xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ]SONDHI TALK : GAME OVER “แด๊ดดี้พิธา” - จากหลานธนาธรถึงหยก - นักท่องเที่ยวจีนพลาดเป้ามหาศาล - ลีลาชะชะช่าของแขกอินเดีย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 21 ก.ค.66 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้เป็น

- GAME OVER “แด๊ดดี้พิธา”
- ส.ว.สีเทาซุกปีกส้ม
- จาก "หลานธนาธร" ถึง "หยก"
- นักท่องเที่ยวจีนต่ำเป้ามหาศาล
- สงครามยูเครนใกล้จบแล้ว?
- BRICS เร่งสร้างสกุลเงินใหม่ ไม่สนลีลาชะชะช่าของแขกอินเดีย

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.198



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 199 [21 ก.ค. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK

แอปพลิเคชัน : SONDHI APP

ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.

ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android

เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ

YouTube : Sondhitalk

เว็บไซต์: www.sondhitalk.com

Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 ผมขออนุญาตสวัสดีแฟนๆ รายการที่ชมการถ่ายทอดสดผ่าน YouTube, Sondhi App, Facebook และ TikTok ด้วยครับ

วันนี้มีเรื่องราวหลายเรื่องพอสมควร และเป็นเรื่องที่ทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองนั้นพลาดไม่ได้เลย แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ขอแตะเรื่องบางเรื่องซึ่งบางทีมันไร้สาระมาก แต่บางทีมันเฮงซวย คือช่วงหลังมีคนไปร้องเรียน ใส่ร้ายอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โดยอาจจะเป็นเพราะว่าอาจารย์ปานเทพ ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพออกมา ไม่ว่าจะเป็นฟ้าทะลายโจร และล่าสุดคือ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ไปกล่าวหา ก็พวกที่ค้าขายสมุนไพรด้วยกันหลายๆ ที่นั่นล่ะ อิจฉาริษยา ไปใส่ความว่า "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ของอาจารย์ปานเทพ เป็นยาอันตราย ไม่ได้ขึ้นทะเบียน อย. แล้วสภาผู้บริโภคก็ทันทีเลย ทำโปสเตอร์บอกว่ายาลมฯ ของอาจารย์ปานเทพ เป็นยาอันตราย เข้าไปด้วย ซึ่งสภาผู้บริโภคนั้นก็มีอยู่หลายหน่อ หลายบุคคล ที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังในการทำยา แล้วก็มีความรู้สึกว่ายาหลายประเภทที่สมาชิก สมาคมผู้บริโภคนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาลมคล้ายๆ กัน ก็เลยหาทางป้ายสี


แต่ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่า คนที่ได้รับข้อมูลผิดๆ เขาก็ไม่เชื่อนะ เพราะเขาติดตามข้อมูลมาตลอด และที่สำคัญ มีคนใช้ยาลมฯ ของอาจารย์ปานเทพ มาหลายปี ให้ผลดีจริงๆ ผมเองเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ยืนยันได้ ผมทานมาร่วมสามปีแล้ว ไม่เคยหยุดเลยแม้แต่วันเดียว แต่พอตอนหลัง สภาผู้บริโภคก็เข้าไปตรวจสอบหลักฐานกับ อย. ปรากฏว่ายาลมฯ ของอาจารย์ปานเทพ ไม่ใช่ยาอันตราย ขึ้นทะเบียน อย. ถูกต้องตามกฎหมาย เลขทะเบียน อย. คือ G291/66 ด้วย จึงได้แก้ไขและถอดออกจากยาผิดกฎหมายหรือยาอันตราย ในวันรุ่งขึ้น

ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้มีคนพยายามทำยาแข่งกับอาจารย์ปานเทพ เป็นสูตรอะไรผมไม่รู้ แต่ของอาจารย์ปานเทพ เอาสูตรยามาจากตำราหลวง ซึ่งเก่าแก่มาก และมีบทพิสูจน์กันมาแล้ว

"ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ของอาจารย์ปานเทพ นั้น นอกจากผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนที่ใช้ประจำแล้ว ท่านผู้ชมรู้ไหม ป๊อปปูลาร์มากที่สุดตอนนี้คือในหมู่พระสงฆ์องค์เจ้า ฉันยาลมฯ เยอะมาก เพราะว่าพระสงฆ์องค์เจ้านั้นไม่ได้ไปไหน ชอบนั่งอยู่ตลอด นั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิ นั่งบนธรรมาสน์เทศน์ นั่งให้คนมาถวายสังฆทาน ก็เลยเกิดลมในร่างกายเยอะมาก ที่เขาเรียกว่า ลมขึ้น ยาลมฯ ของอาจารย์ปานเทพ ก็เลยเป็นทางออก ฉันไปแล้วพูดกันปากต่อปากจนกระทั่งเป็นยาที่ป๊อปปูลาร์มากในหมู่พระสงฆ์องค์เจ้า ไม่เว้นทั้งเกจิอาจารย์ รองเกจิอาจารย์ หรือใกล้ๆ จะถึงเกจิอาจารย์แล้ว


"ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ของอาจารย์ปานเทพ เป็นตำรับยาที่มาจากตำรายาแผนไทยของชาติ ประกาศลงราชกิจจานุเบกษาตามกฎหมาย ระบุเอาไว้ชัดเจนตาม "ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์" ในสมัยรัชกาลที่ 5 และมีความหมายตามคัมภีร์ว่า เป็น "ยาอายุวัฒนะ"

ท่านผู้ชม ผมทานเป็นประจำเกือบสามปีแล้ว ท่านผู้ชมดูสิครับ คนอายุ 75 ย่าง 76 แล้ว ผิวหนังยังเต่งตึง ไม่มีเหี่ยว การเดินเหินยังคล่องแคล่ว ไม่มีลมในท้อง ไม่มีโน่นไม่มีนี่

ยาลมขนานนี้ ได้ขึ้นทะเบียน อย. เป็นรายแรกในประวัติศาสตร์ และขณะนี้เป็นรายเดียวในประเทศไทย เพราะฉะนั้นถ้าท่านผู้ชมเจอยาลมอะไรก็ตามใน Shopee, Lazada ที่อ้างว่าเป็นยาลม ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ได้ก่อนเลยว่าเป็นยาที่ไม่มีทะเบียน อย. ตรงนั้นกลับเป็นยาอันตรายมากกว่า แต่ไม่ใช่ของอาจารย์ปานเทพ การที่ได้ทะเบียน อย. เป็นรายแรกในประวัติศาสตร์ในประเทศไทย พิสูจน์ถึงวัตถุดิบ กระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย มีคุณภาพ เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่พยายามเลียนแบบ ไม่มีทะเบียน อย. และยังมีขายตามออนไลน์อีกมาก คุณภาพห่วยมาก วัตถุดิบไม่ครบ ไม่ได้มาตรฐาน ท่านผู้ชมต้องระมัดระวัง อย่าหลงไปเลยนะครับ เห็นเขาโฆษณายาลมในออนไลน์ อย่าไปซื้อ อันตรายมาก หันกลับมาซื้อยาของอาจารย์ปานเทพ

ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า อาทิตย์ที่แล้ว ผมประชาสัมพันธ์ไปว่า เฉพาะช่วงนี้ ใครซื้อ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ของอาจารย์ปานเทพ ครบ 4 กล่อง จะได้รับหนังสือ และเมล็ดสมุนไพร โดยมีจำนวนจำกัด ปรากฏว่ามีผู้ให้ความสนใจเยอะมาก และของใกล้หมดแล้ว โดยสามารถจะเข้าไป inbox ที่ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์" หรือwww.sunherbth.com หรือเข้าไปที่ไลน์ (LINE) @sunherb


อีกเรื่องนะครับ ท่านผู้ชมจำเครื่องทำน้ำด่างได้ไหม ผมเอามาเสนอท่านผู้ชมนานแล้ว ตั้งหลายปีมาแล้ว ขายดิบขายดี น้ำด่างคุ้มค่า ดีต่อสุขภาพ เหมาะกับท่านผู้ชมและครอบครัว ถ้าท่านผู้ชมสนใจเครื่องทำน้ำด่าง หรือน้ำอัลคาไลน์ (Alkaline) สามารถทำน้ำด่างที่มีค่า pH ที่เหมาะสมกับร่างกายไว้ดื่มเพื่อสุขภาพ หรือจะเอาไว้ล้างผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ก็สามารถทำได้ ท่านสามารถเป็นเจ้าของในราคาเพียง 17,900 บาท ท่านสามารถผ่อนได้ ดอกเบี้ย 0% นาน 10 เดือน เดือนละ 1,790 บาท ถ้าท่านซื้อตอนนี้ท่านจะได้รับฟรี เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ ManNature มูลค่า 2,990 บาท ฟรีทันที คุ้มจริงๆ ครับ เพราะเครื่องทำน้ำด่าง ทำน้ำด่างได้น้ำสะอาด มีประโยชน์กับร่างกาย ไว้ให้ทุกคนที่บ้านได้ดื่ม ยังได้เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ สนใจโทรไปที่ pordee คอลเซ็นเตอร์ 02-633-5353 มีคนรับสายทุกวัน ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 2 ทุ่ม แต่ต้องรีบหน่อยนะครับ โปรโมชันนี้มีเวลาจำกัด


ท่านผู้ชมครับ อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องของร้าน SUN PAN ขออนุญาตนิดนะครับ ตอนนี้ร้าน SUN PAN ก็มีโอเลี้ยง ผมเอามากินตอนเช้า กินแล้วสดชื่น แล้วก็มีหมูกรอบ หมูแท่ง ปลาแท่ง มีขนมปัง มีสเปรด ไปได้เลยครับท่านผู้ชม อย่าช้า อยู่ที่ปั๊ม ปตท. ถนนวิภาวดีรังสิต ตรงกันข้ามกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เรามีเรื่องการเมืองเสียส่วนใหญ่ แล้วก็มีเรื่องต่างประเทศแซมเข้ามา เรื่องแรกที่เราจะพูดคือ จบแล้วครับ มันจบแล้วนาย คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แต่ว่าเบื้องหลังการจบ เบื้องหลังการถูกถอดถอนออกมาว่าไม่มีสิทธิ์แล้ว ตลอดจนเรื่องศาลรัฐธรรมนูญนั้น ดูให้ดีๆ ครับ มันมีเบื้องหลังจริงๆ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง

เรื่องที่สอง ผมเห็นทางฝั่งคอนด้อมส้ม ก้าวไกล เชียร์ ส.ว. ที่ยกคะแนนเสียง ยกมือให้ในรอบแรก 13 ท่าน แล้วในรอบที่สองหายไป 5 เหลืออยู่ 8 ผมอยากจะพูดถึง ส.ว. บางคน ผมเรียกว่าเป็น "ส.ว. สีเทา" แอบแฝงอยู่ในด้อมส้ม ชื่อเดิมคนนี้ชื่อ พล.ต.ท.จิตติ รอดบางยาง แต่เขามีชื่อใหม่ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง

อีกเรื่องหนึ่ง คือ ผมเปรียบเทียบหลานของคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่โดนคดี 112 กับ "น้องหยก" ที่โดนเช่นกัน ว่าทั้งสองฝ่ายนั้นต่างกันมาก หลานของคุณธนาธร นั้น จบลงได้ด้วยดี แต่ "น้องหยก" กลับกลายเป็นเด็กผู้หญิงที่ถูกชูขึ้นมาเพื่อบูชายัญ

เรื่องที่สี่ สัญญาณสัมพันธ์ไทย-จีน ไม่เหมือนเดิมแล้วครับ ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า ตอนนี้ยอดนักท่องเที่ยวจีน ผมเคยเตือนแล้วใช่ไหม จำได้หรือเปล่า ต่ำลงมาแล้ว ต่ำเป้าอย่างมหาศาล

เรื่องที่ห้า ผมฟันธงเลยครับ สงครามยูเครนใกล้จบแล้ว และกำลังเริ่มหายนะบริบทใหม่

และอีกเรื่อง เงินสกุล BRICS ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อจะเอามาแทนดอลลาร์ และบทบาทของคนที่ผมจะพูดถึงมากที่สุด คือ อินเดีย เพราะว่าอินเดียนั้นถนัดการเต้นชะชะช่า ท่านผู้ชมดูระบำอินเดียไหมล่ะครับ ซ้ายที ขวาที ถามว่ามีจุดยืนไหม ไม่มีหรอกนะ เป็นนิสัยใจคอของคนอินเดีย แล้วก็สะท้อนถึงรัฐบาลอินเดีย และนายกรัฐมนตรีอินเดีย เป็นอย่างนี้ทุกคน เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าเป็นอย่างนี้เพราะอะไร

GAME OVER "แด๊ดดี้พิธา"


ท่านผู้ชมครับ เมื่อวานซืนนี้ คือวันพุธที่ 19 กรกฎาคม มีเหตุการณ์ทางการเมือง สำคัญมาก เกิดขึ้น 2 อย่าง เหตุการณ์แรกคือ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ รับคำร้องจาก กกต. ไว้พิจารณาวินิจฉัย กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า สมาชิกภาพของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ได้สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ เนื่องจากถือหุ้นไอทีวีอยู่ 42,000 หุ้น และยังมีมติ 7 ต่อ 2 สั่งให้นายพิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ทันที ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม หลังรับคำร้องปมถือหุ้นสื่อ ทำให้ส่อสิ้นสมาชิกภาพ ไว้วินิจฉัย โดยให้เวลาชี้แจง 15 วัน

ท่านผู้ชมสังเกตอะไรอย่างไหม เรื่องของพิธา มันซ้ำรอยเรื่องของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซ้ำรอยอย่างไร ? มาในแนวเดียวกันเลย คำถามที่ผมพยายามตั้งคำถาม ถามว่า ทั้งพิธา ทั้งธนาธร ทั้งปิยบุตร รวมทั้งเลขาฯ พรรค นายชัยธวัช หรือ นายต๋อม ก็เป็นคนที่มีการศึกษา เฉลียวฉลาด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายต๋อม ชัยธวัช ดูแล้วน่าจะเป็นคนที่รอบคอบมาก แต่ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้มันหลุดไปได้ แล้วมันหลุดไปแบบที่เถียงไม่ออก เพราะว่ากติกามันชัดเจน และที่สำคัญที่สุด ไม่เคยมีใครคิด แนวทางที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โดนนั้น เป็นแนวทางเดียวกันกับคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พอมีเรื่องแบบนี้ขึ้นมาทำให้ผมอดคิดไม่ได้ ท่านผู้ชมครับ วันนี้เรามาคุยกันอย่างเปิดอกกันนิด ตรงไปตรงมา


ผมมีความรู้สึก และผมคิดว่า มันน่าจะถูกต้องว่าการที่พิธา โดนเล่นงานทางศาลรัฐธรรมนูญนั้น คุณธนาธร ปิยบุตร และ ต๋อม ชัยธวัช รู้เห็นเป็นใจด้วย ทำไมผมถึงพูดเช่นนั้น ? ผมพูดเช่นนั้นเพราะว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ช่วงหลังเป็นคนที่เริ่มออกอาการ อาการอะไร ? อาการหลงตัวเอง อาการทะเยอทะยาน คนที่หลงตัวเองและทะเยอทะยาน ที่ไปที่ไหน ยังไม่ทันไร ก็บอกว่าผม ว่าที่นายกรัฐมนตรี


เรียกคนนู้นมาประชุม เรียกข้าราชการมาประชุม ไปประชุมกับ อบต. ไปประชุมกับ อบจ. กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปหมดทุกจุด ประชุมกับสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมฯ และไปพูดเพื่อให้ฟังเท่ๆ แสดงว่าคุณพิธา ไม่ได้กังวลในเรื่องหุ้นสื่อเลย ถึงแสดงออกไปแบบไหน เต็มตัวเลย ท่านผู้ชมจำที่ผมพูดนี่แล้วไปไล่ดูเหตุการณ์ ท่านผู้ชมที่ติดตามข่าวการเมืองจะเห็นว่าคุณพิธา เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือที่ไหนมีแสง คุณพิธา จะไปหมด เพื่อโชว์ออฟ ไม่ว่าจะไปโชว์รูปหัวใจกับทีมนักวอลเลย์บอลหญิง ฯลฯ


ถ้าให้ผมวิเคราะห์นะ ท่านผู้ชม คุณธนาธณ คุณช่อ-พรรณิการ์ และ คุณปิยบุตร นั้น ถูกสั่งห้ามเล่นการเมืองคราวที่แล้ว จาการยุบพรรคอนาคตใหม่ คำถามมีอยู่ว่า ถ้าคุณพิธา ผ่านวิกฤตไปได้และเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่ามันไม่มีพื้นที่ให้คุณปิยบุตร ไม่มีพื้นที่ให้คุณธนาธร มาแสดงออกเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าคุณพิธา เป็นหัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี

ท่านผู้ชมอาจจะไม่รู้ว่าคุณต๋อม ชัยธวัช เลขาธิการพรรคก้าวไกล เป็นใคร มาจากไหน จริงๆ แล้วเป็นคนที่สนิทสนมกับคุณธนาธร เหมือนกับเป็นร่างเดียวกันเลย


กล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณต๋อม เป็นคนที่มีความคิดทางการเมืองลึกซึ้ง และเป็นคนที่ขายไอเดียทางการเมืองให้กับคุณธนาธร การที่คุณต๋อม ชัยธวัช มานั่งเป็นเลขาฯ พรรค ก็คือว่า คุณธนาธร ส่งมาคุมคุณพิธา นั่นเอง นี่คือการอ่านเกมของผมนะครับ อ๋อ แน่นอนที่สุด ฝั่งก้าวไกลอาจจะออกมาปฏิเสธโน่นปฏิเสธนี่ แต่ว่าถ้าดูตามรูปทรงแล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ และผมยังเชื่อเลยว่าเรื่องหุ้นไอทีวีนั้น ถ้าผมอ่านข่าวในตอนต้นๆ ผมมีความรู้สึกว่าคุณพิธา ไม่กังวล บอกว่าตอบคำถามได้ โน่นนี่นั่น รับรองไม่มีปัญหา ผมเชื่อว่าไม่มีปัญหา คนที่ไม่กังวลและบอกว่าตอบคำถามได้ และไม่มีปัญหานี้ ไม่ใช่มาจากสมองพิธา คนเดียว มันจะต้องถูกปลุกปั่น สวมความคิดจากคนที่ใกล้ชิดคุณพิธา แล้วคนซึ่งเป็นฝั่งของคุณธนาธร บอกว่า เรื่องนี้ไม่เหมือนธนาธร เรื่องนี้อย่างไรก็ไม่โดน นี่คือประเด็นแรก การปูทางให้คุณพิธา ตกหลุมพรางกับดัก

วันนี้ลึกๆ แล้ว ท่านผู้ชมครับ และพวกติ่งส้ม ด้อมส้ม คอนด้อมส้ม พวกไร้สติปัญญา เด็กเมื่อวานซืน เหมือนกับที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ พูด ว่าพวกคุณน่ะ เด็กเมื่อวานซืน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ


เขาท้าทายคุณมาชุมนุม มีกี่คนล่ะ ถึงจะมีมาเต็มบ้านเต็มเมือง คุณกล้าค้างคืนไหมล่ะ ? คุณก็ไม่กล้า คุณน่ะมันไก่อ่อน เทียบอะไรกับพวกผมไม่ได้หรอก สมัยที่พวกผมเดินนำหน้า คุณต้องรู้ว่าการเมืองมาถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว อุดมการณ์มันไม่มี ลึกๆ แล้วคุณธนาธร กับคุณปิยบุตร ใฝ่ฝันที่จะให้พรรคก้าวไกลโอนตัวเองกลับมาเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่ตัวเองไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ มีแต่แซมออกมาว่า เป็นรัฐบาลไม่ได้ก็มาเป็นฝ่ายค้านดีกว่า แต่จริงๆ แล้วไม่อยากให้พิธา เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่อยาก เพราะว่าตัวเองนั้นยึดมั่นในการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ก็เลยเอาเรื่องมาตรา 112 เป็นเชือกมาคล้องคอพิธา เอาไว้


ท่านผู้ชมครับ เรามาทำความเข้าใจกับคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สักนิดหนึ่ง คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นคนหนุ่ม อายุ 42 ปี เรียนจบจากฮาร์วาร์ด MIT การศึกษาดีเลิศ หน้าตาดี เหมือนดาราเกาหลี ชาติตระกูลก็ดี เป็นเพียงแต่ว่ามีคนตั้งข้อสงสัยว่าทำไมญาติพี่น้องของคุณพิธา อาๆ ของคุณพิธา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งเป็นอาของคุณพิธา สาปส่งคุณพิธา สาปแช่งด้วย เมื่อคนใกล้ชิดไปถามถึง เขาบอกว่า เพราะว่าคุณพิธา ตอนบริหารงานธุรกิจของครอบครัวอยู่นั้น มีความไม่โปร่งใสในเรื่องการเงินการทอง ทำให้บริษัทล้มละลาย


วันที่คุณพิธา ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค วันนั้นก็แสดงศักยภาพในการพูด คุณพิธา เป็นคนพูดเก่ง พูดได้ดี คนที่พูดเก่งและพูดได้ดีนั้น มีอยู่ 2 ประการ เก่งโดยพื้นฐานของตัวเอง พูดได้ดีด้วยความจริงใจ นี่ก็ประเด็นหนึ่ง อีกประเด็นหนึ่ง พูดเก่ง พูดดี ก็เพราะพูดโกหก โกหกพกลมเพื่อเอาคะแนนเสียงใส่ตัว นั่นคือที่มาว่าทำไมสิ่งที่คุณพิธา พูด จะถูกจับโกหกมาตลอดเวลา ซึ่งผมเคยเน้นย้ำแล้วว่า นี่คืออีกข้อหนึ่งที่ผมยอมรับคุณพิธา ไม่ได้ เพราะว่าคุณพิธา โกหกประชาชนเพื่อเอาแสงเข้าตัว


เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเราเอาพวกนี้ตัดทิ้งไปหมด ก็เหลืออยู่อย่างเดียว ความทะเยอทะยานเป็นส่วนตัวของคุณพิธา ตอนนั้นคุณพิธา โด่งดังมาก ตัวเองเหมือนเทพลอยอยู่บนท้องฟ้า มีคนแซะว่า แอฟ ทักษอร ว่าอย่างไร คุณพิธา ก็ยิ้มอย่างเท่ แล้วบอก แอฟว่าอย่างไร ผมก็ว่าอย่างนั้นครับ คือคุณพิธา จะเป็นคนที่แสวงหาอำนาจและอยากมีอำนาจอย่างมาก แต่ว่าเขาโดนคุณธนาธร คุณปิยบุตร และ ต๋อม-ชัยธวัช เอาเชือกคล้องคอไว้ เชือกของมาตรา 112 บังคับให้คุณพิธา ถอยไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ผมเชื่ออย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ถ้าไม่มีเชือก 112 ที่คุณธนาธร ปิยบุตร และชัยธวัช มาคล้องคอไว้ คุณพิธา พร้อมจะถอยเรื่อง 112 เพราะคุณพิธา อยากเป็นนายกรัฐมนตรีมาก และลึกๆ แล้วผมก็เชื่อว่าคุณพิธา ไม่ได้คิดร้ายต่อสถาบันกษัตริย์ แต่ว่าถูกพาไป เหมือนกระแสน้ำมันเชี่ยวชมาก คุณพิธา เป็นใบไม้ใบหนึ่งอยู่ในกระแสน้ำ ถูกพัดพาไปเลย หยุดก็หยุดไม่ได้ ต้องเลยตามเลย ช่างมันเถอะ แล้วก็แล้วไป แล้วก็มีสมาชิกพรรคหลายคน ไม่ว่าจะเป็นคุณวิโรจน์ หลายๆ คน ก็ออกมาบอกว่าต้องยันที่ 112 ถึงเกิดวลีที่คุณชาดา พูดไง ว่าถ้าคุณแก้ 112 ไปแล้ว ประเทศไทยจะขึ้นสวรรค์หรือเปล่า


เรื่องอื่นคุณไม่สนใจเลย สนใจอยู่เรื่องเดียวเลย คือจะต้องล้มสถาบันกษัตริย์ให้ได้ และนี่คือการพ่ายแพ้ครั้งแรกในการโหวต

ท่านผู้ชมครับ ผมไม่อยากจะสงสารคุณพิธา เพราะอะไรรู้ไหม ? อายุ 42 ปี จบฮาร์วาร์ด จบ MIT สติปัญญาที่จะวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ มันไม่มีเหรอ ถ้าคุณพิธา มีความเชื่อมั่นว่า 112 ไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ผมโดนแขวนคอด้วยป้าย 112


ถ้าเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะดี ก็ต้องพูดกับพรรคพวกสิ เฮ้ย ไม่ได้นะ ผมไม่ผลักดัน 112 นะ เพราะว่าเราจะหมดโอกาสในการเป็นรัฐบาล เราจะพลาดโอกาสในการทำตามนโยบายที่เราพูดเอาไว้ 299 ข้อ แต่คุณพิธา ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะพูดเช่นนั้น เพราะว่ากิเลสของความอยากเป็นนายรัฐมนตรีมันแรงเหลือเกิน มันแรง แต่ในที่สุดพอเดินถึงทางตันแล้ว ก็กลุ้มใจ ไม่รู้จะไปอย่างไร

ท่านผู้ชมครับ นี่คือการวิเคราะห์ของผม และผมเชื่อมั่นครับ จะปฏิเสธอย่างไรก็ตาม แนวโน้มเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตอนนี้คุณพิธา ไม่ได้เป็น ส.ส. แล้วนี่ สภาฯ ก็เข้าไม่ได้ เผลอๆ พรรคตัวเอง เพราะว่าถ้าคุณพิธา ถูกถอดถอดเพราะเรื่องถือหุ้นสื่อ วาระต่อไปก็คือยื่นเพื่อยุบพรรค

อีกประการหนึ่ง ท่านผู้ชมครับ ผมต้องให้สติปัญญากับพวกคอด้อมส้มนิดหนึ่ง อย่าใช้ความคิดสถุนๆ นี้ออกมา คุณทำโพสต์ออกมาเลย แล้วคุณใช้เทคนิคทางเทคโนโลยีผลักดันโพสต์นั้นออกไป โพสต์นั้นพูดง่ายๆ ว่า ศาลพระภูมินั้นยังดีกว่าศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลรัฐธรรมนูญก็คือศาลพระภูมินั่นเอง ท่านผู้ชมครับ คิดตามผมมา


ความคิดสถุนแบบนี้ มันเป็นความคิดที่เห็นแก่ได้ เป็นความคิดที่เข้าข้างตัวเอง ถ้าเมื่อวันที่ 19 ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าคุณพิธา ไม่ผิด พวกคุณก็จะเชียร์ศาลรัฐธรรมนูญ ใช่ไหม แต่เผอิยคำพิพากษาอะไรถ้ามันไม่ถูกใจพวกคุณ พวกคุณก็ออกมาด่าศาล ด่าจนเสียผู้เสียคน อินฟลูเอนเซอร์หลายคนนั่งอยู่ ชุมนุมอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย


บอกว่าการได้รับเลือกตั้งเป็นพรรคที่หนึ่ง ยังเป็นนายกฯ ไม่ได้ เฮ้ย! ผมเคยพูดเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว คุณเปิดกะโหลกกะลาของคุณ คิดให้ดีหน่อย ผมบอกคุณแล้วไง ผมบอกว่า นี่คือการเลือกนายกรัฐมนตรีตามหลักเกณฑ์ของการเมืองตามระบอบรัฐสภา ไม่ใช่การเลือกตั้งประธานาธิปดี ที่คุณได้รับเลือกคะแนนเสียงมากที่สุด คุณก็มีสิทธิ์ได้เป็นประธานาธิบดีเลย มันไม่ใช่

มีคนถามผมว่า ช่วยอุปมาอุปไมยเรื่องคุณพิธา หน่อยได้ไหม และพวกติ่งส้ม ด้อมส้ม ที่โง่แล้วยังพยายามอวดฉลาด อ้างวาทกรรมเก่าๆ ที่มันฟังไม่ขึ้น ไม่มีตรรกะ มันเหมือนบ้านหลังหนึ่ง เด็กคนหนึ่งอยากจะเล่นของเล่นชิ้นหนึ่งมาก ของเล่นวางอยู่บนชั้น พยายามจะไขว่คว้า พ่อแม่เด็กคนนี้ก็บอกว่า กติกาของบ้านหลังนี้มีว่า ถ้าหากคุณ ถ้าหนู/ลูก ไม่ทำการบ้านก่อน ทำการบ้านเสร็จแล้วไม่ไปอาบน้ำ ไม่ไปทานข้าวก่อน พอทานข้าวเสร็จแล้วไม่อาบน้ำ-แปรงฟัน ก็จะไม่มีสิทธิ์จะได้ของเล่นนั้นมาเล่น นี่คือกติกา ก็เหมือนกติกาที่รัฐธรรมนูญปี 2560 ได้ตั้งเอาไว้ แล้วกติกานี้ คุณมาด่าโคตรพ่อโคตรแม่กติกานี้ได้อย่างไร ก็คุณก็รู้ไม่ใช่หรือว่ากติกานี้เขามีอยู่แล้ว แล้วคุณมาเล่นตามการเมืองในระบอบที่เขามีกติกาแบบนี้ เมื่อมันมีกติกาแบบนี้ ถ้ามันผิดพลาดขึ้นมา คุณต้องโทษตัวเอง อย่าไปด่ากติกา เพราะกติกามันอยู่ของมันอยู่แล้ว เหมือนของเล่นมันอยู่ของมันอยู่แล้ว คุณจะเล่นของเล่นได้ คุณต้องผ่าน 1..2..3.. พ่อแม่ถึงจะบอกว่า ลูกทำการบ้านเสร็จแล้ว ลูกทานข้าวแล้ว ลูกอาบน้ำ-แปรงฟันแล้ว เอาล่ะ ไปเล่นของเล่นได้แล้ว เข้าใจหรือยังครับ


แล้วกติกานี้มันไม่ใช่เพิ่งมา มันผ่านการประชามติของคนตั้ง 15-16 ล้านเสียง มากกว่าคะแนนเสียงของก้าวไกลที่ได้อีก ผมนี่อดไม่ได้ ผมไม่ได้มีอคติอะไรเลยกับคนรุ่นใหม่ องค์กรผมมีคนรุ่นใหม่เยอะ ผมเป็นคนที่อายุมาก 70 กว่าแล้ว ที่คนรุ่นใหม่ในองค์กรผมเขายอมรับว่าความคิดยังเฉียบแหลม เฉียบคม ยังมองอะไรอย่างมีวิสัยทัศน์ มองไปอย่างไกลๆ เลยหลายเรื่อง แต่ผมเห็นพวก ส.ส. ของพรรคก้าวไกล ละอ่อนทั้งนั้น บางคนเคยเป็น Grab ขี่มอเตอร์ไซค์ส่งของ ผมไม่ได้ดูถูกอาชีพนะ อย่าเข้าใจผิด ผมเป็นเพียงบอกว่าคนพวกนี้ประสบการณ์ไม่มี ถ้าจะพูดว่าพวกคุณแพ้ประสบการณ์ทางการเมืองในสภาฯ กับคนรุ่นเก่าที่อยู่ในสภาฯ แล้ว พูดไม่ผิด คุณอาจจะชนะ กว่าที่คุณจะมาได้เสียงข้างมาก ผมก็รู้ว่าคุณทำอะไร คุณปั่นกระแสโซเชียลมีเดียมาเป็นปีๆ แล้ว แล้วในช่วงก่อนเลือกตั้ง 2-3 เดือน คุณทุ่ม IO ของคุณ ใช้เทคโนโลยีของคุณผลักดันให้คนอยู่ในโลกสมมุติ เข้าใจผิด เพราะว่าความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว กว่าความจริงจะปรากฏ คุณก็ได้รับเลือกตั้ง ชนะไปแล้ว คุณได้อำนาจไปเรียบร้อยแล้ว นี่คือวิธีการที่พวกคุณทำ และวันนี้คุณก็ทำอีก เพราะคุณแพ้เสียงในศาลรัฐธรรมนุญ คุณก็บอกว่าศาลรัฐธรรมนูญเหมือนศาลพระภูมิ ศาลพระภูมิยังดีกว่าศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลรัฐธรรมนูญก็คือศาลพระภูมินั่นเอง คุณเริ่มปั่นแล้วไง กระจายออกไป ทำให้คนที่ไม่เข้าใจรายละเอียดอย่างที่ผมพูดออกมา


ท่านผู้ชมครับ เราต้องยอมรับ คนไทยส่วนใหญ่แล้วเป็นคนที่ไม่มีปัญญา อ่านเฉพาะ 2-3 บรรทัด ในโซเชียลมีเดีย แล้วก็เชื่อมันไปเลย เพราะฉะนั้นแล้ว คุณภาพ ลักษณะนิสัยคนไทย มันช่างเหมาะสมกับกระบวนการทั้งหลายที่พรรคก้าวไกล หรือกลุ่มแกนนำพรรคก้าวไกล ใช้เทคโนโลยีแล้วโกหกพกลม

2475 ท่านผู้ชมจำได้ไหม โกหกพกลมมาตลอด นี่คือการเปิดประตูประชาธิปไตย แต่พอเราเอาข้อเท็จจริงมาฟาดให้ดูว่า 2475 คณะราษฎร แท้ที่จริงมันคือคณะโจร เงียบกริบ! แล้วผมยังค้างท่านผู้ชมอยู่ ผมไม่ลืม ที่ผมบอกว่าผมมีหลักฐานชิ้นสำคัญ ทีเด็ด ที่ไม่มีใครมี ที่เปิดออกมาจะเป็นการพิสูจน์ว่า 2475 คณะราษฎร ก็คือคณะโจรที่แท้จริง หลักฐานนี้มัดอย่างแน่นหนา เถียงอะไรไม่ออกทั้งสิ้น ใจเย็นๆ มันอยู่ในมือผมแล้ว ขึ้นอยู่กับจังหวะ เมื่อไรถึงจะเอาออกมาเปิดเผยกันได้

สิ่งหนึ่งที่ผมกำลังสงสัยว่าถ้ามีการยุบพรรคก้าวไกลขึ้นมา ลักษณะการเมืองจะเป็นอย่างไร ? จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม ? อ๋อ แน่นอนที่สุด ก็คงจะมีขบวนการออกมาปั่นกระแสอีก ทำไมพรรคอื่นไม่ยุบ ทำไมยุบพรรคก้าวไกล


ท่านผู้ชมครับ สรุปง่ายๆ เฉพาะเอาตอนต้นนี้ เรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ สรุปง่ายๆ ว่า ในที่สุดแล้วคุณพิธา แพ้ภัยตัวเอง คุณพิธา คุณนั่งเงียบๆ คิดถึงคำพูดที่ผมพูดนะ ตัดทิ้งความเกลียดความชังผมออก แล้วดูซิว่าเนื้อหาที่ผมพูดนั้นมีเหตุมีผลหรือเปล่า คุณตกหลุมพรางกับดักในเรื่องมาตรา 112 ทำให้คุณอึดอัดใจ ไม่รู้จะเดินทางไหนดี แล้วผมก็จะบอกให้คุณวิโรจน์ ทราบ คุณวิโรจน์ ห้าวเป้งมากในเรื่อง 112


ผมไม่มีอำนาจ แต่ถ้าผมมีอำนาจ ผมจะพนันกับคุณวิโรจน์ เลย คุณวิโรจน์ เอาไหม คุณยื่นไปเลย 112 แล้วให้ ส.ส. ในสภาฯ ไม่ต้องมีวุฒิสมาชิกหรอก มีอิสระในการลงคะแนนเสียง แล้วลงไปเลยว่า ระหว่างที่คุณต้องการเอา 112 มาแก้ไข และนำไปสู่การล้มล้างสถาบันกษัตริย์นั้น กับ ปกป้อง เก็บ 112 เอาไว้ ใครจะชนะใครในสภาฯ เอาไหมคุณวิโรจน์ ถ้าคุณแพ้ในสภาฯ เรื่องนี้ คุณห้ามพูดเรื่องนี้ และคุณห้ามเอาเรื่องนี้เข้ามาพูดอีกต่อไป ไม่ว่าจะกรณีใดทั้งสิ้น เป็นระยะเวลา 4 ปี ของรัฐบาลที่กำลังจะตั้งขึ้นมาใหม่ ถ้าคุณมั่นใจมากนัก นี่ขนาดเสียงในสภาฯ นะ ถ้าจะทำประชามติกันทั่วประเทศ อย่างไรคุณก็แพ้ เพราะคนที่ไม่เอากษัตริย์ ไม่เอาสถาบันกษัตริย์นั้นมีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ในประเทศไทย ผมยังไม่แน่ใจเลยว่ามีถึง 5 เปอร์เซ็นต์ หรือเปล่า เสียด้วยซ้ำ เพราะว่ามีแต่พวกคุณเย้วๆ ไป แล้วคุณก็ไปหลอกเด็ก อย่างแบมเอน ทานตะวันเอย น้องหยกเอย ออกมา สายนส้ำเอย พวกนี้ คุณเก่งนักในการที่จะหลอกเด็กเพื่อให้เด็กมาตายแทนพวกคุณ


ท่านผู้ชมครับ แกนนำพรรคก้าวไกลครับ ผมรู้ว่าคุณพยายามจะปลุกคนขึ้นมาตลอดเวลา ตอนนี้ แต่คุณปลุกไม่ขึ้น คุณจำไม่ได้หรือ ในโซเชียลมีเดีย อะไรที่มันมหึมา มโหฬาร เป็นเอกฉันท์ แต่ถ้าให้เกรียนคีย์บอร์ดลงมาเดินถนน แล้วค้างคืน ปักหลัก ไม่มีใครมาหรอก เพราะพวกคุณมันเด็กเมื่อวานซืน ไม่เหมือนไอ้แก่หนังเหนียวเหมือนอย่างผม หรือหลายๆ คนที่เคยประท้วงมาแล้ว ติ่งส้ม คอนด้อมส้ม นี่คือของจริง ของคุณมันตลก หลอกแดก ภูมิใจนักหนาใช่ไหมว่าทวิตเตอร์ขึ้น Google Trend อันโน้นขึ้น Google Trend มันเรื่องสมมุติทั้งนั้น ออกมาเลย ออกมาเลย อย่าช้า ออกมาเลย ในที่สุดแล้วมันจบลงด้วยพิธา หมดอำนาจ แล้วเขาต้องไปฟาดฟันกันเองในพรรค เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าก้าวไกลไม่มีพิธา ต่อไป คนพวกนี้ก็คือเจ้าของตัวจริงของพรรคก้าวไกล ก็จะเริ่มโผล่หน้ามาแล้ว คราวนี้เรื่อง 112 ก็จะเข้มข้นมากขึ้นกว่าเก่า

อีกเรื่องหนึ่งที่คุณพิธา จะต้องสำเหนียกเอาไว้ การประชุมร่วมกันของรัฐสภา ถกเถียงกันเหลือเกิน โต้กันมาตราโน้นมาตรานี้ ก้าวไกลก็บอกว่า เอาเถอะ มันไม่ใช่ญัตติ มันเป็นวาระโน่นนี่นั่น จนในที่สุด ประธานสภาฯ คือคุณวันนอร์ ก็บอกว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ตัดสินกันเองแล้วกัน ว่าสิ่งที่เถียงกันว่ามันเป็นวาระ หรือเป็นญัตติ


ก็ปรากฏว่ายกคะแนนเสียงแล้ว 394 เสียง บอกว่ามันเป็นญัตติ ไม่เห็นด้วย คิดว่าไม่ใช่ญัตติ มีแค่ 312 เสียง งดออกเสียง 8 ไม่ลงคะแนนเสียง 1 เพราะฉะนั้นแล้ว คุณพิธา คุณพ่ายแพ้อย่างหมดรูป


มีคนถามผมว่าคุณพิธา คืออะไร เมื่อวานนี้ ผมเรียกว่า กิ้งกือหกคะแมน เพราะคุณพิธา คิดว่าคุณพิธา เป็นกิ้งกือที่ล้มไม่ได้ แต่ปรากฏว่ากิ้งกือซึ่งมีขา 1,000 ขา ไม่ควรจะหกคะเมนล้มได้ แต่มันล้มได้แล้ว ก็แสดงว่าจบลงด้วยว่าไม่สามารถเสนอชื่อคุณพิธา ได้อีกเป็นครั้งที่สอง ผีซ้ำด้ำพลอยเจอคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญอีก เท่ากับว่า คุณพิธา เดินเข้ามา อย่างที่คุณหน่อยคุณหญิงสุดารัตน์ บอกว่า ตำแหน่งนี้ไม่สำคัญเท่าตำนาน ผมไม่รู้ คุณหญิงหน่อยอาจจะมองคุณพิธา ในตำนานอีกแบบหนึ่ง แต่ผมมองคุณพิธา ในตำนานว่า เป็นคนที่ไม่รู้ความ ไม่รู้เรื่อง หลงตัวเอง ใฝ่ฝันที่จะคว้าอำนาจทุกวิถีทาง พร้อมจะโกหกได้ทุกเรื่องเพื่อให้ตัวเองได้อำนาจ สำหรับผมครับ คุณหญิงหน่อย นี่คือตำนานคุณพิธา


แล้วพอเราพิจารณาดูให้ดีๆ แล้ว พรรคร่วมรัฐบาลของคุณที่จะต้องลงมติว่ามันไม่ใช่ญัตติ ทะลึ่งหายไป 2 เสียง แล้วที่สำคัญ คือ มี ส.ว. ที่โหวต คราวที่แล้วคุณได้ไป 13 เสียง แต่งวดนี้เหลือแค่ 8 เสียง มีคุณหมอไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ คุณเฉลา พวงมาลัย คุณซากีย์ พิทักษ์คุมพล พล.ต.ท.ณัฏฐวัฒก์ รอดบางยาง คุณพิศาล มาณวพัฒน์ คุณมณเฑียร บุญตัน คุณวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ และ คุณประภาศรี สุฉันทบุตร


คุณประภาศรี นี่เป็นคนที่หลงตัวเองมาก โพสต์ข่าวตัวเองว่าไปที่ไหนมีแต่คนชมเชย ทำงานได้ดี คุณประภาศรี คุณเพิ่งกลับจากโลกอังคารหรือ คุณไม่รู้หรือว่านิสัยคนไทยเป็นอย่างไร การที่เขาชมเชยคุณ เขาไม่ได้ชมเชยเพราะว่าเขายืนข้างคุณนะ แต่เพราะในฐานะคุณเป็น ส.ว. มากกว่า


อีกเรื่องหนึ่ง พล.ต.ท.ณัฏฐวัฒก์ รอดบางยาง ที่้โหวตให้คุณพิธา ทั้งครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าชื่อเดิมชื่ออะไร ? พล.ต.ท.จิตติ รอดบางยาง ฉายา "ฉลามตาฟาง" อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 เป็น ส.ว. ได้เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนแต่งตั้งขึ้นมา งานนี้ พล.ต.ท.ณัฏณวัฒก์ หรือชื่อเดิม จิตติ รอดบางยาง นั้น หักหลัง พล.อ.ประยุทธ์ อย่างเจ็บแสบที่สุด เพราะอะไร ท่านผู้ชมรู้ไหม ?


พล.ต.ท.ณัฏฐวัฒก์ นั้น อดีตเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และเป็นคนที่หนุนหลัง "หลงจู๊สมชาย" เจ้าของบ่อนการพนันที่โดนข้อหาฟอกเงิน โดนโน่นโดนนี่ มีลูกชายคนหนึ่งกำลังถูกดำเนินคดีอยู่ที่ดีเอสไอ จะถามว่าเป็นสายสีเทาหรือเปล่า ก็น่าจะใกล้เคียง เพราะฉะนั้นแล้ว ติ่งส้ม นี่ไง วุฒิสมาชิกคนหนึ่งที่โหวตให้คุณก็เป็นคนหนึ่งที่สังคมตั้งคำถามว่า คนนี้เกี่ยวข้องกับทุนสีเทา ทุนการพนันอยู่ทางภาคตะวันออก นี่ไง คุณอย่าเพิ่งคิดว่าคุณเท่


เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ หลายต่อหลายคนก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเขาไม่เอาคุณพิธา อย่างชัดเจน ด้วยการชี้แจงให้เห็นเลยว่า ญัตตินั้นเป็นญัตติ ไม่ใช่วาระ และทำให้คุณพิธา ไม่สามารถจะถูกเสนอชื่อได้เป็นครั้งที่สอง ซึ่งตัว anticlimax ก็คือคุณพิธา ถูกระงับ ไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่อีกต่อไป

จากหลานธนาธร ถึง หยก

วันนี้ผมมีเรื่องเปรียบเทียบกันระหว่างเด็กสองคน คนหนึ่งคือ เป็นหลานของคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อีกคนหนึ่งคือ "น้องหยก"

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2566 ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด บูลลี่ทางสังคมออนไลน์ หรือที่เรียกว่า ศชอ. ได้เปิดเผยความคืบหน้ากรณีความผิดมาตรา 112 ของ นางสาว อ. อายุ 19 ปี ซึ่งเป็นลูกหลานตระกูล "จึงรุ่งเรืองกิจ"


ลำดับเหตุการณ์ที่เป็นเหตุเมื่อสองปีก่อน ดังนี้

13 กุมภาพันธ์ สองปีที่แล้ว (2564) มีม็อบสามนิ้วกลุ่มราษฎร ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บริเวณหน้าศาลฎีกา ม็อบสามนิ้วใช้ความรุนแรง ขว้างปาสิ่งของ ทั้งระเบิดปิงปอง ก้อนหิน ขวดน้ำ วัตถุอื่นๆ ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 20 คน พลเรือนประมาณ 5 คน


14 กุมภาพันธ์ วันต่อมา นางสาว อ. ซึ่งเป็นหลานของคุณธนาธร บรรยายข้อความในคลิปที่โพสต์ลงบนทวิตเตอร์ส่วนตัว เนื้อหาโจมตีในหลวงรัชกาลที่ 10 อย่างรุนแรง

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ศชอ. นำหลักฐานมอบให้ ปอท. พร้อมแจ้งความดำเนินคดี นางสาว อ. ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112

23 กุมภาพันธ์ ตำรวจ ปอท. เรียกผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งนางสาว อ. มารดา ทนายด่าง นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความประจำศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้เดินทางเข้าพบตำรวจตามหมายเรียก


หลังจากนั้นผ่านไปประมาณสักปีหนึ่ง อัยการสั่งฟ้อง นางสาว อ. ในข้อหาความผิดมาตรา 112

12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ศาลนัดไต่สวนพยานโจทก์ ซึ่งวันดังกล่าว ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด บูลลี่ทางสังคมออนไลน์ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า นางสาว อ. รับสารภาพทุกข้อกล่าวหา เนื่องจากเป็นเยาวชน ผู้พิพากษามีความเมตตา จึงให้ไปทำแผนบำบัดฟื้นฟูร่วมกับสหวิชาชีพ ผู้พิพากษาสมทบ นักจิตวิทยา มาส่งศาลพิจารณาอนุมัติเพื่อนำเป็นการปฏิบัติปรับปรุงตัว ถ้าเป็นเยาวชนและไม่เคยกระทำความผิด ต้องโทษมาก่อน ศาลจะให้โอกาส ก็คือจะไม่ติดคุก แต่ต้องมีการทำโน่นทำนี่ให้สังคม


ทีนี้ พอเราไปสืบค้นที่มาที่ไปของ นางสาว อ. เธอมีความเคลื่อนไหวคล้ายๆ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ ต่างก็กล่าวพาดพิงหมิ่นเหม่ถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ เอาตัวไปเกี่ยวข้องกับแกนนำที่เป็นไอคอนในการประท้วงที่ฮ่องกง อย่างโจชัว หว่อง ซึ่งตอนหลังนี้ โจชัว หว่อง กลายเป็นนักโทษถูกจำคุกในหลายต่อหลายคดี ผมจะเปรียบเทียบให้ดู

วันที่ 5 ตุลาคม 2562 ธนาธร ถ่ายภาพกับ โจชัว หว่อง แล้วได้รับเชิญไปพูดที่งาน Open Future Festival ที่ฮ่องกง ในหัวข้อ "Inside the Mind of Asia Next Gen Politicians"


ต่อมา เดือนพฤศจิกายน 2563 เว็บไซต์บีบีซี ภาคภาษาจีน ได้จัดให้นายโจชัว หว่อง แกนนำการประท้วงฮ่องกง ต่อสายให้พูดคุยกับ นางสาว อ. ซึ่งตอนนั้นเป็นหนึ่งในเยาวชนที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหว "กลุ่มเยาวชนปลดแอก" ซึ่งเยาวชนฮ่องกง และไทย ร่วมมือกันในนาม "พันธมิตรชานม"

ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า ตอนนั้น การชุมนุมที่ประเทศไทย มีการประกาศว่า "เรารักฮ่องกง" และ "คืนเอกราชให้ฮ่องกง" พร้อมทั้งชูธงกลุ่มผู้ประท้วงฮ่องกง ธงกลุ่มผู้แยกดินแดนไต้หวัน และทิเบต


จากกรณี นางสาว อ. หลานสาวของคุณธนาธร เมื่อหันมาดู "น้องหยก" ที่โดนคดีมาตรา 112 เหมือนกัน จากการที่ไปพ่นสีสเปรย์ข้อความจาบจ้วงสถาบัน เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2565 จากนั้นมาโดนจับกุมตัวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2566 ท่านผู้ชมจำได้ไหมว่าวันนั้น "น้องหยก" นั่งหันหลังต่อหน้าบัลลังก์ศาล เพื่อแสดงสัญลักษณ์ปฏิเสธอำนาจศาล ปฏิเสธกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งไม่ขอยื่นประกันตัว ทั้งๆ ที่ตอนแรกแม่ของหยก ด้วยความเป็นห่วงลูก ก็รีบมาทำการประกันตัวต่อศาล ปรากฏว่า "ผักบุ้ง" เนติพร และกลุ่มทะลุวัง คัดค้านว่าไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของหยก สุดท้ายเลยต้องเข้าไปอยู่ที่บ้านปรานี


ทั้งๆ ที่ในตอนที่โดนดำเนินคดีตามกฎหมายมาตรา 112 ทั้งสองคนอายุพอๆ กัน แต่ทำไมตอนนั้นศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ทำไมนายอานนท์ นำภา แกนนำม็อบสามนิ้ว จึงไม่แนะนำให้ "หยก" ทำแบบเดียวกับหลานสาวของคุณธนาธร นั่นคือการรับสารภาพ นี่หรือความเท่าเทียมกันที่เด็กสามนิ้วเรียกร้อง ตรึกตรองดูมันเป็นความเป็นธรรมที่เท่าเทียมกันไหม นางสาว อ. หลานสาวแกนนำคณะก้าวหน้า ซึ่งเป็นเยาวชนในขณะนั้น โพสต์ข้อความหมิ่นเบื้องสูง ถูกฟ้องคดีอาญา มาตรา 112 หลังถูกฟ้องแล้ว ทำตัวเงียบ เก็บตัว ไม่ทำผิดซ้ำซาก ไม่มีการสร้างเรื่องสร้างราวเพื่อกระทำผิดต่อเนื่อง พอเรื่องขึ้นสู่ศาล วันนัดสืบพยาน รับสารภาพทุกข้อหา ศาลเมตตาให้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์แทนการลงโทษอาญา เรื่องราวก็จบลงได้สวยๆ กลับไปเรียนหนังสือ กลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่


ส่วนลูกหลานคนอื่นที่เป็นเยาวชน แกนนำคณะก้าวหน้า กลับผลักให้ไปยืนอยู่แนวหน้า ปีนรั้วโรงเรียน ยกย่องให้เป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตยเพื่อต่อต้านอำนาจรัฐ สร้างสตอรี่ต่อเนื่อง ให้ทำผิดต่อไปซ้ำซาก สร้างให้เกิดกระแสเยาวชนถูกกฎหมายมาตรา 112 รังแก ทั้งๆ ที่เรื่องราวความผิดมาตรา 112 มันจบง่ายๆ เหมือนอย่างที่ นางสาว อ. รับสารภาพ และศาลพร้อมให้ความเมตตาอยู่แล้ว แต่ที่มันไม่จบก็เพราะพวก "อีแอบ" ที่เป็นผู้ใหญ่ทั้งหลาย ไม่ต้องการให้ปิดคดี แต่ต้องการให้หาประโยชน์จากเยาวชนที่ไม่ใช่ลูกหลานของตัวเอง


ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ ความชั่วร้าย ความเลวทรามบัดซบของอ้ายและอี ที่ผลักดัน "น้องหยก" ขึ้นไปเป็นแพะบูชายัญ แล้วสร้างภาพให้เห็นว่าศาลรังแกเด็ก ตรงกันข้ามกับหลานของธนาธร ที่สารภาพ แล้วศาลมีเมตตา ให้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ อยู่เงียบๆ กลับไปเรียนหนังสือ อยู่กับพ่อแม่ ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง ความแตกต่างของคนสองคน


สัญญาณสัมพันธ์ไทย-จีน ไม่เหมือนเดิม

ท่านผู้ชมครับ หลังจากที่ประเทศไทยเปิดประเทศเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 หรือประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมา ยกเลิกมาตรการการควบคุมเรื่องโควิด-19 ก็เลยมีการคาดการณ์อย่างมากเลยว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะ เริ่มแรก รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะมีเข้ามา 25-30 ล้านคน จะนำเงินเข้าประเทศประมาณ 1 ล้านล้าบาท - 1.55 ล้านล้านบาท ในจำนวน 25-30 ล้านคน นักท่องเที่ยวที่ตั้งเป้าเอาไว้ รัฐบาลวางเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 25-30 เปอร์เซ็นต์ ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด คือประมาณ 7 ล้านคน ต่อมาก็เลยปรับลงมาเหลือ 5.3 ล้านคน


พวกผมไปดูจากสถิติของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ล่าสุด พบว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ตั้งแต่มกราคม-มิถุนายน 2566 ท่านผู้ชมรู้ไหมว่ามีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยแค่ 1.5 ล้านคน เท่านั้น แล้วก็แนวโน้มคงจะทำให้รัฐบาลไทยพลาดเป้า ถึงแม้ว่าจะปรับลดเป้าลงมาแล้ว จาก 7 ล้านคน เหลือแค่ 5.3 ล้านคน ก็ตาม

ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ประเด็นอยู่ที่ว่าถ้าเราขาดนักท่องเที่ยวไป ก็แปลว่าเป้าหมายใหญ่ คือปี 2566 ซึ่งคาดหวังให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาประเทศไทย 30 ล้านคน ก็คงยากจะถึงเป้าหมายเช่นกัน


ผมดูจากสถิติแล้วพบว่านักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาประเทศไทยขณะนี้ลดน้อยลงอย่างมาก คิดเป็นแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยในปี 2562 ช่วงก่อนโควิด ตอนนั้นมาถึง 10-11 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 4 หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่มาเยือนเมืองไทย

สถานการณ์ของนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาน้อยกว่าเป้าหมายนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น หลายประเทศอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ ยังไม่มีประเทศไหนที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวใน 5 เดือนแรก ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ของระดับก่อนปี 2562 แต่ว่าประเทศไทยค่อนข้างได้รับผลกระทบมาก เพราะว่าเราพึ่งพาเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวสูงมาก


พอเรามานั่งดู วิเคราะห์เหตุผลกันทั้งหมดแล้ว เหตุที่คนจีนลังเลที่จะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศนั้น อาจจะเป็นเพราะว่า หนึ่ง เศรษฐกิจจีนมีความไม่แน่นอน หลังจากที่ประเทศจีนปลดล็อกโควิดให้เป็นศูนย์ เมื่อต้นปี 2566 ก็เลยทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกต่างประเทศน้อยลง ประเทศต่างๆ ก็ต้องช่วงชิงกันเพื่อให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมายังประเทศตน ประเทศไทยเดิมเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวจีน แต่ตอนนี้น่าสนใจมากท่านผู้ชมครับ นักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากกลับไม่เลือกที่จะมาเที่ยวเมืองไทยแล้ว

ข้อมูลจากเว็บไซต์ Trip.com แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวออนไลน์ ระบุว่า ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนปีนี้ ประเทศไทยกลายเป็นอันดับ 4 ตัวเลือกของนักท่องเที่ยวจีน รองจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ทั้งๆ ที่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วว่าเที่ยวญี่ปุ่นค่าใช้จ่ายสูงกว่า ส่วนสิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ก็มีความหลากหลายทางการท่องเที่ยวน้อยกว่าประเทศไทยมาก แต่ทำไมประเทศเหล่านี้ถึงเป็นเป้าหมายอันดับแรกๆ ของนักท่องเที่ยวจีนที่เลือกจะไปเที่ยว และการที่นักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวประเทศไทยต่ำกว่าเป้าหมาย ทำให้หน่วยงานต่างๆ ปรับลดตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจไทย โดยนักเศรษฐศาสตร์ โนมูระ โฮลดิ้งส์ บริษัทหลักทรัพย์ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยลงเหลือแค่ 3.4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเดิมทีตั้งเป้าไว้ว่า 4 เปอร์เซ็นต์


เรามาวิสัชนากันดีไหมท่านผู้ชม ว่าทำไมนักท่องเที่ยวจีนจึงมาเที่ยวเมืองไทยน้อยลง ? ทีมงานผมไปตรวจสอบแล้ว สอบถามกับชาวจีน ปรากฏว่าข้อมูลในอินเทอร์เน็ตพบว่าสื่อสังคมออนไลน์ของจีนมีแฮชแท็กที่เขียนว่า "ทำไมทุกคนไม่อยากไปเที่ยวเมืองไทยกันแล้ว" ตอนนี้ก็เลยมีคำตอบว่า ประมาณ 4 ข้อ ข้อแรก กังวลเรื่องความปลอดภัย ข้อที่สอง ตอนนี้วีซ่ายุ่งยากมากกว่าเดิมเยอะเลย ข้อที่สาม ประเทศอื่นมีที่ๆ น่าไปเที่ยวมากกว่า และข้อที่สี่ ค่าใช้จ่ายเริ่มแพงขึ้นมากแล้ว

พอพูดไปแล้ว ท่านผู้ชมหลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าเรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องที่ชาวจีนกังวลมากที่สุด ประเทศไทยทำไมถึงกลายเป็นดินแดนอันตรายในสายตาคนจีนไปแล้ว สาเหตุในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา มีคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับคนจีนในประเทศไทยจำนวนมาก มีทั้งการหลอกลวง การเรียกค่าไถ่ จนกระทั่งถึงการฆาตกรรม คดีที่เกิดขึ้นกับคนจีนส่วนใหญ่เป็นคนจีนฆ่าคนจีน คนจีนจับตัวคนจีนเรียกค่าไถ่ แต่เผอิญคดีพวกนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย เลยทำให้ประเทศไทยมีภาพลบออกมามาก


คดีที่สะเทือนขวัญที่สุดคือกรณีจับนักศึกษาชาวจีน วัย 22 ไปเรียกค่าไถ่ และฆ่าทิ้ง เอาศพไปที่จังหวัดนนทบุรี คดีนี้ถูกรายงานโดยสื่อมวลชนของจีนอย่างครึกโครม ฆาตกรที่เป็นคนจีน หลบหนีจากเมืองไทยกลับประเทศจีน แต่ก็ถูกตำรวจจีนจับได้ในเวลาต่อมา แต่เรื่องราวแบบนี้ท่านผู้ชมรู้ไหม ได้รับการรายงานโดยสื่อมวลชนของจีน และเผยแพร่ในโลกออนไลน์ เลยทำให้คนจีนกังวลเกี่ยวกับการมาเที่ยวเมืองไทย

ท่านผู้ชมครับ ยังมีอีก นอกจากคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับคนจีน ยังถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการปราบปรามกลุ่มจีนสีเทาด้วย ซึ่งชาวจีนบางส่วนกังวลว่าจะลุกลามเป็นการต่อต้านชาวจีน


ท่านทูต หาน จื้อ เฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ถึงกับให้สัมภาษณ์ว่า ต้องระมัดระกวังกลุ่มที่มีเจตนาซ่อนเร้น ใช้เรื่องทุนจีนสีเทามาทำลายความสัมพันธ์ของประเทศไทยกับประเทศจีน ซึ่งผมพูดไปแล้ว อธิบายให้ฟังไปแล้วว่า คนไทยที่ชอบอ้างว่า เมืองไทยนั้นทุนที่มาคือทุนจีนสีเทา ไม่ว่าจะเป็นคนที่พยายามที่จะทำตัวหิวแสง ไม่ว่าจะเป็นคุณวิโรจน์ หรือคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตอนนี้ผลมันสะท้อนกลับมาแล้ว ถามว่าคนที่โจมตีเรื่องทุนจีนสีเทาโดยไม่ดูหน้าดูหลัง ไม่แยกแยะให้ถูก เพราะว่าทุนจีนสีเทานั้น คนที่ผิดจริงๆ ก็คือข้าราชการไทย คือข้าราชการตำรวจนั่นเอง ที่สนับสนุนให้ทุนจีนสีเทาเกิด แต่กลับไม่โจมตีเขา


ข้อมูลสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ระบุว่า มีชาวจีนเผชิญกับความไม่ปลอดภัย ทั้งอาชญากรรม อุบัติเหตุ รวมถึงยาเสพติด สถานทูตจีนออกมาเตือนแถลงการณ์เลย ล่าสุด เว็บไซต์สถานทูตจีนประจำประเทศไทย ยังโพสต์ข้อมูลป้องกันการหลอกลวงเพื่อให้คนจีนระมัดระวังตัว นี่แสดงว่าการหลอกลวงและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นประเด็นที่ใหญ่มาก

นอกจากคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นต่อคนจีนที่เกิดขึ้นจริงแล้ว ท่านผู้ชมรู้ไหมว่ายังมีข่าวปลอม เฟกนิวส์ เรื่องความปลอดภัยในประเทศไทยแพร่หลายอย่างมากในโลกออนไลน์ของจีน เช่น นักท่องเที่ยวจีนถูกขโมยไตไปขาย นักท่องเที่ยวถูกลักพาตัวไปโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น


ข่าวเท็จเหล่านี้มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทยอย่างมาก ตอนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องสั่งให้โฆษกประจำสำนักนายกฯ ออกแถลงแก้ข่าว สถานทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง ก็แถลงการณ์ว่า ไทยให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน

แต่ว่าท่าทีการตั้งรับของรัฐบาลไทย ไม่สามารถทำให้ชาวจีนมั่นใจในความปลอดภัยได้ ขณะซึ่งกระทรวงดีอีของภาครัฐ ก็ไม่ได้มีมาตรการอะไรที่จะสกัดกั้นข่าวปลอมที่ทำลายชื่อเสียงของประเทศโดยเฉพาะ ยิ่งในช่วงที่การเมืองยังไม่นิ่ง ยิ่งทำให้มาตรการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ชัดเจน

อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนมาเยอะคือการคุมเข้มวีซ่า วัตถุประสงค์ของการคุมเข้มวีซ่าก็คือป้องกันจีนเทา กระทรวงการต่างประเทศไทยได้ตั้งเงื่อนไขการอนุมัติวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อป้องกันกลุ่มจีนเทา เช่น นักท่องเที่ยวจีนขอวีซ่าเข้าไทยต้องมีหลักฐานแสดงเงินในบัญชีธนาคาร มีจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 หยวน หรือประมาณ 250,000 บาท ถือว่าเป็นการสร้างเงื่อนไขที่ยากยิ่งกว่าการเดินทางไปเที่ยวยุโรป หรือสหรัฐฯ อีก นอกจากนั้นแล้ว กระทรวงการต่างประเทศยังได้ขอความร่วมมือไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองฝั่งจีน ให้ตรวจสอบตั้งแต่ต้นทาง ก่อนอนุมัติให้ชาวจีนออกนอกประเทศมาเที่ยวไทย


ท่านผู้ชมครับ ผมพูดแล้ว และผมจะพูดอีก ความคิดของกระทรวงการต่างประเทศไทยนั้นล้าหลัง จีนสีเทา จะตั้งเงื่อนไขอย่างไรก็ตาม ถ้าจีนสีเทาจะมาทำมาหากินในเมืองไทย เงิน 50,000 หยวน เขามีให้ ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาเลย แต่เมื่อเราไปตีขลุมเหมาว่าการที่เราเข้มงวดเรื่องวีซ่าเพราะว่าเราต้องการจะป้องกันจีนเทา ซึ่งผิดฝาผิดเหล่ามากเลย เพราะจีนเทาถ้ามันจะเข้าเมืองไทย เงินขอวีซ่า 50,000 หยวน ไม่มีความหมายหรอก แต่มันไปกระทบภาพรวมของคนจีนที่ต้องการมาเที่ยวประเทศไทย แต่พอเริ่มปั๊บ ก็ติดปัญหานี้ทันที แล้ว Visa on Arrival ก็ช้า บางทีต้องใช้เวลาตั้ง 3-4 ชั่วโมง ถึงจะได้ Visa on Arrival แถวยาวเหยียดเลย ผมคิดว่าเรากำลังสร้างนโยบาย และกระทรวงการต่างประเทศรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เอาจีนสีเทาเป็นตัวตั้ง แล้วสร้างมาตรการมาล้อมนักท่องเที่ยวจีนทั้งหมด เลยไม่น่าประหลาดใจว่าทำไมประเทศไทยถึงไม่เป็นมิตรในสายตาของคนจีนในปัจจุบัน


มาขอ Visa on Arrival ประเทไทยนี่ต้องรออยู่ที่ ตม. ประมาณ 4-5 ชั่วโมง น่าสงสารเหมือนกันนักท่องเที่ยว ผมเห็นใจเขา ที่เข้ามาแล้วต้องเจอแบบนี้

ประเทศจีนเขาระบุว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่นักท่องเที่ยวมือใหม่ชาวจีนจะเดินทางออกนอกประเทศ คือคนจีนที่ยังไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศก็มีเยอะ แล้วเขามองว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกเลยที่เขาจะเข้ามา แต่พวกนี้มักจะมากับกลุ่มทัวร์ การตั้งเงื่อนไขที่ยุ่งยากในการขอวีซ่าก็เลยเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง ผมไม่รู้ว่ากระทรวงการต่างประเทศคิดหรือเปล่า เงินที่รัฐบาลต้องหายไป จากที่เราตั้งเป้าไว้ว่าต้องเข้ามาเท่านี้ ตอนนี้ยังได้ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ที่ตั้งเป้าเอาไว้ เงินที่หายไป มันหายไปเพราะความงี่เง่าหรือความไม่เข้าใจเรื่องราวของกระทรวงการต่างประเทศ ในทำนองว่า ขี่ช้างจับตั๊กแตน ในทำนองนั้นจริงๆ


Visa on Arrival ที่ผมพูดว่าใช้เวลาทำถึง 2-3 ชั่วโมง นี่ยังถือว่าเกรงใจนะ จริงๆ แล้ว หลักๆ แล้ว ลึกๆ แล้วประมาณ 4-5 ชั่วโมง ทรมานมาก เจอแบบนี้แล้วพวกเขาก็เลยส่งข้อความไปเลย เฮ้ย นักท่องเที่ยวจีนก็ยังบอกว่า ได้ข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองไทยเจตนากักตัวนักท่องเที่ยวจีน ทำให้เกิดความล่าช้า เพื่อหวังจะเรียกค่าทางด่วนจากนักท่องเที่ยวจีน อันนี้ผมตอบให้ไม่ได้ ท่านผู้บัญชาการตรวจคนเข้าเมืองท่านจะต้องเป็นคนให้คำตอบเอง Visa on Arrival ที่ต้องรอถึง 4-5 ชั่วโมง ท่านผู้บัญชาการครับ มันมากเกินไป ถ้าท่านไม่แก้ไขเรื่องนี้ ท่านก็มีส่วนช่วยในการทำให้ประเทศไทยขาดรายได้ไป


การที่ประเทศไทยขาดรายได้ไปนั้น ต้องเฉลี่ยความรับผิดชอบไป กระทรวงการต่างประเทศเอย ท่านผู้บัญชาการ สตม.เอย คุณชูวิทย์เอย คุณวิโรจน์เอย เกี่ยวข้องกันหมด

ประเด็นต่อมาที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนลังเลที่จะมาประเทศไทย คือ ทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวของเราถูกใช้งานจนเสื่อมโทรมไปมาก นักท่องเที่ยวจีนบอกว่า จังหวัดอย่างเช่นภูเก็ต เชียงใหม่ กรุงเทพฯ มันมีนักท่องเที่ยวล้นจนเกินไป ผู้คนแออัด ไม่น่าเที่ยว สิ่งแวดล้อมได้รับความเสียหาย โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจนำเที่ยวต่างๆ ยังไม่ฟื้นกลับมาอย่างเต็มที่


นอกจากนั้นแล้ว นักท่องเที่ยวจีนยังรู้สึกว่ามาเที่ยวไทยแล้วยังมีค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้นอย่างมาก ทั้งจากค่าครองชีพของไทยที่ข้าวของแพงขึ้นจริงๆ และรวมทั้งธุรกิจหลายอย่าง หลายประเภท ที่ฉวยโอกาสเอาเปรียบนักท่องเที่ยว

ท่านผู้ชมครับ เราต้องไม่ลืมนะครับว่านักท่องเที่ยวจีนตอนนี้เขาใช้สื่อออนไลน์ ใช้แพลตฟอร์มเยอะ มีนักท่องเที่ยวจีนออกมาปั๊บ เขามีความรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือเขาไม่ชอบนโยบายอะไรของเรา เขาก็จะลงไปในเวย์ปั๋ว (Weibo) ของเขา ใน WeChat ที่เขาเรียกว่าเวย์ปั๋วนั่นล่ะ คนเขาอ่านกันเยอะแยะไปหมด เมื่อเขาใช้สังคมสื่อออนไลน์แล้วเขาพบเจอการหลอกลวง หรือประสบการณ์ที่ไม่ดี เขาจะไปเล่าเรื่องในสื่อออนไลน์ เรื่องราวในแง่ลบก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง นักท่องเที่ยวจีนหลายคนบอกเล่าเรื่องราวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่าการหลอกลวงนักท่องเที่ยวในเมืองไทย ทำกันเป็นขบวนการ ตั้งแต่ไกด์เถื่อน รถตุ๊กตุ๊ก เรือท่องเที่ยว ไปจนถึงร้านขายของที่ระลึกต่างๆ แม้แต่วัดบางแห่งยังเข้าร่วมขบวนการการหลอกลวง ขายวัตถุมงคล หรือหลอกนักท่องเที่ยวให้ทำบุญสะเดาะเคราะห์ต่างๆ


นอกจากนี้แล้ว กลายเป็นปัญหาล่ะ เขาบอกว่าเที่ยวเมืองไทยยังแพงกว่าเที่ยวเมืองจีน หรือแพงกว่าประเทศอื่นๆ ความรู้สึกแพงอาจจะเกิดจาก 2 ปัจจัย หนึ่ง แพงเพราะมีการโก่งราคาเอาเปรียบนักท่องเที่ยว สอง แพงเพราะคุณภาพสินค้าและบริการไม่ได้ตามที่นักท่องเที่ยวคาดหวัง และนี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนมีความรู้สึกว่าไปเที่ยวที่อื่นดีกว่ามาเมืองไทย

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวไทยขณะนี้มันสั่งสมมาจาก "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" ซึ่งฝังรากมาเป็นสิบๆ ปี นักท่องเที่ยวจีนฝังใจว่ามาเที่ยวเมืองไทยราคาถูก แต่แท้ที่จริงแล้วแฝงไว้ด้วยการหลอกลวง มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากไม่รู้ว่าราคาที่เหมาะสมคือราคาเท่าไรกันแน่


จาก "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" ก็ขยายตัวมาเป็น "ทุนจีนสีเทา" อย่างแก๊งตู้ห่าว ที่มีตำรวจและนักการเมืองหนุนหลัง จนมีเรื่อง "ทัวร์อั้งยี่" ซึ่งเป็นการนำทัวร์เที่ยวโดยกลุ่มจีนสีเทา กินรวบเบ็ดเสร็จตั้งแต่ที่พัก ร้านอาหาร รถบัสนำเที่ยว ไกด์นำเที่ยว ร้านขายของฝาก และเมื่อมีการปราบปราม กลายเป็นไฟลามทุ่ง กลายเป็นว่าในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาทำไมจึงมีคดีอาชญากรรมเกิดขึ้นกับคนจีนอย่างมากมายเหลือเกิน มิหนำซ้ำ ก่อนเลือกตั้งยังมีพรรคการเมืองที่มาปั่นกระแส คือพรรคก้าวไกล เรื่องทุนจีนสีเทา เพื่อแสง เพื่อประโยชน์ทางการเมือง จนชาวจีนเขาเลยคิดว่าเมืองไทยมีนโยบายต่อต้านคนจีน


คุณวิโรจน์ และคุณชูวิทย์ ฟังให้ดีๆ นะครับ ผมไม่ได้มโน ความจริงนี้คือหนึ่งเดียว สิ่งที่คุณทำตอนนี้เริ่มมีผลกลับมาแล้ว และจะมีผลต่อเนื่องไป เพราะมันต้องใช้เวลาในการแก้ การทำให้ความรู้สึก ทัศนคติของเขาที่มีแง่ลบกับเราให้กลับเป็นแง่บวกนั้นต้องใช้เวลา ถึงวันนั้นแล้วประเทศไทยจะต้องสูญเสียรายได้ไปอีกเท่าไร พวกคุณที่ผมเอ่ยชื่อไปนั้น จะรับผิดชอบได้ไหม ผมเตือนไปแล้วนะ

ล่าสุด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เชิญอินฟลูเอนเซอร์ชาวจีนมาช่วยโปรโมตการท่องเที่ยว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ขบวนการหลอกลวงยังเจอได้ทุกหัวถนน ขยายไปสู่โลกออนไลน์ด้วย คดีอาชญากรรมต่างๆ ยังเกิดขึ้นทุกวัน อย่างไรก็ตาม เมื่อโลกแห่งความเป็นจริง กับการสร้างภาพของการท่องเที่ยวไทย มันไม่เหมือนกัน ข้อเท็จจริงกับการสร้างภาพไม่เหมือนกันเลย ต่อให้ใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่โด่งดังแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้ การแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเท่านั้นที่จะสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวได้


ท่านผู้ชมครับ นี่คือความจริงที่เจ็บปวดของการท่องเที่ยวไทย กับลูกค้านักท่องเที่ยวจีน ที่หลายคนสงสัยว่าทำไมเขาหายไปไหน ไม่มามากเหมือนแต่ก่อน ตัวเลขล่าสุดพิสูจน์ชัดเจนว่าปริมาณนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเที่ยวไทยวันนี้ลดเหลือแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ ของช่วงก่อนโควิด-19 ท่านผู้ชมครับ ผมเองไม่ได้คาดหวังกับปริมาณของนักท่องเที่ยวจีนให้มากเหมือนแต่ก่อนหรอก แต่ผมอยากให้เน้นที่คุณภาพ มูลค่าการจับจ่ายใช้สอย เฉลี่ยต่อหัวนักท่องเที่ยวมากกว่า อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขนักท่องเที่ยวจีน 30 เปอร์เซ็นต์ จากเดิม ครึ่งปี 1.5 ล้านคน หรือทั้งปี 3 ล้านคน ก็ต้องถือว่าน้อย น้อยกว่าที่คาดหมายไว้มาก น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว คิดเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท

ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า ถ้าเราไม่แก้ไขประเด็นหลายๆ อย่างที่ผมบอกมาทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย ปัญหาการหลอกลวง ปัญหาวีซ่า ปัญหาส่วยที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ปัญหาทัวร์อั้งยี่ ทุนจีนสีเทา ที่สำคัญที่สุดคือ ทิศทางของข้าราชการและการเมืองที่ชัดเจนว่าต้องไม่เลือกฝ่ายตะวันตก และตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับรัฐบาลจีน ครึ่งหลังของปี 2566 นักท่องเที่ยวจีนก็คงจะไม่กระเตื้องขึ้น และในระยะยาวประเทศไทยคงจะไม่มีทางกลับมาเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวจีนเหมือนอย่างเก่าอีก และผมคิดว่าในอนาคตอาจจะลามไปถึงเรื่องผลไม้ของไทยด้วย เชื่อผมสิครับท่านผู้ชม อาจจะเป็นไปได้นะครับ ตอนนี้ประเทศจีนเริ่มใช้นโยบายบีบเราทางเศรษฐกิจทางอ้อม เนื่องจากว่าเรากำลังจะมีรัฐบาล หรือพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่รังเกียจ

ประเทศจีน เขามีทางเลือกครับ เขาเลือกไปเที่ยวมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน ตอนนี้นักท่องเที่ยวจีนเริ่มไปเที่ยวมากขึ้นที่ตะวันออกกลาง และไปรัสเซียมากขึ้น ละทิ้งเมืองไทยไปแล้ว อย่าไปหลงลืมตัวว่าของเราดีที่สุด เราไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว แล้วพวกคุณที่ปากเสีย ปากหมาทั้งหลาย เที่ยวด่าเรื่องทุนจีนสีเทาตลอดเวลา โดยไม่แยกแยะให้ถูกว่านักท่องเที่ยวจีน กับทุนจีนสีเทา มันคนละพวกกัน นักท่องเที่ยวจีน ผมบอกมานานแล้ว ที่มาเจอทุนจีนสีเทา แล้วทุนจีนสีเทาทำไมถึงอยู่ได้ ? อยู่ได้ก็เพราะเจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ เป็นคนให้การสนับสนุน 

ตม. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง คุณทำงานประสาอะไรผมไม่รู้ แต่การที่ Visa on Arrival รอถึง 4-5 ชั่วโมง มันเกินไป คุณจะมีกระบวนการตบทรัพย์เขาอย่างไร ให้เลิกคิดได้แล้ว เอาประเทศชาติเป็นตัวตั้ง ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพราะทุกบาททุกสตางค์ที่เขามาใช้เงินในประเทศเรานั้น เป็นเงินที่เข้าคลัง พอเก็บภาษีมาแล้วก็เอาเงินภาษีอากรนั้นมาใช้จ่าย รวมทั้งจ่ายเงินเดือนพวกคุณด้วย ตำรวจ ตม. ครับ ผมฝากเอาไว้ให้คิด คุณอย่าคิดว่าคุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา คุณนี่ล่ะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา นอกจากตำรวจที่แอบหนุนหลังทุนจีนสีเทาอยู่ ซึ่งเป็นถึงระดับผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผมรู้ แต่ผมขี้เกียจพูด



สงครามยูเครนใกล้จบแล้ว ?

ท่านผู้ชมครับ วันนี้เรามาพูดเรื่องยูเครนกันสักนิดหนึ่ง ตอนนี้ยูเครนรบกันมาประมาณ 500 วันแล้ว ใกล้จะถึงจุดแตกหักแล้ว สถานการณ์สงครามที่สำคัญที่สุดทางภูมิรัฐศาสตร์ในรอบหลายทศวรรษที่อเมริกา และนาโต กับชาติตะวันตก หนุนหลังยูเครนทำสงครามกับรัสเซีย ท่านผู้ชมนึกดูแล้วกัน ชาติตะวันตกทุกคน ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ที่ฝักใฝ่ตะวันตก ทำตัวเป็นพรมเช็ดเท้าของตะวันตก นาโต ทั้งนาโต อียู ทั้งอียู กลุ่ม FIVE EYES แคนาดา อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ทั้งหมดรวมหัวกันเพื่อสู้กับรัสเซียเพียงคนเดียว จริงๆ แล้วมันคือลักษณะหมาหมู่ สู้และเคี้ยวรัสเซียไม่ลง


ดูอย่างล่าสุด ตอนนี้ทหารยูเครน หรือกลุ่มนายตัวตลกเซเลนสกี ซึ่งเป็นความหวังของพวกตะวันตกที่จะโค่นรัสเซียได้ จากการที่ตะวันตกหนุน ให้ทั้งเงิน ให้ทั้งอาวุธ ให้ทุกอย่าง แต่กลายเป็นตอนนี้ความหวังที่อยู่นั้นกลายเป็นความอ่อนแอและความสิ้นหวัง


เขามีปฏิบัติการตีโต้กลับ ที่เขาเรียกว่า COUNTEROFFENSIVE ปรากฏว่าพังพินาศหมดทุกอย่าง อาวุธยุทโธปกรณ์ถูกทำลายจนแทบจะไม่เหลืออะไรเลย ทหารที่ไปฝึกที่ต่างประเทศทางตะวันตก ไปฝึกที่อังกฤษ ไปฝึกที่อเมริกา ไปฝึกที่เยอรมนี ไปฝึกที่โปแลนด์ ตายเป็นเบือเลย จากประมาณ 30,000-40,000 คน กลายเป็นตอนนี้เหลือหมื่นกว่าคน ทหารรับจ้างที่รับจ้างเข้าไปรบในยูเครน เป็นตัวแทนตะวันตก ทิ้งอาวุธปืน ไม่สนใจรายได้ แล้วหนีกลับประเทศตัวเอง เพราะไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นศพ


จริงๆ แล้วผมพูดได้เลยว่ายูเครนแพ้แล้ว รัสเซียสกัดทุกจุดในสมรภูมิ รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย เซียร์เกย์ ชอยกู (Sergei Shoigu) บอกว่าทหารหน่วยรบของยูเครนตายไปแล้ว 26,000 คน ยุทโธปกรณ์ 3,000 ชิ้น เสนาธิการชาติตะวันตกประเมินหลังประชุมนาโตที่ลิทัวเนีย ว่า การปฏิบัติการของยูเครน COUNTEROFFENSIVE ถ้ามีการทำต่อไปจะสูญเสียทหารเพิ่มอีก 200,000 คน ผู้บัญชาการการรบของยูเครนก็เลยตัดสินใจหยุดชั่วคราวเพื่อทบทวนกลยุทธ์การรุกกลับของยูเครนที่ล้มเหลว

15 กรกฎาคม 2566 หนังสือพิมพ์ NEW YORK TIMES รายงานว่า น่าตกใจที่กองทัพยูเครนสูญเสียกำลังพลแนวหน้า ยุทโธปกรณ์หนักมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของการรบ และในสัปดาห์ต่อมา แม้อัตราการสูญเสียจะลดเหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่สถานการณ์กลับแย่ลงๆๆ


NEW YORK TIMES รายงานว่า การปฏิบัติการโจมตีตอบโต้กลับของยูเครนเขายึดพื้นที่ได้ 8 กิโลเมตร เท่านั้น จาก 86 กิโลเมตร ตามที่ได้วางเส้นทางเอาไว้ เรื่องนี้ทำให้นายตัวตลกเซเลนสกี คนที่เอาประเทศตัวเองขายต่อให้ทางตะวันตก แล้วไม่เห็นคุณค่าชีวิตประชาชนของตัวเองเลย ยังต้องออกมายอมรับว่ามีการหยุดปฏิบัติการรบชั่วคราว

ดร.ไมค์ มาร์ติน นักวิชาการอาวุโสในภาควิชาสงครามศึกษา มหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ ลอนดอน ให้สัมภาษณ์สื่อ DW News ของเยอรมนี วิเคราะห์ยุทธวิธีการรุกตอบโต้ของยูเครนไว้ว่า ยูเครนประเมินความแข็งแกร่งและแนวป้องกันของรัสเซียผิดพลาดอย่างมหาศาล เลยต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ เป็นการสอดแนมที่กำหนดตำแหน่งที่ตั้งข้าศึกก่อนจะโจมตีทำลายด้วยปืนใหญ่ ซึ่งอาจจะดูว่ารุกคืบค่อนข้างช้า


วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566 หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน เดินทางกลับจากการร่วมประชุมสุดยอดผู้นำนาโตที่ประเทศลิทัวเนีย เขาประกาศออกมาอย่างอหังการอีกแล้วว่า นาโตจะยืนข้างยูเครนตราบเท่าที่ยูเครนต้องการความช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่มตินาโตที่ลิทัวเนีย ระบุไว้ชัดเจนว่า ที่ประชุมไม่พร้อมที่จะรับยูเครนเข้ามาเป็นสมาชิก ทำให้เซเลนสกี ควันออกหู วิพากษ์วิจารณ์มตินี้ว่าโง่และไร้สาระ เขาต้องการกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เพราะเซเลนสกี ต้องการให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิกนาโตทันที เพื่อที่จะให้เข้าสู่มาตรา 5 ของสนธิสัญญานาโต คือ ถ้าประเทศใดที่เป็นสมาชิกนาโต ถูกรุกราน ก็เปรียบเสมือนกับรุกรานทุกประเทศที่เป็นสมาชิกนาโต


ขณะที่นายเจก ซัลลิแวน (Jake Sullivan) ที่ปรึกษาสภาความมั่นคงแห่งชาติอเมริกา ก็ออกมาโต้แย้งและพูดทวงบุญคุณทันที ว่า ถ้าหากรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิก มันจะทำให้เกิดสงครามใหญ่รบกันระหว่างนาโต กับรัสเซีย ทันที งานนี้เซเลนสกี จึงต้องยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางงานเลี้ยง โดยที่ผู้นำยุโรปยืนหันหลังให้ น่าสงสารมาก ไม่มีใครสนใจเลย กลายเป็นตัวตลกที่แท้จริง


นอกจากนี้แล้ว อเมริกาก็ตัดสินใจส่งระเบิดพวงออกไป ถึงแม้ว่าอเมริกาจะเคยถูกประณาม กระทรวงกลาโหมอเมริกาได้ส่งอาวุธต้องห้าม ซึ่งทุกคนห้าม แม้กระทั่งสมาชิกนาโตก็ไม่เห็นด้วย แต่มันเป็นเรื่องของหลังชนกำแพงแล้ว เพราะว่ากระสุนปืนไม่มี ทั้งๆ ที่ปีที่แล้วตอนเริ่มสงครามในยูเครน อเมริกาเตือนรัสเซียไม่ให้ใช้กระสุนปืนใหญ่ที่มีลักษณะเป็น "ระเบิดพวง" ที่เขาเรียกว่า Cluster Bomb ปีที่แล้วอเมริกาด่ารัสเซีย ห้ามใช้นะ แต่วันนี้ ปีนี้ อเมริกากลับสั่งใช้ และอ้างอย่าหน้าด้านๆ ว่า ไม่ผิดศีลธรรม ทั้งๆ ที่อังกฤษ ประเทศสมาชิกนาโต เยอรมนี และอีกหลายประเทศ ไม่เห็นด้วยกับการใช้


ท่านผู้ชมครับ ประธานาธิบดีปูติน ก็เตือนยูเครนและชาติตะวันตก กรณีที่อเมริกาจัดส่ง Cluster Bomb หรือระเบิดพวง ชุดแรก ให้ยูเครนสัปดาห์ที่แล้ว จริงๆ แล้วในข้อมูลข้อเท็จจริง รัสเซียมีระเบิด Cluster Bomb มากกว่าอเมริกาตั้งหลายเท่า แต่ปูติน พูดชัดเจน ถ้าอเมริกาใช้อันนี้ อเมริกาจะเสียใจ เพราะว่ารัสเซียจะตอบโต้อย่างหนักด้วยระเบิด Cluster Bomb


แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่าใครจะโชคร้าย ? ประชาชนยูเครนจะโชคร้าย ผมเคยพูดไปแล้วจำได้ไหม ที่ประเทศลาว สมัยก่อนอเมริกาทิ้งระเบิดลงใส่ประเทศลาว โดยมีระเบิดพวงแบบนี้ ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมายังเก็บไม่หมดเลย ประชาชนชาวลาวเดินไปเหยียบเอาระเบิดซึ่งเป็นลูกเล็กๆๆๆ ที่มันกระจายไปแล้วไม่ระเบิด ตายกัเป็นเบือ แล้วก็ยังเก็บไม่หมด

ท่านผู้ชมครับ เรามาจับตาดูรัสเซีย กับตุรกี จะแตกหรือไม่แตก ? ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ใกล้แตกหัก ระหว่างนาโต ยูเครน และรัสเซีย ปรากฏว่าตุรกีใกล้จะมีเรื่องกับรัสเซีย กรณีที่ประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ของตุรกี เห็นชอบให้ประเทศสวีเดนเข้าร่วมนาโต หลังจากที่ฟินแลนด์ได้รับการตอบรับเข้าเมื่อเดือนเมษายน 2566 งานนี้ โจ ไบเดน สมหวัง ล็อบบี้จนสามารถเปลี่ยนท่าทีผู้นำตุรกี แอร์โดอัน ให้แข็งข้อต่อปูติน ได้ ทำไมถึงมีเรื่องนี้เกิดขึ้น ? ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมานายแอร์โดอัน เป็นพันธมิตรกับรัสเซียมาโดยตลอด


เบื้องหลังจริงๆ แล้ว นักข่าวพูลิตเซอร์ระดับตำนานอเมริกา นายซีมัวร์ เฮิร์ช (Seymour Hersh) บอกว่า นายไบเดน สัญญากับ แอร์โดอัน ว่า กองทุนระหว่างประเทศ (IMF) จะขยายวงเงินสินเชื่อให้ตุรกี 11,000-13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นดีลข้อตกลงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน และอนุมัติจะขายเครื่องบิน F-16 ของอเมริกา ให้กับตุรกี ซึ่งก่อนหน้านั้นอ้างว่าติดที่สภาคองเกรสไม่อนุมัติ


เจ้าหน้าที่ที่ดูแลด้านเงินช่วยเหลือ บอกกับ ซีมัวร์ เฮิร์ช ว่า ขณะที่ไบเดน ต้องการได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งปีหน้า และตุรกีกำลังเผชิญความตึงเครียดทางการเงินอย่างหนักหน่วง เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว อะไรจะดีกว่ากัน ระหว่างรัสเซีย กับ อเมริกา เขาก็เลยตัดสินใจที่จะดีกับฝั่งนาโต และฝั่งยุโรปตะวันตก

รายงานของ NEW YORK TIMES รายงานว่า โจ ไบเดน โทรไปหาแอร์โดอัน ขณะบินไปยุโรปในวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม แต่ไม่ได้กล่าวตรงๆ เรื่องเงินทอง สอดคล้องกับบทวิเคราะห์เมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ของนายแบรด เซตเซอร์ (Brad W. Setser) พูดเรื่องความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในงบดุลตุรกีที่เน้นประโยคสำคัญว่า เมื่อแอร์โดอัน ชนะการเลือกตั้งเดือนพฤษภาคม กลับมามีอำนาจใหม่ ตอนนี้แอร์โดอัน กำลังเจอวิกฤตทางการเงิน

ตุรกีตอนนี้มีทางเลือก หนึ่ง ต้องขายทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ สอง ต้องกลืมยาเม็ดขมในการกลับนโยบายอย่างสิ้นเชิง ก็คือว่าต้องพลิกตัวเองเลย จากรัสเซีย แล้วมาเทตัวเองเข้าสู่ตะวันตก สาม ถ้าไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ ก็ต้องเข้าโครงการ IMF


สถานการณ์บีบบังคับให้แอร์โดอัน ยอมหักกับผู้นำรัสเซีย ตุรกีหักหลังรัสเซียมาแล้วรอบหนึ่งด้วยการปล่อยนักโทษที่มีหัวหน้ากองทัพทหารอะซอฟ (Azov) ที่รัสเซียฝากไว้ที่ตุรกี บอกว่าอย่าเพิ่งปล่อย ให้ส่งไปที่รัสเซีย แต่กลับมอบผู้บังคับการกองพันอะซอฟ คือพวกนีโอนาซี ให้กับเซเลนสกี ไป แล้วตัดสินใจขายโดรนของตุรกีให้ยูเครนเพื่อนำไปใช้ในสงครามรัสเซีย และกำลังคิดที่จะตั้งโรงงานผลิตโดรนในยูเครน อนุญาตให้ยูเครนส่งพืชผลตนเองผ่านทะเลดำ


ต้นเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว รัสเซียเสนอต่อตุรกี ให้ตุรกีเป็นศูนย์กลางสำหรับส่งก๊าซไปยังยุโรปแทน หลังจากสายท่อลำเลียงก๊าซนอร์ดสตรีม ซึ่งลอดผ่านทะเลบอลติก ถูกวินาศกรรมระเบิดจนได้รับความเสียหาย เมื่อเดือนกันยายน ปีที่แล้ว

การทำงานกับตุรกีนั้นง่ายกว่ามาก เพราะประธานาธิบดีแอร์โดอัน เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ยังสะดวกสำหรับเราในการควบคุมเส้นทางทะเลดำ - ปูติน เป็นคนกล่าวเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ปีที่แล้ว

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นตุรกีนั้นต้องถือว่าเป็นการหักหลังแบบแทงข้างหลัง แทงทะลุหัวใจรัสเซีย คือกรณีที่ประธานาธิบดีตุรกี นายแอร์โดอัน ปล่อยตัวนักโทษอดีตผู้บังคับกองพันอะซอฟ 5 นาย ซึ่งเป็นหัวหน้าต่อต้านการบุกโจมตีอย่างดุเดือดของรัสเซียภายในโรงงานเหล็ก Azov Steel ในเมืองมารีอูปอล เมื่อพฤษภาคม ปีที่แล้ว พวกนี้ถูกรัสเซียจับเป็นเชลยได้ โดยมอสโกกล่าวหากองพันพวกนี้เป็นพวกนีโอนาซี ก่อเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวรัสเซียในแคว้นโดเนสตก์ และลูฮันสก์ เป็นต้นตอที่ทำให้รัสเซียต้องเปิดฉากปฏิบัติการพิเศษในยูเครน ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565


ภายใต้ข้อตกลงแลกเปลี่ยนนักโทษที่มีตุรกีเป็นตัวกลาง รัสเซียมีเงื่อนไขว่า พวกหัวหน้ากองพันอะซอฟจะต้องถูกจำคุกอยู่ในตุรกี จนกว่าสงครามยูเครนจะสิ้นสุด แต่เพียงปีเดียว ผู้นำตุรกีก็ตระบัดสัตย์ รัสเซียไม่ได้รับแจ้งเรื่องปล่อยหัวหน้ากองพันทหารอะซอฟ ไม่ว่าจะจากยูเครน หรือตุรกี และประณามว่า การกระทำเช่นนี้เป็นการละเมิดข้อตกลงแลกเปลี่ยนนักโทษ และระบุว่า ความเคลื่อนไหวนี้เชื่อมโยงกับความล้มเหลวในการปฏิบัติการตอบโต้ของยูเครน

ท่านผู้ชมครับ การที่ผู้นำตุรกีตีสองหน้ากับรัสเซีย และคบคิดกับอเมริกา และนาโต ซึ่งเป็นศัตรูกับรัสเซียอย่างชัดเจน โดยตุรกีเองเอาตัวรอดก่อน อาจจะเป็นชนวนความขัดแย้งเพิ่มเติมขึ้นนอกเหนือจากสงครามยูเครน อาจจะขยายไปสู่ประเด็นข้อขัดแย้งที่ซีเรีย ระหว่างตุรกี กับ ชาวเคิร์ด ที่รัสเซียหนุนหลังอยู่ จะกลายเป็นบริบทใหม่ที่ในที่สุดแล้วจะเป็นหายนะต่อตุรกีอย่างแน่นอนที่สุด

BRICS เตรียมตั้งสกุลเงิน กับลีลาชะชะช่าของแขกอินเดีย

ท่านผู้ชมครับ ผมพูดถึงเรื่องการจับมือของกลุ่ม BRICS (B = Brazil, R = Russia, I = India, C = China, S = South Africa) กลุ่มประเทศมหาอำนาจซึ่งกำลังจับมือสร้างระเบียบโลกใหม่ เพื่อก้าวขึ้นมาท้าทายการผูกขาดของโลกแบบขั้วอำนาจเดียวที่นำโดยอเมริกามานานหลายปีแล้ว แล้วพวกเรา สื่อผู้จัดการ รวมทั้งตัวผม นำเสนอเรื่องนี้มานานแสนนานแล้ว เป็นสิบๆ ปี เรามาทบทวนกันสักนิด


การเกิดขึ้นของ BRICS มีความคาดหมายว่า BRICS จะก้าวขึ้นมามีบทบาทสูงเกี่ยวกับการค้าโลก นั่นย่อมทำให้สกุลเงินที่ถูกนำมาใช้เพื่อค้าขายในกลุ่มประเทศเหล่านี้จะกลายเป็นเงินสกุลหลักที่มีบทบาทอย่างยิ่งในวงการค้าของโลก

สิบกว่าปีที่แล้ว ในเวลานั้นมีการทำนายว่าศูนย์กลางของโลกการค้าของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และเส้นทางสายไหมเส้นใหม่ ก็คือโครงการ "1 แถบ 1 เส้นทาง" ของ สี จิ้นผิง นั้นอยู่ที่ประเทศจีน บทบาทของประเทศเหล่านี้กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่จีนเท่านั้นที่กระโดดไปทำธุรกิจที่ทวีปแอฟริกา เพื่อนสมาชิกในกลุ่ม BRICS อย่างบริษัทอินเดีย กับบราซิล ก็บุกเข้าไปในทวีปแอฟริกาเช่นกัน

ที่สำคัญ กิจกรรมการค้าและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นมหาศาลในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอย่าง BRICS และกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่นี้ จริงๆ แล้วไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินสกุลหลักของโลกที่มีอยู่เดิม ไม่ว่าจะเป็นดอลลาร์สหรัฐ หรือเงินยูโรของยุโรป หรือเงินเยนของญี่ปุ่น แต่อย่างใด ทำให้ตั้งแต่ตอนนั้นกลุ่มประเทศเหล่านี้เริ่มหันมาคิดกันว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะผลักดันให้มีเงินหยวน (จีน) รูปี (อินเดีย) หรือเงินเรอัล (บราซิล) ให้แพร่หลายกว่านี้ เพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องต้นทุนการแลกเปลี่ยน


นับตั้งแต่แนวความคิดนี้ ประชุมกันครั้งแรกมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 17 ปีแล้ว กลุ่มประเทศ BRICS มีบทบาทเพิ่มสูง ทวีความสำคัญอย่างมากต่อเวทีโลกในปัจจุบัน ท่านผู้ชมรู้ไหมครับว่าอะไรบ้างที่ประเทศทางโลกตะวันตก หรือกลุ่มระเบียบโลกเก่า กลัวมาก เพราะว่าประเทศสมาชิกทั้ง 5 ของ BRICS มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสูงมาก ล่าสุด แม้สื่อตะวันตกจะตีข่าวกันโครมๆ คือเดี๋ยวนี้ท่านผู้ชมเชื่อถือสื่อตะวันตกไม่ได้เลย มีการใส่ร้ายประเทศจีนอย่างหนักหนาสาหัส ยกตัวอย่าง ตีความว่าเศรษฐกิจจีนทำท่าจะแย่ แต่ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่าในไตรมาสที่สองของปี 2566 (เมษายน-มิถุนายน 2566) ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเศรษฐกิจจีนโตถึง 6.3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบปีต่อปี นี่ขนาดเศรษฐกิจเขาโตถึง 6.3 เปอร์เซ็นต์ นะ กลุ่มสื่อตะวันตก ไม่ว่าจะเป็น CNBC, บลูมเบิร์ก หรือ BBC, ECONOMIST บอกว่าเศรษฐกิจจีนกำลังจะย่้ำแย่ ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่าโต 6.3 เปอร์เซ็นต์ นี่เหมือนจะโตอันดับแรกของโลกเลยนะ 6.3 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังบอกว่าเศรษฐกิจเขาย่ำแย่

กลุ่ม BRICS มีประชากรรวมกันแล้ว 42 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรโลก ประมาณ 3,200 ล้านคน ประชากรโลกมีประมาณ 7,000 ล้านคน

สองปีที่แล้ว (2564) BRICS มี GDP ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศรวมกันคิดเป็น 26 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1 ใน 4 ของ GDP ของโลก ราวๆ 24 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ


ในปี 2563 มีมูลค่าการค้า ทั้งนำเข้า-ส่งออก คิดเป็นสัดส่วนกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ แต่พอมาถึง 2564 จาก 3 ล้านล้านดอลลาร์ กลายเป็น 24 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ในปี 2564 สมาชิก BRICS มีทุนสำรองระหว่างประเทศรวมกันคิดเป็นมูลค่าเกือบ 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เยอะมาก

จากสถิติข้างต้นจะเห็นได้ว่า นานวันเข้า เมื่อ BRICS ขยายใหญ่โตขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง GDP ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ แซงหน้ากลุ่มประเทศ G7 ไปไกลแล้ว ในปี 2566 GDP และ PPP กลุ่ม BRICS อยู่ที่ 63.91 ล้านล้านดอลลาร์ จาก 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ ขึ้นมาเป็น 36 เปอร์เซ็นต์ ของโลก กลุ่ม G7 นั้นมีอยู่แค่ 27 เปอร์เซ็นต์ ของโลก ต่างจากกลุ่ม BRICS ถึง 9 เปอร์เซ็นต์ กลุ่ม BRICS มีอยู่ที่ 63.91 ล้านล้านเหรียญ กลุ่ม G7 ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก มีอยู่ที่ 48.18 ล้านล้านเหรียญ หรือ 27 เปอร์เซ็นต์ เอง ห่างกันเยอะมาก


เมื่อเกิดสงครามในยูเครน โดยเฉพาะกุมภาพันธ์ ปีที่แล้ว กลุ่ม G7 รวมนาโต ได้ดำเนินการแซงก์ชัน คว่ำบาตรรัสเซียทุกวิถีทาง แล้วก็มาตรการคว่ำบาตรที่สุดลิ่มทิ่มประตู ไม่เคยมีประเทศไหนถูกคว่ำบาตรมากเท่ารัสเซีย ในประวัติศาสตร์โลกมนุษย์เลย มีการสั่งการให้ดำเนินการยึดทุนสำรอง ยึดทรัพย์สินของรัฐบาล นักธุรกิจ เศรษฐีรัสเซียในต่างประเทศ ตัดระบบรัสเซียออกจากระบบ SWIFT การเงิน ด้วยเหตุนี้ก็เลยมีการสร้างเงินสกุลทางเลือกขึ้นมาใช้ทดแทนเงินดอลลาร์อเมริกา ในช่วงหลังนั้นได้มีเสียงเรียกร้องมากขึ้น และแนวทางการสร้างเงินสกุล BRICS มาทดแทนเงินดอลลาร์อเมริกาก็เริ่มดังขึ้นๆๆๆ


ผมจะเอาเส้นทางการเดินของการสร้างสกุลร่วม BRICS คุณทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องข่าวต่างประเทศของเรา เพิ่งเขียนเรื่องนี้ลงในเว็บไซต์ SONDHI TALK เมื่อไม่นานมานี้เอง คุณทนง เป็นหนึ่งในกูรู หรือปรมาจารย์ในเรื่องข่าวต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเงิน คุณทนง บอกว่า เมื่อบทบาทกลุ่ม BRICS มีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางกระแสของความเคลื่อนไหวเพื่อยกเลิกการใช้ดอลลาร์ ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า De-Dollarization นำโดยกลุ่ม BRICS และประเทศต่างๆ ที่เห็นความเสี่ยงในการยึดครองดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่อเมริกาใช้เงินดอลลาร์ของตัวเองเป็นอาวุธ อเมริกาจะใช้เงินดอลลาร์เป็นอาวุธโจมตีประเทศอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในโอวาทของตัวเอง

ท่านผู้ชมครับ เบื้องหน้าเบื้องหลัง เป็นข้อเท็จจริงที่เขารู้กัน การปฏิวัติที่เมืองลิเบีย การฆ่านายมูอัมมาร์ กัดดาฟี เหตุผลเพราะว่านายกัดดาฟี เป็นคนริเริ่มคนแรกในประเทศทางอาหรับที่จะให้ใช้ทองคำเป็นฐานแทนดอลลาร์ในการซื้อขายน้ำมัน อเมริกาไม่ยอม ยุโรปไม่ยอม ก็เลยสร้างปฏิวัติขึ้นมาแล้วก็ฆ่านายกัดดาฟี

ท่านผู้ชมรู้ไหม สิงหาคม คือเดือนหน้าที่จะถึงนี้ ผู้นำกลุ่ม BRICS จำนวน 5 ประเทศ ประชุมซัมมิตที่ประเทศแอฟริกาใต้ มีหัวข้อที่จะพูดคุยตกลงกัน 3 เรื่อง คือ หนึ่ง เขาจะขยายจำนวนสมาชิกกลุ่ม BRICS สอง การใช้เงินสกุลท้องถิ่นเพื่อค้าขายกันเอง โดยไม่ใช้เงินดอลลาร์ และ สาม การใช้เงินสกุลร่วม (Common Currency) ของ BRICS ที่กำลังจะคิดขึ้นมาว่าจะใช้อะไรดี จะเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างระเบียบเศรษฐกิจและระเบียบการเงินใหม่ของโลก


ข้อที่หนึ่งนั้น มีสมาชิกใหม่ขององค์กรเยอะมากที่สนใจเข้ามาร่วม นายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เปิดเผยว่า มีอยู่ 12 ประเทศ ที่ต้องการเข้าร่วม BRICS เบื้องต้น เช่น แอลจีเรีย อาร์เจนตินา บาห์เรน บังกลาเทศ อินโดนีเซีย อิหร่าน อียิปต์ เม็กซิโก ไนจีเรีย ปากีสถาน ซูดาน ซีเรีย ตุรกี ยูเออี และ เวเนซุเอลา

ประเด็นที่สอง จะมีการพูดคุยกันในการประชุมซัมมิตของ BRICS เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้เงินสกุลท้องถิ่นเพื่อค้าขาย ทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างกันของกลุ่มและกับประเทศนอกกลุ่มมากขึ้น เช่น ให้ใช้เงินรูเบิลของรัสเซีย ใช้เงินหยวนของจีน เงินเรอัลของบราซิล เงินรูปีของอินเดีย หรือเงินแรนด์ ของแอฟริกาใต้ ในการทำธุรกรรม การค้าขาย โดยไม่ต้องใช้ดอลลาร์สหรัฐ เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเหมือนอย่างในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งหมดนี้ทำเพื่อจะออกจากอิทธิพลของระบบดอลลาร์อเมริกา ซึ่งนอกจากทำให้มีความยุ่งยากแล้ว แลกเปลี่ยนสกุลเงินแล้ว แทนที่จะเอาเงินท้องถิ่นแลกกันเอง ยังเพิ่มค่าใช้จ่ายอีก


ประเด็นที่สาม ผู้นำ BRICS จะหารือลงในรายละเอียดเพิ่มเติมของแผนการสร้างเงินสกุลร่วมของกลุ่ม BRICS หลังจากที่มีการตกลงว่าจะสร้างเงินสกุลร่วมในการประชุมซัมมิตของจีน ปีที่แล้ว เบื้องต้นเงินสกุลร่วมของ BRICS นั้นจะเป็นเงินดิจิทัล อาจจะมีระบบบล็อกเชน หรือระบบชำระอื่นๆ รองรับเพื่ออำนวยความสะดวกในการค้า หรือการชำระเงินระหว่างประเทศสมาชิก และหันหลังให้กับระบบดอลลาร์ที่ผูกขาดเป็นเงินสกุลหลักของโลกมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง

ท่านผู้ชมครับ มันสมองที่อยู่เบื้องหลังเงินสกุลร่วม BRICS ในบรรดานักเศรษฐศาสตร์ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก ในปัจจุบัน ได้รับการยอมรับว่าโดดเด่นที่สุด คือ นายเซอร์เก กลาซเยฟ (Sergei Glazyev) ชื่อของนายกลาซเยฟ ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เขาเป็นชาวรัสเซีย และเป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีปูติน ในการวางแผนทางการเงินและเศรษฐกิจ เพื่อสลัดอิทธิพลของโลกดอลลาร์


นายกลาซเยฟ อธิบายถึงการสร้างเงินสกุลร่วมของ BRICS มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ เฟสแรก มีการเปลี่ยนถ่ายออกจากอิทธิพลของดอลลาร์อเมริกา โดยเรากำลังเห็นประเทศในกลุ่ม BRICS และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ หันมาใช้เงินสกุลของตัวเองในการค้าขาย หรือทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างกันมากขึ้น โดยจะมีกลไกระบบ Clearing ทางการเงิน การทำการ Swap ทางการเงินในรูปแบบทวิภาคี ประเทศกับประเทศ หรือทวิภาคีควบคู่ไปด้วย กระบวนการนี้เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว

หลังจากที่รัสเซียถูกยุโรปและอเมริกายึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปถึง 300,000 ล้านดอลลาร์ ประเทศต่างๆ ตอนนี้มีแรงจูงใจน้อยลงในการถือครองเงินดอลลาร์ ยูโร ปอนด์ หรือ เยน เพราะเป็นสกุลเงินของมหาอำนาจตะวันตก เขากลัวกันว่าไม่รู้จะถูกยึดอีกเมื่อไร ถ้าทำอะไร ถ้าไอแรงๆ หน่อย โกรธปั๊บ จะยึดเงินเลยนะ นี่คือนิสัยสันดานทางตะวันตก

เฟสที่สอง เขาก็จะสร้างกลไกทางด้านราคาใหม่ ที่ไม่เกี่ยวกับ US Dollar เลย ในตอนนี้ราคาของสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ถูกกำหนดมาโดยตลาดรองต่างๆ ที่ quote ราคาเป็น US Dollar แม้ว่าการกำหนดราคาใหม่โดยใช้เงินสกุลท้องถิ่นจะมีค่าโสหุ้ยสูง แต่มันคุ้มค่ามากกว่าการพึ่งพาดอลลาร์ ซึ่งดอลลาร์เป็นเงินพิมพ์กระดาษที่พิมพ์จากเครื่องจักร ไม่มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง รวมทั้งเงินยูโร เงินปอนด์ และ เงินเยน ไม่เหมือนกับเงินหยวน หรือเงินรูเบิลของรัสเซีย ที่มีทองคำหนุนหลัง รัสเซียยังมีพลังงานหนุนหลัง จีนยังมีอุตสาหกรรมการส่งออกทั่วโลกมาหนุนหลัง

อย่างไรก็ตาม เงินหยวนจะไม่ทำหน้าที่เป็นเงินสกุลหลักในโลกเหมือนดอลลาร์ เพราะว่าจีนยังคงไม่เปิดเสรีทางการเงิน เงินหยวนยังไม่สามารถแปลงค่าเป็นเงินสกุลอื่นอย่างเสรี เพราะรัฐบาลจีนยังควบคุมเงินนอกไม่ให้เข้าถึงตลาดทุนจีน เพื่อป้องกันการเก็งกำไรทางการเงิน


เฟสที่สาม ก็จะมีการสร้างเงินดิจิทัลใหม่ผ่านข้อตกลงของประเทศ BRICS เพื่อการชำระเงิน ทำให้เงินสกุลร่วมดิจิทัลของ BRICS จะเป็นเงินที่ใช้ในระบบการชำระเงิน หรืออาจจะเป็นเงินสำรองก็ได้ในอนาคต

การสร้างเงินสกุลร่วมเพื่อใช้ในระบบการชำระเงิน เขาจะอ้างอิงจากตะกร้าเงินของกลุ่ม BRICS ซึ่งแต่ละประเทศสมาชิกจะลงขันเอาเงินสกุลของตัวเองมากองรวมกันเป็นเงินกองทุน โดยที่ประเทศอื่นๆ อาจจะมาร่วมทีหลังก็ได้ จะมีการกำหนดสัดส่วนหรือน้ำหนักเงินตราของแต่ละประเทศที่จะใส่เข้าตะกร้าเงิน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดขึ้นมา เช่น ขนาด GDP ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศนั้น ส่วนแบ่งการค้าระหว่างประเทศ ขนาดประชากร หรือขนาดดินแดนของประเทศ แน่นอน เงินหยวนของจีนจะมีบทบาทสำคัญที่สุด เพราะว่าจีนมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดใน BRICS พัฒนามากที่สุด

นอกจากนั้นแล้ว ตะกร้าของเงินสกุลร่วมของกลุ่ม BRICS จะมีดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่กำหนดโดยตลาดรองที่เป็นที่ยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นทองคำ โลหะที่มีค่า เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ธัญพืช หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ คอยหนุนหลังอยู่ ไม่เหมือนอเมริกาที่มีแค่แท่นพิมพ์แท่นเดียว หรือเงินยูโรก็เช่นกัน เงินเยนก็เช่นกัน เงินปอนด์ก็เช่นกัน ไม่มีอะไรหนุนหลังเลยแม้แต่นิดเดียว มันก็คือกระดาษ แล้วไปกำหนดราคาโดยประเทศตะวันตก แล้วทำให้ประเทศที่นอกเหนือจากประเทศตะวันตกแล้ว ต้องมายอมรับราคานี้

รูปแบบการบริหารจัดการเงินสกุลร่วม BRICS จะมีความจำเป็นในการสร้างสถาบันการเงินที่จะทำหน้าที่คล้ายๆ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ที่มีเงินในรูปบัญชี Special Drawing Rights (SDR) ใช้อยู่ในปัจจุบัน เงิน SDR นี้จะอิงตะกร้าเงินที่ประกอบด้วย ดอลลาร์ ยูโร หยวน เยน และ ปอนด์ ด้วยเหตุนี้ BRICS จะต้องตั้งองค์กรขึ้นมาใหม่เพื่อดูแลการบริหารจัดการเงินสกุลร่วม

อย่างไรก็ตาม BRICS จะต้องมีการยกเครื่องเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ถ้าหากต้องการจะสร้างระบบการเงินของโลกใหม่ ต้องทยอยขายทิ้งดอลลาร์ ยูโร ปอนด์ และ เยน แล้วหันมาถือเงินสกุลท้องถิ่นที่เป็นคู่ค้ากันและทองคำแทน ล่าสุด จีนทยอยขายพันธบัตรดอลลาร์สหรัฐทิ้งไปแล้ว ตัวเลขล่าสุดที่ออกมาเผยแพร่ในเดือนเมษายน จีนลดการยึดครองพันธบัตรดอลลาร์ จาก 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ กลายเป็นแค่ 8 แสนกว่าล้านดอลลาร์ เท่านั้นเอง ลดไปเยอะเลยท่านผู้ชม


สิ่งต่างๆ ที่ผมพูดมานี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในระยะเวลาข้ามคืน มันจะต้องมีอุปสรรคบ้าง ตัวอย่างเช่น นายไจแชงการ์ (Subrahmanyam Jaishankar) รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย ผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว คนนี้ แม้จะมีภรรยาเป็นคนญี่ปุ่น แต่เป็นคนที่มีแนวความคิดชาตินิยมมาก

นายไจแชงการ์ ออกมาปฏิเสธว่า จะยังไม่มีเงินสกุล BRICS ออกมาเร็วๆ นี้ อีกทั้งยังไม่มีแผนดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากชาติสมาชิกต่างๆ ต้องการจะสร้างความเข้มแข็งในเงินสกุลของตัวเอง 


ดังนั้น การออกมาปฏิเสธเงินสกุล BRICS ของทางฝั่งอินเดียนั้น ไม่ได้ทำให้เรื่องนี้ถูกล้มเลิกไป เพราะแกนนำหลักของ BRICS นั้นมี 4 ชาติที่เหลือ คือ บราซิล รัสเซีย จีน และแอฟริกาใต้

ผมเชื่อว่าเขายังเดินหน้าต่อ ยกตัวอย่างเช่น ปี 2565 ปีที่แล้ว ในการเลือกตั้งที่บราซิล นายลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา ชนะการเลือกตั้ง ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งหนึ่ง นายลูลา เป็นผู้ที่สนับสนุนกลุ่ม BRICS มาอย่างยาวนาน ก่อนหน้านี้พยายามลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ของบราซิล พยายามผลักดันให้กลุ่ม BRICS ลดการผูกกับค่าเงินดอลลาร์ และพูดถึงการสร้างเงินสกุลใหม่ที่มีลักษณะคล้ายๆ ยูโรด้วย


นอกเหนือจากจีน รัสเซีย บราซิล และแอฟริกาใต้ ที่ต้องการจะผลักดันเรื่องเงินสกุล BRICS แล้ว ถึงแม้ว่าอินเดียจะสับขาหลอกออกลีลาเต้นพลิ้วเหมือนหนังอินเดีย แต่ในความเป็นจริงแล้วมีประเทศน้อยใหญ่อีก 41 ประเทศ ที่สนับสนุนเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ อินโดนีเซีย อิหร่าน เบลารุส หรือแม้กระทั่งบังกลาเทศ เพราะฉะนั้นทิศทางในการทิ้งเงินดอลลาร์สหรัฐ นั้น จะยังคงเดินหน้าอย่างแน่นอนที่สุด ส่วนสกุลเงินตราของโลกใหม่ที่เกิดขึ้น อาจจะเป็นเงิน BRICS ซึ่งก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด ถึงแม้ว่าอินเดียซึ่งเป็นหนึ่งในชาติสมาชิก BRICS จะเอาหรือไม่เอาก็ตาม เพราะประเทศที่สำคัญที่สุดที่จะผลักดันเรื่องนี้ไม่ใช่อินเดีย แต่เป็นจีน รัสเซีย และอีกประเทศหนึ่งที่สำคัญคือ ซาอุดีอาระเบีย ผู้ผลิตน้ำมันระดับหัวแถว และผู้ส่งออกน้ำมันอันดับหนึ่งของโลกครับ

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้ก็มีอยู่เพียงแค่นี้ อาทิตย์หน้าก็ยังคงเป็นข่าวการเมืองที่จะเกาะติดอยู่ ผมก็มีความคิดว่ามันน่าจะออกมาในรูปแบบไหน แต่ผมไม่กล้าพูด เพราะว่ามีแต่คนรอฟันธงอยู่เยอะ ปล่อยให้พวกเขาฟันธงกันต่อไปเถอะครับ เอาเป็นว่าให้มันเกิดขึ้นมาแล้วเรามาวิเคราะห์กันดีกว่า เชื่อใจผมเถอะครับ ไม่มีที่ไหนวิเคราะห์ได้ถึงกึ๋นเหมือนอย่างที่ผมวิเคราะห์ที่นี่ แล้วเจอกันอาทิตย์หน้า สวัสดีครับ

กำลังโหลดความคิดเห็น