xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : “แฉไป ไถไป 2” ความจริงที่จะ “ฆ่าชูวิทย์” - ถ่อยแล้ว-ถ่อยอยู่-ถ่อยต่อ - พิธาพ่อทะลุวัง - เปิดนิติกรรมอำพรางที่ดิน “ตระกูลกมลวิศิษฎ์”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 11 ส.ค.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ได้แก่
- ถ่อยแล้ว-ถ่อยอยู่-ถ่อยต่อ "พิธา" พ่อทะลุวัง
- “แฉไป ไถไป 2” ความจริงที่จะ “ฆ่าชูวิทย์”
- เปิดนิติกรรมอำพรางที่ดิน “ตระกูลกมลวิศิษฎ์”
- ละครลิงจบ "ชูวิทย์" เลิกต้านกัญชา

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.201



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 202 [11 ส.ค. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK

แอปพลิเคชัน : SONDHI APP

ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.

ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android

เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ

YouTube : Sondhitalk

เว็บไซต์: www.sondhitalk.com

Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2566 ขอทักทายท่านผู้ชมที่ดูรายการถ่ายทอดสดอยู่ทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok

วันพรุ่งนี้เป็นวันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ครบ 91 พรรษา ท่านผู้ชมครับ พระองค์ท่านเป็นคนที่มีคุณูปการมากกับสังคมไทย เป็นผู้ที่ริเริ่มโครงการต่างๆ ช่วยเหลือประชาชน เรามาร่วมกันถวายพระพรให้กับพระองค์ท่านดีกว่า ขอให้พระองค์ท่านจงมีพระชนมายุยืนยาวนาน ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญตลอดไปครับ


อาทิตย์นี้เราจะมีหลายเรื่องที่จะพูดให้ฟัง แต่ก่อนที่จะเข้าเรื่องหลัก เราจะเล่าเรื่องการทำพิธีพลีมวลสารพระสยามพุทธาธิราช ที่บ้านพระอาทิตย์ เมื่อวันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมานี้ หลังจากผมพูดจบแล้วก็จะมีประเด็นต่างๆ ซึ่งจริงๆ แล้วมีอยู่สองเรื่องใหญ่เท่านั้นเอง แต่ในเรื่องใหญ่นั้นจะมีเรื่องที่แตกย่อยออกไปหลายๆ เรื่อง ท่านผู้ชมคอยติดตามก็แล้วกัน คือผมจะพูดถึงเรื่องความเคลื่อนไหวทางการเมือง และผมจะฉีกหน้ากากเปิดบัญชีหนังหมาของแก๊งทะลุวัง ศิษย์ของพรรคก้าวไกล พร้อมเปิดหลักฐานที่ชัดยิ่งกว่าชัดของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งศักดิ์ศรีก็คือ พ่อของแก๊งทะลุวังนั่นเอง จะเป็นอย่างไร เดี๋ยวมาฟังกัน

เรื่องที่สอง คือ "แฉไป ไถไป 2" เป็นความจริงที่คุณชูวิทย์ เปิดนิติกรรมอำพรางของแท้ ของคุณชูวิทย์ ซื้อขายที่ดินตระกูลกมลวิศิษฎ์ หลีกเลี่ยงภาษี ติดค้างภาษีอยู่ทั้งหมดเก้าร้อยกว่าล้านบาท แล้วก็มีอะไรที่มันตลกขบขัน แต่มันเป็นตลกร้ายที่ผมฟังแล้วผมหัวเราะไม่ออก และผมเชื่อว่าแฟนพันธุ์แท้ที่ลุ่มหลง หลงใหลคุณชูวิทย์ ก็จะไม่เข้าใจเหมือนกัน คือคุณชูวิทย์มาพูดเรื่องเกี่ยวกับพรรคภูมิใจไทย และกัญชา ท่านผู้ชมตามผมมาแล้วกัน แล้วท่านผู้ชมน่าจะเห็นด้วยกับผมว่า คุณชูวิทย์ วันนี้สรุปได้ชัดเจน ทุกอย่างที่ออกมาทำอยู่ทุกวันนี้คือการเล่นละครหมด เพราะฉะนั้นคุณชูวิทย์ คือเจ้าของโรงละครลิงโรงใหญ่ที่มีคุณชูวิทย์ เป็นตัวละครเองอยู่คนเดียว นึกจะด่าใครก็ด่า แล้วก็ด่าแบบเอาเป็นเอาตายเลยนะ แต่บทจะหยุดก็ เรื่องมันจบไปแล้ว คำถามก็คือว่า คุณชูวิทย์ มีข้อแลกเปลี่ยนอะไรหรือเปล่า คุณชูวิทย์ ก็จะปฏิเสธเหมือนเดิมว่าไม่มีๆ เรามาฟังกันครับ แล้ววันหลังถ้าท่านผู้ชมดูคุณชูวิทย์ จากนี้ไปให้ดูด้วยความตลกขบขันและสมเพชในตัวคุณชูวิทย์ นะครับ


ท่านผู้ชมครับ หลังจากเมื่อวันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2566 ที่ผม อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และทีมงาน ได้เคยไปทำพิธีบวงสรวงศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ขอพลานุภาพของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเพื่อจัดทำพระสยามพุทธาธิราช ให้ได้สำเร็จ โดยในวันนั้นได้เกิดเหตุอัศจรรย์อันเป็นสิริมงคล 3 ประการ ที่ผมเคยพูดไปแล้วนั้น ประการแรก คือ ในขณะที่ตั้งจิตอธิษฐานได้มีหมู่ผึ้งทั้งหลาย จำนวนมาก มาเกาะอยู่เต็มจานอาหาร อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนและพบเห็นมาก่อน อันนี้เป็นการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ของศาลหลักเมือง


ประการที่สอง ในขณะที่ตั้งจิตอธิษฐานจนหลังเสร็จพิธีแล้ว ปรากฏภาพของสายรุ้งบังเกิดขึ้น พาดผ่านท้องฟ้าที่งดงามยิ่ง ประการที่สาม ในระหว่างพิธีไม่มีฝนตกเลยแม้แต่หยดเดียว เมฆครึ้ม แต่เมื่อเสร็จพิธีก็ปรากฏเหมือนละอองน้ำที่เหมือนพรมน้ำมนต์จากฟากฟ้าแล้วหายไป ซึ่งพวกเราเชื่อว่าเทวดาผู้รักษาบ้านเมืองได้รับรู้แล้ว

ทีนี้ ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม เวลาบ่ายโมงสิบเก้านาที ณ บ้านพระอาทิตย์ ผม และอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และคณะ พร้อมพระภิกษุสงฆ์ ได้จัดทำพิธีพลีมวลสารผงพระเครื่องจำนวนมาก และเหรียญต่างๆ เพื่อเป็นเนื้อผงสำหรับกาจัดทำเหรียญพระสยามพุทธาธิราช ในวันที่พลีมวลสาร มีพระที่มาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ 2 องค์ องค์แรกคือ พระราชรัตนมงคล หรือท่านมนตรี อภิมนฺติโก ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ท่านเคยเป็นฐานานุกรมในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่สอง คือ หลวงปู่เฉลิม ธมฺมธโร วัดป่าภูแปกญาณสัมปันโน อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย


หลังจากที่มีการจุดธูปบูชา พระภิกษุสงฆ์ได้สวดชุมนุมเทวดา เพื่อให้เทวดาฟ้าดินได้รับรู้ และผมได้ถวายเครื่องสักการะบูชา หลังจากนั้นผมได้ตั้งจิตอธิษฐานจิต กล่าวว่า ขอกราบขมาองค์แทนพระพุทธเจ้า พระซุ้มกอ พระรอดลำพูน พระรอดคราบกรุดำ พระสมเด็จเก่าบางขุนพรหม หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน พระผงสุพรรณพิมพ์ใหญ่ พระนางพญา จตุคามรามเทพรุ่นยามเฝ้าแผ่นดิน พระพุทธพิมพ์ 2 สมเด็จ สมเด็จก้านมะลิ สิงห์งาแกะ เขี้ยวแกะ ของหลวงพ่อเดิม สมเด็จวัดปากน้ำ สมเด็จพิมพ์ 2 หน้า และมวลสารมงคลอื่นๆ โดยได้ขออนุญาตย่อยสลายองค์แทนพระพุทธเจ้าเหล่านี้ เพื่อจะนำวัตถุมงคลทั้งหมดไปบรรจุในเหรียญพระสยามพุทธาธิราช ที่ผม และอาจารย์ปานเทพ และผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันสร้าง เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการทำนุบำรุง พิทักษ์รักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ดำรงสภาพสถาพรต่อไป และเพื่อให้เกิดเป็นสิริมงคลกับบุคคลทั้งหลายที่นำไปกราบไหว้บูชา


ชื่อ "พระสยามพุทธาธิราช" วัตถุมงคลนี้เป็นวัตถุมงคลที่ชื่อเป็นภาษาทั่วๆ ไปคือเป็นวัตถุมงคลของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ "สยาม" คือ ชาติ "พุทธ" คือ ศาสนา "ธาธิราช" ก็คือ พระมหากษัตริย์

ท่านผู้ชมเชื่อไหมครับ ความอัศจรรย์คือ เมื่อได้ทุบพลีมวลสารครั้งแรกโดยพระภิกษุสงฆ์ และผมได้ทำพิธีทุบพลีมวลสารเป็นลำดับถัดมา เวลานั้นท้องฟ้าเปิด ปรากฏพระอาทิตย์ทรงกลดขนาดใหญ่อยู่บนท้องฟ้าอย่างงดงาม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นบนท้องฟ้ายังมีเมฆ อุตุนิยมวิทยาบอกว่า เปอร์เซ็นต์ของฝนตกในวันนั้นคือ 70 เปอร์เซ็นต์ หลังพิธีพลีมวลสารเสร็จ พระอาทิตย์ทรงกลดก็หายไป เกิดครึ้มฟ้าครึ้มฝนเหมือนกับเป็นสัญญาณบอกว่าเทวดาฟ้าดินได้รับทราบและอนุโมทนาบุญที่จัดสร้างพระสยามพุทธาธิราชแล้ว




มวลสารต่างๆ ที่ได้รวบรวมจากของอันวิเศษจากทั่วสารทิศ ที่ได้มาจากครูอาจารย์ทั่วดินแดนไทย ประกอบด้วย มวลสารจากวัดบวรนิเวศฯ ผงพระมงคลศักดิ์สิทธิ์ ผงธูปและดอกไม้บูชาในอุโบสถ ผงว่าน 108 ชนิด จากปูชนียสถานต่างๆ ทั่วประเทศไทย และผงกากเพชร ซึ่งผมได้เข้าไปรับมวลสารจากพระธรรมวชิรญาณ วิ. (จิรพล อธิจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดบวรฯ กับมือ มวลสารมงคลรวบรวม พระอาจารย์เฉลิม ธมฺมโร วัดป่าภูแปก อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีชานหมาก ข้าวก้นบาตรของหลวงตามหาบัว ของมงคลสำคัญ ของหายากจากพ่อแม่ครูอาจารย์ ผงดอกโพธิ์อายุร้อยกว่าปี ดอกที่ออกจากต้นโพธิ์นานนับสิบปีจะออกดอกสักหนึ่งครั้ง ผงอิฐดินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์พระพุทธเจ้า ดินวัดเชตวันมหาวิหาร ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ เขตเชตวัน อายุกว่าสองพันห้าร้อยปี สังคเวชนียสถาน 4 ตำบล อิฐดินวัดเชตวันมหาวิหาร เป็นวัดและที่มั่นสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล และเป็นวัดที่พระพุทธเจ้าประทับจำพรรษามากที่สุดถึง 19 พรรษา


ดินศักดิ์สิทธิ์แสดงยมกปาฏิหาริย์ ดินโป่งศักดิ์สิทธิ์ ไม้มงคลนานาชนิด ผงว่าน 108 ชนิด ผงไม้จันทร์หอม ผงไม้งิ้วดำ ผงเปราะหอม ผงเหล็กไหล ผงดอกตะไคร้ ผงว่านพระเก่าอายุกว่าห้าสิบปี ของหลวงปู่เขียน ผงข้าวตอกพระร่วง ผงข้าวสารทิพย์ ผงพระเก่าโครงการช่วยชาติ เกสร 108 ชนิด ไม้ที่กลายเป็นหิน ผงไม้มงคล 9 ชนิด และมีมวลสารมาจากศาลหลักเมืองด้วย มีผงธูปมงคล แผ่นทององค์พระหลวงพ่อโสธร ณ ศาลหลักเมือง


ส่วนมวลสารของผมนั้น ผมได้ขุดกรุโบราณที่ผมได้เก็บเอาไว้ตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อมา ตลอดจนผู้หลักผู้ใหญ่ ปู่วิชิต บุนนาค ซึ่งท่านเสียชีวิตไปตอนอายุ 106 ปี ท่านได้มอบวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์มาให้ผม เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผม มีชนวนมวลสารเมื่อครั้งที่เราทำเหรียญบูชาครู ท่านผู้ชมจำได้ไหม ขรัวฉิม หมอเทวดา ของผมมีพระซุ้มกอกำแพงเพชร พระรอดลำพูนกรุมหาวัน พระรอดคราบกรุดำ กรุมหาวัน สมเด็จพระบางขุนพรหม พิมพ์พระประธานพิมพ์ใหญ่ หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน พระผงสุพรรณพิมพ์ใหญ่ พระนางพญาเข่าโค้ง พระนางพญาเข่าตรง พระธาตุสิวลี ปฐวีธาตุของหลวงคำพันธ์ วัดธาตุมหาชัย จังหวัดนครพนม สมเด็จบางขุนพรหมพิมพ์ปรกโพธิ์ ฝากกรุวัดระฆัง สมเด็จบางขุนพรหมพิมพ์มหาจักรพรรดิ ฝากไว้ที่กรุวัดระฆัง จตุคามรามเทพ พระผงสุริยันจันทรารุ่นยามเฝ้าแผ่นดิน ปี 2550 จตุคามรามเทพ พระผงสุริยันจันทรา ปี 2551 จตุคามรามเทพสีทอง 2 องค์ พระพุทธพิมพ์ 2 สมเด็จ 2539 ของหลวงพ่อเดิม ก็มีสิงห์ของหลวงพ่อเดิม งาเขี้ยว สมเด็จก้านมะลิ สมเด็จพิมพ์ 2 หน้า แล้วผมได้เอาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง มาทำเป็นกระบวนการพลีมวลสาร


มีเหรียญของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน รูปหล่อของหลวงพ่อเงิน แล้วก็จอบเล็ก ตะกรุดของหลวงพ่อเดิม มีทั้งมีดหมอของหลวงพ่อเดิม ขวานหลวงพ่อเดิม มีเหรียญหลวงพ่อเดิม เนื้อเงิน เนื้อทองแดง รุ่นปี 2482 มีเสื้อยันต์พระครูนิวาสธรรมขันธ์ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จังหวัดนครสวรรค์ หลวงปู่ทวดรุ่น ฉ. สมเด็จวัดปากน้ำ มีเหรียญรัชกาลที่ 5 แหวนหลวงพ่อเดิม ที่ระลึกหล่อพระทองคำ ทอง เงิน นาก วัดป่าดอยลับงา กำแพงเพชร กฐินปี 2565 มีเหรียญหลวงพ่อเงิน หลวงปู่ทวด พระแม่นางกวักในกรอบไม้ มีหินศักดิ์สิทธิ์เขาสามร้อยยอด ประจวบคีรีขันธ์ พระอรหันต์ธาตุเขาสามร้อยยอด ประจวบคีรีขันธ์ เหล็กไหล ของผมเอง มีอยู่ 2 ก้อน ลูกประคำมงคลจากพ่อแม่ครูอาจารย์ที่มอบให้ผมมา พวงมาลัยดอกไม้บูชาพระบ้านพระอาทิตย์ ที่ผมกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วนั่งสมาธิภาวนาสวดมนต์ ผงธูปบูชาพระที่บ้านพระอาทิตย์ พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธะสิยังกริด ประเทศอินโดนีเซีย มีท้าวเวสสุวรรณเนื้อเงินบริสุทธิ์ วัดจุฬามณี จังหวัดสมุทรสงคราม ไอ้ไข่ วัดเจดีย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง และสมเด็จวัดระฆังของผม


ชุดพิเศษ ผมมีสมเด็จบางขุนพรหมเกศคด สมเด็จบางขุนพรหมทะลุซุ้ม สมเด็จบางขุนพรหมเส้นด้าย A สมเด็จบางขุนพรหมอกครุฑ สมเด็จบางขุนพรหมพิมพ์ A สองคลอง สมเด็จบางขุนพรหมพิมพ์ A ตราฉัตร พระสมเด็จบางขุนพรหมปรกโพธิ์ A พระสมเด็จบางขุนพรหมปรกโพธิ์ B สมเด็จบางขุนพรหมฐานเข้ม ฐานแซม อกร่องฐานแซม ฐานคู่ อกร่องหูยาน เกศยาว หน้ากลม

ท่านผู้ชมครับ นี่คือตัวอย่างที่เป็นพระที่ผมเก็บไว้มานานแล้ว ตลอดจนได้มาจากปู่วิชิต บุนนาค ซึ่งท่านสะสมพระมาตั้งแต่สมัยท่านยังหนุ่ม สมัยท่าน 20-30 ปี หรือประมาณเกือบร้อยปีที่ผ่านมา ท่านสิ้นไปเมื่ออายุประมาณ 106 ปี ทั้งหมดนี้จะออกมาเป็นพระสยามพุุทธาธิราช ที่ทำด้วยเนื้อผง และเป็นเหรียญ ซึ่งเหรียญนี้ก็ได้มาจากพวกเหรียญศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลาย

คนที่ทำบุญ 2,000 บาท จะได้รับพระสยามพุทธาธิราช 1 ชุด ประกอบด้วย พระผง 1 องค์ เหรียญโลหะ 1 องค์ คนที่สนใจตอนนี้เปิดให้สั่งจอง พรีออเดอร์แล้ว ที่ไลน์ (LINE) @tambun จำนวนจำกัด ใครจองก่อนได้ก่อน ผมเชื่อว่าเมื่อเหรียญเสร็จออกมาแล้ว สวยงามมาก เพราะคนออกแบบคือ อาจารย์ศิริ ซึ่งท่านมีชื่อมาก ผมดูแล้วผมยังชอบเลย สวยจริงๆ


ท่านผู้ชมครับ รีบจองมา เพราะผมเชื่อว่าอีกไม่นานก็จะหมดแล้ว นี่ขนาดเราเปิดจองยังไม่ได้เอาจริงเอาจัง ไม่ได้อธิบายถึงเรื่องผงต่างๆ ก็มียอดจองเข้ามาหกพันกว่าชุดแล้ว เราทำเบ็ดเสร็จคงไม่เกิน 20,000 ชุด หรือสูงสุดไม่เกิน 25,000 ชุด ผมเชื่อว่าไม่มีเหลือแน่นอน เพราะเป็นพระผงและพระโลหะที่มีชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ ว่า รุ่นชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ คือ พระสยามพุทธาธิราช

“ทะลุวัง” ถ่อยแล้ว - ถ่อยอยู่ - ถ่อยต่อ

ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดวันนี้ ผมให้หัวเรื่องนี้ว่า "ถ่อยแล้ว ถ่อยอยู่ ถ่อยต่อไป" แล้วผมจะกางบัญชีหนังหมาของกลุ่มทะลุวัง ลูกศิษย์ของพรรคก้าวไกล ทำไมผมถึงพูดเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ตอนนี้แกนนำพรรคก้าวไกลออกมากระโดดตัวยาว สะดุ้งโหยงเหมือนไฟลนก้น บอกไม่ได้เกี่ยวกับพวกนี้นะ เดี๋ยวผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเกี่ยวอย่างไร


เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2566 วันจันทร์ที่ผ่านมา มันมีความเคลื่อนไหวในแวดวงการเมืองที่พรรคเพื่อไทย โดยคุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้แถลงข่าวร่วมกันประกาศจัดตั้งรัฐบาล โดยเบื้องต้นสามารถรวมเสียงสองพรรคได้แล้ว 212 เสียง อันเป็นเสียงพรรคเพื่อไทย 141 เสียง และพรรคภูมิใจไทย 71 เสียง และพร้อมจะตั้งพรรคหรือกลุ่มการเมืองมาร่วมรัฐบาลเสียงข้างมาก

นายอนุทิน ระบุชัดเจนว่า การร่วมรัฐบาลครั้งนี้ตั้งอยู่ภายใต้เงื่อนไข 3 ประการ หนึ่ง ไม่แตะต้องมาตรา 112 สอง ไม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย สาม หากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งจะต้องไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลด้วย ชัดเจน

รายละเอียดของพรรคร่วมรัฐบาลที่จะเพิ่มเติมจาก 212 เสียง พรรคเพื่อไทย และภูมิใจไทยนั้น ต้องรอดูกันต่อไปว่า สรุปแล้วจะมีพรรคหรือกลุ่มการเมืองใดบ้างที่จะเข้ามาร่วมเพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสียงเกิน 250 เสียง และเมื่อรวมเสียง ส.ว. เพื่อจะโหวตนายกรัฐมนตรีแล้ว จะได้เสียง ส.ส. และ ส.ว. ทั้งหมดรวมกันเป็น 375 เสียง

เอาล่ะครับท่านผู้ชม นั่นคือข่าวการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล ประเด็นที่ผมจะพูดวันนี้คือ หลังจากการแถลงข่าวจัดตั้งเสร็จที่พรรคเพื่อไทย ในวันที่ 7 สิงหาคม 2566 ได้เกิดเหตุความวุ่นวายขึ้น โดยขณะที่รถโฟล์กตู้ของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่กำลังจะเดินออกจากพรรคเพื่อไทย ถูกขัดขวางโดยกลุ่มทะลุวัง นำโดย น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง ยืนดักอยู่บริเวณหน้ารถ ทำให้รถของนายพิพัฒน์ ไม่สามารถจะเดินทางออกไปได้ ซึ่งบุ้ง เนติพร พูดผ่านโทรโข่งว่า รบกวนให้ลดกระจกลงหน่อย เพราะอยากรู้ว่ามีฆาตกรอยู่ในรถหรือไม่ ทำให้นายพิพัฒน์ เดินลงมาเพื่อเจรจากับบุ้ง เนติพร


เนติพร พูดว่า มาจากพรรคอะไร ใช่พรรคภูมิใจไทยหรือไม่ ? นายพิพัฒน์ ตอบว่า พรรคภูมิใจไทย บุ้งก็เลยประกาศผ่านโทรโข่งว่า พรรคภูมิใจไทยอยู่ที่นี่ จากนั้นคุณพิพัฒน์ ก็บอกยัยบุ้งว่า อย่าขัดขวางการเดินทาง บุ้ง เนติพร บอกว่า "วันนี้มีปัญหาเพราะ "ไอ้หนู" คือฆาตกร (หมายถึงอนุทิน ชาญวีรกูล) ที่กำลังมาจับมือกับพรรคเพื่อไทย ไม่ทราบเลยหรือว่าประชาชนตายจากโควิดไปกี่คน" ตรรกะที่บัดซบอันนี้เอามาพูดได้อย่างไร ถ้าอย่างนั้นประชาชนที่ตายจากโควิดทั่วโลกนี้ ผู้นำแต่ละประเทศมิต้องกลายเป็นจำเลยของคุณเลยหรืออย่างไร ?

นายพิพัฒน์ บอกว่า ให้ใช้ภาษาให้ดีๆ หลังจากนั้นก็มีการโต้เถียงกันด้วยถ้อยคำรุนแรง สมาชิกกลุ่มทะลุวังก็เลยมีการจุดพลุแฟลร์แล้วโยนไปที่บริเวณท้ายรถของนายพิพัฒน์ นายพิพัฒน์ก็เลยเดินกลับขึ้นรถ ขบวนรถได้ถอยกลับมาตั้งหลักใต้พรรคเพื่อไทย

ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ประเด็นอยู่ที่ว่า เมื่อกลุ่มทะลุวังโยนพลุแฟลร์สร้างความปั่นป่วน กลับมีผู้สื่อข่าวคนหนึ่งถูกพลุแฟลร์เข้าที่ตา เขาก็เลยเกิดอารมณ์โมโห เดินเข้าไปหากลุ่มทะลุวัง สมาชิกทะลุวังรายหนึ่งใส่เสื้อยืดสีดำ มีรูชูนิ้วกลางและอักษร ค.ควาย คนๆ นี้ ไม่ต้องประหลาดใจ ชื่อนายสายน้ำ - นภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ บุตรชายของ ดร.มานะ ซึ่งเป็นรองอธิการบดีอยู่ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สายน้ำ ตอบด้วยถ้อยคำหยาบคายว่า "อะไรของมึงนักหนาวะ มึงจะเอาอะไรกับกูนักหนา กูปาใส่นักข่าวตรงไหน" นักข่าวคนนั้นก็เลยเกิดอารมณ์โมโห เกือบจะมีเรื่องชกต่อยกัน เท่าที่ทราบ พอนักข่าวคนนั้นจะเอาเรื่องจริงๆ นายสายน้ำ ที่ทำซ่า กลับหน้าซีดเผือด ทำตัวไม่ถูก รปภ. พรรคเพื่อไทยก็มากันนักข่าวและสายน้ำออก


ภาพนิ่งและเสียง คลิปวิดีโอเหตุการณ์ พฤติกรรมดังกล่าวของกลุ่มทะลุวังที่พรรคเพื่อไทย ถูกแพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว ประชาชนคนไทย ชาวบ้านร้านช่องเป็นล้านๆ คน เขาเห็นพฤติกรรมถ่อยสถุน เถื่อน ของพวกเด็กเมื่อวานซืน แล้วตกใจ เข้ามารุมตำหนิกลุ่มทะลุวังแบบไม่มีชิ้นดี เฉพาะในเฟซบุ๊ก เว็บไซต์ MGR Online มีคนเข้ามาชมคลิปหลายล้านครั้ง มีคนคอมเมนต์เป็นหมื่นๆ คน พอคลิปความเถื่อน ความถ่อย ความสถุนของพวกเด็กกลุ่มทะลุวัง นำโดยบุ้ง เนติพร เผยแพร่ออกไปในโลกออนไลน์ สังคมได้เห็นความก้าวร้าว หยาบคายของเด็กกลุ่มนี้แบบชัดๆ พากันรับไม่ได้ จนเกิดกระแสตีกลับ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ? ปรากฏว่าผู้ใหญ่อีแอบทั้งหลายกระโดดตัวยาวหนีกันเป็นแถวเลย

อังคารที่ 8 สิงหาคม 2566 เจี๊ยบ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคก้าวไกล และกรรมการบริหารพรรค รีบออกมาให้สัมภาษณ์ปัดทันทีเลยว่าไม่รู้จัก ขนาดพ่อแม่ เขายังไม่ทำตาม จะไปทำอะไรได้ ชิ่ง จึงขอความเป็นธรรมให้พรรคก้าวไกลว่าไปสั่งน้องๆ เหล่านั้นไม่ได้จริงๆ พรรคก้าวไกลสั่งไม่ได้ แต่คุณเจี๊ยบลืมพูดไปว่า ไม่ได้สั่งหรอก แต่อยู่เบื้องหลัง ย้ำว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องหลัง เด็กในยุคนี้ทุกคนโตกันหมดแล้ว


เจี๊ยบ อมรัตน์ แกนนำพรรคก้าวไกล ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเธอเป็นนายประกัน ยื่นขอประกันตัวให้กับนายสายน้ำ ทะลุวัง หรือไอ้เด็กหนุ่มลูกชาย ดร.มานะ ไอ้เด็กสถุน อายุ 18 ปี ซึ่งตอนนี้กำลังเงียบสนิท เพราะรู้ว่าตอนนี้ทุกฝ่ายเอาจริงแล้ว

(ภาพ) ภาพล่างคือเอกสารที่เจี๊ยบ อมรัตน์ เคยยื่นให้ สน.ยานนาวา เมื่อเดือนธันวาคม 2563 นายประกันที่ยื่นประกันตัวให้สายน้ำ ทะลุวัง


วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม ที่พรรคเพื่อไทย กรณีผู้สื่อข่าวมีเรื่องกับกลุ่มทะลุวัง โดยโดนพลุแฟลร์เข้าที่ตา คนๆ นี้เป็นคนที่ใช้ไม่ได้จริงๆ ดร.มานะ พ่อของสายน้ำ ก็เคยทำงานอยู่กับผม แต่ผมไม่รู้ว่าอะไรมันเพี้ยนไป จนทุกวันนี้ ดร.มานะ แทนที่จะรู้สึกตัว ก็ยังแอบออกความเห็นในเฟซบุ๊ก สนับสนุนลูกชายอย่างกลายๆ ผมเสียใจมาก

ท่านผู้ชมครับ เรามาดูหน่อย เอารูปนายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล กับตะวัน และ แบม ทะลุวัง บนเวทีหาเสียงของพรรคก้าวไกล 24 มีนาคม ที่สวนสาธารณะเทศบาลนครแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี นายพิธา แปะสติกเกอร์ว่าเห็นด้วยกับการยกเลิก 112 เกี่ยวข้องกันครับท่านผู้ชม


วันถัดมา วันอังคารที่ 8 สิงหาคม นายสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติ (Human Rights Watch) ประจำประเทศไทย ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ ว่า "#ทะลุวัง อ้างจัดกิจกรรมวันนี้เพื่อประท้วง #เพื่อไทย และ #ภูมิใจไทย แต่กลายเป็นแสดงพฤติกรรมคุกคามคนเห็นต่าง และใช้ความรุนแรง ล้ำเส้นการใช้เสรีภาพแสดงออกอย่างสันติ"


นายสุนัย พูดต่อว่า "ควรขอโทษ รับปากว่าจะไม่ทำอีก ... พฤติกรรมรุนแรงของ #ทะลุวัง ที่ไปประท้วงการจับมือระหว่าง #เพื่อไทย กับ #ภูมิใจไทย ล้ำเส้นการแสดงออกอย่างสันติ ไม่ใช่แค่ทำให้เสียแนวร่วม และการยอมรับจากสังคมในประเทศ แต่ยังเสียความคุ้มครองภายใต้กติกาสากลที่เคยได้รับในฐานะนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งที่ผ่านมาเป็นปัจจัยสำคัญช่วยคุ้มครองเวลาถูกรัฐเล่นงานด้วยมาตรการต่างๆ"


อีกรายหนึ่ง บก.ลายจุด สมบัติ บุญงามอนงค์ ชี้ว่าทะลุวังต้องทบทวนการเคลื่อนไหว สมบัติ ออกมาพูดเลยว่า ขอให้ทบทวนวิธีการเคลื่อนไหว ต้องพิจารณาเรื่องการสร้างแนวร่วมและการยอมรับในสังคม


ประเด็นครับท่านผู้ชม คนกลุ่มนี้ เด็กระยำพวกนี้ที่ผมเอ่ยชื่อมา ต่อให้พยายามตีชิ่งปฏิเสธความเกี่ยวข้อง มาเล่นบทผู้ใหญ่เตือนเด็กตอนนี้ แต่ทั้งพรรคก้าวไกล องค์กรสิทธิมนุษยชน ผู้ใหญ่อีแอบทั้งหลาย วันนี้คุณปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้หรอก ว่าม็อบเด็กที่ก้าวร้าว หยาบคาย ถ่อย และสถุน ในวันนี้ มันเป็นผลผลิตของพวกคุณทั้งนั้น ก่อนเลือกตั้งไม่กี่วัน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยังเอาเรื่องน้องหยกมาพูดบนเวทีหาเสียง เรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112


ส่วนกลุ่มทะลุวังที่ออกมาชุมนุมกันวันเว้นวันอยู่นี่้ก็เพราะต้องการประท้วงให้พรรคก้าวไกลได้ร่วมการจัดตั้งรัฐบาล ได้เป็นรัฐบาล เอ้า! เขามาประท้วงให้พรรคก้าวไกลไง แล้วพรรคก้าวไกลจะบอกว่าไม่รู้ได้อย่างไร พวกคุณน่ะอยู่เบื้องหลัง พรรคก้าวไกล ไอ้เด็กถ่อยสถุนพวกนี้ หยาบคาย


เร็วๆ นี้เด็กสถุนพวกนี้ก็ยังไปกระทรวงวัฒนธรรม ไปไล่นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ส.ว. ที่ไม่โหวตให้พิธา เป็นนายกฯ


ล่าสุดไปพรรคเพื่อไทย โชว์ถ่อยเถื่อนจนมีคลิปออกมา และที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งนะท่านผู้ชม รถขนอุปกรณ์ ทั้งพลุ สี อุปกรณ์ต่างๆ ที่กลุ่มทะลุวังใช้ประกอบการประท้วงแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเผาโน่นเผานี่ สาดสี หรือทำอะไร นักข่าวทุกสำนัก รวมทั้งนักข่าวของผม ก็เห็นได้ชัดว่ารถนี้มันจอดอยู่หน้าตึกไทยซัมมิท เวลามีเหตุการณ์พรรคเพื่อไทยที่ไหน กลุ่มทะลุวังก็จะปรากฏตัวพร้อมกับรถเครื่องไม้เครื่องมือคันนี้ แล้วถามต่อไปว่า ตึกไทยซัมมิท เป็นของใคร ผมไม่ต้องอธิบายต่อนะครับ เป็นอดีตที่ทำการพรรคอนาคตใหม่ เป็นของบริษัทของครอบครัว หรือของเครือญาติคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เจ้าของพรรคก้าวไกลตัวจริงหรือเปล่า


แล้วท่านผู้ชมทราบไหมครับว่า หนึ่งในคดีที่ ตะวัน ทะลุวัง หรือ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ จำเลยคดีดูหมิ่นสถาบัน ตามมาตรา 112 เคยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากเรือนจำ ในความผิดฐานต่อสู้ ขัดขวางเจ้าพนักงาน มาตรา 368 ฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงาน และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในคดีโพสต์เฟซบุ๊กไลฟ์สดก่อนจะมีขบวนเสด็จ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2565 ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 


ท่านผู้ชมครับ นายประกันของตะวัน ทะลุวัง เด็กถ่อยที่แสดงอาการถ่อยสถุน คือใคร ? นายประกันของตะวัน ตอนนั้นชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ครับ นี่คือหลักฐาน


เพราะฉะนั้นแล้ว พรรคก้าวไกลจะมาพูดอย่างไรก็ตามว่าไม่เกี่ยวข้อง คุณอมรัตน์ จะมาพูดอย่างไรว่าไม่เกี่ยวข้อง เพราะว่าหลักฐานพิสูจน์ชัดเจนว่าคุณพิธาใช้ตำแหน่งตัวเองนั้นเป็นตัวประกัน เพราะฉะนั้นจะปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคก้าวไกลไม่เกี่ยวข้อง

เรื่องนี้ผมเคยเปิดไปแล้วบางส่วนในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 195 ตอนพวกมันเป็นใคร ชักใย "น้องหยก" ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2566


ท่านผู้ชมครับ กลุ่มทะลุวัง ที่มาของกลุ่ม เป็นกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่รับเอาแนวความคิดและการสนับสนุนมาจากนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตย อดีตนักโทษจากความผิดข้อหาตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 138 พ้นโทษเมื่อเดือนเมษายน 2561 ถูกคุมขังมา 7 ปี


ช่วงมีนาคม 2566 มีปัญหาเรื่องแนวทางการเคลื่อนไหว ตะวัน และ สายน้ำ จึงแยกออกมาเคลื่อนไหวในนามกลุ่ม "มังกรปฏิวัติ" ส่วนผักบุ้ง ยังเคลื่อนไหวในกลุ่มทะลุวังเช่นเดิม


มิถุนายน 2566 ทะลุวัง และ มังกรปฏิวัติ กลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง เคลื่อนไหวในประเด็นน้องหยก รวมกันในนาม "ทะลุวัง" แล้วเอา "กลุ่มทะลุแก๊ส" เข้ามาร่วมด้วย วิธีการเคลื่อนไหว พวกนี้จะจัดกิจกรรมใช้การทำโพลสำรวจ ดึงมวลชนที่ผ่านไปมาเข้ามามีส่วนร่วมลงความเห็น จะมุ่งเน้นโจมตีต่อสถาบันกษัตริย์ ประเด็นที่ต้องการเรียกร้องกลุ่มนี้ไปที่มาตรา 112 มีการใช้ความรุนแรงในการจัดกิจกรรม จุดพลุ สาดสี ด่าทอด้วยคำหยาบคาย


กลุ่มทะลุวัง มีแกนนำหลักๆ 14 คน มี ทานตะวัน ตัวตุลานนท์, อรวรรณ ภู่พงษ์, เนติพร เสน่ห์สังคม (บุ้ง), นภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ (สายน้ำ), คทาธร ตาป้อม, ธนลภย์ ผลัญชัย, ธีรภัทร ระดับแก้ว, วิชญาพร ตุงคะเสน, ณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร, รณกร ห้างชัยเจริญ, สุพิชฌาย์ ชัยล้อม (ตอนนี้เธอลี้ภัยอยู่ที่แคนาดา), สิทธิชัย ปราศรัย (ทะลุแก๊ส), จิรภาส กอรัมย์ (ทะลุแก๊ส) และ ณัฐพล เหล็กแย้ม (ทะลุแก๊ส)


ในมือผมมีคดีที่ทั้ง 14 คน โดนอยู่ แต่เลขคดีสรุปมีประมาณ 20-30 หน้า อยู่ในนี้หมดครับ เยอะมาก เด็กเวรพวกนี้ทางการและศาลต้องเอาจริงเอาจัง อย่าไปเห็นว่าพวกมันเป็นเด็ก มันไม่ใช่เด็กแล้ว บุ้งนี่ 26 ปีแล้ว สายน้ำ 18 แล้ว มันไม่รู้สำนึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วที่ให้คำมั่นสัญญากับศาลว่ารู้สึกสำนึกผิดนั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งเพครับ ท่านผู้พิพากษาครับ เอามันเข้าไปอยู่ในคุกดีกว่า


ผมจะยกตัวอย่างวีรเวรของแก๊งทะลุวังที่ถูกบันทึกเป็นคดีความไว้ให้ฟัง เอาแค่บางคนก็พอ คนแรก ยัยบุ้ง เนติพร เสน่ห์สังคม อายุ 26 ปี ผ่านมาแล้ว เรียนหนังสือจบปริญญาตรีแล้ว ประวัติคดีอาญา 3 คดี คดีอาญา 112 สน.บางซื่อ คดีอาญาเลขที่ 90/265 ปทุมวัน คดีอาญา 921/2564 นนทบุรี เงื่อนไขประกันตัวพูดชัดเจนว่า คดีอาญา 433/2565 คดีดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ห้ามกระทำทำนองเดียวกันกับที่ถูกฟ้องอีก ห้ามขัดขวางการพิจารณาของศาล ห้ามออกนอกเคหสถาน 19.00-06.00 น. ห้ามออกนอกราชอาณาจักร ให้มารายงานตัวกับศาลทุก 30 วัน ท่านผู้ชมครับ พวกนี้เงื่อนไขที่เขาห้าม มันทำทะลุเงื่อนไขหมด เพราะมันชื่อทะลุวัง มันก็ทะลุเงื่อนไขได้


ส่วนนายสายน้ำ-นภสินธุ์ อายุ 18 ปี มีคดีเยอะมาก อายุแค่ 18 ปี 13 คดี ยกตัวอย่าง 3-4 คดี อาญา 1061 ทำร้ายร่างกายบุพการีเจ้าพนักงาน อาญา 1079/65 ร่วมกันบุกรุก มีอาวุธ ร่วมกระทำผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป อาญา 642/2563 ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ อาญา 48/2566 สน.ดุสิต หมิ่นประมาท ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ อาญาที่ 168/2566 ร่วมกันทำลาย ทำให้เสียหาย ทำให้เสื่อมค่า ขีดเขียน พ่นสี ที่กำแพงติดถนน เงื่อนไขประกันตัวก็มีการประกันตัว 90,000 บาทบ้าง 25,000 บาทบ้าง


คนที่สาม ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน อายุ 21 ปีแล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว คดีอาญา 14 คดี ขี้เกียจอ่านให้ฟัง มันเยอะเหลือเกิน

ท่านผู้ชมรู้ไหมครับ มันมีอดีตสมาชิกทะลุวังแฉพฤติกรรมที่เลวทรามของยัยบุ้ง เนติพร อังคารที่ 8 สิงหาคม มีการทวีตในโลกทวิตเตอร์วิพากษ์วิจารณ์กรณีผู้ใช้ทวิตเตอร์ของนางสาวเบญจมาภรณ์ นิวาส หรือ พลอย อดีตแกนนำกลุ่มทะลุวัง เธอได้ประกาศแยกทางกับกลุ่มทะลุวังเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2565 ตอนนี้เธอลี้ภัยไปอยู่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา พลอยออกมาทวีตแฉว่ายัยบุ้ง เนติพร ว่า เธอเคยอยู่ในฐานะที่อยู่จุดเดียวกับหยก เนื่องจากตอนที่พลอยเดินเข้าไปในกลุ่มทะลุวังนั้นอายุแค่ 16 ปีเอง เข้าร่วมกิจกรรมกับทางกลุ่มเป็นเวลา 2 ปี


พลอยบอกว่า ที่บ้านเธอมีปัญหา บุ้งก็เลยมรับเป็นผู้ปกครอง ยัยบุ้งจะสืบเสาะหาเด็กที่มีปัญหาที่บ้าน พ่อกับแม่ทะเลาะกัน พ่อ-แม่หย่ากัน พ่อ-แม่ไล่เด็กออกจากบ้าน แล้วก็ไปซิวเด็กพวกนี้มาอยู่ในการคุ้มครองดูแล ให้เงินให้ทองใช้ เอามาปลูกฝัง แล้วให้ออกไปทำกิจกรรมบ้าๆ บอๆ เธอบอกว่า บุ้งมารับเป็นผู้ปกครอง พออยู่กับบุ้งสักพักก็เริ่มสัมผัสกับความรุนแรง โดนปรับเปลี่ยน ครอบงำ ขูดรีดผลประโยชน์จากการเคลื่อนไหวในฐานะเยาวชน เพราะตอนนั้นพลอยอายุ 16 คือยัยบุ้งจะให้เด็กพวกนี้ไปเคลื่อนไหว พอเคลื่อนไหวเสร็จ มีผลงานเข้าตา ยัยนี่ก็จะเอาผลงานที่เข้าตาไปเที่ยวขอเงินกลุ่มที่ต้องการสนับสนุนความวุ่นวาย เดี๋ยวผมจะเปิดว่ามีใครบ้าง และได้เงินเข้ามา

พลอยบอกว่า เธอโดนเอาผลงานการเคลื่อนไหวไปขอทุนเคลื่อนไหว แต่เงินทุนกลับส่งไม่ถึงพลอยและเพื่อนๆ และไม่สามารถตรวจสอบบัญชีบุ้งได้ มันกลายเป็นธุรกิจไปแล้วท่านผู้ชมครับ ยัยบุ้งที่เอาเด็กพวกนี้มาเลี้ยง แล้วสนับสนุนให้ทำความพินาศฉิบหายกับสังคมนั้น มันเป็นธุรกิจบนความพังพินาศของสังคมไทยแล้วหลอกใช้เด็กของยัยบุ้ง เนติพร ยัยนี่น่าจะโดนอะไรหนักๆ คนเขาบอกว่ามีพ่อเป็นผู้พิพากษา แต่ผมทราบมาว่าพ่อเขาตัดหางปล่อยวัดยัยเด็กคนนี้ไปแล้ว


พลอยบอกว่า เวลาโมโห บุ้ง เนติพร อารมณ์จะรุนแรง กรี๊ดกร๊าด กรี๊ดลั่น เหมือนที่บุกพรรคเพื่อไทย พลอยพูดต่อว่า บุ้งชอบให้เด็กออกมาเคลื่อนไหว เทกแอกชันแรงๆ โดยบุ้งบอกว่า ต่อให้โดนคดี (สอนเด็ก) ก็ยังไม่โดนหนัก เพราะยังมีศาลเยาวชนและเด็ก ถ้าเจอความรุนแรง เช่น ตำรวจจับ bla bla bla จะเป็นข่าวง่าย ขอทุนง่าย ไวรัลง่ายกว่า แล้วบุ้งอ้างว่าจะซัปพอร์ตน้องๆ อยู่ข้างหลังเอง สังเกตไหมครับ เด็กพวกนี้ถูกยัยบุ้งสอน ถ้าตำรวจจะมาจับ ให้นอนเลย นอนกับพื้น ตำรวจแตะเนื้อแตะตัวก็บอกว่ามาลวนลามทางเพศ

จุดแตกหักคือ ยัยบุ้ง เนติพร บังคับพลอยให้ไปบุกคุกวังทวีวัฒนา เรือนจำชั่วคราวที่พุทธมณฑล แต่พลอยไม่อยากทำ ยัยบุ้งก็เลยปิดประตูใส่หน้า พลอยอยากหนีก็ไม่ได้ พอรู้ตัวอีกทีก็ไม่เหลืออะไรในชีวิตแล้ว เพราะพลอยลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาเคลื่อนไหว เงินก็ไม่มี ครอบครัวก็ทิ้ง มีแต่บุ้ง พลอยบอกว่า สุดท้ายเพื่อนรอบตัวก็ช่วยเหลือ พลอยเลยออกมาจากทะลุวังได้ ปัจจุบันเธอลี้ภัยอยู่ที่แคนาดา พลอยบอกว่าเรื่องพวกนี้หยกไม่รู้ตัวหรอก โดนหลอก เพราะกำลังถูกปั่นหัวให้มีความเชื่อที่ผิดๆ


ท่านผู้ชมครับ ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2565 เฟซบุ๊กของ น.ส.เมลิน ชัยลอม ชื่อเดิมเธอชื่อ สุพิชฌาย์ ชัยลอม หรือ เมนู อดีตแกนนำกลุ่มทะลุวัง ที่ประกาศแยกตัวจากทะลุวังออกมาพร้อมกับพลอย และคนอื่นที่ไม่ประสงค์จะออกนาม โพสต์แฉทำนองเดียวกันว่า สมาชิกภายในกลุ่มทะลุวังมองข้ามเสียงของเหยื่อความรุนแรงทางเพศ โดยเมนู และเพื่อนๆ ได้รับบาดแผลทางจิตใจจากการถูกใช้อำนาจภายในกลุ่ม ถูกเอารัดเอาเปรียบ แสวงหาผลประโยชน์ สั่งการ บังคับ กดดัน ตำหนิ ตัดสินต่างๆ เพื่อลดทอนคุณค่าในตัวเอง อีกทั้งการเคลื่อนไหวของกลุ่มฯ ไร้จุดยืนที่ชัดเจน โอนเอนตามกระแสสังคม ไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ต้องการขับเคลื่อนอย่างแท้จริง ไม่มีเป้าหมายอย่างชัดเจน


ท่านผู้ชมครับ นี่คือเสียงจากคนภายใน คนที่อยู่กับยัยบุ้ง เนติพร แต่จริงๆ แล้วไม่ต้องให้ใครมาแฉหรอก ดูจากพฤติกรรมการเคลื่อนไหวที่ผ่านๆ มา คนมีปัญญาย่อมทราบดีว่าพวกคุณมันถ่อย เถื่อน และสถุน

อย่างที่ผมเล่ามาให้ฟังตลอดแล้วว่า จากข้อมูลเชิงลึก แหล่งข่าวผม ผู้สนับสนุนน้องหยก คือกลุ่มไฟเย็น โดยมีผู้หญิงชื่อ แยม ไฟเย็น กับไอ้บ้าชาวฝรั่งเศส ไอ้ควาย ไอ้สถุน ชื่อ ยัน มาร์ฉัล ท่านผู้ชมคงเคยเห็นมันออก TikTok ด่าประเทศไทยเช้า สาย บ่าย เย็น เวลามันไม่ด่าอย่างเดียวคือเวลามันนอนเท่านั้นเอง เผลอๆ จะละเมอด่าเสียด้วยซ้ำ มันหนีคดี 112 ไปอยู่ต่างประเทศ


กลุ่มไฟเย็น เป็นแบ็กอัปให้หยกสร้างกระแส เชื่อว่าให้การสนับสนุนกับผักบุ้ง เพื่อให้ผักบุ้งรับน้องหยก ไปพักอาศัยอยู่ด้วย จะใช้น้องหยกเป็นเครื่องมือในการสร้างกระแสข่าวหรือความวุ่นวายต่างๆ เพราะถ้าน้องหยกมีกระแสข่าว ผักบุ้ง ซึ่งดูแลน้องหยก ก็จะได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่มไฟเย็นต่อไป ถ้าไม่สร้างเรื่องสร้างราวก็ไม่ได้เงิน

ท่านผู้ชมครับ ข้อมูลดังกล่าวถูกคอนเฟิร์มโดยข้อมูลเชิงลึกจากหลายแห่ง รวมทั้งโพสต์ของพลอย-เมนู อดีตสมาชิกทะลุวัง ปัจจุบันหนีลี้ภัยอยู่ที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา

ทุกคนคงสงสัยว่ากลุ่มไฟเย็น ที่อยู่เบื้องหลังของแก๊งทะลุวัง และเงินทุนสนับสนุนของกลุ่มนี้มาจากไหน ผักบุ้ง เนติพร เอาเงินที่ไหนมาซื้อข้าวของ จ่ายค่าเช่าห้อง ค่ารถ ค่าอาหาร ค่าดำรงชีวิต ค่าโน่นค่านี่ ซื้อเสื้อผ้า มือถือ มอเตอร์ไซค์ ให้น้องหยก ให้สมาชิก ใครเป็นคนให้เงินมึงวะ ทำมาหากิน มึงก็ไม่ได้ทำ สรุปแล้วก็คือเที่ยวไปไถเงินคนที่ต้องการให้ประเทศชาติมีความวุ่นวาย แล้วขอยืมฝีมือพวกคุณมาปั่นป่วนประเทศ ตอนนี้ทุกๆ อย่างเริ่มกระจ่างปรากฏชัดขึ้น ผมและทีมงานเก็บข้อมูลอย่างละเอียด ไว้จะนำมาเปิดโปงให้ท่านผู้ชมได้รับทราบ ฉีกหน้ากากนายทุนผู้อยู่เบื้องหลังแก๊งนี้ให้ประชาชนได้เห็นชัดๆ ว่านายทุนชั่วช้าจอมอำมหิตพวกนี้เป็นใครบ้าง

ก่อนผมจะจบเรื่องนี้ ผมมีคำเตือนถึง บุ้ง เนติพร คุณอย่านึกว่าคุณซ่า คุณเที่ยวไปอาละวาดคนโน้นคนนี้ คนที่คุณไปอาละวาดเขาก็มีลูกน้อง เขามีลูกศิษย์ลูกหา ผมเตือนคุณก่อนนะ อย่าให้ผมพูดต่อไป ถ้ามันเกิดขึ้นจริง อย่ามาหาว่าผมเป็นตัวการนะ ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าคุณเดินๆ อยู่ คุณโดนไม้หน้าสามสัก 2 ที คุณเข้าโรงพยาบาลไป เป็นอัมพาต คุณต้องรู้นะครับว่าโจทก์คุณตอนนี้เยอะมาก คุณไปอาละวาดใครบ้างล่ะ ? แล้วคุณคิดว่าเขาไม่มีปัญญาจะตอบโต้คุณเหรอ คุณคิดว่าเขากลัวคุณเหรอ เนติพร เขาไม่ได้กลัวคุณหรอก แต่ลูกน้องเขาสิ บางครั้งลูกน้องเขาทนไม่ไหว ทนไม่ได้ เขาคงต้องเอาคืนกับคุณ สักวันหนึ่งถ้าคุณโดนเอาคืน นี่ผมเตือนคุณไว้ก่อนล่วงหน้านะ ผมไม่รู้หรอกว่าใครจะเอาคืนคุณ แล้วผมก็ไม่สนใจ พวกคุณมันไม่มีราคา คุณมันถ่อย สถุน แต่ถ้ามีคนเอาคืนคุณโดยใช้ความรุนแรง วันนั้นถ้าคุณรอดชีวิตมาก็ดี แต่ถ้าคุณเกิดพิการขึ้นมา คุณโทษใครไม่ได้ คุณเนติพร ผมเตือนคุณไว้ก่อนนะ ให้หยุดพฤติกรรมชั่วๆ พฤติกรรมถ่อยสถุนของคุณได้แล้ว

เปิดนิติกรรมอำพรางที่ดินตระกูลกมลวิศิษฎ์

สำหรับคุณชูวิทย์นั้น ผมเห็นใจ อุตส่าห์ออกมาเปิดว่าตัวเองนั้นใกล้ตายแล้ว ถึงกับบอกว่า หมอบอกว่าไม่เกิน 8 เดือน เพราะฉะนั้นแล้ว ผมขอให้หายเร็วๆ ผมขอให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนานแสนนาน เพราะว่าถ้าคุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าคุณแก้นิสัย แก้พฤติกรรม เลิกโกหกแล้วมาพูดความจริง บางทีการจากโลกนี้ไปของคุณก็อาจจะได้บุญได้กุศล ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะไม่ได้บุญไม่ได้กุศล เพราะว่าในที่สุดแล้ว คุณจะตายในอีก 8 เดือนหรือกี่เดือนก็ตาม ความจริงที่มีหนึ่งเดียวนั้นก็ยังจะต้องอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงความจริงที่มีหนึ่งเดียว


ท่านผู้ชมครับ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วันพฤหัสฯ ที่ 3 สิงหาคม 2566 คุณชูวิทย์ อดีตเจ้าพ่ออ่าง นักค้ามนุษย์ เปิดแถลงข่าวกล่าวหาว่านายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย และบริษัท แสนสิริ ทำนิติกรรมอำพราง เลี่ยงภาษี คิดเป็นเงินกว่า 521 ล้านบาท จากการซื้อขายที่ดินย่านถนนสารสิน ที่มีมูลค่า 1,570 ล้านบาท เมื่อปี 2562

การแถลงข่าวในวันนั้นเป็นไปตามที่อดีตเจ้าของอาบอบนวดเคยขู่นายเศรษฐาไว้ว่า ถ้าวันใดเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และนายเศรษฐามีโอกาสจะเป็นนายกฯ ตัวเองซึ่งกำความลับของนายเศรษฐาอยู่ ก็พร้อมจะเปิดให้สาธารณชนได้รับรู้ ชูวิทย์อ้างว่าที่ออกมาแฉเรื่องนี้ ส่วนตัวไม่ได้โกรธเคืองกับเศรษฐา แต่เป็นการแฉเพื่อชาติ ซึ่งตัวเองรับไม่ได้กรับพฤติกรรมเล่นแร่แปรธาตุของนายทุน ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์ครับ จำคำพูดนี้ให้ดีๆ นะครับ คุณแฉคุณเศรษฐา เพื่อเป็นการแฉเพื่อชาติ และจำคำพูดนี้ต่อไปให้ดีๆ นะครับ ว่าคุณเองรับไม่ได้กับพฤติกรรมเล่นแร่แปรธาตุของนายทุน เพราะคุณอ้างว่าคุณป่วยเป็นมะเร็งตับ มีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้ไม่มาก ไม่มีต้นทุนอะไรจะต้องเสียอีกต่อไป


แต่สิ่งที่คุณชูวิทย์ ได้กล่าวหาคุณเศรษฐานั้น มีผู้รู้กฎหมายภาษี นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญทางอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพากร ออกมาให้ความเห็น ได้อธิบายด้วยเหตุด้วยผล ลงความเห็นตรงกันหมดว่างานนี้คุณชูวิทย์ปล่อยไก่ สอบตกเรื่องภาษี เอาข้อมูลมาบิดเบือน โกหกให้คนเขาจับได้อีกแล้ว

ถามว่าชูวิทย์โกหก บิดเบือนอย่างไร ? เราไปว่ากันทีละประเด็นก็แล้วกัน ประเด็นที่หนึ่ง คุณชูวิทย์ กล่าวหาว่านี่คือนิติกรรมอำพราง คือการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้ใช้วิธีโอนแบ่งเป็น 12 วัน จากผู้ขาย 12 คน หรือโอนวันละ 1 คน จนครบ ทำให้เสียภาษีให้กรมที่ดินเพียง 59 ล้านบาทเท่านั้น แต่ถ้าโอนทั้งหมด 12 คน ในวันเดียวกัน จะทำให้เข้าเงื่อนไขเป็นคณะบุคคล หรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ต้องจดทะเบียน และต้องจ่ายภาษีให้สรรพากรในอัตราก้าวหน้า 35 เปอร์เซ็นต์ หรืออีก 521 ล้านบาท รวมภาษีทั้งหมด 580 ล้านบาท

ท่านผู้ชมครับ ข้อเท็จจริง สัญญาการซื้อขายที่ดินแปลงนี้ได้กำหนดให้ผู้ขายเป็นผู้รับผิดชอบการจ่ายภาษี ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด และยังเป็นหน้าที่ตามกฎหมายของผู้ขายที่จะต้องเสียภาษี

ตามหลักกฎหมายแล้ว กฎหมายไม่ได้บังคับหรือห้ามผู้ขายทั้ง 12 คน ในภาษานักภาษีเรียกว่า การวางแผนภาษี ซึ่งกรมสรรพากรระบุว่าเป็นไปตามขั้นตอนและข้อกฎหมาย ในขณะที่กรมที่ดินไม่ได้มีข้อสงสัยในประเด็นนี้ จึงให้ดำเนินการได้ เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ โดยหลักการแล้วไม่ใช่นิติกรรมอำพราง เพราะกรมสรรพากรบอกทำได้

ประเด็นที่สอง คุณชูวิทย์กล่าวหาว่า การซื้อที่ดินดังกล่าวเป็นไปตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท แสนสิริ โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นประธานผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้รับรองการประชุม นายชูวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตถึงสำเนารายการประชุมดังกล่าวมีการคัดลอกออกมา 12 ฉบับ แยกตามชื่อผู้ขาย และนำไปแยกวันโอนที่สำนักงานที่ดิน ทำให้เสมือนว่าต่างคนต่างขาย ทั้งๆ ที่เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน


ข้อเท็จจริง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท แสนสิริ ได้พิจารณาและมีมติอนุมัติให้ซื้อที่ดินดังกล่าวทั้งแปลง โดยแยกราคา ส่วนกรรมสิทธิ์ของผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าว ตามที่ผู้ขายแจ้งความประสงค์ ซึ่งกรณีนี้เป็นการลงมติอนุมัติ เป็นมติในที่ประชุมเพียงมติเดียว ส่วนนายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งเป็นผู้บริหารสูงสุด และกรรมการแสนสิริ มีส่วนร่วมเฉพาะในขั้นตอนการอนุมัติการซื้อที่ดินเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำสัญญาจ่ายเงินและการโอน

ขณะเดียวกัน บริษัท แสนสิริ เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ การดำเนินงานแต่ละขั้นตอนของบริษัทมหาชน นอกจากตรวจสอบภายในบริษัทแล้ว จะต้องผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการตรวจสอบและมีผู้สอบบัญชีตามกฎหมายที่ข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด ถ้าผมจำไม่ผิด บริษัทตรวจสอบบัญชีของบริษัท แสนสิริ คือบริษัท เอินส์ทแอนด์ยัง ซึ่งเป็นบริษัทต่างประเทศตรวจสอบบัญชีที่มีชื่อเสียงน่าเชื่อถือได้ทั่วโลก เพราะฉะนั้นการดำเนินการให้ถูกต้องและเป็นไปตามธรรมาภิบาล ย่อมเป็นเรื่องที่มีการตรวจสอบกันได้ตลอดเวลา

ชูวิทย์ กล่าวหาด้วยว่า บริษัท แสนสิริ ยังมัดจำที่ดินในสัดส่วน 50-52 เปอร์เซ็นต์ ของราคา ซึ่งเป็นเงินมัดจำที่สูงกว่าปกติ และไม่ใช่ตัวเลขกลมๆ ส่วนตัวจึงเชื่อว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินบวม หรือเงินทอนที่เข้ากระเป๋าคนที่ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน

ข้อเท็จจริง บริษัท แสนสิริ ได้ชำระราคาที่ดินแปลงดังกล่าวเกือบทั้งหมด โดยเช็ค และแคชเชียร์เช็ค และได้ชำระเป็นเงินสดจำนวน 301,000 บาท ซึ่งไม่ได้ชำระเงินสดจำนวนมากตามที่นายชูวิทย์ กล่าวอ้างทั้งหมด ชำระค่าที่ดินเป็นเช็ค แคชเชียร์เช็ค ชำระเป็นเงินสดแค่ 301,000 บาท เพราะฉะนั้นข้อกล่าวอ้างของคุณชูวิทย์ว่าราคามันบวมขึ้นมานั้น ก็ไม่เป็นความจริง

และทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความเห็นของผม หรือความเห็นของแสนสิริ แต่เป็นความเห็นของนักกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องภาษี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพากร กรมที่ดิน ผู้ค้าอสังหาริมทรัพย์ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เรื่องนี้คุณชูวิทย์หน้าแหก ด้วยหลักกฎหมายและข้อเท็จจริง ทุกอย่างที่เอามาบิดเบือนและปั่นว่านิติกรรมอำพราง พิสูจน์ได้ชัดว่า คุณชูวิทย์นั้นมโนไปเอง

ด้วยความสงสัยว่าทำไมคุณชูวิทย์ถึงหยิบเรื่องนี้มาด้อยค่า ให้ร้ายนายเศรษฐา เพราะจากนิสัยที่แก้ไม่หาย หรือสันดานที่คุณชูวิทย์เรียกตัวเองว่าเป็นมหาโจร เรื่องที่ว่าแฉเพื่อชาติ อ้างตัวเองป่วยใกล้ตาย ถ้าบอกว่า แฉไป ไถไป ชั่วโมงนี้น่าจะดูน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะอะไรครับ ? ทีมงานคุยทุกเรื่องกับสนธิ ไปพบว่าระหว่างนายชูวิทย์ กับบริษัท แสนสิริ หรือนายเศรษฐา เคยติดต่อเจรจาซื้อขายที่ดินกันเมื่อปีที่แล้ว โดยนายชูวิทย์เป็นผู้เสนอขายที่ดินให้กับบริษัท แสนสิริ เจรจากันในระดับที่มีความต้องการของทั้งสองฝ่าย มีหลักฐานยืนยัน เป็นภาพจับมือจับไม้กันระหว่างนายชูวิทย์ กับนายเศรษฐา เมื่อวันที่ 8 กันยายน ที่คุยกันในหลักการได้แล้ว


เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องจริงๆ ก็คือว่า เมื่อ 11 เดือนที่แล้ว กันยายน 2565 คุณชูวิทย์ได้เสนอขายที่ดินผืนหนึ่ง ห้าร้อยกว่าตารางวา ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังของเดอะ เดวิส บางกอก ให้กับบริษัท แสนสิริ จำกัด ในช่วงที่คุณเศรษฐา ทวีสิน เป็นประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝั่งบริษัท แสนสิริ ก็มีความสนใจเพราะต้องการที่ดินย่านใจกลางเมืองเพื่อพัฒนาเป็นอาคารชุดและคอนโดมิเนียมอยู่แล้ว ราคาที่คุณชูวิทย์อยากขายคือ 2,000 ล้านบาท แสนสิริขอต่อรองราคาลงมาจนเหลือ 1,800 ล้านบาท แต่การซื้อขายกลับไม่สำเร็จลุล่วงไป เพราะว่าก่อนหน้านี้คุณชูวิทย์ไปมีภาระผูกพันจะซื้อขายที่ดินให้กับบริษัทอสังหาฯ อีกรายหนึ่งเมื่อปี 2564 ในราคา 2,000 ล้านบาท วางมัดจำกันไปแล้ว 400 ล้านบาท ที่เหลือ ผู้ซื้อบอกจะผ่อนชำระ แต่ยังไม่มีการชำระเงินส่วนที่เหลือ มีการต่อสัญญาการซื้อขายมาแล้วถึง 4 ครั้ง

บริษัท แสนสิริ แม้ต้องการจะซื้อ แต่เมื่อทราบเรื่องดังกล่าวจึงมีเงื่อนไขขอให้คุณชูวิทย์ไปจัดการยกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินกับบริษัทผู้ซื้อดังกล่าวให้สิ้นสุดทางกฎหมายเสียก่อน ซึ่งถ้าบริษัท แสนสิริ เข้าซื้อที่ดินจากนายชูวิทย์ อาจจะเกิดปัญหาฟ้องร้องตามมา นายชูวิทย์อ้างกับบริษัท แสนสิริ ว่าเคลียร์ได้ ที่ว่าเคลียร์ได้ เพราะนายชูวิทย์อ้างว่าได้ทำหนังสือขอยกเลิกสัญญาไปแล้ว มิหนำซ้ำยังริบเงินมัดจำไปอีก 400 ล้านบาท


แต่ในความเป็นจริงแล้ว นายชูวิทย์กลับยังไม่ได้เคลียร์ นอกจากนั้น ยังพบด้วยว่า ที่ดินของนายชูวิทย์ที่เสนอขาย มีราคาเฉลี่ยตารางวาละ 3 ล้านบาท สูงกว่าราคาที่ดินในย่านนั้นถึง 1-2 เท่าตัว เพราะที่ดินของนายชูวิทย์เข้าไปในซอย 24 ลึก ถนนหน้าที่ดินนั้นก็แคบ โดยชูวิทย์ได้ใช้วิธีการขายพ่วงไปกับใบอนุญาตก่อสร้างอาคารสูงและอาคารใหญ่พิเศษ โดยใบอนุญาตนั้นระบุว่า อนุญาตให้ก่อสร้างอาคาร ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยได้ 60,000 ตารางเมตร ใบอนุญาตก่อสร้างมีมาตั้งแต่ปี 2540 ยี่สิบกว่าปีแล้ว มีการต่อใบอนุญาตมาตลอด อ้างว่าได้มีการลงรากฐานแล้ว จึงทำให้ที่ดินมีมูลค่าสูงกว่าปกติ ซึ่งทางบริษัท แสนสิริ ขอไปตรวจสอบอีกครั้งว่าใบอนุญาตดังกล่าวมีสภาพบังคับอยู่ได้หรือไม่

สรุปว่าการจะซื้อขายที่ดินกันระหว่างแสนสิริ กับ ชูวิทย์ ติดปัญหาสัญญาซื้อขายที่ยังมีอยู่กับรายเดิม และกรณีใบอนุญาตก่อสร้างที่ชูวิทย์พ่วงมา ยังต้องมีการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง มิหนำซ้ำยังมีกระแสข่าวว่าชูวิทย์ช่วงหลังการเงินฝืดเคือง พยายามขอเงินมัดจำหลักร้อยล้านบาทจากนายเศรษฐา และบริษัท แสนสิริ ในทันทีที่มีการตกลงการซื้อขายกันได้ ส่งผลให้บริษัท แสนสิริ หรือนายเศรษฐา เลือกที่จะไม่ตัดสินใจตกลงซื้อที่ดินของนายชูวิทย์ในตอนนั้น เพราะว่ามีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล

พอถึงตรงนี้ก็เลยต้องถึงบางอ้อกันว่า ทำไมผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นมหาโจรอย่างนายชูวิทย์ พยายามจะปั่นเรื่องนายเศรษฐาขึ้นมา ตั้งแต่มีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยแล้ว


หลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 เมื่อนายเศรษฐา มีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ และสถานการณ์การเมืองไทยเดินมาถึงจุดที่พรรคเพื่อไทยมีโอกาสเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้มีโอกาสสูงยิ่งที่นายเศรษฐา จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 มหาโจรอย่างนายชูวิทย์ ก็เลยสบช่อง เอาเรื่องนี้มาแบล็กเมล์ งัดมุกละครลิงตามถนัดมาโจมตีนายเศรษฐา เพื่อบีบให้บริษัท แสนสิริ ควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อที่ดินของตัวเอง 1,800 ล้านบาท ให้ได้ ตามที่ประสงค์ไว้ตั้งแต่แรก เพราะรู้ว่าถ้าแสนสิริไม่ซื้อ จะหาคนมาซื้อได้ยาก เนื่องจากบริษัท แสนสิริ เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ที่มีศักยภาพด้านการเงินเพียงพอ และมีความต้องการในการพัฒนาที่ดินซึ่งอยู่เขตใจกลางเมือง อยู่เพียงรายเดียวในปัจจุบัน

ถ้าคุณชูวิทย์พลาดครั้งนี้ก็ต้องรอไปอีกกี่ปีไม่รู้ บางทีสังขารอาจจะหมดสภาพไปก่อน ใครจะรู้ อย่างที่ชูวิทย์ออกมาตีหน้าเศร้าเล่าดรามาว่าตัวเองเป็นมะเร็ง หมอบอกว่าอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ 8 เดือนเท่านั้น เพราะฉะนั้นคุณชูวิทย์จึงหน้าด้านหน้าทน โกหก รู้ว่าเป็นรถด่วนขบวนสุดท้าย ทำเป็น "แฉเพื่อชาติ" แต่เข้าอิหรอบเดิมคือ "แฉไป ไถไป" ตามสโลแกนที่ทนายตั้ม-ษิทรา เบี้ยบังเกิด เคยออกมาเปิดโปงนายชูวิทย์ เมื่อเดือนมีนาคม 2566 ว่า เบื้องหน้าของชูวิทย์ออกมาแฉเรื่องเว็บพนัน แต่ลับหลังก็ไถเงินเจ้าของเว็บพนัน โดยสร้างภาพว่าเอาเงินไปบริจาคโรงพยาบาลจริงๆ ทั้งๆ ที่ตัวเองรู้ว่าเป็นเงินสกปรก เงินสีเทาจากการพนัน

ท่านผู้ชมครับ กรณีแฉนายเศรษฐา กับบริษัท แสนสิริ ว่าเลี่ยงภาษีคราวนี้ของนายชูวิทย์ ไม่ได้แตกต่างกัน ผิดกันตรงที่ว่า นายเศรษฐา กับบริษัท แสนสิริ ไม่ใช่เจ้าของเว็บพนัน แต่เป็นคนอยู่ในที่สว่าง เป็นแคนดิเดตที่มีโอกาสจะก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ

ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์ครับ ความจริงนั้นมีหนึ่งเดียวเท่านั้นเอง ไม่มีอย่างอื่น พอมีคนจับได้ไล่ทัน ทำให้ชูวิทย์ยอมรับว่า ได้เคยมีการเจรจาซื้อขายที่ดินให้กับบริษัท แสนสิริ จำกัด จริง แต่ไม่ได้ตกลงซื้อขายกัน ชูวิทย์อ้างว่าได้ขายให้กับบริษัทอื่นไปแล้วเมื่อสามปี ให้กับบริษัท ไรมอน แลนด์ ซึ่งการจะกล่าวหาว่าที่ดินจะขายให้กับบริษัท แสนสิริ แต่ขายไม่ได้จึงโกรธนั้น ไม่เป็นความจริง


ในข้อเท็จจริงแล้ว ทันทีที่ภาพที่ผมเอาให้ดูว่านายชูวิทย์ จับมือกับนายเศรษฐา ทวีสิน ว่าตกลงกันในราคา 1,800 ล้าน นายชูวิทย์ ก็ตัดสินใจให้สำนักงานทนายความที่ตัวเองใช้อยู่ และตัวเองส่งจดหมายขอยกเลิกสัญญาทันที แล้วก็ยึดเงินมัดจำไปด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นการจับโกหกว่าคุณชูวิทย์พูดโกหก เพราะตัวเอกสารสัญญา จดหมายที่ส่งไปให้ไรมอน แลนด์ นั้น มีชัดเจน ระบุชัดเจน ส่งไปหลังจากที่จับมือกับเศรษฐาได้เรียบร้อยแล้ว

คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ซึ่งเป็นโฆษกประจำตัวของคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เอาคุณชูวิทย์มาออกรายการ สรยุทธ ถามว่า ชูวิทย์ไปแบล็กเมล์นายเศรษฐาหรือเปล่า ชูวิทย์ตอบว่า ผมไม่เคยครับ คุณเศรษฐา แสนสิริ เคยมาถามผมจะขาย ก็เท่ากับว่าผมขายซ้ำขายซ้อน ผมจะกลายเป็นคนผิด เพราะผมขายไม่ได้ ผมขายไปแล้วผมจะขายอีกได้อย่างไรล่ะครับ แต่ในข้อเท็จจริง พอจับมือกันเสร็จเรียบร้อย แสนสิริ บอกว่าคุณยังมีสัญญาผูกพันกับเจ้าเก่าอยู่ คุณต้องไปเคลียร์ คุณชูวิทย์ก็เลยทำหนังสือเพื่อยกเลิกสัญญากับบริษัท ไรมอน แลนด์

เห็นหรือยังครับท่านผู้ชม ความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว

อย่างไรก็ตาม จากคำพูดของนายชูวิทย์ คุณชูวิทย์ เกิดความขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับภาพเจรจาการซื้อขายที่ดินเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2565 ภาพที่ผมเอาขึ้นมานี้คือภาพที่ตกลงกันได้เรียบร้อยแล้วในราคา 1,800 ล้านบาท เป็นภาพที่นายชูวิทย์ จับมือกับนายเศรษฐา

เอาล่ะ เมื่อฟังคำโกหก คำแก้ตัวแบบข้างๆ คูๆ ไปแล้ว มาฟังความจริงที่มีหนึ่งเดียว ผมจะลำดับเหตุการณ์ ไทม์ไลน์ให้ชัดๆ เรื่องราวต่อเนื่องจากภาพสีหน้าอันยิ้มแย้มในการจับมือระหว่างนายเศรษฐา และนายชูวิทย์ เพื่อเจรจาซื้อที่ดินนายชูวิทย์ ที่บริษัท แสนสิริ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2565 ปลายปีที่แล้วนี่เอง


29 กันยายน บุตร-ธิดานายชูวิทย์ 4 คน ในนามครอบครัวกมลวิศิษฎ์ ประกอบกับนายต้นตระกูล กมลวิศิษฎ์ นายเติมตระกูล กมลวิศิษฎ์ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฎ์ และ นายต่อตระกูล กมลวิศิษฎ์ ได้ลงนามหนังสือเรื่องแจ้งสิ้นสุดสัญญาร่วมทุน และสัญญาซื้อขายหุ้น ถึงบริษัท ไรมอน แลนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง สาระสำคัญเกี่ยวกับการขอยกเลิกสัญญาร่วมทุน และสัญญาซื้อขายหุ้นโครงการสุขุมวิท 24

หนังสือดังกล่าวทำเป็นภาษาอังกฤษ ได้อ้างอิงถึงสัญญาร่วมลงทุนโครงการสุขุมวิท 24 ลงวันที่ 24 กันยายน 2562 สัญญาซื้อขายหุ้น ลงวันที่ 24 กันยายน 2562 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 4 ของโครงการร่วมทุนสุขุมวิท 24 สัญญาซื้อขายหุ้น ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 โดยระบุว่า บริษัท ไรมอน แลนด์ ไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายหุ้น ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 4 ครอบครัวกมลวิศิษฎ์ จึงมอบหมายทนายความส่งหนังสือเตือนบริษัท ไรมอน แลนด์ ลงวันที่ 20 กันยายน 2565 แต่ไม่ได้รับการตอบรับในเวลาที่กำหนด จึงขอใช้สิทธิ์ในการบอกเลิกสัญญาร่วมทุน และสัญญาซื้อขายหุ้นโครงการสุขุมวิท 24 ณ วันที่ระบุในหนังสือฉบับนี้ คือวันที่ 29 กันยายน 2565


หนังสือฉบับนั้นยังระบุด้วยว่า เมื่อบริษัท ไรมอน แลนด์ ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไข แม้ว่าครอบครัวกมลวิศิษฎ์จะอนุญาตให้ขยายเวลาข้อตกลงร่วมทุนหลายครั้ง ทำให้มีค่าใช้จ่าย ความเสียหาย สูญเสียโอกาส จึงขอเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัท ไรมอน แลนด์ เป็นจำนวนราคาเท่าที่ตกลงภายใต้สัญญาซื้อขายหุ้น และที่แก้ไขเพิ่มเติมมา

นอกจากมีหนังสือลงวันที่ 20 กันยายน 2565 จากสำนักงานกฎหมายจักรกฤษณ์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ จำกัด ในฐานะตัวแทนกฎหมายของครอบครัวกมลวิศิษฎ์ ทำถึงบริษัท ไรมอน แลนด์ เพื่อแจ้งการยกเลิกสัญญาร่วมทุน และสัญญาซื้อขายหุ้นในโครงการสุขุมวิท 24 เนื่องจากบริษัท ไรมอน แลนด์ ไม่สามารถจะปฏิบัติตามเงื่อนไขและดำเนินการตามข้อตกลงร่วมทุนได้


พร้อมกันนี้ ยังระบุว่า ครอบครัวกมลวิศิษฎ์ ขอใช้สิทธิ์ตามข้อ 3.1 ของสัญญาร่วมทุนในการเรียกร้องค่าเสียหายอีก

ประเด็นครับ หนังสือ 2 ฉบับดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า การที่คุณชูวิทย์ให้สัมภาษณ์แก้ตัวว่า ได้ขายที่ดินบริเวณหลังโรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก ให้บริษัทอื่นได้ จึงไม่ได้เสนอขายให้บริษัท แสนสิริ นั้น เป็นการโกหกคำโต เพราะการขายที่ดินให้บริษัท ไรมอน แลนด์ ยังไม่ลุล่วงเลย แค่วางมัดจำกันมาก่อน และกรรมสิทธิ์ที่ดินยังเป็นของบริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้ โฟร์ จำกัด ซึ่งเป็นกิจการร่วมทุนระหว่างเดวิส กรุ๊ป ของครอบครัวกมลวิศิษฎ์ และบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด ท่านผู้ชมจำชื่อบริษัทนี้ให้ดีๆ นะครับ บริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้ โฟร์ จำกัด

ส่วนการติดต่อให้บริษัท แสนสิริ มาซื้อที่ดินบริเวณด้านหลังโรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก ภายในซอยสุขุมวิท ที่เรียกมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท นั้น เป็นการติดต่อให้ซื้อในช่วงกลางปี 2565 คาบเกี่ยวกับที่ครอบครัวกมลวิศิษฎ์ จะขอยกเลิกสัญญาร่วมทุนและสัญญาซื้อขายกับบริษัท ไรมอน แลนด์ เพราะฉะนั้นก่อนจะยกเลิกสัญญาต้องพยายามหาผู้ซื้อรายใหม่ แต่ยังไม่สามารถตกลงกันได้เพราะตัวเองยังไม่เลิกสัญญากับไรมอน แลนด์ และทางบริษัท แสนสิริ ยังติดใจราคาที่ดิน และที่สำคัญ สถานภาพของใบอนุญาตก่อสร้างอาคารสูงพิเศษที่มีการเสนอขายพ่วงมา ว่าถ้าซื้อที่แล้วจะได้ใบอนุญาตก่อสร้างในพื้นที่ 60,000 ตารางเมตร ตลอดจนมีการเรียกร้องเงินมัดจำเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาท เรื่องนี้ชัดเจนหรือยังครับ คุณชูวิทย์


คุณชูวิทย์ กล่าวหาว่าบริษัท แสนสิริ ทำนิติกรรมอำพราง ผมจะเอาตัวนิติกรรมอำพรางตัวจริง เอามาให้ท่านผู้ชมและคุณชูวิทย์ดู

มาถึงตรงนี้ ต่อเนื่องจากความสงสัยใคร่รู้ ที่คุณชูวิทย์เอาดีลระหว่างเศรษฐา และบริษัท แสนสิริ กับการซื้อขายที่ดินย่านถนนสารสินมาแบล็กเมล์ว่าความจริงเป็นอย่างไร

ทีมงานเราพบว่าธุรกรรมการโอนซื้อขายที่ดิน และใส่ร้ายบริษัท แสนสิริ เกิดขึ้นในเดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2562 เรื่องดังกล่าวช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกินว่าในเดือนกันยายน เดือนเดียวกันในปี 2562 เมื่อสี่ปีที่แล้ว มันมีธุรกรรมสำคัญของครอบครัวกมลวิศิษฎ์ด้วยเช่นกัน และเป็นนิติกรรมในการซื้อขายที่ดินเหมือนกัน แต่เมื่อสืบสาวเจาะลึกในรายละเอียดลงไป กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เรียกว่ากรณีบริษัท แสนสิริ ซึ่งนายชูวิทย์มโนไปเองว่ามีนิติกรรมอำพรางเลี่ยงภาษี ยกข้ออ้างผิดกฎหมายมาตรานั้น มาตรานี้ แต่นิติกรรมซื้อขายที่ดินของตัวเอง และครอบครัวตัวเอง ที่จะเล่าให้ฟังจากนี้ไป ต้องบอกว่า ที่คุณชูวิทย์กล่าวหาคนอื่นนั้น คุณชูวิทย์ ทำปืนลั่นใส่เท้าตัวเอง เข้าตัวเองทั้งนั้น เจตนาทำนิติกรรมอำพรางเพื่อเลี่ยงภาษี

คุณชูวิทย์ ครับ คุณต้องจำเอาไว้นะครับ เรื่องนี้ถ้าถึงกรมสรรพากร หรือถึงศาลเมื่อไร มีโทษทั้งแพ่งและอาญา

คุณชูวิทย์ฟังแล้วอย่าเพิ่งตกใจนะครับ เพราะความจริงปรากฏว่าคุณชูวิทย์ นิติกรรมอำพรางนี้ทำให้รัฐเสียหายไปอย่างน้อย 900 ล้านบาท มากกว่าที่คุณไปชี้หน้าใส่ร้ายคนอื่นเขาเยอะเลย

เอาล่ะ มาตามเรื่องว่านิติกรรมอำพรางของคุณชูวิทย์นั้นมันเป็นอย่างไร เกิดขึ้นเมื่อไร เกิดขึ้นแบบไหน ?


เรื่องนี้ทั้งหมดมันเริ่มจากบริษัท สมบัติเติมตระกูล ซึ่งเป็นบริษัทที่คุณชูวิทย์ตั้งขึ้นมา เอาตัวเองและลูกอีก 4 คน เข้ามาถือหุ้น คือ นายต้นตระกูล นายต่อตระกูล นายเติมตระกูล และ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฎ์ โดยที่คุณชูวิทย์เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทแต่ผู้เดียว

ช่วงปี 2542 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ของนายชูวิทย์ ได้ครอบครองที่ดินบริเวณด้านหลังโรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก มีเนื้อที่ทั้งหมด 557 ตารางวา หรือไร่กว่าๆ เดิมทีที่ดินนี้มีโฉนดแบ่งเป็น 2 แปลง แปลงแรกคือ 278.5 แปลงที่สองก็เท่ากัน

ต่อมา คุณชูวิทย์ก็แบ่งที่ 2 แปลงนี้ให้เป็น 4 แปลง แปลงละ 139.3 ตารางวา ประกอบไปด้วย โฉนดหมายเลขที่ 1778 หมายเลข 1779 หมายเลข 3538 และหมายเลข 3539


อีก 20 ปีต่อมา วันที่ 27 กันยายน 2562 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้โอนขายที่ดิน 4 แปลงนี้ ให้กับลูก 4 คน ของนายชูวิทย์ ในราคาแปลงละ 27.86 ล้านบาท ถ้าเฉลี่ยเป็นตารางวา ตารางวาละ 200,000 บาท รวม 4 โฉลด เนื้อที่รวม 557 ตารางวา คิดเป็นเงิน 111.4 ล้านบาท

ในวันเดียวกัน 27 กันยายน วันเดียวกัน ที่โอนที่ ขายที่ให้ลูกในราคา 27 ล้านกว่าบาทเศษๆ ลูกทั้งสี่คนของคุณชูวิทย์ก็โอนขายที่ดิน 4 แปลง ต่อไปให้บริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้ โฟร์ ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เดวิส 24 ในราคาแปลงละ 502 ล้านบาท หรือตารางวาละ 3.6 ล้านบาท รวมเป็นเงินที่ขายทั้งสิ้น 2,008 ล้านบาท

บริษัท เดวิส ทเวนตี้ โฟร์ ซึ่งแปลงร่างมาจากบริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้ โฟร์ มีผู้ถือหุ้นคือ นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล นายต่อตระกูล และ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฎ์


คำถามมีอย่างนี้ครับ นิติกรรมนี้เห็นอะไรบ้าง ? บริษัทครอบครัวของชูวิทย์ คือ บริษัทเติมตระกูล โอนขายให้ลูกๆ เป็นผู้ถือหุ้น โดยคุณพ่อชูวิทย์เป็นคนลงนามอนุมัติขายให้ถูกๆ ตารางวาละ 200,000 บาท แล้วลูกๆ ก็ขายต่อให้บริษัทครอบครัวอีก ครอบครัวเดียวกัน ในราคารับซื้อแพงถึง 2,000 ล้านบาท ตกตารางวาละ 3.6 ล้านบาท ทั้งหมดที่เล่าให้ฟังนี้ เกิดขึ้นในวันเดียวเลย โอนให้ลูก ลูกขายต่อให้บริษัทในตระกูลเดียวกัน ถามว่านี่เป็นนิติกรรมอำพรางหรือเปล่า ? ท่านผู้ชมที่พอจะรู้กฎหมายก็พิจารณากันตามหลักกฎหมายประมวลรัษฎากรกันได้ แล้วถ้ามีคนไปร้องให้กรมสรรพากรตรวจสอบ เจ้าพนักงานก็ต้องออกหมายเรียกและประเมินภาษีเงินได้ และภาษีเฉพาะบริษัท สมบัติเติมตระกูล ทันที เพราะเป็นผู้ขายรายแรก

เพราะว่าบริษัท สมบัติเติมตระกูล ไม่สามารถเสียภาษีเงินได้จากการโอนที่ดิน 4 แปลง ในราคาแปลงละ 27.86 ล้านบาท ให้แก่ลูกทั้ง 4 คน โดยเสียภาษีเงินได้ในราคาที่เชื่อว่าเป็นราคาประเมินของกรมที่ดิน ก็คือว่าราคา 27.86 ล้านบาทนั้น เป็นราคาประเมินของกรมที่ดิน แต่บริษัท สมบัติเติมตระกูล จะต้องเสียภาษีเงินได้จากการโอนขายที่ดิน ไม่ว่าขายให้ผู้ถือหุ้น หรือบริษัทในเครือ ท่านผู้ชมฟังให้ดีๆ นะครับ "ในราคาตลาดของที่ดิน" ในวันที่โอนที่ดินตามกฎหมาย ซึ่งราคาตลาดก็เกิดขึ้นในวันเดียวกันนี้ ที่ลูกทั้งสี่คนของชูวิทย์โอนขายให้บริษัท เดวิส 24 คือแปลงละ 502 ล้านบาท รวมแล้ว 2,008 ล้านบาท


ถามว่าคุณชูวิทย์ ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจแต่ผู้เดียว รู้เห็นหรือไม่ ? คำตอบคือ รู้เห็นอยู่แล้ว และต้องรับผิดชอบเต็มๆ คุณชูวิทย์คงคำนวณแล้วว่า หากทำนิติกรรมตรงไปตรงมา ไม่ผ่านลูกๆ ทั้งสี่ ก็คือว่าบริษัท สมบัติเติมตระกูล ขายตรงให้กับบริษัท เดวิส 24 โดยที่บริษัท สมบัติเติมตระกูล เจ้าของที่ดิน ขายตรงให้กับบริษัท เดวิส 24 ต้องเสียภาษีบานเบอะเลย จากราคาขาย 2,008 ล้านบาท คำนวณภาษีนิติบุคคลที่ต้องจ่ายอย่างต่ำ 359 ล้านบาท เจอเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่า คือ 359.55 ล้านบาท ค่าดอกเบี้ยเงินเพิ่มอีก 1.5 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่มิถุนายน 2563 - กรกฎาคม 2566 อีก 204.94 ล้านบาท ทำให้ธุรกรรมการโอนที่คราวนี้มีภาษีต้องจ่าย หรือรัฐควรต้องมีรายได้จากบริษัทของตระกูลกมลวิศิษฎ์ นำโดยนายชูวิทย์ และครอบครัว รวมแล้ว 924 ล้านบาท


คุณชูวิทย์ครับ ท่านผู้ชมครับ อ่านตัวเลขใหม่นะครับ ภาษีที่รัฐควรจะได้คือ 924 ล้านบาท

และนี่เป็นสาเหตุว่าทำไมบริษัท สมบัติเติมตระกูล จึงซอยที่ดินแยกเป็น 4 โฉนด อำพรางขายให้ลูกๆ 4 คน ในราคาถูกๆ เจตนาเพื่อทำให้ฐานภาษีต่ำ จะได้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างมากคำนวณแล้วขายไป 111.4 ล้านบาท ภาษีแค่ 11 ล้านบาทเอง เพราะถ้าขายตรงตามราคาตลาดให้ ก็ต้องเสียภาษีอย่างที่ผมบอก แต่ขายในราคาประเมิน

ในขณะเดียวกัน บริษัท เดวิส 24 ที่รับซื้อต่อจากลูกๆ ของชูวิทย์ ซื้อมาในราคา 2,008 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้ขายออก หรือขายไปในราคาตลาด ก็เท่ากับถือว่าไม่ได้เสีย เสมอตัว เพราะกฎหมายไม่มีกำไร ก็ให้ประโยชน์ ไม่ต้องคำนวณภาษี

กระบวนการนี้คุณชูวิทย์คงจะดีดลูกคิด คุณชูวิทย์เป็นคนที่ซิกแซกเก่งมาก คงคิดว่ามีแต่ได้กับได้ แต่ความเป็นจริงในประเด็นนี้ก็คือ เป็นการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นแล้วในรอบบัญชีปีนั้น คือปี 2562 เดี๋ยวผมเอาอินโฟกราฟิกให้ดูทั้งหมด

การที่คุณชูวิทย์ ยกมาตรา 37 มากล่าวหาว่านายเศรษฐา กับบริษัท แสนสิริ มาถึงตอนนี้ตัวเองต้องท่องให้ขึ้นใจ มาตรา 37 ระบุว่า ผู้ใดกระทำการดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท

1) โดยเจตนาแจ้งข้อความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือทำหลักฐานพยานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร หรือเพื่อขอคืนภาษีอากรตามลักษณะนี้ หรือ

2) โดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร หรือขอคืนภาษีอากร


ทั้งนี้ ประเด็นกรรมการผู้มีอำนาจและรับผิดชอบบริษัท สมบัติเติมตระกูล เวลานั้นคือนายชูวิทย์เอง

ประเด็นต่อมา อาจจะไม่จบแค่คุณชูวิทย์ เพราะตามข้อกฎหมายหมวด 6 ตัวการและผู้สนับสนุน มาตรา 83 ระบุว่า ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

งานนี้ คุณชูวิทย์ครับ ผมรู้ว่าคุณรักลูกมาก แต่คุณลากลูกๆ คุณมาร่วมกระบวนการทำนิติกรรมอำพราง มีสิทธิ์ที่จะต้องโทษไปด้วยกันพร้อมกับคุณ

นอกจากประเด็นเลี่ยงภาษีแล้ว กระบวนการนิติกรรมอำพรางนี้ยังมีข้อสงสัยในอีกหลายประเด็น บริษัท สมบัติเติมตระกูล โอนขายที่ดินให้ลูกๆ คุณชูวิทย์ทั้งสี่คน ระบุไว้ว่า ซื้อไว้เพื่อไว้เป็นที่อยู่อาศัย แล้วใช้ราคาประเมินของกรมที่ดินเป็นตัวประเมิน แต่เมื่อเขาขายออกในวันเดียวกัน บริษัท เดวิส 24 แจ้งว่าซื้อไว้เพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์ครับ สรรพากรมาตรวจตรงนี้ ผมคิดว่าเถียงเขายากล่ะ นี่คือนิติกรรมอำพราง

การซื้อไว้เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยนั้น เพื่อจะได้เสียภาษีน้อย แล้วก็ใช้มาตรฐานภาษีตามราคาประเมินของกรมที่ดิน ซึ่งต่ำมาก แต่พอบริษัทของคุณชูวิทย์และตระกูลเอง เดวิส 24 ระบุว่า ซื้อไว้เพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ราคาถึงขึ้นไปเป็น 2,008 ล้านบาท การซื้อขาย การโอนระหว่างกัน ไม่มีหลักฐานการชำระที่ดิน แต่ระบุว่า ผู้ขายได้รับชำระเงินครบถ้วนแล้ว

ตามสัญญาซื้อขายทั้ง 4 ฉบับ ระบุ ขายที่ดินโดยไม่มีสิ่งปลูกสร้าง แต่คุณชูวิทย์ คุณจำได้หรือเปล่าคุณแถลงข่าวว่า ที่ดินทั้ง 4 แปลงนี้ได้ทำฐานรากไว้แล้ว ซึ่งเจตนาต้องการจะให้ที่ดินที่ขายต่อนั้นสูงขึ้น

ผมตรวจสอบ ถามคนในวงการอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่ขนาดใหญ่มาถึงขนาดกลาง ถึงราคาขายที่ดินบริเวณหลังโรงแรมเดอะ เดวิส บางกอก มีเนื้อที่ 557 ตารางวา ที่คุณชูวิทย์ระบุว่าตกลงขายในราคา 2,000 ล้านบาทนั้น จะตกตารางวาละ 3.6 ล้านบาท สูงกว่าราคาประเมินที่ดินในย่านเดียวกันตามราคาตลาดถึง 2-3 เท่า โดยมีการเจรจาซื้อขายในช่วงปี 2562 ช่วงเดียวกับที่บริษัท แสนสิริ ซื้อที่ดินเนื้อที่ 1 ไร่ หรือ 399.7 ตารางวา ย่านถนนสารสิน ในราคา 1,507 ล้านบาท ซึ่งตกตารางวาละ 4 ล้านบาท ที่ถือว่าเป็นราคาที่ดินที่แพงที่สุดในประเทศไทย นายชูวิทย์กล่าวว่า นี่คือนิติกรรมอำพราง และมีการสมรู้ร่วมคิด เพราะว่าที่ดินย่านถนนสารสินช่วงนั้นมีราคาประเมินเพียง 1 ล้านบาทต่อตารางวา แต่กลายเป็นขาย 4 ล้านบาทต่อตารางวา

จะว่าไปแล้ว ในวงการอสังหาริมทรัพย์เชื่อว่าราคาที่ดินย่านสารสินของแสนสิริ มีราคาสมเหตุสมผลกว่าราคาที่ดินบริเวณหลังโรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก ชูวิทย์ ที่อยู่ในซอย 24 ลึกเข้าไปเลย ไม่ได้ติดถนนใหญ่เหมือนที่ดินที่ถนนสารสิน

ปัจจุบันนี้ สถานะของบริษัท สมบัติเติมตระกูล คุณชูวิทย์ได้ให้ลูกๆ ทั้งสี่คนเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท ส่วนตัวเองลาออกไปแล้ว ซึ่งแน่นอน ถ้ามีปัญหากับบริษัท คุณชูวิทย์ก็จะได้อ้างว่าไม่ได้เกี่ยวข้องแล้ว

ผมจะเอาอินโฟกราฟิกมาให้ท่านผู้ชมดู ในรูปวงกลมสีแดง นี่คือที่ตั้งของที่ดินที่คุณชูวิทย์ขายให้กับลูกๆ จะเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ติดถนนใหญ่ วิ่งเข้าไปข้างในลึกเลย แล้วถนนที่จะเข้าที่ดินผืนนี้ เป็นถนนแคบ


เอาล่ะ ที่ดินแปลงใหญ่ที่ผมให้ดูเมื่อกี้นี้ ตอนนี้มาแบ่งออกเป็น 4 แปลงเท่าๆ กัน ตามโฉนดที่ดิน โฉนดที่ดินหมายเลข 3538, 1778, 3539 และ 1779 แบ่งมา 4 แปลง เพื่อขายต่อให้กับลูก

วันเดียวกัน วันที่ 27 กันยายน 2562 บริษัท สมบัติเติมตระกูล เจ้าของที่ดิน ซึ่งคุณชูวิทย์ และลูกๆ ทุกคนเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการ ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1778 เนื้อที่ 139.3 ตารางวา ทั้ง 4 แปลง เนื้อที่เท่ากันหมด แบ่งให้ลูกเท่ากันหมดเลย ขายให้กับลูกตัวเอง ขายคุณต้นตระกูล เติมตระกูล ตระการตา และคุณต่อตระกูล ในราคาเบ็ดเสร็จแล้วประมาณ ตารางวาละ 200,000 บาท รวมแล้ว 27 ล้าน 2 แสนบาท

ในวันเดียวกัน วันที่ 27 ทั้งสี่คนขายต่อทันที ขายต่อไปให้บริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ซึ่งตอนหลังเปลี่้ยนเป็น เดวิส ทเวนตี้ โฟร์ ซึ่งผู้ถือหุ้นและกรรมการเจ้าของก็เป็นกลุ่มคนเดียวกันหมดเลย ทุกคน ตัวเองซื้อมาในราคา 27 ล้านบาท ขายต่อในราคา 502 ล้านบาท ก็คือเป็นยอดเงินประมาณ 2,009 ล้านบาท 4 โฉนด

ในตอนแรกที่ขายที่ดินให้กับลูกตัวเอง ในราคาประเมิน จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล คือเมื่อขายที่ดินแล้ว มีรายได้เข้ามา บริษัท สมบัติเติมตระกูล ก็เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 11,492,484 บาท ทำไมต้องขายแบบนี้ ? เพราะว่าถ้าสมบัติเติมตระกูล ขายโดยตรงมาให้บริษัทนี้ ขายตรง ไม่ต้องผ่านขั้นตอนผ่องให้ลูกก่อน 4 คน จะต้องเสียภาษีนิติบุคคล 359,550,927 บาท เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อเป็นนิติกรรมอำพราง และผมเชื่อว่าสรรพากรก็จะต้องเชื่อว่าเป็นนิติกรรมอำพราง เพราะในการขายที่ดินนั้น เขาจะยึด ไม่ได้เอาราคาประเมินของกรมที่ดินเป็นหลัก เขาจะยึดราคาที่ขายอยู่ปัจจุบันนี้ ชาวบ้านเขาขายเท่าไร ก็ต้องว่ากันไป

เพราะฉะนั้นแล้ว คุณชูวิทย์และครอบครัวจะต้องถูกเบี้ยปรับ 1 เท่า คือหนีภาษีไปแล้ว 359,550,927 บาท ต้องเสียเบี้ยปรับอีก 1 เท่า มิหนำซ้ำยังมีเงินเพิ่มอีก 1.5 เปอร์เซ็นต์ ต่อเดือน ตั้งแต่มิถุนายน 2563 ถึง กรกฎาคม 2566 สามปี เป็นเงินอีก 204 ล้านบาท สรุปแล้วรวมภาษีที่บริษัท สมบัติเติมตระกูล ซึ่งคุณชูวิทย์และลูกๆ เป็นเจ้าของและถือหุ้นอยู่ และเป็นกรรมการบริษัท รวมภาษีที่ต้องจ่ายทั้งหมดคือ 924,045,885 บาท นี่คือภาษีที่หนีไป


นี่ครับ มีการจับมือกันเดือนกันยายน ปีที่แล้ว ว่าตกลงกันในราคา 2,000 ล้าน คุณเศรษฐา ต่อเหลือ 1,800 แล้วคุณเศรษฐา ก็พูดต่อว่า มีสัญญาเก่าเก็บเอาไว้กับบริษัท ไรมอน แลนด์ ไปจัดการยกเลิกซะ คุณชูวิทย์ก็เลยไปยกเลิกให้ แล้วคุณชูวิทย์ก็มาอ้างว่า ยังมีสัญญาซื้อขายอยู่ ผมจะไปเจรจากับคุณเศรษฐาทำไม ก็คุณไปเจรจากับคุณเศรษฐา เพราะคุณรู้ว่าเศรษฐามีเงินที่จะซื้อได้ เมื่อมีเงินที่จะซื้อได้ คุณก็เลยทันที จับมือแล้วรับรองกันเสร็จ คุณก็เลยไปยกเลิกสัญญาไรมอน แลนด์

ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์ครับ อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะพูด คุณขายที่ดินพ่วงใบอนุญาตในการก่อสร้าง ใบอนุญาตในการก่อสร้างคุณขอมาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว และต่อทุกปี เพราะคุณไม่ได้สร้างอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ใบอนุญาตการก่อสร้างครั้งนี้ คุณไปทำอิท่าไหนไม่รู้ ในซอยที่แคบมาก ใบอนุญาตให้คุณสร้างได้ถึง 60,000 ตารางเมตร ซึ่งใบอนุญาตก่อสร้างสมัยนั้นยังไม่มีการผ่าน EHIA สิ่งแวดล้อม ผมก็ไม่รู้ว่าทาง กทม. ต่อให้คุณได้อย่างไร ตั้ง 20 ปี ต่อแล้วต่ออีกๆๆ ผมไม่อยากจะพูดว่าคุณมีเจ้าหน้าที่ กทม. หลายคนรู้เห็นเป็นใจกับคุณ แต่ไม่เป็นไร คำถามมีอย่างนี้

ใบอนุญาตก่อสร้าง 60,000 ตารางเมตร ในพื้นที่แบบนั้น ถ้าไปตรวจสอบดีๆ แล้ว ผมเชื่อว่าทาง กทม. จะบอกว่าใบอนุญาตนี้ใช้ไม่ได้แล้ว ถึงแม้จะต่อก็ตาม เพราะพื้นที่แบบนั้น 500 กว่าตารางวา อยู่ในซอยที่เข้าไปลึก สร้างได้จริงๆ ก็ไม่เกิน 10,000 ตารางเมตร ถ้า 10,000 ตารางเมตร ราคาที่คุณจะขายให้เขา 3 ล้านกว่าบาท ต่อตารางวา มันก็ต้องลดลงอีกเยอะอย่างมหาศาล ผมไม่รู้ว่าใบอนุญาตก่อสร้างของคุณ เมื่อหมดอายุปีนี้แล้ว คุณจะไปต่อ หลังจากรายการนี้ออกไปแล้ว เจ้าหน้าที่ กทม. จะกล้าต่อให้คุณหรือเปล่า


ท่านผู้ชมครับ ลักษณะคล้ายๆ คอนโดฯ แอชตัน เหมือนกัน ทางเข้า-ออกเล็กมาก แต่แอบไปก่อสร้าง ไม่ง่ายนะครับคุณชูวิทย์

คุณชูวิทย์ครับ จริงๆ แล้วคุณอาจจะบอกก็ได้ว่ามันเป็นเรื่องภายในครอบครัวคุณ ที่สำคัญที่สุดคือคุณได้หยิบเอาเรื่องคุณเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายมมาเพื่อให้คนเห็นใจคุณ แล้วทำให้คนเชื่อว่าคนใกล้ตายจะไม่โกหก คุณชูวิทย์ คุณจำได้ไหม คุณบอกว่าคุณจะแฉเพื่อชาติ แล้วคุณบอกว่าตัวคุณเองรับไม่ได้กับพฤติกรรมเล่นแร่แปรธาตุของนายทุน แต่คุณชูวิทย์รู้หรือเปล่าว่า สรรพากรเมื่อเช็กการโอนครั้งนี้ของคุณ แล้วผมเชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์ ว่า บริษัท สมบัติเติมตระกูล ของคุณและลูกๆ คุณนั้นจะต้องเสียภาษีที่แท้จริงตามที่ผมชี้แจงให้ดู อันนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมของนายทุนที่เล่นแร่แปรธาตุหรือเปล่า เหมือนอย่างที่คุณไปด่าคุณเศรษฐาเขา ฉันใดฉันนั้น

ท่านผู้ชมที่บอกว่าคนใกล้ตายไม่โกหก แล้วผมมีข้อสงสัยบางอย่าง คุณชูวิทย์ คุณบอกตอนเช้าคุณไปทำคีโมมาเพื่อรักษาโรคมะเร็ง บ่ายคุณแถลงข่าว กระโดดโลดเต้นเป็นลิงเลย ผมสงสัยว่าคนที่ไปทำคีโมมาจะกระโดดโลดเต้น เล่นละครลิงได้ทันทีหรือเปล่า หรือคุณชูวิทย์เป็นซูเปอร์แมน นี่ผมตั้งข้อสงสัยนะครับ

คุณชูวิทย์ คุณรู้อยู่แล้วว่า ถ้าที่คุณพูดเป็นความจริง คุณรู้อยู่แล้วว่า ชีวิตคุณอยู่ในแผ่นดินนี้อีกไม่นาน แต่คุณชูวิทย์รู้ไหมว่า ความจริงที่มีหนึ่งเดียวนั้น มันจะอยู่ติดตัวคุณไป ถึงแม้ว่าคุณจะตายไปแล้วก็ตาม ความจริงก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ว่ามีกระบวนการพฤติกรรมที่เกิดนิติกรรมอำพราง ทำให้รัฐต้องสูญเสียภาษีไปเก้าร้อยกว่าล้านบาท นี่เป็นการโกงแผ่นดินไทยนะครับ คุณชูวิทย์ คุณต้องรู้นะว่าแผ่นดินไทยนั้นศักดิ์สิทธิ์


ในอดีตผมขี้เกียจพูดกับคุณ เยอะแยะไปหมด ทำไมผมต้องลุกขึ้นมาฟาดฟันกับคุณยุคนั้น เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ปีที่แล้ว เพราะคุณโกหกตลอดเวลา มาวันนี้คุณก็โกหกอีกแล้ว คุณโกหกเรื่องถุงเงิน 3 ล้านบาท เอาเงินไปบริจาคโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ศิริราช จนเขาต้องคืนเงินคุณ คุณออกมาแฉเรื่องรถไฟสายสีส้ม แล้วคุณบอกว่าคุณไม่ได้รับงานใคร แต่พอถูกจับได้คุณก็พูดอย่างหน้าด้านๆ ว่ารับงานแต่ไม่ได้รับเงิน คุณกล่าวหาว่ามีคนรับเงินทอน 30,000 ล้านบาท กรณีประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม พูดเป็นตุเป็นตะ มีการจ่ายผ่านธนาคาร HSBC สิงคโปร์ รู้กระทั่งเลขบัญชี พอเอาเข้าจริงๆ ไม่มีหลักฐานมาให้ดู อ้างว่าการประมูลยังไม่เสร็จ เลยไม่มีเงินทอน


สรุปคือ คุณอยากจะพูดอะไรก็ตามที่เป็นการโกหก ขอให้พูดแล้วคุณได้คะแนน คุณยังรับงานคุณคีรี กาญจนพาสน์ กับ บีทีเอส มาโกหกเรื่องการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มอีกหลายข้อ ซึ่งติ่งคุณชูวิทย์หลายคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว พอผมพูดเรื่องการทุจริตรถไฟฟ้าสายสีเขียว ก็เข้ามาถามว่าทำไมไม่พูดเรื่องรถไฟฟ้าสายสีส้มบ้าง คุณโกหกเรื่องคุณสมบัติของกรรมการ ป.ป.ช. คุณสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ขาดคุณสมบัติ ซึ่งไม่เป็นความจริง คุณอ้างว่ามีสวนกุหลาบคอนเนกชัน คุณสุชาติ ตระกูลเกษมสุข นั้นเด็กสวนกุหลาบ ข้อเท็จจริงแล้ว คุณสุชาติจบจากสาธิตรามคำแหง ไม่ได้จบจากโรงเรียนสวนกุหลาบ


นี่ยังไม่นับข้อมูลเรื่องส่วนตัวที่คุณโกหกเรื่องเกี่ยวกับผมอีกหลายเรื่อง ตอนที่ผมกับคุณอยู่ในเรือนจำ สุขภาพของผม คุณโกหกอย่างหน้าด้านๆ ผมไม่ต้องย้อนเล่าให้ฟังนะ เพราะคุณรู้แก่ใจดีว่าเรื่องไหนที่คุณพูดโกหกออกมาแบบหน้าตาย พอคุณถูกจับโกหกได้ คุณก็เลือกที่จะเงียบ

การจับโกหกข้อนี้ต้องบอกเลยว่าเหมือนกับสุภาษิตโบราณที่ว่า "คาหนังคาเขา" คุณคัดค้านนโยบายกัญชาไม่ใช่หรือ ไม่สนับสนุนกัญชาเสรี แต่คุณกลับไปเปิดบาร์กัญชา CHUWEED ในโรงแรม เดอะ เดวิส แถมยังให้ร้านกัญชาที่ชื่อ Dispendsary 24 เช่าพื้นที่เปิดในโรงแรมอีก

นอกจากนี้ หลายเดือนหลังจากคุณออกมาต้านกัญชา ร้านกัญชาในโรงแรมคุณก็ยังคงเปิดขายกัญชาเพื่อสันทนาการต่อไปอีกโดยไม่สนใจอะไรเลย ในสมัยนั้น คุณบิดเบือนเรื่องสมุนไพร เรื่องนโยบายกัญชา แต่พออาจารย์ปานเทพ ท้าดีเบตออกรายการโหนกระแส คุณก็ไม่กล้าไปดีเบต คุณอ้างว่าอาจารย์ปานเทพเป็นเด็กเมื่อวานซืน แต่ความจริงแล้วคือคุณไม่กล้าดีเบต เพราะคุณไม่รู้เรื่องจริง แต่คุณรับงานมา

ท่านผู้ชมสังเกตหรือเปล่า จากที่ก่อนเลือกตั้ง คุณชูวิทย์ออกมาเดินสายรณรงค์ต้านกัญชา ต้านพรรคภูมิใจไทยทุกวัน จัดอีเวนต์ถี่ๆ บุกถึงที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ด่าพรรคภูมิใจไทยเสียผู้เสียคน ท่านผู้ชมสังเกตไหม คุณชูวิทย์เกิดอะไรขึ้น วันนี้คุณไม่พูดเรื่องกัญชาเลย ที่สำคัญคุณไม่พูดถึงพรรคภูมิใจไทยเลยแม้แต่แอะเดียว หรือว่าตกลงกันได้แล้ว มีตัวเลขอะไรหรือเปล่าที่ผมควรจะรู้ ผมไม่รู้นะครับ

คุณเป็นคนที่ป่าวประกาศว่าคุณใกล้ตายแล้ว เพื่อที่จะให้คนที่เชียร์คุณบอกว่าคนใกล้ตายไม่โกหก คุณก็เลยมีสิทธิ์ มีความชอบธรรมในการพูดโกหกไปเรื่อยๆ แล้วให้คนเชื่อว่ามันเป็นความจริง เพราะคนใกล้ตายจะไม่โกหก ไม่ถูกต้องนะคุณชูวิทย์ เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว เพราะวันนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง


ผมต้องยกว่าคุณเป็นคุณพ่อตัวอย่าง เพราะคุณรักลูกคุณทั้ง 4 คน มาก คุณต้องการจะทิ้งสมบัติพัสถานให้ลูกๆ ทั้ง 4 คน หลังจากที่คุณตายไปแล้ว ไม่ผิด น่าชื่นชม ในฐานะที่เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นพ่อที่ดีของลูกทั้งสี่ แต่ผมถามคุณว่าคุณคิดดีแล้วหรือที่คุณลากลูกๆ มาร่วมกระบวนการ สมรู้ร่วมคิดกับนิติกรรมอำพรางนี้ อย่างนี้ถือว่าเป็นการโกหกลูกไหม ? ที่สำคัญ คุณจะทำให้ลูกของคุณอย่างไรก็แล้วแต่ ไม่มีใครว่าอะไร แต่คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำร้ายคนอื่นเพื่อลูกของคุณเอง ไม่มีสิทธิ์

เรื่องที่คุณทำมาตลอด โกหกตลอด ความจริงนั้นไม่เกี่ยวกับความตาย เพราะความจริงนั้นเมื่อตายไปแล้วความจริงก็ยังคงอยู่ เพราะความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว เป็นเรื่องกรรมที่คุณชูวิทย์เริ่มต้นจากการค้ามนุษย์ ค้าน้ำกาม อาบอบนวด จนร่ำรวย คุณอาจจะไม่เชื่อในหลักกรรม หลักพุทธศาสนา แต่นี่ล่ะครับ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ผมเชื่อครับ เวรกรรมเริ่มตามคุณทันแล้วนะคุณชูวิทย์ ผมไม่ได้พูดเล่น คุณไม่ได้สนใจอะไรเลยนอกจากเอาทรัพย์สมบัติที่คุณจะสามารถรีดออกมาให้ได้แล้วทิ้งไว้ให้ลูกคุณเพื่อให้อยู่สบาย แต่ในกระบวนการเหล่านั้นคุณได้ทำร้ายคนที่ไม่รู้เรื่องไปหลายคนจากการกระทำของคุณ ผมเห็นใจคุณ คุณควรจะสงบสติอารมณ์ ยังไม่สายเกินไป แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าคุณจะกลับตัวได้หรือเปล่า

คุณบอกว่าคุณแฉเพื่อชาติ คุณรับไม่ได้กับพฤติกรรมเล่นแร่แปรธาตุของนายทุน คุณพูดคำนี้มา คุณพิจารณาตัวคุณเองก็แล้วกัน ว่าสิ่งที่คุณทำนั้นก็เป็นสิ่งที่คุณประกาศจุดยืนมาว่า คุณจะแฉเพื่อชาติ ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องแฉเพื่อชาติได้แล้ว เพราะว่าถ้าสรรพากรพิสูจน์ว่าคุณผิดจริง คุณโกงเงินแผ่นดินไทยไป 900 ล้านบาท คุณชูวิทย์ครับ ด้วยความเคารพ ผมพูดความจริง ความจริงที่มีหนึ่งเดียว ที่หลายต่อหลายครั้งคุณไม่กล้าพูดเลยแม้แต่นิดเดียว แต่คุณใช้ดรามา และคุณใช้คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ล้างสิ่งสกปรกของคุณออกมาโดยใช้ช่อง 3 เป็นฐาน ความจริงนั้นมีหนึ่งเดียวครับคุณชูวิทย์ และคุณสรยุทธ ครับ ให้จำเอาไว้ พวกคุณหนีความจริงไม่พ้นหรอกครับ

“นิพิฏฐ์” โหน “ชูวิทย์” ไม่เลิก เชียร์ “แฉไปไถไป” 



ท่านผู้ชมครับ ผมตั้งข้อสังเกตมานานแล้วเกี่ยวกับท่าทีของอดีต ส.ส. และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างคุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาก็สังกัดอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ และพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง วันที่ 14 พฤษภาคม

อย่างที่ผมพูดไว้แล้ว คุณนิพิฏฐ์ ออกมาแสดงตรรกะวิบัติหลายต่อหลายเรื่องในกรณีคุณชูวิทย์ ไม่ว่าจะเป็นกรณี "แฉไป ไถไป" ถุงขนม 6 ล้าน คุณนิพิฏฐ์ ออกมาแถแบบข้างๆ คูๆ ให้คุณชูวิทย์ว่าเหมือนคนขับรถฝ่าไฟแดงเพื่อไปหยุดยั้งคนชั่วที่กำลังปล้นธนาคาร ผมฟังแล้วผมก็ตลกขบขันมาก ว่านักกฎหมายระดับอดีตรัฐมนตรี อดีต ส.ส. หลายสมัย ทำไมมีวิธีคิดที่บิดเบี้ยวได้เช่นนี้


คุณนิพิฏฐ์ พอใกล้เลือกตั้งก็โหนเอาชูวิทย์ไปหาเสียงเลือกตั้ง ให้คุณทั้งทางภาคใต้ พยายามชูกระแสต่อต้านกัญชา แต่ภายใต้การนำของคุณ พรรคพลังประชารัฐในภาคใต้ก็ได้คะแนนเสียงไม่กี่เสียง ทั้งๆ ที่ได้ข่าวว่ายิงกระสุนไปเยอะมาก แต่ไม่เข้าเป้า

ผมเข้าใจดีว่าคุณนิพิฏฐ์ มีความแค้นส่วนตัวกับพรรคภูมิใจไทยที่ผลักดันนโยบายกัญชา เพื่อแก้แค้นและจัดการพรรคภูมิใจไทยให้ได้ คุณนิพิฏฐ์ เลยถือว่าศัตรูของศัตรูคือมิตร ก็เลยไม่หยุดที่จะออกมาแสดงจุดยืนอยู่ข้างคุณชูวิทย์ ที่คุณชูวิทย์เรียกตัวเองว่ามหาโจร แต่คุณหารู้ไม่ว่าตัวคุณเองนั้น ที่บอกว่ารู้จักคุณชูวิทย์มา 20 ปี แท้ที่จริงแล้วคุณไม่รู้จักธาตุแท้ของคนอย่างคุณชูวิทย์เลย ความไม่รู้ของคุณเอง ทั้งๆ ที่ประชาชนทั่วไป คนที่ไม่ได้หูหนวกตาบอด ต่างก็รู้กันหมดว่ากมลสันดานและธาตุแท้ของคุณชูวิทย์นั้นเป็นอย่างไร

ล่าสุด ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณชูวิทย์ออกมาเต้นแร้งเต้นกาแฉเรื่องคุณเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย กับบริษัท แสนสิริ อ้างว่าโกงภาษีที่ดิน ทำให้รัฐบาลขาดภาษีรายได้ 521 ล้านบาท คุณก็หน้ามึนเลย ออกมาเชียร์คุณชูวิทย์แบบหน้ามืดตามัว ใช้ตรรกะที่บิดเบี้ยวอีกครั้งหนึ่ง


เสาร์ที่ 5 สิงหาคม คุณเขียนในโพสต์เฟซบุ๊กว่า ผมฟังคุณชูวิทย์แถลงข่าวเรื่องการซื้อขายที่ดินบริษัท แสนสิริ จำกัด ทำให้รัฐเสียหายไป 521 ล้านบาท ผมไม่ใช่นักกฎหมายผู้ชำนาญด้านภาษี เมื่อมีการกล่าวหา ควรจะสนใจ คุณนิพิฏฐ์ บอกว่า บ่อเกิดของประชาธิปไตยสาเหตุหนึ่งมาจากการที่คนรวยเสียภาษีโดยไม่เป็นธรรม และก่อให้เกิดความขัดแย้ง ก่อให้เกิดการประท้วงของประชาชน กรณีนี้จะเป็นการวางแผนภาษี หรือหลีกเลี่ยงภาษี แต่เมื่อการกระทำนี้รัฐขาดรายได้ไปห้าร้อยกว่าล้าน ก็ต้องมาชี้แจง

ป.ป.ช. เป็นโจทก์ที่หนึ่ง ต้องลงมาสอบสวนเรื่องนี้ เพราะเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ งานนี้คนที่หนาวคนแรกคือเจ้าหน้าที่ที่ดิน คุณนิพิฏฐ์ ครับ เขาไม่หนาวหรอกครับ เพราะเจ้าหน้าที่ที่ดินนั้นจะโอนภาษีที่ดินตามราคาประเมินก็ได้ ถ้ามีราคาประเมินกรมที่ดิน ถึงเขาจะซื้อแพงกว่าราคาประเมิน แต่เขาก็ประเมินตามราคาประเมิน เป็นสิทธิ์ของเขาถูกต้องตามกฎหมาย


งานนี้จะเป็นงานชิ้นสุดท้ายของคุณชูวิทย์หรือเปล่า ผมไม่รู้ แต่หากเป็นงานสุดท้าย ทำให้รัฐได้ภาษีเพิ่มขึ้นกว่าห้าร้อยกว่าล้านบาท ขอให้คุณชูวิทย์ได้รับการคารวะจากผม มาอีกแล้ว หลายคารวะ คุณนิพิฏฐ์ ครับ ถ้าคุณฟังรายการนี้ไป แล้วถ้าวันหนึ่งข้างหน้าคุณชูวิทย์ และตระกูล ต้องเสียภาษีที่โกงภาษีจากรัฐไปเก้าร้อยกว่าล้านบาท คุณนิพิฏฐ์ คิดว่าคุณจะยังคารวะคุณชูวิทย์อยู่หรือเปล่า

ผมไม่ได้เชียร์คุณเศรษฐานะครับ แต่ผมจะบอกคุณนิพิฏฐ์ ว่างานนี้คุณเศรษฐา และบริษัท แสนสิริ เขาให้ตรวจสอบแน่ๆ เขาส่งทนายไปฟ้องคุณชูวิทย์แล้ว 500 ล้านบาท ซึ่งข้อเท็จจริงเรื่องการวางแผนภาษีหรือหลีกเลี่ยงภาษี คงได้ตรวจสอบแน่ๆ ในชั้นศาล โดยที่ ป.ป.ช. จะตั้งเรื่องมาตรวจสอบหรือไม่ก็แล้วแต่

เมื่อตรวจสอบเรื่องภาษีที่ดินของบริษัท แสนสิริ กับคุณเศรษฐาแล้ว ในกรณีคุณชูวิทย์กับการซื้อขายหลังโรงแรมเดวิส ซอยสุขุมวิท 24 กระทำกันอย่างลับๆ ล่อๆ โอนที่ดินให้ระหว่างกันไปมากับบริษัท สมบัติเติมตระกูล ลูกๆ 4 คน ก็ควรต้องตรวจสอบให้กระจ่างชัดด้วย เพราะคุณชูวิทย์ที่ออกมาร้องเรื่องนี้ แต่กลับมีพฤติกรรมที่กังขาว่าจะเลี่ยงภาษียิ่งกว่าพฤติกรรมของบริษัท แสนสิริ อีก แถมความเสียหายเรื่องรัฐสูญเสียภาษีรายได้ไป 900 ล้านบาท


ผมมีเรื่องฝากอีกเรื่องหนึ่งครับ คุณนิพิฏฐ์ ที่มีความคั่งแค้นอยู่ในอกเกี่ยวกับกรณีพรรคภูมิใจไทย จนในช่วงหลายเดือนหลังต้องออกมาหนุนคุณชูวิทย์ ที่ประกาศตามล้างตามเช็ดกับพรรคภูมิใจไทย หรือคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ในทุกๆ เรื่อง คุณไม่เคยสงสัยหรือตั้งข้อสังเกตเหมือนผมหรือว่า ทำไมช่วงหลังคุณชูวิทย์ที่เคยแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดเรื่องกัญชา เรื่องภูมิใจไทย เรื่องอนุทิน เรื่องศักดิ์สยาม มาวันนี้ทำไมไม่พูดเรื่องนี้อีกเลยแม้แต่นิดเดียว หรือว่าล่าสุดที่พรรคภูมิใจไทยไปจับมือกับพรรคเพื่อไทย เพื่อตั้งรัฐบาล คุณชูวิทย์ก็ไม่ออกมาคัดค้านแบบหัวชนฝาอีกแล้ว เหมือนกับที่ประกาศไว้ก่อนเลือกตั้ง คิดสิ คุณนิพิฏฐ์ คิด ว่าทำไม ? นี่คือคนที่คุณคารวะ


ท่านผู้ชมครับ ในรายการ กรรมกรข่าว คุยนอกจอ ในวันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2566 ระหว่างการวิเคราะห์การจัดตั้งขั้วพรรคการเมืองใหม่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พูดถึงกรณีการรณรงค์ต่อต้านกัญชากับพรรคภูมิใจไทย และคุณอนุทิน ชาญวีรกูล โดยตอบคำถามโฆษกประจำตัว คือคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผมจะอ่านคำถามและคำตอบให้แบบคำต่อคำ ท่านผู้ชมฟังให้ดีๆ ก่อนนะ


คุณสรยุทธ พูดว่า "พูดถึงกัญชา คุณสงบศึกกับคุณอนุทินแล้วไม่ใช่หรือ ?" คุณชูวิทย์ตอบอย่างนี้ครับ "อุ้ย ไม่มีปัญหาหรอก สงครามมันจบไปแล้ว" ท่านผู้ชมจำคำพูดนี้ไว้นะ "สงครามมันจบไปแล้ว" "คุณอนุทินก็ต้องเดินหน้าเพื่อบ้านเมืองต่อไป คุณก็ต้องทำงานต่อไป ผมใช้เวลาในการรณรงค์สื่อสารเลือกตั้ง เป็นการสื่อสารกับประชาชนเช่นเดียวกัน" คุณสรยุทธพูดต่อ "ตอนนี้ต้องเอากัญชากลับไปอยู่ในร่องในรอย" คุณชูวิทย์บอกว่า "คุณเอากัญชา อย่าอยู่หน้าโรงเรียน คุณควบคุมกัญชาให้มีเวลาเช่นเดียวกันกับแอลกอฮอล์ แล้วคุณให้แพทย์ดู จบ ผมไปยุ่งวุ่นวายอะไร ผมมาบอกว่าไม่ได้ไม่ให้ขายเลย เลิกเลย ผมไม่ได้พูดสักคำ ผมบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับเยาวชน"

คุณสรยุทธ "เดี๋ยวเขาเป็นรัฐมนตรีอีกนะ" ชูวิทย์ตอบว่า "เขามากินข้าวกับผมได้" สรยุทธถามว่า "ใครเขาจะมากินกับคุณ" ชูวิทย์ตอบว่า "ผมไปกินกับเขา เขาไม่ได้มากินกับผม ผมมากินกับเขา"

ท่านผู้ชมครับ ฟังแล้วรู้สึกอย่างไร ? ผมจะย้อนคำพูดเก่าๆ โพสต์เก่าๆ ของคุณชูวิทย์ให้ดูว่าคุณชูวิทย์เคยพูดประเด็นเรื่องกัญชากับพรรคภูมิใจไทยไว้ว่าอย่างไรบ้าง แล้วมันเหมือนหรือแตกต่างจากที่คุณพูดล่าสุดกับคู่ซี้คุณ คุณสรยุทธ ว่าอย่างไร ผมคัดมาให้ 3 เรื่องเด็ดๆ


ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา คุณชูวิทย์ด่าพรรคภูมิใจไทยอย่างเสียผู้เสียคน ว่าพรรคบ้ากัญชา รณรงค์ให้คนทั่วประเทศไม่เลือกพรรคภูมิใจไทย แต่พรรคภูมิใจไทยกลับได้ ส.ส. ถึง 71 ที่นั่ง มากกว่าการเลือกตั้งปี 2562 เอาล่ะ ท่านผู้ชมครับ มาดูสิ่งที่คุณชูวิทย์พูด

16 มีนาคม 2566 คุณชูวิทย์ถึงกับเล่นใหญ่ด้วยการบุกไปเคลื่อนไหวใกล้พรรคภูมิใจไทย ชูป้าย "ไม่เอาภูมิใจไทย บ้ากัญชา" รณรงค์ต่อต้านการหาเสียงของพรรคภูมิใจไทย หลังจากที่พรรคได้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. ทั้ง 33 เขต


11 พฤษภาคม 2566 ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จัดกิจกรรมวิ่งต่อต้านกัญชาเสรี ใช้ชื่อ "วิ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงชัยชนะ" โดยระบุว่าตนเองจะเดินทางไปศาลแพ่งเพื่อฟ้องพรรคภูมิใจไทย และเรียกค่าเสียหายพันล้านบาท จากการนำนโยบายสาธารณะมาให้ประชาชนได้รับผลร้ายจากกัญชา เพื่อให้เห็นว่านโยบายกัญชากระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยค่าเสียหายหนึ่งพันล้านบาทจะนำไปใส่กองทุนเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกัญชา มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ดูแล ช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2565 มีประชาชนได้รับผลกระทบจากนโยบายกัญชาเสรีจำนวนมาก ทั้งที่ไม่ได้เสพแต่ได้รับผลกระทบจากกลิ่น หรือกลุ่มคนที่เสพจนช็อก ต้องนอนโรงพยาบาล รวมทั้งกลุ่มคนที่บอกว่ารักษามะเร็งหายจากการใช้กัญชา แต่กลับพบว่าไม่มีใครรักษาหาย แต่สูบกับเสพกัญชาจนเป็นมะเร็ง


22 พฤษภาคม 2566 ในการแถลงข่าว 8 พรรค ลงนามข้อตกลงร่วม MOU 23 ข้อในการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พูดถึง MOU ข้อที่ 16 นำกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษ ผ่านการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยมีกฎหมายควบคุมและรองรับการใช้ประโยชน์จากกัญชา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มาร่วมสังเกตการณ์ ถึงกับปรบมือด้วยความดีใจ ในตอนหนึ่งนายชูวิทย์กล่าวระหว่างตอบคำถามว่า ผมต่อสู้และออกไปรณรงค์ทั้งที่ไม่เป็นนักการเมือง ความเข้าใจเรื่องกัญชา ร้านกัญชาต้องปิดทั้งหมด เพราะกัญชาเป็นยาเสพติด ท่านผู้ชมครับ นี่คือคำพูดคุณชูวิทย์นะ กัญชาเป็นยาเสพติด เป็นกัญชาทางการแพทย์จะต้องให้แพทย์เป็นคนออก จะให้ไปอยู่ในร้านกัญชาทุกที่ได้อย่างไร กัญชาต้องกลับไปเป็นยาเสพติด


ท่านผู้ชมครับ ย้อนกลับมาถึงคำพูดที่คุณชูวิทย์พูดเมื่อกี้นี้ "คุณเอากัญชา อย่าอยู่หน้าโรงเรียน คุณควบคุมกัญชาให้มีเวลาเช่นเดียวกันกับแอลกอฮอล์ แล้วคุณให้แพทย์ดู จบ ผมไปยุ่งวุ่นวายอะไร ผมมาบอกว่าไม่ได้ไม่ให้ขายเลย เลิกเลย ผมไม่ได้พูดสักคำ ผมบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับเยาวชน"

ท่านผู้ชมครับ เราจะทำอย่างไรดีกับคนที่ชื่อชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ สรุปง่ายๆ คุณชูวิทย์นึกจะด่าใคร ก็ขุดเรื่องขึ้นมาด่า โดยไม่มีหลักไม่มีฐาน ด่าลั่น ด่าพรรคภูมิใจไทยเป็นหมูเป็นหมา ด่าเรื่องกัญชา และยืนยันว่ากัญชาเป็นยาเสพติด แต่ตัวเองให้สัมภาษณ์สรยุทธ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม เหมือนกับว่ากัญชาไม่ใช่ยาเสพติด

ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์เป็นคนที่กลับกลอกมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณชูวิทย์ทำในวันนี้ สังคมไทยตั้งข้อสังเกตว่าคุณมีข้อตกลงอะไรกับพรรคภูมิใจไทยหรือเปล่า ถึงไม่พูดถึงพรรคภูมิใจไทยและเรื่องกัญชาเลย คุณชูวิทย์บอกว่าเรื่องมันจบแล้ว คุณเคยจบเรื่องไหนบ้าง คุณจบมันทุกเรื่องล่ะ หลังจากที่ได้มีการเจรจากันลับๆ เบื้องหลัง คุณชูวิทย์ครับ และคนที่ยังทุ่มเทและลุ่มหลง หลงใหลและคลั่งไคล้คุณชูวิทย์ เมื่อไรพวกคุณจะหายโง่เสียที คุณชูวิทย์ไม่ได้เป็นคนที่มาเปิดเผยความจริง คุณชูวิทย์เป็นหัวหน้าคณะละครลิง ซึ่งมีคุณชูวิทย์เล่นเป็นลิงตัวหนึ่งในละคร ออกมาเต้นแร้งเต้นกา ชี้หน้าด่าคนโน้น ชี้หน้าด่าคนนี้ แล้วในที่สุดคุณชูวิทย์ก็บอกว่าจบแล้ว จบอย่างไร คุณชูวิทย์ มีการตกลงอะไรกันหรือเปล่า คุณก็ต้องตอบแน่นอนว่าไม่มีการตกลง เหมือนกับกรณีรถไฟฟ้าสายสีส้มที่ผมพูดไปแล้ว ที่ผมถามว่าคุณรับงานใครมาหรือเปล่า จนในที่สุดคุณจนด้วยหลักฐานก็บอกว่าใช่ ผมรับงานมา แต่ผมไม่ได้รับเงิน ท่านผู้ชมจะเชื่อคนๆ นี้ได้ไหม โกหกหลอกลวง ตื่นมา ลืมตา คำพูดที่ออกมาก็โกหกพกลม

ท่านผู้ชมครับ คนที่ลุ่มหลง หลงใหลคลั่งไคล้คุณชูวิทย์ครับ คุณยังไม่รู้สำนึกอีกหรือว่าพวกคุณโดนคุณชูวิทย์หลอกมาตลอด เขาหลอกคุณมาตลอด เขาหลอกสังคมไทยมาตลอด ทุกอย่างทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ถ้ามีการตกลงกันได้จะด้วยวิธีการใดก็ตาม หรือจะมีตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมไม่รู้ แต่จู่ๆ แล้วคนที่คุณชูวิทย์ด่าเขาว่าเป็นพรรคกัญชา แล้วคุณเอาเป็นเอาตายกับเขา คุณบอกว่าคุณจะตามล้างตามเช็ดพรรคภูมิใจไทย แล้วจู่ๆ คุณมาพูดกับคุณสรยุทธว่าจบแล้ว สงครามจบแล้ว

ถ้าคุณชูวิทย์เป็นคนเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ สงครามจะไม่มีวันจบ คุณต้องสู้ไปจนกระทั่งถึงที่สุด นี่ไม่ นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าท่านผู้ชมทั้งหลายที่ดูรายการผมอยู่ ไม่ว่าจะเป็น FC ผม หรือไม่ใช่ FC ผม หรือติ่งคุณชูวิทย์ เห็นหรือยังครับว่าเนื้อแท้คุณชูวิทย์ พูดอะไรออกมา เหมือนกับคุณชูวิทย์จะฉีกหน้ากาก จะแฉเรื่องการเลี่ยงภาษีของเศรษฐา ทวีสิน และบริษัท แสนสิริ กับพฤติกรรมที่คุณชูวิทย์ให้สัมภาษณ์กับคุณสรยุทธ โฆษกประจำตัวคุณชูวิทย์ ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจะเชื่อคำพูดนายชูวิทย์ได้อย่างไร สรุปแล้วถ้าท่านเชื่อ แสดงว่าท่านชอบดูละครลิงใช่ไหม เดี๋ยวนี้ผมเห็นละครลิงชุดนี้แล้วผมสมเพช สมเพช 2 อย่าง สมเพชคุณชูวิทย์มากๆ ถ้าคุณจะใกล้ตายจริงนะ ผมยิ่งสมเพชคุณมากไปใหญ่ คุณไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษเลย คุณโกหกพกลม แล้วคุณจะโกหกจนกระทั่งวันตายคุณด้วย แล้วท่านผู้ชมที่ยังไปหลงเชื่อชูวิทย์อยู่ วันนี้พิสูจน์ชัดเจนว่าคุณชูวิทย์เป็นคนโกหก เล่นละครลิง ปั้นเรื่องปั้นราวขึ้นมา เอาข้อมูลข้อเท็จจริงเล็กน้อยมาขยายความเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ พันเปอร์เซ็นต์ ตีสีใส่ไข่เข้ามา คนแบบนี้อันตรายต่อสังคมไทยมาก หลายคน รวมทั้งคุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ด้วย คารวะคุณชูวิทย์ คุณฟังเรื่องนี้แล้วคุณยังคารวะคุณชูวิทย์อยู่หรือเปล่าล่ะ คุณนิพิฏฐ์ คุณเลิกหิวแสงได้แล้ว คุณชูวิทย์ไม่มีราคาเลยในสายตาของผม ในสังคมไทย ไม่มี มันจะมีได้อย่างไร คนที่ออกมาสู่สื่อสาธารณะแล้วโกหกพกลมตลอดเวลา มันจบแล้วครับ ก็หยุด ทั้งๆ ที่ด่าเขาประเภทสาดเสียเทเสีย เสียหมาเสียสุนัข ก่อนหน้านั้น ผมถึงบอกไงว่าทำไมถึงเงียบไปช่วงนี้ วันนี้ท่านผู้ชมได้รับคำตอบแล้วใช่ไหมว่าทำไมเขาถึงเงียบ พอใจ มีการเจรจาตกลงกันอย่างแน่นอนที่สุด ผมเชื่อ ส่วนใครจะได้อะไรเท่าไร ใครจะเสียอะไรเท่าไร ผมไม่ขอรับรู้ ท่านผู้ชมไปสร้างจินตนาการเอาเองก็แล้วกันครับ

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้ก็มีอยู่เพียงแค่นี้ ท่านผู้ชมครับ วันหลังถ้าจะดูละครลิง ดูไปด้วยหัวเราะไปด้วย ขำขันไปดีกว่า อย่าไปจริงจัง อย่าไปเชื่อครับ เพราะว่าความจริงมีหนึ่งเดียว และคุณชูวิทย์เป็นคนที่กลัวความจริงมากที่สุด เพราะมันมีอยู่หนึ่งเดียว คำพูดที่โกหกนั้นมันมีอยู่หลายร้อย แต่ความจริงมีอยู่หนึ่งเดียว อาทิตย์หน้าค่อยเจอกันนะครับท่านผู้ชม สวัสดีครับ

กำลังโหลดความคิดเห็น