xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : จุดจบคู่หู “นอท-แทนไท” - สนธิขอสอนรุ่นน้องสื่อ “ละครลิง” ของชูวิทย์ - แฉ CIA FBI คุมวิกีพีเดีย - จับตาทะเลจีนใต้วุ่น! มะกันเชิดปินส์ “ซากเรือ” ใช้เป็นอาวุธ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 18 ส.ค.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่
- เตือนเด็กรุ่นใหม่ “ข่าวลือกับข่าวลวง" แฉ CIA FBI คุมวิกิพีเดีย ทำสงครามข่าวสาร
- จับตาทะเลจีนใต้วุ่น! มะกันเชิดปินส์ “ซากเรือ” ใช้เป็นอาวุธ
- หลังม่านการเมือง “รัฐบาลเพื่อไทย”
- จุดจบคู่หู “นอท-แทนไท”
- ชูวิทย์กัดนักข่าว เพราะกลัวความจริง
- สนธิขอสอนรุ่นน้องสื่อ “ละครลิง” ของชูวิทย์

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.202



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 203 [18 ส.ค. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK

แอปพลิเคชัน : SONDHI APP

ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.

ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android

เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ

YouTube : Sondhitalk

เว็บไซต์: www.sondhitalk.com

Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2566 ผมขออนุญาตสวัสดีท่านผู้ชมที่ติดตามการถ่ายทอดสดจากช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok

วันนี้เรามาอัปเดตในเรื่องของ "พระสยามพุทธาธิราช" กันสักนิด ท่านผู้ชมคงจำได้ ท่านผู้ชมที่ติดตามรายการนี้มาตลอด ว่าเราไปทำพิธีบวงสรวงศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ขอพลานุภาพศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเพื่อจัดทำพระสยามพุทธาธิราช เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2566 แล้วต่อมา วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม 2566 เราทำพิธีพลีมวลสารผงพระเครื่อง ที่บ้านพระอาทิตย์ เป็นมวลสารที่รวบรวมมาจากของอันวิเศษจากทุกสารทิศ ได้มาจากพ่อแม่ครูอาจารย์ทั่วดินแดนไทย รวมทั้งมวลสารที่ผมเก็บสะสมเอาไว้ ของต้นตระกูลของผม ไม่ว่าจะเป็นพระดีๆ ทั้งสิ้น


เฉพาะพระบางขุนพรหมอย่างเดียวก็มีประมาณ 3-4 พันองค์ ยังมีแถมสมเด็จวัดระฆังเข้าไปอีกประมาณสิบกว่าองค์ มีทั้งพระรอดกรุมหาวันที่ลำพูน อีกประมาณ 20-30 องค์ พระผงสุพรรณ พิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก ตลอดจนพระนางพญา แม้กระทั่งหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ก็มีผสมอยู่ในนั้นหมดเลย

ก็ปรากฏว่าในการทำพิธีครั้งที่สอง มีเหตุอัศจรรย์ในระหว่างทำพิธีทั้งสองครั้ง ซึ่งผมได้เล่าให้ฟังแล้ว ซึ่งระหว่างที่เราจะเริ่มทำพิธีพลีมวลสารนั้น พระอาทิตย์ทรงกลดเต็มดวง ซึ่งผมคงไม่เล่ารายละเอียดนะครับ


ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าผมเป็นห่วงมากว่าพระจะหมดเร็ว เพราะเราสร้างมาจริงๆ ไม่เกิน 2 หมื่นชุด ทั้งพระผง และพระโลหะ เราประกาศมาสองสัปดาห์แล้ว ยอดจองที่เข้ามาตกประมาณ 1 หมื่นชุด สรุปแล้วเหลืออีก 1 หมื่นชุด ใน 1 หมื่นชุดนี้เราต้องกันเอาไว้ 2 พันชุด เพื่อเอาไปแจกตามวัดวาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และผู้ที่ช่วยงานอีก เพราะฉะนั้นเหลือจริงๆ ประมาณ 8 พันชุด ซึ่ง 8 พันชุดนี้ ผมคิดว่าไม่น่าจะเกินเดือนกันยายน ก็หมดแล้ว เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมอย่าหาว่าผมเร่งเลยนะครับ หมดแล้วหมดเลย เพราะการทำงานชิ้นนี้ไม่ได้ทำเพื่อเป็นพุทธพาณิชย์ ปริมาณที่เราจัดทำนั้นก็เป็นปริมาณที่เล็กน้อยมาก ในลักษณะปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นพุทธพาณิชย์ที่อื่นๆ แล้ว น่าจะทำกันเป็นแสนองค์ แต่เราทำแค่ 2 หมื่นองค์ ท่านผู้ชมครับ รีบเข้ามากันนะครับ เพื่อจะได้ปิดบัญชีกัน และเงินทุกบาททุกสตางค์ ท่านผู้ชมครับ ขอยืนยันนะครับ จะเอาไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในทุกด้าน เอาไปทำบุญ แล้วก็ช่วยเหลือประชาชนบนแผ่นดินนี้ แล้วถ้ามีเงินเหลือก็จะเอาไปทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดูแลปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้มีความมั่นคง เจริญรุ่งเรือง ยั่งยืนสืบต่อเนื่องไป


ท่านผู้ชมครับ ทุกบาททุกสตางค์ที่ขายไปนั้น เราไม่ได้หักค่าใช้จ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว ต้นทุนในการทำพระทุกอย่าง ผมเป็นคนออกคนเดียว ผมร่วมทำบุญ แล้วก็ขอให้ท่านผู้ชมมาร่วมอนุโมทนาบุญกันด้วย นานๆ จะมีของดีๆ ทำแบบนี้ออกมาสักครั้งหนึ่ง แล้วก็อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า เมื่อผมดูตัวเลขที่จองเข้ามาแล้ว ตกใจ ประมาณ 1 หมื่นชุดแล้ว เหลือแค่หมื่นเดียวเท่านั้นเอง ท่านผู้ชมรีบเร่งเลยนะครับ หมดแล้วหมดเลย และจะเป็นพระที่คนแสวงหากันมาก นี่ยังไม่ได้พูดถึงพิธีพุทธาภิเษก ซึ่งเรากำลังจะจัดขึ้นมาอย่างใหญ่โตมโหฬาร เราจะนิมนต์เกจิอาจารย์ทั่วประเทศไทย เหนือ ใต้ ออก ตก ภาคกลาง เข้ามาร่วมทำพิธีพุทธาภิเษกกัน


ท่านผู้ชมสนใจเข้ามาที่ไลน์ (LINE) @tambun มีพระผง 1 องค์ เหรียญโลหะ 1 องค์ ราคา 2,000 บาท

ท่านผู้ชมอย่าลืม โอเลี้ยงโบราณ สูตรคุณแม่ผม ที่ SUN PAN ตอนนี้มีจัดจำหน่ายอยู่ที่ร้าน SUN PAN ถนนวิภาวดีฯ ปั๊ม ปตท. ตรงกันข้ามกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ไปซื้อกันได้ทุกวัน ทุกวันนี้ผมทานโอเลี้ยง 1 แก้ว ทุกวันก่อนเริ่มงาน จะทำให้กระปรี้กระเปร่า


อีกอันหนึ่งซึ่งผมต้องการให้ท่านผู้ชมอย่าลืมเป็นอันขาด คือ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" เป็นตำรับยาหลวง มีสมุนไพร 21 ชนิด ตามตำราแผนไทยแห่งชาติ ซึ่งเป็นยาอายุวัฒนะในสมัยรัชกาลที่ 5 "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยขับลม แก้ลม แก้เส้น ช่วยให้พลังงานในการขับเคลื่อนระบบทางเดินอาหาร ช่วยย่อยไขมัน เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เหมาะจะมาใช้ควบคุมผู้ที่ใช้กัญชาเป็นยาเดี่ยวในทางการแพทย์

"ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ของอาจารย์ปานเทพ ได้ขึ้นทะเบียน อย. สำเร็จเป็นรายแรกในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ในประเทศไทยนะครับ ของอาจารย์ปานเทพ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ขึ้นบัญชีทะเบียน อย. ได้แล้ว เจ้าแรกเลย เลขทะเบียน อย. คือ G291/66 ท่านผู้ชมรับประทานทุกวัน วันละซอง จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ผมทานมาทุกวัน สามปีแล้ว ไม่เคยขาดเลยแม้แต่วันเดียว


ท่านผู้ชมที่ซื้อ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ครบ 4 กล่อง อาจารย์ปานเทพ มีหนังสือมาแจก 1 เล่ม ซึ่งเป็นหนังสือคู่มือการใช้สมุนไพร เพื่อป้องกัน รักษาโรคให้ได้ผล จัดทำโดยสภาเกษตรกรแห่งชาติ 1 เล่ม พร้อมแจกเมล็ดสายพันธุ์ที่ชื่อ "ฝอยทอง ภูผายล" สายพันธุ์ที่ขึ้นตามธรรมชาติ มีคุณภาพดี คนละ 10 เม็ด โปรโมชันมีถึงสิ้นเดือนนี้นะครับ

ท่านผู้ชมสามารถจะเข้าไปใน inbox ได้ที่ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์ (www.sunherbth.com) หรือเข้าไปที่ Lazada, Shopee ค้นหาคำว่า "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์" หรือ "Sunherb"

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เรามีเรื่องไม่มากและไม่น้อย แต่ว่าเป็นเรื่องที่เข้มข้นทุกเรื่อง เรื่องแรก ผมจะอัปเดตการฟ้องหมิ่นประมาทยูทูปเบอร์ คุณเนม รติศา แล้วผมให้คำเตือนต่อเด็กรุ่นใหม่กับ "ข่าวลือ และ ข่าวลวง" ว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่

ผมจะเสริมเรื่องที่หนึ่งด้วย อดีตผู้ก่อตั้งวิกิพีเดีย (Wikipedia) แฉว่าทั้ง CIA และ FBI คุมวิกิพีเดีย ชี้ชัดใช้ทำสงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมีการบิดเบือน ดัดแปลง ข้อมูลวิกิพีเดีย เพื่อให้ประโยชน์เกิดขึ้นกับทางโลกตะวันตก

เรื่องที่สาม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมา แต่คนไทยไม่ค่อยให้ความสนใจ แต่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ตอนนี้ทะเลจีนตอนใต้วุ่นมาก อเมริกาเชิดฟิลิปปินส์ ซึ่งประธานาธิบดี นายบองบอง มาร์กอส ลูกของอดีตจอมเผด็จการของฟิลิปปินส์นั้นอยู่ในค่ายและแคมป์ของอเมริกา เป็นเครื่องมือ ใช้ซากเรือเป็นอาวุธวางอยู่บนสันดอนที่อยู่บนเกาะที่จีนอ้างว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะหนานซา ของจีน และมีการรับปากว่าจะลากเรือออกไป 24 ปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ ยังไม่ลาก แต่กลับเสริมกำลังเข้ามา อาจจะก่อให้เกิดชนวนของการปะทะกัน เพราะว่าอเมริกานั้นอยู่เบื้องหลังฟิลิปปินส์

เรื่องที่สี่ ท่านผู้ชมคงอยากจะรู้ว่าการเมืองตอนนี้่จะเป็นอย่างไร ผมสรุปให้ฟัง ที่พอจะเข้าใจดี คือ หลังม่านการเมือง การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี 22 สิงหาคม 2566

เรื่องที่ห้า เป็นเรื่องเก่า แต่ไม่ได้เอามาเล่าใหม่ มาอัปเดตกันใหม่ จุดจบคู่หูของคุณนอท กองสลาก พันธวัช และคุณแทนไท ป้ายแพง สรุปดีเอสไอสั่งฟ้อง ร่วมจัดให้เล่นการพนัน และฟอกเงิน

เรื่องสุดท้าย แน่นอนที่สุด พลาดไม่ได้เลย หลายๆ ท่านก็รออยู่ งานนี้ผมจะจัดให้คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อีกครั้งหนึ่ง แต่มันมีมากกว่าคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผมจะถือโอกาสขออนุญาตใช้ความอาวุโสของผมในวงการ ผมอยู่ในวงการสื่อมวลชนมา 50 ปีแล้ว ผมเห็นมาหมด แล้วผมจะให้คำแนะนำกับรุ่นน้อง รุ่นลูก รุ่นหลาน ที่กลายเป็นนักข่าวภาคสนามกัน ว่าควรจะปฏิบัติตนอย่างไรให้สมศักดิ์ศรีกับอาชีพนักข่าว และผมก็จะถือโอกาสเตือนสื่อหลักๆ ไม่ว่าจะเป็นทีวีทุกช่อง หรือว่าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ให้ระมัดระวัง ระมัดระวังอย่างไรเดี๋ยวค่อยตามมาฟังผมก็แล้วกัน

เตือนเด็กรุ่นใหม่ “ข่าวลือกับข่าวลวง"


ท่านผู้ชมครับ ผมเคยประกาศผ่านรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อสองสัปดาห์ก่อน เมื่อวันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 เกี่ยวกับการบิดเบือน เสกสรรค์ปั้นแต่งข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์ ยกตัวอย่าง อย่างเช่นยูทูปเบอร์สาว ช่อง NailName ที่ชื่อ "เนม" รติศา วิเชียรพิทยา ซึ่งจู่ๆ ก็ออกมาทำคลิป กล่าวพาดพิงถึงผมและมโนโซเชียลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผม กับคุณทักษิณ บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างโน้นอย่างนี้ ยืมเงินกันมาอย่างนี้ พอไม่ให้ผมก็เลยออกมาประท้วงคุณทักษิณ เมื่อได้ฟังสิ่งที่คุณเนม รติศา พูดนั้นไม่ได้มีแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้เลยแม้แต่นิดเดียว เธอพูดไปประโยคหนึ่งว่า "ทฤษฎีที่ชาวเน็ตเชื่อ" พูดอีกประโยคหนึ่งก็บอกว่า "ข่าวเมาท์มอยในตำนาน" พูดอีกประโยคหนึ่งก็อ้างว่า "Quote นี้ ชาวเน็ตแชร์กันเยอะ"

ผมบอกไปแล้วว่า คำว่า "ทฤษฎีที่ชาวเน็ตเชื่อ", "ข่าวเมาท์มอยในตำนาน", "เรื่องนี้ชาวเน็ตแชร์กันเยอะ" ผมอยากให้คุณเนม กับทนาย เอาไปอ้างอิงในศาลหน่อย ลองดูว่าผู้พิพากษาจะว่าอย่างไร

ท่านผู้ชมครับ นี่คือคำฟ้องที่ผมยื่นฟ้องไปแล้ว จะมีการไต่สวนมูลฟ้องเร็วๆ นี้ ภายในไม่เกินเดือนตุลาคม ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา

เรี่องคุณเนม ทนายผมได้ส่งคำฟ้องไปเรียบร้อยแล้ว วันศุกร์ที่แล้ว วันที่ 11 สิงหาคม 2566 เป็นคดีดำ หมายเลข อ 2362/2566 ศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องครั้งแรกวันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม เวลา 09.00 น.


ทั้งนี้ หลังจากผมประกาศว่าผมจะดำเนินคดีกับยูทูปเบอร์ คุณเนม รติศา ก็มีคนเข้ามาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในคลิปของคุณเนม คลิปของ SONDHI TALK และเว็บไซต์ Sondhi Talk หลายๆ ความเห็นที่พูดถึงคุณเนม กับคนรุ่นใหม่บางกลุ่มที่เชื่อคุณเนม เขาบอกไว้อย่างนี้ว่า 

-สมัยนั้นน้องอาจจะอยู่มัธยม การหาข้อมูลจากกูเกิลมันต้องเลือกนะครับ Fact (ข้อเท็จจริง) กับ Opinion (ความเห็น) ต้องแยกให้ออก ข้อมูลบิดเบือน มั่วเยอะมากนะครับ ซึ่งมีเยอะจริงๆ พวกรู้มาก รู้เยอะ แต่รู้ไม่จริง แล้วชอบเสียงดัง แต่ก็ยินดีด้วยครับที่โดนฟ้องแล้ว 

-แค่เรื่องทักษิณโดนเนรเทศก็มั่วแล้ว ขนาดจตุพรเพิ่งไปโหนกระแส ยังบอกว่าตั้งใจหนีไป ทั้งๆ ที่รูปวิดีโอตอนกราบสนามบินก็มีครบ ยังมั่วได้อีก แล้วเด็กก็เชื่อ นี่คือคนรุ่นใหม่เหรอครับ ตาสว่างแบบไหนกัน ตั้งคำถามกับตัวเองบ้างนะ เยาวรุ่น 

-น่าแปลกตรงที่ว่าด้อมวัยนี้ 30-35 ปีแล้ว โง่ทุกตัว ไม่มีข้อมูลเก่าๆ ครั้งในอดีตเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ถ้าได้จดจำหรือสนใจการเมืองในช่วงนั้น จะรู้ข้อมูลเยอะกว่านี้ จริงๆ แล้วน่าจะมีข้อมูลในสมองมากกว่าคนวัย 20-29 ปี เสียด้วยซ้ำ แต่อย่างว่าล่ะครับ โตขึ้นมาก็เจอโซเชียลที่ชอบใช้จำอวดทำโชว์ตามยูทูบ เรื่องไม่จริงเสียส่วนใหญ่ เรื่องจริงจะอยู่ในช่องข่าวทีวี เพราะถ้าไม่จริง บรรณาธิการไม่กล้าลง กลัวโดนฟ้อง รายได้จากยูทูบจากพอค่าทนาย ค่าปรับหรือเปล่าไม่รู้นะ งานนี้ซวยออกยูทูบเลย

มีอีกคอมเมนต์หนึ่งครับ ประเทศไทยขับเคลื่อนด้วยข่าวลือ ตั้งแต่ยุคที่มนุษย์มีภาษาพูดแล้วมั้ง ยุคข่าวสารปากต่อปาก ต่อด้วยการพิมพ์ใบปลิว ทุกสื่อสิ่งพิมพ์ ยุคสื่อดิจิทัล ตอนนี้ทุกคนมีมือถือ ก็คือสามารถเสพข่าวปลอมได้ทุกที่ทุกเวลา ปัญหาใหญ่ของประเทศคือไอ้ข้อมูลเท็จนี่ล่ะ ทำอย่างไรให้คนในชาติถึงจะแยกเรื่องจริง-เรื่องลวงได้ แต่ละคนมีความสามารถแต่ละอย่างไม่เท่ากัน ตัวอย่างในอดีตก็มีมามากแล้ว


ท่านผู้ชมครับ สืบเนื่องจากเรื่องเด็กรุ่นใหม่แยกแยะ "ข้อเท็จจริง" กับ "ความคิดเห็น" ไม่ออก อย่างคุณเนม รติศา รวมไปถึงเด็กรุ่นใหม่ และคอนด้อมส้ม ที่โตมากับอินเทอร์เน็ต และเสพติดโซเชียลมีเดีย อย่างที่กรณีนิตยสาร TIME ขึ้นปกไว้เมื่อสิบปีที่แล้ว (2556) เขาบอกว่า THE ME ME ME GENERATION หรือ Generation Me ซึ่งเขาอธิบายความหมายไว้ว่าเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่มองตัวเองสำคัญที่สุด มองตัวเองเป็นศูนย์กลาง เข้าขั้นหลงตัวเอง

Generation Me เมื่อโตขึ้นมาในโลกที่มีอินเทอร์เน็ตแล้ว พอโตขึ้นมาก็ใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นสรณะ พอได้เห็นวิถีชีวิตของพี่น้องเพื่อนฝูงที่แชร์เรื่องแชร์ราว แชร์ภาพอวดลงโซเชียล ทำให้ตัวเองรู้สึกอยากได้อยากมีบ้าง นั่นเป็นที่มาของคำว่า "ของมันต้องมี"

นอกจากนี้แล้ว พอมีอินเทอร์เน็ต มีโซเชียล ก็นึกว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง ฉลาดเฉลียวกว่าทุกคน อ้างเป็นข้อมูลเบิกเนตร ตาสว่าง ไม่เพียงเท่านั้น Generation Me ยังชอบเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นในโลกโซเชียล คาดหวังต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวเองในระดับที่สูงปรี๊ด เพราะรู้สึกว่าตัวเองฉลาด ก็อยากให้คนอื่นยอมรับ อยากได้งานดีๆ เงินเดือนสูงๆ แต่พอเจอโลกแห่งความเป็นจริง หลายคนจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ก็ยิ่งพยายามสร้างตัวตนให้โดดเด่นมากขึ้นในทางใดทางหนึ่ง นอกจากนี้แล้ว ยังมีความมั่นใจว่าตัวเองนั้นทำได้ทุกอย่าง ซึ่งยิ่งทำให้คนรุ่นนี้หมกมุ่นเฉพาะเรื่องราวของตัวเอง

ผมมีข้อมูลบางอย่างเอามาเบิกเนตรพวกคนรุ่นใหม่ พวกด้อมส้ม คอนด้อมส้ม หรือ Generation Me ที่หลงตัวเอง และนึกว่าตัวเองมีอินเทอร์เน็ต เล่นโซเชียลเป็นแล้วจะฉลาดกว่าคนอื่น เพราะข้อมูลนั้นมีอยู่เต็มโลกโซเชียล ออนไลน์ แต่ประเด็นคือ คนรุ่นใหม่พวกนี้กลับแยกแยะระหว่าง "ข้อเท็จจริง" (Fact) กับ "ความคิดเห็น" (Opinion) ไม่ออก นอกจากนั้นแล้ว คนรุ่นใหม่พวกนี้ยังแยกแยะไม่ออก ระหว่าง "โฆษณาชวนเชื่อ" (Propaganda) "ข่าวปลอม" (Fake News) "ข้อมูลเท็จ/ข่าวลวง" (Misinformation) "ข้อมูลบิดเบือน" (Disinformation) นี่จึงเป็นที่มาของการออกมาฉอดๆๆ ของอินฟลูเอนเซอร์ ยูทูปเบอร์ ติ๊กต่อกเกอร์หิวแสงจำนวนมาก นี่ไม่ใช่เฉพาะคุณเนมเท่านั้นนะ ที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ศึกษาอะไรมา เรียนจบอะไรมาก็ไม่รู้ เคยทำงาน มีประสบการณ์เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารหรือไม่ ไม่เคยเป็นนักข่าว ไม่เคยเป็นบรรณาธิการ ไม่เคยสัมผัสของจริง เพียงแต่ฟังเขาเล่ามา เขาเขียนมา เขาเมาท์มา แต่จู่ๆ ก็ออกมาเล่าข่าว เอาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ในโซเชียล มาเล่าเป็นตุเป็นตะโดยไม่คัดกรอง แถมยังใส่ความคิดเห็นที่บิดเบี้ยวของตัวเองอีกด้วย

ท่านผู้ชมครับ คุณเนมครับ คดีคุณกับผมคงต้องยาว เพราะว่ามี FC ผมเยอะเลยบอกมาว่าอย่าไปยอมความนะ อย่าไปยอมความ อย่าใจอ่อนนะ จะขอขมาขอร้องอะไร อย่าไปยอมเด็ดขาด ไปให้สุดซอย คุณเนมครับ ผมให้คำมั่นสัญญากับ FC ผมไปเลย คุณเนม ขอโทษทีนะครับ จริงๆ ผมไม่อยากทำอะไรคุณ เพราะคุณมันไม่ไหว แต่ผมคิดว่าเมื่อ FC ขอร้องมา ผมก็คงต้องดำเนินคดีคุณไปสุดซอย ถึงขั้นศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ไปถึงที่สุด จนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษามาเป็นคำพิพากษาสุดท้ายก็แล้วกัน

ขอให้คุณมีความสุขกับการใช้ชีวิตที่จะต้องรอฟังคำพิพากษาของศาลต่อไป ทุกวันนี้คุณก็ยังลันล้าอยู่กับการออกรายการของคุณ ผมเตือนคุณอย่างนะครับ ระวังให้ดีๆ ข้อมูลที่คุณเอามานั้น มันไม่ใช่ข้อมูลเบื้องต้น คุณไม่ได้สัมผัสมา คุณเอาข่าวเมาท์ข่าวมอยที่คุณอ้างถึง เขาแชร์กันในอินเทอร์เน็ต เอามาลง แสดงว่าใครแชร์ในอินเทอร์เน็ต ถ้าถูกใจคุณ คุณก็เอามาลงใช่ไหม ถูกหรือผิดคุณไม่สนใจ

แฉ “CIA-FBI” คุม Wikipedia


ท่านผู้ชมครับ เรามาดูเรื่องนี้กันดีกว่า เพราะมันตอกย้ำสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อกี้นี้ อดีตผู้ก่อตั้งวิกิพีเดีย (Wikipedia) ท่านผู้ชมคงรู้จักวิกิพีเดีย ใช่ไหม อดีตผู้ก่อตั้งเขาออกมาแฉว่า CIA และ FBI คุมวิกิพีเดีย ชี้ชัดใช้ทำสงครามข้อมูลข่าวสาร

นายแลร์รี แซนเจอร์ (Larry Sanger) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งวิกิพีเดีย ออกมาให้สัมภาษณ์ใน podcast ชื่อ System Update ของ Greenwald ผู้สื่อข่าว นักเขียนหนังสือ และอดีตทนายชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียง เขาได้เปิดเผยบทสัมภาษณ์ของนายแลร์รี แซนเจอร์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งวิกิพีเดีย สารานุกรมออนไลน์ชื่อดัง โดย podcast ดังกล่าวใช้ชื่อตอนว่า "วิกิพีเดีย จากเสรีภาพของความรู้ ไปสู่เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ" (Wikipedia: From Democratized Knowledge to Left-Establishment Propaganda)


แลร์รี แซนเจอร์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งวิกิพีเดีย เมื่อปี 2544 หรือยี่สิบสองปีที่แล้ว ปัจจุบันอายุ 55 ปี เขาเล่าให้ฟังว่า หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เข้าไปแทรกแซงและจัดการกับสารานุกรมออนไลน์ชื่อดังแห่งนี้มาเป็นเวลานานกว่าสิบปีแล้ว โดยวิกิพีเดีย ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลายๆ อย่างที่องค์กรเสรีนิยมของอเมริกาและพันธมิตรในแวดวงข่าวกรองใช้ทำสงครามข้อมูลข่าวสาร

แลร์รี แซนเจอร์ เล่าอีกว่า วิกิพีเดียที่เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งนั้น ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายซ้ายเสรีนิยมของอเมริกา ซึ่งรวมถึงหน่วยงานข่าวกรองและหน่วยงานความมั่นคงของอเมริกาอย่าง CIA และ FBI ด้วย

แลร์รี แซนเจอร์ บอกว่า เรามีหลักฐานว่าตั้งแต่ปี 2551 หรือสิบห้าปีที่แล้ว เป็นต้นมา คอมพิวเตอร์ของ CIA และ FBI ถูกใช้เพื่อแก้ไขวิกิพีเดีย เขากล่าวว่า จากวันนั้นมาถึงวันนี้คุณคิดว่าพวกเขาจะเลิกทำแบบนั้นแล้วหรือ

การแทรกแซงและควบคุมวิกิพีเดียโดย CIA และ FBI ถูกเปิดโปงเป็นครั้งแรก โดยโปรแกรมเมอร์ที่ชื่อนาย Virgil Griffith สมัยยังเป็นนักศึกษาเรียนปริญญาตรีที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (CIT : California Institute of Technology) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยทางเทคโนโลยีระดับเดียวกับ MIT แต่เผอิญ MIT ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของอเมริกา ตอนนี้ CIT ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเมือง Pasadena รัฐแคลิฟอร์เนีย แล้วเขามีส่วนอย่างมากในการพัฒนาแพลตฟอร์มคริปโทเคอร์เรนซีชื่อดัง อย่างเช่น อีเธอเรียม (Ethereum)


ปี 2550 นาย Griffith พัฒนาโปรแกรมชื่อ WikiScanner ที่สามารถติดตามตำแหน่งของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการแก้ไขบทความในวิกิพีเดีย แล้วเขาพบว่า CIA และ FBI องค์กรขนาดใหญ่ และหน่วยงานรัฐหลายแห่ง ได้ทำการแก้ไข ฟอกขาวข้อมูลของตัวเองที่ถูกขุดค้นและกล่าวหาบนวิกิพีเดีย ยกตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์ของ CIA ถูกนำมาใช้แก้ไขข้อมูลในวิกิพีเดีย เพื่อลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากสงครามอิรักลง เครื่องคอมพิวเตอร์ FBI ถูกใช้เพื่อลบภาพถ่ายทางอากาศและดาวเทียมของเรือนจำสหรัฐฯ ที่อ่าวกวนตานาโม ในคิวบา

คอมพิวเตอร์ของ CIA ถูกใช้แก้ไขบทความหลายร้อยบทความ รวมทั้งบทความของนายมาห์มุด อาห์มาดิเนจัด ประธานาธิบดีของอิหร่านในขณะนั้น นอกจากนั้นยังมีการแก้ไขข้อมูลโครงการนิวเคลียร์ของจีน กองทัพเรืออาร์เจนตินาด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น WikiScanner ของนาย Griffith ยังตรวจพบถึงการแก้ไขเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น มีการแก้ไขข้อมูลของนายวิลเลียม โคลบี (William Colby) อดีตผู้อำนวยการ CIA เพื่อเชิดชูความสำเร็จของนายโคลบี ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการ และผู้อำนวยการ CIA ระหว่างปี 2516-2519

นายแซนเจอร์ ผู้ร่วมก่อตั้งวิกิพีเดีย บอกว่า หน่วยข่าวกรองจ่ายเงินให้กับบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุด เพื่อผลักดันวาระ (agenda) ของพวกเขา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วพวกนี้มีแนวคิดสอดคล้องอยู่แล้ว หรือไม่หน่วยข่าวกรองพวกนี้ก็ปั้นคนของตัวเองขึ้นมาเพื่อใช้ข้อมูลในวิกิพีเดียที่หน่วยข่าวกรองพวกนี้ควบคุมอยู่แล้ว ผลักดันในสิ่งที่พวกเขาต้องการพูดไปสู่กลุ่มมวลชนของเขา

แลร์รี แซนเจอร์ ยังยืนยันด้วยว่า ปัจจุบันข่าวกรองและสงครามข้อมูลส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ บนเว็บไซต์ เช่น วิกิพีเดีย


ประมาณปี 2565 นายอีลอน มัสก์ (Elon Musk) เจ้าของทวิตเตอร์ และปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น X ได้เผยแพร่ข้อมูลและเอกสารจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่าอดีตผู้บริหารทวิตเตอร์สมรู้ร่วมคิดกับ FBI เพื่อลบเนื้อหา FBI ที่ต้องการจะซ่อน โปรโมตเนื้อหาและแคมเปญที่สร้างแรงกระเพื่อมทางโลกออนไลน์ให้กับกองทัพสหรัฐฯ เซ็นเซอร์เนื้อหาต่อต้านสงครามในยูเครน ในนามของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ หลายแห่ง

ขณะที่นายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเฟซบุ๊ก ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Meta เขายอมรับตรงๆ เลยว่า เฟซบุ๊ก เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ถูกร้องขอให้เซ็นเซอร์ข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นข้อมูลเชิงลบของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ระหว่างการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ปี 2563 ตามคำร้องขอโดยตรงของ FBI ด้วย


ประเด็นครับ คุณเนมครับ นี่ล่ะครับความจริงที่เด็กรุ่นใหม่ คอนด้อมส้ม ยูทูปเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ทั้งหลายต้องหัดคิด วิเคราะห์ แยกแยะด้วยว่าสิ่งที่ตัวเองรับมานั้น อันไหนคือข้อเท็จจริง อันไหนเป็นข่าวจริง ข่าวปลอม ข่าวลวง ข่าวบิดเบือน อันไหนเป็นโฆษณาชวนเชื่อ ไม่ใช่พวกคุณฟังอะไรมา เห็นอะไรมา เมาท์อะไรมา คิดว่าเป็นเรื่องจริงไปเสียหมด ที่สำคัญ ไม่เพียงแต่คิด แต่เอาเรื่องโกหก เรื่องบิดเบือนที่เขาร่ำลือกันมาเล่าต่อจนเป็นตุเป็นตะ เป็นเรื่องเป็นราว

ที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดนั้น ไม่ใช่อยากจะเยาะเย้ยหรือซ้ำเติมใคร แต่เป็นไปด้วยความหวังดีจริงๆ ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองคนไหน ได้ฟัง เห็นว่ามีสาระ นำไปสั่งสอน ตักเตือน แนะนำลูกๆ หลานๆ ด้วยนะครับ คุณเนมครับ เราไปเจอกันในศาลครับ คงจะต้องเจอกันอีกนานแสนนานครับ

สหรัฐใช้ซากเรือเชิดฟิลิปินล์


ท่านผู้ชมครับ เราไม่ได้พูดถึงเรื่องความขัดแย้งในทะเลจีนตอนใต้ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า South China Sea มานานแล้ว วันนี้จะพูดเรื่องๆ หนึ่ง แต่ว่าเป็นเรื่องที่ถ้าท่านผู้ชมติดตามอย่างผิวเผิน ดูเหมือนว่าไม่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้อาจจะกลายเป็นถูกจุดให้เป็นชนวนในการก่อสงครามในทะเลจีนใต้ เรื่อยไปจนถึงเกาะไต้หวัน ได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะว่าพื้นที่ที่เกิดเหตุนั้น ในทะเลจีนใต้ เป็นพื้นที่คาบเกี่ยว เกี่ยวข้องชาติสมาชิกอาเซียนและเพื่อนบ้านของไทย ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน จีน และ ไต้หวัน

จริงๆ แล้วประเด็นความขัดแย้งเรื่องทะเลจีนใต้ไม่ได้แตกต่างอะไรไปกว่าประเด็นของแม่น้ำโขง แต่เผอิญเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่า เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเขตแดนทางทะเล เส้นทางเดินเรือ แหล่งทรัพยากรจำนวนมหาศาล สาเหตุที่เกิดความวุ่นวายแบบไม่จบไม่สิ้น เจรจากันไม่ลงตัว ก็เพราะว่ามีมหาอำนาจอย่างเช่นอเมริกา ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับภูมิภาคนี้แต่อย่างใด ยื่นมือเข้ามาแทรกแซง ปลุกปั่น สนับสนุนให้เกิดความขัดแย้งกัน


อเมริกาได้ยุยงให้ฟิลิปปินส์ใช้ซากเรือรบผุพัง เพื่ออ้างกรรมสิทธิ์ในแนวปะการังเหรินอ้าย เจียว (Ren'ai Jiao) ซึ่งเป็นชื่อที่จีนตั้งเอาไว้ ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทในทะเลจีนตอนใต้ พฤติกรรมของอเมริกา และฟิลิปปินส์ ทำให้รัฐบาลจีนตอบโต้ โดยทวงสัญญาในอดีตที่ฟิลิปปินส์เคยรับปากว่าจะถอนซากเรือนี้ออกไป และจีนก็ประณามสหรัฐฯ ที่แทรกแซงเรื่องทะเลจีนใต้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เหมือนกับอเมริกาแทรกแซงเรื่องแม่น้ำโขง ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลย

เรื่องของเรื่องคือ บริเวณหมู่เกาะสแปรตลีย์ ในทะเลจีนใต้ มีแนวปะการังเล็กๆ แห่งหนึ่งที่กำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกปั่นความขัดแย้งระหว่างจีน และฟิลิปปินส์ แนวปะการังนี้มีความยาวเหนือจรดใต้เพียง 20 กิโลเมตรนี้ มีชื่อในทางสากลเรียกว่า สันดอนโทมัสที่ 2 ภาษาอังกฤษเรียกว่า Second Thomas Shoal ภาษาจีนเรียกว่า เหรินอ้าย ฟิลิปปินส์เรียกว่า อายุนกิน อยู่ห่างจากเกาะปาลาวันของฟิลิปปินส์ 105 ไมล์ทะเล หรือ 194 กิโลเมตร ห่างจากไต้หวันประมาณ 200 กิโลเมตร


พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่พิพาทฟิลิปปินส์ จีน ไต้หวัน มาเลเซีย บรูไน และ เวียดนาม ต่างอ้างกรรมสิทธิ์ ฟิลิปปินส์อ้างว่าแนวปะการังนี้อยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของฟิลิปปินส์ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล ขณะที่ฝ่ายจีนอ้างว่าแนวปะการังนี้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะหนานซา สังกัดมณฑลไห่หนาน


2542 หรือยี่สิบสี่ปีที่แล้ว ฟิลิปปินส์รุกคืบแสดงสัญลักษณ์อ้างสิทธิ์ในพื้นที่ โดยนำซากเรือเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ชื่อว่า BRP Sierra Madre มาจอดทิ้งเกยตื้นบนแนวปะการังเหรินอ้าย พร้อมยังส่งนาวิกโยธินฟิลิปปินส์จำนวนหนึ่งมาประจำการบนซากเรือนี้ แต่ฟิลิปปินส์ต้องใช้เรือขนส่งอาหาร น้ำ และเชื้อเพลิง มาให้นาวิกโยธินที่อยู่บนซากเรืออยู่เป็นประจำ และหลายครั้งก็เกือบจะปะทะกับกองเรือตระเวนของจีนที่อยู่ในพื้นที่


ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2566 เกิดการปะทะกัน เมื่อเรือฟิลิปปินส์นำเสบียง อาหาร น้ำ และเชื้อเพลิง ไปส่งให้ทหารบนซากเรือ BRP Sierra Madre แล่นเข้าไปใกล้พื้นที่ที่กองเรือยามฝั่งของจีนลาดตระเวนอยู่ เรือยามฝั่งของจีนจึงประกาศเตือน แล้วก็ฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าใส่เรือของฟิลิปปินส์ เหตุที่เกิดขึ้นเรือฟิลิปปินส์ไม่ได้รับความเสียหาย ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่ฟิลิปปินส์กลับโหมประโคมข่าวใหญ่โต อ้างว่าเรือจีนทำเกินกว่าเหตุและก้าวร้าว

ขณะเดียวกัน ลูกพี่ใหญ่ของฟิลิปปินส์ คือ อเมริกา และลูกพี่รองอย่างออสเตรเลีย ออกมาเด้งรับลูกทันที บอกว่า จีนละเมิดเสรีภาพในการเดินเรือ ทะเลจีนใต้เป็นน่านน้ำสากลที่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะใช้ประโยชน์ โดยจากเหตุการณ์นี้ อเมริกาส่งเครื่องบินรบและเรือรบไปคุ้มครองเรือของฟิลิปปินส์ และยกสนธิสัญญาว่าด้วยการป้องกันประเทศร่วมกัน ระหว่างอเมริกา กับ ฟิลิปปินส์ เข้ามาข่มขู่จีน


ลิ่วล้อของอเมริกาในเอเชีย อย่างเช่น ญี่ปุ่น ก็ไม่น้อยหน้า หลังเกิดเหตุ สถานทูตญี่ปุ่นประจำฟิลิปปินส์ประกาศว่าจะมอบเรือลาดตระเวน 12 ลำ ให้ฟิลิปปินส์ พร้อมทั้งจะช่วยอัปเกรดระบบสื่อสารให้กับหน่วยยามฝั่งของฟิลิปปินส์

ประเด็นเรื่องนี้ ถ้าเราติดตามข่าวจากสื่อตะวันตกอย่างเดียว รวมทั้งสื่อไทยใจฝรั่งที่เน้นแปลข่าวจากสื่อตะวันตก รับรองว่าจีนเป็นผู้ร้ายแน่นอน เป็นผู้คุกคามเสรีภาพในการเดินเรือในน่านน้ำสากลอย่างแน่นอน แต่เบื้องหลังที่สื่อไทยไม่ค่อยพูดถึงก็คือ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของสหรัฐอเมริกาในการใช้ประเทศฟิลิปปินส์เพื่อเป็นชนวนยุยงให้เกิดความขัดแย้งในทะเลจีนตอนใต้

หลักฐานที่สำคัญคือจีนได้เชิญผู้สื่อข่าวต่างชาติเดินทางไปกับเรือขนส่งเสบียงด้วย เพื่อบันทึกการตอบโต้ของหน่วยยามฝั่งจีน แต่หลังจากนั้นฟิลิปปินส์ก็แจกจ่ายภาพถ่ายเหตุการณ์ให้กับสื่อมวลชนเอาไปเผยแพร่เพื่อสร้างภาพว่าจีนคุกคามเรือของฟิลิปปินส์


อย่างไรก็ดี ฟิลิปปินส์การละคร ถูกแฉกลับโดยหลักฐานของหน่วยยามฝั่งของจีนที่เผยแพร่สภาพมุมสูงให้เห็นระยะห่างของเรือ 2 ลำ เพื่อชี้่ว่าจีนได้ตอบโต้อย่างมืออาชีพและสมเหตุสมผลต่อสถานการณ์ จีนยังพูดเลยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฝ่ายจีนยินยอมให้เรือของฟิลิปปินส์นำเสบียงอาหาร น้ำ และเชื้อเพลิง ให้กับหน่วยนาวิกโยธินที่ประจำการบนซากเรือที่แนวปะการังเหรินอ้ายด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม แต่ว่าในระยะหลังฟิลิปปินส์เริ่มขนวัสดุก่อสร้างไปด้วย ทั้งปูนซีเมนต์ คอนกรีต เหล็ก เพื่อซ่อมแซมเรือที่ทรุดโทรมหนัก ไม่ให้จมลงสู่ใต้ทะเล และยังมีแผนที่จะถมทะเลเพื่อยึดซากเรือไว้เป็นแนวปะการังอย่างถาวร

กระทรวงการต่างประเทศจีน ออกแถลงการณ์ทวงสัญญาที่ฟิลิปปินส์เคยระบุไว้ว่าจะลากซากเรือออกจากแนวปะการังเหรินอ้าย โดยอ้างอิงถึงปี 2542 ของอดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ นายโจเซฟ เอสตราดา รับปากทางการจีนว่าจะลากซากเรือออกไป อีก 4 ปีต่อมา ในปี 2546 นางกลอเรีย อาร์โรโย ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนต่อมา ก็รับรองคำสัญญาของนายเอสตราดา ว่าจะลากเรือไปจากแนวปะการังเหรินอ้าย แต่ท่านผู้ชมรู้ไหม ผ่านไป 24 ปีแล้ว ฟิลิปปินส์ไม่เพียงแต่ไม่ได้ลากเรือรบออกไปเท่านั้น ยังพยายามบูรณะ สร้าง ต่อเติม ต่อเรือรบที่เกยตื้น แสดงเจตนาอย่างชัดเจนว่าต้องการจะยึดแนวปะการังเหรินอ้ายนี้เอาไว้


จีนปล่อยให้ฟิลิปปินส์ใช้ซากเรือเก่ายึดพื้นที่แนวปะการังถึง 24 ปี และเรียกความสงสารจากนานาชาติ ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นอเมริกาแล้ว คงจะลากเรือออกไป ทำลายเรือทิ้งไปตั้งนานแล้ว เหมือนที่อเมริกาเคยยิงสิ่งที่อ้างว่าเป็นบอลลูนสอดแนมของจีนที่ล่วงล้ำเข้าไปในน่านฟ้าอเมริกา มิหนำซ้ำฟิลิปปินส์ยังเคยตกลงกับจีนเพื่อคลี่คลายข้อพิพาทในทะเลจีนตอนใต้ ร่วมลงนามในคำประกาศแนวทางปฏิบัติต่อปัญหาทะเลจีนตอนใต้


แต่มาครั้งนี้ ประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์ ซึ่งเป็นบุตรชายของอดีตเผด็จการ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ที่ฟิลิปปินส์ กลับทำไม่รู้ไม่ชี้ มิหนำซ้ำยังหน้าด้าน ถามผู้สื่อข่าวกลับว่า มีการรับปากเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไร ถ้ามีจริงก็ต้องยกเลิกไปทันที การเป็นผู้นำประเทศๆ หนึ่งแล้วจะต้องสับปลับกับคำสัจจะวาจาหรือข้อตกลงกันในอดีตนั้น ต้องถือว่าเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ แต่ที่มาร์กอส จูเนียร์ ทำอย่างนั้นได้เพราะเขามั่นใจว่ามีอเมริกาหนุนหลัง


ผู้นำฟิลิปปินส์คนนี้เป็นคนชักศึกเข้าบ้าน อนุญาตให้อเมริกาตั้งฐานทัพ จาก 5 แห่ง เป็น 10 แห่ง ทำไมอเมริกาต้องมาตั้งฐานทัพที่ฟิลิปปินส์ ? เพราะอเมริกาต้องการที่จะล้อมจีนเอาไว้ เพราะฉะนั้นฟิลิปปินส์ก็เลยเป็นสุนัขรับใช้ของอเมริกาอย่างเต็มที่ เต็มตัว

หลังจากที่นายบองบอง มาร์กอส จูเนียร์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เขาเลือกข้างสหรัฐฯ อย่างชัดเจน เปิดทางให้ไปใช้ฐานทัพเพิ่มอีก 4 แห่ง ของเดิมมีอยู่ 5 แห่ง ตอนนี้ฐานทัพอเมริกาในฟิลิปปินส์มี 9 แห่ง


นอกจากนี้แล้ว จะมีการเจรจาเพิ่มฐานทัพอีกเป็น 10 แห่ง ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือกัน เพื่อจะร่วมฝึกล้อมอาวุธไปเก็บไว้ล่วงหน้า อำนวยความสะดวก เช่น รันเวย์ คลังจัดเก็บเชื้อเพลิง และค่ายพักทหาร แต่การเข้ามาของทหารอเมริกานั้นอยู่ในลักษณะหมุนเวียน ไม่ใช่ประจำการอย่างถาวร ปัจจุบันอเมริกามีทหารประจำการแบบหมุนเวียนในฟิลิปปินส์ราวๆ 500 คน

ท่านผู้ชมครับ อเมริกาต้องการใช้ฟิลิปปินส์รับมือถ้าเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินในไต้หวัน เนื่องจากที่ตั้งฟิลิปปินส์นั้นอยู่ใกล้เกาะไต้หวัน การประกาศร่วมของสองประเทศไม่ได้ระบุว่าฐานทัพฟิลิปปินส์จะเปิดให้สหรัฐฯ เข้าไปอยู่ที่ใดบ้าง แต่อดีตผู้บัญชาการทหารของฟิลิปปินส์เปิดเผยว่า อเมริกาขอเข้าถึงฐานทัพบนเกาะลูซอน ซึ่งเป็นส่วนที่ใกล้ไต้หวันมากที่สุด และบนเกาะปาลาวัน ที่หันหน้าเข้าสู่หมู่เกาะสแปรตลีย์ในทะเลจีนใต้


ท่านผู้ชมครับ นับตั้งแต่นายมาร์กอส จูเนียร์ เป็นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เขาได้พบประธานาธิบดีโจ ไบเดน มาแล้ว 2 ครั้ง และย้ำว่า อนาคตของฟิลิปปินส์และเอเชียแปซิฟิกต้องมีอเมริกา คนที่ยินยอมให้ฝรั่งผิวขาวเป็นเจ้านายตัวเอง คนๆ นี้ประชาชนฟิลิปปินส์ไม่ควรที่จะยอมรับเข้ามาเป็นผู้นำของประเทศ


รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ นางกมลา แฮร์ริส เคยเดินทางมาเยือนฟิลิปปินส์เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว และย้ำขณะที่เดินทางไปที่ฐานทัพบนเกาะปาลาวัน ว่า วอชิงตันจะเคียงข้างฟิลิปปินส์หากมีการข่มขู่คุกคามในทะเลจีนตอนใต้ ซึ่งเป็นวาทกรรมสวยหรูของอเมริกาในทุกๆ เขต ทุกๆ แห่ง ที่อเมริกายุยงให้คนอื่นรบแทนตัวเอง ก็จะบอกว่าจะอยู่เคียงข้างตลอดเวลา แต่คุณออกหน้าไปนะ คุณไปรบนะ เราจะคอยขายอาวุธให้อยู่ข้างหลัง และเราก็จะคอยส่งแรงเชียร์ไปให้ สู้ๆ สู้ๆ สู้ไม่ไหว อาวุธสู้ไม่ได้ เดี๋ยวเราขายอาวุธให้ นี่คือสันดานของอเมริกา แต่ก่อนเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้ และต่อไปในอนาคตข้างหน้าก็จะเป็นเช่นนี้ต่อไป


พล.อ.ลอยด์ ออสติน (Lloyd Austin) รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา พูดกับรัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์ ว่า อเมริกายังคงให้ความช่วยเหลือก่อสร้าง ปรับปรุงแสนยานุภาพกองทัพฟิลิปปินส์ให้ทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างสองประเทศ

นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า นายบองบอง มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนปัจจุบัน ต้องการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของตัวเองและครอบครัว ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นเผด็จการโกงชาติ แม้แต่นายโจ ไบเดน ก็เคยเอ่ยปากประณามตระกูลมาร์กอส แต่วันนี้เพื่อต่อต้านจีน นายไบเดน กลับลืมน้ำคำตัวเอง ต้อนรับนายบองบอง อย่างอลังการที่ทำเนียบขาว


ท่านผู้ชมครับ อเมริกาเป็นคนเขียนบทให้ฟิลิปปินส์ถูกรังแก ยุยงให้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่ทะเลจีนตอนใต้ แต่บทละครนี้แสดงให้เห็นถึงความบ้อท่าของอเมริกา ขนาดต้องใช้ซากเรือบุโรทั่งเป็นเครื่องมือ จีนใช้บทสุภาพบุรุษ อดทนทุกอย่างถึงจะถูกยั่วยุอย่างไรก็ตาม

แล้วสมาชิกอาเซียนจะถูกดึงให้เข้าร่วมในความขัดแย้งที่อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้หรือเปล่า ? เรื่องพิพาททะเลจีนตอนใต้ยืดเยื้อมานานแล้ว แนวทางของจีนคือให้เจรจาทวิภาคี ถ้าพื้นที่นี้ ประเทศไหนก็ตามคิดว่าเขามีสิทธิ์ มีส่วน ก็มานั่งคุยกันว่าจะแก้ปัญหานี้กันได้อย่างไร แต่อเมริกาซึ่งอยู่ไกลโพ้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยสักนิด เข้ามาปั่นป่วน อ้างถึงเสรีภาพในการเดินเรือ ยุยงให้ประเทศอาเซียนรวมตัวกันเพื่อต่อต้านจีน เรื่องนี้จึงเกี่ยวพันกับประเทศอื่นด้วย รวมทั้งประเทศไทย แม้ว่าจะไม่มีปัญหาพื้นที่พิพาทกับจีนก็ตาม


ความเกี่ยวข้องนี้เห็นได้จากการที่นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน เดินทางเยือนสิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ในสัปดาห์นี้ นายหวัง อี้ กล่าวว่า สถานการณ์พื้นที่ทะเลจีนตอนใต้ในปัจจุบันหลายปีมานี้ ด้วยความพยายามร่วมกันของจีนและกลุ่มอาเซียน สถานการณ์บริเวณทะเจีนตอนใต้จึงมีความสงบโดยรวม นำมาสู่สภาพแวดล้อมที่ดี การพัฒนาตัวเองทั้งสองฝ่าย แต่กลุ่มอำนาจต่างๆ ที่สหรัฐฯ เป็นหัวโจก มุ่งที่จะสร้างความวุ่นวายบริเวณทะเลจีนตอนใต้อยู่เสมอ เมื่อเร็วๆ นี้ได้ยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างจีน กับ ฟิลิปปินส์ โดยปัญหาอยู่ที่แนวปะการังเหรินอ้าย เป็นข้ออ้างทำลายสันติภาพและความสงบของน่านน้ำทะเลจีนตอนใต้ เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์ของตัวเอง

นายหวัง อี้ เดินทางไปเยือนชาติสมาชิกอาเซียน ประกอบด้วย สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ภายหลังเกิดเหตุทะเลจีนใต้ได้ไม่นาน เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศว่า เขาอาจจะเดินทางไปเยือนเวียดนามในเวลาสั้นๆ คาดว่าไบเดน จะเร่งรัดข้อเสนอของประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่จะให้เวียดนามมาร่วมข้อตกลงทางทะเลเพื่อปกป้องผลประโยชน์ร่วมกัน และรับมือกับการเผชิญหน้ากับกองเรือจีน

ท่านผู้ชมครับ ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างเดินเกมหาพวก เพื่อพิทักษ์ภูมิรัฐศาสตร์ตัวเอง นายโจ ไบเดน ประกาศชัดเจน การกระชับความสัมพันธ์กับชาติอาเซียนมีความสำคัญอันดับแรกเพื่อต่อต้านอิทธิพลจีน และรัสเซีย ส่วนนายหวัง อี้ ก้เดินทางไปเช่นกัน สิงคโปร์ เขมร มาเลเซีย


ผู้สื่อข่าวในกัมพูชาพูดออกข่าวว่า หวัง อี้ มาเยือนกัมพูชาเพื่อประเมินท่าทีรัฐบาลใหม่ที่นำโดย ฮุน มาเนต บุตรชายนายฮุน เซน และรัฐมนตรีกว่า 20 คน ซึ่งล้วนแต่เป็นคนรุ่นใหม่ คนเหล่านี้แม้จะเป็นลูกหลานของรัฐมนตรีเดิม แต่เติบโต ได้รับการศึกษาในชาติตะวันตก ฝ่ายจีนเลยอยากหยั่งเชิงว่ารัฐบาลใหม่ของกัมพูชามีจุดยืนอย่างไร

ข้อที่สอง ประเทศจีนขอเจรจาเรื่องท่าเรือเรียม ซึ่งขณะนี้กัมพูชาอนุญาตให้ใช้งานอยู่ แต่ยังปฏิเสธว่าไม่ใช่ฐานทัพ นายไบเดน บอกว่า จะให้กัมพูชาเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ทำให้ประเทศจีนไม่ไว้วางใจบทบาทของรัฐบาลนายฮุน มาเนต

ท่านผู้ชมครับ สถานการณ์ปัจจุบัน อเมริกา และจีน แบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน ขณะที่ประเทศอาเซียนล้วนหวังจะวางตัวเป็นกลาง เหยียบเรือสองแคม ไม่เลือกยืนข้างใดข้างหนึ่ง อาจจะเป็นจุดยืนที่ปฏิบัติได้ยากขึ้นๆๆ ทุกวัน

หลังม่านการเมือง เกมต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี

ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้ประเด็นการเมือง สัปดาห์นี้แฟนๆ รายการหลายคนคงอยากรู้ว่าจะเดินทางไปไหน หลังจากเมื่อวันพุธที่ผ่านมา 16 สิงหาคม ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องกรณีผู้ตรวจการแผ่นดินส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 กรณีที่รัฐสภามีมติตีความว่า การเสนอชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี (ซึ่งหมายถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์) ให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบในรอบสอง เป็นญัตติทั่วไป ต้องห้ามการเสนอญัตติซ้ำอีกตามข้อบังคับที่ประชุมสภาฯ

ศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลว่า ผู้ร้องเรียน คือผู้ตรวจการแผ่นดิน ไม่ใช่บุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพที่จะยื่นให้ศาลฯ วินิจฉัยได้ และไม่ได้มีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีพรรคการเมือง


หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติออกมาแบบเอกฉันท์ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา แถลงว่า จะเชิญสมาชิกรัฐสภาประชุมเพื่อโหวตเลือกนายกฯ ในวันอังคารที่ 22 สิงหาคม 2566 ซึ่งได้มีการหารือกับประธานวุฒิสภาเรียบร้อยแล้ว

อย่างที่ผมพูดไปแล้ว ท่านผู้ชมครับ ต้องขอย้ำอีกทีว่า การเมืองหลังการเลือกตั้งนั้น เราต้องเริ่มด้วยตัวเลขทางคณิตศาสตร์ก่อน ให้เป็นตัวตั้ง ควบคู่กับเงื่อนไขทางการเมืองและการต่อรอง ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดเกมการตั้งรัฐบาล

ท่านผู้ชมครับ ผมจะเอาการ์ตูนของคุณบัญชา คามิน เมื่อวานนี้ (17 ส.ค.2566) ขึ้นให้ดู ซึ่งการ์ตูนนี้อธิบายเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เดี๋ยวผมจะอธิบายต่อไปให้ฟัง


ประการแรก ณ วันนี้ เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า มติพรรคก้าวไกล ซึ่ง ส.ส. มีจำนวน 151 เสียง รวมทั้งพรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง และพรรคเป็นธรรม 1 เสียง ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน ยืนพื้นที่รวมได้ 158 เสียง ได้ประกาศแล้วว่าจะไม่ลงคะแนนให้กับแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทั้งนี้ เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านยืนตรงที่ 158 เสียง แปลว่า ต่อให้สมมุติว่าสถานการณ์ดีที่สุด คือ ส.ส. พรรคที่เหลือทั้งหมดรวมตัวกันลงคะแนนให้แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย ก็คงจะได้ 342 เสียง คือเอา 500 เสียง ลบ 158 เสียงออก ก็เหลือ 342 เสียง


นี่ขนาดเป็นตัวเลขในอุดมคตินะท่านผู้ชม ก็ยังขาดอีก 34 เสียง ที่ต้องได้จาก ส.ว. ถึงจะได้ 376 เสียงขึ้นไป แปลว่าท้ายที่สุดแล้ว ตัวแปรที่สำคัญที่สุด ก็ยังคงเป็นพรรค ส.ว.

ประการที่สอง ในความเป็นจริงพรรคเพื่อไทยก็จะยังไม่ได้คะแนนจาก ส.ส. มากถึง 348 เสีงหรอก เพราะต่างฝ่ายต่างติดเงื่อนไขกับประชาชน ที่สำคัญคือการต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีและความไว้วางใจ ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองที่จะเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ ก็ยังคงยืนอยู่บนความไม่แน่นอนต่อไป

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2566 พรรคเพื่อไทย 141 เสียง พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง รวมเป็น 212 เสียง ได้ประกาศจับมือกันเป็นสารตั้งต้นในการจัดตั้งรัฐบาล แล้วให้พรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน ต่อมาพรรคเพื่อไทยก็รวมเสียงจากพรรคเล็กพรรคน้อย ขนาดกลาง ได้อีก 26 เสียง เป็น 238 เสียง ทำให้ยังขาดเสียงขั้นต่ำอีก 12 เสียง ถึงจะเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร คือ 250 เสียงขึ้นไป


สองสัปดาห์ที่แล้วผมวิเคราะห์แล้วว่า พรรคตัวแปรที่สองใน 3 พรรคนี้ ที่ขึ้นไปมีเสียง 12 เสียงนั้น มีพรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง จะทำให้มีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง คือ 250 เสียง และจะทำให้พรรค ส.ว. โหวตตามด้วย เพราะทั้งพลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคของ 2 ลุง ถึงแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่อยู่แล้วก็ตาม แต่ ส.ว. สาย พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังมีอยู่ รวมทั้ง ส.ว. สาย พล.อ.ประวิตร ด้วย

ประการที่สาม ปัญหาคือ ณ ขณะนี้ สถานการณ์ทางการเมืองมีความอึมครึม เหมือนกับว่าให้เลือกนายกรัฐมนตรีไปก่อน แล้วค่อยไปว่ากันเรื่องการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีภายหลัง


ศุกร์ที่แล้ว วันที่ 11 สิงหาคม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงว่า เมื่อเลือกนายกรัฐมนตรีได้แล้ว เราถึงจะดำเนินการจัดสรรเก้าอี้ในคณะรัฐมนตรีภายหลัง และให้สัมภาษณ์นักข่าวอีกด้วยว่า ใครเลือกแคนดิเดตจากเพื่อไทยก็อยู่ในเงื่อนไข ต้องคุยกันว่าจะมีส่วนร่วมกันได้ขนาดไหน ถ้าไม่เลือก ก็ชัดเจนว่าไม่เอาเรา ก็ไม่เป็นไร ถือว่าเราไม่มีพรรคเหล่านั้นอยู่ในสมการ

ความหมายของการแถลงข่าวครั้งนี้คือการส่งสัญญาณขู่ว่า ใครเลือกนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย จึงจะได้สิทธิได้รับการพิจารณาว่าจะให้มีตำแหน่งรัฐมนตรีอะไรบ้าง ใครไม่เลือกก็ไม่มีสิทธิ์ ส่วนจะเลือกหรือไม่เลือกนั้น ก็ยังไม่ชัดเจนอีก นี่พยายามกดอำนาจ ปิดการเจรจาต่อรองตำแหน่งต่างๆ ของพรรคที่มาร่วมการจัดตั้งรัฐบาล แต่ท่านผู้ชมครับ คุณภูมิธรรมท่านก็คิดในความเห็นของท่าน


แต่ในวันที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา คุณวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ผ่านมาเป็นการเจรจาโควตาสัดส่วนจำนวน ส.ส. ต่อตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ควรเจรจาจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีให้เสร็จสิ้นก่อนลงมติให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

16 สิงหาคม วันถัดมา หลังจากที่คุณวราวุธ ให้สัมภาษณ์ดังกล่าวที่พูดไปแล้ว คุณอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ตรงกับคุณวราวุธ ศิลปอาชา เมื่อนักข่าวถามคุณอนุทิน ว่า เป็นไปได้หรือเปล่าว่าต้องโหวตนายกฯ ให้ก่อนถึงจะมีการตกลงกันเรื่องการแบ่งกระทรวง ? คุณอนุทิน บอกว่า ไม่ต้องถึงขนาดนั้น เพราะต้องคุยกันก่อน ควรจะคุยให้จบก่อนจะโหวตเลือกนายกฯ ส่วนท่าทีพรรคเพื่อไทยนั้น ไม่เคยยืนยันว่าจะต้องโหวตนายกฯ ก่อน น่าจะมีการจัดคุยกันอีก 2-3 วันนี้


ก็สรุปได้ง่ายๆ ว่า ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์นี้ ก็น่าจะวุ่นวายกันแล้วในการประชุมกันว่าตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่ สรุป ในสถานการณ์การเมืองเช่นนี้ ไม่ว่าใครที่ต้องการจะจัดตั้งรัฐบาล ก็ต้องพึ่งเสียง ส.ว. ที่ถือว่าเป็นเสียงที่ชี้ขาดการเลือกนายกรัฐมนตรี ผมจะสรุปสถานการณ์วันที่ 22 ที่จะถึงนี้ เอาไว้อย่างนี้ครับ

หนึ่ง ถ้าพรรคเพื่อไทยเห็นว่าการเจรจาจัดสรรคณะรัฐมนตรียังไม่เสร็จสิ้น แล้วยังฝืนโหวตคุณเศรษฐา ทวีสิน ไปก่อน ผมรับประกันได้เลยว่า คุณเศรษฐา จะถูกกำจัดเพราะแพ้ในสภาฯ อย่างแน่นอน แล้วก็จะไปแพ้เพราะเสียง ส.ว. ไม่ถึง พูดได้หรือเปล่าครับว่าคุณเศรษฐา เป็นตัวหลอกของพรรคเพื่อไทย


สอง หากเจรจาจัดสรรคณะรัฐมนตรียังไม่เสร็จสิ้น และต้องการให้คุณเศรษฐา เป็นนายกฯ ตัวจริง พรรคเพื่อไทยจะต้องขอเลื่อนจากวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ออกไปจนกว่าการเจรจาจะเสร็จสิ้น ซึ่งผมคิดว่าโอกาสเลื่อนก็มีสูง เพราะลำพังแค่ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์-จันทร์นี้ 4 วันนี้ จะตบตีกันเรื่องตำแหน่งแห่งที่ว่าใครจะนั่งที่ไหนนั้นคงไม่เสร็จสิ้นภายใน 3-4 วัน แน่นอน

ข้อที่สาม หากสมมุติว่ามีการเจรจาจัดสรรโควตารัฐมนตรีกันเรียบร้อยแล้ว คุณเศรษฐา ยังต้องเผชิญด่านสำคัญในข้อห่วงใยจาก ส.ว. อีก 3 ด่านทางความคิดที่สำคัญ คือ ด่านแรก การอภิปรายและตอบคุณสมบัติส่วนตัวคุณเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะนายกรัฐมนตรี ทั้งเรื่องธุรกิจที่ผ่านมา จริยธรรม และจุดยืนเรื่องมาตรา 112 ด่านที่สอง คือความไว้วางใจต่อคุณเศรษฐา ทวีสิน ว่าจะรักษาสัจจะได้จริงในการจัดสรรคณะรัฐมนตรีหรือไม่ และจะรักษาสัจจะนั้นได้นานเพียงใด เพราะการเจรจาระหว่างพรรคไม่ได้ผูกพันอำนาจนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้มีสิทธิ์เด็ดขาด


ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ จะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นายกรัฐมนตรีจะไม่เกี่ยวกับการเจรจาแล้ว เพราะเขามีอำนาจเด็ดขาดในการเสนอชื่อคณะรัฐมนตรี ด่านที่สาม คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นวาระเร่งด่วนของพรรคเพื่อไทย ว่าจะกระทบหมวดสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ กระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือไม่ หรือแม้กระทั่งที่มาที่ไปขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ

เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าไม่ผ่าน 3 ด่านนี้ ต่อให้ ส.ส. โหวตให้คุณเศรษฐา ก็จะไม่มี ส.ว. โหวตให้อยู่ดี ทำให้เสนอชื่อนายเศรษฐา ซ้ำไม่ได้อีก แต่ถ้านายเศรษฐา ตอบได้ชัดเจน ก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ทันทีเลย

ท่านผู้ชมครับ แต่ถ้าเหตุการณ์เกิดเช่นนั้นขึ้นมา ตัวเลือกถัดไปจะต้องหนีไม่พ้น "อุ๊งอิ๊ง" หรือ คุณแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งครอบครัวชินวัตร จะต้องตัดสินใจว่าจะยอมให้อุ๊งอิ๊งเปลืองตัวเป็นตัวประกันด่านหน้าเผชิญความขัดแย้งการร่วมรัฐบาลของ 2 ลุง แน่ๆ หรือไม่ และยิ่งถ้าคุณทักษิณ กลับมาติดคุกด้วย บทบาทคุณอุ๊งอิ๊ง ก็จะมีผลประโยชน์ทับซ้อน หากมีการให้การช่วยเหลือ แต่ถ้าเสนอชื่ออุ๊งอิ๊ง แล้วผ่านด่านทั้งสามได้ ก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เหมือนกัน


สุดท้าย ถ้าพ้นจากตัวเลือกพรรคเพื่อไทยแล้ว ลำดับถัดไปก็หนีไม่พ้นคุณอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย หรือไม่ก็ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ

ด้วยเหตุนี้ การเมืองช่วงนี้ เหมือนช่วงที่แล้ว ไม่มีอะไรแน่นอน เพราะเป็นการเจรจากันระหว่างนักการเมือง กับอำนาจที่รออยู่ ผมขอยืนยันนะครับ ดูการ์ตูนของคุณบัญชา คามิน อีกครั้งหนึ่ง ผมอยากให้ทีมงานเอาการ์ตูนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จะได้เข้าใจดีเลยว่า การ์ตูนคุณบัญชา คามิน ชิ้นเดียว อธิบายถึงเรื่องราวทั้งหมดของการเสนอใครก็ตามที่จะมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

จุดจบคู่หู “นอท-แทนไท”

ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ผมต้องอัปเดตให้ท่านผู้ชมได้รับทราบกัน เพราะเป็นเรื่องที่ผม สนธิ ลิ้มทองกุล ได้เปิดโปงในรายการนี้ อาจจะพูดได้เลยว่าเป็นรายการเดียวในประเทศไทยก็ได้ จนเจ้าพ่อเว็บพนันอย่างนายแทนไท ณรงค์กูล ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายผม 1,000 ล้านบาท ซึ่งไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเรื่องนี้ความจริงก็จะปรากฏในศาล


ในส่วนของคดีความ ย้อนอดีตเรื่องนี้กลับไปเมื่อ 4 เดือนกว่าๆ ถ้าท่านผู้ชมยังจำได้ วันที่ 8 เมษายน 2566 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กองคดียาเสพติด และพนักงานสอบสวน ได้ดำเนินการสอบสวนสืบสวนคดีพิเศษที่ 6/2566 เกี่ยวกับแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ออนไลน์ของนายพันธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ นอท กองสลากพลัส ผู้เคยโด่งดังมาแล้ว

บรรดานายทุนของนายพันธวัช ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนายแทนไท ณรงค์กูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ในฐานะผู้ต้องหา ได้ถูกข้อหาร่วมกันฟอกเงิน และข้อหาร่วมกันจัดการพนันเอาทรัพย์สินทางอิเล็กทรอนิกส์ คือพนันออนไลน์ โดยไม่ได้รับอนุญาต


ล่าสุด วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายพงษธร อินอำนวย ผู้อำนวยการกองคดียาเสพติด ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ได้เปิดเผยความคืบหน้าของคดีว่า ขณะนี้ได้มีการประสานงานกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการนับจำนวนสลากลอตเตอรี่ที่ได้ยึดมาจากกองสลากพลัส และตรวจสอบว่าเป็นสลากลอตเตอรี่จริงหรือไม่ ซึ่งจำนวนของกลางลอตเตอรี่ที่ได้ตรวจยึดมา มีประมาณ 10 ล้านฉบับ จำนวนผู้ต้องหาที่มีข้อกล่าวหาโดยคณะสอบสวนได้ตั้งข้อหา มีอยู่ 4 ราย นิติบุคคลมีอยู่ 2 บริษัท บริษัทแรก คือ ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ รายที่สอง คือ บริษัท ลอตเตอรี่ออนไลน์

ส่วนตัวบุคคลมี 2 ราย คนแรก คือ นายนอท พันธวัช นาควิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีอีโอของกองสลากพลัส สอง นายแทนไท ณรงค์กูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด

ท่านผู้ชมครับ ด้วยความผิด 2 ข้อหา คือ ฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนัน และ ร่วมกันฟอกเงิน คณะพนักงานสอบสวนเตรียมส่งสำนวนให้อัยการพิเศษภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2566


ท่านผู้ชมครับ นายแทนไท เป็นคนมีฤทธิ์ หลายคดีที่เมื่อส่งไปอัยการแล้ว อัยการสั่งไม่ฟ้อง พวกเราจับตาดูเรื่องนี้ให้ดีๆ นะครับ ผมเอารูปขึ้นให้ดูนะครับว่าไทม์ไลน์การโอนเงินเป็นอย่างไรบ้าง มีให้หมด ท่านผู้ชมค่อยๆ ดูนะครับ มีหมดทุกอย่าง ตั้งแต่วัน ว. เวลา น. โอนอะไรบ้าง


คุณพงษธร เผยว่า สำนวนคดีพิเศษนี้ได้ดำเนินการในส่วนของการขายลอตเตอรี่บนแพลตฟอร์มกองสลากพลัส เพราะว่าจากพยานหลักฐานที่ตรวจสอบมาพบว่ามันเป็นการจัดให้มีการเล่นการพนัน เนื่องจากทางนายพันธวัช ได้มีการกำหนดราคาเข้าลักษณะการรับกิน รับจ่ายเอง โดยเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นองค์ประกอบในการเล่น ส่วนนายแทนไท รับหน้าที่เป็นนายทุนให้ อีกทั้งเมื่อนายแทนไท ต้องรับเงินจากนายพันธวัช เจ้าตัวจะใช้บัญชีธนาคาร ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ในการรับเงิน ทำให้สองคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันในเส้นทางการเงิน และถูกแจ้งข้อหาร่วมกันในเรื่องการฟอกเงิน


ส่วนจำนวนเงินที่มีการโอนจากบัญชีธนาคารของนายพันธวัช ไปที่นายแทนไท พบว่ามีมูลค่า 200 ล้านบาท ขณะที่เส้นทางการเงินจากนายแทนไท โอนไปยังนายพันธวัช กลับมีมูลค่าถึง 500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้นายแทนไท ยังไม่ได้รับเงินคืนจากนายพันธวัช จากการร่วมลงทุนกองสลากพลัส ซึ่งนายแทนไท ได้ยื่นเอกสารแจ้งมาทางดีเอสไอว่าได้ดำเนินการฟ้องเรื่องเงินกับนายพันธวัช แต่พนักงานสอบสวนก็ยืนยันว่าให้พิสูจน์เรื่องนี้ในชั้นศาลแทน เพราะพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ในตอนนี้ พนักงานสอบสวนสามารถใช้พิจารณาจนเห็นสมควรแก่การสั่งฟ้อง 4 ราย ตามความผิดฐานข้างต้นที่ผมได้เล่าให้ฟัง

ประเด็นเรื่องนี้อยู่ที่ไหน ? บทสรุปเรื่องนี้สั้นๆ ก็คือ ความจริงมีหนึ่งเดียวเท่านั้น คนที่ออกมาอวยนายนอท นายแทนไท วันนี้จะตอบสังคมอย่างไร ถ้าลืมไปแล้วผมจะรื้อฟื้นความจำให้ เคยมีคนมาอวยนายนอท และนายแทนไท เต็มที่เลยสมัยนั้น คนแรกคือ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์


23 มีนาคม 2566 หลังจากที่ถูกแฉเรื่องถุงเงิน 6 ล้านบาท ที่ทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ออกมาแฉ นายชูวิทย์ออกมาแถลงข่าว พูดถึงนายแทนไท ปกป้องว่า นายแทนไท ได้แปลงร่างโดยการที่เขาได้ไปทำงานในธุรกิจที่ถูกต้องแล้ว ก็ออกมาพูดเหมือนการันตีว่านายแทนไท นั้น อดีตไม่รู้เป็นอย่างไร แต่ปัจจุบันกลับเนื้อกลับตัวมาทำอาชีพสุจริตแล้ว แล้ววันนี้เป็นอย่างไรล่ะครับ เห็นหรือยัง

บรรดาสื่อที่ให้พื้นที่กับนายนอท กองสลากพลัส และแทนไท ไปโฆษณา ไปแก้ตัวต่างๆ นานา ไม่ว่าคุณจะจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม วันนี้ที่ดีเอสไอสั่งฟ้องแล้ว คุณจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่นำเสนอไปอย่างไรบ้าง


สอง ธันวาคม 2565 ไทยรัฐปล่อยให้กองสลากพลัสซื้อโฆษณาหุ้มปกหนังสือในวาระครบรอบ 2 ปี ของกองสลากพลัส


สาม 26 พฤศจิกายน 2565 รายการ "ตีสิบ" ช่อง 3 ของคุณวิทวัส สุนทรวิเนตร์ สัมภาษณ์นายนอท ชูประเด็นว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจแบบสุดๆ บนโลกออนไลน์ อุตส่าห์พาดหัวรายการตอนนี้ ว่า "เปิดเบื้องลึกของเจ้าพ่อกองสลากพลัส ที่เริ่มต้นชีวิตด้วยวงจรสีเทาตั้งแต่อายุ 17 ปี แต่อะไรคือจุดเปลี่ยนจากคนหลงผิด ให้ประสบผลสำเร็จได้" คือรายการตีสิบ ของคุณวิทวัส อวยนายนอท สุดๆ เลย สุดลิ่มทิ่มประตู


30 กันยายน 2565 อีกเจ้าหนึ่งคือรายการ "WOODY INTERVIEW" นายวุฒิธร มิลินทจินดา ใช้หัวข้อว่า "เคลียร์ชัดจัดเต็มทุกประเด็น พิสูจน์วงการลอตเตอรี่ไม่ใช่วงการมาเฟีย" เผยเบื้องหลัง เรื่องราววงการลอตเตอรี่

ต่อจากนั้นไปแล้ว ธันวาคม 2565 ช่อง 9 อสมท รัฐวิสาหกิจ บริษัทตลาดหลักทรัพย์ เป็นสื่อภายใต้การควบคุมของรัฐบาล แต่หลังจากที่นายนอท ควักเงินเกือบ 70 ล้านบาท ซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน AFF Mitsubishi Electric Cup ทีมชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขัน ถ่ายทอดสดทาง MCOT HD ช่อง 9 และ T SPORT 7 ปรากฏว่าช่อง 9 ถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลก็แทรกโฆษณากองสลากพลัสเป็นระยะๆ โดยเพลย์โฆษณาต่อเนื่องกันร่วมเกือบ 20 นาที เนื้อหาขายฝัน วางเป็นฟ่อนๆ ประกาศรางวัลที่หนึ่ง โทรไปหาคนถูกรางวัล มีคอนเทนต์ขับรถ Ferrari สีแดงหรูหราฟู่ฟ่า ขนเงินไปให้ลูกค้าที่ถูกหวยตามจังหวัดต่างๆ


หรือแม้กระทั่งรายการ "เจาะลึกทั่วไทย" ของ "หมาแก่" คุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ก็เปิดโอกาสให้นายแทนไท และนายนอท กองสลากพลัส ได้สัมภาษณ์แก้ตัวออกสื่อหลายกรรมหลายวาระ

ท่านผู้ชมครับ นี่ล่ะ ความจริงมีหนึ่งเดียว ผมพูดมาตลอดนะครับท่านผู้ชม ว่า อาชีพการเป็นสื่อมวลชน 50 กว่าปีของผมนั้น ผมพูดมาตลอดว่าในการพูดความจริง บางครั้ง หลายหน หลายครั้ง ต้องอดทน อดกลั้น โดนก้อนหินปากลับมา มีบาดแผลต้องทนเจ็บทนปวด ต้องกลืนเลือด ต้องอมเลือดเอาไว้ในปาก ถูกกล่าวหาว่ากลั่นแกล้งเขาบ้าง อิจฉาเขาใช่ไหม ถูกกล่าวหาต่างๆ นานา ก็ต้องพิสูจน์ความจริง โดยสุดท้ายเมื่อเวลาผ่านมาถึงวันนี้แล้ว ความจริงปรากฏ ท้องฟ้าเปิด เมฆครึ้มหายไป พระอาทิตย์สาดส่อง ทุกอย่างก็คลี่คลายว่านายนอท กับนายแทนไท ถูกดำเนินคดีข้อหาฟอกเงิน และเปิดแพลตฟอร์มการพนันออนไลน์ เป็นไปตามที่ผมพูดตั้งแต่ต้น


ที่น่าเสียดาย เมื่อความจริงปรากฏออกมา เหมือนเรื่องนอท กับแทนไท ไม่มีหรอกครับท่านผู้ชมที่จะมีคนเข้ามาขอโทษ ขออภัย ขอขมา กับเรื่องที่เคยด่าผมไว้ตอนแรก มันเป็นเรื่องที่ต้องทำใจเอาไว้ ที่สำคัญคือ บรรดาที่อวยคุณนอท ไม่ว่าจะเป็นคุณวิทวัส ช่อง 3 หรือคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ รายการที่ออกมาโดยที่อวยทั้งนายนอท และนายแทนไท แก้ตัวให้ต่างๆ นานา วันนี้ก็เงียบกริบ ไม่พูดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ก็คือพูดง่ายๆ ว่า หลอกท่านผู้ชมไปได้ครั้งหนึ่งแล้ว และคนไทยมีนิสัยขี้ลืม ก็จะไม่จำอีกต่อไป วันนี้ความจริงมีหนึ่งเดียวในเรื่องของนายนอท กองสลากพลัส และแทนไท ณรงค์กูล ที่ผมเคยพูดมาตอนต้น ได้ปรากฏมาแล้วหลังจากเวลาผ่านไปเกือบ 6 เดือน ท่านผู้ชมครับ ความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว เวลาพูดความจริง คนพูดต้องอดทนนิด อดทนจริงๆ แล้วต้องมีความเชื่อมั่น มีศรัทธาในสิ่งที่เราพูด เพราะว่าเราต้องมั่นใจในหลักฐานข้อมูลของเรา นั่นล่ะครับที่ผมอยากจะเตือนความจำท่านผู้ชมเอาไว้ แล้วเตือนความจำคุณวิทวัส เตือนความจำคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ไว้ด้วย ว่าพวกคุณทำอะไรกันไว้ รวมทั้งคุณวู้ดดี้ อย่าลืมเป็นอันขาดว่าคุณทำอะไรไว้กับสองคนนี้ คุณอวยเขาสุดลิ่มทิ่มประตู เหมือนกับคุณรับงานเขา หรือรับเงินรับทองเขามา ผมไม่รู้ แต่ว่าการแสดงออกของคุณวันนั้นมันค่อนข้างที่จะน่าเอะใจ แต่วันนี้ความจริงมีหนึ่งเดียว มันเป็นเช่นนี้ล่ะครับท่านผู้ชม

ละครลิงชูวิทย์ กัดนักข่าวเพราะกลัวความจริง

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายของรายการวันนี้ แน่นอนที่สุดครับท่านผู้ชม มีแฟนๆ พันธุ์แท้ของผม และตลอดจนสื่อมวลชน อีกมาก ก็กำลังรออยู่ว่าผมจะพูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ในวันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2566 ที่จัดรายการแฉเพื่อชาติครั้งสำคัญ งานนี้ผมจัดให้หลายๆ ท่านที่รอฟังอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพุทธ อภิวรรณ ซึ่งพูดออกมาเลยว่าให้รอฟังผมวันศุกร์นี้


อังคารที่ 15 สิงหาคม 2566 คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักธุรกิจอาบอบนวด นักค้ามนุษย์ นักการเมือง ออกมาแสดงละครลิงรอบล่าสุด ตั้งชื่อให้ตื่นเต้นว่าเป็นการ "แฉเพื่อชาติครั้งสำคัญ" แต่ท่านผู้ชมครับ การแฉเพื่อชาติครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะชาวบ้านเขารู้ทันคุณชูวิทย์กันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วว่าเป้าหมายของคุณชูวิทย์ คือ โจมตีนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ผ่านบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เหมือนเดิม เพราะว่าปีที่แล้ว (2565) คุณชูวิทย์ เคยพูดคุยเรื่องธุรกิจกับนายเศรษฐา เกี่ยวกับเรื่องที่ดินหลังโรงแรมเดวิส ซอยสุขุมวิท 24 ของคุณชูวิทย์ แต่ไม่ได้เป็นไปตามที่คุณชูวิทย์คาดหวัง ก็เลยหาเรื่องมาโจมตีคุณเศรษฐา เพื่อแบล็กเมล


ซึ่งก็เหมือนกับการแสดงออกในการเล่นละครทุกครั้ง คุณชูวิทย์ ซึ่งเคยเรียกตัวเองว่ามหาโจร ได้เตรียมพร็อปประกอบฉากการแสดง นอกจากนั้นแล้ว หันมาแขวะนักข่าวผู้จัดการ ซึ่งเดินทางไปรายงานข่าวการแถลงข่าวตามปกติ เป็นระยะๆ แล้วยังพาดพิงถึงผม แต่ในที่สุดแล้วกลับเป็นการประจานตัวเองว่าเป็นคนถ่อย คนเถื่อน คนสถุน และไร้สาระ ใครก็ตามที่ยังเป็นกองเชียร์คุณชูวิทย์ ก็ให้รู้เอาไว้ว่า มันบ่งบอกว่าคุณ กับคุณชูวิทย์ ก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรกันนัก อยู่ในกลุ่มเดียวกันทั้งสิ้น


คุณจะพาดพิงถึงผม ล้อเลียนผม ก็ไม่เป็นไร ผมเจอมาเยอะแล้ว แต่ที่ผมต้องออกมาพูดถึงเรื่องนี้เพราะพฤติกรรมเมื่อวันอังคารนั้นเป็นการคุกคามนักข่าวอย่างชัดเจน

วันนั้นหลังจากที่คุณได้แสดงละครลิง ด่าคุณเศรษฐา แสนสิริ ด่าพรรคเพื่อไทย ด่าทักษิณ ชินวัตร หันมาจิกกัดผมแล้ว คุณก็หันไปแขวะนักข่าวผู้จัดการที่เดินเข้าไปร่วมฟังการแถลงข่าว ด้อยค่าเขา กล่าวหาว่านักข่าวของหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ผู้จัดการนั้น "ถ้าแน่จริงมาเอง อย่าส่งลูกกระจ๊อกมา อย่างคุณนะ" ชูวิทย์กล่าว พร้อมแสดงท่าทีเหยียดหยาม คุกคามนักข่าวของผู้จัดการ


เผอิญคนของผมซึ่งเป็นนักข่าว ชื่อนายโน้ต ชื่อจริงชื่อ วัชรินทร์ กลิ่นมะลิ ที่ถูกส่งมาทำข่าวนั้น เขาไม่ใช่เด็กน้อยที่คุณชูวิทย์จะจิกหัวด่าทอได้ตามใจ เขาเป็นนักข่าวมือเก๋าระดับทำข่าวมาแล้ว 20 ปี ครับคุณชูวิทย์ ก็เลยเกิดเหตุสวนกลับกับนายชูวิทย์เข้า เพราะว่านายโน้ต วัชรินทร์ ก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน เขาเดินหน้าไปทำหน้าที่สื่อมวลชนตามปกติของเขา ไม่ได้ไปป่วนแต่อย่างใด


คุณชูวิทย์ก็รู้ นักข่าวที่เดินตามคุณชูวิทย์ แล้วคอยส่งข่าวส่งข้อมูลให้หมาแก่ ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ก็รู้ว่านายโน้ตเป็นนักข่าวสังกัดอยู่สื่อผู้จัดการ News 1 อยู่กับผม การแถลงข่าวของคุณชูวิทย์ ที่โรงแรมเดวิส เมื่อครั้งที่แล้ว วันที่ 3 สิงหาคม ก็เคยขอเข้าไปดูหลักฐานที่คุณชูวิทย์ดู บอกว่าไม่เอาแต่หน้าปก เพราะคุณชูวิทย์ชอบโชว์หลักฐานเฉพาะแค่หน้าปก ขอดูเนื้อในด้วย แต่คุณกับคนของคุณก็ไม่ยอมให้ดู เป็นพฤติกรรมที่ทำอยู่ตลอดเวลา


นี่ล่ะครับท่านผู้ชม เป็นสาเหตุหนึ่งที่คุณชูวิทย์ฉุน แล้วพูดโวยวายออกมาว่าทำแต่ข่าว แต่ทำไมไม่ลงข่าวตามที่คุณพูด คุณชูวิทย์ครับ ถ้าสิ่งที่คุณพูดไม่มีหลักฐาน หลักฐานที่คุณโชว์ ก็คือคุณโชว์กระดาษมาปึกหนึ่ง แล้วคุณบอกว่านี่ หลักฐานอยู่นี่ แล้วคุณก็วาง ใครขอดูก็ไม่ได้ นักข่าวผมตามเข้าไปดูในห้อง คุณก็เอาแค่เฉพาะแผ่นแรกให้ดู ข้างในมีอะไรคุณก็ไม่ยอมให้ดู แต่คุณก็พูดจาเป็นตุเป็นตะโดยที่อ้างอิงว่าหลักฐานอยู่ในเอกสารนี้

เวลาคุณกล่าวหาคนอื่นเป็นข้อมูลเท็จ หรือเป็นข้อมูลจริงครึ่ง-ไม่จริงครึ่ง ทำไมพวกผมต้องลงข่าวให้คุณด้วยล่ะ คุณมีคนโง่ๆ ที่ไปฟังข่าวคุณ และไปทำข่าวคุณ แล้วถูกคุณหลอกปั่นหัวมา ก็พึ่งพาเขาสิครับให้ไปลง คุณบอกกระจ๊อกๆ แต่คุณก็ดูเว็บไซต์ผู้จัดการทุกวัน ว่ามีการพาดพิงถึงคุณบ้างหรือเปล่า ดูคลิปของคุณนพรัฐ พรวนสุข ทุกวัน และแน่นอนที่สุด รายการวันนี้คุณก็ต้องฟังอยู่เช่นกัน

คุณชูวิทย์ครับ อาชีพนักข่าวที่แท้จริง ไม่ใช่อาชีพพ่อค้ากามเหมือนอย่างที่คุณเป็น หรือว่าอาชีพที่แฉไป ไถไป ที่คุณพยายามจะทำมาหากินกับวิธีการของคุณ คนที่เป็นนักข่าวจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักผม และมีอีกหลายสำนักอื่นๆ สำนักข่าวอิศรา ก็ใช่ หรือแม้กระทั่ง TOP News ก็ใช่ พวกเรามีหน้าที่แสวงหาความจริง ไม่ใช่ใครจะพูดอะไรมา แม้จะพูดโกหก พูดหมิ่นประมาทคนโน้นคนนี้อย่างปราศจากข้อเท็จจริง แล้วพวกผมต้องทำเสนอหรืออย่างไร คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคุณชูวิทย์ หรือคุณหลงตัวเองว่าคุณคือเทพเจ้า


ผมจะเล่าอะไรให้คุณฟังอย่างหนึ่งนะ คุณชูวิทย์ นายโน้ต - วัชรินทร์ กลิ่นมะลิ อายุ 43ปีแล้ว เคยทำงานอยู่หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ไทยรัฐ ปัจจุบันทำงานสังกัดอยู่ที่ผู้จัดการ News 1 และเป็นทีมงานของ SONDHI TALK ด้วย

วันอังคารที่ 15 สิงหาคม คุณชูวิทย์ ไปกล่าวหาเขาว่าไม่ใช่นักข่าว เป็นคนสอดแนมที่ผมส่งไป คุณชูวิทย์ รู้หรือเปล่าครับ วันนั้นเป็นวันที่เขาเริ่มงานเป็นนักข่าวเมื่อ 20 ปีแล้ว พอดิบพอดี เขาทำงานเป็นนักข่าวเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2546 เป็นรีไรท์เตอร์แผนกข่าวอาชญากรรม หนังสือพิมพ์สยามรัฐ หลังจากนั้นแล้วเขาก็ขอกองบรรณาธิการไปเป็นนักข่าวช่างภาพอาชญากรรม ดูแลรับผิดชอบพื้นที่นครบาล จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559


1 มกราคม 2560 เขาเป็นนักข่าว ช่างภาพอาชญากรรม ดูแลรับผิดชอบในพื้นที่นครบาล แต่เขาติดโควิดหนัก รักษาตัวถึง 8 เดือน

1 มกราคม 2565 พอหายแล้ว ก็เปลี่ยนจากหนังสือพิมพ์มาเป็นคนทีวี เข้ามาทำงานในตำแหน่ง News Production รายการ ไทยรัฐนิวส์โชว์ ของช่อง 32 ไทยรัฐทีวี

1 ธันวาคม 2565 เข้ามาเป็นนักข่าวสื่อผู้จัดการ News 1 และเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน Sondhi Talk จนถึงวันนี้

คุณชูวิทย์ครับ 2550-2557 คุณโน้ต วัชรินทร์ เคยเป็นรองนายกสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย อีกทั้งยังเคยเป็นวิทยากรหลักของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมใหญ่ ในโครงการยูนิเซฟ เกี่ยวกับการทำข่าวสิทธิเด็ก อยู่ถึง 3-4 ปี


ท่านผู้ชมครับ สุดท้ายแล้วคุณชูวิทย์ที่ถนัดแสดงละครลิงข้างเดียว เจอของจริงเข้า เพราะว่านายโน้ต คนของผม คนที่ไปจากสำนักนี้ไม่ใช่สากกะเบือที่จะไปนั่งฟังคุณพูด คุณชูวิทย์ แล้วคุณพูดอะไรก็ตาม ก็ต้องจดลงไปและถูกต้องทุกอย่าง ไม่ใช่ คนของผม นายโน้ต วัชรินทร์ เขาออกมาจากพื้นที่นักข่าว หลังจากคุณไล่เขาแล้ว กล่าวหาเขาว่าไม่ใช่นักข่าว

ประเด็นครับ อาทิตย์ที่แล้วผมเผอิญไปพูดเรื่องเกี่ยวกับ มีความเป็นไปได้ว่าคุณได้ทำนิติกรรมอำพรางในเรื่องที่ดินของคุณที่คุณจะขายให้กับบริษัท แสนสิริ แล้วมันเผอิญไปเกี่ยวพันกับตัวคุณและลูกคุณอีก 4 คน ในการเลี่ยงภาษี จริงหรือเปล่า ผมได้เอกสารมาเช่นนี้ นายโน้ตก็ต้องการที่จะเข้าไปเพื่อถาม ให้คุณตอบ ซึ่งจากวันที่ผมออกวันศุกร์ที่แล้ว คุณไม่เคยตอบโต้ผมเลยแม้แต่คำเดียว แต่คุณไปพูดกับคนใกล้ชิดว่าคุณไม่ผิด อีกทั้งนอกจากปัญหาเรื่องที่กรมสรรพากรแล้ว ยังมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กรุงเทพมหานคร สำนักงานโยธา เรื่องใบอนุญาตก่อสร้างที่คุณต่อแล้วต่ออีกถึง 20 ปี


เวลาคุณกัดผม คุณเอารูปไดคัตของผมตัดออกมา แล้วคุณดื่มฉี่ โน่นนี่นั่น เป็นการล้อเลียนผม เอาคำพิพากษาของศาลฎีกาออกมา แล้วก็กล่าวหาผมโน่นนี่นั่น คุณไม่ได้อ่านคำพิพากษาให้ละเอียดหรอก ถ้าคุณอ่านละเอียด คุณจะรู้ว่าผมทำผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และเมื่อผมขึ้นศาลแล้ว คุณชูวิทย์ ผมไม่ได้สู้ ผมสารภาพว่าผมผิด ผมไม่ได้ตะแบง ที่คุณเอาเรื่องผมทานฉี่ คุณเป็นคนที่สติปัญญาต่ำต้อยมาก คุณเก่งแต่ปาก แต่ปากคุณมีแต่น้ำลายสกปรกและข้อมูลเท็จทั้งสิ้น

ที่คุณบอกว่านักข่าวผู้จัดการไม่ใช่นักข่าว เพราะมาฟังแล้วไม่ยอมลงข่าวตามสิ่งที่ตัวเองพูด คุณชูวิทย์ครับ สื่อมวลชนที่แท้จริง อย่างน้อยที่สุด สำนักผมต้องฟังข้อมูลรอบด้าน ฟังแล้วมันต้องค้นคว้าต่อไป ถ้าเขาคิดว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นไม่จริง ก็จะลงไปในทางที่เขาคิดว่าถูก นี่คือ Investigative Reporting - การทำข่าวเจาะ ไม่ใช่ทำตัวเป็นสากกะเบือไปนั่งฟังคุณพูด คุณพูดอะไรก็ลงไปตามนั้น ไม่ถาม ไม่ตั้งข้อสงสัย ไม่คิดวิเคราะห์ว่าสิ่งที่พูดนั้นมันจริงหรือเท็จ สิ่งที่คุณพูดไป ถ้าเช็กกันดีๆ แต่ละประโยค แต่ละข้อความแล้ว มันไม่มีเหตุผล และเท็จ

แม้กระทั่งเรื่องที่คุณเที่ยวเอาเรื่องนอมินีของบริษัท แสนสิริ มา ซึ่งแสนสิริวันนี้ ผมไม่อยากจะพูดมาก เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมมาปกป้องแสนสิริ แต่การกระทำของแสนสิริ กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปในประเทศไทย ทำเหมือนกันหมด


คุณชูวิทย์ครับ ท่านผู้ชมครับ แม้กระทั่งการที่คุณเคยตกลงกับคุณเศรษฐา ว่าคุณจะขายที่ดินของคุณในราคา 2,000 ล้าน แล้วต่อเหลือ 1,800 ล้านบาท คุณเศรษฐา ยังพูดจาชัดเจนว่า ผมเป็นคนซื้อ ตกลงกันที่ราคา 1,800 ล้านบาท คุณมีหน้าที่อย่างเดียว คุณมีสัญญาผูกพันของเก่าใช่ไหม คุณจัดการไปเอาออกซะ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือว่า คนซื้อเขาพร้อมจะซื้อในราคาที่ตกลงกัน ปัญหาอยู่ที่คนขาย คนขายทุกคนในประเทศไทย ทุกคนพยายามเลี่ยงภาษีทั้งสิ้น เขาก็ต้องคิดเรื่องราวต่างๆ ที่จะทำให้เขาต้องเสียภาษีอย่างน้อย เหมือนอย่างที่ดินของคุณ ที่คุณโอนไปโอนมา นั่นคือนิติกรรมอำพรางเพื่อที่จะให้บริษัท เติมตระกูล ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินตั้งแต่ต้น ไม่ต้องเสียภาษีมาก เสียแค่ 11 ล้านกว่าเท่านั้นเอง เท่ากับว่าบริษัท เติมตระกูล เลี่ยงภาษีนิติกรรมอำพราง ต้องเสียภาษีที่แท้จริงคือ 359 ล้านบาท


เวลาคุณทำเรื่องของคุณ คุณก็เลี่ยงภาษีด้วยวิธีการต่างๆ นานา แต่พอมาถึงแสนสิริ ซึ่งคุณต้องการที่จะเข่นฆ่าให้เขาอาสัญไปเลย เพราะว่าคุณให้เขามาซื้อที่ดิน แล้วเขาไม่ซื้อ มีปัญหาหลายอย่างที่เขาตัดสินใจไม่ซื้อ คุณก็เลยต้องแบล็กเมลให้เขาซื้อให้ได้ ถ้าไม่ซื้อ ผมจะจัดการแฉคุณให้เต็มที่

คุณชูวิทย์ครับ มุกอย่างนี้คุณใช้กับทุกกรณี คุณใช้กับเสี่ยกำพล เจ้าของอาบอบนวดวิคตอเรีย ซึ่งหนีคดีอยู่ แล้วแอบกลับมาเปิดอาบอบนวดใหม่ มีสารวัตรซัวร่วมลงทุนด้วย มีคนไปติดต่อว่าต้องเอาเงิน 30 ล้านบาท ไปให้คุณชูวิทย์ คุณชูวิทย์รับปากจะไม่พูด อะไรต่ออะไรแบบนี้

คราวที่แล้วที่คุณโน้ต ไปสัมภาษณ์ มีการพูดคุยกันอย่างดี แต่วันนี้หาว่าเขาไม่เป็นนักข่าว รีบตัดจบให้ออกจากวงแถลงข่าวทันทีเลย เพราะคุณกลัวใช่ไหมว่าคนของผมจะไปถามคุณเรื่องนิติกรรมอำพรางที่ผมพูดไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คนของผมไม่ได้กลัวใครเลย เขาไม่ได้กลัวคุณด้วย อะไรถ้ามันถูก เขาพร้อมที่จะยอมรับ อะไรถ้ามันผิดเขาก็พร้อมจะต่อสู้


คุณชูวิทย์ครับ คุณโน้ต นักข่าวผมนอกจากไม่ใช่สากกะเบือแล้ว ยังไม่ใช่แมสเซนเจอร์ ไม่ใช่นกแก้วนกขุนทองที่ใครพูดอะไร ก็ว่าตาม ที่สำคัญ ไม่ใช่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของคุณ อย่างคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา และช่อง 3 ซึ่งขนมเค้กที่มีการจุด เอาเทียนดอกหนึ่งมาติด เพื่อให้คุณเป่า บอกว่าอาจจะเป็นเค้กวันเกิดครั้งสุดท้ายในชีวิต ไอ้คนที่เอามาก็คือนักข่าวช่อง 3 รู้กันเอง รู้กันดี พวกคุณมีกี่คน หนุนกันอย่างไร ผมรู้หมด แล้วผมก็พูดมาตั้งนานแล้วว่า คุณสรยุทธ ไม่ใช่นักข่าวหนังสือพิมพ์ คุณสรยุทธ เป็นโฆษกประจำตัวของคุณ คอยแก้ตัวให้คุณทุกเรื่อง

ที่ผ่านมา คุณชูวิทย์ คุณถูกจับโป๊ะได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่ารับงาน แบล็กเมลคนโน้นคนนี้จนเคยตัว กรณีเศรษฐา แสนสิริ คือหลักฐานชี้ชัด คุณต้องการขายที่ดินของตัวเอง พอไม่ได้ก็เอาเรื่องเขามาข่มขู่ แฉเพื่อชาติครั้งสุดท้าย คุณชูวิทย์ครับ มันเป็นเรื่องที่คุณตั้งขึ้นมาเพื่อบังหน้า คุณเป็นคนที่เล่นละครเก่งมาก น่าเสียดาย น่าเสียดายมากหลายๆ เรื่อง คุณมีความสามารถสูง เพราะคุณสามารถจะเล่นบทตอหลดตอแหล โกหกพกลมได้อย่างหน้าตาเฉย

คุณชูวิทย์ครับ นักข่าวผมได้เตรียมคำถามต่างๆ เหล่านี้ไปถาม ให้คุณตอบ คุณกลัวความจริงจะถูกเปิดโปง จนต้องแสดงอาการบ้าๆ บอๆ


ท่านผู้ชมครับ ผมอยากจะพูดตอนนี้ถึงบรรดานักข่าวทุกคน หัวหน้าข่าว บรรณาธิการข่าว ของโทรทัศน์ทุกช่อง หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ผมอยากให้คุณสั่งสอนลูกน้องหน่อย หรือบางกรณีตัวคุณเองก็ต้องสั่งสอนตัวคุณเอง ว่าคุณต้องมีศักดิ์ศรีบ้าง รู้จักวิชาชีพของคุณเอง การออกไปทำข่าวนั้นต้องรู้ว่า ในกรณีแถลงข่าว หรือไลฟ์สดของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หรือใครก็ตาม นักข่าวต้องไม่ทำตัวเป็นสากกะเบือ ถูกสะกดจิต นั่งฟังอย่างเดียว จดทุกอย่างที่เขาพูดออกมา นักข่าวส่วนใหญ่สมัยนี้ไม่ค่อยมีองค์ความรู้เท่าไรนัก วิธีทำข่าวของเด็กสมัยนี้ นักข่าวที่ต้องการเข้ามายึดอาชีพนี้ คือ คุณพูดอะไร ผมจดลูกเดียว พอจดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รายงานข่าวไปตามที่คุณพูด โดยที่คุณไม่ตั้งข้อสงสัย

อย่างคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นี่ชัดเจน นักข่าวที่มีสติปัญญา แล้วสมองไม่กลวง ไม่ใช่หัวสากกะเบือ ก่อนไปต้องทำการบ้านเสียหน่อยสิ การบ้านนี่มันให้เจอเยอะมาก ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า ข่าวในเครือผู้จัดการนั้น ผมมีการเก็บข่าวข้อมูลย้อนหลังถึง 20 ปี อยู่ใน archive ผม อะไรที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมเรียกขึ้นมาดูได้ตลอดเวลา อันนั้นผมเรียกว่าถังข่าว นักข่าวผมทุกคนจะทำเรื่องอะไร เขาจะดึงข่าวเก่าว่าเคยมีพูดถึงเรื่องนี้บ้างไหม

เพราะฉะนั้นถ้านักข่าวของพวกคุณ พวกหัวหน้าข่าว และบรรณาธิการข่าว จะไปทำเรื่องคุณชูวิทย์ คุณต้องสั่งสอนทันทีเลยว่า อย่าทำตัวเป็นสากกะเบือ เขาพูดอะไรให้คิดตาม ถ้าไม่เห็นด้วย หรือไม่เห็นอะไร หรืออยากจะขอความเห็นเพิ่มเติม ให้ยกมือถามเขา เพราะคุณชูวิทย์ชอบใช้เสียงเป็นตัวกลบ ถ้าคุณทำการบ้านล่วงหน้า คุณจะรู้ว่าประวัติคุณชูวิทย์ ตั้งแต่ออกมาแฉเรื่องรถไฟฟ้าสีส้ม ไล่มาเรื่อยๆ นั้น 90 ว่าเปอร์เซ็นต์ โกหกหมด แล้วก็จับโกหกได้คาหนังคาเขา ท่านหัวหน้าข่าว บก.ข่าว คุณไม่คิดถึงประเด็นนี้บ้างเลยหรือว่า คุณนี่นะ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ถูกนักโกหตัวยง ซึ่งพิสูจน์ได้แล้วว่าโกหกตั้งไม่รู้กี่เรื่อง ให้คุณไปฟังเขาโกหกต่อ แล้วบางคนก็โง่พอที่จะเอาคำโกหกนั้นมาลงหนังสือพิมพ์ของตัวเอง แท้ที่จริงแล้ว คุณชูวิทย์เขาหลอกใช้คุณ เพื่อให้คุณออกไปในสื่อมวลชน


ท่านผู้ชมครับ ใครก็ตามที่เคยโดนคุณชูวิทย์แฉ ถ้าคุณจะฟ้องหมิ่นประมาทคุณชูวิทย์ อย่าฟ้องคุณชูวิทย์คนเดียว สื่อมวลชนเจ้าไหน ทีวีช่องไหน ที่เอาคำโกหกของคุณชูวิทย์ออก คุณต้องฟ้องหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น ฟ้องทีวีช่องนั้น ฟ้องบรรณาธิการข่าว ฟ้องผู้อำนวยการทีวี ฟ้องแม้กระทั่งเจ้าของทีวี ที่ต้องฟ้องเพราะว่าเสือกโง่ เอาข้อมูลอันเป็นเท็จ คือพูดง่ายๆ ว่าถูกคุณชูวิทย์หลอกเอาไปลงข่าว ผมก็อยากจะรู้ว่า สักวันหนึ่ง คุณสรยุทธ ถ้าเอาข่าวที่คุณชูวิทย์พูด ถ้าพาดพิงถึงผมแล้วไม่จริงนะ หรือใครก็ตาม ที่ไม่จริง ผมไม่ฟ้องคุณชูวิทย์หรอก เพราะคุณชูวิทย์ไม่มีราคามากพอ แต่ผมจะฟ้องเจ้าของช่อง ช่อง 3 ตระกูลมาลีนนท์ ผมฟ้องให้หมดเลย รวมทั้งคุณสุรินทร์ด้วย ในฐานะเป็นผู้อำนวยการ ฟ้องคุณสรยุทธด้วย แต่ผมไม่ฟ้องคุณชูวิทย์ ไม่มีราคาให้ผมไปแตะ ขยะแขยง สะอิดสะเอียน

เพราะฉะนั้นแล้ว คนแถลงข่าวที่ชอบโกหกเป็นประจำอย่างคุณชูวิทย์ พวกคุณต้องทำงานล่วงหน้า ถ้าคุณทำการบ้านล่วงหน้าคุณจะรู้ทันทีเลยว่าคุณชูวิทย์ในรอบ 5-6 เดือนที่ผ่านมานี้ โกหกเรื่องอะไรบ้าง แต่กลับเป็นเรื่องที่คุณเฉย ตรงนี้ต่างหากที่ผมกำลังตั้งข้อสงสัยครับนักข่าวทั้งหลาย บก.ข่าว และหัวหน้าข่าว พวกคุณไม่เช็กข่าวเก่าเลยหรือ คุณชูวิทย์เขาขุดหลุมพรางให้คุณเข้าไป คุณก็ตกไปในหลุมพรางกับดักเขา แล้วคุณก็รับทราบคำโหก แล้วก็เอามาเขียนข่าวและส่งไป จริงๆ แล้วคุณต้องบอกลูกน้องคุณ เวลาไปทำข่าวที่ไหน ต้องไปด้วยความระมัดระวังอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคุณชูวิทย์ ว่าจะตกเป็นเหยื่อการโกหก พลาดพลั้ง เอาข้อความที่คุณชูวิทย์พูดโดยไม่ตรวจสอบ หรือสอบให้แน่ชัด เอามาเขียนข่าว ส่งให้หัวหน้าข่าว เพราะฉะนั้นแล้ว ผมไม่อยากให้พวกคุณ บก.ข่าว หัวหน้าข่าว สื่อกระแสหลัก ไปตกหลุมพรางของคุณชูวิทย์ เอาข่าวขึ้น เพียงเพราะว่านายชูวิทย์กำลังดัง พวกคุณมีโอกาสสูงที่จะตกเป็นจำเลยในคดีหมิ่นประมาท แล้วผมขอยุยงส่งเสริมใครก็ตามที่ลงข่าวนายชูวิทย์ แล้วโดนนายชูวิทย์โจมตี นอกจากคุณจะฟ้องนายชูวิทย์แล้ว กรุณาฟ้องหนังสือพิมพ์อีก

นี่ยังดีนะ แสนสิริ เขาไม่อยากทะเลาะกับสื่อมวลชน ถ้าเป็นผม ผมฟ้องหมดเลย ไม่ว่าช่องอะไรก็ตามที่ลงข่าวว่าแสนสิริเจตนาทุจริต ฉ้อฉล ในการซื้อขายที่ดิน จริงๆ แล้วพวกคุณควรจะเป็นจำเลยพร้อมกับนายชูวิทย์นะ แต่สำหรับผมแล้ว ผมยืนยัน ผมจะไม่ฟ้องนายชูวิทย์ แต่ผมจะฟ้องช่องต่างๆ ที่เอาเรื่องราวของผมไปออก หรือเรื่องราวที่มันกระทบต่อสิทธิของผม หมิ่นประมาทผม แล้วผมฟ้องไล่เรียงเลย ตั้งแต่บรรณาธิการข่าว หัวหน้าข่าว ผู้อำนวยการข่าว ไปจนถึงผู้ถือหุ้นด้วย ผมรอที่จะฟ้องช่อง 3 อยู่ คุณสรยุทธ คุณอย่าพลาดนะ คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา คุณอย่าพลาดนะ คุณซี้กับชูวิทย์ เอาสิ ลงไปเลย ที่ชูวิทย์พูดถึงผมน่ะ ที่ทำให้ผมเสียหาย ลงไปสิ! แล้วคุณเจอผมในศาลแน่ สรยุทธ สุทัศนะจินดา


หัวหน้าข่าว และ บก.ข่าว คุณต้องสั่งให้ลูกน้องคุณทำการบ้านล่วงหน้า ให้เขารู้จักถามคำถาม อย่าทำตัวเป็นสากกะเบือ ทุกอย่างที่ถาม บอกว่ามีหลักฐานไหม แล้วผมจะเตือนอย่างหนึ่งนะครับ ชูวิทย์ชอบใช้วิธีนี้ หลักฐานอยู่นี่ครับ หลักฐานอยู่นี่ครับ แล้วก็วาง นักข่าวโง่ๆ อ๋อ คุณชูวิทย์ชูหลักฐานแล้ว แล้วคุณเห็นเนื้อในหรือเปล่าว่ามันคืออะไร เหมือนกับที่ชอบบอกว่า ผมมีนะ แชตคุยกันกับคนที่เกี่ยวข้อง นี่ไง แชต คุณไม่รู้ว่าที่เขากดให้คุณดู ซึ่งคุณนั่งห่าง คุณมองไม่เห็นหรอก อย่าไปตกหลุมพรางนี้ ชอบนักที่เอาเอกสารมา มีแฟ้ม นี่ไง อยู่กับผมๆ คุณเคยสังเกตไหม คุณชูวิทย์เวลาแถลงข่าวอะไรต้องมีกระดานสีขาว ไม่ว่าจะแถลงส่วนตัว หรือว่าแถลงผ่านรายการคุณสรยุทธ จับโน่นโยงนี่ จับนี่โยงนั่น โยงมันฉิบหายวายป่วงหมดเลย ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกันก็โยง แล้วแต่ละจุดมันมีคำถามในการโยงทุกครั้งที่คุณโยง ต้องถาม นี่เขาเรียกว่าอะไรรู้ไหมท่านผู้ชม ? "จับปลาตอนน้ำขุ่น" คือกวนให้มันขุ่นก่อนแล้วเอามือล้วงไปจับ ปลากำลังดิ้นอยู่ จับ

เวลาคุณชูวิทย์เขาชูเอกสารเป็นปึก นักข่าวที่ไม่มีประสบการณ์ เห็นเอกสารเป็นปึก ก็จะปล่อยผ่าน คุณต้องถามคุณชูวิทย์ว่า เอกสารที่คุณมี แจกให้พวกผมดูได้ไหม ถ้าเขาปฏิเสธจะให้เอกสารแจกให้ผู้สื่อข่าว คุณต้องประท้วงทางอ้อมว่า ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่สามารถจะยืนยันคำพูดที่คุณพูดไป เพราะคุณพูดจากปากคุณเอง แล้ว บก.ข่าว หัวหน้าข่าว ก็สามารถจะระบุให้ผู้ติดตามเรื่องนี้อยู่ ต้องระบุในเนื้อข่าว ถ้าจะเขียนจริงๆ ตีพิมพ์ หรือพิธีกร ต้องพูดบอกว่า ทางช่องนี้ ผู้สื่อข่าวได้ติดตามขอดูข้อมูลหลักฐาน แต่คุณชูวิทย์ไม่ให้ดู เพราะฉะนั้นแล้ว ข้อความที่คุณชูวิทย์พูดมา ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือไม่จริง แต่นักข่าวภาคสนามที่นั่งชูคอกันสลอนเลย เป็นเหยื่อของชูวิทย์


เวลาทำข่าว คุณไม่เคยสังเกตหรือว่า คุณชููวิทย์เขาจะดรามาเพื่อขอความเห็นใจ มุกช่วงหลังๆ ที่ใช้มาประจำก็คือ ผมจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว หมอบอก 8 เดือน แล้วหมอที่บอกคุณว่าอยู่ได้อีก 8 เดือน ผมอยากรู้ฉิบหายเลย เป็นหมอที่ไหนวะ ผมเกิดมาเพิ่งเคยเจอว่า หมอมาบอกคนไข้ว่าอีกไม่กี่เดือนคุณจะตายแล้ว และจริงๆ แล้วผมยังไม่รู้เลยนะท่านผู้ชม คุณชูวิทย์เขาเป็นมะเร็งอะไรหรือเปล่า ผมไม่ทราบจริงๆ แล้วผมก็งง พวกนักข่าวทั้งหลาย วันนั้นคุณชูวิทย์มาแถลงข่าวว่า เมื่อเช้านี้ผมเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล ไปทำคีโมมา แล้วบ่าย คุณชูวิทย์กระโดดโลดเต้นเหมือนลิงเลย ถ้านักข่าวมีสติปัญญาสักนิด ถ้ามีเพื่อนฝูง มีญาติพี่น้องที่เป็นมะเร็ง ไปทำคีโม คุณไม่เคยสังเกตหรือว่าคนที่ทำคีโม พอทำเสร็จ อย่างน้อยต้องนอนสัก 2-3 วัน แข็งแรงที่สุดคือนอน 1 วัน ไม่ใช่ออกมาตอนเช้า แล้วตอนบ่ายมากระโดดโลดเต้น คุณต้องตั้งข้อสงสัยตรงนี้ แล้วคุณก็สามารถถามคุณชูวิทย์ได้ ถามคุณชูวิทย์ให้เจาะใจกันเลยว่า คุณชูวิทย์ครับ ไปทำคีโมที่โรงพยาบาลไหน คุณชูวิทย์อาจจะบอกว่าเป็นความลับส่วนตัว บอกไม่ได้ คุณก็ถามต่อสิ ผมมีพี่เป็นหมอ มีเพื่อนเป็นหมอ ทุกคนยืนยันว่าเวลาทำคีโมนั้น เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องพักผ่อนอย่างน้อย 1-2 วัน นี่คุณชูวิทย์ไม่พักเลย แสดงว่าคุณชูวิทย์ร่างกายแข็งแรงมาก ถ้าแข็งแรงมากก็แสดงว่าไม่ได้เป็นมะเร็งสิ


เพราะฉะนั้นแล้ว นักข่าวอย่าไปเคลิบเคลิ้มกับที่ว่า เขาอยู่อีก 8 เดือน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาพูด เขาแฉเพื่อชาติ มันจะเป็นความจริง เพราะนี่คือม่านบังตา นี่คือการอำพรางว่าเพราะผมจะอยู่อีกไม่นาน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมพูด อย่าถามผม เป็นความจริงหมด นักข่าวต้องไม่เคลิบเคลิ้มไปกับคำพูดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกไม่นานผมก็ตายแล้ว โอ๊ยย ร้องห่มร้องไห้กัน แฟนชูวิทย์เคลิ้ม น้ำตาไหลพราก ผมยังไม่รู้เลยว่าไหลพรากเรื่องอะไร เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว คุณชูวิทย์ครับ ให้คุณตายไปแล้วเกิดใหม่อีก 10 ชาติ ความจริงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง มันจะคงสภาพเป็นความจริงอันเดิมครับ คุณชูวิทย์ คุณตายไปเลย ตายไปพรุ่งนี้ก็ได้ ความจริงที่บอกว่าคุณโกหก ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ความจริงที่บอกว่าคุณจะไปแบล็กเมลแสนสิริ กับคุณเศรษฐา ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

เพราะฉะนั้นแล้ว อย่างเช่นเรื่องคีโม หัวหน้าข่าว บก.ข่าว คิดไม่ตกเลยหรือ คุณเป็นคนที่มีประสบการณ์มาก คุณน่าจะรู้เลย คุณยกหูโทรศัพท์ทันที แหล่งข่าวคุณมีเยอะ คุณหมอครับ คนที่ไปทำคีโม คุณชูวิทย์อ้างว่าไปทำมาเมื่อเช้า ออกจากโรงพยาบาลมาแล้วไปทำงานต่อ โอกาสเป็นไปได้มีกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วหัวหน้าข่าว บก.ข่าว คุณต้องสอนนักข่าวคุณ เทคนิคของคุณชูวิทย์อีกอย่างหนึ่งคือ ชอบทำเสียงดัง ส่งเสียงดัง พอถึงจุดทีตัวเองตัน ถอยไม่ได้ ไปต่อไม่ได้ ก็พลิกประเด็นเปลี่ยนไปเรื่องอื่นทันทีเลย ทิ้งไปเลย

ท่านผู้ชมครับ ถ้านักข่าวคิดเป็น ไม่ได้ถูกสะกดจิตจากนายชูวิทย์ หรือไปฟังนายชูวิทย์แถลงข่าวอย่างโง่ๆ ก็ต้องรู้ถึงความผิดสังเกตของการกระทำของนายชูวิทย์ อะไรบ้างล่ะ ? ผมเคยพูดไปอาทิตย์ที่แล้วไง ผมมาเตือนสติความจำอีกที


ท่านผู้ชมครับ และนักข่าวทั้งหลาย พวกคุณจำได้หรือเปล่า ก่อนการเลือกตั้ง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ด่าพรรคภูมิใจไทย ด่าอนุทิน ชาญวีรกูล จนเสียผู้เสียคน ด้อยค่ากัญชา ใครไม่เห็นด้วยกับกัญชา ก้จะไปขึ้นเวทีกับเขา ขึ้นเวทีกับพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คนหิวแสงเจอคนหิวแสงด้วยกัน


คุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ก็เห็นด้วยกับคุณชูวิทย์เรื่องกัญชา คุณชูวิทย์ไปช่วยหาเสียงให้ คุณวัชระ เพชรทอง คือใครที่ออกมาแล้วชูว่ากัญชาเป็นยาเสพติด คุณชูวิทย์จะไปหาเสียงให้เสร็จเลย

ท่านผู้ชมครับ นักข่าวคราว บก.ข่าวครับ จู่ๆ หลังจากที่ด่าเขาเป็นหมูเป็นหมา เป็นเดือนๆ ไม่หยุด นอกจากนั้นยังพูดต่อนะ ผมจะทำลายพรรคภูมิใจไทย ไม่ให้มันเข้ามามี ส.ส. โน่นนี่นั่น จู่ๆ เงียบเลย ไม่พูดถึงเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วคนตั้งข้อสงสัยก็เลยชงเรื่องให้โฆษกประจำตัว คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ก็ถามว่า ทำไมถึงหยุดพูดถึงเรื่องกัญชา กับภูมิใจไทย

คุณชูวิทย์ ตอบแบบหน้ายางมะตอยเลยว่ามันจบแล้วครับ ไม่มีแล้ว คุณอนุทิน (ที่คุณด่าโคตรพ่อโคตรแม่เขามาตั้งนาน) เขาก็ต้องทำหน้าที่ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป


ท่านผู้ชมครับ หัวหน้าข่าวครับ บก.ข่าวครับ คุณไม่รู้สึกผิดสังเกตบ้างเหรอ ตามประสบการณ์ของคุณ ของการกระทำ คุณไม่รู้สึกผิดสังเกตเลยหรือ คนที่รู้เรื่องทั้งหมดดีแล้วสังเกต  มันจบเพราะอะไรกัน มันจบเพราะตกลงกันได้แล้วใช่ไหม การตกลงกันนี้มีเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้องหรือเปล่า มีใครทำเงินหล่นหรือเปล่า เพราะคนอย่างคุณชูวิทย์ ถ้าตกลงกันไม่ได้ แกไม่หยุดหรอก ตัวอย่างนี้ ท่านผู้ชมครับ นักข่าวครับ สะท้อนให้เห็นถึงสีสันและตัวจริงของคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซึ่งคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ตั้งฉายาว่า "แฉไป ไถไป"

นี่เป็นเพียงเรื่องที่จะให้คำแนะนำว่า นักข่าวทุกคนควรจะทำหน้าที่ตามวิชาชีพที่ควรเป็น ถ้าคุณแค่ไปฟังเฉยๆ จดทุกอย่างที่เขาพูด ผมจะเสนอว่า สื่อหลัก หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ทีวีทุกช่อง คุณไม่ต้องไปจ้างนักข่าวที่จะไปฟังคุณชูวิทย์พูดหรอก เสียเงินเปล่าๆ เสียเวลา คุณจ้างแกร็บ หรือไลน์แมน อ่ะ มีงานให้ทำชิ้นหนึ่ง ไปนั่งฟังหน่อย ช่วยอัดเทปมาหน่อย จบ แค่นั้น ผมสงสารอาชีพและวิชาชีพของสื่อมวลชนในวันนี้มาก


คุณชูวิทย์ครับ เรื่องที่ดินของคุณที่ผมออกไปอาทิตย์ที่แล้วว่ามีโอกาสเป็นนิติกรรมอำพราง แล้วคุณก็บอกกับคนใกล้ชิดว่า เอ๊ย ผมไม่ผิด ไม่เป็นไรครับคุณชูวิทย์ เพื่อความยุติธรรมระหว่างคุณกับผม ข้อมูลผมอาจจะผิดก็ได้ อีกไม่นานนี้ เพื่อความยุติธรรม ตรงไปตรงมา และผมเป็นคนชัดเจนมาก ผมจะไปยื่นคำร้องที่กรมสรรพากรให้เขามาตรวจสอบเรื่องนิติกรรมอำพรางนี้ ว่า ในสายตาของกรมสรรพากร หลังจากดูหลักฐานของผมทั้งหมดแล้ว เรียกหลักฐานจากคุณมาดูแล้ว เขาคิดว่าเป็นนิติกรรมอำพรางหรืรอเปล่า ผมจะไปยื่นด้วยตัวเอง ตรงไปตรงมา คุณชูวิทย์ครับ ผมไปแน่นอน เหมือนกับผมไปยื่นเรื่องที่ดินของคุณที่สุขุมวิท ที่คุณประกาศว่าจะให้เป็นสวนสาธารณะ ผมไปยื่นที่ ป.ป.ช. ผมทำจดหมายถึง กทม. แล้วผมก็จะไปยื่นคำร้องเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบด้วยที่ กทม. สำนักงานโยธาของ กทม. ว่า ผมมีหลักฐานอยู่ในมือว่าใบอนุญาตก่อสร้างที่สามารถสร้างได้ถึง 60,000 ตารางเมตรนั้น ผมมีหมด คุณต่ออายุตั้งแต่ปีแรกที่คุณขอไป มาเรื่อยๆ ตลอด ท่านผู้ชมรู้ไหม 20 ปี ใบอนุญาตนี้ยังขอต่ออายุอยู่ ผมจะถามว่าใบอนุญาตนี้ได้มาอย่างไร

ทุกวันนี้การจะก่อสร้างอาคารอะไรก็ตาม มันต้องผ่าน EHIA เอาล่ะ ยุคนั้นอาจจะไม่ต้องผ่าน แต่มายุคนี้แล้ว ถ้าเจ้าหน้าที่ยังต่ออายุให้โดยที่ไม่ยื่นเข้าตามระบบที่ถูกต้อง คือให้ EHIA เป็นคนอนุมัติก่อนว่าไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม แสดงว่าเจ้าหน้าที่ กทม. บางส่วนหรือบางคนสมรู้ร่วมคิดกับคุณชูวิทย์ กระทำผิดมาตรา 157 อย่างนี้ดีกว่าคุณชูวิทย์ ถ้าทำผิดแบบนี้ วิธีนี้ ผมว่าเป็นคนกลาง คุณกับผมไม่ต้องทะเลาะกัน

คุณชูวิทย์รู้ไหมว่าผมเคยเตือนคุณไปหลายต่อหลายครั้งแล้วเรื่องบาปบุญคุณโทษ เวรกรรมมันจะไล่ล่าคุณ เวรกรรมไล่ล่าคุณ คุณไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคุณกำลังรับกรรมอยู่ กรรมมันกำลังไล่ล่าตัวคุณ แล้วกรรมมาจากไหนล่ะ ? จากการที่คุณเคยทำธุรกิจบาป คุณโกหกพกลม หักหลังคน ทำร้ายคนด้วยคำพูด ทำร้ายคนโดยไม่มีพื้นฐานแห่งความเป็นจริง คุณอาจจะไม่เชื่อเรื่องกรรมก็ได้ แต่ผมเชื่อ ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ของผม ซึ่งคุณไม่ค่อยรู้จักหรอก คุณอาจจะเคยได้ยินแต่ชื่อ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่หล้า เขมปัตโต สมเด็จญาณสังวรฯ ทุกองค์ท่านยืนยันว่า "กรรม" เป็นอะไรบางอย่างที่มนุษย์เราในโลกนี้ไม่มีใครหนีพ้น คุณก็หนีไม่พ้น คุณชูวิทย์ คุณต้องรับไป


ถึงวันนี้ คุณชูวิทย์ครับ คุณจะอ้างเอาเรื่องโกหกพกลมใกล้ตายมาเป็นข้ออ้าง เพื่อแสวงหาประโยชน์ เพื่อให้คนเขาเชียร์คุณว่าคนใกล้ตายแล้วเขาไม่พูดโกหก คุณชูวิทย์ คุณรู้หรือเปล่าว่าคนเราเวลาจะตาย จิต สภาพจิตสุดท้ายก่อนตายของคุณ ถ้าคุณยังหมกมุ่น หรือถูกเผาไหม้จากความทุกข์ใจเรื่องทรัพย์สินเงินทองของคุณ แล้วลูกคุณอยู่ต่อไปจะเป็นอย่างไรบ้าง คุณชูวิทย์เชื่อผมสิ คุณตกนรกแน่นอน ผมทำนายล่วงหน้าเลย

พ่อแม่ครูอาจารย์สอนผมว่า เวลาจะตาย ถ้าจิตตก ลงนรกลูกเดียว คนอย่างคุณไม่มีวันเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์หรอก เพราะถ้าคุณเชื่อแล้ว คุณไม่ทำงาน ไม่ทำตัวเองเป็นแบบนี้หรอก ไม่เป็นไร ผมเตือนคุณก่อนแล้วกันว่า คนอย่างหลวงตามหาบัว บอกว่าสนธิ เวลาคนจะสิ้นลมหายใจ สนธิต้องไปเขาให้ท่องพุทโธนะ พุทธ (เข้า) โธ (ออก) เพื่อให้จิตเขานิ่ง ละทิ้งหมดทุกอย่าง ละทิ้งความกังวล ละทิ้งกิเลสที่หนาปกคลุมอยู่ ให้ละทิ้งทุกอย่าง อย่าไปสนใจอะไรเลย เอาจิตตัวเองเป็นประภัสสร แล้วจะจากไปอย่างสงบ คุณอาจจะหัวเราะเยาะผมก็ได้ แต่ผมกับคุณแตกต่างกันอย่างมหาศาล ผมเป็นคนที่สงบ จิตนิ่ง และที่สำคัญ ผมเป็นคนเอาธรรมนำหน้า หลวงตามหาบัวสอนผมว่า สนธิ ออกไปต่อสู้ทางการเมือง ต่อสู้กับใครก็ตาม ให้ใช้ธรรมนำหน้า คุณชูวิทย์รู้ไหมว่า "ธรรม" คืออะไร ? ธรรม คือ ความจริงที่มีหนึ่งเดียวเท่านั้น

หลวงตาพูดตลอดเวลาว่า สนธิ ไม่มีใครชนะธรรมได้ แล้วผมพูดมานานแล้วว่า ความจริงนั้นบางครั้งเรารู้มาก่อน เราเห็นมาก่อน คนเยอะแยะไม่เห็นตามเราเพราะว่ากิเลสยังบังตาอยู่ ถ้าเราแสดงธรรมออกไป พูดความจริงออกไป คนอาจจะไม่เข้าใจตอนนี้ เหมือนกรณีนายแทนไท ณรงค์กูล หรือนายนอท พันธวัช ตอนนั้นที่ผมพูดไปก็มีแต่คนด่าผมว่าอิจฉาริษยา แต่ในที่สุดแล้ว ธรรมคือตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้

คุณชูวิทย์ครับ ผมเตือนคุณ เคยเตือนมาหลายครั้งแล้ว ผมจะเตือนคุณอีก ถ้าคุณยังไม่รู้จักกลับตัว หันมาพูดความจริง อย่าโกหกพกลม อย่าไปเที่ยวแบล็กเมลใคร ทำความดีเสียบ้าง อยากเห็นคุณทำความดีที่บริสุทธิ์ใสซื่อสักครั้งหนึ่งก่อนคุณตาย แล้วก็ท่องพุทโธเวลาคุณต้องเจ็บหนัก พุทธ (เข้า) โธ (ออก) ผมคิดว่าผมเตือนคุณด้วยความหวังดีครับคุณชูวิทย์ ส่วนคุณจะไม่ฟังผม ไปอาละวาด ออกมาเขียนเฟซบุ๊กคุณด่าโคตรพ่อโคตรแม่ผม เชิญตามสบาย คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผมไม่รู้สึกอะไรหรอก เพราะว่ามันก็เป็นของมันอย่างนี้แหล่ะ และแล้วมันก็จะผ่านไป

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ก็พอหอมปากหอมคอ เอาไว้อาทิตย์หน้ามีเรื่องเด็ดๆ ให้ท่านผู้ชมฟังอีก แล้วคอยติดตามสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ แล้วผมจะค่อยเอามาวิสัชนากับท่านผู้ชมหลายๆ ท่าน อย่าลืมนะครับ ถ้าต้องการพระสยามพุทธาธิราช ให้รีบจองเข้ามานะครับ แล้วอย่าลืมเป็นอันขาด คิดถึงพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ครับ สวัสดีครับ

กำลังโหลดความคิดเห็น