xs
xsm
sm
md
lg

เปิดหน้า “เสี่ยนิค” ไอ้โม่งเบื้องหลัง #ตั๋วปารีส ไขคำตอบ ทำไม “ก้าวไกล” รีบเร่งแก้ ม.112

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



“สนธิ” เปิดโปงไอ้โม่งผู้อยู่เบื้องหลัง #ตั๋วปารีส ออกเงินค่าใช้จ่ายให้พวกหลบหนีคดี 112 ไปอยู่เมืองนอกรวมทั้งสนับสนุนการเคลื่อนไหวยกเลิก ม.112 -ล้มล้างสถาบันในไทย เขาคือ “นิค นพพร” เสี่ยหนุ่มหมื่นล้าน แห่ง “วิน เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง” ที่ผูกใจเจ็บสถาบันหลังโดนคดี 112 จากเหตุแอบอ้างเบื้องสูงทำผิดกฎหมาย จนต้องลบหนีออกนอกประเทศ แล้วหันไปสนับสนุนขบวนการล้มเจ้า



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงกรณีพรรคก้าวไกลรีบเร่งแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากมีคนให้เงินสนับสนุนการแก้ไขเพื่อให้ลดโทษเหลือเพียงโทษปรับ หรือมีโทษจำคุกเพียงเล็กน้อย

นายสนธิกล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงก่อนและหลังเลือกตั้งประเด็นเรื่อง 112 นั้น ตนได้เคยให้ความเห็นต่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ว่า ถ้าไม่ถอยเรื่อง ม.112 เพียง 1 เรื่อง นโยบายอีก 299 นโยบายที่เคยหาเสียงไว้กับพี่น้องประชาชนจนได้มา 14 ล้านเสียง และได้ ส.ส.เข้าสภามา 151 คนแล้ว รวมถึงการที่นายพิธาจะก้าวขึ้นไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือ พรรคก้าวไกลจะดำเนินการอะไรในเรื่องอื่น ๆ ก็จะติดอุปสรรคไปหมด เพราะมัวแต่ไปชูเรื่อง ม.112


“แล้วสิ่งที่ผมพูดมาตลอดก็เป็นความจริง โดย ม.112 ได้กลายเป็นเชือกมัดคอพวกคุณ เพราะทางฝั่งวุฒิสภาก็โหวตไม่เห็นชอบคุณพิธาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่วนรวมถึง พรรคการเมืองส่วนใหญ่ใน 8 พรรคร่วม ที่ในตอนแรกยอมให้คุณเพราะหวังว่า “กระแสพิธา” จะมา” นายสนธิกล่าว

นายสนธิ กล่าวต่อว่า แต่สุดท้ายเมื่อล้มเหลวในการโหวตเลือกนายกฯ และกระแสสังคมตีกลับแรง เพราะต่างก็ไม่มีใครเห็นด้วยกับการที่นายพิธาและพรรคก้าวไกลจะดันทุรังเดินหน้าผลักดันการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อ โดยไม่แคร์ว่าคนที่เลือกมา 14 ล้านเสียง ส่วนใหญ่เขาอยากจะเห็นเข้ามาเปลี่ยนแปลงการเมือง แก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้อง มากกว่าที่จะมาแก้ ม.112 หรือ แสดงความอาฆาตมาดร้าย จะด้อยค่าสถาบันกษัตริย์ให้ได้


ส่วนที่คุณพยายามทำ IO ให้อินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ คนโน้นคนนี้ เพจโน้นเพจนี้ออกมาปฏิเสธด้วยการ “บิดเบือน” ว่าการแก้ไข ม.112 ของพวกคุณพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการทำให้สถาบันฯ เสื่อมค่าลง แต่ทำให้สง่างาม ยั่งยืนสถาพรมากขึ้น ทุกวันนี้ข้อเท็จจริงก็ปรากฎชัดว่า ไม่เป็นความจริง เพราะกลุ่มม็อบ 3 นิ้ว, ม็อบเยาวชนปลดแอก, ม็อบทะลุแก๊ส, ม็อบทะลุวัง ที่มีเบื้องหลังคือพวกคุณได้แสดงความถ่อยสถุล และอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน หรือเพราะว่าคุณคุมเกหมไม่ได้ก็เลยเลยเถิดไป

นอกจากนี้เมื่อไปเปิดดูเนื้อหาของ ม.112 ที่คุณ พรรคก้าวไกลเคยยื่นเพื่อแก้ไขแล้วก็แสดงให้เห็นเนื้อแท้ว่า ไม่ใช่ “แก้ไขเพื่อรักษา” แต่ “แก้ไขเพื่อทำลายสถาบันฯ” ชัดๆ ดังที่ อ.แก้วสรร อติโพธิ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2543 และ อดีตเลขาธิการ คตส. ถึงกับบอกว่า ถ้าแก้ไข ม.112 ตามเนื้อหาที่พรรคก้าวไกลเสนอ ก็เท่ากับทำให้กษัตริย์ไม่เหลือความเป็นสถาบัน และกลายเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น

อ.แก้วสรร อติโพธิ
ประเด็น : เมื่อนายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล รวมถึงแกนนำทุกคนไม่ว่าจะเป็น นายชัยธวัช ตุลาธน, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร, นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รวมไปถึง “ตัวตึง” ที่หลายคนเคยตั้งความหวังไว้ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ เป็นนักการเมืองสายเลือดใหม่ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศไทย อย่าง นายรังสิมันต์ โรม ประกาศไม่ถอยเรื่องการแก้ไขกฎหมายอาญา ม.112 โดยอ้างว่าเพราะเป็นสัญญาประชาคมกับผู้ที่เลือกมา 14 ล้านเสียง แต่ยอมทิ้ง นโยบายเศรษฐกิจ สังคม พลังงาน สิ่งแวดล้อม ที่น่าจะมีผลต่อชีวิตประชาชนทั้งประเทศอีก 299 นโยบายที่เหลือ ก็ยิ่งทำให้หลายคนที่เชียร์พรรคก้าวไกล ออกมาตั้งคำถามว่า ทำไม “ก้าวไกล” ต้องดันทุรัง เร่งแก้ ม.112 ?


เผอิญสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นหนึ่งซึ่งกลายเป็นเรื่องในโลกโซเชียล และกลายเป็นแฮชแท็กร้อนแรงติดเทรนด์ทวิตเตอร์ อยู่หลายวัน จนสื่อต้องไปไล่ตามว่าเป็นเรื่องอะไรคือ แฮชแท็ก #ตั๋วปารีส


ลำดับเรื่องราวมี ดังนี้

หนึ่ง เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ถูกจุดขึ้นโดย ศิลปิน กราฟิตี้ คนหนึ่งที่ใช้ชื่อบัญชีทวิตเตอร์ @headache_stencil โดยศิลปินกราฟิตี้ผู้นี้เป็นที่รู้จักในฐานะนักเคลื่อนไหวทางประเด็นการเมืองมาหลายปีแล้วจากกรณีต้นเดือนมกราคม 2561 เขาวาดภาพกราฟิตี้ศิลปะล้อการเมืองปมนาฬิกาหรูที่พัวพันกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยทางศิลปินรายนี้ไปทำภาพกราฟิตี้รูปนาฬิกา ซึ่งภายในมีภาพหน้า พล.อ.ประวิตร อยู่ตรงสะพานลอยคนข้ามถนน ระหว่างซอยสุขุมวิท 56 กับ 58 และตกเป็นข่าวโด่งดังไปทั่ว จนแม้แต่สำนักข่าวต่างชาติยังต้องส่งคนไปสัมภาษณ์ ซึ่งก็เข้าทาง สำนักข่าวสายล้มเจ้าอย่าง BBC Thai ยังหยิบมาเป็นประเด็นนำเสนอให้โด่งดัง




โพสต์จี้ใจดำ “โรม ก้าวไกล” เร่งแก้ 112 เพราะเงินสนับสนุนที่ปารีส?

วันที่ 23 กรกฎาคม 2566 – ศิลปินกราฟิตี้ที่ใช้ชื่อในโซเชียลว่า headche stencil โดยในเวลาต่อมามีผู้เปิดเผยว่า ชื่อจริงของเขาคือ นายสมรนนท์ แย้มอุทัย หรือ นายซิ่ว ได้โพสต์ถึงนายรังสิมันต์ โรม สส.ก้าวไกล โดยแสดงความไม่พอใจใน เรื่องที่ พรรคก้าวไกล ดื้อรั้น ที่รีบเร่งแก้ไข หรือ ยกเลิกมาตรา 112 โดยไม่สนการจับขั้วรัฐบาล จนทำให้สูญเสียโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน

“โรมครับ ไม่ได้เจอกันนานเลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนะ แต่สงสัยว่าการที่ต้องเร่งเอา 112 ให้ได้ นี่เกี่ยวกับเงินสนับสนุนที่ปารีสป่ะครับ? @RangsimanRome

“ต้องรีบชดใช้เงินที่เอามาหรอครับ?”


สอง ต่อมาเมื่อ นายรังสิมันต์ โรม หรือแกนนำของพรรคก้าวไกลคนอื่น ๆ นิ่งเงียบ ไม่มีใครมาตอบ ศิลปินปกราฟิตี้ผู้นี้จึงจี้ต่อว่า ใครเป็นจ่ายเงินดูแลนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ธรรมศาสตร์ ซึ่งหลบหนีคดี ม.112 อยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส โดยถามว่า นายสมศักดิ์สามารถดำรงชีวิตอยู่ในประเทศฝรั่งเศสได้อย่างไร? ใครเป็นจ่ายเงินดูแล?

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ยังเชื่อนายรังสิมันต์ โรม และพรรคก้าวไกลก็เข้ามาโจมตีประเด็นเรื่องนี้ อย่างต่อเนื่อง โดยอ้างว่าศิลปิน กราฟิตี้ผู้นี้กุเรื่อง หรือ มโนเรื่องขึ้นมาเองเพื่อดิสเครดิตนายรังสิมันต์ และพรรคก้าวไกล

ทำให้ศิลปินกราฟิตี้ผู้นี้ต้องเปิดเผยหลักฐานสำคัญคือ กรณีที่ในช่วงปี 2561 ตนเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการเชิญไป รับเงินทุนต่างชาติในการโจมตีรัฐบาล และเชื่อมโยงไปยังสถาบันเบื้องสูง ในเวลานั้น พร้อมแสดงหลักฐานเป็นจดหมายเชิญ ที่แสดงให้เห็นว่าคนที่ไปที่เยอรมนี เวลานั้น ล้วนเป็นนักเคลื่อนไหวจากประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีผู้ส่งจดหมายเชิญคือนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ที่ใช้อีเมลของมหาวิทยาลัยเกียวโต โดยมีการแนบไฟล์ จดหมายเชิญ จาก มหาวิทยาลัย Bonn ประเทศเยอรมนี โดยมีนักวิชาการชื่อ นาย Oliver Pye เป็นผู้เซ็นรับรอง




ทั้งนี้ ในรายชื่อแนบตามอีเมลดังกล่าวนอกจากรายชื่อของนายซิ่ว ศิลปินกราฟิตี้ผู้ออกมาแฉแล้ว ที่น่าสนใจคือ ปรากฎชื่อของนายรังสิมันต์ โรม และ น.ส.อีวาน่า คูร์เนียวาติ ภรรยาชาวอินโดนีเซียของนายรังสิมันต์


,


นอกจากนี้ ยังมีนายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ อั้ม เนโกะ อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง ซึ่งลี้ภัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส รวมถึงนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวต่างชาติ และชาวไทย หลายคนเป็นที่รู้จักกันดี เพราะหลายคนมีประวัติในเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันฯ ขู่อาฆาตผู้จงรักภักดี อีกด้วย

การประชุมมีการปิดโรงแรม ซึ่งต้องเป็นคนมีเงินจึงจะทำได้ มิหนำซ้ำ นายซิ่ว กับ นายปวิน มีการพบกันในงานที่จัดขึ้นที่ฝรั่งเศส




ในเรื่องนี้ นายซิ่ว ศิลปินกราฟิตี้ยังอธิบายต่อด้วยว่า

“ผมเป็นศิลปินธรรมดาคนนึงเลย ดูดปุ๊น พ่นสีไปเรื่อย จนวันนึงแสงมาส่องเพราะเสือกพ่นด่าจนลงข่าวการเมือง จึงได้มีโอกาสรู้จักกับคนกลุ่มหนึ่งที่คอยสนับสนุนเงินทุนสปอนเซอร์เวลาผมจัดงาน และก็ได้มีโอกาสพบกับกลุ่มคนเหล่านี้ที่ฝรั่งเศส ซึ่งก็ชัดเจนว่าอยากให้ผมไปช่วยผลักดันเรื่องระบอบในประเทศที่มีอะไรหลายอย่างไม่เป็นธรรมทั้งกับคนในประเทศและกลุ่มคนที่นั่นเองด้วยผ่านงานศิลปะที่แสงกำลังส่อง ซึ่งผมก็ยินดีนะครับ และก็ช่วยเหลือเสมอมาเพราะคิดเห็นว่ามาตรา 112 ไม่ควรมาเป็นเครื่องมือการเมือง ...”


จากนั้นเขากล่าวต่อว่า
“... การเร่งรีบจะแก้ 112 จนไม่สนอะไรอีกต่อไป แม้จะต้องเลือกเกมขย่มเพื่อนร่วมทางที่สู้กันมา มันดูไม่มีเหตุผลอะไร นอกจากจะรีบชดใช้ใครครับ การที่ผมปิดชื่อคนที่ไม่เกี่ยวไว้ผมถือว่าให้เกียรติมากแล้ว อย่าเหยียบย่ำกันนักเลย การที่ผมเคยได้เงินสนับสนุนมา ไม่ได้แปลว่าผมต้องเชื่อฟังไปทั้งชีวิตที่เหลือนะครับ ขอโทษจริง ๆ ที่ผมก็มีอุดมการณ์เหมือนกัน ไม่ใช่หุ่นที่จะใช้ทำอะไรก็ได้ ผมไม่คิดว่าประเทศต้องเร่งรีบอะไรเรื่อง 112 จนรอไม่ได้ขนาดนั้นครับ”

ประเด็น : ประโยคหลายประโยค ในโพสต์หลายโพสต์ ของนายซิ่วนั้น “ซ่อนคำสำคัญ” ไว้หลายคำ ไม่ว่าจะเป็น
  • เงินสนับสนุนที่ปารีส
  • ใครเป็นจ่ายเงินดูแล อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่ปารีส?
  • นายรังสิมันต์ โรม ต้องผลักดัน ม.112 เพื่อรีบชดใช้ใคร?
ณ จุดนี้เองจึงเป็นที่มาของแฮชแท็กที่ติดเทรนด์มาตลอดสัปดาห์ที่แล้วเรื่อง #ตั๋วปารีส ซึ่งล้อกับคำว่า #ตั๋วช้าง ที่นายรังสิมันต์ โรม ชอบใช้มาตลอดเวลาอธิบายเรื่องปัญหาในแวดวงตำรวจ และพยายามกระทบชิ่งไปยังผู้ใกล้ชิดสถาบันเบื้องสูง


สำหรับ นายรังสิมันต์ โรม พอพูดเรื่อง#ตั๋วช้างนั้นสามารถพูด อภิปราย แฉ ได้เป็นฉาก ๆ ซึ่งหลายประเด็นตนก็เห็นด้วย และเคยสนับสนุนคุณรังสิมันต์เกี่ยวกับเรื่องการปฏิรูปตำรวจไปหลายครั้ง

แต่พอมาถึง #ตั๋วปารีส ที่เชื่อมโยง เกี่ยวพัน และพัวพันกับตัวเอง และพรรคก้าวไกลนั้น นายรังสิมันต์ โรม กลับนิ่งเงียบ กว่าที่จะออกมาชี้แจงก็ใช้เวลาถึง 2 วันเต็ม ๆ โดยแม้จะออกมาชี้แจงในวันที่ 25 กรกฎาคม 2566 เรื่องก็ยังไม่เคลียร์ เพราะประเด็นสำคัญคือ ในเวลาต่อมามีการเปิดเผยกันไปต่อแล้วว่า“ไอ้โม่ง” ผู้สนับสนุนที่ปารีส, ผู้ที่จ่ายเงินช่วยเหลือนายสมศักดิ์ เจียมฯ นายจรัญ ดิษฐาภิชัย และ อีกหลายๆ คน ในการใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสและผู้ที่นายรังสิมันต์ โรม ต้องชดใช้นั้นคือใคร???

เปิดตัว “เสี่ยนิค นพพร” วินด์ เอนเนอร์ยี่ ไอ้โม่งนายทุนเจ้าของ #ตั๋วปารีส?


สาม วันที่ 26 กรกฎาคม 2566 วันเดียวถัดมาหลังจากนายรังสิมันต์ โรม ออกมาชี้แจงแบบข้าง ๆ คู ๆ “ซิ่ว ศิลปินกราฟิตี้” จึงได้เปิดเผยแชตไลน์กับ บุคคลที่ใช้ชื่อว่า K.nick Paris ซึ่งเชื่อว่าเป็น “ไอ้โม่ง” ผู้อยู่เบื้องหลังการให้ทุนสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ของกลุ่มล้มเจ้า ผู้ออกมาเคลื่อนไหวให้มีการแก้ไข และยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 เสีย แต่ที่น่าสนใจคือ ในข้อความแชตที่มีการเปิดเผยนั้นมีบุคคลที่เกี่ยวข้อง และสามารถเชื่อมโยงไปถึงบุคคลซึ่งเป็นแกนนำของพรรคอนาคตใหม่ คณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกลอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ คือ
1.K.nick Paris
2.นายซิ่ว ศิลปินกราฟิตี้
3.นายรังสิมันต์ โรม
4.นายปิยบุตร แสงกนกกุล
5.นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ


แชตระหว่าง K.nick Paris กับ นายซิ่ว ศิลปินกราฟิตี้ นายนิคบอกออกมาชัดเจนว่าให้ปั่นกระแส และวันที่ 16 เมษายน 2562 (หลังการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ซึ่งนายธนาธร และนายปิยบุตรได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็น ส.ส.) นายปิยบุตร และ นายธนาธร ต่างแชร์โพสต์ภาพศิลปะ สนับสนุนแคมเปญ #Savepiyabutr ของ นายซิ่ว ศิลปินกราฟิตี้


นอกจากนี้ ถัดมาอีกวันนึง ในวันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม 2566 “นายซิ่ว ศิลปินกราฟิตี้” ยังเปิดเผยถึงข้อความสนทนาระหว่าง ตนเอง กับ K.nick Paris หรือนายนพพร ที่ชัดเจนว่ามีการเชื่อมโยงไปถึงขบวนการด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยผ่านนักวิชาการ เช่น นายปวิน, นายสมศักดิ์ เจียมฯ รวมไปถึงการรวบรวมเอาเครือข่ายสื่อมวลชนต่าง ๆ เพื่อรายงานข่าว และส่งปาปารัสซีไล่ตามความเคลื่อนไหวของสถาบันฯ ในต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนชาวไทย โดยตัวอย่างที่ระบุไว้ชัดก็คือ หนังสือพิมพ์ Bild ของเยอรมนี


จากแชตสนทนาดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนว่า K.nick Paris นั้นเป็นนายทุนสำคัญคนหนึ่งในการสนับสนุนให้เกิดกิจกรรม รวมถึงให้เงินสนับสนุนกลุ่มที่ทำการเคลื่อนไหวดิสเครดิตรัฐบาลทหาร-สถาบันพระมหากษัตริย์, ให้เงินและเชื่อมโยงนักวิชาการไทย และต่างประเทศ เพื่อจัดให้มีการสัมมนา วิพากษ์วิจารณ์ ใส่ร้ายป้ายสีสถาบันหลักของประเทศไทย รวมถึง การวางแผนเชื่อมโยง และจ้างวานเครือข่ายสื่อต่าง ๆ เพื่อดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อสร้างแรงกดดันทั้งเกี่ยวกับการยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งนายนิกถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 อยู่ เพื่อที่นายนิคจะกลับมาอย่างเท่ๆ และเอาเงินที่อยู่ในบริษัท วินเอนเนอร์นี่ โฮลดิ้ง โดยผ่านคนซึ่งฝากหุ้นเอาไว้ ทั้งหมดนี้เพื่อทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ให้มีภาพที่เลวร้ายที่สุดในสายตาต่างชาติ

“นิค นพพร” เป็นใคร?

ถามต่อว่า "นิค" นพพร ศุภพิพัฒน์ นี้เป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงมาให้ทุนกลุ่มล้มเจ้า ล้ม ม.112 และสนับสนุนแกนนำพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล ?


คำตอบก็คือนายนิค นพพร ผู้นี้นั้นปัจจุบันอายุ 52 ปี (เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2514)ในอดีต เมื่อสิบกว่าปีก่อนในปี 2552 ก่อตั้งบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) ขึ้นโดยถือเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านพลังงานลมรายแรกและเป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเวลานั้นครองสัดส่วนมากกว่า 42% ของโควต้าการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมในประเทศ ตอนนั้นอายุเพียง 43 ปี นายนพพร ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักธุรกิจแถวหน้าในวงการธุรกิจพลังงานภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี จนติดอันดับ 31 มหาเศรษฐีของประเทศไทยในนิตยสารฟอร์บส เมื่อปี 2557 โดยนายนพพรถือเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ที่อายุน้อยที่สุดของปีนั้น

อย่างไรก็ตามในเดือนธันวาคม 2557 อนาคตของมหาเศรษฐีหนุ่มอย่าง “นิค นพพร” กลับต้องพังครืน เมื่อนายนพพร ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จ้างวาน 3 พี่น้องตระกูล อัครพงศ์ปรีชา ซึ่งเป็นอดีตนายทหารและข้าราชการในวัง ขู่บังคับ นายบัณฑิต โชติวิทยะกุล อดีตหุ้นส่วนธุรกิจ ให้ลดหนี้ให้จาก 120 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท โดยแอบอ้างเบื้องสูง และเป็นสาเหตุให้ มหาเศรษฐีหนุ่มอย่าง “นิค นพพร”ต้องคดีกฎหมายอาญามาตรา 112 และรีบหลบหนีไปยังต่างประเทศ


ทั้งนี้ การกล่าวหานิค นพพรเกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลจากกรณี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติกับบุคคลใกล้ชิดเบื้องสูง ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ฐานแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ รวมไปถึงกฎหมายฟอกเงิน โดยที่มี3 พี่น้องตระกูล อัครพงศ์ปรีชา ซึ่งอยู่ในเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ที่ปัจจุบันถูกถอดยศแล้วเกี่ยวข้องด้วย

จากกราฟิกคดีความข้างต้นที่ทีมข่าวผู้จัดการสุดสัปดาห์เจาะลึกไว้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2557 หรือ 9 ปีที่แล้ว จะเห็นได้ชัดว่า เสี่ยนิค นพพร นั้นไปจ้างวานพี่น้องตระกูลอัครพงศ์ปรีชาแอบอ้างเบื้องสูงเพื่ออุ้มข่มขู่ลูกหนี้ และเป็นที่มาของคดี 112

พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
ทุกวันนี้แกนนำพรรคก้าวไกลคนหนึ่ง ที่มีความใกล้ชิดกับ พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบก.ป.ต้องคดีหมิ่นเบื้องสูง ก็คือ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาท รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมเล่าให้ฟังไปแล้วในรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ Ep.200 เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว “ตอน 18 มงกุฎใน 18 มงกุฎ “ผู้กองทิพย์” บอดี้การ์ดนายกฯ ทิพย์”


นายนิค นพพร ถูกศาลทหารออกหมายจับ และถูกตั้งข้อกล่าวหาในคดีอาญาฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รวมถึงข้อหา “ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือเสรีภาพ โดยมีอาวุธ โดยร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำ หรือบุคคลอื่น และร่วมกันลักทรัพย์”

จากการรายงานข่าวของ บีบีซี ไทย ซึ่งนักข่าวมีสายสัมพันธ์ และความสนิทสนมกับนายนิค นพพร ระบุในการให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยเมื่อเดือนธันวาคม 2557 ว่า เขาตกเป็นเหยื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี และคดีมาตรา 112 เป็นเหตุผลสำคัญให้เขาตัดสินลี้ภัยทางการเมือง เพราะคดีนี้ไม่สามารถประกันตัวได้ ซึ่งเขาเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต โดยระบุว่า “พอไม่ให้ประกัน (ตัว) เนี่ย ผมก็คิดว่าเขาคงฆ่าผมในคุกเพื่อปิดปากแน่ ๆ”

ด้วยเหตุนี้ นายนพพรจึงตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศฝรั่งเศสเพื่อขอลี้ภัยทางการเมือง

สี่ ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่ต้องใช้เวลาสืบค้นมากมายมหาศาล เนื่องจากเอกสารนั้นมีจำนวนหลายพันหน้า ทำให้มีที่รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิรายการเดียวเท่านั้นที่หาได้


เอกสารนี้เป็น เอกสารคำซักค้านของนายนิค นพพร ศุภพิพัฒน์ ต่อศาลอังกฤษ คดีที่ นายนพพร และบริษัท 3 แห่ง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 5.7 หมื่นล้านบาท) จาก นายณพ ณรงค์เดช, ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ผู้บริหาร SCB และผู้บริหาร และกรรมการของ WEH รวม 17 ราย ซึ่งเพิ่งมีคำตัดสินเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาให้นายนพพรชนะคดี ให้ได้รับเงินชดเชยคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3 หมื่นล้านบาท

นายณพ ณรงค์เดช - นายนพพร ศุภพิพัฒน์
ทำไมคดีนี้จึงไปอยู่ในมือศาลอังกฤษได้?

คำตอบก็คือ เมื่อนายนิค นพพร หนีคดีไปอยู่ฝรั่งเศสก็ได้ฟ้องร้องผู้บริหาร บ.วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง รวมไปถึง ธนาคารไทยพาณิชย์ และผู้บริหารศาล โดยอ้างอิงว่า ศาลอังกฤษสามารถพิจารณาคดีที่โจทก์เป็นคนไทย และมีจำเลยเป็นชาวไทยและอังกฤษได้ เนื่องจากจำเลยที่ 2 คือนางเอมม่า ลูอิส คอลลินส์ (Emma Louise Collins) อดีตซีอีโอของ WEH มีสัญชาติอังกฤษ ซึ่งกฎหมายของอังกฤษอนุญาตให้ศาลอังกฤษมีอำนาจพิจารณาคดีที่เกิดนอกประเทศได้ และจำเลยอื่น ๆ ในคดีนี้ที่ไม่มีสัญชาติอังกฤษก็ไม่ปฏิเสธขอบเขตอำนาจของศาลอังกฤษ

แต่ศาลอังกฤษจะมีคำตัดสินอย่างไรก็แล้ว แต่เรื่องการบังคับคดีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นในเมืองไทย

นางเอมม่า ลูอิส คอลลินส์ (Emma Louise Collins) อดีตซีอีโอของ WEH
เอกสารนี้คือคำซักค้านของนายนพพร กับศาลอังกฤษเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2565 หรือเมื่อประมาณ 9 เดือนที่แล้ว ระบุข้อความชัดเจนเกี่ยวกับการหลบหนีออกนอกประเทศไทย ไปยังฝรั่งเศสว่า ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเขาในการหลบหนีก็คือนายแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชลล์ อดีตผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ชาวสกอตแลนด์ ซึ่งมีภรรยาเป็นคนไทย และหลบหนีคดี ม.112 ออกจากประเทศไทย

จนถึงทุกวันนี้นายแอนดรูว์ ก็ยังมีบทบาทเคลื่อนไหวในการใส่ร้ายป้ายสีสถาบันฯ และปั่นป่วนประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

นิค นพพร และ นายแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชลล์
เรามาดูคำให้การต่อศาลอังกฤษ แสดงความสัมพันธ์ระหว่างนายนิค นพพร กับ นายแอนดรูว์ กัน

ลองดูข้อความใน “กรอบสี่เหลี่ยมสีแดง” เป็นคำพูดถาม-ตอบในศาลระหว่าง ผู้พิพากษษ ทนาย กับนายนิค นพพร

ถาม – คุณศุภพิพัฒน์ (ตอบ) จากคำเตือนภัย (tip-off) ที่คุณได้เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน (2557) คุณได้หนีออกจากประเทศไทย คุณมาร์แชลล์ คือบุคคลที่คุณติดต่อด้วยผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อคุณได้รับคำเตือนใช่หรือไม่? คุณติดต่อคุณมาร์แชลล์
นพพรตอบ - ใช่ครับ

ถาม - และเขาแนะนำให้คุณหนี และช่วยติดต่อประสานงานให้คุณข้ามแดน?
นพพรตอบ - ใช่ครับ


หน้าต่อมา

ถาม - จากนั้นคุณกับคนรักของคุณ ผมคิดว่า อาศัยอยู่กับคุณมาร์แชลล์ และภรรยาของคุณมาร์แชลล์ ที่ประเทศกัมพูชา ก่อนจะเดินทางต่อไปยังประเทศฝรั่งเศส ใช่ไหม
นพพรตอบ - ใช่ครับ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง

ถาม - จากนั้นผมคิดว่าคุณได้เดินทางต่อไปยังฝรั่งเศส ในอีกสองวันต่อมา และคุณก็ได้ติดต่อกับคุณมาร์แชลล์เป็นประจำหลังจากนั้น?
นพพรตอบ - ถูกต้องครับ ก็เพราะว่า ... เพราะว่าเขาช่วยผมในกัมพูชา

ถาม - ใช่ และเขาก็ยังช่วยเหลือในการยื่นคำขอลี้ภัย และหลักฐานต่างๆ เพื่อสนับสนุนการขอลี้ภัยด้วยใช่ไหม?
นพพรตอบ - ใช่ครับ

ถาม - นอกจากนี้เขายังเขียนถึงเรื่องของคุณบนเฟซบุ๊กเพจของเขาด้วยใช่ไหม
นพพรตอบ - ใช่ครับ


นอกจากนี้ในเอกสารคำซักค้านวันต่อ ๆ มาของนายนิค นพพร ยังระบุถึงความสัมพันธ์ และการดำเนินการต่าง ๆ ระหว่าง นายนิค นพพร กับ นายแอนดรูว์ เกี่ยวกับ แผนปฏิบัติการสื่อ (Media Campaign Strategy) เพื่อทำสงครามข่าวสารในการแย่งชิงบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) ซึ่งมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท กลับมาเป็นของนายนพพร และเพื่อที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้ได้อีกด้วยด้วย

เอกสารต่อไปนี้คือ เอกสารที่ศาลอังกฤษกู้มาจากอีเมล์ที่ติดต่อสื่อสารระหว่าง นายนิค นพรร กับ นายแอนดรูว์ มาร์แชลล์ เรื่องแผนปฏิบัติการด้านสื่อ รวมถึงนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ ด้วย




ในวงแดงจะเห็นว่า มีชื่อของ นักข่าวอาวุโสในสื่อต่าง ๆ ทั้งใน และต่างประเทศ ซึ่งพูดไปก็คุ้นชื่อทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น นายนพพร วงศ์อนันต์ อดีต บก.บางกอกโพสต์, ฟอร์บส์ และ BBC Thai นายประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวของ นสพ.ข่าวสด เป็นต้น

นายปวิน กับ นายแอนดรูว์

นายนพพร วงศ์อนันต์
ประเด็น : จากข้อมูลทั้งหมดนี้เรื่องของ นายนิค นพพร นายทุน#ตั๋วปารีสผู้ต้องหากระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 112ซึ่งเคียดแค้นอย่างมาต่อสถาบันฯ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นผู้แอบอ้าง และทำผิดกฎหมายจริง

ตลอดเวลาที่นายนิค นพพรหลบหนีออกจากประเทศไทย ไปอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส เขาได้เก็บความคับแค้นส่วนตัวที่มีต่อสถาบันไว้อย่างเงียบ ๆ แต่ก็มีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งเมื่อบริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) ที่เขาก่อตั้งเริ่มผลิตไฟฟ้า สร้างผลกำไร และมีรายได้อย่างมั่นคง นายนิค นพพร จึงแสดงตัวพบปะแกนนำ ติดต่อสื่อสารกับขบวนการล้มเจ้า โดยเสนอ โดยหยิบยื่นผลประโยชน์ต่าง ๆ ให้กับแกนนำทั้งที่เดินทางไปพบที่ประเทศฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์ หรือ ที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ โดยใช้เป็นเครื่องมือต่อรองในการยึดคืนบริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ และเป็นทุนในการทำให้ตัวเองรอดพ้นจาก กฎหมายอาญา ม.112 นั่นเอง


จากนายนิค นพพร เชื่อมโยงมายังเครือข่ายใหญ่ของขบวนการล้มสถาบันนั้นถูกเชื่อมโยง มายัง
  • นายแอนดรูว์ แมคเกรเกอร์
  • นายปวิน ชัชวาลย์พงศ์พันธ์
  • นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
  • เครือข่ายนักวิชาการ และกลุ่มเคลื่อนไหวล้มสถาบันฯ
  • แกนนำพรรคก้าวไกล แกนนำคณะก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นนายปิยบุตร, นายธนาธร (ซึ่งมีชื่อเคยเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ใน WEH 263,200 หุ้นด้วย)



นายรังสิมันต์ โรม ซึ่งไม่รู้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องมากน้อยอย่างไรกับนายทุน #ตั๋วปารีส อย่างนายนิค นพพร เพราะมีคนตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาจากที่นายรังสิมันต์ เคยมีทรัพย์สินน้อยนิด แถมยังติดหนี้ กยศ. อีกหลายหมื่นบาท ถึงวันนี้จากการเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สิน-หนี้สินต่อ ป.ป.ช. ล่าสุดนายรังสิมันต์ ไม่เพียงชำระหนี้ได้หมดแล้ว นายรังสิมันต์กับภรรยาชาวอินโดฯ ยังร่ำรวยมีทรัพย์สินมากกว่า 13 ล้านบาท


“หลายปีที่ผ่านมาผมเป็นคนแรก ๆ ที่ชี้ให้เห็นถึง “ขบวนการล้มเจ้า” บ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ หนึ่งในสถาบันที่คอยค้ำจุนชาติไทยอยู่ สมัยที่ผมพูดเรื่องนี้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็บอกว่า ผมเพ้อเจ้อ, บ้างก็บอกว่าผมปั้นน้ำเป็นตัวบ้าง, บ้างก็บอกว่าผมหยิบเรื่องสถาบันมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ฯลฯ

“ที่น่าเสียใจก็คือ คนที่พูดคำพูดเหล่านี้ หลายคน ทำงาน เกาะเกี่ยว รับใช้ และใกล้ชิดสถาบัน หรือ อาจเรียกได้ว่า เหมือน“นก”ที่ได้พัก ได้อาศัยอยู่อย่างสงบร่มเย็นอยู่ภายในต้นไม้ใหญ่ กัดกินผลจากต้นไม้ ใช้กิ่งก้านใบของร่มไม้แต่สร้างที่อยู่อาศัย แต่พอมีคนมาตัดต้นไม้ มีคนป่าวร้องชี้ให้เห็นถึงการกระทำอันชั่วร้าย“นก”พวกนี้แทนที่จะเข้าข้างผู้ที่พยายามชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น กลับไปเข้าพวกกับพวกที่จะมาตัดต้นไม้เสียเอง"

นายสนธิกล่าวต่อว่า เอกสารที่ตนมีอยู่ในมือ ยังปรากฎชื่อ และหลักฐานการติดต่อสื่อสารของบุคคลระดับผู้ใหญ่อีกคนหนึ่ง ซึ่งมีความใกล้ชิดกับสถาบันฯ อย่างมากๆ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวง ได้เคยติดต่อกับนายนิค นพพร ที่หลบหนีคดี ม.112 อยู่ที่ฝรั่งเศส ทั้งยังเดินทางพาคนไปพบกับนายนิค นพพร ถึงฝรั่งเศส โดยหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนเป็นส่วนแบ่ง 2-3% จากดีล ในการเคลียร์ปัญหา WEH ซึ่งหากเปิดเผยหลักฐานชิ้นนี้รับรองว่าจะสั่นสะเทือนกันทั้งวงการ

“สรุปง่ายๆ แล้ว ขบวนการล้มเจ้านั้นมีการได้เงินได้ทองมา คนที่หนีคดี 112 แล้วไปอยู่ต่างประเทศ ล้วนแล้วแต่ได้รับการสนับสนุนจากนายนพพร ส่วนคนที่อยู่ในประเทศนั้นถ้าทำงานเข้าตาก็สามารถที่จะบินไปเพื่อเบิกเงินค่าใช้จ่าย เมื่อได้เงินกลับมาแล้วก็ต้องทำให้มันคุ้มค่าเงินที่ได้มา ทั้งหมดนี้ นายนพพรใช้เพื่อล้มล้างมาตรา 112 หรือถ้าล้มล้างสถาบันกษัตริย์ด้วยยิ่งดีใหญ่สำหรับนายนพพรแล้ว” นายสนธิกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น