xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : 10 สิงหาฯ "ทักษิณ" กลับบ้านและหมากเกมการเมืองไทย - ก้าวไกลกลยุทธ์ถอย ม.112 ร่วมเพื่อล้ม? - "ผู้กองทิพย์" บอดี้การ์ดของ "นายกทิพย์" - ปลดฟ้าผ่า "ฉินกัง"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 28 ก.ค.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่
- ดีเดย์ 10 สิงหาฯ "ทักษิณ" กลับบ้าน และหมากเกมการเมืองไทย
- ก้าวไกลกลยุทธ์ถอย ม.112 "ร่วมเพื่อล้ม"
- 18 มงกุฎใน 18 มงกุฏ "ผู้กองทิพย์" บอดี้การ์ดของนายกทิพย์
- ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และความจริงเรื่องปุ๋ยอินทรีย์ทีพีไอ
- เบื้องหลังปลดฟ้าผ่า "ฉิน กัง"
- โดนสหรัฐฯ กวาดล้าง นักวิจัยอเมริกันเชื้อสายจีนแห่หนีกลับแผ่นดินแม่?
- นัย "สี จิ้นผิง" พบ "คิสซินเจอร์"

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.199



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 200 [28 ก.ค. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK

แอปพลิเคชัน : SONDHI APP

ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.

ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android

เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ

YouTube : Sondhitalk

เว็บไซต์: www.sondhitalk.com

Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 สวัสดีครับท่านผู้ชมที่กำลังดูรายการถ่ายทอดผ่านหลายช่อง ทั้ง Facebook, YouTube, TikTok และ Sondhi App

วันนี้เป็นวันมหามงคล คือวันที่ 28 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ขอจงทรงพระเจริญ

วันนี้เรามีเรื่องหลายเรื่องที่เราจะพูดกัน ที่สำคัญก็คือ หนึ่ง เรื่องเกมการเมือง ซึ่งตอนนี้เป็นเรื่องที่ฮอตมาก ทุกคนอยากจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แล้วก็ ผมกำลังอธิบายให้ฟังว่าตอนนี้พรรคก้าวไกลเกาะติดพรรคเพื่อไทย ไม่ยอมทิ้ง ถึงแม้ว่าจะเป็นการขอเข้าร่วมโดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นแกนนำ แม้กระทั่งมีข่าวว่ามีการถอยเรื่องมาตรา 112 เพื่อจะได้เข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งสำหรับผมจะวิเคราะห์อย่างไร ว่าเป็นการร่วมด้วยความจริงใจ หรือร่วมเพื่อต้องการจะล้มรัฐบาลชุดนี้ต่อไป เดี๋ยวฟังการวิเคราะห์ของผมก็แล้วกันครับ และอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจะพูดในเรื่องนี้ก็คือเรื่องของวันที่ 10 สิงหาคม ที่คุณทักษิณ ประกาศชัดเจนแล้ว รวมทั้งคุณอุ๊งอิ๊ง ก็บอกแล้วว่า คุณทักษิณ จะกลับมาวันที่ 10 สิงหาคม นั้น นัยมีอะไรบ้าง ผมจะอธิบายให้ฟัง

เรื่องที่สอง ผมจะพูดถึงเรื่อง 18 มงกุฎ ใน 18 มงกุฎ เรามีนายกฯ ทิพย์แล้ว ก็คือ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ตอนนี้เรามีผู้กองทิพย์อีกคนหนึ่งซึ่งเป็น THE BODYGUARD ของนายกฯ ทิพย์ ผู้กองทิพย์คนนี้เป็นอย่างไร ท่านผู้ชมลองฟังข้อมูลที่ผมจะพูดดู แล้วท่านผู้ชมจะรู้สึกสังเวชว่าประเทศไทยมันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร

เรื่องที่สาม คือการปลดฟ้าผ่าอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน นายฉิน กัง ซึ่งเป็นข่าวฮือฮากันมากทั่วโลก ผมก็จะพูดให้ฟัง รายละเอียดอาจจะมีไม่เยอะ แต่ว่ามันมีสิ่งแวดล้อมบางอย่างที่พอจะชี้ให้เห็นได้ว่าทำไม ฉิน กัง ถึงถูกปลด

อีกเรื่องหนึ่งคือ วันนี้ผมจะพูดถึงคุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ แห่งบริษัท ทีพีไอ โพลีน คุณประชัย เป็นคนอย่างไร แล้วได้ทำอะไรบ้าง แล้วได้มีส่วนในการที่จะสร้างรากฐานกิจการปิโตรเคมิคัลขึ้นมาเป็นคนแรกในประเทศไทย และทุกวันนี้ ปตท. เจริญรุ่งเรืองได้เพราะว่าฝีมือคุณประชัย ล้วนๆ นอกจากนั้นแล้ว คุณประชัย ยังได้ทำอะไรบางอย่างที่ชาวเกษตรกรรม ชาวสวน ชาวไร่ ชาวนา จะต้องดีใจและภูมิใจมากที่มีของประเภทนี้เกิดขึ้น

เรื่องที่สี่ คือ ท่านผู้ชมสังเกตไหมว่ามีนักวิจัยอเมริกันเชื้อสายจีนแห่หนีกลับประเทศตัวเองอย่างมากมายมหาศาล หวนคืนสู่รากเหง้า ผมจะเอาเรื่องนี้มาเปิดเผย ซึ่งยังไม่เคยมีสื่อมวลชนที่ไหนในประเทศไทย หรือแม้แต่ในต่างประเทศ ได้สัมผัสเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟัง

เรื่องที่ห้า คือ ผมจะย้อนเวลาหาอดีต นัยของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พบกับ เฮนรี คิสซินเจอร์ ลึกๆ แล้วเบื้องหน้าเบื้องหลังคืออย่างไร เป็นอะไร ผมจะเล่าให้ฟัง


ท่านผู้ชมครับ ขออนุญาตก่อนจะเข้ารายการ ผมมีความจำเป็นจะต้องอธิบายเรื่องราวปรากฏการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นอาทิตย์ที่แล้ว วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม ที่ศาลหลักเมือง เป็นประจำทุกปีที่ผม ในช่วงเวลานี้ จนถึงเดือนตุลาคม จะเริ่มดำเนินการในการทำบุญทอดกฐินประจำทุกๆ ปี โดยส่วนใหญ่แล้วผมก็จะขอรับบริจาคจากคนต่างๆ รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ และบริษัทห้างร้านต่างๆ แต่ปีนี้ผมตัดสินใจที่จะทำพระขึ้นมาเพื่อให้สิริมงคลกับคนที่จะร่วมทำบุญด้วยการสั่งจองพระ แล้วจะเอาเงินจากการสั่งจองนี้มาทำพระโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ต้นทุน ข้าวของ วัตถุมงคลต่างๆ ที่เอามาร่วมทำบุญนี้ ผมออกให้หมด

25 กรกฎาคม 2566 เวลา 06.09 น. ผม อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และทีมงาน ได้ไปทำพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อหลักเมืองและเทพเทพารักษ์ทั้งหลาย 5 องค์ ขอพลานุภาพของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองและเทพารักษ์ทั้งหลาย ทั้งหมดนี้ พวกผมต้องการจะจัดทำ "พระสยามพุทธาธิราช" ให้ได้สำเร็จ

อะไรคือ "พระสยามพุทธาธิราช" ? เป็นพระที่ผมและทีมงานจะจัดทำขึ้น เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ ปรากฏเรื่องราวอยู่ในชมพูบดีสูตร อันเป็นพระสุตตสังคหะบาลีนอกพระไตรปิฎก ก็คือว่า ไม่มีบรรจุในพระไตรปิฎก แต่มีการเขียนถึงแยกต่างหากออกมา เป็นความเชื่อของฝ่ายเถรวาทในย่านอุษาคเนย์ ซึ่งมีพม่า มอญ ไทย เขมร และ ลาว คือพูดง่ายๆ ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนิมิต ตัวพระองค์เองเป็นพระมหาจักรพรรดิปราบพญาชมพูบดีที่มารุกรานมคธประเทศ ซึ่งเป็นเมืองพระพุทธศาสนาของพระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นกษัตริย์

เมื่อพระพุทธเจ้าได้ปราบพยศของพระเจ้าชมพูบดีสำเร็จแล้ว ต่อมาพระเจ้าชมพูบดีจึงยอมผนวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ พร้อมกษัตริย์ทั้ง 101 และเสนามาตย์ ก็ได้ส่งคนกลับไปเมืองปัญจานคร เพื่อแจ้งแก่มเหสีและโอรส ซึ่งต่อมาก็เดินทางมายังเวฬุวนารามของพระพุทธเจ้า ซึ่งก็ได้บวชเช่นกัน ทั้งหมดนี้บรรลุพระอรหันต์หมด


"พระสยามพุทธาธิราช" ที่จัดทำขึ้นนี้ มีส่วนที่เป็นเหรียญพระที่เป็นเนื้อผง และเหรียญที่เป็นโลหะ โดยจะมีพระสยามพุทธาธิราชประทับอยู่ด้านหน้า ด้านหลังเป็นรูปพระพักตร์ของท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ผู้ทรงปกป้องรักษาพระสยามพุทธาธิราชทั้งสี่ทิศ ได้แก่ องค์แรก คือ "ท้าวเวสสุวรรณ" ผู้รักษาโลกทางด้านทิศเหนือ หรือที่เรารู้จักกันดี คือ ท้าวเวสสุวรรณที่เราเคารพบูชากัน ที่เป็นยักษ์ถือกระบองอยู่ องค์ที่สอง คือ ท้าววิรุฬหก ผู้รักษาโลกด้านทิศใต้ องค์ที่สาม คือ ท้าววิรูปักษ์ ผู้รักษาโลกด้านทิศตะวันตก และองค์สุดท้าย คือ ท้าวธตรฐ ผู้รักษาโลกด้านทิศตะวันออก

ส่วนที่จัดทำเป็นพระพุทธรูปนั้น มีท้าวจตุโลกบาลเป็นฐานอยู่ด้านล่างทั้งสี่ทิศ โดยมีพระสยามพุทธาธิราชอยู่ด้านบนสุด ซึ่งอยู่ระหว่างการปั้นออกแบบพระสยามพุทธาธิราชให้มีความงดงามที่สุด และมวลสารที่ผมได้รวบรวมจากของอันวิเศษจากทุกสารทิศ ได้มาจากพ่อแม่ครูอาจารย์ทั่วดินแดนไทย ประกอบด้วย มวลสารมงคลจากวัดบวรนิเวศฯ มีผงพระมงคลศักดิ์สิทธิ์ ผงธูปในอุโบสถ ดอกไม้บูชาในพระอุโบสถของวัดบวรนิเวศฯ ผงว่าน 108 ชนิด ผงธูปบูชาจากปูชนียสถานต่างๆ ทั่วประเทศไทย และผงกากเพชร และที่สำคัญที่สุดจากวัดบวรนิเวศฯ คือ ผงอันศักดิ์สิทธิ์ของพระจิตรลดา ได้มอบให้มาร่วมสร้างพระรุ่นนี้ด้วย


ส่วนมวลสารมงคลจากพระอาจารย์เฉลิม ธัมมธโร วัดป่าภูแปกญาณสัมปันดน อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ก็มี 1) ชานหมาก และข้าวก้นบาตรหลวงตามหาบัว ของมงคลสำคัญ ของหายากจากพ่อแม่ครูอาจารย์ 2) ผงดอกโพธิ์ อายุร้อยกว่าปี ดอกที่ออกมาจากรากต้นโพธิ์ นานนับสิบปีจะออกดอกสักครั้งหนึ่ง 3) ผงอิฐดินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์พระพุทธเจ้า 4) ดินในวัดเชตวันวิหาร ใต้ต้นศรีมหาโพธิ อายุ 2,500 ปี สังเวชนียสถาน 4 ตำบล อันได้แก่ สถานที่ประสูติ (ลุมพินี) สถานที่ตรัสรู้ (พุทธคยา) สถานที่ปฐมเทศนา (สารนาถ) และปรินิพพาน (กุสินารา) ประเทศอินเดีย-เนปาล ซึ่งถือว่าเป็นมงคลหนึ่งในมงคลสูงสุดในชีวิต 5) อิฐดินวัดเชตวันมหาวิหาร เป็นวัดและที่มั่นสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสมัยพุทธกาล และเป็นวัดที่พระพุทธเจ้าประทับจำพรรษานานที่สุดถึง 18 พรรษา 6) ดินศักดิ์สิทธิ์แสดงยมกปาฏิหาริย์ 7) ดินโป่งศักดิ์สิทธิ์ 8) กาฝากไม้รัก 9) กาฝากไม้ตะค้ำ 10) กาฝากไม้มะยม 11) กาฝากไม้เพกา 12) ผงว่าน 108 ชนิด 13) ผงไม้จันทน์หอม 14) ผงไม้งิ้วดำ 15) ผงเปราะหอม 16) ผงเหล็กไหล 17) ผงดอกตะไคร้ 18) ผงว่านพระเก่าอายุกว่าห้าสิบปี ของหลวงปู่เขียน 19) ผงข้าวตอกพระร่วง ผงข้าวสารทิพย์ 20) ผงพระเก่าโครงการช่วยชาติ 21) เกสร 108 ชนิด 22) ไม้ที่กลายเป็นหิน และ 23) ผงไม้มงคล 9 ชนิด


นอกจากนี้แล้ว เรายังได้รับความเมตตาจากศาลหลักเมือง มอบผงธูปมงคล และเราได้รับมอบแผ่นทององค์พระหลวงพ่อโสธร ณ ศาลหลักเมือง ส่วนมวลสารส่วนตัวของผมนั้น ผมได้ขนวัตถุมงคลต่างๆ ที่สะสมมาตั้งแต่สมัยยุคคุณพ่อผม และผู้หลักผู้ใหญ่ที่ผมเคารพ ซึ่งท่านก็เสียชีวิตไปนาน ผมมีพระซุ้มกอ พระรอดลำพูน พระรอดคราบกรุดำ สมเด็จบางขุนพรหม เป็นพันๆ องค์ หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน พระผงสุพรรณพิมพ์ใหญ่ พระนางพญา รวมไปจนถึงเหรียญของหลวงพ่อเดิม มีดหมอหลวงพ่อเดิม มีแม้กระทั่งตะกรุดของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่สำคัญ เอามาร่วมสร้างพระรุ่นนี้

"พระสยามพุทธาธิราช" มีความหมายอันทรงพุทธานุภาพ เพื่อคุ้มครอง ปกป้อง พิทักษ์รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน โดยจะมีท้าวจตุโลกบาลคุ้มครองพระสยามพุทธาธิราชทั้งสี่ทิศ ทั่วดินแดนไทย กล่าวคือ คำว่า "สยาม" หมายถึงสถาบันชาติ "พุทธา" หมายถึงพุทธศาสนา หรือสถาบันศาสนา ซึ่งหมายถึงการคุ้มครองทุกศาสนาในสยามประเทศให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข "อธิราช" หมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้สามสถาบันหลัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดำรงคงมั่นโดยพิพัฒน์สถาพรตราบจิรัฐิติกาล เทอญ

ทั้งหมดนี้ ผมได้เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการจัดทำทั้งหมด เพื่อให้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาจากผู้ที่ต้องการจะมีส่วนร่วมในการเช่าบูชาวัตถุมงคลที่กล่าวไปแล้ว ที่จะจัดทำทั้งหมด ทั้งหมดนี้เพื่อนำไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และวัดวาอารามต่างๆ โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น


ท่านผู้ชมคัรบ ในการทำพิธีเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม มันมีเหตุอัศจรรย์ในวันบวงสรวง ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ที่ผมไปทำพิธีบวงสรวงกับอาจารย์ปานเทพ ผมได้นั่งหลับตาทำสมาธิ ตั้งมั่นด้วยจิตอธิษฐานที่มีพลังอย่างยิ่ง ผมได้แจ้งให้ทราบทางจิตว่าผมมาขออนุญาตในการสร้างพระจากเจ้าพ่อหลักเมืองและเทพารักษ์ทั้งหลาย หากแรงอธิษฐานจิตของผมสามารถที่จะไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก็ขอความเมตตาให้เจ้าพ่อหลักเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่อยู่บริเวณนั้นได้โปรดสร้างปาฏิหาริย์หรือส่งสัญญาณให้รู้ว่าท่านทั้งหลายได้ลงมารับทราบและร่วมอนุโมทนาในการบวงสรวงครั้งนี้ ก็เลยมีปรากฏเหตุการณ์ที่สมควรแก่การบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ในการสร้างพระรุ่นนี้ มีอยู่ 3 ข้อ


ข้อแรก ในตอนที่ผมนั่งตั้งอธิษฐานนั้น ท่านผู้ชมเชื่อไหมมีหมู่ผึ้งทั้งหลาย มาก มากจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ของศาลหลักเมืองบอกว่าเกิดมาไม่เคยเห็น มาเกาะอยู่ตามจานอาหารคาวหวานและเครื่องถวายสักการะ อย่างไม่เคยมีมาก่อน แน่นหนา ทั้งโต๊ะ


ประการที่สอง ขณะที่ผมตั้งจิตอธิษฐาน จนหลังเสร็จพิธีแล้ว ปรากฏภาพสายรุ้งบังเกิดขึ้น พาดผ่านท้องฟ้าที่สวยสดงดงามยิ่ง

ประการที่สาม ในระหว่างพิธีไม่มีฝนตกเลยแม้แต่หยดเดียว แต่เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ท่านผู้ชมเชื่อไหม เหมือนละอองน้ำ ฝนตกเหมือนมีการพรมน้ำมนต์จากฟากฟ้า แล้วก็หายไป ผมและพวกเราทุกคนเชื่อแล้วว่าเทวดาผู้รักษาบ้านเมืองรับรู้แล้ว






ท่านผู้ชมครับ เราทำเหรียญ "พระสยามพุทธาธิราช" 1 ชุด ซึ่งประกอบด้วย พระผง 1 องค์ ซึ่งพระผงนี้ก็อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า มีส่วนผสมของสมเด็จบางขุนพรหม และผมก็บริจาคสมเด็จวัดระฆังหลายร่นเข้าไปด้วย พระรอดลำพูนกรุมหาวัน พันกว่าปี พระผงสุพรรณ มีแม้กระทั่งพระของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ที่มีขี่ไก่ ขี่ครุฑ หลายองค์ มีหลวงปู่ทวดเนื้อว่าน และมีหลวงปู่ทวดหลังเตารีด

คนที่จะทำบุญและต้องการพระชุดนี้ ราคา 2,000 บาท จะได้รับพระสยามพุทธาธิราช 1 ชุด ประกอบกับ พระผง 1 องค์ เหรียญโลหะ 1 องค์ ท่านผู้ชมที่สนใจ โปรดพรีออร์เดอร์ที่ไลน์ (LINE) @tambun จำนวนจำกัด ใครสั่งจองก่อนได้ก่อน

ส่วนพระพุทธรูป ตอนนี้อยู่ระหว่างการปั้นโดยอาจารย์ ศิริ หนูแดง อาจารย์ประจำสาขาออกแบบนิเทศศิลป์ วิทยาลัยเพาะช่าง ผู้ชนะเลิศผลงานออกแบบตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 รายละเอียดของพระพุทธรูปจะแจ้งให้ทราบต่อไป


ท่านผู้ชมครับ พระชุดนี้เรายังมีชนวนโลหะที่ยังคงเหลืออยู่จากการที่เราทำเหรียญของ "หลวงพ่อฉิม" ที่ท่านผู้ชมได้สั่งจองไปแล้วเอาไปใช้ เป็นการทำพระที่ผมขนสมบัติทุกอย่างที่ผมมีอยู่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของผม ทั้งตระกูล เอามาร่วมทำบุญกับท่านผู้ชม เพื่อให้ท่านผู้ชมจะได้พระอันศักดิ์สิทธิ์ มีพุทธคุณและพุทธานุภาพ เพื่อคุ้มครองครอบจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นเมตตามหานิยม ป้องกันคุณไสย ลาภ ต่างๆ และความเป็นสิริมงคลในชีวิต เรียกว่างานนี้ผมทุ่มสุดตัวเลยครับ ผมเชื่อว่างานนี้จำนวนที่ทำไม่มากและไม่น้อย แต่ผมเชื่อว่าจะมีคนต้องการมาก เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าท่านผู้ชมต้องการได้จริงๆ จองเอาไว้ก่อน พรีออร์เดอร์ อย่าลืมเด็ดขาดนะครับ ถ้าอยากจะทำบุญ จองพระ เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์เมื่อได้มาแล้วก็จะเอาไปทำบุญกับพระพุทธศาสนา จองมาที่ไลน์ (LINE) @tambun จำนวนมีไม่มากและไม่น้อย ใครจองก่อน ได้ก่อน

"ทักษิณ" กลับบ้าน และหมากเกมการเมืองไทย

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ถ้าไม่พูดเรื่องการเมืองคงไม่ได้เด็ดขาด และถ้าไม่พูดเรื่องคุณทักษิณ จะกลับบ้านในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ ก็ยิ่งไม่พูดไม่ได้

26 กรกฎาคม คุณแพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ภาพคู่กับบิดา ระบุว่า

"26 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันสำคัญของลูกเสมอ แต่ปีนี้ลูกยังไม่อยากเชื่อตัวเอง ในสิ่งที่ลูกกำลังจะพิมพ์ พ่อจะกลับมาแล้ว วันที่ 10 สิงหาคมนี้ ที่สนามบินดอนเมือง


17 วันเกิดที่ต่างประเทศของพ่อ ลูกพลาดไปแค่ 2 ครั้ง ถ้รวมครั้งปีนี้คือครั้งที่ 3 เพราะต้องเตรียมหลายอย่างที่เมืองไทย ใจของลูกและทุกคนในครอบครัวเราหนักอึ้ง ทั้งดีใจ ทั้งเป็นห่วง แต่ก็เคารพการตัดสินใจของพ่อเสมอ ลูกขอให้บุญรักษานะคะ ให้พ่อของลูกแข็งแรงปลอดภัย ได้มาส่งหลานๆ ไปโรงเรียนบ่อยๆ เหมือนที่พ่อตั้งใจไว้ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายใจดีกับพ่อของลูกเหมือนที่พอใจดีกับทุกคนเสมอ รักพ่อที่สุดในโลก

สำหรับพี่น้องที่อ่านมาถึงตรงนี้ คุณพ่อเป็นคนไทยคนหนึ่ง เป็นนายกฯ ที่ถูกพูดถึงว่ามีผลงานมากที่สุด และประสบชะตากรรม ถูกกระทำแสนสาหัส การตัดสินใจกลับบ้านครั้งนี้ เป็นสิ่งที่คุณพ่อพูดอย่างจริงจังต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2565 แม้จะอยู่บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ และในฐานะคนไทยคนนึง แต่คำนึงถึงอย่างที่สุด ต่อความสบายใจ และกังวล ห่วงใย ของทุกคนค่ะ"

ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้ผมไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่าคุณทักษิณ จะกลับมาหลายครั้งแล้ว มีคนถามผมว่าผมรู้สึกอย่างไร ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมที่เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็รู้อยู่แล้วว่าที่เราสู้กับคุณทักษิณ ในอดีตนั้น เราสู้อยู่ 2 ประเด็น ประเด็นแรกคือการคอร์รัปชัน โดยที่คอร์รัปชันในเชิงนโยบายหลายๆ เรื่อง และคุณทักษิณ ได้ถูกพิพากษา ตัดสินจำคุกโดยศาลซึ่งปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วคุณทักษิณ ก็หนีคดีไป


อีกเรื่องหนึ่งที่พวกเราสู้ ก็คือเรื่องที่ทักษิณ ในยุคแรกๆ ของการตั้งพรรคไทยรักไทย ถูกแวดล้อมและมีพฤติกรรมที่น่าสงสัยว่าจะมีส่วนร่วมในเรื่องของการที่จะไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จนกระทั่งล่าสุดพรรคเพื่อไทย โดยที่จริงๆ แล้วอยู่ภายใต้การดูแลและปกครองของคุณทักษิณ ชินวัตร ก็มีนโยบายชัดเจนว่า จะจงรัภภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ไม่ต้องการที่จะเข้าไปแก้มาตรา 112 อย่างเด็ดขาด นี่ก็เป็นสิ่งที่ผมถือว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ถึงแม้จะมีคนถามว่า คุณสนธิ เชื่อได้หรืออย่างไร ผมคิดว่าในที่สุดแล้ว คุณทักษิณ อยู่ต่างประเทศถึง 17 ปี ร่อนเร่พเนจร ถึงจะมีเงินมากมายแค่ไหนก็ไม่มีความสุขเหมือนกับอยู่ใกล้ลูกใกล้หลาน

เรื่องที่สอง ท่านผู้ชมครับ คุณทักษิณ บอกแล้วว่าจะกลับมายอมติดคุก แสดงว่าคุณทักษิณ ยินดีที่จะกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและรับผิดในการที่ตัวเองถูกพิพากษาจำคุกไป

ท่านผู้ชมครับ วางใจเป็นกลาง ถ้าสองเรื่องนี้เกิดขึ้น คือคุณทักษิณ ยอมรับว่าจะกลับมาติดคุก แสดงว่ายอมรับแล้วว่ากระบวนการยุติธรรมไทยโอเค แล้วประกาศชัดเจนโดยผ่านพรรคเพื่อไทย และคุณทักษิณ ก็พูดชัดเจนว่ายังคงจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ผมไม่รู้ แต่เขายอมรับแล้ว ในทางสาธารณะต้องถือว่านี่คือหลักการที่ชัดเจน ผมถือว่าคุณทักษิณ ถ้ากลับมาติดคุกจริง ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ที่สำคัญ ยอมรับคำพิพากษาของศาลที่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธย ผมถือว่าโอเคแล้ว และเรื่องที่สองที่คุณทักษิณ แสดงเจตนารมณ์ จุดยืนที่ชัดเจนโดยผ่านพรรคเพื่อไทยว่ายังคงจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ และจะไม่มีทางแก้มาตรา 112


ท่านผู้ชมครับ ถ้าครบสองเรื่องนี้ ซึ่งเราสู้มาตลอด เราไม่มีประเด็นอะไรจะต้องไปทะเลาะกับสายคุณทักษิณ อีกต่อไป

ท่านผู้ชมครับ ช่วงหลังนี้การแชร์กันในไลน์และสื่อมวลชนบางคน โพสต์โน่นโพสต์นี่ น่ารำคาญมาก ร่ำลือว่าคุณทักษิณ ได้คุยกับคุณสนธิ (ผม) เคลียร์กับผมเรียบร้อยแล้วก่อนจะเดินทางกลับเมืองไทย ท่านผู้ชมครับ ผมขอยืนยัน ณ ที่นี้ ว่า ไม่เป็นความจริง ไม่เคยคุยกัน เท่าที่ผมทราบข้อมูลก็คือว่า "คุณสนธิ" ที่เขาพูดถึงนั้น ไม่ใช่ "สนธิ ลิ้มทองกุล" แต่เป็น "พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" ทำความเข้าใจกันหน่อยนะครับ โดยเฉพาะคนที่ปล่อยข่าว ปล่อยแบบซื่อบื้อ ไม่ระมัดระวังตัว แล้วคนที่ carry ข่าวนั้นต่อไปเรื่อยๆ จากคนหนึ่งไปคนที่สอง คนที่สาม คนที่สี่ ผมไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่ผมรำคาญ รำคาญ น่าเบื่อหน่าย เมื่อไรจะเลิกอมนิ้วมือตัวเองเสียที ทำเป็นเด็กเล็กไปได้


หมากกล "ก้าวไกล" ร่วมเพื่อล้ม?

ท่านผู้ชมครับ วันนี้เราก้าวเข้ามาเรื่องของเกมการเมืองล่ะ หลังจากคุยเรื่องคุณทักษิณ ไปเรียบร้อยแล้ว หลายวันมานี้มีคนมาคุยกับผม ส่งไลน์ inbox เข้ามาในเพจ บอกว่ารู้สึกเป็นห่วง เพราะเมื่อมองเกมของพรรคก้าวไกลแล้ว บอกเลยว่ามาเหนือชั้นมากๆ เพราะเป็นเกมที่พรรคอื่นๆ รวมทั้งองคาพยพของชนชั้นนำไทยแก้ได้ยาก หรือไม่มีทางแก้ได้ไม่ว่าจะเดินแบบไหนก็ตาม


ข้อที่หนึ่ง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เลือกที่จะถือหุ้นไว้ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าจะโดนร้อง และให้เด็กพรรคก้าวไกลไปทำทีขอคำปรึกษากับเรืองไกร เพื่อให้นักร้องทำงานในโค้งสุดท้าย ซึ่งทำให้กลายเป็นแนวร่วมมุมกลับ ทำให้คะแนนพรรคก้าวไกลพุ่งขึ้นในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ตอนนั้นโพลความมั่นคง พิธา มีคะแนนอยู่ที่ ส.ส. 130 คน (นี่จากการสัมภาษณ์คุณเรืองไกร นะครับ)

สอง บีบให้เพื่อไทยเล่นเกม "มีลุง ไม่มีเรา" ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ามันมีดีลกันอยู่กับลุงคนหนึ่งเมื่อสองปีที่แล้ว แต่เมื่อเพื่อไทยตกหลุมมาเล่นแล้ว ก็พลิกลิ้นชะตากรรมรอบต่อไป ก็คงไม่ต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ในรอบนี้ที่เหลือ ส.ส. แค่ 25 คน และในนี้มี ส.ส. บัญชีรายชื่อ แค่ 3 ที่นั่ง

สาม พรรคก้าวไกล ชิงบอกจุดยืนว่า ถ้าเพื่อไทยเป็นอันดับหนึ่ง และไม่มีลุง ก็จะยกมือให้โดยไม่ต้องร่วมรัฐบาลก็ได้ ทำให้เพื่อไทยแจ้งในดีเบตทุกเวทีว่าจุดยืนของพรรคคือ พรรคอันดับหนึ่งที่ต้องจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น


สี่ พอพลิกเกมชนะได้ พรรคก้าวไกล ไม่ชวนพรรคภูมิใจไทย เพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางแน่ๆ ก้าวไกลก็เดินเกมต่อไปตามที่ธนาธร เคยให้สัมภาษณ์เนชั่นไว้ว่า ในปี 2570 จะเป็นปีที่ก้าวไกลได้เกินครึ่งสภาฯ โดยหวังว่าจะเป็นแบบอองซาน ซูจี ของพม่า หรือว่า ฆวน เปรอน (Juan Peron) ของอาร์เจนตินา ที่ภรรยาได้มีการแต่งเพลง "Don't Cry for Me Argentina" อันโด่งดังทั่วโลกมา

ห้า ประการต่อมา พอจะร่วมจัดรัฐบาล 8 พรรคแล้ว คุณปิยบุตร แสงกนกกุล คุณช่อ-พรรณิการ์ คุณศิริกัญญา ตันสกุล บอกว่าแล้วว่าจะไม่ยกประธานสภาฯ ให้เพื่อไทยเด็ดขาด และนี่ล่ะคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้กฎหมายต่างๆ ที่เตรียมไว้สี่สิบกว่าฉบับ ไปให้ ส.ส. ก้าวไกล ไปกวาดคะแนนเพิ่มไว้รอบหน้า


หก ต่อมา ถ้าจะใช้กฎหมายซึ่งทางก้าวไกลบอกว่าเป็นนิติสงคราม เด็ดหัวพิธา ด้วยประเด็นถือหุ้นไอทีวี ก็จะยิ่งสร้างความไม่พอใจให้มวลชน และประชาชนที่เขาปูพื้นเอาไว้ ล่าสุดก็ปั่นกระแสว่า ศาลเดียวที่เคารพคือศาลพระภูมิ และก้าวไกลก็เตรียมเกมต่อเอาไว้แล้ว ก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ซึ่งจะลดทอนอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งองค์กรอิสระต่างๆ ลงอย่างมากมาย

เจ็ด ต่อให้ศาลจะสั่งพิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่ หรือยุบพรรคก้าวไกล หรือตัดสิทธิ์ ส.ส. ก้าวไกล ทั้งประเทศ 150 กว่าคน ตัดสิทธิ์นายพิธา และกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล อีกสิบปี การกระทำนี้จะเชิดชูให้พิธา และพรรคก้าวไกล รับบทพระเอกเต็มตัว ไปช่วยพรรคก้าวไกลหาเสียงทางการเมืองท้องถิ่นทั่วประเทศได้อีก ปูทางไปสู่ 300 เสียง ในรอบหน้า ถึงที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็จะเสื่อมจากคนไทย แบบผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ


แปด ส่วนของพรรคเพื่อไทย ที่โดนผูกมือผูกเท้าจากเกมก่อนหน้า จะหักหลังไปแย่งตั้งรัฐบาลเอง ชะตากรรมก็จะกลายเป็นแบบพรรคประชาธิปัตย์ ในทำนอง ถ้าไม่เอารวมไทยสร้างชาติ ไม่เอาพลังประชารัฐ คะแนนเสียงก็ไม่มีทางพอ

เก้า ข่าวที่ว่ากันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางมาจับมือกับพรรคเพื่อไทยแน่นอน เพราะถ้าประชาธิปัตย์จับมือ ภาคใต้จะไม่ได้อีกเลย และฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ที่หลงเหลืออยู่ จะกลายเป็นฐานเสียงใหม่ของพรรคก้าวไกลในอนาคต รอบนี้ปาร์ตี้ลิสต์ก้าวไกลได้ภาคใต้มาอันดับหนึ่ง เกือบจะทุกจังหวัด ซึ่งถ้าเลือกทางนี้ ต้นทุนที่เพื่อไทยใช้จะสูงมาก ทำให้เป็นไปตามที่ธนาธร ต้องการในการเลือกตั้งปี 2570


มีข่าวในเชิงลึกว่าคุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน เดินทางไปฮ่องกง ว่ากันว่าเดินทางไปหาคุณทักษิณ ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2566 แล้ว เที่ยวบินขาออก วันที่ 3 มิถุนายน 2566 ไฟลต์บินดอนเมือง-เซินเจิ้น CZ6036 DMK-SZKX ขาเข้า วันที่ 6 มิถุนายน 2566 ไฟลต์บิน VZ3733 MFM-BKK (มาเก๊า-กรุงเทพฯ)

ข้อที่สิบ ดังนั้น ถ้าเกมการเมืองเป็นเช่นนี้ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งอาจจะเร็วกว่าปี 2570 ก็จะเหลือเฉพาะพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคเล็กๆ ที่ได้อีกไม่เกินพรรคละ 5 เสียง

ข้อที่สิบสอง ดังนั้น เกมสุดท้ายที่จะเห็นคือการยื้อจาก ส.ว. ไปให้นานที่สุด แต่ยื้อได้นานที่สุดก็จะไปถึงกลางเดือนพฤษภาคม 2567 หรืออีกแค่ 10 เดือนเท่านั้น นอกจากนี้ เนื่องจากรัฐบาลรักษาการจะไม่สามารถผ่านงบประมาณได้ เดือนมีนาคม 2567 ก็จะไม่มีเงินจ่ายข้าราชการแล้ว ซึ่งฐานเสียงของพรรคอนุรักษ์นิยมก็จะหดลงไปอีก


สิบสาม ทางรอดของเกม คือล้มกระดานด้วยการรัฐประหารที่ไร้ความชอบธรรมและต้นทุนทางสังคมอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากกรอบนี้ กทม. และปริมณฑล สีส้มทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะแก้เกมแบบไหน ภายใน 4-5 ปีข้างหน้า ก้าวไกลจะได้ที่นั่ง 300-400 เสียง แถมด้วย อบจ. อบต. และนายกเทศมนตรี เกือบทั้งประเทศ พร้อมทั้งฉันทามติที่จะปฏิรูปแบบรื้อรากถอนโคน พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน

ผมได้เสนอข้อคิดให้ท่านผู้ชมดูแล้ว ผมจะขอวิเคราะห์อย่างนี้ครับ ถ้าเกมเป็นอย่างนั้น ดูเหมือนพรรคก้าวไกลจะได้เปรียบหมด ถ้าพรรคก้าวไกล ร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย เชื่อผมสิครับ ไม่เกิน 6 เดือน พรรคก้าวไกลจะล้มรัฐบาลชุดนี้ ข้ออ้างคือ ทำงานไม่ได้ เพราะเป็นพรรคร่วมฯ ขอให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน ขอแลนด์สไลด์อีกครั้ง สังเกตที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลไม่เคยขอกระทรวงใหญ่ที่มีผลประโยชน์ แต่ขอกระทรวงที่จะเน้นความเปลี่ยนแปลง เช่น การศึกษา มหาดไทย และกระทรวงดีอี เพราะธนาธร เป็นคนที่อำมหิตมาก ตั้งใจจะรื้อตั้งแต่รากฐาน มัธยม มาเรื่อยๆ ถ้าได้เป็นรัฐบาลก็จะร่นระยะเวลาในการเปลี่ยนประเทศตามที่ต้องการ หรือถ้าหากพรรคก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้าน ก็ยังคงได้เปรียบ แต่ต้องใช้เวลารอ 5-10 ปี เพราะการเป็นฝ่ายค้านนั้นไม่ได้มีอำนาจในการควบคุมและจัดการองคาพยพหน่วยงานราชการ


ด้วยเหตุนี้ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาท่านผู้ชมจึงเห็นข่าวธนาธร บินไปพบกับทักษิณ ที่ฮ่องกง และประเด็นที่ลูกสาวประกาศว่าทักษิณ จะกลับเมืองไทยในวันพฤหัสฯ ที่ 10 สิงหาคม 2566 ร่วมกันเพื่อล้มก้าวไกล ดอดพบทักษิณ ที่ฮ่องกง 2-3 วันมานี้ มีรายงานว่านายธนาธร ประธานคณะก้าวหน้า บินไปที่เกาะฮ่องกง พบกับทักษิณ ชินวัตร เพื่อขอพูดคุย ตกลงเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลที่กำลังเป็นประเด็นร้อน เพราะนายธนาธร กลัวว่าพรรคเพื่อไทยที่จะรับช่วงเข้ามาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลตอนนี้ จะข้ามขั้วไปร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม แล้วถีบพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งธนาธร และพรรคแกนนำ ยอมไม่ได้


สาระสำคัญในการพูดคุย ว่ากันว่าที่ธนาธร บินไปคุยกับทักษิณ เนื้อหาคือ ก้าวไกลจะยอมปิดสวิตช์เรื่องแก้มาตรา 112 ในช่วง 4 ปีข้างหน้าตามวาระรัฐบาล เอาไว้ก่อน เขาเชื่อว่า ส.ว. จะยอมรับได้ และโหวตให้แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยได้เป็นนายกรัฐมนตรี ขอเพื่อไทยอย่าได้ฉีก MOU 8 พรรค ให้ก้าวไกลได้ร่วมรัฐบาลไปด้วย

ท่านผู้ชมครับ พอข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ช่อ-พรรณิการ์ วานิช แกนนำพรรคก้าวหน้า ก็รีบออกมาแก้ตัวว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนนี้ธนาธร อยู่เมืองไทย อยู่ที่กรุงเทพฯ ช่วงนี้ข่าวปั่นมันเยอะ

ขณะเดียวกัน นายต๋อม-ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ก็ออกมาพูดว่าไม่น่าจะใช่ ไม่น่าจะมีการพูดคุยกันตามที่เป็นข่าว แต่ถึงแม้ว่าทั้งช่อ และชัยธวัช จะออกมาปฏิเสธข่าว แต่กระแสโซเชียลเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังร้อนแรง แสดงความคิดเห็นกันอย่างดุเดือด และเห็นว่าเป็นไปได้ คือมีการเปิดดีลกันจริงๆ


พอวันที่ 26 กรกฎาคม ธนาธร ออกมาปรากฏตัวเพื่อกลบข่าวลือ โดยเดินทางเข้าไปที่อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล ลงจากรถ เดินเข้าอาคารผ่านหน้าผู้สื่อข่าว โปรยยิ้มให้ ไม่ยอมตอบคำถาม นักข่าวตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ ธนาธร ไม่ได้เข้ามาที่ทำการพรรค 4-5 วันแล้ว ซึ่งปกติเขาจะมาเป็นประจำทุกวัน

เรื่องไม่จบเพียงแค่นี้ ยังมีนักสืบโซเชียลไปได้ วัน ว. เวลา น. พร้อมเที่ยวบินที่ธนาธร ไป-กลับ ฮ่องกง ขาออกวันที่ 24 กรกฎาคม 2566 เที่ยวบิน CX700 สายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิค ขาเข้า กลับมาวันที่ 25 กรกฎาคม 2566 เที่ยวบิน HX773 ฮ่องกง-กรุงเทพฯ สายการบินฮ่องกง

ท่านผู้ชมครับ ดีลนี้มีจริงหรือไม่ ผมไม่ยืนยัน แต่ประเด็นน่าคิด คือเงื่อนไขที่ยกเป็นหัวข้อในการเจรจากลับกลายเป็นว่า ก้าวไกลยอมถอยจนสุดซอย ไม่แก้ ม.112 ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังยืนกรานหัวเด็ดตีนขาด ต้องแก้ เพราะได้รับปากประชาชนมาแล้ว ถ้าไม่แก้ 112 จะไม่มีก้าวไกล ถ้าจริง แสดงว่าก้าวไกลยอมตระบัดสัตย์ต่อประชาชน เพื่อให้ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล

และท่านผู้ชมครับ นี่คือไคลแม็กซ์ของเรื่องที่พูดมาวันนี้ทั้งวัน และที่ก้าวไกลกระสันอยากร่วมรัฐบาลให้ได้ เพราะอะไร ? เพราะว่าเขาต้องการ "ร่วมเพื่อล้ม" เพราะถ้าก้าวไกลได้ร่วมรัฐบาล ไม่เกิน 6 เดือน รับรองล้มทุกอย่าง ข้ออ้างคือ เขาทำงานไม่ได้ นโยบายต่างๆ ที่ก้าวไกลขายฝันไว้ไม่เดิน เพราะเป็นแค่พรรคร่วม ก้าวไกลถือโอกาสใช้เสียงตัวเอง ซึ่งมีอันดับหนึ่ง มากกว่าพรรคเพื่อไทย แว้งกัดเพื่อไทยในสภาฯ ท่านผู้ชมสังเกตนะครับ ต้องสังเกตเรื่องพวกนี้ ที่ผ่านมาก้าวไกลไม่ขอกระทรวงทำเงิน แต่ขอกระทรวงที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ การศึกษา มหาดไทย ดีอี พอได้เข้าไปก็ล้มรัฐบาลเพื่อไทย เพื่อยุบสภาฯ และให้มีการเลือกตั้งใหม่ และก้าวไกลจะขอแลนด์สไลด์อีกครั้งเพื่อเร่งกระบวนการ


ท่านผู้ชมครับ ง่ายๆ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคพวกแกนนำ ที่ต้องการล้มประเทศ ขุดรากถอนโคนประเทศ และล้มสถาบันกษัตริย์ ในการเลือกตั้งครั้งนี้่ เขาเองยังไม่คิดว่าเขาจะมาได้เยอะขนาดนี้ เมื่อเขามาเยอะ ได้ถึง 151 เสียง ทำให้กระบวนทัศน์ในแนวคิดของการเมืองเขาเปลี่ยนเลย เขาร่นระยะเวลาอีก 5-6 ปี ที่จะสู้อีกครั้งหนึ่ง ให้มันใกล้เข้ามาทันทีเลย ถ้าจะให้มันใกล้เข้ามา เขาต้องทำอย่างไร ?

ประการแรก ถ้าเขาได้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี เชื่อผมสิ ถึงเขาเป็นนายกรัฐมนตรี เขาก็อยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี หกเดือนแล้วเขาก็จะยุบสภาฯ โดยเขาจะบอกว่าที่เขาต้องยุบเพราะเขามีพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค ซึ่งนโยบาย อุดมการณ์ไม่เหมือนเขา มีการโกงกิน ทุจริต คอร์รัปชัน เพราะเขาจะยกกระทรวงที่มีผลประโยชน์ทั้งหมดให้พรรคร่วมรัฐบาลไป เขาก็เลยจะมีเหตุผลในการยุบได้ ว่า พ่อแม่พี่น้องประชาชนครับ ผมเข้ามาตามฉันทามติของพ่อแม่พี่น้องประชาชน แต่หกเดือนที่ผมทำงานมานี้ ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะ หนึ่ง มีการคอร์รัปชัน สอง นโยบายพรรคก้าวไกลถูกขัดขาตลอด ผมจึงประกาศแจ้งขอให้มีการเลือกตั้งใหม่โดยประกาศยุบสภาฯ ขอให้พ่อแม่พี่น้องที่รักผม ต้องการจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในทางที่ดีขึ้น เข้ามาร่วมกับผม แล้วลงคะแนนเสียงเลือกพรรคก้าวไกลเพียงพรรคเดียว ตรงนั้นล่ะ เขาอาจจะได้มาถึงสามร้อยกว่าเสียง

แต่เมื่อพิธา ไม่ได้เป็นนายกฯ เกมต่อไปก็คือว่า ถ้าอย่างนั้นเกาะเอาไว้เลย เพื่้อขอเป็นพรรคร่วม เพื่ออะไร ? เพื่อหาโอกาสที่จะล้มรัฐบาลเช่นกัน แต่ล้มรัฐบาลด้วยการสู้กันในสภาฯ แล้วขัดขา แล้วประกาศถอนตัวจากรัฐบาล เพื่อให้ล้ม

ทั้งหมดนี้มาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจาก 151 เสียง ที่เขาเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้มาเยอะขนาดนั้น พอมา 151 เสียงแล้ว เขาก็เลยจำเป็นที่จะต้องออกแบบการเมืองในแนวใหม่เพื่อกระทำให้ถึงวัตถุประสงค์ที่ตั้งเอาไว้ในระยะเวลาที่ใกล้ๆ นี้

18 มงกุฎ ใน 18 มงกุฎ THE BODYGUARD ของ "นายกฯ ทิพย์"


ท่านผู้ชมครับ ผมมีเรื่องที่มันเป็นตลกร้ายและค่อนข้างจะบัดซบมาเล่าให้ฟัง ท่านผู้ชมจำได้ไหม หลังจากที่ ส.ส. ส.ว. โหวตดับฝันพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้กลายเป็นนายกฯ ทิพย์ ทั้งๆ ที่ตลอดเส้นทางในการเลือกตั้ง หลังเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 นายพิธา แสดงตัวตน มโนว่าเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย เพื่อหวังจะปั่นกระแส ปลุกบรรดาด้อมส้ม คอนด้อมส้ม ให้มโนเพ้อฝัน อินตามพรรคก้าวไกล จนทุกวันนี้พวกนี้เสียสติไปหมดแล้ว ลืมกติกาที่บ้านเมืองกำหนดไว้ว่าหลังเลือกตั้งจะต้องมีเงื่อนไข ขั้นตอนการจัดตั้งรัฐบาล การเสนอชื่อและโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีอย่างไรบ้าง คือตะแบงอยู่อย่างเดียว 14 ล้านเสียง ที่เลือกพรรคก้าวไกล คือตัวตัดสินว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คือนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไปเรียบร้อยแล้ว


ท่านผู้ชมครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง จนถึงหลังเลือกตั้ง มีคนที่คอนด้อมส้มที่หูหนวก ตาบอด แสดงอาการกรี๊ดกร๊าดรองๆ ลงมาจากนายพิธา เพียงเพราะคนๆ นั้นเป็นคนติดตามใกล้ชิดของนายพิธา บุคคลนั้นเป็น THE BODYGUARD ข้างกายนายพิธา และถูกเรียกขานจากด้อมส้มว่า "ผู้กองต้น"

ผู้กองต้น เป็น THE BODYGUARD ข้างกายนายพิธา นายกฯ ทิพย์ อาจจะเรียกได้ว่าเห็นพิธาที่ไหน ต้องเห็นผู้กองต้นที่นั่น ภาพลักษณ์ผู้กองต้นที่ยืนอารักขานั้น คือชายหัวเกรียนๆ ใส่ชุดสีดำ เหมือนกับว่าจะให้ทุกคนอุปโลกน์ว่าตัวเองนั้นเป็นทหารหรือตำรวจ


ประเด็นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในโลกโซเชียล มีการเปิดประเด็นและเปิดข้อมูลระบุว่า "ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะ เปิดหน้านายกฯ ทิพย์ แถมมีตำรวจทิพย์คุ้มกัน (คนร้ายมีชื่อในวงการว่า ผู้กองต้น ตรวจสอบพบว่าเคยมีประวัติการต้องโทษ) แต่คำนี้เหมาะสุด เป็นแก๊ง 18 มงกุฎชัดๆ"

ตามผมมานะครับท่านผู้ชม มาดูว่า "ผู้กองต้น THE BODYGUARD" ของนายกฯ ทิพย์ ไม่ใช่เควิน คอสเนอร์ THE BODYGUARD ของวิทนีย์ ฮิวส์ตัน ในหนังเรื่อง BODYGUARD นะครับ ขวัญใจของคอนด้อมส้มรายนี้จริงๆ แล้วเป็นใคร มาจากไหน อย่างไร ?


"ผู้กองต้น" คนนี้ชื่อนายทัศน์ ศรีกมลภักดี อายุ 39 ปี เป็นคนร้อยเอ็ด น่าแปลกใจคือกว่าจะมีวันนี้ได้ ผู้กองต้น เปลี่ยนชื่อมาแล้ว 3 ครั้ง ชื่อที่ทำให้ผู้กองต้นมีชื่อเสียงที่สุดจนถึงขั้นต้องติดคุกติดตะราง คือชื่อ นายศรีสุริเยน ศรีกมลภักดี

2554 สิบสองปีที่แล้ว ผู้กองต้น ในช่วงนั้นใช้ชื่อ ศรีสุริเยน ศรีกมลภักดี อายุราวๆ 27 ปี ตอนนั้นทำตัวเป็น 18 มงกุฎ ทะลึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นตำรวจ 191 มีตำแหน่งเป็นผู้กอง และยังเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ร่วมกับพรรคพวกอีก 2-3 คน ไปอุ้มหนุ่มเจ้าของร้านขายของชำย่านพระโขนง ไปข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ตบทรัพย์กว่า 3 แสนบาท คาลานจอดรถของกองบังคับการกองปราบปราม แต่สุดท้ายหนีไม่พ้น ถูกตำรวจกองปราบปรามในยุคที่ (จำชื่อคนๆ นี้ไว้ดีๆ นะครับ) พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ที่เมื่อสิบสองปีที่แล้วเป็นผู้บังคับการกองปราบในตอนนั้น จับกุม แถลงข่าวใหญ่ ท่านผู้ชมลองเสิร์ชหารายละเอียดข่าวได้ในเว็บไซต์ Manager Online


ย้อนกลับไปสิบสองปีที่แล้ว ในวันที่แถลงข่าว วันที่ 15 กรกฎาคม 2554 พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ในฐานะผู้การกองปราบในสมัยนั้น นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี ชุดจับกุม ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมนายศรีสุริเยน ศรีกมลภักดี หรือ ผู้กองต้น ตามหมายจับศาลอาญาเลขที่ 649/2554 ในข้อหา ปล้นทรัพย์ในสถานที่ราชการโดยใช้ยานพาหนะกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำหรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายให้ผู้ถูกข่มขืนใจกระทำการ และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น หรือกระทำการด้วยประการใดๆ ให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย โดยถูกจับกุมที่ลานจอดรถสถานีตำรวจคลองตัน ช่วงค่ำวันที่ 14 กรกฎาคม 2554


พฤติการณ์คือ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2554 "พี่ต้น" ของคอนด้อมส้มทั้งหลาย พร้อมกับพวกอีก 2 ราย อ้างตัวว่าเป็นตำรวจ 191 เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ไปอุ้ม ทำทีว่าเข้าจับกุมนายบุญส่ง อาภรณ์ อายุ 25 ปี ร้านขายของชำในซอยปรีดีพนมยงค์ 14 พาไปขึ้นรถเก๋งฮอนด้า รุ่น ACCORD สีดำ ไปที่ลานจอดรถกองบังคับการปราบปราม พร้อมยัดข้อหาคดียาเสพติดให้กับนายบุญส่ง ข่มขู่ รุมทำร้ายร่างกาย บังคับเอาทรัพย์สิน แบ่งเป็น ทองคำรูปพรรณ เงินสด 60,000 บาท รวมมูลค่า 278,000 บาท พอรีดทรัพย์เสร็จยังไม่หนำใจ ผู้กองต้นยังทำทีเดินขึ้นไปบนอาคารที่ทำการกองปราบปราม และกลับมาบอกเหยื่ออีกว่า นายสงสารมึง เห็นว่ามีลูกเล็ก ก็ปล่อยตัวมึงไป แต่ต้องโอนเงินมาให้อีก 50,000 บาท ไม่งั้นมึงก็จะโดนอีกรอบ ด้วยความกลัว เหยื่อต้องยอมโอนไปตามที่มันข่มขู่ แทนที่จะเอาเหยื่อมาปล่อยตัวบนถนนพหลโยธิน ตรงข้ามห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว จากนั้นเหยื่อก็รู้ว่าพวกนี้คือตำรวจปลอม จึงร้องทุกข์กับมูลนิธิปวีณาฯ เข้าแจ้งความกับตำรวจกองปราบ ตำรวจกองปราบก็ไปจับตัวได้ยกแก๊ง ทั้งชุด ศาลตัดสินผู้กองต้น จำคุกนาน 12 ปี แต่ได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ ทำให้จำคุกจริงๆ ไม่กี่ปี ได้รับอิสรภาพเมื่อปี 2560 หรือหกปีที่แล้ว


นอกจากคดีอ้างเป็นตำรวจอุ้มเหยื่อ ปล้นทรัพย์ร่วม 3 แสนบาทแล้ว ผู้กองต้นยังมีประวัติอาชญากรรมติดตัวอีกหลายคดี เช่น ข้อหาใช้ หรืออ้างเอกสารราชการปลอม ตามเลขคดีที่ 432/2554 ของสถานีตำรวจเมืองนนทบุรี โดยมีบัตรประจำตัวข้าราชการตำรวจปลอม ชื่อ ร.ต.อ.ศรีสุริเยน ศรีกมลภักดี และเคยมีหมายจับติดตัว เลขที่ 314/2554 ที่ สน.ลุมพินี แต่ได้มีการถอนหมายจับออกไปแล้ว

ท่านผู้ชมครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นที่น่าตลกขบขัน แต่บัดซบที่สุด คือ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ หรือที่เขามีฉายาในวงการสื่อมวลชนว่า "บิ๊กแมว" เป็นคนแถลงข่าวจับกุมผู้กองต้น ผู้กองทิพย์ มีรูปแถลงข่าว เดินกอดคอผู้ต้องหาในวันนั้น ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าวันนี้ พล.ต.ต.สุพิศาล ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล รับผิดชอบด้านการเมืองและกิจการพิเศษ และยังเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ ด้วย


ท่านผู้ชมครับ ตำรวจกับโจรในวันนั้น ได้กลับมาร่วมกันอีกครั้งหนึ่งที่พรรคก้าวไกล อย่างไรก็ตาม หลังจากกระแสผู้กองต้น ผู้กองทิพย์ กลายเป็นกระแส ถูกพูดกันดังกระหึ่ม พล.ต.ต.สุพิศาล ก็ออกมาแก้ตัวเป็นพัลวัน อ้างว่าจำไม่ได้บ้าง เพราะผู้กองต้นเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล งานดูแลเรื่องความปลอดภัยหัวหน้าพรรคไม่ได้เป็นส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ แต่เป็นเรื่องของทีมงานหัวหน้าพรรค เป็นคนที่บริษัท รปภ. ส่งมา ไม่ได้เป็นคนของพรรค พรรคก้าวไกลให้โอกาสทุกอาชีพ ให้โอกาสคนผ่านคุกผ่านตะราง เขารับผิด รับโทษแล้ว ถือว่าหมดมลทิน เท่าเทียมกันทุกคน ฟังแล้วเท่ไหมครับท่านผู้ชม

ข้ออ้างของคุณสุพิศาล ดูจะขัดแย้งกับพฤติกรรมสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้การกองปราบ ที่ออกซ้ายบนปกกระเป๋าเสื้อต้องถามว่าท่านติดเข็มอะไรอยู่ แต่วันนี้เกษียณอายุราชการ ถอดหมวกตำรวจออกแล้ว ท่านดันมาร่วมงานกับพรรคการเมืองที่ตั้งเป้าชัดเจนว่าจะแก้มาตรา 112 ต้องการจะล้มล้างสถาบัน แถมยังดำรงตำแหน่งถึงรองหัวหน้าพรรค


แม้ว่าวันนี้ผู้กองต้นของคอนด้อมส้มจะถูกทางพรรคให้ยุติปฏิบัติหน้าที่ในการเป็น BODYGUARD คนข้างกายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายกฯ ทิพย์ ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะมันส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของหัวหน้าพรรค แต่ลึกๆ แล้วคุณก็รู้ ผมก็รู้ดีว่าผู้กองต้นจริงๆ แล้วเป็นคนในสายของ พล.ต.ต.สุพิศาล อดีตผู้บังคับการกองปราบ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่เหนือไปกว่านั้น ผมรู้มาตั้งนานแล้วว่า พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ในอดีตนั้นเป็นเด็กของใคร จะใช่หรือไม่ใช่ จะจริงหรือไม่จริง ผมไม่รู้ แต่มีคนบอกว่า คนๆ นั้นเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง คนดังคนหนึ่งนั่นเอง

ท่านผู้ชมครับ และนี่คือสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำประจำ ไม่ใช่เฉพาะผู้กองต้นอย่างเดียว ส.ส. หลายคน ซึ่งถ้า กกต. ตรวจสอบให้ดีทุกคนแล้ว ผมเชื่อว่าพรรคก้าวไกลอาจจะโดนใบแดงสูงถึงเกือบ 20 คน เพราะว่าขาดคุณสมบัติจริงๆ หลายคุณสมบัติ ไม่ว่าจะเป็นการไม่ได้ไปเลือกตั้งคราวที่แล้ว ซึ่งต้องถือว่าไม่สามารถจะลงเลือกตั้งได้ บางคนเคยต้องคดีอาญามาแล้ว เหมือนอย่างที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้กล่าวเอาไว้ เยอะแยะไปหมด ส่วนคนที่ไม่ได้ผิดกฎกติกา ก็ยังมีสันดานที่บัดซบ เหมือนยัยไอซ์ รัชนก ที่นั่งเอาหัวเข่าชัน โดยไม่คำนึงถึงเลยว่านี่คือสภาฯ อันทรงเกียรติ หรือว่าคนๆ หนึ่งดันทะลึ่ง นิสัยดั้งเดิมคือชอบกินเหล้าเมายา เมาแล้วขับรถไปชนเสาไฟฟ้า รวมทั้งทำร้ายร่างกายคนอีก

ท่านผู้ชมครับ และนี่คือเนื้อแท้จริงๆ เนื้อแท้ครับ ท่านผู้ชมที่เป็นติ่งสีส้ม ให้รู้ว่าพวกคุณมีคนระยำแบบนี้เยอะมาก คุณเพียงแต่กวาดต้อนมาเข้าคอกคุณ แล้วใช้ยี่ห้อพรรคก้าวไกล ทำให้เขาได้รับเลือกเป็น ส.ส. ช่างน่าอับอาย อัปยศอดสู เลิกสร้างภาพเสียทีได้หรือยังครับพวกคอนด้อมส้ม

“ประชัย เลี่ยวไพรัตน์” กับเบื้องหลัง “ปุ๋ยอินทรีย์ทีพีไอ”

ท่านผูู้ชมครับ วันนี้ผมขอพูดถึงคนๆ หนึ่ง ท่านผู้ชมอาจจะเคยได้ยินข่าวของคนๆ นี้ คือคุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ทีพีไอ โพลีน ทำไมผมต้องพูดถึงคุณประชัย ? เดี๋ยวผมจะเล่าตอนจบให้ฟัง


คุณประชัย เป็นอัจฉริยะ เรียนเก่งมาก จบ University of California ที่ Berkeley คนละที่กับผม ของผมที่ LA ของเขาที่ Berkeley จบทางด้านฟิสิกส์ ในแวดวง วงการ ยอมรับว่าคุณประชัย เป็นคนเก่งมาก และหลายอย่างที่คุณประชัย ทำ คุณประชัย เคยพูด ไม่ได้พูดเล่นนะ เขาพูดจริง เขาบอกว่าโรงไฟฟ้านี่เหรอ (ขอโทษครับ) ผมใช้ตีนทำก็ทำได้ ง่ายๆ ไม่ยากหรอก คุณประชัย บอกว่า ชีวิตเขา ถ้าเขาทำธุรกิจอะไรที่ไม่เกี่ยวกับอุตสาหกรรม เขาเจ๊งทุกอัน แต่ถ้าเขามาจับอุตสาหกรรมแล้ว ไม่มีอุตสาหกรรมไหนที่เขาทำไม่ได้ และไม่มีอุตสาหกรรมไหนที่ไม่ประสบผลสำเร็จ

คุณประชัย ได้พิสูจน์ชัดเจนว่าเขาเป็นคนมีวิสัยทัศน์ไกลมาก ตั้งแต่สมัยที่เขามาทำกิจการปิโตรเคมิคัล ท่านผู้ชมอาจจะไม่ทันหรือไม่รู้ ท่านผู้ชมจำบริษัท ไออาร์พีซี ได้ไหม ? ที่ ปตท. ไปยึดเขามา ไออาร์พีซี คือต้นแบบที่คุณประชัย เริ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมิคัลทางต้นน้ำ แล้วก็กระจายมาถึงปลายน้ำ มาเป็นเม็ดพลาสติก เป็นโน่นเป็นนี่ มาจากมันสมองของคุณประชัย


รัฐบาลมีท่าเรือที่แหลมฉบัง คุณประชัย สร้างท่าเรือน้ำลึกที่ระยอง เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ไกลมาก

เผอิญ 2540 ต้มยำกุ้ง ทำให้บริษัท ทีพีไอ มีหนี้สินเยอะ ก็เลยเกิดกระบวนการยึดทรัพย์สินของคุณประชัย แล้วหนึ่งในคนที่อยู่เบื้องหลังนี้ ก็เป็นคุณทักษิณ ชินวัตร เช่นกัน โดยได้รับความร่วมมือจาก ปตท. เพราะคุณประชัย นั้น ถ้าไม่ยึดไออาร์พีซีมา คุณประชัย จะสามารถฟื้นตัวขึ้นมาและจะเป็นอันตรายต่อ ปตท. เพราะว่าวิธีคิดของคุณประชัย กับวิธีคิดและวิธีทำงานของ ปตท. นั้น มันคนละรูปแบบ ว่ากันว่าตอนนี้พนักงานเก่าของไออาร์พีซี ที่เคยอยู่กับคุณประชัย ทำงานคนละแบบกับพนักงาน ปตท. เพราะพนักงาน ปตท. ทำงานแบบข้าราชการประจำ แต่พนักงานเก่าของไออาร์พีซี ของคุณประชัย ทำงานแบบเถ้าแก่ เพราะว่าเถ้าแก่จะสั่งงาน สั่งโน่น สั่งนี่ สั่งนั่น

ผมมีหลานคนหนึ่งซึ่งไปทำงานเป็นที่ปรึกษาของบริษัท ไออาร์พีซี อย่าให้เอ่ยชื่อเลยครับ เขาไม่ชอบให้ผมเอ่ยชื่อเขาสักเท่าไร เขาบอกว่าอาชอบเอ่ยชื่อหนูอยู่เรื่อย อย่าเอ่ยได้ไหม เอาล่ะ เขาเล่าให้ฟังว่า จากการที่เขาได้ไปสัมผัส ในฐานะเป็นที่ปรึกษา เขาเห็นชัดเจนว่าพนักงานไออาร์พีซี ที่เคยอยู่กับคุณประชัย นั้นทำงานดีมาก ตัดสินใจเร็ว เดินหน้าลุยทันทีเลย ไม่มีรีรอ ไม่มีชักช้าเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงข้ามกับพนักงานของ ปตท. ซึ่งกลายเป็นข้าราชการประจำ


กระบวนการยึดไออาร์พีซีของคุณประชัยนั้น เป็นกระบวนการทางการเมือง ณ วันนั้น ที่คุณประชัย ทำไออาร์พีซีแล้วขาดสภาพคล่อง เพราะเกิดเหตุการณ์ 2540 คุณประชัย ได้ไปเจรจาทุนจีนมาแล้ว ให้มาปล่อยกู้ให้คุณประชัย เพื่อเอามาเคลียร์หนี้ เพื่อเดินงานต่อ โดยแบ่งหุ้นให้ แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่ารัฐบาลคุณทักษิณ ชินวัตร นั้น ได้ติดต่อรัฐบาลจีน บอกว่าให้บริษัทการเงินของจีน ที่จะเอาเงินกู้ให้คุณประชัย ให้ถอนตัวออกไป ก็เลยถอยออกไป คุณประชัย ก็เลยต้องสู้คดีในศาล ต่อสู้มาจนในที่สุดแล้วแพ้อำนาจทางการเมือง รัฐบาลคุณทักษิณ ก็ส่ง พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ เข้าไปนั่งไออาร์พีซี คนพวกนี้ทำงานไม่เป็น แต่อาศัยอำนาจทางการเมืองเข้าไป ก็เลยมีเรื่องมีราว เรื่องไปคอร์รัปชันบ้าง ซึ่งผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ว่ามันมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น


ทำไมผมต้องเอาเรื่องคุณประชัย มาเล่าให้ฟัง ? ที่ผมเล่าเรื่องคุณประชัย ให้ฟังก็เพราะว่า คุณประชัย เป็นมนุษย์อัจฉริยะในเรื่องของการวิจัย ในเรื่องของสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางวิทยาศาสตร์ ที่ผมเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังเพราะว่าผมรู้ว่าเวลาคุณประชัย ศึกษาเรื่องอะไร แกศึกษาอย่างละเอียด อาจารย์ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็สู้ไม่ได้

ที่ผมจะพูดให้ฟังนี้ เดี๋ยวท่านผู้ชมจะหาว่าผมขายของให้คุณประชัย ไม่ใช่ แต่ผมจะเอาเบื้องหน้าเบื้องหลังของ "ปุ๋ย" ปุ๋ยอินทรีย์ทีพีไอ ที่คุณประชัย ทำขึ้นมา แต่ผมจำเป็นต้องเล่าแบ็กกราวนด์ของคุณประชัย ให้ท่านผู้ชมฟังเสียก่อนว่าคนๆ นี้ไม่ใช่คนธรรมดา

คุณประชัย เล่าให้ฟังว่า คนไทยโดนหลอกมาตลอด ยกตัวอย่างเรื่องปุ๋ยอินทรีย์ แกสนใจ พอแกสนใจเรื่องอะไรแล้ว แกลงไปศึกษาอย่างละเอียด และแกสนใจที่จะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อต่อต้านปุ๋ยเคมี คุณประชัย บอกว่า คุณรู้ไหมว่า ปุ๋ยอินทรีย์ คุณสนธิ รู้ไหม มีข้อเท็จจริงเรื่องปุ๋ยอินทรีย์ที่หลายๆ คนยังไม่รู้ และเข้าใจผิด


ปุ๋ยอินทรีย์ นักวิชาการหลายๆ คนเข้าใจผิด ไปอ้างว่านี่คือปุ๋ยคอก ขี้วัว ขี้ควาย เศษใบไม้ใบหญ้า อุจจาระคน อย่างที่คนชาวไร่ชาวนาทั่วไป และข้าราชการบางคน แม้แต่อาจารย์บางคนของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ยังเข้าใจผิด ฝังลึกในจิตใจมาตลอด เพราะว่าตกอยู่ภายใต้การครอบงำของพ่อค้าผู้ขายปุ๋ยเคมี และเข้าใจผิดอย่างนี้มาตั้งห้าสิบปีกว่าแล้ว

ความจริงแล้วปุ๋ยคอก มูลสัตว์ อุจจาระ หรือต้นไม้ใบหญ้า คุณประชัย บอกว่าเป็นเพียงวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ แต่ไม่ใช่ปุ๋ยอินทรีย์ ท่านผู้ชมเข้าใจไหมครับ ปุ๋ยคอก มูลสัตว์ อุจจาระ ต้นไม้ใบหญ้า เป็นเพียงวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ แต่ไม่ใช่ปุ๋ยอินทรีย์ จึงไม่มีคุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์เลย คุณประชัย ยกตัวอย่างให้ฟังว่า เหมือนหินปูนเป็นวัตถุดิบในการทำปูนซีเมนต์ แต่ไม่ใช่ปูนซีเมนต์ เพราะกระบวนการผลิตของปูนซีเมนต์ ต้องเอาหินมาผ่านกระบวนการที่ใช้ความร้อนสูงถึง 1,250 องศาเซลเซียส กว่าจะทำเป็นปูนซีเมนต์ได้

ในทางการเกษตร ชาวไร่ ชาวนา นักวิชาการการเกษตรยังฝังจิตฝังใจว่ามูลสัตว์ ใบไม้ ใบหญ้า เป็นปุ๋ย ทำให้ทุกคนไม่อยากใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพราะเวลาเอาสารอินทรีย์ เช่น ใบไม้ ใบหญ้า ปุ๋ยคอก ขี้ไก่ ขี้หมู ขี้วัว ใส่ต้นไม้ จะไม่ทำให้ต้นไม้เติบโต เพราะมันมี Germination Index หรือ ดัชนีการงอกและเติบโต สารอินทรีย์ต่ำ ส่วนปุ๋ยอินทรีย์ที่ทำตามหลักการที่ถูกต้อง ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่คุณประชัย ไปศึกษามา คุณประชัย เรียกนักวิชาการมาประชุมร่วมกัน ค้นคว้ากัน


พืชและผลไม้ที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์จริงๆ จะเจริญเติบโต จะมีสารอาหารพร้อมที่จะให้ดูดซึมเข้าไปในลำต้น ทำให้พืชเจริญเติบโตงอกงามได้ดีกว่าปุ๋ยเคมี มิหนำซ้ำราคายังถูกกว่าปุ๋ยเคมี มีประสิทธิผลได้เร็วเท่ากัน และได้ผลดีกว่าการใช้ปุ๋ยเคมีเสียด้วยซ้ำ เพราะว่าในปุ๋ยอินทรีย์มีทั้งธาตุอาหารหลักและอาหารรอง พร้อมจุลธาตุและมีจุลินทรีย์ และฮอร์โมนต่างๆ ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของพืช จุลินทรีย์ที่อยู่ในปุ๋ยอินทรีย์ที่ทำตามกระบวนการที่ถูกต้องนั้น มันจะช่วยย่อยธาตุอาหารในดินให้กลายเป็นธาตุอาหารเพิ่มขึ้น ธาตุอาหาร ฮอร์โมนต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ได้ผลิตผลมากขึ้น ไม่ได้ช่วยให้ดินเสีย นอกจากนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลง นี่คือเคล็ดลับ

ปุ๋ยอินทรีย์ที่คุณประชัย คิดค้นขึ้นมา คุณประชัย คิดค้นขึ้นมาจากความเป็นอัจฉริยะของตัวเอง ถ้าใช้แล้วไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง เพราะว่าแมลงไม่ลง คุณประชัย แนะนำ ใบไม้ ใบหญ้า ปุ๋ยคอก ขี้ไก่ ขี้วัว ขี้หมู ไม่ใช่ปุ๋ยอินทรีย์ ท่านผู้ชมอย่าเข้าใจผิด ไม่ใช่ปุ๋ยอินทรีย์ เป็น "สารอินทรีย์" ที่ต้องนำมาเข้ากระบวนการก่อนถึงจะกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพไม่แพ้ปุ๋ยเคมี แต่ถูกกว่า ปลอดภัยกว่า ซึ่งคุณประชัย ก็ได้ทำปุ๋ยมา ท่านผู้ชมอาจจะคิดว่าคุณสนธิ มาโฆษณาขายปุ๋ยให้คุณประชัย ไม่ใช่ จะพูดถึงเรื่องปุ๋ยที่คุณประชัยทำนั้น ต้องเล่าที่มาที่ไปของตัวตนที่แท้จริงของคุณประชัย ว่าแกเป็นคนอย่างไร แกเพี้ยนหรือเปล่า แกอัจฉริยะไหม แกปากพูดจาไม่เข้าหูคน แต่สิ่งที่แกพูดนั้นเป็นความจริงหมด คุณประชัย ก็เลยผลิตปุ๋ยอินทรีย์ขึ้นมา ชื่อ "ปุ๋ยทีพีไอ"


ผมมีบ้านอยู่เชียงราย ผมทำการเกษตร ปลูกข้าว ปลูกพืช ทำไร่ เลี้่ยงควาย มีพ่อบ้านดูแล ล่าสุดก็มาเล่าให้ผมฟังว่า ปุ๋ยอินทรีย์ที่ผมใช้ ซึ่งคุณประชัย ให้มา ย่อยธาตุอาหารในดินให้กลายเป็นธาตุอาหารเพิ่มขึ้น ได้ผลิตผลมากขึ้น ไม่ทำให้ดินเสีย นอกจากนั้นแล้ว พ่อบ้านผมบอกว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงซึ่งเป็นอันตรายกับร่างกายชาวไร่ ชาวนา ผู้บริโภค

ท่านผู้ชมครับ การที่อธิบายถึงปุ๋ยนี้มาอย่างไร เป็นอย่างไร ต้องอธิบายถึงนิสัยใจคอของคนที่ทำปุ๋ยนี้ด้วย พฤติกรรมของเขา บุคคลิกของเขา ความรู้ความสามารถของเขา และเขาก็เป็นคนที่ทำอะไรที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรม เขาไม่เคยพลาด เขาเคยไปทำเหล้าขาย แล้วเขาเจ๊ง แต่เขาทำอุตสาหกรรมอะไรก็ตาม เขาเจริญเติบโตหมดทุกอย่าง และท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ เขาคือต้นแบบในการสร้างอุตสาหกรรมปิโตรเคมิคัล ปตท. วันนี้เจริญเติบโตมาทุกวันนี้เพราะฝีมือของไออาร์พีซี ไม่ใช่ด้วยตัว ปตท. เอง

ท่านผู้ชมครับ นี่ล่ะคือสิ่งที่ผมอยากจะเล่าให้ฟังครับ

ปลดฟ้าผ่า "ฉิน กัง"

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจำนายฉิน กัง ได้ไหม ? ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน เป็นคนหนุ่ม มาจากไหนไม่รู้ จู่ๆ ก็กระโดดมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนหน้านั้นก็ประเภทฟ้าประทานไปเป็นทูตจีนประจำสหรัฐอเมริกา


ตั้งแต่มิถุนายน ที่ผ่านมา นายฉิน กัง หายหน้าหายตาไปเลย ไม่โผล่มาเลย เงียบสนิท ท่ามกลางการคาดเดาต่างๆ นานาว่าเกิดอะไรขึ้น จนเมื่อเย็นวันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2566 สำนักข่าวซินหัว สื่อทางการจีน ก็รายงานว่า การประชุมครั้งที่ 4 ของคณะกรรมการถาวรประจำสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน ชุดที่ 14 ได้ลงมติปลดนายฉิน กัง ออกจากตำแหน่งแล้ว และให้นายหวัง อี้ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศคนก่อนหน้า ซึ่งปัจจุบันก้าวขึ้นไปดำรงตำแหน่งประธานกรรมการธิการวิเทศสัมพันธ์พรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของนักการทูตจีน ที่เหนือกว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ


ให้นายหวัง อี้ กลับมารับตำแหน่งแทนนายฉิน กัง ที่โดนปลดฟ้าผ่าหลังดำรงตำแหน่งได้เพียง 7 เดือน แต่ว่าซินหัว ก็ธรรมดาล่ะครับ เป็นสื่อของรัฐบาล ไม่ได้บอกเหตุผลในการปลด เพียงแต่ระบุว่า นายสี จิ้นผิง ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดี เพื่อประกาศใช้อย่างเป็นทางการแล้ว

เรามารู้จักนายฉิน กัง กันนิดหนึ่งนะครับ เขาเกิดที่เมืองเทียนจิน มณฑลเหอเป่ย จบปริญญาตรีด้านการเมืองระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในกรุงปักกิ่ง หลังจากจบการศึกษาแล้ว ฉิน กัง ดำรงตำแหน่งหลากหลายที่กระทรวงการต่างประเทศจีน รวมทั้งตำแหน่งที่สถานทูตจีนในอังกฤษ ตำแหน่งโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ 2 ครั้ง ในช่วงปี 2549-2557 เป็นอดีตอธิบดีกรมพิธีการทูต ในปี 2557-2561 มีหน้าที่ดูแลด้านการปฏิสัมพันธ์ของผู้นำจีนกับผู้นำชาติต่างๆ


เป็นที่ทราบกันในวงการว่า นายฉิน กัง เป็นเด็กปั้นของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง โดยตรง ใกล้ชิดสนิทสนม ที่ผ่านมา นายฉิน กัง ถึงโตเร็วมาก เขาถูกส่งไปเป็นทูตจีนประจำอเมริกา หลังจากนั้นก็ได้กลับมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เรียกว่าฟ้าผ่าเหมือนกัน ว่ามาอย่างไร มาจากไหน เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีต่างประเทศที่อายุน้อยที่สุด คือแค่ 57 ปี เท่านั้น

ก่อนจะหายหน้าไป เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2566 นายฉิน กัง เข้าร่วมประชุมและรับประทานอาหารค่ำนาน 5 ชั่วโมงครึ่ง กับนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน นายฉิน กัง หารือกับเจ้าหน้าที่จากศรีลังกา รัสเซีย เวียดนาม ที่กรุงปักกิ่ง หลังจากนั้นแล้วเขาก็เงียบหายสนิทเหมือนมนุษย์ล่องหนไปเลย


วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 กระทรวงการต่างประเทศจีน เผยว่า ฉิน กัง ไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมที่อินโดนีเซียได้ เนื่องจากเหตุผลทางสุขภาพ

หลังจากนั้น 25 กรกฎาคม แค่ 14 วันให้หลัง มีข่าวว่าคณะกรรมการถาวรประจำสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน ลงมติปลดฉิน กัง ออก พร้อมทั้งลบข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับประวัติของฉิน กัง ออกจากหน้าเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เต็มโลกโซเชียลจีน เชื่อมโยงว่าการปลดฉิน กัง ครั้งนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องชู้สาวของฉิน กัง โดยมีผู้ประกาศข่าวสาวสวย ชื่อดัง วัย 40 ปี ของสถานีโทรทัศน์ฟีนิกซ์ ชื่อ ฟู่ เสี่ยว เถียน


ฉิน กัง มีภรรยาและลูกแล้ว ส่วนฟู่ เสี่ยว เถียน ผู้ประกาศข่าวคนนี้เป็นชาวฉงชิ่ง เสฉวน ท่านผู้ชมที่ไม่เคยไปเมืองจีน ขอให้รู้ว่าที่เสฉวน ผู้หญิงฉงชิ่ง และเฉินตู นั้น เป็นผู้หญิงที่สวย ผิวงาม เพราะฉงชิ่ง และเสฉวน หรือเฉินตู แดดไม่ค่อยออก การศึกษาเธอดีมาก เธอเรียนจบปริญญาตรีสาขาภาษาวรรณคดีอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง มหาวิทยาลัยเดียวกับที่ทีมงานของผม คุณวริษฐ์ ลิ้มทองกุล และ คุณดวงพร ลิ้มทองกุล ภรรยาของเขาซึ่งจบมาด้วยกัน วริษฐ์ จบปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ส่วนดวงพร จบปริญญาตรีคณะการสื่อสารมวลชน จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ต่อจากนั้น เธอก็ไปศึกษาต่อ ได้ปริญญาตรีใบที่สองสาขาเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง (Beijing University) หรือที่ภาษาจีนเขาเรียกว่า เป่ยต้า (Bei-Da) นอกจากนี้แล้ว ปี 2551 เธอจบปริญญาโทสาขาการศึกษา จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์


2552 สิบสี่ปีที่แล้ว เธอเข้าร่วมกับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ฟีนิกซ์ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เกาะฮ่องกง เข้าประจำการในลอนดอน ในตำแหน่งหัวหน้านักข่าว และหัวหน้าสถานี รับผิดชอบรายงานข่าวการเมือง เศรษฐกิจ ในอังกฤษและส่วนต่างๆ ของยุโรป จากนั้นปี 2555 เธอก็ย้ายไปประจำสำนักงานใหญ่ที่ฮ่องกง และเลื่อนตำแหน่งเป็นนักข่าวอาวุโส

ตั้งแต่ปี 2557 เธอทำหน้าที่เป็นพิธีกรรายการสนทนากับผู้นำทางการเมืองจากประเทศต่างๆ แขกรับเชิญในการเสวนา ได้แก่ ประธานาธิบดีซีเรีย นายบาชาร์ อัล อัสซาด นายกรัฐมนตรีอิรัก ไฮเดอร์ อัล-อบาดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอเมริกัน จอห์น แคร์รี อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ กอร์ดอน บราวน์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ นายเฮนรี คิสซินเจอร์ เป็นต้น


ปัจจุบัน ฟู่ เสี่ยว เถียน ไม่ได้จัดรายการแล้ว ตั้งแต่เธอตั้งท้องเมื่อปีที่แล้ว และบินไปคลอดลูกชายที่อเมริกา อาศัยอยู่ที่นั่นเลย ปัจจุบันลูกชายอายุ 8 เดือน มีชาวเน็ตดูหลักฐานการโพสต์ต่างๆ นานา และเชื่อว่านี่คือคำซุบซิบนินทาของชาวโซเชียลมีเดียในจีน เชื่อว่าเด็กอายุ 8 เดือนนั้น น่าจะเป็นลูกของนายฉิน กัง

จากข่าววงในว่ากันว่า ฟู่ เสี่ยว เถียน น่าจะโดนจับไปแล้ว เธอโพสต์ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนเมษายน ว่ากำลังขึ้นเครื่องบินกลับประเทศจีนพร้อมลูกชายวัยแบเบาะ หลังจากนั้นเธอก็สูญหายไป


อย่างไรก็ตาม เรื่้องชู้สาวอาจจะเป็นประเด็นหนึ่ง แต่ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้นายฉิน กัง ซึ่งเปรียบเสมือนลูกรักของนายสี จิ้นผิง โดนปลดในวันนี้ มีการแชร์ต่อมาว่า นางฟู่ เสี่ยว เถียน น่าจะเป็นสายลับสองหน้า อาจจะเป็นสปายให้รัฐบาลจีน แต่ก็แปรพักตร์ไปทางตะวันตก ซึ่งถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง นายฉิน กัง ต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง และก็มีน้ำหนักมากพอที่จะปลดนายฉิน กัง ออกจากตำแหน่ง เพราะปกติธรรมดาแล้ว ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลจีนจะมีข่าวอื้อฉาวในเรื่องของการมีกิ๊ก ซึ่งก็เคยมีอดีตนักเทนนิสจีนระดับโลก ที่มีเรื่องกับผู้นำรัฐบาลจีนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นถึงโปลิตบูโร แต่ก็ไม่มีเรื่องราวอะไรนอกจากว่าผู้นำคนนั้นก็ low profile ทำตัวให้เงียบ แล้วหลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป


เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้ามีเฉพาะเรื่องผู้หญิง ไม่น่าจะใช่สาเหตุใหญ่ ฉะนั้นข่าวคราวเรื่องเกี่ยวกับการเป็นสายลับสองหน้านั้น น่าจะเป็นความจริงมาก อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นจริงตามข่าวลือ และนายฉิน กัง ไม่ใช่ลูกรักของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็อาจจะโดนโทษหนักกว่านี้ไปแล้ว เพราะการผลักดันนายฉิน กัง ขึ้นมาจนถึงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศวันนี้ เป็นวิจารณญาณและการตัดสินใจของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง โดยตรงและแต่เพียงผู้เดียว

นักวิจัยอเมริกันเชื้อสายจีน แห่หนีกลับแผ่นดินแม่ ?

ผมเป็นคนที่ติดตามข่าวของคนเอเชียที่อยู่ในอเมริกา และโดนกลั่นแกล้งอย่างไรบ้าง อเมริกาขณะนี้ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า JERK ประสาทรับประทาน เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง


ท่านผู้ชมลองสังเกตไหม เมื่อเร็วๆ นี้มีการประกวดแข่งขันเด็กนักเรียนระดับมัธยมในเชิงคณิตศาสตร์ที่ญี่ปุ่น ถ้าผมจำไม่ผิด ปรากฏว่าทีมประเทศจีนมาอันดับหนึ่ง อันดับสองคือทีมอเมริกา ท่านผู้ชมตั้งใจฟังดีๆ แต่ถ้าท่านผู้ชมได้ดูรูปในทีมอเมริกาที่ชนะอันดับสองนั้น ก็คือหน้าตาลูกจีนเกิดที่อเมริกาทั้งนั้น ไม่มีฝรั่งหัวทองเลยแม้แต่คนเดียว กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางจีน หรือไต้หวัน หรือฮ่องกง พวกนี้เป็นคนที่เรียนเก่งมาก เก่งในลักษณะที่ว่าเริ่มมีการกีดกันเด็กที่มีเชื้อสายจีน ถึงแม้ว่าจะเป็นพวก ABC (American Born Chinese) คือพ่อแม่เป็นคนจีนที่อยู่ในอเมริกา แล้วเกิดลูกในอเมริกา

ปรากฏว่าที่มหาวิทยาลัยดังๆ ไม่ว่าจะเป็นฮาร์วาร์ด MIT มีคะแนนพิเศษ ไม่ใช่ให้เข้าได้ง่ายๆ นะ ถ้าเป็นคนผิวดำ หรือคนเชื้อลาตินอเมริกา ที่เรียกว่า Hispanic จะมีคะแนนช่วย แต่ถ้ามีเชื้อสายจีนปุ๊บ ไม่ว่าคุณจะมาจากประเทศจีน หรือคุณจะเกิดในอเมริกา แต่เป็นคนจีน คุณต้องทำสูงกว่าคะแนนมาตรฐานอย่างน้อย 30 เปอร์เซ็นต์ คุณถึงจะมีสิทธิ์เข้าได้ ขนาดนั้นแล้วก็ยังสู้เด็กที่มีเชื้อสายทางจีนหรือเอเชียไม่ได้


ก็ปรากฏว่ามีนักศึกษาเยอะเลยที่ไปจากประเทศจีน แล้วไปเรียนต่อที่นั่น หลายคนเป็นอัจฉริยะ แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่าอเมริกาได้สร้างเงื่อนไขตามล้างตามเช็ดนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน ซึ่งพอเรียนจบแล้วก็หางานทำในอเมริกา เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ เป็นศาสตราจารย์ เป็นนักวิจัย อยู่ตามบริษัทต่างๆ ที่ใหญ่มากในงานวิจัยที่สำคัญๆ รวมทั้งเป็นอาจารย์อยู่ตามมหาวิทยาลัยทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี

ตอนนี้เนื่องจากว่าอเมริกาปิดล้อมจีน ก็เลยใช้นโยบายชี้ว่านักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยอเมริกันเชื้อสายจีนเป็นภัยคุกคามความมั่นคงสหรัฐฯ ประสาทรับประทาน กลัวว่าจะเป็นสายลับจีนสอดแนมความลับ จารกรรมข้อมูลสำคัญมาให้จีน อเมริกาถึงให้ FBI ติดตามสอบสวน ข่มขู่ ดำเนินคดีนับร้อยราย แล้วท่านผู้ชมเชื่อไหมว่าบางรายตายอย่างมีเงื่อนงำ น่าสงสัย ส่งผลให้นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ นักฟิสิกส์ นักวิจัยเทคโนโลยีเชื้อสายจีนนับพันหวาดผวาและพากันอพยพหนีภัยผิวขาว จากอเมริกา หนีไปอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลับไปประเทศบ้านเกิดเมืองนอน คือประเทศจีน อย่างมากที่สุด


ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า "สมองไหล" ลักษณะนี้ในอเมริกานั้นผิดปกติมากตั้งแต่ปี 2561 (ห้าปีที่แล้ว) เพราะว่ามันเกิดโครงการหนึ่ง เรียกว่า The China Initiative สมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กระทรวงยุติธรรมอเมริกาประกาศข้อกังวลว่าได้มีการจารกรรมทางเศรษฐกิจของจีนอย่างเป็นทางการ ก็เลยเปิดโครงการ The China Initiative พุ่งเป้าไปที่นักวิทยาศาสตร์เชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ในอเมริกา

เรามาฟังคำพูดของอดีตรัฐมนตรียุติธรรม เจฟฟ์ เซสชันส์ (Jeff Sissions) เขาเป็นคนพุ่งเป้าสงสัยว่ามีการจากรรมทรัพย์สินทางปัญญาในห้องทดลองและวิจัยทางวิทยาศาสตร์ให้จีน เขาระบุในแถลงการณ์ว่า กลุ่มนักวิชาการเหล่านี้คือกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง เนื่องจากวัฒนธรรมอันเปิดกว้าง และเป็นพื้นที่สำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้ในระดับสากลที่เอื้อให้มีการไหลผ่านของแนวคิดต่างๆ และทำให้เป็นโอกาสที่จีนจะฉวยหาผลประโยชน์ได้


เราย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว นายทรัมป์ ต้องการปิดล้อมจีนด้านเทคโนโลยี เขามั่นใจว่าจีนต้องขโมยเทคโนโลยีอเมริกาไป จึงเปิดตัวแผนขุดรากถอนโคนจารกรรมของจีนภายในอเมริกาด้วยโครงการ The China Initiative หรือที่เรียกว่า กวาดล้างจารชนจีน เพ่งเล็งไปที่นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยอเมริกันเชื้อสายจีน ผมเรียนให้ทราบแล้วไงท่านผู้ชม ไม่เว้นแม้กระทั่ง ABC : American Born Chinese คือพ่อแม่เป็นจีน พ่ออาจจะเป็นเจ้าของร้านอาหาร หรือแม่อาจจะทำงานล้างชาม แต่ว่าลูกเกิดที่อเมริกา ก็เลยเป็นคนอเมริกา ก็เรียกว่า ABC : American-Chinese Born คนพวกนี้เรียนเก่ง เก่งจริงๆ ทรัมป์เรียกพวกนักวิชาการอเมริกันเชื้อสายจีนว่า Bad Apple (แอปเปิลเน่า)

การตามกล่าวหาจารชนคนทรยศของทรัมป์ ที่ถือว่าตัวเองเป็นราชาแห่งการสืบสวนสอบสวน เริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน 2561 โดยรรัฐบาลกลางอเมริกากำหนดพื้นที่เป้าหมาย 94 แห่งทั่วประเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทันที เขาพุ่งเป้าไปที่นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์อเมริกันเชื้อสายจีนจำนวนมาก

ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2561 - มีนาคม 2564 สองปีกว่าสมัยรัฐบาลทรัมป์ ท่านผู้ชมรู้ไหม มีนักวิชาการทางวิจัยอย่างน้อย 1,300 คน รวมทั้งศาสตราจารย์ที่ดำรงตำแหน่งในมหาวิทยาลัยอเมริกา ถูก FBI บุกเข้าค้น พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความกลัวอย่างต่อเนื่อง ว่าจะถูกกล่าวหาและเข้าคุก คุมขังคุกลับ


ยกตัวอย่างกรณีของ ศาสตราจารย์ ซี เสี่ยว ชิง นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน มหาวิทยาลัยเทมเปิล ศาสตราจารย์ซี เป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเทมเปิล ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย โดน FBI ยัดข้อหาจารกรรมข้อมูลแบบพิมพ์เขียวเครื่องทำความร้อนขนาดกระเป๋า (Pocket Heater Use in Super Conductor Research) ให้เพื่อนนักวิจัยที่จีนเมื่อปี 2558 โดยเขาถูกจับคุมขังไว้นานกว่า 4 เดือน ท่านผู้ชมครับ ไม่มีหลักฐานเอาผิดได้ สี่เดือนแล้วก็เลยต้องถูกปล่อยตัว แต่ศาสตราจารย์ซี ไม่ยอม เดินหน้าฟ้องเอาผิดรัฐบาลกลางว่าเจ้าหน้าที่ FBI สร้างข้อมูลเท็จเอาผิดตน และ FBI ข่มขู่เขาจะโดนโทษ 80 ปี ปรับ 1 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งเลือกปฏิบัติต่อคนเชื้อสายจีน ปรากฏว่าตอนแรก ศาลแขวงไม่รับคำฟ้องเขา จึงยื่นอุทธรณ์ จนศาลอุทธรณ์ตัดสินให้เขาชนะคดีวันที่ 24 พฤษภาคม 2-3 ที่ผ่านมานี้เอง เพราะจากคำให้การของเพื่อนนักฟิสิกส์หลายคนแสดงให้เห็นว่าแบบพิมพ์เขียวที่ว่าเป็นผลงานประดิษฐ์ของศาสตราจารย์ซี นั้น ไม่ใช่นวัตกรรมที่เป็นความลับแต่อย่างใด แต่เป็นเทคโนโลยีที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว ข้อกล่าวหาจึงตกไป


ถึงอย่างนั้นก็ตาม เพียงแค่สองปีแรกกระทรวงยุติธรรมยุคนายทรัมป์ ก็อวดอ้างว่าประสบผลสำเร็จในการดำเนินโครงการ The China Initiative

พฤศจิกายน 2565 นายวิลเลียม บาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของอเมริกา แถลงว่า ตัวเลข FBI สืบสวนและจับกุมดำเนินคดีกับนักวิจัยอเมริกันเชื้อสายจีน จับได้ ดำเนินคดีได้ 2,500 คดีแล้ว ทั้งๆ ที่มีผู้วิจารณ์อย่ารงหนักว่านักวิจัยเหล่านี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน่วยข่าวกรองจีนเลย แต่อเมริกาประสาทรับประทานไปแล้ว อะไรถ้ามีตาชั้นเดียว มีผิวเหลือง ล่อมันหมด นี่ไงครับ คนเอเชียในอเมริกา คนไทยที่ใฝ่ฝันเหลือเกิน เห็นอเมริกาเป็นเมืองสวรรค์ นี่ไงเมืองสวรรค์ของพวกคุณ ไม่ใช่หรอก มันเป็นนรกของคนเอเชีย


กันยายน 2563 สามปีที่แล้ว กระทรวงยุติธรรมอเมริกายกเลิกวีซ่านักศึกษาปริญญาโทและนักวิจัยชาวจีนกว่า 1,000 คน กล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์กับกองทัพจีน อย่างไรก็ตาม การตามล่าจารชนจีนนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหยียดสีผิว และกระทบสิทธิพลเมือง จนนำไปสู่การยุติชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ เมื่อต้นปี 2565 หลังจากที่โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี แต่สถานการณ์กลับหนักข้อยิ่งขึ้นไปอีก เพราะทั้งทรัมป์ และ ไบเดน ดูเหมือนจะเชื่อมั่นในข้อสรุปที่ไร้เหตุผลว่า มีสายลับสอดแนมที่เป็นนักวิชาการจีนจำนวนมากในอเมริกา ทำให้การจับกุมอย่างเข้มข้น ไม่ได้หยุดเลย


มีข้อมูลของอเมริกาเองบอกว่านักวิทยาศาสตร์อเมริกันเชื้อสายจีน อยู่ระหว่างสอบสวนมากถึง 150 คน ในจำนวนนี้มี 24 คน ถูกตั้งข้อหาอาญา คดีที่มีชื่อเสียงคดีหนึ่ง คือคดีที่เกิดขึ้นกับ ศาสตราจารย์เฉิน กัง

ศาสตราจารย์ ดร. เฉิน กัง เขาเป็นอดีตหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล ของ MIT และเป็นสมาชิกของ US. National Academy of Engineering หรือสภาการวิศวกรรมสถานแห่งอเมริกา เขาถูกจับกุมเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2564 ห้องทดลองของเขาถูกปิด กลุ่มวิจัยของเขาต้องแยกย้ายกันไปเพราะถูกตัดงบอุดหนุนงานวิจัยทั้งหมด ส่งผลให้ชุมชนนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนในอเมริกา นักวิทยาศาสตร์เชื้อสายจีน เดินทางร่วมกันอภิปรายทั่วประเทศเกี่ยวกับวิธีการป้องกันตนเองและจัดการกับปัญหาท้าทายที่เกิดขึ้น


ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ครับ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรแห่งใหม่ ชื่อ Asian American Scholar Forum ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2564 เพื่อสะสางคดีของ ศาสตราจารย์ ดร. เฉิน กัง ต่อสู้เพื่อความเสมอภาคทางวิชาการ ศาสตราจารย์ สตีเฟ่น ชู อดีตรัฐมนตรีพลังงานสหรัฐฯ อดีตรัฐมนตรีของอเมริกาเลยนะท่านผู้ชม แต่เป็นคนอเมริกันเชื้อสายจีน เป็นอาจารย์วิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยอันดับท็อปของอเมริกา ได้รับรางวัล Nobel Prize สาขาฟิสิกส์ ให้ความเห็นว่าโครงการ The China Initiative ดังกล่าวของรัฐบาล ผลักดันให้ผู้มีความสามารถต่างๆ จากจีน เมินหน้าหนีไปยังหน่วยงานหรือสถาบันต่างๆ ในอเมริกา ทั้งๆ ที่ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนโพ้นทะเล ที่ผมเรียกว่า ABC มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยพัฒนาวิชาการให้มหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรมสหรัฐฯ


จากงานวิจัยศึกษาของทีมนักชีวสถิติ และวิศวกรกลุ่มเล็กๆ จากมหาวิทยาลัยอันดับสูงๆ เช่น มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ฮาร์วาร์ด MIT ร่วมกับสมาคมนักวิชาการชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ได้เผยแพร่ข้อมูลสำคัญในเว็บไซต์ Proceeding of the National Academy of Sciences อธิบายวิธีที่พวกเขาวิเคราะห์แบบสำรวจนักวิชาการชาวจีน 1,304 คน ที่ทำงานในอเมริกา ว่ารู้สึกอย่างไร และสิ่งที่พวกเขาค้นพบคืออะไรบ้าง

ข้อที่หนึ่ง 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถาม รายงานว่า รู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่ยอมรับของอเมริกา 72 เปอร์เซ็นต์ รายงานว่ารู้สึกไม่ปลอดภัย 65 เปอร์เซ็นต์ บอกว่ารู้สึกกังวลในการร่วมมือทางวิชาการและงานวิจัยกับจีน นอกจากนี้ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า 86 เปอร์เซ็นต์ พวกเขายังพบว่าการรับสมัครนักศึกษาต่างชาติระดับสูง เป็นเรื่องยากขึ้น เมื่อเทียบกับเมื่อห้าปีที่แล้ว

มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากหวาดผวาถูกสอบสวนอย่างลับๆ ส่งผลให้เกิดความกลัวกันในการฟ้องร้องที่ไม่มีมูลความจริง ทำให้นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนจำนวนมากกำลังคิดเดินทางออกจากอเมริกาไปต่างประเทศ จากการสำรวจ 61 เปอร์เซ็นต์ คนพวกนี้บอกว่า กำลังถูกกดดันให้ออกนอกอเมริกา 47 เปอร์เซ็นต์ ต้องย้ายไปอยู่ทวีปเอเชีย อยู่ญี่ปุ่น อยู่ไต้หวัน อยู่โน่นอยู่นี่ 46 เปอร์เซ็นต์ ต้องการไปอยู่นอกเอเชีย ปรากฏว่าประเทศจีนกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ไปทำงานมากที่สุด


งานวิจัยผลศึกษาผลกระทบระยะยาวต่อการเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอเมริกา โดยโครงการ The China Initiative ทำให้เกิดความวิตกกังวลและกลัวภัยอย่างกว้างขวางในชุมชนนักวิทยาศาสตร์ของชาวอเมริกาเชื้อสายจีน อาจจะมีส่วนทำให้นักวิจัยทางวิชาการบางคนเชื้อสายจีน อพยพจากอเมริกากลับไปจีน ผมมีตัวอย่างให้ฟัง

2562 ศาสตราจารย์ จู ซ่ง ฉุน นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่ประสบผลสำเร็จ และผู้อำนวยการศูนย์วิสัยทัศน์ ความรู้ ความเข้าใจ การเรียนรู้และอิสระ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในลอสแองเจลิส (UCLA) ได้ประกาศความตั้งใจที่จะเดินทางกลับประเทศจีน ปี 2562 เพราะเขาจะมีโอกาสได้ทำงานมากขึ้น เพราะว่าการอยู่ประเทศจีนนั้น ประเทศจีนรวย ตอนนี้มีเงินมีทอง มีเงินให้ทุนวิจัยมาก แล้วค่าตอบแทนก็สูงกว่าของอเมริกา เขาสามารถจะอพยพทั้งครอบครัวไปได้เลย ได้รับการศึกษาที่ดี ได้รับที่พักอาศัยที่ดี ได้รับเงินเดือนที่ดี ได้รับทุนในการใช้เครื่องมือในการทำงานวิจัยที่ดี


ท่านผู้ชมครับ มันมีบทความชิ้นหนึ่งได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางในสื่อสังคมออนไลน์ของจีน กล่าวขอบคุณการกวาดล้างจารชนของอเมริกา ที่ชื่อว่า The China Initiative ต่อสาธารณชน บทความนี้ว่า การกวาดล้างจารชนของอเมริกานั้นมีผลดีที่ส่งนักวิทยาศาสตร์จีน-อเมริกันชั้นนำ อย่างศาสตราจารย์จู กลับสู่จีน ปัจจุบัน ศาสตราจารย์จู ดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีสถาบันปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) จากที่ไหน ? มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยอันดับท็อปของจีน


ท่านผู้ชมครับ จีนก็เลยเป็นเป้าหมายสำคัญ เพราะเป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายใหญ่ และท่านผู้ชมรู้ไหมว่าจีนแซงหน้าอเมริการในฐานะผู้นำโลก ปัจจัยมีอยู่ 4 ข้อ หนึ่ง ประชากรจำนวนมากและฐานทุนมนุษย์ ประชากรมีมากเหลือเกิน ทำให้ตัวแทนฐานทุนมนุษย์ บุคคลต่างๆ ที่มีคุณภาพ หาได้ง่าย ตลาดแรงงานที่ตอบแทนคุณงามความดีทางวิชาการ และเป็นนโยบายของประเทศจีน สี จิ้นผิง มีแผนพัฒนาประเทศจีนที่ชัดเจนในการลงทุนสู่ความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การอพยพกลับของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่ได้รับการฝึกฝนจากต่างประเทศเชื้อสายจีน ไปยังประเทศจีน เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของประชากรนักวิทยาศาสตร์ วิศวกรชาวอเมริกันเชื้อสายจีน จะมีจำนวนคนที่เดินทางกลับไปยังประเทศจีนน้อยมาก แต่ว่าเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ เพราะตอนนี้เขากำลังกลัวว่างานและชีวิตของพวกเขาในอเมริกาอาจจะได้รับอันตรายจากขบวนการกวาดล้างพวกเขา


ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นมีข้อกังวลทางจิตวิทยาเหล่านี้ ทำให้อาจารย์สาขาวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ผู้มีมาจากสถาบันแห่งรัฐ หลีกเลี่ยงการยื่นขอทุนสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง และการพิจารณาแผนการย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ ผลงานวิจัยศึกษาความรู้สึกไม่ปลอดภัยในฐานะนักวิจัยเชิงวิชาการในอเมริกาเกิดขึ้นจากความกลัว 5 ข้อ หนึ่ง กลัวว่าโดนสืบสวนจับกุมจาก FBI ที่มีอคติต่อนักวิชาการเชื้อสายจีน 67 เปอร์เซ็นต์ สอง ความเกลียดชังต่อต้านชาวเอเชีย และความรุนแรงในอเมริกาซึ่งยังไม่หยุด มีอยู่ 65 เปอร์เซ็นต์ สาม เจ้าหน้าที่อเมริกามักจะโจมตีรัฐบาลจีน นโยบายของจีน 38 เปอร์เซ็นต์ สี่ ครอบครัว เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงานของตนเองอาจจะตกเป็นเป้าหมายของอเมริกาหรือรัฐบาลจีน เพื่อตอบโต้ในสิ่งที่ตนเองพูดหรือทำ 37 เปอร์เซ็นต์ ห้า คนอื่นๆ อาจจะรายงานสิ่งที่ตนพูดหรือทำต่อรัฐบาลสหรัฐฯ หรือรัฐบาลจีน 31 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนจำนวนมากที่มีส่วนร่วมในการวิจัยที่สำคัญ เช่น สาขาที่เกี่ยวข้องกับสงครามเทคโนโลยีของจีนในสหรัฐฯ ที่ละเอียดอ่อนต่อความมั่นคงของชาติ ต่างหวาดผวา อาจตายแบบมีเงื่้อนงำปริศนา ก่อนที่จะเดินทางกลับไปทำงานที่ประเทศจีน ยกตัวอย่างเช่น การตายปริศนาของอัจฉริยะ อาจารย์เริ่น เหวย (任伟)


อาจารย์เริ่น เหวย เป็นอัจฉริยะทางด้านคณิตศาสตร์ชาวจีน อายุแค่ประถม 5 (ป.5) เขาอธิบายแคลคูลัสได้ เขาเรียนมัธยมต้นตอน 9 ปี ได้รับจดหมายตอบรับจาก Imperial College London และมหาวิทยาลัยในเครือข่าย Ivy League หลายแห่งในอเมริกา ตอนอายุแค่ 15 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชิคาโค อายุ 26 ปี ได้รับการว่าจ้างให้เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยชิคาโก ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ก่อนจะได้รับปริญญา ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีสำคัญหลายงานของเขาเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก เขาตัดสินใจจะเดินทางกลับประเทศจีนเพื่อไปทำงาน แต่ก่อนเขาเดินทางกลับในปี 2551 (สิบห้าปีที่แล้ว) เขาถูกพบเป็นศพในโกดังหลังหนึ่ง หลังโบสถ์ร็อกเกอะเฟลเลอร์ ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ตำรวจอเมริกาสรุปแบบหน้าด้านมาก ว่าเป็นการฆ่าตัวตายในภาวะโรคซึมเศร้า อัจฉริยะส่วนใหญ่แล้ว ร้อยทั้งร้อย ไม่มีโรคซึมเศร้าหรอกครับ มีอาการไฮเปอร์มากกว่า


ปรากฏว่าญาติเขาไม่เชื่อว่าเขาฆ่าตัวตาย เพราะนิสัยเขาเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี สุขภาพจิตดี แถมเพื่อนของศาสตราจารย์เริ่น เหวย เล่าให้ฟังว่า อาจารย์เริ่น เหวย มีความฝันที่จะนำความรู้ความเชี่ยวชาญเข้าไปสร้างความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทางทหารของจีนได้ และก่อนตายเพียงไม่กี่วัน เขาปฏิเสธความพยายามของมหาวิทยาลัยชิคาโก ที่พยายามดึงเขาอีกด้วย

อีกคนหนึ่ง ศาสตราจารย์จาง โส่ว เชิ่ง(张首晟) เกิดปี 2506 เขาเรียนแผนกฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น ที่เซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยระดับท็อปของจีน ตั้งแต่อายุ 15 ปี ต่อมาไปเรียนที่เยอรมนี เบอร์ลิน จบหลักสูตรปริญญาโททั้งหมดในเวลาเพียง 3 ปี ต่อมามหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ก มอบปริญญาเอกให้เขาในปี 2539


ต่อมา โปรเฟสเซอร์ จาง โส่ว เชิ่ง ได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยอันดับท็อปของอเมริกา 2514 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกของ America Academy of Arts and Science เพราะผลงานวิจัยของเขามุ่งเน้นไปที่การศึกษาฟิสิกส์ของสสารควบแน่น ซึ่งมีความจำเป็นต่อการพัฒนาอุปกรณ์ชิ้นส่วนวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และการสร้างซูเปอร์คอนดักเตอร์ ซึ่งมันเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ ที่อเมริกาบอยคอตจีนตอนนี้ สั่งห้ามไม่ให้ส่งอุปกรณ์สำคัญทางด้านเซมิคอนดักเตอร์ไปทางจีน

เขาเป็นที่รู้จักในสาขาฟิสิกส์ ในฐานะผู้บุกเบิกการใช้พลังงานเซมิคอนดักเตอร์ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนที่มีอนาคตก้าวหน้าคนนี้ปลิดชีพตัวเองในปี 2561 ก่อนที่เขาจะกลับประเทศจีนเพื่อรับใช้บ้านเกิด สาเหตุการตาย ท่านผู้ชมเดาสิว่าตำรวจว่าอย่างไร ? โรคซึมเศร้าครับ


อีกรายหนึ่ง ศาสตราจารย์ ดร. หลิว ปิง นักวิทยาศาสตร์อเมริกันเชื้อสายจีน วัย 37 เพิ่งได้รับการประกาศจาก University of Pittsburgh School of Medicine ต้นสังกัดของเขาว่า เขาเพิ่งได้ค้นพบเรื่องสำคัญในการวิจัยไวรัสโคโรนา ทันทีเลย เมื่อเขาค้นพบเรื่องสำคัญ เขาถูกพบว่าโดนยิงตาย เสียชีวิตในบ้านของเขา ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับไปประเทศจีน ตำรวจสหรัฐฯ บอกว่าการตายของ ดร.หลิว ปิง เป็นการฆาตกรรมโดยมือปืนคือ นายกู้ ห้าว ซึ่งเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์อาวุโส อายุ 47 ปี ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ตลกไหมท่านผู้ชมครับ หลังจากยิง ดร.หลิว แล้ว นายกู้ ห้าว (ชื่อคล้ายๆ ตู้ห่าวนะ) ก็ยิงตัวตายในรถที่จอดไว้ไม่ไกลจากบ้านผู้ตาย งานนี้ไม่มีหลักฐานใดๆ จากตำรวจเกี่ยวกับคดีนี้

นอกจากเรื่องการตายอย่างมีเงื่อนงำ น่าสงสัยของนักวิทยาศาสตร์เชื้อสายจีนแล้ว อเมริกายังมีนโยบายรับนักศึกษาที่กดขี่และปฏิบัติต่อนักศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ที่มีอยู่แค่ 1.4 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรอเมริกัน

มกราคม 2562 เกิดคดีที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถูกกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติต่อผู้สมัครเชื้อสายจีน เมื่อไปฟ้องร้องมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ก็โดนผู้พิพากษารัฐบาลกลางอเมริกา แมสซาชูเซตส์ ชื่อแอริสัน เบอโรส์ ยกฟ้อง อ้างว่ามาตรฐานการรับนักศึกษาของฮาร์วาร์ดดีแล้ว แม้จะขัดต่อรัฐธรรมนูญที่คุ้มครองเสรีภาพก็ตาม เพราะเกณฑ์รับนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของ SAT สำหรับเกณฑ์นักศึกษาเชื้อสายเอเชียตะวันออกตั้งไว้สูง 2,400 คะแนน จึงจะรับเข้าเรียน คือคุณต้องได้อย่างน้อย 2,400 คะแนน ถึงจะเข้าเรียนฮาร์วาร์ดได้ SAT นี่แค่ 1,500 ก็ถือว่าสูงแล้ว ฮาร์วาร์ดตั้งไว้ 2,400

ฮาร์วาร์ดมีนโยบายการรับนักศึกษาอเมริกันเชื้อสายจีนว่า ต้องมีคะแนนสูงกว่าฝรั่งผิวขาว 140 คะแนน ก็คือถ้าฝรั่งผิวขาวได้ 2,500 คะแนน นักศึกษาอเมริกันเชื้อสายจีนต้องได้ 2,640 ชนะแค่ 10 คะแนน ก็ไม่ได้เข้านะ ต้องชนะถึง 140 คะแนน แล้วเมื่อไปเทียบกับนักศึกษาเชื้อสสาย Hispanic พวกเม็กซิกัน เปอร์โตริกัน ต้องมีคะแนนสูงกว่าพวกนี้ 270 คะแนน ส่วนนักศึกษาเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน คนผิวดำ ต้องสูงกว่า 450 คะแนน

อย่างไรก็ตาม แม้อเมริกาจะมีนโยบายการรับนักศึกษาเข้าศึกษาที่กดขี่ เลือกปฏิบัติต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย มีจำนวนแค่ 1.4 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรอเมริกาทั้งหมด แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า นักศึกษาอเมริกันเชื้อสายจีนกลายเป็นกลุ่มผู้มีความสามารถทางปัญญาถึง 18 เปอร์เซ็นต์ ของกลุ่มปัญญาชนทั้งหมดของอเมริกา


เมื่อปีที่แล้ว เขาแสดงให้เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการเปรียบเทียบรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยของครอบครัวอเมริกันเชื้อสายจีน เปรียบเทียบเฉลี่ยแล้ว ครอบครัวอเมริกันเชื้อสายจีน คือคนจีนที่มีลูกเกิดในอเมริกาและเรียนหนังสือ อัตราเฉลี่ยรายได้ต่อครอบครัว 170,433 ดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยเกือบๆ 6 ล้านบาท เดือนละประมาณ 5 แสนบาท ส่วนครอบครัวผิวขาว เจ้าของประเทศ ท่านผู้ชมทายสิว่ามีเท่าไร ? 74,200 ดอลลาร์ ยังไม่ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้เฉลี่ยของครอบครัวคนอเมริกันเชื้อสายจีน แล้วชาว Hispanic ล่ะ ลาตินอเมริกาล่ะ ? 37,675 ดอลลาร์ ส่วนครอบครัวคนผิวดำ แค่ 32,490 ดอลลาร์ ก็คือว่า แม้กระทั่งการทำมาหากิน คนเชื้อสายจีนก็สามารถทำมาหากินได้เงินมากกว่าคนอเมริกันชาวผิวขาวเสียด้วยซ้ำ แล้วยังมากกว่ามากๆ กับคนอเมริกันเชื้อสายลาติโน่ ไม่ว่าจะเป็นเม็กซิกัน เปอร์โตริกัน และก็มากที่สุดกว่าคนเชื้อสายผิวดำ

ความเก่งกาจ ปัญญาทางด้านวิทยาศาสตร์ และสถานภาพทางเศรษฐกิจของครอบครัว ได้กลายเป็นความหวั่นวิตกกังวลของผู้นำประเทศว่าจะเป็นภัยคุกคามความมั่นคง พวกเขายังคงถูกมองว่าเป็นคนนอกที่ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมอเมริกัน เป็นคนนอกที่มีความมั่งคั่ง แต่อ่อนแอทางอำนาจดูแลตัวเองให้รอดพ้นจากการคุกคามของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จนต้องหนีภัยจากการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะไปจีน ทั้งหมดนี้สร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับจีนในศตวรรษที่ 21 และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมเทคโนโลยีของจีนช่วงหลังถึงก้าวกระโดดเร็วมาก เพราะได้สมองจากคนพวกนี้

ท่ามกลางบรรยากาศที่มองจีนเป็นภัยคุกคามของอเมริกา นักวิทยาศาสตร์เชื้อสายจีนคนหนึ่งระบุตัวเองว่าเป็นพลเมืองสหรัฐฯ เคยได้รางวัล NFS Career Award เขาบอกลาออกจากตำแหน่งทางวิชาการเพราะสิ่งที่มองว่ามันเป็นบรรยากาศที่ต่อต้านจีน เขาบอกว่า "หากไม่ใช่เพราะการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้การเดินทางระหว่างประเทศหยุดชะงักลง และฉันเป็นพลเมืองอเมริกา ครอบครัวฉันคงจะออกจากอเมริกาอย่างถาวร โดยไม่มีความตั้งใจจะกลับมาอีกในอนาคต สิ่งที่ข้าพเจ้าประสบในสถาบันเดิม ไม่เพียงแต่น่าขยะแขยงเท่านั้น แต่รวมทั้งระบบคอร์รัปชันที่เสียหาย ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าผิดกฎหมาย ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าที่ไหนสักแห่งในนี้จะมืดมนและเสื่อมทรามเช่นนี้ ถ้าข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าคงไม่ได้แปลงสัญชาติเป็นพลเมืองอเมริกัน ซึ่งตอนนี้ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจ สิ่งที่ฉันไปประสบมาไม่เพียงแต่ทำลายอาชีพทางวิชาการของฉันเท่านั้น ยังทำลายความฝันแบบอเมริกา (ที่เขาเรียกว่า American Dream) ของฉันอีกด้วย ว่าในที่สุดแล้ว อเมริกาที่แท้จริงแล้วมันอยู่ตรงกันข้ามกับความฝันที่ฉันเคยคิด"

นัย "สี จิ้นผิง" พบ "คิสซินเจอร์"

ท่านผู้ชมครับ พฤหัสบดีที่แล้ว หรือเมื่่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีและเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้พบปะกับนายเฮนรี คิสซินเจอร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในยุคสมัยอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ณ เรือนรับรองเตี้ยวหยูไถ กรุงปักกิ่ง


นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า นายคิสซินเจอร์ เพิ่งฉลองวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 100 ปี เขาเกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 เมื่อไม่นานมานี้ เขาเดินทางมาเยือนจีนตลอดหลายปีที่ผ่านมา กว่า 100 ครั้ง ซึ่งตัวเลข '100' ทั้งสองนี้ ทำให้การเยือนครั้งนี้มีนัยสำคัญเป็นพิเศษ

สี จิ้นผิง กล่าวว่า ขณะที่จีน และอเมริกา อยู่ในจุดพลิกผันสำคัญเมื่อ 52 ปีก่อน หรือปี 2515 ที่ท่านประธานเหมา เจ๋อตง และนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน และนายเฮนรี คิสซินเจอร์ ได้ตัดสินใจอย่างถูกต้องด้วยวิสัยทัศน์ในยุทธศาสตร์ของความร่วมมือกับจีน-สหรัฐฯ ดำเนินการปรับปรุงความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ กลับคืนสู่สภาวะปกติ ซึ่งการตัดสินใจนี้เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศเป็นเวลาช้านาน


สี จิ้นผิง ชี้ว่า ประชาชนชาวจีนให้คุณค่ากับมิตรภาพ (นี่เรื่องจริงครับท่านผู้ชม) ใครเป็นเพื่อนเก่าจีน ใครเคยช่วยเหลือจีนมา จีนไม่เคยลืม ชาวจีนไม่เคยลืมเพื่อนเก่า หรือคุณูปการทางประวัติศาสตร์ของนายคิสซินเจอร์ ในการส่งเสริมความเจริญเติบโตของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ และขยับขยายมิตรภาพระหว่างประชาชนสองประเทศนี้

นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ไม่เคยพานพบมาก่อนในรอบศตวรรษ และภูมิทัศน์ระหว่างประเทศกำลังก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยจีน และสหรัฐฯ กำลังมาถึงทางแยกอีกครั้ง ซึ่งทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องตัดสินใจอีกครั้งว่าจะก้าวไปทางไหน ก้าวอย่างไร จะก้าวไปด้วยกัน หรือจะแยกกันเดิน (นี่ผมพูดเองนะครับ แต่นัยก็เป็นอย่างนี้)


นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า ถ้ามองไปข้างหน้า จีน และอเมริกา สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อประสบความสำเร็จและความเจริญรุ่งเรืองด้วยกัน โดยกุญแจสำคัญคือการปฏิบัติตามหลักการ 3 ประการ ที่ตกลงกันมานานแล้ว หนึ่ง การเคารพซึ่งกันและกัน สอง การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และ การร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย สี จิ้นผิง พูดว่า จีนพร้อมสำรวจหาแนวทางที่ถูกต้องร่วมกับสหรัฐฯ บนหลักการเหล่านี้ เพื่อผลักดันการพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศต่อไปในวันข้างหน้า ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย และก่อประโยชน์ต่อทั่วโลก

ผู้นำจีนยังกล่าวอีกว่า ตนหวังว่านายคิสซินเจอร์ และบุคคลอื่นๆ ที่มองการณ์ไกลในอเมริกา จะยังคงดำเนินการบทบาทเชิงสร้างสรรค์ ด้วยการฟื้นฟูความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ให้กลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง

ส่วนคิสซินเจอร์ แสดงความขอบคุณประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่มาพบปะเขา ณ อาคารหลังที่ 5 ของเรือนรับรองเตี้ยวหยูไถ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาเคยพบปะกับคณะผู้นำจีน ระหว่างการเยือนจีนครั้งแรก พร้อมกับเน้นย้ำว่า ความสัมพันธ์จีน และอเมริกานั้น เป็นความสัมพันธ์ต่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองประเทศ และของโลก


นายคิสซินเจอร์ กล่าวภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน การรักษาหลักการที่กำหนดไว้ในการแถลงการณ์ร่วมเซี่ยงไฮ้ หรือที่รู้จักกันดีในภาษาอังกฤษ ว่า Shanghai Communique' ซึ่งเป็นแถลงการณ์ที่รับรองร่วมกันว่าเกาะไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ถือเป็นสิ่งที่มิอาจจะหลีกเลี่ยง

นายคิสซินเจอร์ บอกว่า เข้าใจที่จีนให้ความสำคัญสูงสุดกับหลักการจีนเดียว และการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ในทิศทางเชิงบวก เขาแสดงความมุ่งมั่นว่าจะพยายามอำนวยความสะดวกแก่การทำความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างชาวอเมริกัน และชาวจีน อย่างต่อเนื่อง

ผมอยากจะเอาข้อความที่สำคัญของ Shanghai Communique' ซึ่งสำคัญมากๆ เอามาอ่านให้ฟัง

ในการประกาศแถลงการณ์ร่วมครั้งนั้นที่เซี่ยงไฮ้ จีนระบุว่า จีนเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายของจีนแต่เพียงผู้เดียว ไต้หวันเป็นเพียงแค่มณฑลหนึ่งของประเทศจีน ซึ่งได้กลับมาสู่แผ่นดินมาตุภูมิมานานแล้ว การปลดปล่อยไต้หวันเป็นเรื่องภายในของจีน ไม่มีประเทศอื่นใดมีสิทธิที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว และกองกำลังสหรัฐฯ และหน่วยงานทางการทหารทั้งหมดจะต้องถอยตัวออกจากไต้หวัน รัฐบาลจีนคัดค้านกิจกรรมใดๆ ที่มุ่งแยก "1 จีน 1 ไต้หวัน" หรือ "1 จีน 2 รัฐบาล" ทางจีนจะไม่ยอมเป็นอันขาด


ส่วนอเมริกาก็ตอบคำถามที่จีนตั้งไว้ ว่า สหรัฐฯ ยอมรับว่าชาวจีนที่ช่องแคบไต้หวันทั้งสองฝั่งมีจีนเพียงหนึ่งเดียว ก็คืออเมริกายืนยันมานานแล้ว ตั้งแต่ 2515 รัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่ท้าทายสถานภาพนั้น (ตรงกันข้าม ณ วันนี้ ทั้งโจ ไบเดน ทั้งอียู พยายามท้าทายสถานภาพดังกล่าว) ในยุคนั้น ริชาร์ด นิกสัน และจีน พูดได้ว่า ยืนยันว่าปัญหาไต้หวันจะยุติอย่างสันติ โดยชาวจีนเองเมื่อคำนึงถึงความคาดหวังนี้ เป็นการยืนยันถึงวัตถุประสงค์สูงสุดของการถอนกองกำลังสหรัฐฯ และฐานทัพทหารทั้งหมดออกจากไต้หวัน ในระหว่างนี้จะค่อยๆ ลดกำลังและกำลังทหารในไต้หวันเมื่อความตึงเครียดในพื้นที่ลดลง

ท่านผู้ชมครับ การมาเยือนจีนของเฮนรี คิสซินเจอร์ ครั้งนี้ มันมีเบื้องลึกเบื้องหลัง ทำไมคนที่เป็นอดีตรัฐมนตรี อายุตั้ง 100 ปี เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ข้ามทวีป มากรุงปักกิ่ง ท่านผู้ชมครับ คนอายุ 100 ปี อย่าว่าแต่นั่งเครื่องบินนานๆ เลย แค่นั่งรถยนต์ประมาณสักจากกรุงเทพฯ ไปปทุมธานี ก็เหนื่อยตายแล้ว นี่ข้ามน้ำข้ามทะเลเป็นหมื่นกิโลเมตรมายังกรุงปักกิ่ง เขาหวังกอบกู้ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับจีนที่ร้าวฉานที่สุดตั้งแต่สองชาติสถาปนาความสัมพันธ์กันเมื่อ 50 ปีก่อน ประชาชนชาวจีนก็ตื่นเต้นกับการเดินทางมาเยือนจีนครั้งนี้ของนายคิสซินเจอร์ อย่างมาก หลายคนบอกว่า นายคิสซินเจอร์ เป็นบุคคลคนเดียวกับที่อยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ที่มีส่วนช่วยให้สาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอเมริกา ใช่หรือเปล่า

ข้อเท็จจริงคือ ในราวๆ 1 เดือนที่ผ่านมา มีนักการเมืองคนสำคัญของสหรัฐฯ เดินทางไปเยือนประเทศจีนหลายต่อหลายคน ถ้าท่านผู้ชมจำได้ ผมเคยเล่าให้ฟังในรายการนี้ทั้งหมดแล้ว ตั้งแต่นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของนายโจ ไบเดน นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจอห์น แคร์รี ทูตพิเศษด้านสภาพอากาศ


ล่าสุด เฮนรี คิสซินเจอร์ โดยการที่ผู้เฒ่าวัย 100 ปี ต้องมาถ่อสังขารข้ามทวีปมายังประเทศจีน เสี่ยงมากทางด้านสุขภาพ แต่ว่าคิสซินเจอร์ เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากในการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอเมริกา กับประเทศจีน เมื่อกว่า 50 ปีก่อน ที่ต้องเดินทางไกลมาอีกครั้ง แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลขณะนี้ไม่มีใครอีกแล้วที่จะเจรจากับจีนได้ ไม่ว่าจะเป็นนายบลิงเคน มา หรือจะส่งใครมา นายหมู นายหมา นายไก่ ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าจีนไม่คุยด้วยแล้ว แต่จีนจะคุยกับเฮนรี คิสซินเจอร์ เสมือนเป็นเพื่อนเก่า เพราะผมเรียนให้ทราบแล้วว่า จีนเป็นคนที่เคารพและให้เกียรติเพื่อนเก่า ภาษาจีนเป็นภาษาหนึ่งซึ่งมีความสำคัญมาก จีนจะเรียกเพื่อนเก่าว่า "เหล่าเผิงหยู่" (老朋友อ่านว่า lǎo péngyǒu) "เหล่า" คือ เก่าแก่ "เผิงหยู่" คือ เพื่อน

ถ้าสังเกตให้ดี การเดินทางเยือนประเทศจีนของนักการเมืองสหรัฐฯ แต่ละคนนั้น ได้รับการต้อนรับจากจีนแตกต่างกันมาก แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ พบกับนายหวัง อี้ ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดด้านการต่างประเทศของจีน


พบกับนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง และขอเข้าพบประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ส่วนนางเจเน็ต เยลเลน และ นายจอห์น แคร์รี พบกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง เท่านั้น ขณะที่เฮนรี คิสซินเจอร์ ที่ตอนนี้ไม่มีตำแหน่งอะไรในรัฐบาลอเมริกา และเดินทางไปเยือนจีนในนามส่วนตัว เขากลับได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากจีน ยังพบปะกับบุคคลสำคัญในจีนเกือบครบ ไม่ว่าจะเป็นนายหวัง อี้ ประธานกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์พรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของนักการทูตของจีน ที่เหนือกว่ารัฐมนตรีต่างประเทศ

คิสซินเจอร์ ได้พบกับนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน ยังพบกับ พล.อ.หลี่ ช่างฝู รัฐมนตรีกลาโหม รวมทั้งนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน


การต้อนรับการเยือนของนายคิสซินเจอร์ ที่เหนือกว่ารัฐมนตรีสหรัฐฯ ที่อยู่ในตำแหน่ง ทำให้นายจอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า น่าเสียดายที่พลเมืองธรรมดาอย่างเช่นเฮนรี คิสซินเจอร์ สามารถพบกับรัฐมนตรีกลาโหมจีน และพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวได้ แต่ผู้แทนอย่างเป็นทางการของอเมริกากลับทำไม่ได้ รัฐบาลสหรัฐฯ ทำได้แค่เพียงรอฟังข่าวจากนายคิสซินเจอร์ ตอนเขากลับมาเท่านั้น

นายจอห์น เคอร์บี แสดงความโง่เง่าเต่าตุ่นออกมาอย่างชัดเจน ไม่ต้องพูดเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าโง่ ไม่พูด ก็ไม่มีใครเขาว่าโง่ เพราะว่าจีนเขาให้เกียรติเฮนรี คิสซินเจอร์ ในขณะซึ่งคุณ ลอยด์ ออสติน อยากจะเจอใจแทบขาด เขาก็ไม่ยอมให้เจอ คุณน่าจะเดาออกว่าทำไมเขาถึงรังเกียจรังชังคุณเช่นนี้

ความหมายที่โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาวพูดถึง ก็คือ พล.อ.หลี่ ช่างฝู รัฐมนตรีกลาโหมของจีน ปฏิเสธที่จะพบกับนายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ในระหว่างที่ทั้งคู่เข้าร่วมประชุมเวทีความมั่นคง Shangri-La Dialogue ช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2566 ที่สิงคโปร์


เนื่องจากอเมริกาใช้มาตรการคว่ำบาตร พล.อ.หลี่ ช่างฝู อ้างว่าเขาเกี่ยวข้องกับการซื้ออาวุธจากรัสเซีย ฝ่ายจีนก็บอกว่า สหรัฐฯ ต้องยกเลิกการคว่ำบาตรก่อน จึงจะเปิดช่องให้รัฐมนตรีกลาโหมทั้งสองประเทศพบปะหารือกันได้ แต่ว่านายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา กลับทำอวดดีตีฝีปาก บอกว่ามาตรการคว่ำบาตรไม่ได้ห้ามรัฐมนตรีของสหรัฐฯ กับจีนพบปะกัน และอ้างว่า จีนตัดสินใจโดยเล่นการเมือง พร้อมโยนความรับผิดชอบว่าการติดต่อทางทหารระหว่างสองประเทศจะมีขึ้นได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับจีน อ๋อ แน่นอนอยู่แล้ว จีนเขาทำตัวให้ยาก เดี๋ยวนี้จะมาสั่งจีนว่าข้าพเจ้าจะขอพบคนนั้นคนนี้ จีนเขาไม่ยอม มีสิทธิ์แค่ไหนจะมาได้พบ

รายงานข่าวจากกรุงปักกิ่ง รายงานว่า (นี่คือคำตอบว่าทำไมคิสซินเจอร์ ถึงต้องพบรัฐมนตรีกลาโหมจีน) นายคิสซินเจอร์ เป็นคนขอร้องเอง เพื่อขอพบรัฐมนตรีกลาโหมจีน ซึ่งฝ่ายจีนก็ตอบตกลง นายคิสซินเจอร์ อดีตเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และยังเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ทำไมเขาอยากพบรัฐมนตรีกลาโหมจีน ? นายคิสซินเจอร์ แสดงความกังวลว่า อเมริกา และจีน กำลังก้าวสู่สงครามเย็นครั้งที่ 2 อาจจะลุกลามไปสู่การเผชิญหน้าทางการทหาร ถ้าสหรัฐฯ กับจีนทำสงคราม ก็จะกลายเป็นหายนะภัยยิ่งกว่าสงครามโลกครั้งก่อนๆ ที่ทำลายอารยธรรมของยุโรปจนสูญสิ้น


50 กว่าปีก่อน คิสซินเจอร์ เป็นคนที่ทลายภูเขาน้ำแข็ง เปิดความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับจีน และเป็นนักการเมืองอเมริกันที่รู้จักและเข้าใจประเทศจีนอย่างดีที่สุดคนหนึ่ง นายคิสซินเจอร์ และกลุ่มอำนาจต่างๆ ในอเมริกาน่าจะตระหนักว่า สงครามระหว่างอเมริกา กับจีน อาจเกิดขึ้นได้จริงๆ แต่ขณะนี้ทั้งๆ ที่มีโอกาสจะเกิดได้อย่างสูง แต่ขณะนี้กลับไม่มีใครในรัฐบาลอเมริกาที่สามารถพูดคุยกับจีนได้เลย เหลือแต่เขาเพียงคนเดียว

ท่านผู้ชมครับ การมาเยือนครั้งนี้ ประเทศจีนจัดเต็มเลยนะ ต้อนรับเพื่อนเก่า "เหล่าเผิงหยู่" ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้ เพราะการเดินทางมารอบนี้ คิสซินเจอร์ ได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แบบเป็นกันเอง ขณะที่นางเจเน็ต เยลเลน และนายจอห์น แคร์รี ซึ่งเดินทางเยือนจีนก่อนหน้านั้น ไม่ได้พบ

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เรียกขานนายคิสซินเจอร์ ว่า "เพื่อนเก่า" (เหย่าเผิงหยู่) ซึ่งเป็นคำที่แสดงความสนิทสนม ผู้นำจีนยังกล่าวว่า ชาวจีนให้ความสำคัญกับมิตรภาพ และจีนไม่มีวันที่จะลืมเพื่อนเก่าของจีนได้


การพบปะครั้งนี้ ได้พบปะกัน ณ อาคารหมายเลข 5 ของเรือนรับรองเตี้ยวหยูไถ อันเป็นสถานที่เดียวกับที่นายคิสซินเจอร์ ได้เคยพบอดีตนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล ตอนที่เขาเยือนประเทศจีนครั้งแรกเมื่อปี 2514 หรือกว่าห้าสิบปีก่อน

ท่านผู้ชมครับ ปกติผู้นำ ผู้แทนต่างชาติ จะเดินทางไปพบผู้นำจีน ณ ทำเนียบรัฐบาล เพราะเป็นพิธีการมาก หรือหารือกันที่มหาศาลาประชาชน แต่ครั้งนี้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นฝ่ายที่เดินทางมาพบนายเฮนรี คิสซินเจอร์ ที่เรือนรับรองเตี้ยวหยูไถ นี่แสดงว่าเป็นการต้อนรับในระดับสูงเป็นพิเศษ ซึ่งจีนจัดให้โดยเฉพาะ จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบให้กับนายคิสซินเจอร์


นอกจากนั้นแล้ว ผู้นำจีนยังจัดงานเลี้ยงอาหารให้แก่นายคิสซินเจอร์ และคณะ ที่เรือนรับรองเตี้ยวหยูไถ แบบอลังการ เต็มไปด้วยนัยอันเป็นมงคล มีนัยของมิตรภาพอันยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นลูกท้ออายุยืน เทพซิ่ว หรือ โซ่ว คือเทพอายุวัฒนะ มีหมด คนจีนเป็นคนที่ชอบใช้สัญลักษณ์


ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเมื่ออยู่เบื้องหลังกล้องโทรทัศน์แล้ว เพื่อนเก่าอย่างนายคิสซินเจอร์ คุยอะไรกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง บ้าง แต่ถ้าดูภูมิหลังจะรู้ว่าคิสซินเจอร์ เป็นนักการเมืองอเมริกาในยุคที่การต่อสู้ทางอุดมการณ์เข้มข้นอย่างยิ่ง แต่ว่านายคิสซินเจอร์ ได้มองการเมืองตามความเป็นจริงว่า การร่วมมือกับประเทศจีนจะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ มากกว่าจะเป็นศัตรูกัน แนวคิดนี้ศัพท์ทางรัฐศาสตร์เขาเรียกว่า Real Politics อันหมายถึงการดำเนินการทางการทูต และการวางตัวทางการเมืองให้สอดคล้องกับสถานการณ์และปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ในขณะนั้น โดยไม่ยึดติดกับอุดมการณ์ใดๆ อย่างชัดเจน ก็คือดูว่าข้อเท็จจริงในขณะนั้นเป็นอย่างไร ก็ดำเนินการทางการเมืองไปแบบนั้น แม้กระทั่งการจัดตั้งรัฐบาลไทยในปัจจุบันนี้ ถ้าใช้คอนเซปต์ กระบวนทัศน์ Real Politics ว่าข้อเท็จจริงในขณะนี้ สถานการณ์เป็นอย่างไร ก็สามารถจะจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยที่ไม่ต้องไปหวั่นเกรงอะไรทั้งสิ้น

ท่านผู้ชมครับ ทำไมผมถึงพูดอย่างนี้ ? วันนี้ไม่มีอุดมการณ์อะไรอีกแล้ว อเมริกากลายเป็นเจ้าโลกทุนนิยม และโลกาภิวัตน์ แต่สองสิ่งนั้นกำลังหันกลับมาเล่นงานอเมริกาเอง เศรษฐกิจอเมริกากำลังเผชิญหน้าอย่างหนัก หนี้สาธารณะที่กู้แล้วกู้อีกยังไม่พอใช้จ่าย ท่านผู้ชมรู้ไหมครับว่าค่าดอกเบี้ยอย่างเดียวขณะนี้ของหนี้สาธารณะอเมริกานั้น ประมาณการว่าถึงสิ้นปีนี้ เฉพาะค่าดอกเบี้ยอย่างเดียว เท่ากับ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ยังประสบภาวะเงินเฟ้ออย่างหนัก 2564 เงินเฟ้อ 7 เปอร์เซ็นต์ 2565 เงินเฟ้อ 6.6 เปอร์เซ็นต์

ทั้งหมดนี้ทำให้เฟด หรือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้ง จาก 0 กลายเป็นประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์กว่า พันธบัตรของอเมริกาถูกเทขายอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากจีน ตอนนี้ประเทศที่ถือครองพันธบัตรของอเมริกามากที่สุดคือประเทศญี่ปุ่น อยู่ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แม้กระทั่งญี่ปุ่นก็เริ่มเทขายพันธบัตรอเมริกาเช่นกัน ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นนั้นเป็นฝ่ายขวาจัดที่อยู่ในแคมป์เดียวกับอเมริกาที่ต้องการปิดล้อมจีนเช่นกัน


อันดับสอง คือประเทศจีน ถือครองอยู่ 846,000 ล้านดอลลาร์ ที่สำคัญคือจีนเทขายพันธบัตรอเมริกาออกมาโดยตลอด และก็มีสัดส่วนการถือครองพันธบัตรที่ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปีของจีน นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ต้องเดินทางไปจีนด้วยท่าทางการอ่อนน้อมค้อมหัว แต่กลับไม่ได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และนายเฮนรี คิสซินเจอร์ ต้องใช้สถานภาพเพื่อนเก่า ถ่อสังขารมายังปักกิ่ง ผมเชื่อว่ามีการพูดคุยอย่างลับๆ ส่วนตัว ขอให้สี จิ้นผิง อย่าเพิ่งละทิ้งพันธบัตรอเมริกา แน่นอนที่สุด


ตลกไหมท่านผู้ชม มหาอำนาจทุนนิยมของอเมริกากลับขอให้คอมมิวนิสต์จีนช่วย นายคิสซินเจอร์ เป็นคนที่มีบทบาทสำคัญที่ทำให้อเมริกามีชัยชนะเหนือสหภาพโซเวียตในสงครามเย็น หรือกล่าวอย่างรวบรัดก็คือ ช่วยให้ทุนนิยมชนะคอมมิวนิสต์ แต่ความเป็นจริงวันนี้ อเมริกา เจ้าแห่งทุนนิยม กำลังพ่ายแพ้สงครามทุนนิยม และขอให้คอมมิวนิสต์อย่างจีนช่วยเหลือ

คิสซินเจอร์ บอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับจีนตอนนี้อยู่ในช่วงสามแพร่ง เหมือนกับตอนที่ตัวเขาและประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ตัดสินใจที่จะสถาปนาความสัมพันธ์กับรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนเมื่อ 51 ปีก่อน เขายังบอกอีกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับจีนจะส่งผลต่อสันติภาพและความรุ่งเรืองของทั้งโลก คำพูดของคิสซินเจอร์ เป็นเรื่องจริง ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างอเมริกากับจีน ไม่เพียงทำให้คู่กรณีทั้งสองฝ่าย คืออเมริกา และจีน ได้รับผลกระทบ แต่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เมื่อช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกราญ เป็นคำพังเพยโบราณซึ่งใช้ได้ตลอดเวลา

ที่ชัดเจนที่สุดคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการระบาดของโควิด-19 ที่โลกเผชิญความชะงักงัน ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ทั่วทั้งโลกจะพบกับความยากลำบากอย่างแน่นอน เพราะทั้งสหรัฐฯ และจีน เป็นคู่ค้ารายสำคัญของทุกประเทศทั่วโลก


ท่านผู้ชมครับ แล้วก็มาแน่นอนล่ะครับ ผู้จัดการใหญ่กองทุนไอเอ็มเอฟ ได้ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการแล้วว่าโลกปีนี้ และปีหน้า ภาษาแถวบ้านผมเขาเรียกว่า เศรษฐกิจมันอิ๊บอ๋ายแน่นอนครับ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากประเทศไทย คือ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มายังประเทศไทยน้อยกว่าเป้าหมายอย่างมาก ผมได้นำเสนอเรื่องนี้ใน SONDHI TALK ไปแล้ว สาเหตุหนึ่งก็คือเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้า เพราะเผชิญกับอุปสรรคจากมาตรการตั้งกำแพงภาษีสินค้าส่งออกและกีดกันเทคโนโลยีของอเมริกา เมื่อเศรษฐกิจประเทศจีนยังมีความไม่แน่นอน ชาวจีนก็เลยลังเลที่จะใช้เงินเพื่อเดินทางเที่ยวต่างประเทศ รัฐบาลจีนเคยประกาศว่า โลกนี้ใหญ่เพียงพอที่จะให้อเมริกาและจีนอยู่ร่วมกัน จีนไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบต่างๆ ของอเมริกา และไม่เคยคิดจะช่วงชิงความเป็นเจ้ากับอเมริกา แต่อเมริกากลับมาปิดล้อมจีนในทุกทาง และนับวันยิ่งหนักข้อมากขึ้น

มาเยือนประเทศจีนของนายเฮนรี คิสซินเจอร์ ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากจีน แต่ว่าจีนจะช่วยเหลือเพื่อนเก่ารายนี้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับท่าทีของอเมริกา ประเทศบ้านเกิดของนายเฮนรี คิสซินเจอร์ เพราะก่อนหน้านี้นายแอนโทนี บลิงเคน ได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าออกจากเมืองจีน นายโจ ไบเดน ก็หลุดปากตำหนิติเตียน หรือแถวบ้านผมเขาเรียกว่า ด่า ผู้นำจีนว่าเป็นเผด็จการ ล่าสุด นายแอนโทนี บลิงเคน ยังกระทำตนเป็นลูกหนี้ผู้ยะโสโอหัง เขาให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า เราจะยังคงพูดและทำสิ่งที่จีนไม่ชอบต่อไป เหมือนกับฝ่ายจีนก็ยังพูดและทำสิ่งที่พวกเราไม่ชอบเหมือนกัน


ด้วยท่าทีที่โอหังมมังการ หน้าไหว้หลังหลอก ของเหล่าผู้นำสหรัฐฯ ตั้งแต่นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดี เรื่อยไปจนถึงนายบลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เช่นนี้ แม้ว่าใครก็ตามที่ไหว้วานเฮนรี คิสซินเจอร์ ให้ถ่อสังขาร เสี่ยงชีวิต ทรมานคนแก่ ไปพบกับผู้นำจีน ณ กรุงปักกิ่ง ก็คงจะปวดหัวไม่น้อย เพราะสุดท้ายหนีไม่พ้นที่จะต้องคว้าน้ำเหลว เสียแรง เสียเวลาไปเปล่าๆ เพราะว่าคนที่มีอำนาจอยู่ในปัจจุบันนี้ ที่ทำเนียบขาว ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ปากเสีย ที่คนแต้จิ๋วเขาเรียกว่า พวกเฉาฉุ่ย

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้จบลงเพียงแค่นี้ อาทิตย์หน้าน่าจะสนุกสนาน เพราะอาทิตย์หน้า พฤหัสฯ หน้า เราน่าจะรู้แล้วว่าใครจะได้เป็นนายกฯ อย่างแน่นอน น่าจะเหลืออยู่ 3 คน อนุทิน ชาญวีรกูล เศรษฐา และ อุ๊งอิ๊ง ใจผมยังคิดว่าผมจะซื้อลอตเตอรี่ชื่อ "อุ๊งอิ๊ง" อย่าให้ผมเล่าเลยว่าเพราะอะไร แต่ผมคิดว่าโอกาสมีสูงมาก ท่านผู้ชมครับ ก่อนจะปิดรายการนี้ อย่าลืมนะครับ ผมพูดเรื่องราวของคนหลายคนมา แต่คนที่ผมพูดแล้วผมภูมิใจที่สุด คือ คุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เพราะเขาทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติมาก ถ้าใครทำสวน ทำไร่ ทำอะไรก็ตาม ชาวไร่ ชาวนา เชื่อผมเถอะครับ อย่าไปใช้ปุ๋ยเคมี ให้หันไปใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทีพีไอ ราคาถูกกว่าปุ่ยเคมี ได้ผลผลิตดีเท่ากัน แต่ขณะเดียวกัน เจริญเติบโตและป้องกันแมลง แมลงจะไม่ลง สวัสดีครับ

กำลังโหลดความคิดเห็น