www.sunherbth.com อีกทางหนึ่งคือ Shopee, Lazada แล้วเสิร์ชคำว่า "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์"

อีก 1-2 เรื่องคือ ผมมีเครื่องล้างผักของ ManNature มานำเสนอ โดยมีขายอยู่ที่ร้าน "พอดีช้อป" เครื่องล้างผักนี้คือ ManNature ULTRASONIC HYDROXY เครื่องนี้ใช้ระบบ ULTRASONIC HYDROXY ในการล้างทำความสะอาด ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานในการใช้ทำความสะอาดผัก ผลไม้ เพื่อส่งออกต่างประเทศ เครื่องนี้สามารถขจัดสารเคมี เชื้อรา แบคทีเรีย เพลี้ย พยาธิที่ตาเปล่ามองไม่เห็น ให้ออกจากผัก ผลไม้ ที่เราจะรับประทาน นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ล้างเนื้อสัตว์ หรืออาหารทะเล เพื่อขจัดสารฟอร์มาลีน และสารเร่งเนื้อแดง

เครื่องนี้ท่านผู้ชมไม่ต้องกังวลว่าจะใช้งานยาก เพราะเครื่องนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย กดปุ่มเลือกฟังก์ชันที่ต้องการจะใช้เครื่อง ก็ทำการล้างผัก ผลไม้ ให้โดยอัตโนมัติ ถ้าสนใจเร่งหน่อย เพราะมีโปรโมชันพรีออเดอร์ในราคา 7,900 บาท ราคาเต็มคือ 11,900 บาท ซื้อแล้วยังได้รับฟรี "เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ ManNature" มูลค่า 2,990 บาท อีก 1 เครื่อง ถ้าท่านต้องการผ่อน ผ่อนได้ ดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 3 เดือน รีบหน่อยนะครับ โปรโมชันนี้เริ่มจากวันนี้ถึงวันที่ 30 กันยายน เท่านั้น ท่านที่สนใจ โทรศัพท์สอบถามรายละเอียดได้ที่ พอดีคอลเซ็นเตอร์ 02-633-5353


ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้มันมีหลายเรื่อง เรื่องแรกที่ผมจะพูดคือ การก้าวสู่บริบทใหม่ทางการเมืองไทย ช่วงเย็นวันพุธที่ 23 สิงหาคม เมื่อวานซืนนี้ พรรคเพื่อไทยมีพิธีสำคัญ คือ นายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย

เรื่องที่สอง จะไม่พูดเรื่องนี้ก็ไม่ได้ เพราะผมจะย้อนรอยความผิดพลาดของพรรคก้าวไกล ที่ทำให้คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กลายเป็นนายกฯ ทิพย์

เรื่องที่สาม ปิดฉาก 3 ป. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ป. สุดท้าย จบไม่สวย จบไม่สวยอย่างไรเดี๋ยวผมจะเล่าเบื้องหน้าเบื้องหลังให้ฟัง ซึ่งไม่ค่อยมีใครทราบในเรื่องนี้ รวมไปจนถึงจุดที่เรียกว่าบทบาทของ "บิ๊กป้อม" ที่จะมีต่อการเมืองในเมืองไทยนั้น น่าจะสิ้นสุดลงแล้ว และที่สำคัญที่สุดก็คือ มีบทพิสูจน์ได้ว่า ในเชิงทางการเมืองไม่มีใครรักใครจริง วันนี้คนที่สนิทกับบิ๊กป้อม ไม่ว่าจะเป็น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สันติ พร้อมพัฒน์ ทุกคนต่างเทบิ๊กป้อมทิ้งหมดแล้ว วิ่งเข้าไปหาพรรคเพื่อไทยเพื่อขอตำแหน่ง

เรื่องที่สี่ มีข่าวล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ว่านายเยฟกินี ปรีโกจิน ซึ่งเป็นนายใหญ่วากเนอร์ เป็นหนึ่งในผู้โดยสารที่เครื่องบินตก แล้วรัสเซียก็ยืนยันว่าเสียชีวิตแล้ว ระหว่างที่บินจากกรุงมอสโก ไปยังกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งเดี๋ยวจะพูดให้ฟังว่าเรื่องราวแบบนี้มีมิติอะไรบ้าง และจะขยายความให้ฟังในอาทิตย์หน้า

เรื่องที่ห้าก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน ผมเอาเบื้องหลังเบื้องลึกว่าประเทศจีนได้เผยไต๋ระบบป้องกันสุดล้ำเพื่อรับมือนาโตเอเชีย แล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะทำไมจู่ๆ ประเทศจีนถึงกล้ามาเปิดเผยสิ่งที่ตัวเองเตรียมรับการบุกของโลกตะวันตกที่นำโดยสหรัฐอเมริกา แล้วมีพรมเช็ดเท้า 2-3 ผืน ผืนแรกคือฟิลิปปินส์ ผืนที่สองคือเกาหลีใต้ และผืนที่สามคือญี่ปุ่น

เรื่องสุดท้าย น่าจะเป็นเรื่องที่ท่านผู้ชมสนใจมากๆ คือเรื่องทักษิณ กลับมาติดคุกที่ประเทศไทย ตั้งแต่วันอังคารที่ 22 สิงหาคม 2566 แล้วผมก็มีเรื่องที่จะฝากไปถึงท่านนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คุณเศรษฐา ทวีสิน ด้วยครับ

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา คุณเศรษฐา ได้กล่าวน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แล้วก็ได้แถลงเปิดใจ รายละเอียดมีเยอะมาก ซึ่งผมก็คิดว่าผมจะไม่ลงรายละเอียดไปให้มาก แต่ผมจะเอาข้อความที่สำคัญที่สุดที่ผมคิดว่าเป็นการสรุปทุกอย่างที่คุณเศรษฐา พูดออกมา คุณเศรษฐา สรุปจบรายละเอียดที่ตัวเองชี้แจงว่า "ผม นายเศรษฐา ทวีสิน จะขอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเท ทำงานหนัก รับฟังเสียงของประชาชน นำความสามัคคีกลับคืนสู่คนในชาติ นำพาประเทศไทยไปข้างหน้า และสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับลูกหลานของพวกเราทุกคน นับจากวันนี้เป็นต้นไป ขอบคุณครับ"

ก็เป็นคำพูดที่ เมื่อผมเอาสุดท้ายของการสรุปมาแล้ว ก็เป็นคำพูดที่ค่อนข้างที่จะชัดเจน แล้วก็ชัดเจนในลักษณะที่สรุปง่ายๆ ว่า นี่คือสิ่งที่คุณเศรษฐา เขาอยากจะทำ


ปิดฉาก 3 ป. "บิ๊กป้อม" จบไม่สวย

แต่ก่อนที่จะมีวันนี้ วันพุธที่ผ่านมานี้ ที่คุณเศรษฐา รับพระบรมราชโองการให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอยู่เยอะเลยที่เกิดขึ้น ท่านผู้ชมจำได้ไหมครับ วันที่ลงคะแนนเสียงโหวตเลือกนายกฯ นั้น เป็นที่น่าสังเกตมาก คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ท่านไม่ได้มาปรากฏตัวในสภาฯ เลย และจากวันนั้นถึงวันนี้ ท่านยังเงียบสนิท

ชนวนเหตุที่ส่อเค้าลาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จบเส้นทางการเมืองไม่สวยหรู จากการว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ซึ่งตอนนั้นคุณเศรษฐา กำลังถูกเสนอชื่อ แล้วมีท่านกูรู กูรู้ หลายท่านฟันธงบอกว่า คนนี้ล่ะที่จะเป็นตัวจริง ก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่นเอง ทุกคน แม้กระทั่งคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตอนแรกก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ตอนหลังก็ชู พล.อ.ประวิตร อย่างเต็มตัว หรือว่ากูรูบางท่านที่มีฉายาว่า "ลุงเต้า" เดิมทีก็เชียร์พิธา สุดลิ่มสุดประตู หลังจากพิธา หลุดไปแล้วก็หันมาเชียร์ พล.อ.ประวิตร พอ พล.อ.ประวิตร จบไม่สวยก็ชิ่งตัวเองมาเชียร์เศรษฐา แล้วตอนนี้ แล้วเรื่องนี้ผมมีข้อคิดเยอะ เอาไว้รอตอนจบรายการนี้ผมจะอธิบายข้อคิดของผม และความในใจของผม ปรากฏว่าวันนี้บิ๊กป้อมกลายเป็นไม่ใช่ตัวจริง แต่สุดท้ายอาจจะกลายเป็น "ทหารแก่ที่จนแต้ม"


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผู้ซึ่งเคยอยู่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ยุค 3 ป. มาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา แต่วันนี้ท่านพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พล.อ.ประวิตร มีความใฝ่ฝัน ท่านใฝ่ฝันมากที่จะมีชื่อจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยสักครั้งหนึ่งในชีวิตก่อนจะตาย

ว่ากันว่า ในยุคหนึ่งสมัยหนึ่งมีคนพา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปพบสมเด็จ ซึ่งอดีตท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดยานนาวา ที่เขาเรียกว่า สมเด็จยานนาวา ซึ่งปัจจุบันท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพนฯ


ในการไปดูหมอครั้งนั้น สมเด็จเจ้าอาวาสวัดยานนาวาในขณะนั้นซึ่งยังอยู่วัดยานนาวา ซึ่งมีชื่อเสียงขจรกระจายไปทั่วทุ่งว่าท่านเป็นคนที่ดูหมอแม่นมาก ท่านดูหมอให้กับ พล.อ.ประวิตร ท่านบอกว่า พล.อ.ประวิตร จะได้ครุฑทอง 2 ตัว ในชีวิต ครุฑทองตัวแรกที่ได้ไปแล้ว คือ เป็นผู้บัญชาการทหารบก ส่วนครุฑทองตัวที่สองนั้น ก็หนีไม่พ้นความมุ่งมั่นที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุนี้คนใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร รวมทั้ง พล.อ.ประวิตร ก็มีความมั่นใจอย่างมากมายว่า อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นยังคงจะต้องมาที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ


ซึ่งตอนนั้น ถึงแม้ว่าเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ท่านถอยตัวออกจากการเมืองไปชัดเจนแล้ว ก็มีกระแสข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องว่า พล.อ.ประวิตร พร้อมวางมือทางการเมืองตามหลัง 2 ป. ซึ่ง ป. แรก คือ "ประยุทธ์" ป. ที่สอง คือ "ป๊อก" อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งคนๆ นี้ไม่ต้องการอะไรแล้ว เพราะพอการเมืองยุค 3 ป. จบ เขาก็พร้อมที่จะสลายไปกับเหตุการณ์ต่างๆ แล้วก็ไปใช้เงินใช้ทองที่ต่างประเทศ หรือที่เรียกว่าไป Enjoy Life ไปเดินที่ลอนดอน ไปเดินที่อเมริกา ท่านบิ๊กป้อมพร้อมวางมือทางการเมืองในขณะนั้นก็มีข่าวมาพร้อมกัน แล้วส่งไม้ต่อให้กับ ป. ที่ 4 น้องชายสุดที่รักอย่าง "บิ๊กป๊อด" หรือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ


แต่ถึงแม้มีข่าวอย่างนั้นออกมา ก็ไม่เคยมีคำตอบที่ตอบคำถามนี้อย่างชัดเจนจากบิ๊กป้อม แต่คนรอบข้างรู้กันดีมาตลอดว่า ความฝันที่จะนั่งนายกรัฐมนตรีของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร ไม่เคยหายไปจากความตั้งใจที่แน่วแน่ และท่านก็มุ่งมั่นมาก ท่านคิดหาหนทาง กลวิธี เล่ห์เพทุบาย เพื่อส่งตัวเองเดินตามฝันให้สำเร็จลุล่วงมาตลอด คือพูดง่ายๆ ว่า พล.อ.ประวิตร ใฝ่ฝันว่าคุณเศรษฐา ทวีสิน จะไม่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะทางสาย พล.อ.ประวิตร คิดว่า ส.ว. ที่อยู่ในมือ และบวก ส.ว. ในสายของตัวเอง และสายของลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นมีมากพอที่จะบล็อกคุณเศรษฐา ทวีสิน (ท่านผู้ชมครับ ผมเกือบหลุดไปว่า เศรษฐา ศิริฉายา ไปหลายครั้ง ขอประทานโทษนะครับ)


จนกระทั่งเมื่อช่วงดึกของวันก่อนวันเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเลือกตั้งวันอังคารที่ 22 สิงหาคม ก่อนจะถึงเวลาโหวตนายกฯ คุณเศรษฐา ทวีสิน ลุงป้อมผู้มากบารมีก็ยังไม่ลดละความพยายาม ถึงขั้นเชิญและเรียก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น้องนุ่ง นายกรัฐมนตรี เข้าหารือด่วนที่บ้านป่ารอยต่อฯ ที่กบดานสำคัญ ใช้ความเป็นพี่น้องเจรจากัน ชักชวนให้ไปร่วมรบในเกมการเมืองครั้งใหญ่ โดย พล.อ.ประวิตร หวังว่า ส.ว. สายลุงตู่ ที่มีกว่า 100 ชีวิต ร่วมมือกันหักหลังพรรคเพื่อไทย ไม่หนุนนายเศรษฐา ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะทำให้เพื่อไทยนั้นหมดโอกาสไป เพราะว่าการเสนอชื่ออุ๊งอิ๊ง ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะว่าครอบครัวอุ๊งอิ๊ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก ตลอดจนคุณทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้อุ๊งอิ๊งเป็นนายกฯ

ด้วยเหตุนี้ พล.อ.ประวิตร คิดว่าถ้าคว่ำเศรษฐา แล้ว และรู้อยู่แล้วว่าทักษิณ และพจมาน ไม่ต้องการส่งลูกสาวสุดที่รัก คือ แพทองธาร ชินวัตร มาเป็นตัวประกันทางการเมือง เป็นนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางกระแสที่ตกต่ำของพรรคเพื่อไทย เพราะฉะนั้นแล้ว พล.อ.ประวิตร ก็หวังจะรับไม้ต่อจากพรรคเพื่อไทย แล้วส่งตัวเองขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอย่างเต็มภาคภูมิ ถึงแม้อาจจะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ขอให้มี ส.ว. ทั้งสายลุงตู่ และสายลุงป้อม แบ็กให้ตัวเองขึ้นมานั้น ก็ย่อมเป็นไปได้ แต่ ... คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต สถานการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น

พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความจำเป็นใดๆ จะต้องทำตามเพื่อสานฝันพี่ของตัวเอง เนื่องจากว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับเก้าอี้สำคัญอย่างกระทรวงพลังงาน มากอดเอาไว้แนบอกเรียบร้อยแล้ว มิหนำซ้ำ แถมคนสนิทอย่างเช่นคุณสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ หรืออาจจะเป็นคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ก็ขึ้นแท่นชิงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกันอย่างที่ชัวร์ยิ่งกว่าชัวร์


เมื่อน้องตู่ไม่ตอบรับ ไม่ตอบรับเลย ก็คือกลับจากบ้านป่ารอยต่อฯ โดยที่พี่ป้อมนั้นผิดหวังไปหมด ก็เลยทำให้สถานการณ์ที่บ้านป่ารอยต่อฯ ตกอยู่ในสภาพเคร่งเครียดตลอดทั้งคืน ก่อนที่บิ๊กป้อมจะตัดสินใจวัดพลังตัวเอง เดิมพันด้วยเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการสั่ง ส.ว. สายทหาร เพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 6 รวมทั้ง ส.ว. สายตรงของตัวเอง ให้งดออกเสียง มิหนำซ้ำยังต่อสายหา ผบ.เหล่าทัพ ให้ร่วมด้วยช่วยกัน

เกมการเมืองเมื่อคืนวันที่ 21 ก็เป็นเกมการเมืองที่ตึงเครียด เพราะข่าวนี้ก็หลุดเข้าหูพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยก็เลยรู้ว่า พล.อ.ประวิตร เดินเกมแทงข้างหลัง มีความพยายามที่จะทำอะไรอยู่ในช่วงกลางดึก ที่บ้านป่ารอยต่อฯ กำลังเคร่งเครียด พรรคเพื่อไทยก็เครียดเช่นกัน จึงเป็นที่มาของการดีลข้ามขั้วระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ก่อให้เกิด "16 งูเห่า" จากพรรคประชาธิปัตย์ จากค่ายคุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน ส่งเข้าประกวด


เมื่อมีการทอดไมตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ ในสถานการณ์ที่เอาแน่นอนกับทหารแก่อย่างบิ๊กป้อมไม่ได้ 16 เสียงที่พร้อมจะยกมือให้ฟรีๆ ในตอนนี้แบบไม่มีเงื่อนไข (มีคำพูดติ่งออกมาว่า ยังไงอนาคตข้างหน้าถ้ามีตำแหน่งเหลือให้พวกผม ก็อย่าลืมเก็บให้พวกผมบ้าง) แต่มีเงื่อนไขอย่างที่ผมเรียนว่า ปรับ ครม. งวดหน้า งูเห่าประชาธิปัตย์สายนายเฉลิมชัย ก็ขอสัก 1 รัฐมนตรีว่าการ และ 1 รัฐมนตรีช่วยฯ ถือเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่มักน้อยมากๆ ขอแค่ได้เข้าร่วมรัฐบาลก็ยังดีกว่าอยู่ฝ่ายค้านกับพรรคก้าวไกล แล้วปล่อยให้ปูชนียบุคคลอย่างเช่น ชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ซึ่งลงมติไม่เห็นชอบกับการโหวตให้นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี ให้กอดคอกินอุดมการณ์ต่อไป

สถานการณ์พรรคพลังประชารัฐย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง เมื่อต่างฝ่ายต่างวิ่งเข้าหาอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กลับไม่ใช่เป็นที่ตั้งอีกแล้วสำหรับคนพวกนี้ ทหารเอกของลุงป้อม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่เป็นตายร้ายดีอย่างไรในสายตาของสาธารณะแล้ว คือคนที่้ยืนหยัดต่อสู้ให้ลุงป้อม จะไม่มีวันทิ้งลุงป้อมไปอย่างเด็ดขาด ทะเลาะกับลุงตู่อย่างไรก็ตาม ลุงป้อมก็ออกมากางปีกปกป้อง รับกลับเข้ามาพรรคพลังประชารัฐ ให้อำนาจเต็มที่

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า วิ่งเต้น พยายามขอตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ รวมทั้งผลักดันเด็กในสังกัดของตัวเอง เช่น ไผ่ ลิกค์ ได้รัฐมนตรีช่วยอีกสัก 1 เก้าอี้ ส่วนคุณสันติ พร้อมพัฒน์ ก็ไม่น้อยหน้า วิ่งแจ้นไปหาผู้มีบารมีในตระกูลชินวัตร ทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองยังมีบุญวาสนาเป็นรัฐมนตรีอีกสัก 1 สมัย


และผมเชื่อว่า แม้แต่น้องชายอย่าง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ก็ยังมองว่าพี่ชายควรจะวางมือจากการเมือง และเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาสานงานต่อ เพราะ พล.ต.อ.พัชรวาท นั้น ล่าสุดก็ค่อนข้างจะแน่นอนแล้วว่าได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ

จากความพยายามมาทั้งคืนวันที่ 21 ดูเหมือนจะไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะช่วงเช้าอังคารที่ 22 สิงหาคม ที่ผ่านมา ที่จะมีการโหวตเลือกนายกฯ มีข่าวลือหนาหูว่า พล.อ.ประวิตร ในฐานะ ส.ส. บัญชีรายชื่อ จะไม่มาร่วมประชุมในการโหวตครั้งนี้ เมื่อถึงเวลาก็เป็นเช่นนั้นจริง รัฐสภาในวันนั้น 22 สิงหาคม ไร้เงาบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นอยู่ที่ว่าเมื่อการโหวตนายกรัฐมนตรีจบสิ้นลง ความศักดิ์สิทธิ์และความน่ากลัวในอำนาจบารมีของ พล.อ.ประวิตร ก็หมดลงไปด้วย เพราะตัวเลขที่ลงมติไม่เห็นชอบ งดออกเสียง ฟ้องออกมาทันทีว่ามีจำนวนน้อยนิด แค่ 81 เสียง จากจำนวน ส.ว. ทั้งหมด 250 เสียง ที่ย้อนแย้งกับคำพูดคุยโวของ พล.อ.ประวิตร เสียเหลือเกิน


ท่านผู้ชมครับ เมื่อเห็นคะแนนออกมาเป็นเช่นนี้ ก็เลยไม่น่าแปลกใจว่า พล.อ.ประวิตร จึงไม่กล้ามาร่วมในการโหวตครั้งนี้ เพราะถ้ามาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

เกมการเมืองในฝั่งพรรคเพื่อไทยจริงๆ แล้วก็ได้มีการหาทางหนีทีไล่เอาไว้แล้ว เผื่อโอกาสไว้ว่า พล.อ.ประวิตร จะสั่งพรรคพลังประชารัฐให้โนโหวต (No Vote) ทั้งพรรค ก็คือหายไปประมาณ 30 กว่าเสียง หรือ 40 เสียง ยังมีอีก 16 เสียง ของประชาธิปัตย์มาช่วยหนุน อีกทั้ง ส.ว. สายบิ๊กตู่ ก็มีการคอนเฟิร์ม ยืนยันว่าไม่มีปัญหา เพื่อไทยก็จะได้ถือโอกาสตัดพรรคพลังประชารัฐทิ้ง และนำพรรคประชาธิปัตย์เสียบแทน แถมยังได้เก้าอี้เหลือเอามาแจกพรรคอื่นอีก 2 ตัว

แต่ ... การเมืองไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร คนอย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หรือ สันติ พร้อมพัฒน์ ซึ่งในทางสาธารณะ ในทางเปิดแล้วยืนข้างบิ๊กป้อม ผมพร้อมจะตายกับท่าน ท่านไปไหน ผมไปด้วย ท่านดูแลผมมา ผมไม่ทิ้งท่านอย่างแน่นอน แต่พอเรื่องมาถึงตอนนี้ ทั้ง ร.อ.ธรรมนัส และลูกพรร ไหวตัวทัน พรรคพลังประชารัฐก็เลยไม่มีการแหกคอกเกิดขึ้น ก็เลยจับตาดูว่า ใน 2-3 วันนี้เพื่อไทยจะสุขสมหวังในตำแหน่งนายกฯ แล้วจะเอา 16 เสียงของพรรคประชาธิปัตย์มาเสียบแทนใครหรือไม่ ซึ่งมีเสียงในพรรคเพื่อไทยเยอะเลยที่บอกว่าถ้าอย่างนั้นตัดพรรคพลังประชารัฐออกไปเลย ให้ไปเป็นฝ่ายค้านกับพรรคก้าวไกล ซึ่งแน่นอนที่สุด คนที่เสียวสันหลังมากก็หนีไม่พ้น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ คุณสันติ พร้อมพัฒน์


เหมือนกับว่าจะมีผีซ้ำด้ำพลอยเกิดขึ้นมา คนเราเวลาดวงตก มันตกมาตลอด ท่านผู้ชมจำน้องเอ๋ได้ไหม คุณปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส. ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว บัญชีชื่อ "ปารีณา ไกรคุปต์" ซึ่งเป็นคลิปจากการให้สัมภาษณ์ทางสื่อมวลชนช่องหนึ่ง เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ก่อนวันลงมติเลือกนายกฯ โดยคลิปคุณปารีณา มีการอ่านใจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่าจะไม่ไปร่วมประชุมรัฐสภาในการโหวตเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งก็เป็นความจริง

พอผลการโหวตออกมา นายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภาถึง 482 เสียง และได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกฯ คนที่ 30 คุณปารีณา ก็เลยถือโอกาสโพสต์ถึง พล.อ.ประวิตร ว่า "เคยเห็นคุณลุงเศร้าเพียงเลือกตั้งซ๋อมภาคใต้..แพ้ ทุ่มทุน ทุ่มกาย ทุ่มใจ ทุ่มอำนาจพิเศษลงไปในพื้นที่ ก็..แพ้ เชื่อว่าวันนี้ หมดโอกาสเป็นนายกรู้สึกทั้งเห็นใจ ทั้งสะใจ เพราะวันนี้คุณลุงได้สัมผัสกับความพ่ายแพ้ เสียดาย..ไม่ได้สัมผัสรสชาติของการถูกอำนาจรัฐคุกคาม การถูกตำรวจด่า พูดจาไม่ดี กวนตีน และการใช้กำลังติดตามปารีณาไปทุกหนแห่งช่วงเลือกตั้งพี่ชาย น้ำตามันไกล ทำกันได้อย่างไร ไม่เหลือเหยื่อใย หัวใจสลาย ที่ผ่านมา อดทนยอมรับสภาพเบี้ยมาโดยตลอด แต่โดนคุกคามขนาดนั้น จิตใจทำด้วยอะไร #สัตถันดร"


เรียกว่าคุณเอ๋ ปารีณา สะบั้นความสัมพันธ์กับลุงป้อมอย่างเด็ดขาดแล้ว ก็ไม่ผิด เพราะฟังที่คุณเอ๋โพสต์แล้ว มีความรู้สึกว่าตัวเองในที่สุดแล้ว ตื่นขึ้นมาแล้วเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองเป็นเบี้ยของลุงป้อม ตอนที่ยังมีอำนาจวาสนาอยู่ ก็ทำงานรับใช้ลุงป้อม ใครมาแตะลุงป้อมไม่ได้ คุณเอ๋ ปารีณา ต้องออกมาฟาดฟันจนถึงพริกถึงขิง เรียกว่าเอาตัวเข้าแลกเลย เพื่อปกป้องและรักษาลุงป้อม แต่ในที่สุดแล้ว เมื่อพี่ชายคุณปารีณา ลงสมัครรับเลือกตั้งที่จังหวัดราชบุรี ก็โดนข่มขู่ ซึ่งคุณปารีณา ถึงจะไม่พูด ก็เข้าใจดีว่ามาจากสายของลุงป้อมนั่นเอง นี่คือความแค้น แค้นฝังใจเลย

ท่านผู้ชมครับ ในวันเลือกนายกฯ พล.อ.ประวิตร เคลื่อนไหว สั่งการต่างๆ ทำให้ภูมิธรรม เวชยชัย พรรคเพื่อไทย ระแวงว่าสุดท้ายเสียงจากพรรคพลังประชารัฐอาจจะไม่ลงมติให้ ก็เลยเป็นที่มาว่าภูมิธรรม เวชยชัย เรียกกลุ่มประชาธิปัตย์ ก๊วนเฉลิมชัย-เดชอิศม์ มาคุยไว้ก่อนเพื่อกันเหนียว และเห็นว่าคืนก่อนลงมติเลือกนายกฯ พล.อ.ประวิตร เรียก พล.อ.ประยุทธ์ ไปคุย แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เอาด้วย เพราะลึกๆ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่อยากได้ธรรมนัส กลับมาอีกครั้ง เพราะสองคนนี้ ระหว่างพลเอกคนหนึ่ง กับร้อยเอกคนหนึ่ง มีแค้นสั่งฟ้าที่ไม่มีวันจะเลิกรากันได้ เพราะถ้ากลับไปร่วมมือกับบิ๊กป้อมอีกที คนที่ประโยชน์ก็คือ ธรรมนัส พรหมเผ่า และ สันติ พร้อมพัฒน์


ท่านผู้ชมครับ เรื่องของลุงป้อมนั้น มันมีบทเรียนที่สำคัญมากที่จำเป็นต้องพูดในเรื่องนี้ ไม่พูดไม่ได้ ลุงป้อม นั้น ในทางส่วนนตัวกับคนใกล้ชิดที่คนรู้จักกัน ไม่ชอบเศรษฐา ทวีสิน พูดอยู่เสมอว่า นักธุรกิจจะมาบริหารชาติบ้านเมืองได้อย่างไร ไม่มีความรู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว คือลุงป้อมมองว่าตัวเองนั้นน่าจะมีคุณสมบัติที่จะบริหารชาติบ้านเมืองได้ดีกว่า แต่ลุงป้อมก็ลืมไปนิดหนึ่ง ว่าลุงป้อมนั้นมาบริหารบ้านเมือง 8 ปีที่ผ่านมา ก็มาจากสายทหารโดยตรง ก็ไม่เคยบริหารชาติบ้านเมืองมาก่อน เคยบริหารแค่กองทัพบกแค่นั้นเอง ไม่ได้ต่างอะไรกับเศรษฐา ที่บริหารบริษัท แสนสิริ ข้อแตกต่างก็คือว่า เศรษฐา มาด้วยความชอบธรรม ลุงป้อมมาด้วยการเอาปืนไปจ่อหัวชาวบ้านเขา ให้เขายอมรับ เพราะฉะนั้นแล้ว ข้อแตกต่างระหว่างลุงป้อม กับ เศรษฐา มันแตกต่างกันอย่างมากมายมหาศาล แล้ว 8 ปีที่ลุงป้อม ลุงตู่ และลุงป๊อก บริหารประเทศไทยมา 8 ปีกว่านั้น ก็ต้องดูว่าคนที่ทำงานได้จริงๆ และมีผลงานจริงๆ คือใคร แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ลุงป้อมแน่

เพราะฉะนั้นแล้ว การที่ลุงป้อมพูดอย่างนี้ออกมา มันก็เลยทำให้เกิดความร้าวฉานกันพอสมควร ท่านผู้ชมครับ บทเรียนของลุงป้อม พิสูจน์อะไรได้อย่างหนึ่งรู้ไหมท่านผู้ชม ? จนในที่สุดแล้ว เมื่อใดก็ตามที่คุณหมดรูป หมดทรง ร่วงหล่นลงมา ไม่มีอำนาจ ไม่มีบารมีแล้ว หลายๆ คนก็ต้องตีจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ตีจาก สันติ พร้อมพัฒน์ ก็ตีจาก แม้กระทั่งน้องชายตัวเอง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ในวันที่คุณเศรษฐา รับพระบรมราชโองการนั้น ก็ยืนอยู่ในกลุ่มของคุณเศรษฐา ด้วย จึงไม่ได้มีอะไรน่าประหลาดใจถ้าผมจะพูดออกไปว่า วันนี้จุดจบของลุงป้อมมาถึงแล้ว และคนที่เคยพึ่งพาบารมีลุงป้อม สมัยก่อนลุงป้อมบารมีสูงมาก จะให้ใครได้งานชิ้นไหน ก็สั่งไป เจ้ากระทรวงอื่นๆ เกรงอกเกรงใจก็ต้องให้กัน คนบางคนเป็นนักวิ่งเต้น ค้าขายมาตลอด ไม่รังเกียจที่จะเอ่ยชื่อ คือ นายบอย สกาย เอาเรือดำน้ำมาขายลุงป้อม ได้เงิน ได้งาน จากการที่การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ในนามของบริษัท สกาย ก็เพราะว่าลุงป้อมบอกเนวิน ชิดชอบ และบอกศักดิ์สยาม ชิดชอบ ไปว่างานชิ้นนี้ให้ยกให้กับ นายบอย สกาย เพราะฉะนั้นแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ นายบอย สกาย จากวันนี้ไปก็ต้องหาที่เกาะใหม่ และนี่คือวัฏจักร วนกันไปวนกันมาในอ่างของนักวิ่งเต้น ค้าขาย คนที่วิ่งเต้นประมูล ไม่ได้ประมูลด้วยฝีมือตัวเอง แต่ประมูลเพราะว่าอำนาจอิทธิพลทางการเมือง นี่เพียงแค่ตัวอย่างเดียว ยังมีอีกหลายตัวอย่างต่อมา หลายตัวอย่างที่ออกมา ที่ใช้บารมีของลุงป้อม เพื่อไปของานตามกระทรวงต่างๆ


ทุกอย่างเป็นเรื่องสมมุติหมด ท่านผู้ชม วันนี้เรามีความรู้สึกอึ้งกับอำนาจวาสนาบุญบารมีของคนๆ หนึ่ง แต่พอวันข้างหน้า คนๆ นั้นไม่มีอำนาจวาสนาและบารมีต่อไป คนๆ นั้น บ้านป่ารอยต่อฯ ที่เคยมีคนเข้าไปแน่นหนาสาหัส หัวกระไดไม่แห้ง นับจากนี้ไปจำนวนแขกที่ไปเยือนก็จะค่อยๆ ลดน้อยลงๆๆ

ทั้ง 3 ป. ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา นั้น ก็มีคนจ้องที่จะเช็กบิลอยู่เยอะมาก เฉพาะของลุงป้อมนั้น เรื่องนาฬิกาก็ยังไม่จบ ถึงแม้ว่าทางสายลุงป้อม และ พล.ต.อ.พัชรวาท อาจจะคุม ป.ป.ช. ได้ เพราะท่านประธาน ป.ป.ช. ท่านเป็นเด็กเก่าของ พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นหน้าห้อง พล.ต.อ.พัชรวาท แต่ท่านประธาน ป.ป.ช. ก็ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า อีก 2 ปี ท่านก็หมดอายุแล้ว เพราะท่าน 70 ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะไปต่อ เมื่อ ป.ป.ช. มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา พรรคการเมืองต่างๆ ผู้มีอำนาจต่างๆ ก็ดูออกว่าต้องเอาคนของตัวเองเข้าไปนั่งอยู่ใน ป.ป.ช. ท่านผู้ชมเชื่อผมสิครับ จะมีกระบวนการในการเช็กบิลทั้ง 3 ลุง ตู่ ป๊อก และ ลุงป้อม อย่างเป็นกระบวนการ ไม่จืดเลย เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่าทุกอย่างในโลกนี้มันอนิจจัง เคยมีอำนาจ หลงอยู่ในอำนาจ ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะพบจุดจบ ขนาดลุงป้อม ซึ่งควรจะถอยออกแล้วตั้งแต่ลุงตู่ถอย แต่ "ความอยาก" เป็นนายกฯ ความอยาก ความไม่พอ ความมีความรู้สึกตลอดเวลาว่าขอให้เป็นนายกฯ เพื่อเป็นเกียรติยศให้กับชาติตระกูล โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของชาติบ้านเมือง ยังอยู่ในใจของท่าน แล้ววันนี้ท่านก็ค้นพบ เจอสัจธรรมเข้าอย่างเต็มที่แล้ว


ท่านผู้ชมคงสงสัยว่าระหว่างผม กับลุงป้อม อายุห่างกันแค่ 2 ปี ทำไมถึงดูสดใส หน้าแดง เดินเหินสะดวกสบาย เดินขึ้นบันไดได้ไม่ต้องมีใครประคอง ความจำดี ผมจะบอกให้ลุงป้อมทราบ ผมทานยาลมฯ ของอาจารย์ปานเทพ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ผมทานมา 3 ปีแล้ว ถึงเวลาแล้วลุงป้อมน่าจะพักฟื้นร่างกาย ถ้าต้องการยาลมฯ เดี๋ยวผมส่งไปให้ทานฟรี วันละซอง ตอนบ่าย ชงน้ำร้อน แล้วจะไล่ลม เผลอๆ ทานไม่ถึง 6 เดือน แต่ต้องทานทุกวันนะลุงป้อม ไม่ถึง 6 เดือน ลุงป้อมจะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม เชื่อผมสิ

ปชป.สูญพันธุ์

วันนี้ผมต้องขอพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งหนึ่ง จริงๆ แล้วผมเคยเตือนแล้วเตือนอีก เตือนมาเป็นปี เตือนมาหลายปี น่าจะเกือบสิบปีแล้วด้วยซ้ำ ว่าพรรคเก่าแก่อย่างพรรคประชาธิปัตย์นั้น ถ้าไม่ปรับเปลี่ยน ยกเครื่อง จะต้องถึงวันนี้ที่แตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ววันนี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ให้เห็นชัดแล้ว


ก่อนโหวตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย คือนายเศรษฐา ทวีสิน นั้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์มีมติงดออกเสียงในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แต่มีผู้ใหญ่บางคนขออนุญาตที่ประชุมแล้วว่าจะโหวตไม่เห็นชอบ แต่ปรากฏว่าในการโหวตจริง ผู้ใหญ่ในพรรค คือนายชวน หลีกภัย และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน โหวตไม่เห็นชอบ 


โดยนายชวน ให้สัมภาษณ์หลังจากการโหวตว่าได้ออกตัวกับคนในพรรคไปแล้วตั้งแต่แรกว่าส่วนตัวจะโหวตไม่เห็นชอบ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ได้ต่อสู้กับพรรคเพื่อไทยมาตลอด 3-4 สมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคใต้ ขณะที่ ส.ส. อีก 6 คน โหวตงดออกเสียงตามมติพรรค ส่วน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่ 16 คน เป็นกลุ่มของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน โหวตเห็นชอบให้นายเศรษฐา ทวีสิน โดยตอนที่ประธานสภาฯ เรียกชื่อให้โหวต ปรากฏว่า ส.ส. ปชป. 14 ใน 16 คนของกลุ่มนี้ไม่อยู่ในห้อง จึงข้ามไป รอสุดท้ายแล้วค่อยมาลงเสียงตามหลัง เหมือนกับจะได้เด่นและแยกชัดว่ากลุ่มนี้คือกลุ่มที่โหวตเห็นชอบ อย่างนี้เรียกว่าจะแปลงร่างจากแมลงสาบมาเป็นงูเห่าได้หรือเปล่า ส.ส. กลุ่มนี้ผมไม่ต้องอ่านชื่อหรอกนะครับ เพราะยาวเหลือเกิน เอาเป็นว่าเป็นกลุ่มของนายเดชอิศม์ และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน


ส่วนเบื้องหลังพรรคประชาธิปัตย์โหวตสวนมติพรรคนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนจะมีการโหวต แกนนำกลุ่ม คือนายเดชอิศม์ และนายชัยชนะ ได้หารือกับแกนนำพรรคเพื่อไทย คือ นายภูมิธรรม เวชยชัย ว่าเสียงยังก้ำกึ่ง พวกตนพร้อมจะโหวตเติมให้ได้ แต่ต้องได้ร่วมรัฐบาลนะ ทางกลุ่มที่โหวตสวนมติพรรคจึงไม่ได้แสดงตนในที่ประชุม กลับนั่งรวมตัวข้างนอก จนเมื่อทราบว่าผลการโหวตเสียงเกิน 375 เสียง ที่โหวตให้นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้เสียงสนับสนุนทั้งสองสภา 482 เสียง ก็ได้มีการพูดคุยกับแกนนำเพื่อไทยว่ายังจะโหวตเห็นชอบ โดยขอให้เป็นอะไหล่ ก็เปลี่ยนจากแมลงสาบมาเป็นงูเห่า แล้วก็มาเป็นอะไหล่แล้วตอนนี้ ในกรณีพรรคพลังประชารัฐ หรือภูมิใจไทย ต้องการจะเจรจาต่อรองขอกระทรวงเกรด A จากพรรคเพื่อไทย โดยทางกลุ่มของตัวเองพร้อมจะเสียบทันที จนเป็นที่มาของการโหวตสวนมติของพรรคประชาธิปัตย์ดังกล่าว

ส่วนคุณชวน หลีกภัย หลังการประชุมรัฐสภา ว่าไม่น่าเชื่อว่า ส.ส. พรรคฯ จะโหวตออกมาอย่างนี้ ประเด็นคือพอผลออกมาคนละทิศคนละทางแบบนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ไม่น่าจะแค่ริบหรี่ น่าจะดับแล้วตอนนี้ โดยเฉพาะการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ไมได้รับเลือกใน กทม. แม้แต่ที่นั่งเดียว แถมได้รับเลือกเข้ามาน้อยลงในภาคใต้ ซึ่งเป็นฐานการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ด้อยค่าลงไปอย่างมากในสายตาคนที่นิยมชมชอบพรรคประชาธิปัตย์ และยิ่งด้อยค่ามากลงไปอีก เมื่อการประชุมเลือกหัวหน้าพรรคล้มเหลว 2 ครั้ง และไม่มีทีท่าว่าจะเลือกหัวหน้าพรรคใหม่ได้เมื่อไร ประกอบกับความแตกแยกทางความคิดในการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ที่ปรากฏออกมาล่าสุด จนหลายคนคิดไม่ถึงว่าพรรคเก่าแก่ถึงขั้นเรียกว่าเป็นสถาบันการเมืองเช่นพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้


ท่านผู้ชมครับ ต้องเข้าใจเรื่องนี้ก่อน พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ต่อต้านพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แค่แนวความคิดว่า ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์บางส่วนจะโหวตให้พรรคเพื่อไทยนั้น มันก็เป็นที่น่าตกอกตกใจอยู่แล้วสำหรับคนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้หรือเป็นสาวกของพรรคประชาธิปัตย์ แต่พอวันนี้พิสูจน์ชัดเจนแล้ว ท่านผู้ชมจำคำพูดผมได้ไหม ? ว่าผลประโยชน์ทางการเมืองมันไม่เข้าใครออกใคร คุณจะเป็นพรรคเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย แล้วคุณก็จะหลงมะงุมมะงาหรากับเรื่องราวต่างๆ ในอดีตที่คุณภูมิอกภูมิใจนักว่าเป็นพรรคที่เก่าแก่ เป็นพรรคที่มีอุดมการณ์


ท่านผู้ชมครับ ผมเป็นคนหนึ่งในไม่กี่คนที่พูดชัดเจนมานานแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ไม่มีอุดมการณ์อะไรทั้งสิ้น แต่ละคนเอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว ที่น่าสนใจอย่างมากและมากที่สุดก็คือ พรรคประชาธิปัตย์เบี่ยงเบนไปจากอุดมการณ์ของตัวเองไปอย่างมากมาย ถึงแม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับการที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรค หรือนายกรัฐมนตรีคนต่อไป เพราะว่านโยบายของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนโยบายแนวเสรีนิยมสุดโต่ง ก็คืออิงสหรัฐอเมริกาชัดเจน แต่อย่างน้อยที่สุด คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังมีภาพของความมีคุณธรรม และเป็นภาพของคนที่ยืนหยัดในหลักการ ตั้งแต่แรกสุดที่ไม่ยอมให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าไปร่วม เพราะตัวเองบอกว่า รสช. การเลือกตั้งปี 2562 นั้น เป็นการเลือกตั้งที่มาจากการรัฐประหาร


วันนี้ ทางแก้ของพรรคประชาธิปัตย์ ผมไม่สามารถจะแนะนำอะไรได้ เพราะผมคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์จะแก้ไม่ได้ ถ้าตราบใดคนอย่างคุณชวน หลีกภัย หรือคนอย่างบัญญัติ บรรทัดฐาน หรือผู้ใหญ่ในพรรคหลายคน ยังไม่ยอมปรับตัวเปลี่ยนแปลง

ปรับตัวอย่างไร ? เปลี่ยนแปลงอย่างไร ? ก็คือว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องลาออก แล้วก็อย่าเข้ามาเล่นการเมืองอีกต่อไป เพราะตัวเองอยู่การเมืองในพรรคประชาธิปัตย์มาเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว เกือบ 50 ปีแล้ว ถึงเวลาที่ต้องลงให้คนรุ่นใหม่มา และเงื่อนไข กติกาต่างๆ ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ที่มีอำนาจในพรรคสร้างกติกาขึ้นมาเพื่อส่งเสริม ดูแล ปกป้องคนแก่ๆ ในพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นคนเก่าคนแก่ในพรรคประชาธิปัตย์ให้มีสิทธิ์ มีอำนาจ และมีตำแหน่งแห่งที่ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ จะยุคไหนสมัยไหนก็ตาม บัญชีรายชื่ออันดับ 1 ก็หนีไม่พ้นคุณชวน หลีกภัย อันดับ 2 ก็คือคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อันดับ 3 ก็คือคุณบัญญัติ บรรทัดฐาน อันดับ 4 ถึงจะเป็นคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เพราะฉะนั้นแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มองคุณภาพของคน แต่มองว่าคนๆ นี้เชื่อฟังคำสั่งของผู้ใหญ่ในพรรคหรือเปล่า และคนๆ นี้เป็นพวกใคร


ที่น่าสนใจคือ คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ที่โค่นล้มคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้นั้น คนที่หนุนหลังคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ก็หนีไม่พ้นคุณชวน หลีกภัย วันนี้ผมทราบมาว่าคุณชวน หลีกภัย กับคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ใส่รองเท้าคอนเวิร์ส เดินไปคนละทางกันแล้ว ด้วยเหตุนี้ผมจึงมีความเชื่อว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เฒ่าทั้งหลาย ไม่ยอมล้างมือ เดินออกจากพรรค อย่าไปยุ่งกับกฎกติกาในพรรค เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่จริงๆ ที่เข้ามาร่างกติกาที่เหมาะสมกับยุค กับสมัย แต่ยังต้องคงอุดมการณ์บ้านเมืองต่อไปว่า จะต้องเป็นอุดมการณ์ที่มั่นคงและแน่วแน่ ซึ่งผมเคยคิดอยู่ตลอดเวลาว่าพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าไม่เข้ามาร่วมกับรัฐบาลชุดนี้ ปล่อยให้เขา อย่างไรก็ตาม ผลก็ออกมาแล้วว่าถึงจะไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ คุณเศรษฐา ทวีสิน ก็ยังสามารถที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ตามกติกาของรัฐธรรมนูญของไทยปี 2560 และถ้าพรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดในความเป็นพรรคฝ่ายค้าน และยืนหยัดในการต่อสู้เพื่อหลักการ เพื่ออุดมการณ์


พรรคประชาธิปัตย์ร่ำรวยมามากพอสมควรแล้วใน 3 ปีกว่าที่ผ่านมา ที่กลุ่มของคุณเฉลิมชัย และกลุ่มคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เป็นผู้บริหารพรรค และอยู่ในวงการเมือง ในตำแหน่งที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นขุมเงินขุมทองทั้งสิ้น น่าจะพอแล้ว น่าจะสู้โดยที่ไม่มีผลประโยชน์ ยืนหยัดต่อสู้ให้ประชาชนเห็น แล้วก็เรียกคะแนนนิยมที่คนทิ้งประชาธิปัตย์ให้กลับมาหาตัวเองอีกครั้งหนึ่ง แต่การแตกพรรคของ 16 เสียง ของ ส.ส. พรรคสายคุณเฉลิมชัย ออกไปนั้น เท่ากับว่าเป็นการเผาบ้านตัวเอง และทั้ง 16 คน ก็ไม่ขัดข้องที่จะย้ายพรรค ล่าสุดได้ข่าวว่าพร้อมที่จะย้ายพรรคเข้าสู่พรรคภูมิใจไทย เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมยังคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์มีแสงริบหรี่อยู่หรือ ? ผมไม่คิดเช่นนั้น ผมคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์นั้น มืดบอดสนิท จะเหลืออยู่อย่างเดียว คือ ส.ส. ที่เหลือ จะกี่คนก็ตาม สมาชิกพรรคต้องฮึดสู้และยืนหยัดในอุดมการณ์ที่ตัวเองเคยมีอยู่มาตลอด ยึดถืออุดมการณ์นั้นอย่างมั่นคง มั่นคง พรรคประชาธิปัตย์นั้นเคยมีชื่อว่าเป็นพรรคที่ไม่โกงกินและไม่คอร์รัปชัน แต่ในช่วงหลังๆ นั้น ชื่อเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ฉาวโฉ่มาก จากการเข้าร่วมรัฐบาลชุดลุงตู่ที่ผ่านมานี้ ที่กำลังจะหมดอายุในเร็ววันนี้

เพราะฉะนั้นแล้ว โอกาสทางรอดพรรคประชาธิปัตย์มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นเอง กัดฟัน กลืนเลือด ยืนหยัดในอุดมการณ์เก่าๆ ที่รุ่นเก่าๆ ของพรรคประชาธิปัตย์สร้างขึ้นมา และที่สำคัญ คนรุ่นเก่าของพรรคประชาธิปัตย์ต้องถอยออกมาแล้ว อย่าทำตัวเป็น "แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน"

"ก้าวไกล" ก้าวผิด "พิธา นายกทิพย์"

ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้ผมกำลังจะมาย้อนรอยความผิดพลาดของพรรคก้าวไกล ทำให้คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ ทิพย์

คุณพิธา พยายามอย่างสุดความสามารถ คุยโวโอ้อวดให้ลั่นทั่วไปหมด ทั้งโซเชียลมีเดียของตัวเอง ของพรรคก้าวไกล ตามหน้าสื่อ วิ่งไล่ติดต่อ เรียกสื่อมวลชนต่างประเทศมาสัมภาษณ์ตัวเอง แต่สุดท้ายนายกฯ ที่ว่า ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีนะครับ แต่เป็น "นายกฯ ทิพย์" เพราะในที่สุดแล้วกลายเป็นคุณเศรษฐา ทวีสิน มี ส.ส. - ส.ว. ลงคะแนนให้ถึง 482 เสียง เทียบกับการโหวตของนายพิธา เมื่อ 13 กรกฎาคม ซึ่งได้เพียง 324 เสียง


หลังจากที่รู้ว่านายเศรษฐา ได้คะแนนเสียงโหวตจาก ส.ส. - ส.ว. เพียงพอจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้แล้ว นายพิธา รีบโพสต์ข้อความแก้เกี้ยวบนเฟซบุ๊ก และผ่านโซเชียลมีเดียของตัวเองทันที ผมจะไม่อ่านทั้งหมดก็แล้วกัน ผมเอาเฉพาะสรุปใจความให้ฟัง

คุณพิธา โพสต์ว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่มีจำนวนผู้แทนราษฎรเป็นอันดับหนึ่ง ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุด ถึง 14 ล้านเสียง คุณพิธา อ้างว่าสามเดือนที่ผ่านมาทุกองคาพยพของการเมืองไทยพร้อมใจกันปิดสวิตช์ก้าวไกล จนได้รัฐบาลลูกผสมข้ามขั้วที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ซึ่งขัดแย้งกับความรู้สึกของประชาชน จากนั้นนายพิธา ก็แช่งด้วยว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยติดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็ไม่มีวันที่พรรครัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้วที่นำโดยพรรคเพื่อไทยนี้ จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี หรือมีเกียรติมีศักดิ์ศรีใดๆ ก็ได้


ประโยคต่อมา คุณพิธา โพสต์ลงมาก็เริ่มยกหางตัวเองทันที ระบุว่า ท่ามกลางความสิ้นหวัง ความเสื่อมศรัทธาของประชาชนต่อการเมืองการปกครองที่เป็นอยู่ ก้าวไกลภายใต้การนำของผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะเป็นตัวแทนพลังใหม่ เป็นความหวังใหม่ที่เป็นที่หนึ่งในดวงใจของพี่น้องประชาชนด้วยการทำงานที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ ทั้งตรวจสอบและเสนอแนะทางออกของประเทศในประเด็นต่างๆ รวมทั้งการผลักดันกฎหมายที่ก้าวหน้า อภิปรายวาระที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม

คุณพิธา ทิ้งท้ายในโพสต์อ้างว่า เหล่าด้อมส้มต้องช่วยกันยืนหยัด ยืนยันว่า การเมืองวิถีทางก้าวไกลคือสิ่งที่ทุกคนถวิลหา วิถีก้าวไกลเป็นไปได้และอำนาจสูงสุดในประเทศนี้เป็นของประชาชน


ท่านผู้ชมครับ ถ้าคุณพิธา กับเหล่าผู้มีอำนาจที่แท้จริงในพรรคก้าวไกลที่เชิดคุณพิธาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่บินไปพบกับคุณทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกงเป็นเดือนแล้ว ก็ยังไม่ออกมาปริปากว่าคุยอะไรกัน จนคุณทักษิณ บินกลับประเทศไทยแล้ว คุณธนาธร ก็ยังเงียบอยู่ ไม่ปริปากใดๆ ทั้งสิ้น คุณปิยบุตร แสงกนกกุล ซึ่งมีความหมกมุ่นอยู่กับเรื่อง ม.112 การปฏิวัติ 2475 การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์จากฝรั่งเศสโมเดล หรืออะไรก็แล้วแต่ รวมไปถึงเกี่ยวพันถึง "ตั๋วปารีส" ด้วย ซึ่งผมยังมีข้อมูลอยู่อีก เอาไว้มีเวลาจะมาเปิดเผย "ตั๋วปารีส ภาค 2" เปิดโปงให้ฟังในตอนต่อๆ ไป

แม้กระทั่งคุณช่อ พรรณิการ์ วานิช ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิกนิสัยพูดจาบิดเบือน โกหกแบบหน้าตาย จนสาวกคอนด้อมส้มที่ไม่ประสีประสา เข้าใจผิด เอาไปท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง คุณพรรณิการ์ นั้นก็คือร่างแปลงของคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เพียงแต่ไม่หยาบคายเท่า เท่านั้นเอง


ล่าสุด 2 สิงหาคม 2566 คุณช่อ พรรณิการ์ ได้ไปขอออกรายการทางไทยรัฐทีวี อ้างว่า พรรคเพื่อไทยเป็นผู้ที่ยืนยันว่าจะไม่เอาพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคร่วมรัฐบาล 8 พรรคที่นำโดยพรรคก้าวไกล มิใช่พรรคก้าวไกลแต่อย่างใดที่ปฏิเสธการจับมือพรรคภูมิใจไทย

พอคุณช่อ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ออกมาพูดบิดเบือน โยนขี้ให้คนอื่นดังกล่าว ก็มีเสียงโต้แย้งออกมาจากพรรคเพื่อไทยทันทีว่า นายพิธา และพรรคก้าวไกล นั่นล่ะที่หยิ่งยะโสโอหัง ปฏิเสธการจับมือกับพรรคภูมิใจไทย โดยนายพิธา เป็นผู้ประกาศเอง พร้อมชี้แจงไทม์ไลน์ คือ อาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม คือวันเลือกตั้ง จันทร์ที่ 15 พฤษภาคม นายพิธา แจ้งต่อสื่อว่า ไม่จำเป็นต้องคุยกับพรรคภูมิใจไทย


พุธที่ 17 พฤษภาคม พรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์ไม่สนับสนุนพรรคก้าวไกล ทั้งๆ ที่รู้ว่าหากได้ 71 เสียง ของพรรคภูมิใจไทยเพิ่มอีก 1 พรรค มารวมคะแนนเสียงของ 8 พรรคร่วมฯ เดิม 313 เสียง ก็จะเป็น 384 เสียง ซึ่งเกิน 376 เสียง นายพิธา ก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ทันทีโดยไม่ต้องพึ่งพา ส.ว. เลยแม้แต่คนเดียว

เพราะฉะนั้นแล้ว หากวิถีของพรรคก้าวไกลคือความยะโสโอหัง ความโกหกตอแหล การตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ การด้อยค่าผู้อื่น ไม่นับรวมถึงความกักขฬะ ยกตัวอย่างให้เห็นเช่น หลอกใช้น้องหยก กับแก๊งทะลุวัง เป็นมือไม้ให้ตัวเองในการส่งไปแสดงความถ่อยสถุนกับคนอื่น ปั่นป่วนคนโน้นที คนนี้ที เพื่อให้ทำตามใจแกนนำพรรคก้าวไกล โดยอ้างว่าเป็นเสียงและเจตจำนงของประชาชน แล้วเวลาและความจริงที่มีหนึ่งเดียวจะพิสูจน์ว่า คุณพิธา พรรคก้าวไกล นั้นเป็นของจริงหรือของปลอม มีธาตุแท้อย่างไรบ้าง


ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้ชมหลายท่านพอจำได้ว่า หลังเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ระหว่างที่คุณพิธา กำลังวุ่นวายกับการเดินทางจัดตั้งรัฐบาลอยู่ และคุณพิธา กำลังเดินสายโปรโมตตัวเอง ผมเคยชี้จุดอ่อน 3 ข้อ ของคุณพิธา และพรรคก้าวไกล ผมบอกว่าเป็น 3 ข้อ ที่รับไม่ได้เลย ต้องเร่งแก้ไข หากพรรคก้าวไกลจะจัดตั้งรัฐบาล และนายพิธา ต้องการที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี รายการนั้นมีคนชมหลายล้านคน ทั้งใน YouTube คนเข้าชมประมาณ 1 ล้านคน Facebook เข้ามามากกว่า 1 ล้านคน ไม่นับรวม TikTok และแอปฯ Sondhi Talk อีก ซึ่งสาวกคอนด้อมส้มที่ยังลุ่มหลง หลงใหลในภาพฝันและคำโกหกก็เข้ามาท้วงติง ด่าทอผม ว่าผมรับไม่ได้แต่คนอื่นรับได้ หารู้ไม่ว่า 3 ข้อ ที่ผมพูดถึงนั้นล้วนแล้วแต่เป็นจุดบกพร่อง ปัญหาใหญ่ ที่ทั้งคุณพิธา และพรรคก้าวไกล จะต้องแก้ไข หากประสงค์จะเข้าสู่อำนาจจริงๆ 3 ข้อนั้นมีอะไรบ้าง ผมจะทบทวนให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง


ข้อแรก การไม่ยอมถอยมาตรา 112 เป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงอันดับหนึ่งของพรรคก้าวไกล การไม่ยอมถอยมาตรา 112 ตอนหลังเมื่อมีกระแสต่อต้านมากเข้า ก็อ้างว่าไม่ได้ยกเลิก แต่แค่แก้ไข ซึ่งความประสงค์ในการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไทยนั้น แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ความประสงค์ดั้งเดิมของนายพิธา แต่เป็นความใฝ่ฝัน อุดมการณ์แต่อ้อนแต่ออกของคณะผู้กุมอำนาจพรรคก้าวไกลตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ช่อ-พรรณิการ์ วานิช รวมทั้งนายชัยธวัช หรือ ต๋อม ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคก้าวไกล


ด้วยเหตุนี้ แม้ในบันทึกความเข้าใจ MOU จำนวน 23 ข้อ ของ 8 พรรคร่วมฯ เดิมทีที่นำโดยพรรคก้าวไกล จะไม่ได้ระบุเรื่องการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพราะพรรคอื่นไม่เอาด้วย แต่พรรคก้าวไกลกลับยืนยันจะเดินหน้าขับเคลื่อนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ในนามพรรคก้าวไกล โดยอ้างว่าเป็นฉันทามติของประชาชนที่เลือกพรรคก้าวไกลมา 14 ล้านเสียง

แต่ว่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากข้อมูลต่างๆ ก็ปรากฏชัดว่า ในการแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มีเป้าหมายสุดท้ายคือการล้มล้างสถาบันกษัตริย์นั้น ข้อที่หนึ่ง สังคมไทยไม่เอาด้วย ข้อที่สอง พรรคร่วมฯ ไม่เอาด้วย ข้อที่สาม ส.ส. ไม่เอาด้วย ข้อที่สี่ ส.ว. ก็ไม่เอาด้วย แม้แต่คนที่เลือกพรรคก้าวไกล 14 ล้านคน จำนวนมากออกมาคัดค้านว่า ที่เลือกก้าวไกล ไม่ได้ต้องการให้มาแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่อย่างใด แต่เข้ามาเพื่อที่จะทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ


จนสุดท้าย วันที่ 13 กรกฎาคม แม้แต่คนอย่างคุณชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส. พรรคภูมิใจไทย รวมทั้ง ส.ส. และ ส.ว. หลาย จะยื่นมือไปให้พรรคก้าวไกลจับแล้ว โดยบอกว่าหากยกเลิกการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ก็จะยกมือให้กับนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี โดยทางภูมิใจไทยจะไม่ร่วมรัฐบาล แต่ก้าวไกลก็ปฏิเสธ

สุดท้าย นายพิธา ก็เลยพ่ายแพ้ในการโหวตเลือกนายกฯ และสุดท้ายลงเอยด้วยการที่พรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นแกนนำรัฐบาลในวันนี้ ทำให้นายพิธา ต้องกลายเป็นนายกฯ ทิพย์ นั่นคือข้อที่หนึ่ง


ข้อที่สอง ท่านผู้ชมครับ นโยบายต่างประเทศของพรรคก้าวไกลที่เปิดประตูให้อเมริกาเข้ามาแทรกแซงการต่างประเทศของไทย ด้วยการลากไทยเข้าไปสู่ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก เข้าร่วมวงในการปิดล้อมจีน ในเอกสารของพรรคก้าวไกลของคุณพิธา ระบุชัดเจนเลยว่า "จะเป็นพันธมิตรทางด้านความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกาและตั้งเป้าในการเพิ่มทรัพยากรสำหรับการฝึกร่วมคอบร้าโกลด์ ที่จัดขึ้นในไทย" ตอนนั้นผมพูดชัดเจนใช่ไหมท่านผู้ชม ว่า สองนโยบายข้างต้นของคุณพิธา และพรรคก้าวไกล จะทำให้ประเทศไทยล่มสลายโดยมิอาจแก้ไขกลับคืนได้ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการที่กระทบกระเทือนต่อสถาบันเบื้องสูงที่เชื่อมโยงกับความมั่นคงของประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งนโยบายต่างประเทศที่เอื้อให้กับสหรัฐฯ เข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานทัพ หากสงครามในช่องแคบไต้หวัน และทะเลจีนใต้ ปะทุขึ้นเมื่อไร วันใดก็ตาม


ผมถามว่า พรรคก้าวไกลเดินหน้านโยบายเหล่านี้ต่อไป หากสถาบันล่มสลายไปแล้ว อาณาเขตไทยถูกใช้เป็นฐานในการปล่อยจรวด ปล่อยเครื่องบิน หรือประเทศไทยเข้าไปเกี่ยวพันกับสงครามที่เราไม่ควรเข้าไปยุ่งเลย ไม่ว่าจะเป็นในพม่า ในช่องแคบไต้หวัน หรือในทะเลจีนใต้ก็ตาม แล้วประชาชนคนไทยทั้งหมดจะถูกลากเข้าไปมีความเสี่ยงในการเป็นคู่ขัดแย้งกับชาติใดๆ ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศจีน หากเกิดขึ้นแล้ว ผมพูดว่า คุณพิธา คุณธนาธร คุณปิยบุตร คุณช่อ คุณชัยธวัช คุณวิโรจน์ คุณรังสิมันต์ คุณเจี๊ยบ-อมรัตน์ จะรับผิดชอบได้แค่ไหน ? คำตอบคือ ไม่ได้อย่างแน่นอน

ข้อที่สาม ผมพูดว่า การที่หัวหน้าพรรคของคุณชอบโกหก โกหกจนเป็นนิสัย วันนี้พูดอย่าง อีกวันพูดอีกอย่าง แต่ดันถูกจับโป๊ะได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัวของคุณ ข้อเท็จจริงในปี 2549 เกี่ยวกับการรัฐประหาร และเรื่องการเดินทางกลับมางานศพคุณพ่อของคุณ


สอง ปัญหาเรื่องในอดีต เรื่องภรรยาและครอบครัว สาม สร้างภาพว่าเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่กลับมีปัญหาหนี้สินของธุรกิจครอบครัวที่อ้างว่าตัวเองเข้ามาบริหารจนสามารถล้างหนี้และทำกำไรอย่างมากมาย สี่ เรื่องการยกเลิก/แก้ไขมาตรา 112 ห้า รวมไปถึงประเด็นหุ้นไอทีวี ที่กลายเป็นจุดตาย ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้คุณหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ที่ผมไล่เรียงมา อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ครับ ท่านผู้ชม เพราะว่า "คนโกหกไม่ทำชั่วนั้นไม่มี" การโกหกเล็กๆ จะนำไปสู่การโกหกใหญ่ แค่เปิดมาเพียงแค่นี้คุณก็ยังมีเรื่องให้จับผิดยิบย่อยเต็มไปหมด

ทั้งนี้ทั้งนั้น ความผิดมหันต์ของคุณจากการชอบโกหกและคบคนชอบโกหกของพวกคุณ อีกเรื่องหนึ่งคือการที่คุณพิธา และพรรคก้าวไกล ตกหลุมพรางของมหาโจรแฉไป ไถไป อย่างนายชูวิทย์ ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง มาจนถึงหลังเลือกตั้ง ก็ยังสลัดไม่หลุด ตกอยู่ในเกมการปั่นกระแสป่วนประสาท ซึ่งสุดท้ายก็พิสูจน์แล้วว่า ล้วนแล้วแต่เป็นละครลิงฉากหนึ่งเท่านั้น


ผมจะชี้ให้เห็นว่าทำไมคุณถึงพลาดอย่างมหันต์ คุณพิธา วันที่ 4 พฤษภาคม ก่อนการเลือกตั้ง คุณปล่อยให้นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เอาไมค์ไปจ่อปากคุณในประเด็นเรื่องการต่อต้านกัญชา ซึ่งเป็นนโยบายหลักของพรรคภูมิใจไทย ส่วนคุณเอง คุณพิธา ก็พูดเต็มปากเต็มคำว่าจะเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด คุณไม่เคยสนเลยว่าคุณเคยพูด และคุณเคยเป็นผู้ป่วยที่ได้ประโยชน์จากการรักษาด้วยกัญชา แล้วคุณก็พูดเอง คุณพิธา ว่าคุณอยากส่งเสริมกัญชาในเชิงสันทนาการเสียด้วยซ้ำ


ต่อมาวันที่ 22 พฤษภาคม ในการแถลงข่าว 8 พรรคฯ ลงนามข้อตกลงร่วม MOU 23 ข้อ ในการจัดตั้งรัฐบาล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พูดถึง MOU ข้อ 16 นำกัญชากลับไปสู่บัญชียาเสพติดให้โทษ ผ่านการออกประกาศกฎกระทรวงสาธารณสุข โดยมีกฎหมายควบคุมและรองรับในการใช้ประโยชน์จากกัญชา ทำให้นายชูวิทย์ ซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วย ปรบมือ ชูสองนิ้วด้วยความดีใจ คุณพิธา จำได้หรือเปล่า และนั่นคืออีกจุดสำคัญที่ทำให้พรรคก้าวไกลผลักพรรคภูมิใจไทยออกห่างไปอีก และไม่สามารถจะดึงกลับเข้ามาร่วมรัฐบาล 8 พรรคได้ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ถึงแม้คุณจะไม่มุ่งไปที่ ม.112 ก็ตาม คุณก็ไม่มีสิทธิ์แล้ว

แล้ววันนี้ คุณพิธา พรรคก้าวไกล จะว่าอย่างไร ในเมื่อคุณชูวิทย์ ประกาศในรายการคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา แล้วเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ว่าเรื่องกัญชา กับพรรคภูมิใจไทย จบไปแล้ว นายชูวิทย์ รณรงค์ต่อต้านกัญชา นายอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะช่วงหาเสียงเลือกตั้งเท่านั้น หลังจบเลือกตั้ง ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง


คุณพิธา คุณไม่มีความรู้สึกหรือว่าคุณน่ะถูกคุณชูวิทย์หลอก แล้วคุณต้องการที่จะเอาแสงเข้ามาหาตัวคุณ คุณก็ตระบัดสัตย์กับคำพูดที่คุณเคยพูดเรื่องกัญชา ที่คุณสนับสนุนกัญชามาตั้งแต่ต้น แล้วคุณก็บอกว่าต้องเอากลับไปเป็นยาเสพติด ผมไม่อยากจะสมน้ำหน้าคุณ แต่ผมต้องสมน้ำหน้าคุณ เพราะคุณสมควรแล้วที่จะเป็นนายกฯ ทิพย์

มาถึงวันนี้แล้ว มาถึงจุดนี้แล้ว คุณพิธา พรรคก้าวไกล คุณจะว่าอย่างไร เมื่อคุณหวังจะเกาะกระแสคุณชูวิทย์ แต่จริงๆ แล้วเขาหลอกใช้คุณ จนสุดท้ายพรรคก้าวไกลกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน คุณกลายเป็นนายกฯ ทิพย์ ทั้งๆ ที่อีกก้าวเดียว นิดเดียว คุณจะเดินถึงเป้าหมายแล้ว

ทั้งหมดนี้ คุณพิธา อย่าไปเข้าใจผิด ไม่ใช่การที่ทุกคนต้องการจะปิดสวิตช์ก้าวไกลหรอก แต่พวกคุณเองต่างหากที่ปิดสวิตช์ตัวเอง ทำตัวเป็นคนรุ่นใหม่ที่น้ำเต็มแก้ว ยะโสโอหัง ดูถูกดูแคลน เหยียดหยามผู้อื่น หยิ่งยะโส คิดว่าตัวเองเท่านั้นที่เป็นเสียงของประชาชนที่แท้จริง เป็นเสียงความถูกต้อง กูคิดอะไร พูดอะไร คนอื่นห้ามเถียง ไม่อย่างนั้นกูจะจัดทัวร์คอนด้อมส้มไปถล่ม

พวกคุณอาจจะอ้าง 14 ล้านเสียงได้ แต่พวกคุณไม่ใช่ตัวแทนของเสียงประชาชนทั้งหมด 70 ล้านคน อย่าได้ผูกขาดประชาธิปไตย ผูกขาดความถูกต้อง ผูกขาดอนาคตไว้เพียงคนเดียว เพราะพวกคุณนั้นไม่ใช่

ที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลนี้ ผมขอเตือนอีกครั้งว่า คุณพูดว่าคุณจะพาคอนด้อมส้มของพวกคุณเดินทางไกลอีกครั้ง ไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งคราวหน้า จะแลนด์สไลด์ หรือไม่แลนด์สไลด์ ผมไม่ทราบ แต่พฤติกรรม 3 ข้อ ที่ผมเตือนไป ถ้าคุณยังไม่ยอมออกมายอมรับ แก้ไขปรับปรุง สุดท้ายหายนะจะมาเยือน จำคำพูดของผม สนธิ ลิ้มทองกุล เอาไว้ให้ดีๆ คุณพิธา

ปุ๋ยอินทรีย์ ดีอย่างไร


ท่านผู้ชมครับ ในรายการ SONDHI TALK ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง ตอนที่ 199 ปลายเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ผมเคยพูดถึงเรื่องคุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ว่าเป็นมนุษย์อัจฉริยะในเรื่องการวิจัยและผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพราะปุ๋ยอินทรีย์ TPI ที่คุณประชัยคิดค้นขึ้นมา มีคุณภาพมาก ไม่ได้ทำให้ดินเสีย ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลง "ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลง" ปรากฏว่าหลังจากที่ผมพูดไป มีคนสนใจ inbox เข้ามาถามกันเยอะ เยอะมากๆ ว่า ถ้าปลูกชนิดนี้ต้องใส่ปุ๋ยตัวไหน ถ้าทำสวนผลไม้อันนี้ ต้องใส่ปุ๋ยอะไรบ้าง มีวิธีการใช้อย่างไรบ้าง ผมก็ยอมรับว่าไม่ได้มีความรู้เรื่องปุ๋ยมากนัก ก็เลยให้ทีมงานถามไป เขาส่งข้อมูลมาให้ผมทั้งชุดเลย ผมจะสรุปปุ๋ยตัวเด่นๆ 3-4 ชนิดของ TPI ให้ฟัง


หนึ่ง ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเขียว TPI ที่เขียนว่า "ปุ๋ยเขียว" นะครับ ปุ๋ยชนิดนี้เป็นปุ๋ยอินทรีย์เข้มข้น ได้จากการย่อยสลายวัสดุที่เป็นอินทรีย์วัตถุ ประกอบด้วย สารฮิวมิค ช่วยให้ดินร่วนซุย มีธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช ทั้งธาตุอาหารหลัก เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม ธาตุอาหารรอง แคลเซียม แมกนีเซียม กำมะถัน ธาตุอาหารเสริม เช่น เหล็ก แมงกานีส ทองแดง โบรอน โมลิบดีนัม สังกะสี คลอไรด์ เป็นต้น เหมาะสำหรับปรับปรุงดิน หรือเตรียมดินเพื่อปลูกพืชทุกชนิด เช่น ข้าว อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์ม ไม้ดอก ไม้ผล

ปุ๋ยสีเขียว จะช่วยปรับสมดุลของดิน ช่วยฟื้นฟูให้ดินร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี ช่วยสร้างความสมดุลของจุลินทรีย์ในดิน เพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ เพิ่มธาตุอาหารพืชในดิน ราคาถูก ลดค่าใช้จ่ายในการใช้ปุ๋ยเคมี ไม่มีสารตกค้างในดินเนื่องจากเป็นสารอินทรีย์


อีกตัวหนึ่งคือปุ๋ยม่วง ปุ๋ยอินทรีย์โกรว์ออแกนิกส์ เมื่อกี้ที่ผมเล่าให้ฟังคือปุ๋ยเขียว เป็นปุ๋ยในการปรับดิน นี่คือปุ๋ยม่วง ปุ๋ยชนิดนี้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ในรูปของเหลว ได้รับการย่อยสลายวัสดุเหลือใช้จากอินทรีย์วัตถุ เช่น เศษพืช สัตว์ ใบไม้ เศษอาหาร มีธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชครบถ้วนเหมือนปุ๋ยเขียว แต่เมื่อเป็นของเหลว พืชจะสามารถดูดซึมเข้าทางใบได้ และเป็นประโยชน์ต่อพืชอย่างรวดเร็ว เหมาะสมกับพืชทุกชนิด เช่น อ้อย ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์ม ไม้ดอก ไม้ผล ปุ๋ยตัวนี้จะช่วยอะไรได้บ้าง ? ลดค่าใช้จ่ายในการใช้ปุ๋ยเคมี สร้างความสมดุลของธาตุอาหารพืชในดิน ทำให้รากพืชดูดซึมได้มากขึ้น เป็นสารอินทรีย์ที่ไม่มีเคมีตกค้าง และช่วยเพิ่มผลผลิต

สรุป ปุ๋ยเขียว เป็นปุ๋ยทางดิน ปุ๋ยม่วง เป็นปุ๋ยทางใบ ซึ่ง TPI เขาคิดสูตรมาเรียบร้อยว่าถ้าใส่ปุ๋ยทั้งสองชนิดร่วมกันในสัดส่วนที่เขาแนะนำ จะสามารถเร่งดอก เพิ่มผลผลิต บำรุงผล เร่งความหวานของผลได้


นอกจากนี้แล้ว TPI ยังมีปุ๋ยตัวเด่นๆ อีกหลายตัว เช่น ปุ๋ยอินทรีย์เม็ดถ้ำค้างคาว เป็นปุ๋ยอินทรีย์เม็ด ช่วยฟื้นฟูสภาพดิน ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ทำให้เกิดช่องอากาศในดิน ช่วยให้ดินสามารถเก็บธาตุอาหารและอุ้มน้ำได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้พืชดูดซึมธาตุอาหารได้ดีขึ้น เหมาะสมกับการปลูกพืชทุกชนิด แต่เนื่องจากปริมาณธาตุอาหารหลักที่ใช้เป็นประโยชน์อยู่น้อย จึงจำเป็นต้องใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีตามชนิดพืช พืชที่แนะนำให้ใช้ปุ๋ยค้างคาวนั้น ใช้ได้กับข้าวโพด พืชไร่ ไม้ผล ไม้ยืนต้น ปาล์มน้ำมัน ยางพารา พืชผัก ไม้ดอก ไม้ประดับ สนามหญ้า


นอกจากนั้น ถ้ายังต้องการจะกำจัดศัตรูพืชก็ยังมีผลิตภัณฑ์จากอินทรีย์ธรรมชาติใช้ประโยชน์หลากหลายในการเกษตร กำจัดเพลี้ย ปลวก แมลงศัตรูพืช ปราศจากสารตกค้าง ผสมน้ำตามอัตราส่วนที่แนะนำ ใช้ฉีดพ่นที่ใบหรือพื้นที่รอบๆ ต้นพืชทุกๆ 7-10 วัน เพื่อขับไล่แมลง ใช้เป็นสารเพิ่มประสิทธิภาพในการจับใบพืช ทำให้ลดการสูญเสียของปุ๋ยสารละลายต่างๆ ที่ฉีดพ่นในพืช

อันนี้เป็นปุ๋ยตัวเด่นๆ ที่ทาง TPI เขามี นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์อาหารเกษตรอีกหลายตัว ใครสนใจติดต่อไปที่ TPI หรือหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป ส่วนที่ผมไม่มีขายนะครับ ผมมีไร่อยู่ที่เชียงราย แล้วผมใช้ปุ๋ย TPI หลายๆ ตัวอยู่ คุณภาพสุดยอด แล้วผมเลิกใช้ปุ๋ยเคมีมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ผมหันมาใช้ปุ๋ยของ TPI ผมเป็นตัวประจักษ์พยานยืนยันได้ว่าพืชเจริญเติบโตดี ไม่มีสารตกค้าง ไม่มีเลย สารเคมีก็ไม่มี แล้วแมลงก็ไม่มาด้วย

"ปริโกจิน" ถูกลอบสังหาร 


ท่านผู้ชมครับ มันมีข่าวด่วนชิ้นหนึ่งที่ออกมา ผมจำเป็นต้องพูด แต่จะเป็นการพูดโดยคร่าวๆ ก่อน รายละเอียดท่านผู้ชมต้องรอฟังอีกสักหนึ่งอาทิตย์ หลังจากที่ภาพมันออกมาชัดเจนแล้ว

เย็นวันพุธที่ 23 สิงหาคม ที่ผ่านมา มีเครื่องบินส่วนตัวยี่ห้อ เอ็มเบรเออร์-135 ของแคนาดา บินจากกรุงมอสโก ไปยังนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก มีอุบัติเหตุทางเหนือของกรุงมอสโก ผู้โดยสารในเครื่องบิน 7 ชีวิต นักบิน-ลูกเรืออีก 3 รวม 10 คน เสียชีวิตทั้งหมด ที่สำคัญ มีรายงานว่า ผู้โดยสาร 1 คน ในเครื่องบินลำนั้น มีนายเยฟกินี ปรีโกจิน ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มนักรบรับจ้างวากเนอร์ ผู้พยายามก่อกบฏต้านเครมลิม แต่ล้มเลิกไปในเวลาอันสั้นๆ อยู่ด้วย


ทาสส์นิวส์ สำนักข่าวรัสเซีย อ้างรายงานคำแถลงของโรซาเวียตเซีย สำนักการบินของรัสเซีย ระบุว่า มีการสืบสวนเครื่องบินตก แล้วในการสืบสวนเช็กว่าหนึ่งในผู้โดยสาร คือ เยฟกินี ปรีโกจิน หัวหน้านักรบวากเนอร์ กระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉินรัสเซีย ระบุในถ้อยแถลงว่า เครื่องบินซึ่งเดินทางจากกรุงมอสโก ไปนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ได้โหม่งโลกใกล้กับหมู่บ้านคูเชนคิโน พร้อมกับบอกว่ามี 10 คนในเครื่องบิน เสียชีวิตทั้งหมด

ท่านผู้ชมครับ เป็นที่น่าสังเกตว่า เหตุเครื่องบินตกเมื่อวันพุธที่ผ่านมานี้ เกิดขึ้นวันเดียวกับนายพลอาวุโสเซอร์เก ซูโรวิคิน เจ้าของฉายา นายพลอาร์มาเกดอนของรัสเซีย ซึ่งสนิทสนมกับนายปรีโกจิน ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพอากาศ


รายงานข่าวของสื่อมวลชนรัสเซียที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ระบุว่า นายดมิทรี อูตะคิน มือขวาของปรีโกจิน อยู่บนเครื่องบินลำนี้เช่นกัน แล้วว่า นายปรีโกจิน กับเหล่าคนใกล้ชิดของเขาเพิ่งร่วมประชุมกับบรรดาเจ้าหน้าที่จากกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ไม่มีการยืนยันข่าวชิ้นนี้

ประเด็น เครื่องบินของนายเยฟกินี ปรีโกจิน หัวหน้ากองกำลังวากเนอร์ เป็นเรื่องด่วนเข้ามาสัปดาห์นี้ แต่มีความสลับซับซ้อน มีความเป็นไปได้หลากหลายทาง ว่าทางรัสเซียเป็นคนจัดการนายปรีโกจิน เอง เพื่อจัดระเบียบขั้วอำนาจของกองกำลังวากเนอร์ให้เป็นระบบระเบียบ หรือฝั่งยูเครน หรือตะวันตก เป็นผู้จัดการเพื่อแก้แค้น สกัดกั้นการขยายตัวกองกำลังวากเนอร์ที่เป็นภัยคุกคามอย่างหนักของนาโต หรือเป็นแผนการเก็บซ่อนนายปรีโกจิน และนายอูตะคิน ให้หลบลงสู่การปฏิบัติการใต้ดินให้หายตัวไป

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งในเรื่องข่าวกรอง แต่ผมสัญญาว่าจะเอาเบื้องหน้าเบื้องหลังมาเล่าให้ท่านผู้ชมรับฟังอย่างแน่นอนในสัปดาห์หน้าหรือสัปดาห์ถัดไป

จีนเผยไต๋ ระบบป้องกันรับมือนาโตเอเชีย


ท่านผู้ชมครับ เกือบ 4 ปีที่ผ่านมานี้ ผมพยายามให้ข้อมูล อัปเดตเรื่องเกี่ยวกับแสนยานุภาพการทหารของจีนให้ท่านผู้ชมฟัง ได้รับทราบมาโดยตลอดว่า ช่วงเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา กองทัพปลดแอกประชาชนจีน ซึ่งประกอบด้วย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ และกองกำลังขีปนาวุธ ทั้งหมดมีกำลังอยู่ 2 ล้าน 3 แสนคน ได้แปลงสภาพจากกองทัพที่ล้าหลัง กลายมาเป็นกองทัพที่ก้าวหน้า ทันสมัย เข้มแข็ง และใหญ่ที่สุดในโลก

ทั้งหมดนี้เพราะว่าประเทศจีน และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พูดจริงทำจริง และรู้ว่าถ้าจีนไม่เข้มแข็งเหมือนอดีตแล้ว จีนจะถูกรังแกตลอดเวลา จึงมีการประกาศปฏิรูปกองทัพขนานใหญ่ ตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2558 (เมื่อ 8 ปีที่แล้ว) ปรับปรุงกองทัพปลดปล่อยประชาชนให้ทันสมัย แข็งแกร่ง ปัจจุบันกองทัพจีนกลายเป็นหนึ่งในกองทัพที่ทรงพลังที่สุดในโลก ทหารกว่า 2 ล้านคน การลงทุนด้านกลาโหม และด้านเทคโนโลยี อาวุธจำนวนมาก การพัฒนาอาวุธของจีนนั้นก้าวล้ำเกินหน้าอเมริกา และในหลายๆ กรณีเกินหน้ารัสเซียไปอีก รวมทั้งขีปนาวุธ โดรนความเร็วเหนือเสียง เครื่องบินรบล่องหน เรือพิฆาตติดขีปนาวุธ และขีปนาวุธต่อต้านเรือความเร็วเหนือเสียง ทั้งหมดนี้เป็นอาวุธที่ทรงพลังและก้าวหน้า ทันสมัย


ทุกวันนี้การที่สหรัฐฯ พยายามวางกรอบยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกเพื่อปิดล้อมจีนเอาไว้ และใช้ความร่วมมือด้านความมั่นคงต่างๆ กับพันธมิตรที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเพื่อออกรบแทนตัวเองนั้นไว้ทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นการพยายามที่จะขยายกลุ่มนาโตจากยุโรปมาทางภูมิภาคเอเชีย การดึงเอาญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งโง่เขลาเบาปัญญา เข้ามาต่อต้านจีน สรุปง่ายๆ คือ ใช้ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ เป็นด่านหน้าในการปะทะกับจีน ถ้ามีการปะทะกันขึ้นมา แล้วสหรัฐฯ ก็อยู่เบื้องหลัง ให้กำลังใจช่วย รวมทั้งขายอาวุธเพิ่มเติม

การจัดตั้งจตุภาคี QUAD ระหว่างอเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย และ ออสเตรเลีย ขึ้นมา มีการตั้งพันธมิตรไตรภาคี AUKUS ระหว่างออสเตรเลีย อังกฤษ และ สหรัฐฯ มีพันธมิตรใกล้ชิดทางสนธิสัญญาทางทหารสหรัฐฯ ในอาเซียน อย่างฟิลิปปินส์ และก็มีไทยด้วย


ในทวิตเตอร์ของ Indo-Pacific Defense FORUM ซึ่งเป็นสื่อในสังกัดของกองบัญชาการทหารสหรัฐฯ ภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 ระบุมาเรื่องโอลิมปิกเกมสงคราม ที่กล่าวถึงการฝึกซ้อมระหว่างออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ทุกสองปี ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 ในเดือนกรกฎาคม และ สิงหาคม 2566 โดยมีประเทศอื่นๆ ที่เข้าร่วม ประกอบไปด้วย แคนาดา ฟิจิ ฝรั่งเศส เยอรมนี อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี เกาหลีใต้ ตองกา และ อังกฤษ ขณะที่อินเดีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย เข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์

..
จากความตึงเครียดเหล่านี้ ทางจีนจะไม่มีวันที่จะอยู่นิ่งเฉย เขาจะมีการขยับเขยื้อนพัฒนาเพื่อยกระดับความมั่นคงของเขาขึ้นมาเช่นกัน

ล่าสุด มีการเปิดเผยเกี่ยวกับการที่จีนกำลังติดตั้งเรดาร์ที่ทันสมัยที่สุดในโลก ซึ่งล้ำหน้ากว่าสหรัฐฯ 1 รุ่น รวมทั้งขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก นำหน้าสหรัฐฯ ถึง 1-2 รุ่น เช่นกัน ขีปนาวุธเหนือเสียงนี้สามารถดัดแปลงเพื่อไปใช้ทางอากาศ ในทะเล และใต้น้ำ


ท่านผู้ชมครับ ทำไมจีนถึงสร้างระบบป้องกันที่ดีที่สุดเพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากรอบด้าน ? ทั้งหมดนี้ถ้าเราเข้าใจประวัติศาสตร์ดี เราคงเข้าใจว่าทำไมจีนต้องทำเช่นนั้น

ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตลอดระยะเวลา 1 ศตวรรษ หรือหนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมา จีนมีฉายาว่าเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย (Sick Man of Asia) จีนถูกคุกคามทั้งทางวาจา หรือเชิงยั่วยุ อย่างต่อเนื่องมาตลอด โดยภายหลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี พ.ศ. 2492 ประเทศจีนถูกแบน ถูกคว่ำบาตร นับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นสงครามเกาหลี 3 ปี สงครามเวียดนาม 20 ปี สงครามชายแดนอินเดียปี 2505 ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือชาติตะวันตกที่ให้การสนับสนุน ยุยงส่งเสริมผู้ก่อการร้าย และผู้ก่อความไม่สงบ นับเป็นพันๆ ครั้ง ในมณฑลซินเจียง ตั้งแต่ปี 2533 จนถึงปัจจุบัน เรื่อยมาจนถึงเหตุการณ์ประท้วงในฮ่องกง และปัจจุบันคือวิกฤตในช่องแคบไต้หวัน

จีนรู้ดีว่าถ้าเมืองหลวงของจีน คือกรุงปักกิ่ง และเมืองใหญ่ทั้งหลาย เช่น เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว หางโจว เซินเจิ้น เฉิงตู ฉงชิ่ง เทียนจิน และอื่นๆ ถูกโจมตีโดยตรงจากจรวดหรืออาวุธนิวเคลียร์ ย่อมทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงจนถึงขั้นประเมินค่ามิได้ ด้วยเหตุนี้ จีนได้ออกแบบ สร้างระบบป้องกันทางอากาศของตนขึ้นมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ


ยกตัวอย่างระบบป้องกันทางอากาศของจีนสามารถแบ่งออกเป็น ระบบป้องกันภัยทางอากาศระดับชาติ (National Air Defense System) และ ระบบป้องกันภัยทางอากาศตามภูมิภาค (Military Region Air Defense System) อย่างเช่น ภาคตะวันออกของจีน ภาคใต้ของจีน ภาคตะวันตกของจีน สำหรับระบบป้องกันภัยทางอากาศระดับชาติ เป็นเครือข่ายป้องกันภัยทางอากาศแห่งชาติ ซึ่งควบคุมสถานการณ์ทางอากาศ และกองบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศแห่งชาติ ระบบตรวจจับสถานการณ์ทางอากาศของประเทศทั้งหมด ประกอบด้วยเรดาร์เตือนภัยล่วงหน้า เครื่องบินเตือนภัยล่วงหน้า และเครือข่ายดาวเทียมเตือนภัยล่วงหน้า นั่นคือเหตุผลว่าทำไมช่วงหลังประเทศจีนถึงยิงดาวเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป่ยโตว ซึ่งเป็นดาวเทียม รวมทั้งดาวเทียมที่ทำหน้าที่เป็น GPS ที่จีนและประเทศอื่นๆ ในโลกนี้ที่ไม่ต้องการใช้ระบบ GPS ของอเมริกาสามารถมาพึ่งพาอาศัยได้

ทุกวันนี้มีการสร้างสนามเรดาร์ต่อเนื่องในน่านฟ้าจีน และระยะการเฝ้าระวังขยายไปทางตะวันออกของจีน จนถึงอเมริกาเหนือ เรดาร์จับได้จนถึงอเมริกาเหนือ ไปทางตะวันตก เรดาร์ก็จับไปถึงยุโรปตะวันออก นอกจากนี้ ยังครอบคลุมเอเชียตะวันตก และภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย ส่วนช่องแคบไต้หวันทั้งหมดนี้เป็นพื้นที่ระบุของเขตระบุการป้องกันทางอากาศของจีนทางทิศตะวันออก หมายความว่า ระยะทาง 200 ไมล์ทะเล เหนือชายฝั่งตะวันออกที่ช่องแคบไต้หวัน กลายเป็นเขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศของจีน ก็คือว่าใครทะเล่อทะล่าเข้ามาในเขตป้องกันภัยทางอากาศของจีนนั้น ต้องรายงานทันที ถ้าไม่รายงานจะถูกยิงตกทันที (ผมเอาแผนที่ต่างๆ ขึ้นให้ดู)


จากแผนที่ด้านบน เขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศของจีนจะครอบคลุมหมู่เกาะทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเกาะเตี้ยวหยู ซึ่งญี่ปุ่นเรียกว่า เซงกากุ ที่กำลังเป็นข้อพิพาทกับจีน ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิครอบครองในหมู่เกาะนั้น หรือเกาะโยนากุเนะ ใกล้กับเกาะโอกินาวา ซึ่งทับซ้อนกับเขตระบุการป้องกันทางอากาศทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น


ท่านผู้ชมครับ ระยะทางจากฐานทัพอากาศเหวยฟัง บนคาบสมุทรซันตง คาบสมุทรซันตงนั้นอยู่ทางตะวันออกของจีน ไปถึงกรุงโซล หากเราลากเส้นตรงก็จะมีระยะทางเพียง 423 กิโลเมตร ด้วยวิธีนี้ชายฝั่งเกาหลีใต้จะกลายเป็นเขตระบุการป้องกันทางอากาศของจีน ก็คือว่าถ้าเกาหลีใต้ขยับอะไรปั๊บ จีนจะรู้ทันที


ทางทิศใต้ ฐานทัพอากาศหลิงสุ่ย และฐานทัพอากาศเล่อตง บนเกาะไหหลำ อยู่ห่างจากชายฝั่งทางตอนเหนือและตอนกลางของเวียดนามเพียงแค่ 240 กิโลเมตร ก็คือว่า ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าเวียดนามแปรพักตร์ให้อเมริกามาตั้งฐานทัพได้ เรดาร์ที่เกาะไหหลำก็สามารถจะจับความเคลื่อนไหวของขีปนาวุธ หรือเครื่องบินต่างๆ ที่มุ่งจะมาโจมตีจีน

ท่านผู้ชมครับ มีเกาะหวงเหยียน ในทะเลจีนใต้ อยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ฟิลิปปินส์เพียง 237 กิโลเมตรเท่านั้น จากการยึดกุมจุดยุทธศาสตร์เหล่านี้ทำให้ผืนแผ่นดินส่วนใหญ่อันเป็นเขตแดนเวียดนาม และฟิลิปปินส์ ตกอยู่ในระยะตรวจจับ และจับตามองอย่างใกล้ชิดของหน่วยงานด้านการป้องกันภัยทางอากาศของจีน


ในช่วงเดือนมิถุนายน 2566 (2-3 เดือนที่ผ่านมา) แวดวงการทหารและความมั่นคงมีข่าวใหญ่ชิ้นหนึ่ง คือ จีนได้โชว์ศักยภาพด้านเรดาร์ที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก และนี่คือการพาดหัวหนังสือพิมพ์ของเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ "China is building the most powerful warship radar on record" แปลเป็นไทยคือ จีนกำลังสร้างเรดาร์เรือรบที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกนี้


เนื้อข่าวบอกว่า นักวิจัยชาวจีนเปิดเผยว่า เรือตรวจการณ์ของกองทัพเรือจีนที่ติดตั้งเรดาร์ใหม่ สามารถตรวจจับขีปนาวุธจากระยะไกลถึงหลายพันกิโลเมตร โดยระบบเรดาร์ของจีนรุ่นใหม่นี้สามารถพลิกสมดุลของกำลังทางเรือในมหาสมุทรของโลกด้วยความสามารถจะตรวจจับขีปนาวุธที่เข้ามาจากระยะไกลถึงหลายพันกิโลเมตร


นักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ และนักวิจัย ในรายงานที่ได้รับการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ด้วยวารสารจีนที่ชื่อ ELECTRIC MACHINES AND CONTROL ระบุว่า เรือตรวจการณ์ของกองทัพจีนที่ติดตั้งเรดาร์สามารถตรวจจับขีปนาวุธนำวิถีได้ไกลถึง 4,500 กิโลเมตร นั่นคือจีนขยายแนวป้องกันของตัวเองออกไป จากประเทศจีนออกไปข้างหน้าถึง 4,500 กิโลเมตร ระยะขนาดนั้นใครขยับอะไรจีนจะรู้หมดเลย หรือประมาณ 2,800 ไมล์ หรือประเมินระยะทางได้จากตอนใต้ประเทศจีน ไปจนถึงตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย เรดาร์นี้ยังสามารถติดตามเป้าหมายได้หลายเป้าหมายในระยะ 3,500 กิโลเมตร หรือประมาณระยะทางจากชายฝั่งตะวันออกของจีน ไปจนถึงเกาะกวม


ทีมวิทยาศาสตร์และวิศวะ นำโดย รศ.ซุน ตง หยาง จากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ที่เมืองฮาร์บิน กล่าวว่า เรดาร์นี้เหมาะสำหรับการติดตั้งบนเรือรบจีนลำใหม่ ซึ่งระบบแรกอยู่ในระหว่างการก่อสร้างแล้ว และประเทศจีนมีชื่อที่สุดในโลก ในการสร้างเรือได้เร็วที่สุด ที่ไม่มีประเทศใดในโลกนี้สามารถเทียบได้ ไม่ว่าจะเป็นยุโรปหรืออเมริกา

ไม่เพียงแต่ระะบบเรดาร์บนเรือตรวจการณ์เท่านั้น จีนยังมีเรดาร์รุ่นใหม่ที่ได้รับการออกแบบและผลิตในประเทศจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น มีความก้าวหน้า ประสิทธิภาพที่สูงยิ่ง ผมเอาแฟ้มภาพให้ดูนะครับ เรือตรวจการณ์ไห่สวิน 6 ซึ่งเป็นเรือตรวจการณ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของจีน ณ ปัจจุบัน มีระวางขับน้ำเต็มพิกัดถึง 6,600 ตัน สามารถออกปฏิบัติการได้นาน 60 วัน โดยไม่ต้องแวะเติมเสบียง


เรดาร์ที่พัฒนาขึ้นมาเอง ที่ทันสมัยที่สุด คือเรดาร์เตือนขีปนาวุธ ระบบเรดาร์แบบ Face Array ขนาดใหญ่ ประกอบกันเป็นระบบเฝ้าระวังป้องกันขีปนาวุธชายฝั่งขนาดใหญ่เพื่อตรวจจับการยิงของขีปนาวุธร่อน (Cruise Missiles) ขีปนาวุธทางยุทธวิธี (Tactical Missles) กิจกรรมทางการบินทั้งหมดที่ฐานทัพสหรัฐฯ ตั้งอยู่ในเมืองนาฮา บนเกาะโอกินาวา ติดตามความเคลื่อนไหวของ ICBM คือ ขีปนาวุธข้ามประเทศ ข้ามทวีปของอเมริกาที่บินมาจากมหาสมุทรแปซิฟิก


ท่านผู้ชมครับ นอกจากมหาสมุทรแปซิฟิกแล้ว ระบบเรดาร์ล้ำหน้านี้ อีกชุดหนึ่งถูกนำไปติดตั้งเพื่อใช้ในเขตปกครองตนเองพิเศษของมองโกล ปายินกัวเหล็ง ณ มณฑลซินเจียง เพื่อตรวจจับขีปนาวุธจากมหาสมุทรอินเดีย ตามแผนที่ข้างล่างนี้

ปัจจุบันนี้จีนติดตั้งระบบเรดาร์ขีปนาวุธเตือนภัยล่วงหน้าทั้งหมด 4 ชุด ครอบคลุมอาณาเขตทั้งหมดทั่วประเทศจีน และสร้างสนามเรดาร์ต่อเนื่อง ถักทอเป็นเครือข่ายเรดาร์ ซึ่งสามารถตรวจจับเป้าหมายในอากาศนอกเหนือจากเตือนภัยขีปนาวุธที่วิ่งเข้ามา ระบบค้นหาวิทยุความถี่สูง หรือ HFDF เส้นผ่านศูนย์กลางของ array เสาอากาศ มีถึง 360 เมตร ซึ่งใช้สำหรับการค้นหาทิศทางและตรวจสอบการสื่อสารทางวิทยุในโอกินาวา และไต้หวัน ก็คือว่า อเมริกาทำอะไรในโอกินาวา ในไต้หวัน จีนจะรู้หมด


นอกจากนี้ จีนยังสร้างเรดาร์ตรวจจับคลื่นภาคพื้นดินแบบ Passive จำนวนมากในบริเวณชายฝั่ง เพื่อติดตามเรือและยานอวกาศล่องหน เรดาร์นี้มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มีสถานีรับ สถานีส่งสัญญาณ ศูนย์ควบคุม ตามแนวชายฝั่งมีการติดตั้งสถานีเรดาร์ถาวร 120 สถานี สถานีเรดาร์เคลื่อนที่ 80 สถานี ระบบเรดาร์ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบน่านฟ้าทุกกิโลเมตรนั้นมีหลายร้อยตัว แบ่งเป็นเรดาร์ประเภทต่างๆ ประเภทละ 3-4 ตัว

ท่านผู้ชมครับ ผมจะไม่ลงลึกถึงรายละเอียดของเรดาร์ซึ่งจีนพัฒนาขึ้นแต่ละชนิด เพราะมีจำนวนมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นเรดาร์ตรวจสอบระยะใกล้ ระยะกลาง ระยะไกล เรดาร์ตรวจสอบเครื่องบินล่องหน เรดาร์ตรวจสอบเฮลิคอปเตอร์/โดรน เรดาร์ตรวจสอบขีปนาวุธข้ามทวีป


เอาอย่างนี้แล้วกันครับ เวลานี้สรุปแล้วว่า จีนมีระบบป้องกันทางอากาศขนาดใหญ่โตมโหฬารแห่งแรกในโลกนี้ เป็นเครือข่ายที่ถักทอขึ้นมาเตือนภัยที่ประกอบไปด้วย เรดาร์ 3 มิติ ภาคพื้นดิน อากาศ และอวกาศ เครื่องบินเตือนภัยล่วงหน้า และดาวเทียมที่ประกอบด้วยวิธีการตรวจจับระยะใกล้ ระยะกลาง และระยะไกล ซึ่งสามารถตรวจจับเป้าหมายทางอากาศโดยรอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เครื่องบินขับไล่ เครื่องบินโจมตี ขีปนาวุธร่อน ขีปนาวุธและรับข้อมูลการเตือนล่วงหน้า เพื่อเตรียมตัวตอบสนองต่อการสกัดกั้นที่นานขึ้น

ระบบป้องกันทางอากาศดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายในการสร้างพัฒนาคิดเป็นมูลค่าถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ ราวๆ 17.5 ล้านล้านบาท หรือมากกว่างบประมาณแผ่นดินของประเทศไทยถึง 5 เท่า จีนลงทุนขนาดนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง

ทั้งหมดนี้อันประกอบด้วยเครือข่ายเรดาร์ที่เข้มแข็ง มีเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4 รุ่นที่ 4 จำนวน 1,000 ลำ ครอบคลุมน่านฟ้าทั้งหมด รวมไปถึงวงล้อมป้องกันขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศที่มีรัศมีคลุมพื้นที่หลายพันกิโลเมตร เรือรบหลายร้อยลำปกป้องจีนจากการถูกโจมตีจากศัตรู ระบบป้องกันภัยดังกล่าวเมื่อผนวกกับความแม่นยำของสัญญาณทหารนำทาง คือระบบดาวเทียมเป่ยโตว ซึ่งมีความแม่นยำถึงขั้นระดับเซนติเมตร ทำให้แม้ว่าเมื่อยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิคออกไปแล้ว เกิดข้อผิดพลาดในการนำทางในการบิน แต่ระบบดาวเทียมเป่ยโตวของจีนก็จะเอื้อให้กองทัพจีนแก้ปัญหาได้แบบ real time ทันที ออกนอกเส้นทาง ก็ปรับให้เข้าสู่เส้นทางได้ทันที โดยระบบนำวิถีของดาวเทียมเป่ยโตวของจีน


ประเด็น ระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มีกลุ่มนักการเมืองชาวอเมริกัน รวมทั้งไต้หวัน และญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันกลุ่มนี้มีตัวแทน คือนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอเมริกา คนกลุ่มนี้เชื่อว่าตราบใดที่กองทัพอเมริกายังแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อปัญหาช่องแคบไต้หวัน และแสดงความมุ่งมั่นที่จะส่งทหารเข้าแทรกแซงช่องแคบไต้หวัน รัฐบาลปักกิ่งและกองทัพจีน จะไม่กล้าขยับเขยื้อนใดๆ ทั้งสิ้น พูดง่ายๆ คือ เขามองจีนเป็นเสือกระดาษเท่านั้น


อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของรัฐบาลปักกิ่ง และกองทัพจีน ที่เขาเผยไต๋ออกมาในครั้งนี้ เกี่ยวกับความล้ำหน้าทางอาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องบินรบ จรวดขีปนาวุธ รวมทั้งระบบเรดาร์และการป้องกันภัยทางอากาศ ที่ล้ำหน้าในช่วงหลังมานี้ ชี้ให้เห็นว่านักการเมืองที่ผมเอ่ยชื่อไปเมื่อกี้นี้ กำลังหมกมุ่นอยู่กับโลกที่เพ้อฝัน เพราะข้อมูลที่เปิดเผยออกมาล่าสุดของจีนปรากฏชัดและยอมรับในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารอเมริกัน นายพลระดับสูงของอเมริกาแล้วว่า การที่อเมริกาจะก่อสงครามและดำเนินการแทรกแซงทางทหารจากช่องแคบไต้หวัน รับประกันได้ว่าจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงสำหรับอเมริกา

ท่านผู้ชมครับ ทางจีนเขาประเมินกันว่า กองทัพปลดแอกประชาชนจะใช้เวลาไม่ถึง 1 อาทิตย์ ในการชนะกองทัพสหรัฐฯ ในแปซิฟิกตะวันตกอย่างสมบูรณ์แบบ อเมริกาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากนั่งดูการตายของทหารกองทัพอเมริกาในแปซิฟิกตะวันตก และเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะพังทลายลงไปภายใน 2 อาทิตย์


กองทัพปลดแอกจีนจะพุ่งเป้ามุ่งไปที่จุดอ่อนของกองทัพสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าจำนวนทหารที่กองทัพสหรัฐฯ ประจำการในแปซิฟิกตะวันตกจะมีเกือบแสนนาย แต่กองทัพเหล่านี้กระจุกตัวอยู่ในฐานทัพเกาะเล็กๆ หลายแห่ง เช่น เกาะกวม โอกินาวา กองทัพจีนระบุชัดเจนว่าจะดำเนินการโจมตีฐานทัพเหล่านี้ด้วยการยิงขีปนาวุธขนาดใหญ่เพื่อทำลายฐานทัพกองทัพทั้งหมดของอเมริกาในแปซิฟิกตะวันตก

จากปฏิบัติการดังกล่าว จีนเชื่อว่าในการโจมตีรอบแรกเขาสามารถจัดการกองทัพสหรัฐฯ ได้ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ คาดการณ์ว่ากองทัพไต้หวันจะไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีของกองทัพจีน ถ้ามีการบุกไต้หวันได้ไม่เกิน 2 วัน จีนยืนยันอย่างมั่นคง ต่อมา คือทำให้กองทัพสหรัฐฯ เป็นอัมพาตทั้งหมดภายใน 3 วัน

จีนตั้งเป้าในการเอาชนะสหรัฐฯ ในระดับยุทธศาสตร์ได้ภายใน 7 วัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง จีนจะไม่เข้าไปพัวพันกับอเมริกามากเกินไปเกี่ยวกับปัญหาช่องแคบไต้หวัน แต่จะยุติความขัดแย้งเร็วที่สุด การจู่โจมของกองทัพจีนจะทำให้อเมริกาสูญเสียอย่างมหาศาล โดยไม่สามารถตอบโต้และยืนหยัดในการที่กองทัพสหรัฐฯ จะเข้ามาแทรกแซงด้วยอาวุธในปัญหาช่องแคบไต้หวัน มีแต่จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน

ในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ในประเด็นช่องแคบไต้หวัน กองทัพสหรัฐฯ ได้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับกองทัพปลดแอกจีนไปอย่างมาก รัฐบาลปักกิ่งและจีนรู้ดีว่าการสร้างความแข็งแกร่งของกองทัพปลดแอกประชาชนให้มีความทัดเทียมและเหนือกองทัพสหรัฐฯ เป็นหนทางเดียวที่จะรักษาเอกราช และดำรงความเป็นเอกภาพของประเทศจีนไว้


ท่านผู้ชมครับ ทำไมผมถึงเอาเรื่องนี้มาพูด ? ข้อมูลทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความลับ ผมเอามาจากหนังสือพิมพ์ Global Times ของจีน ท่านผู้ชมต้องเข้าใจว่าหนังสือพิมพ์ Global Times ของจีนนั้นเป็นปากกระบอกเสียงของประเทศจีน หรือเป็นหนังสือพิมพ์อย่างเป็นทางการของประเทศจีน คำถามมีอยู่ว่า ทำไม Global Times ถึงตีพิมพ็รายละเอียดของเรดาร์ ตลอดจนอาวุธ ขีปนาวุธ แต่ละอย่างๆ ที่ถ้าเขารบกับอเมริกาแล้ว เขาสามารถทำลายอเมริกาที่ฐานทัพนาฮา โอกินาวา ที่ฐานทัพอเมริกาที่อยู่ในเกาหลีใต้ ที่ฟิลิปปินส์ ที่ญี่ปุ่น ที่เกาหลีใต้ ที่เกาะกวม ได้ภายในเวลา 7 วันบ้าง 3 วันบ้าง แล้วเขาสามารถบุกเข้าไปยึดไต้หวันระยะเวลาไม่เกิน 2 วัน รวมทั้งเขาพูดอย่างชัดเจนเลยในบทความ ในข่าวที่ออกมา ว่า ไม่เกิน 7 วัน อเมริกาจะพ่ายแพ้ทั้งหมด ทำไม ? นี่เป็นความลับทางทหาร แต่จีนไม่ปิดแล้วจากนี้ไป นัยที่แท้จริง ความหมายที่แท้จริง การเสนอข่าวนี้ออกมาคือการส่งสัญญาณเตือน เคาะกะโหลก เคาะกบาลของอเมริกา ว่ามึงอย่าทะลึ่งนะ มึงอย่าคิดว่าแน่กว่ากู มึงไม่ได้แน่กว่ากูเลยแม้แต่นิดเดียว กูจะฟาดมึงคืนเมื่อไรก็ได้ และเตือนภัยนี้ส่งไปยังกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งตอนนี้ผู้บัญชาการทหารสหรัฐฯ ระดับสูงต่างรู้ดีว่าถ้าเกิดสงครามกับจีนเมื่อไร จะแพ้ภายใน 7 วัน อย่างที่จีนพูดจริงๆ โดยหลักการธรรมชาติแล้วจีนอยู่ในภูมิภาคนี้ อเมริกาอยู่อีกตั้งหมื่นกว่ากิโลฯ ทางโน้น 7 วันนี่พลังทลายหมด และจะทำให้เกิดการล่มสลายของประเทศอเมริกาอย่างแท้จริง นี่คือนัยที่จีนส่งสัญญาณเตือน จีนเป็นสุภาพบุรุษมาก ทำนองว่ากูวิเคราะห์เรียบร้อยแล้ว มึงสู้กูไม่ได้หรอก ทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นกูจะเล่าให้ฟังว่ากูจะฟาดมึงอย่างไร แล้วมึงรู้แล้วมึงจะทำอย่างไรได้ และนี่คือสิ่งที่เป็นความหมาย เป็นมิติของการเสนอข่าวชิ้นนี้ออกมา คือหงายไพ่ให้ดูเลย 4,500 กิโลเมตร เรดาร์จับได้ เอ็งขยับจากฮาวายมาปั๊บ กูรู้ทันที แล้วก็มีอาวุธทุกประเภท ขีปนาวุธระบบตงฟัง ดีเอฟ ที่เป็นไฮเปอร์โซนิค เร็วกว่าเสียง 17 เท่า เตรียมพร้อม เครื่องบินขีปนาวุธ หรือเรือบรรทุกเครื่องบิน กองเรือที่ 7 จะต้องรีบถอยออกไปเลย ถอยออกไปให้พ้นอย่างน้อย 4,500 กิโลเมตร หรือว่าถ้าจะปะทะกันจริงๆ อเมริกาไม่ยอมเสียเรือบรรทุกเครื่องบิน จะต้องถอยไปปักหลักอยู่ที่ฮาวาย ถ้าไปปักหลักอยู่ที่ฮาวาย อะไรเกิดขึ้น ? โอกินาวา เกาะกวม ฐานทัพที่นาฮา ที่โอกินาวา ฐานทัพของอเมริกาที่เกาหลีใต้ จะถูกทลายอย่างพังทลายพินาศฉิบหายวายป่วงหมด

จีน สุภาพบุรุษนักรบที่แท้จริง ก่อนจะรบกัน เฮ้ย ผมมีหมัดเหล็ก คุณจะเอาไหม หมัดเหล็กนี่ผมชกกำแพงได้ทะลุ เอาไหม ถ้าไม่เอาอย่าทะลึ่ง อย่าเสือก อย่าซ่านัก เพราะว่าวิเคราะห์แล้ว ปะทะกันเมื่อไรมึงก็ฉิบหายเท่านั้นเอง

ท่านผู้ชมครับ นี่คือคำเตือนของรัฐบาลจีนผ่านสื่อมวลชนของเขาเอง คือ Global Times เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จีนเปิดเผยอย่างนี้ แสดงว่าจีนกำลังเห็นแล้วว่าความเข้มข้นของการปะทะกันจะมีเกิดขึ้น เขาเลยอยากจะเตือนสติฝรั่งหน้าโง่ทั้งหลาย ผมทองหน้าโง่ทั้งหลาย ว่ามึงอย่าดูถูกเอเชีย แล้วเตือนสติญี่ปุ่น กับเกาหลีใต้ คนเอเชียที่หลงว่าตัวเองผมสีทองเหมือนกัน ทั้งๆ ที่รากเหง้าของพวกมันอยู่ในเอเชีย

คำเตือนถึง นช.ทักษิณ ระวังบ้านเมืองลุกเป็นไฟ


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมถามผมมาเยอะมากเรื่องของคุณทักษิณ ชินวัตร กับอภิสิทธิ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ผมจะพูดอย่างนี้ดีกว่า ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นน่าจะเกิดขึ้นจากตัวคุณทักษิณเอง เพราะคุณทักษิณ เป็นคนที่เคยสบายมาตลอด ไม่เคยลำบากเลย แล้วผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่ไปบอกคุณทักษิณ ทำให้เชื่อมั่นว่าเมื่อกลับมาติดคุกแล้ว ภายใน 1-2 วัน ก็ออกมาได้แล้ว ผมเชื่อว่ามีการเจรจากันแบบนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เราต้องแบ่งเรื่องคุณทักษิณ ออกเป็น 2 ด้าน เรื่องหนึ่งคือตัวคุณทักษิณเอง อีกเรื่องหนึ่งคือคดีความที่คุณทักษิณเป็นอยู่

ถ้าให้ผมย้อนกลับประวัติศาสตร์ตรงนี้ไปสักนิดหนึ่ง เมื่อประมาณปี 2551 วันที่ 21 ตุลาคม ซึ่งศาลฎีกาฯ ได้พิพากษาจำคุกคุณทักษิณ 2 ปี ซึ่งข้อหาคือ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วได้ลงนามรับรองการซื้อที่ดิน คือคุณหญิงอ้อ ไปซื้อที่ดินราคา 772 ล้านบาท จำนวน 33 ไร่ 78 ตารางวา จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย จริงๆ แล้วผมเคยพูดเรื่องนี้มานานพอสมควรว่า จริงๆ แล้วคุณทักษิณ ถ้าไม่มีอัตตา เพราะคุณทักษิณ เชื่อตลอดเวลา ช่วงนั้นคุณทักษิณ เป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศไทย ไม่มีใครทำอะไรได้ และคุณทักษิณ เข้าใจผิดมาตลอด ก็ไม่เข้าใจผิดหรอก เข้าใจถูก แล้วก็ทำมาหลายครั้งแล้ว แต่เผอิญครั้งนี้มันไม่ง่าย ก็คืออะไรก็ตามที่มันผิดกฎหมาย คุณทักษิณ สามารถจะดิ้นรนหลุดหนีออกไปได้ อาจจะด้วยการแก้กฎหมาย หรืออาจจะช่องทางที่อนุญาตให้หลุดออกไปได้


ผมบอกไปตั้งนานแล้วว่า ถ้าคุณทักษิณ ยอมเข้าไปในคุกแค่ 2 ปี ปี 2551 ผมเชื่อว่าระดับคุณทักษิณ ซึ่งมีอำนาจอยู่ในรัฐบาลโดยผ่านคุณสมัคร สุนทรเวช ตอนนั้น ในนามของพรรคพลังประชาชน อำนาจรัฐบาลอยู่ในมือทั้งหมด มีทั้ง ส.ส. ปากกล้า อย่างคุณเฉลิม อยู่บำรุง กระทรวงยุติธรรมซึ่งคุมคุกอยู่ก็อยู่ในมือของคุณทักษิณ ถ้าคุณทักษิณ เข้าไปตอนนั้นแล้วทำตัวให้เหมาะสม คนจะเห็นใจคุณทักษิณ มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเสื้อแดง คุณทักษิณ ไม่เกิน 6 เดือนก็ออกมาแล้ว พอออกมาแล้วตัวเองมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ตอนนั้นมีแค่คดีเดียว คือคดีที่ดินรัชดาฯ คดีอื่นๆ พวกหวยใต้ดิน หรือปล่อยกู้ให้กับพม่า ยังไม่มา คุณทักษิณ สามารถจะออกมาได้ตอนนั้นหลังจากอยู่ได้ 6 เดือน หรือ 8 เดือน คุณทักษิณ ก็ยังมีอำนาจมีบารมีอยู่ เพราะเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยที่แท้จริง แล้วคุณสมัคร สุนทรเวช จะดีจะชั่วอย่างไรก็ตาม คุณสมัครเขาเป็นนักเลงโบราณ ถ้าเขายืนข้างใครแล้ว เขาชนให้สุดฤทธิ์สุดเดช สุดลิ่มทิ่มประตู ซึ่งเราก็เห็นอยู่แล้ว

แล้วหลังจากนั้นคุณทักษิณ ออกมา ท่านผู้ชมครับ คนที่มีอำนาจรัฐ คุมอำนาจรัฐได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างพรรคพลังประชาชนตอนนั้น ซึ่งคุณทักษิณ เป็นเจ้าของ ท่านผู้ชมต้องเห็นด้วยกับผมว่า จะทำอะไรก็ทำได้ กระบวนการยุติธรรมอาจจะถูกเข้าไปแทรกแซง หรืออาจจะไปถูกกดดันให้คดีต่างๆ ที่เรียงคิวเข้ามา ให้มันตกไป แล้วถ้าคุณทักษิณ เข้าคุกในตอนนั้น เมื่อปี 2551 โดยไม่หนีออกไป มันไม่มีเงื่อนไขอะไรเลยที่พวกเราในฐานะผู้ประท้วงคุณทักษิณ ตอนนั้น ที่จะไปประท้วงคุณทักษิณ


คุณทักษิณ ตัดสินใจช้าไป 2551-2566 ช้าไป 15-16 ปี การตัดสินใจจากวันนั้นถึงวันนี้ ตัดสินใจที่จะมาติดคุกวันนี้ หลังจาก 15-16 ปีแล้ว เงื่อนไข สิ่งแวดล้อมมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว

2551 เป็นช่วงที่สื่อมวลชน หรือสื่อโซเชียลมีเดีย ยังไม่เจริญเติบโตเหมือนวันนี้ เพราะฉะนั้นแล้วความเห็นต่างๆ ของคุณ คนก็จะผ่านไปทางสื่อกระแสหลัก ซึ่งคุณทักษิณ ก็มีบารมีมากในสื่อกระแสหลัก โทรทัศน์แทบจะทุกช่องเลยยืนข้างคุณทักษิณ เพราะคุณทักษิณ โอดครวญตลอดเวลาว่า ทำไมแค่การให้ภรรยาเอาบัตรประชาชนตัวเองไปให้เซ็นรับรอง ยินยอมให้ภรรยาซื้อที่ดินได้ มันผิดถึงขนาดติดตะรางเชียวหรือ แต่ในข้อเท็จจริงมันผิดมาตรา 100 ของกฎหมาย ป.ป.ช. เอาล่ะ ช่างมัน

ที่ผมพยายามชี้ให้ดูก็คือว่า คุณทักษิณ พลาดตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว เพราะความที่มีอัตตาในตัวเอง แล้ววันนี้คุณทักษิณ กลับมา คุณทักษิณ กำลังเป็นจุดอ่อนของพรรคเพื่อไทย ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณเศรษฐา ทวีสิน จะทำอย่างไรกับกรณีคุณทักษิณ ผมยังเข้าใจว่าคุณทักษิณ กลับมางวดนี้เตรียมตัวเตรียมใจ ใจสงบ เข้ามาอยู่ในเรือนจำ ถึงจะไม่ได้อยู่คนเดียวที่แดน 7 แดนพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก็สามารถจะไปอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ เพราะอายุครบ อยู่ได้ เป็นโรคโน่นโรคนี่ มีหมอเต็มที่เลยที่จะให้การรับรองคุณทักษิณ เป็นโรค 1..2..3..4..5.. แล้วคุณทักษิณ สามารถจะอยู่ที่โรงพยาบาลได้โดยที่ไม่ต้องไปยุ่งกับใคร แต่ที่สำคัญ คุณทักษิณ ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว คุณทักษิณ ไม่ยอม คุณทักษิณ เข้าไปแค่ตอนบ่ายโมง แล้วตอนตีหนึ่งคุณออกมา 12 ชั่วโมง ทั้งหมด ปัญหาอยู่ที่คุณทักษิณ ทั้งๆ ที่ ... ท่านผู้ชมครับ ด้วยความสัตย์จริง ถ้าเราพิจารณาคดีของคุณทักษิณ แล้ว มันไม่ใช่คดีอาชญากรรม ไม่ได้เป็นการฆ่าตัวตาย ไม่ได้ค้ายาเสพติด ไม่ได้ฉ้อโกงประชาชน ไม่ได้ทำเว็บพนัน คือการปล่อยกู้ให้รัฐบาลพม่าอย่างมีเงื่อนงำ แต่รัฐบาลพม่าก็ใช้เงินคืนมาหมดแล้ว


หรือการทำหวยใต้ดิน ซึ่งทำหวยใต้ดินเพื่อส่งเสริมให้หวยใต้ดินมันหมดไป โดยมาซื้อหวยรัฐบาลแทนเป็นหวยใต้ดิน มันไม่ใช่คดีร้ายแรง แล้วถ้าอยู่แต่สิ่งที่คุณทักษิณ ต้องทำ แล้วคนที่เขาพร้อมจะช่วยคุณทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นการยื่นเรื่องขออภัยโทษ โน่นนี่นั่น เขาต้องการจำเลยที่เงียบสงบ ไม่มีเรื่องไม่มีราว แต่วันนี้มันปะทุออกมาแล้วนี่ ทุกคนจับตาดู ทุกขบวนเตรียมพร้อมที่จะเดินขบวนสร้างปัญหาให้ ที่สำคัญที่สุด พรรคเพื่อไทยที่จะเป็นรัฐบาลที่คุณทักษิณ มีอิทธิพลมากที่สุดในพรรคนั้น อยู่ในสภาวะอิหลักอิเหลื่อ กระอักกระอ่วนใจ ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร นี่คือปัญหาใหญ่ของคุณทักษิณ

ผมเข้าใจว่าคุณเคยมีคนแวดล้อมตัวคุณไปหมดเลย ทุกคน แล้วจู่ๆ คุณต้องมาอยู่ในห้องกว้างๆ เงียบสนิท ตกกลางคืนเขาต้องดับไฟในห้องนอน ถึงจะอยู่แดนพยาบาลคนเดียว ก็ต้องถือว่าเป็นอภิสิทธิ์สูงสุดแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่คุณทักษิณ ต้องทำ ณ วันนี้ คือคุณทักษิณ ต้องตัดใจ กัดฟัน อย่าให้ตัวเองกลับมาที่เรือนจำ แล้วก็อย่าไปแสดงความเป็นอภิสิทธิ์ ผมเข้าคุก ผมไม่ต้องตัดผม เพราะผมสั้นอยู่แล้ว คุณทักษิณ ก็ตัดผมไปสิ ใส่ชุดนักโทษ ผมเชื่อว่าคนจะปรบมือให้คุณ ปรบมือให้จริงๆ แม้กระทั่งศัตรูของคุณที่เกลียดคุณก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรกับคุณแล้ว เพราะคุณทำตามกติกาหมดทุกอย่าง ถึงมีช่องว่างอย่างไร แล้วคุณใช้ช่องว่างนั้นเพื่อเป็นอภิสิทธิ์ของคุณ คุณปิดไม่อยู่หรอก คุณทักษิณ


เคยมีคนถามผมมานานแล้วว่า คุณทักษิณ จะกลับบ้านได้อย่างไร ผมบอกว่าวิธีเดียวคือต้องยอมมาติดคุก เพราะการติดคุกนั้นมันพิสูจน์ได้หลายอย่าง พิสูจน์ว่า คุณทักษิณ นั้นรับทราบถึงคำพิพากษาศาลฎีกา ยอมรับว่าตัวเองทำผิด ข้อที่สอง การยอมรับคำพิพากษาศาลฎีกา คือการยอมรับศาลภายใต้พระปรมาภิไธยของพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมันตอบคำถามจบเรียบร้อยว่า แสดงว่าเมื่อยอมรับแล้วก็ไม่ได้มีความคิดที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ชัดเจน

สำคัญ คุณทักษิณ คุณอายุน้อยกว่าผม 2 ปี คุณเกิดปี 2492 ผมเกิด 2490 ไม่นาน คุณเปลี่ยนแปลงซะ กัดฟันซะ อยู่อย่างสงบเงียบ อย่าให้ใครมากวนคุณ ถ้าคุณจะออกไปโรงพยาบาลเพราะคุณมีโรคภัยไข้เจ็บที่หมอที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่สามารถจะรักษาได้ ก็ไปประเภทไปเช้าแล้วกลับเย็น ไม่ต้องไปค้าง ผมก็เคยออกไปโรงพยาบาลบ่อย ผมไปรักษาตาผม และโรคหลังผม แต่ผมก็ไปตอนเช้า แล้วก็กลับตอนบ่าย ของคุณอาจจะเป็นกรณีพิเศษที่ไปโดยเขาจัดรถพิเศษให้คุณ 1 คัน แทนที่เขาจะใช้รถคันหนึ่ง แล้วก็รวบรวมนักโทษทุกคนที่ต้องไปโรงพยาบาลเข้ามานั่งในรถนี้แล้วก็ไปทีเดียว แต่กรณีนี้เขาจัดรถพิเศษให้คุณคันหนึ่งเพื่อความปลอดภัย อันนี้ยอมรับกันได้ ไม่มีใครเขาว่าอะไร แต่ที่เขายอมรับไม่ได้ก็คือ หนึ่ง คุณจะต้องนอนห้องแอร์ คุณก็รู้ว่าในคุกมันไม่มีแอร์ ถ้าคุณต้องการอยู่เงียบๆ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นต้นคิดให้คุณไปอยู่ที่พิเศษกรุงเทพฯ เพราะเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มันเป็นตลาดนัด เป็นเรือนจำที่มีคนเข้า-ออกตลอดเวลา แท้ที่จริงแล้วโรงพยาบาลราชทัณฑ์เขาเตรียมห้องไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ไม่มีแอร์ให้เหมือนเดิม แล้วอยู่ตึกด้านหลัง ไม่ต้องอยู่ตึก 8 ชั้น ที่อยู่ข้างหน้า


ขออย่างเดียว คุณทักษิณ คุณปฏิบัติตัวให้เหมือนกับคนอื่นเขา แล้วคุณอยู่เงียบๆ คนจะปรบมือให้คุณ 1-2 เดือน เรื่องก็เงียบไป คุณไม่ได้มีข้อหาเหมือนอย่างคุณวัฒนา เมืองสุข ในเรื่องของการทำบ้านเช่า หรือทำบ้านขาย แล้วก็ร่วมมือกับพ่อค้า ซึ่งนั่นเป็นข้อกล่าวหาคดีแรกของคุณหมดอายุไปแล้ว คดีที่สองของคุณก็คือเรื่องเกี่ยวกับปล่อยกู้ให้พม่า ซึ่งโดยหลักการแล้ว โดยข้อเท็จจริงแล้ว พม่าคืนมาแล้ว สาม คือออกหวยใต้ดิน 3 กรรม คุณโดนเข้าไป 8 ปี ต้องถือว่าไม่เยอะ ผมคดีเดียวที่ไม่ได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ไม่ได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้น ผมโดนแต่ละกรรมๆ ไปทั้งหมด บวกทุกกรรมแล้ว 85 ปี แต่เนื่องจากศาลจำคุกได้ไม่เกิน 20 ปี ก็เลยลดลงมาเหลือ 20 ปี ผมเข้าไปปฏิบัติตัวธรรมดา ผมเข้าไป ผมอยู่อย่างสงบเงียบ เขาส่งผมไปอยู่ที่ไหน ผมก็ไปอยู่ที่นั่น เขาให้ผมไปนอนในห้องรวม ที่แดน 7 มีคนนอนอยู่ประมาณ 16 คน ห้องเล็กๆ ผมก็ปฏิบัติตามนักโทษทุกประการ ของคุณยังได้อภิสิทธิ์บ้างในบางส่วน เนื่องจากเขาป้องกัน ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย เขาก็เลยแยกให้คุณอยู่อีกห้องหนึ่ง ขาดอยู่อย่างเดียว คุณต้องทำใจให้ได้ ก็ในเมื่อคุณจะกลับมาแล้วทั้งที คุณต้องเริ่มทำใจ หรือคุณไปเชื่อใครที่หลอกคุณมา อยู่แค่ 1-2 วัน แล้วก็ปล่อยตัว มันจะได้อย่างไร บ้างเมืองลุกเป็นไฟ


ผมเห็นว่าในขณะนี้แทนที่คุณจะเป็นจุดแข็งของพรรคเพื่อไทย คุณกลับเป็นจุดอ่อนของพรรคเพื่อไทยแล้วตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าคุณสนิทกับคุณเศรษฐา แค่ไหน แต่อย่างน้อยคุณเห็นใจคุณเศรษฐา บ้าง กลายเป็นนายกรัฐมนตรีในภาวะการณ์ที่เหตุการณ์เกิดขึ้นกับคุณแบบนี้ คุณเศรษฐา ก็กลุ้มใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับเหมือนกันว่าจะเอาอย่างไรดี แล้วผมก็เชื่อว่าคุณเศรษฐา ก็ต้องยึดหลักในเรื่องกฎหมายเป็นตัวตั้ง 


แทนที่จะให้ลามและระบาดไปทางด้านนั้น คุณปรับตัวคุณเองเสียก่อน ยอมรับว่าวันนี้คุณเป็นนักโทษแล้ว ผมโดนคุก 20 ปี แต่ผมเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม แล้วมีกฤษฎีกาออกมาว่า ถ้าใครอายุเกิน 70 ลดได้ครึ่งหนึ่งเมื่อไรก็ตาม จะปล่อยออกทันที ปล่อยออกในวาระของงานพิธีราชาภิเษก

แล้วคุณทักษิณ ครับ ปีหน้าเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบรอบ 72 ปี งานพิธีก็จะใหญ่แล้วก็จะมีพระราชทานอภัยโทษครั้งใหญ่เลย ผมเชื่อเลย คุณทักษิณ ผมเชื่อเลยว่าคดีที่คุณมีอยู่ทั้งหมดสามารถที่จะ ถ้าคุณเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม ซึ่งผมเชื่อว่าคุณได้แน่นอน นักโทษชั้นเยี่ยม กฤษฎีกาก็จะใช้ได้เลยทันทีว่า ถ้าใครเกิน 70 ปี มีโทษเท่าไรก็ตาม ได้ลดครึ่งหนึ่งตามความเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม เนื่องจากว่าเป็นวันสำคัญมหามงคลครบรอบ 72 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใครอายุเกิน 70 ถ้าเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม ได้ปล่อยตัวออกทันทีเลย แต่ทั้งหมด ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อคดีมันเปิดโอกาสให้แล้วที่คุณจะได้รับพระราชทานอภัยโทษอย่างหนักเลย คุณต้องแก้ที่ตัวคุณเองก่อน คุณอย่าให้มีเรื่องมีราวขึ้นมา คุณกัดฟันอดทนหน่อยสิ คุณอายุน้อยกว่าผม 2 ปี

เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะฝากบอกคุณทักษิณไป และอยากจะบอกท่านผู้ชมทั้งหลายที่ถามว่าทำไมผมไม่พูดเรื่องคุณทักษิณ นี่ไงผมพูดแล้ว วันนี้คุณทักษิณ มาสร้างเรื่องสร้างราวขึ้นมาด้วยตัวคุณทักษิณ เอง ทั้งๆ ที่การกลับมานั้นมันสง่างาม คือการเข้ามายอมรับผิด สง่างามมาก แล้วไปพลาดเพียงเพราะว่าคุณทักษิณ คุณมีอัตตา คุณทำใจไม่ได้ คุณทำผิดกติกา แล้วมันโจ่งแจ้ง โจ๋งครึ่ม จนกระทั่งในโซเชียลมีเดียนั้น คุณทักษิณ ปีนี้ 2566 กับปี 2551 สิบห้าปีที่แล้ว บรรยากาศโซเชียลมีเดียคนละเรื่องกันเลย แล้วคุณไม่คิดหรือว่าในคุกแต่ละคุกมันก็จะมีผู้คุมหลายคน หรือนักโทษหลายคน ซึ่งมีเพื่อนฝูงซึ่งเป็นศัตรูกับคุณ คุณทำอะไรก็ตามที่มันมีอภิสิทธิ์อย่างโจ๋งครึ่ม โจ่งแจ้ง เขาสามารถที่จะแจ้งให้พรรคพวกเขาทราบ แล้วโซเชียลมีเดียก็เอาออกไปกระจาย คุณมีแต่เสียกับเสีย พรรคเพื่อไทยมีแต่เสียกับเสีย


โธ่! คุณอยู่มาตั้ง 15 ปี ข้างนอก เพียงแต่คุณอยู่สบายเกินไป จริงๆ มันก็ไม่ได้จะลำบากนักนะ ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวคุณแล้ว คุณทักษิณ สามารถที่จะขอพระราชทานอภัยโทษได้ แต่จะพระราชทานอภัยโทษให้คุณได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อคุณยังทำตัวแบบโฉ่งฉ่าง อล่างฉ่างแบบนี้ คุณคิดว่าคนที่เขาจะเสนอขึ้นไป เขากล้าเสนอเหรอ แต่ถ้าคุณอยู่เงียบสงบ ไม่เกิน 1 เดือน ทุกคนจะลืมคุณไปแล้วตอนนั้น เพราะทุกคนต้องหาเช้ากินค่ำ พวกเกรียนคีย์บอร์ดมันมีเรื่องจะทะเลาะเบาะแว้งกันเยอะแยะไปหมดเลย คุณอยู่อย่างเงียบๆ ไม่มีใครเขาสนใจ ถ้าคุณไม่สบายจริง โรงพยาบาลราชทัณฑ์เขามีระบบอยู่แล้ว ส่งคุณไป คุณจะไปไหนล่ะ หลักๆ เขาจะมีโรงพยาบาลตำรวจ ที่เขาผูกขาดเอาไว้ รามาธิบดี และราชวิถี ถ้าเกิดคุณมีหมอ ซึ่งเป็นโรคที่หมอที่โรงพยาบาลตำรวจรักษาไม่ได้ คุณจะรีเควสต์ไปอยู่ที่โรงพยาบาลพระรามเก้าของคุณก็ได้ ให้หมอตรวจเรียบร้อย คุณก็ออกเช้า แล้วก็กลับบ่าย กลับเย็น ไม่ต้องไปค้าง หรือถ้าเกิดคุณไม่สบายหนักๆ จริงๆ คุณก็ไปค้างจนกระทั่งหาย 3 วัน 4 วัน 5 วัน แล้วคุณก็กลับมาที่เรือนจำใหม่


ทั้งหมดนี้ คุณทักษิณ ครับ อยู่ที่ตัวคุณแล้ว คุณจะทำให้งานของคนที่คิดจะช่วยคุณทำยากขึ้น หรือคุณจะทำให้งานของคนที่คิดจะช่วยคุณทำได้ง่ายขึ้น สบายใจ เพราะว่าคุณต้องไม่สร้างซีน ไม่ทำให้คนเห็นว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องอภิสิทธิ์ชนจริงๆ คุณก็ปฏิบัติตามกฎ ถ้าคนทั้งเรือนจำทั้งหมดมีประมาณ 2-3 แสนคน เขาต้องตัดผมสั้น คุณก็ตัดสิ ผมว่าเท่ออก ใส่ชุดนักโทษ เวลาออกมารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ก็ให้คนถ่ายรูปมา ออกไป คุณปฏิบัติตามกติกาของราชทัณฑ์ทุกประการ ไม่ผิดพลาดเลย เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็รักคุณ นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะพูดให้คุณทักษิณ ฟัง ปฏิบัติตามกติกาไปเถอะ เพราะถ้าคุณตัดสินใจที่จะกลับมาแล้ว และคุณทำใจไม่ได้ คุณกลับมาทำไม แสดงว่าคุณต้องโดนคนหลอกให้คุณกลับมา

ท่านผู้ชมครับ วันนี้พอเพียงแค่นี้ก่อน ท่านผู้ชมคงได้ฟังหลายเรื่อง หลากหลาย สนุกสนาน มีเบื้องหน้าเบื้องหลังทุกอย่าง คงจะได้ยินหมดแล้วจากปากผม ความจริงมีหนึ่งเดียว เรื่องราวแบบนี้ท่านผู้ชมฟังที่ไหนไม่ได้ ต้องมาฟังที่รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" แล้วค่อยเจอกันใหม่อาทิตย์หน้า สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น