xs
xsm
sm
md
lg

ดอลล่าร์จะไร้ค่าเมื่อหยวนหันไปอิงทองคำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ดอลล่าร์จะไร้ค่าเมื่อหยวนหันไปอิงทองคำ
โดย ทนง ขันทอง

ในวันที่ 19 มิถุนายน ที่ผ่านมา นาง Kristalina Georgieva กรรมการผู้จัดการของ IMF ได้ออกมาแสดงความเห็นว่าเงินดิจิตอลของธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency) หรือ CBDC ควรจะมีสินทรัพย์หนุนหลัง พร้อมกับเสริมว่า cryptocurrencies จะเป็นโอกาสในการลงทุนเมื่อมีสินทรัพย์หนุนหลัง แต่ถ้าไม่มี พวกมันก็เป็น “การลงทุนเชิงเก็งกำไรเท่านั้น”

คำพูดของจอร์เจียวาเท่ากับเป็นการยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงในระบบการเงินโลกกำลังเกิดขึ้น โดยเงินตราที่จะเป็นที่ยอมรับในวาระการเงินโลกใหม่จะต้องมีทองคำ หรือสินทรัพย์หนุนหลัง และมันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ที่โลกจะออกจากระบบดอลล่าร์กระดาษในปัจจุบัน โดยจะย้อนกลับไปสู่ระบบมาตรฐานทองคำ หรือระบบการเงินที่มีทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์หนุนหลัง

ถ้าหากว่าจีนหันไปผูกค่าเงินหยวนกับทองคำ หรือกลุ่ม BRICS ซึ่งประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีนและแอฟริกาใต้ย้อนกลับไปใช้ระบบมาตรฐานทองคำแล้ว IMF จะอยู่อย่างไรต่อไป เนื่องจากไอเอ็มเอฟเป็นสถาบันการเงินที่อยู่ได้เพราะดอลล่าร์ภายใต้การกำกับของสหรัฐและอังกฤษ? แผนการใหญ่ที่จะให้ไอเอ็มเอฟออกเงินสกุลหลักของโลกแทนดอลล่าร์จะไปต่อได้หรือไม่?

ในระบบเงินตราปัจจุบันที่มีดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก ธนาคารกลางของสหรัฐพิมพ์ดอลล่าร์เปล่าๆจากกลางอากาศออกมาใช้ โดยไม่มีข้อจำกัด เนื่องได้ยกเลิกการเอาทองคำหนุนหลังดอลล่าร์ หรือระบบมาตรฐานทองคำตั้งแต่ปี คศ 1971

ตั้งแต่นั้นมา โลกเข้าสู่ระบบดอลล่าร์กระดาษที่ไร้ค่า ทำให้สหรัฐมีสิทธิพิเศษเหนือทุกประเทศในโลกในไฟแนนซ์การใช้จ่าย และการก่อหนี้ที่เกินตัว ด้วยการพิมพ์ดอลล่าร์ออกมาใช้แบบไม่อั้น และใช้แสนยานุภาพทางทหารในการบีบบังคับให้ทุกประเทศทั่วโลกให้อยู่ในระบบดอลล่าร์กระดาษต่อไป

มันเป็นเวลากว่า50ปีแล้ว ที่โลกของเราอยู่ภายใต้ระบบดอลล่าร์กระดาษ ซึ่งดูแล้วมีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถทรงตัวได้อีกนาน เนื่องจากปัญหาภายในของสหรัฐเอง และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบโลกที่ต้องการออกจากอิทธิพลของลัทธิล่าอาณานิคมที่ดำเนินมาเป็นเวลากว่า 400 ปี

สหรัฐอยู่ในวัฎจักรของขาลงรอบใหญ่ทางเศรษฐกิจ มีหนี้สูง ($32 ล้านล้าน) ที่ไม่สามารถชำระได้ยกเว้นการพิมพ์เงินมาจ่ายหนี้ ระบบธนาคารของสหรัฐกำลังล่มสลายจากฟองสบู่การเงินที่มีรอยร้าวลึก ดอกเบี้ยที่คงอยู่ในระดับสูงจะทำให้เศรษฐกิจพัง แต่ก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้ เพราะว่ารัฐบาลสหรัฐยังคงเดินหน้าก่อหนี้ โดยไม่ลดการใช้จ่าย ความมั่นใจในการถือครองดอลล่าร์กำลังถูกสั่นคลอน

สิ่งที่ทางสหรัฐเกรงกลัวมากที่สุดในเวลานี้คือการที่จีน ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐ เตรียมเทขายพันธบัตรสหรัฐ $859,000 ล้าน ที่ถืออยู่ออกไป เพื่อเป็นการตอบโต้การที่สหรัฐสนับสนุนไต้หวันให้แยกตัวเป็นรัฐอิสระ

นางเจเน็ต เยลเลน รมว คลังของสหรัฐถูกสมาชิกสภาคอนเกรซซักถามว่า มีการเตรียมความพร้อมในการรับมืออย่างไร ในกรณีที่จีนตัดสินใจดัมพ์ทิ้งพันธบัตรสหรัฐจนเกลี้ยงพอร์ต

ปรากฎว่านางเยลเลนตอบคำถามได้ไม่ชัดเจน เพราะว่าไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรจริงๆ ได้แต่พูดว่า สหรัฐไม่มีทางแยก (de-couple) ออกจากเศรษฐกิจจีนได้


ที่ผ่านมาเยลเลนพยายามที่จะส่งสัญญานให้จีนช่วยซื้อพันธบัตรสหรัฐต่อไป หรืออย่างน้อยอย่าได้ขายพันธบัตรออกมา เพราะว่ากระทรวงคลังต้องออกบอนด์ระยะสั้นใหม่อีก$1ล้านล้านภายในปีนี้เพื่อเติมเต็มเงินคงคลังหลังจากที่เสียเวลาไปร่วมครึ่งปี ไม่สามารถออกพันธบัตรได้ในช่วงที่กฎหมายยกเพดานหนี้ยังไม่ผ่านสภาจากความขัดแย้งในการเมืองภายใน

เมื่อเร็วๆนี้ นายแอนโทนี บลิงเคน รมว ต่างประเทศสหรัฐถูกส่งตัวไปปักกิ่ง เพื่อเจรจาจีนเปิดช่องทางการสื่อสารระหว่างทหารอเมริกันกับทหารจีน และให้ชะลอการขายพันธบัตรสหรัฐ แต่บลิงเคนกลับบ้านมือเปล่า เพราะว่าจีนมีท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ให้คำสัญญาอะไรที่เป็นรูปธรรม คล้อยหลังการเยือนจีนของบลิงเคน โจ ไบเดนกล่าวหาว่าสี จิ้นผิง เป็นผู้นำเผด็จการ ซึ่งไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศดีขึ้นแต่อย่างใด

การเปลี่ยนแปลงในระบบการเงินโลกที่กำลังเกิดขึ้น คือการที่ประเทศต่างๆกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่สังคมไร้เงินสด และจะยกเลิกเงินกระดาษที่ใช้กันอยู่ปัจจุบัน โดยจะหันไปใช้เงินดิจิตอลแทน แต่เงินดิจิตอลนั้นจะมี่ทองคำหนุนหลังหรือไม่จะเป็นประเด็นใหญ่เหมือนอย่างที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ของไอเอ็มเอฟได้ตั้งข้อสังเกตุ

ในเวทีประชุมของ St Petersburg International Economic Forum ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียได้ประกาศว่ารัสเซียจะสนับสนุนให้เงินหยวนเป็นเงินสกุลหลักของโลกแทนดอลล่าร์ ซึ่งทำให้จีนหนักใจพอสมควร เพราะว่าการเอาหยวนมาแข่งกับดอลล่าร์เท่ากับเป็นการประกาศสงครามกับสหรัฐโดยตรง เวลานี้รัสเซียได้หันหลังให้ดอลล่าร์กับยูโร และหันมาใช้หยวนเป็นหลักในการค้าขายกับประเทศในเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา

อย่างไรก็ดี มาถึงจุดนี้แล้ว สี จิ้นผิง ผู้จำของจีนจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะเดินหน้าผลักดันให้หยวนมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในเวทีการเงินโลก โดยจีนจะไม่ซื้อพันธะบัตรสหรัฐเพิ่ม แต่จะเทขายพันธบัตรสหรัฐออกไป เพราะว่าไม่จำเป็นต้องถือครองดอลล่าร์อีกต่อไป เนื่องจากเงินหยวนกำลังเป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้นในบรรดาประเทศคู่ค้าของจีน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ดอลล่าร์เป็นสื่อกลางของการแลกเปลี่ยนเหมือนอย่างในอดีต

เปโตรหยวนก็เกิดขึ้นแล้วจากการที่จีนสามารถใช้เงินหยวนซื้อน้ำมันจากรัสเซียและซาอุดิ อาราเบียโดยตรง

ในชั้นแรก จีนอาจจะขายบอนด์สหรัฐจนอาจจะเหลือประมาณ 10%-20% ของพอร์ตเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ หลังจากนั้นจีนจะประกาศผูกค่าเงินหยวนกับทองคำ

จีนเตรียมผูกค่าหยวนกับทองคำ

เมื่อจีนประกาศผูกเงินหยวนกับทองคำ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ เท่ากับเป็นการโยนระเบิดนิวเคลียร์เข้าไปในระบบการเงินโลกในขณะที่สหรัฐกำลังเผชิญวิกฤติการธนาคาร และวิกฤติหนี้ เพราะว่าความเชื่อมั่นในเงินหยวนจะเพิ่มขึ้น ใครๆก็อยากจะถือครองหยวน ในขณะที่ดอลล่าร์หรือเงินสกุลอื่นๆที่ไม่มีทองคำหนุนหลังจะด้อยค่าลงไปเรื่อยๆจากการถูกเทขาย

เงินบาทที่อยู่ในสกุลเงินดอลล่าร์กระดาษก็จะอ่อนค่าลงไปเมื่อค่าเงินอ่อน เงินเฟ้อจะถามหา ถ้าหากไม่มีการปรับเปลี่ยนระบบการเงินด้วยการหันไปถือครองหยวน และซื้อทองคำเพิ่มในพอร์ต

ตามรายงานของ Gold World Council ในไตรมาสแรกของปีนี้ จีนมีทองคำสำรอง 2,068 ตัน ส่วนรัสเซียมี 2,326ตัน แต่นั้นเป็นเพียงตัวเลขที่เป็นทางการ ส่วนตัวเลขจริงนั้น ท้ังจีนและรัสเซียน่าจะที่เป็นมหาอำนาจโลกด้านทองคำที่ไร้คู่แข่ง โดยทั้งจีนและรัสเซียน่าจะมีทองคำสำรองอยู่ไม่น้อยกว่า 30,000 ตัน

การที่หยวนจะต้องอิงกับทองคำ จะทำให้จีนต้องซื้อทองคำเพิ่มเข้าคลังสำรองเพื่อที่จะหนุนค่าเงิน ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาทองพุ่งสูงขึ้นในอนาคต

เมื่อจีนให้ค่าเงินหยวนไปผูกกับทองคำ กลุ่ม BRICS ซึ่งประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ก็จะทำตามอย่างพร้อมเพียงกัน โดยจะใช้ทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์มาหนุนหลังค่าเงินของตัวเอง ทำให้ระบบการเงินของบริกส์จะมีความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับระบบการเงินของตะวันตก ซึ่งมีแต่หนี้ และกระดาษที่ไร้ค่า

ในระหว่างการประชุมซัมมิทระหว่างวันที่ 23-24 สิงหาคม ที่จะมีขึ้นที่เมือง Johannesburg ประเทศแอฟริกาใต้ ผู้นำของบริกส์จะมีการประกาศให้มีการใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการค้าขายกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะหนุนบทบาทของเงินหยวน. และจะประกาศสร้างเงินสกุลร่วม ที่มีทองคำ และสินค้าโภคภัณฑ์หนุนหลัง

ต่อไปเงินสกุลร่วมของบริกส์สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อกลางของการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ และสามารถทำหน้าที่เป็นเงินรีเสิร์ฟได้อีกด้วย

เงินตราที่มีทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าเงินตรากระดาษ หรือ CBDC ที่ไม่มีทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์หนุนหลัง

ในระบบการเงินที่มีทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์หนุนหลัง ธนาคารกลางจะพิมพ์เงินออกมาหมุนเวียนในระบบตามปริมาณทองคำสำรอง หรือสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีอยู่ ทำให้ค่าเงินมีเสถียรภาพ และมีความน่าเชื่อถือ ไม่มีปัญหาเงินเฟ้อ เพราะว่าเงินเฟ้อเกิดจากปริมาณเงินที่เพิ่มโดยไม่มีวินัยการเงินการคลัง ต่างจากระบบเงินกระดาษปัจจุบันที่มีการเพิ่มปริมาณเงินโดยไร้วินัยทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อที่หนักหน่วงในเวลานี้ และเมื่อเกิดเงินเฟ้อ จำต้องขึ้นดอกเบี้ยสูงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ทำให้เศรษฐกิจพัง และผู้มีรายได้น้อย รวมท้ังชนชั้นกลางมีมาตรฐานการครองชีพที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ

ในระบบมาตรฐานทองคำปริมาณเงินมีระบบมาตรฐานทองคำค้ำคออยู่ทำให้มีการรักษาวินัยการเงิน และการคลังไปในตัว

เงินสกุลร่วมของ BRICS จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทั้ง 5 ประเทศ หันไปผูกค่าเงินของตัวเองกับทองคำหรือสินค้าโภคภัณฑ์ หลังจากนั้น จะมีการสร้างเงินสกุลร่วมที่จะมีตระกร้าเงินที่ประกอบด้วยเงินหยวนของจีน รูเบิ้ลของรัสเซีย รูปีของอินเดีย เรียลของบราซิล และแรนด์ของแอฟริกาใต้

เงินสกุลร่วม BRICS จะกลายเป็นเงินหนึ่งในเงินสกุลหลักของโลกที่มีความน่าเชื่อถือ เพราะว่ามีทรัพย์สินหนุนหลัง สามารถนำมาใช้ในการชำระสินค้าและบริการระหว่างประเทศได้ และสามารถเอาไปเป็นรีเสิร์ฟหรือเงินทุนสำรองระหว่างประเทศได้

ธนาคาร New Development Bank ของ BRICS จะทำหน้าที่ในการ settlements เงินสกุลร่วม

ในขณะเดียวกัน BRICS กำลังเดินหน้าค้าขายกันด้วยเงินสกุลท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องสำรองดอลล่าร์อีกต่อไป
การออกจากอิทธิพลดอลล่าร์จะทำให้เซฟต้นทุนค่าใช้จ่าย ไม่ถูกสหรัฐแซงชั่น และลดความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน

เมื่อหยวนผูกค่าเงินกับทองคำ หรือ BRICS สร้างเงินสกุลร่วมที่มีทรัพย์สินหนุนหลัง จะเทียบเท่ากับการเอาระเบิดนิวเคลียร์โยนใส่ระบบดอลล่าร์กระดาษของสหรัฐ อันจะนำไปสู่การปฏิวัติระบบการเงินโลกที่จะตามมา นักลงทุน บริษัท ธนาคาร หรือประเทศต่างๆจะทิ้งดอลล่าร์ ยูโร ปอนด์ เยนหรือเงินสกุลอื่นๆที่ไม่มีทรัพย์สินหนุนหลัง และจะหันมาถือครองหยวน หรือเงินสกุลที่มีทรัพย์สินหนุนหลังแทน เพราะว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่า

สิ่งที่ตามมาคือค่าเงินหยวน หรือค่าเงินที่ผูกกับทองคำจะแข็งค่าขึ้น และมีเสถียรภาพมากกว่า ในขณะที่ค่าเงินที่ไม่มีทรัพย์สินหนุนหลังจะอ่อนตัวลงอย่างฮวบฮาบ ผู้ถือครองจะไม่มั่นใจ จะพากันเททิ้ง ทำให้เกิดเงินเฟ้อในระบบที่ใช้ค่าเงินที่ไม่มีทรัพย์สินหนุนหลังนั้น

ถ้าหากดอลล่าร์ ยูโร ปอนด์ เยน หรือเงินกระดาษอื่นๆต้องการรักษาความเชื่อมั่น จำต้องหาทองคำ หรือทรัพย์สินอื่นมาค้ำค่าเงินของตัวเอง ซึ่งอาจจะไม่สามารถจะกระทำได้ เนื่องจากปริมาณเงิน รวมท้ังหนี้ที่อยู่ในระบบมีมากเกินทรัพย์สินที่จะเอามาหนุน และค่าเงินจะถูกล่าค่าลงไปอย่างน่าตกใจ

จีน รัสเซียและบริกส์ กำลังก่อสงครามนิวเคลียร์ทางการเงินกับโลกตะวันตก
กำลังโหลดความคิดเห็น