xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : ผู้ใหญ่ใจดำให้ท้าย “น้องหยก” - แพะบูชายัน ของลัทธิล้มเจ้า - ผ่าแผนขบวนการ แยกดินแดน “รัฐปาตานี” - หยก = เหยื่อ ผลผลิตของก้าวไกล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 23 มิ.ย.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่
- ผ่าแผนขบวนการ แยกดินแดนรัฐปาตานี "ฮ่องกงโมเดล" ผสม "ติมอร์"
- หยก = เหยื่อ ผลผลิตของก้าวไกล
- แพะบูชายัน ของลัทธิล้มเจ้า
- ผู้ใหญ่ใจดำให้ท้าย “น้องหยก”

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.194



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 195 [23 มิ.ย. 66]

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK

แอปพลิเคชัน : SONDHI APP

ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.

ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android

เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ

YouTube : Sondhitalk

เว็บไซต์: www.sondhitalk.com

Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2566 เร็วมาก อีกหนึ่งอาทิตย์ก็สิ้นมิถุนายนแล้ว เดือนหน้าก็เริ่มกรกฎาคม สวัสดีแฟนๆ ที่กำลังรับชมสดหลายช่องทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok ครับ

วันนี้ตอนต้นรายการมีเรื่องราวที่จะพูดกันเยอะหน่อย แต่ว่าเป็นเรื่องที่มีสาระทุกอย่าง ท่านผู้ชมที่ต้องการจะฟังเนื้อหารายการที่จะพูดวันนี้ ต้องรอนิดหนึ่ง ท่านผู้ชมคงรู้แล้วว่าเมื่อวันพุธที่ 21 มิถุนายน ที่ผ่านมา ท่านผู้ว่าฯ หมูป่า หรือท่านผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ท่านเสียชีวิตแล้ว ท่านอายุเพียง 58 ปี เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง ที่โรงพยาบาลศิริราช ท่านเป็นผู้ว่าฯ จังหวัดปทุมธานี ตอนที่ท่านเป็นผู้ว่าฯ อยู่ที่เชียงราย ท่านผู้ชมที่เคยติดตามรายการผมจะเห็นว่าท่านเป็นผู้ว่าฯ น้ำดี ตงฉินมาก แล้วงานชิ้นโบแดงที่สุดยอดเลย และเป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วโลกก็คือช่วยเด็กและผู้ช่วยฝึกสอนที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ในการปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยถ้ำหลวง


ท่านผู้ว่าฯ มีชื่อมากในช่วงนั้น เพราะท่านบริหารสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี จนทำให้นักฟุตบอลหมูป่า 13 ชีวิต รอดปลอดภัย เป็นคนดีจริงๆ ท่านผู้ชม เสียใจและเสียดายอย่างสุดซึ้ง ประเทศไทย คนดีนั้นอายุจะไม่ยืน อาจจะเป็นเพราะถึงเวลาที่ท่านจะต้องไปแล้ว แต่ผมเชื่อว่าคุณงามความดีที่ท่านทำไว้ให้กับชาติบ้านเมืองต้องนำดวงวิญญาณท่านไปสู่สุคติ และที่ชอบๆ

อีกท่านหนึ่งที่ผมไปงานศพมาเมื่อวันศุกร์ที่ 16 วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน ผมได้ไปงานสวดอภิธรรมและเผาศพของ "อาอี้ใจดี"


"อาอี้ใจดี" ชื่อ นิรมล ลิมป์กิจเจริญ ทำไมผมต้องเอาเรื่องอาอี้ใจดี มาพูดให้ฟัง เพราะอาอี้ใจดี เป็นคนที่พวกเราไม่เคยลืมเลย เป็นคนที่มีฐานะทางบ้านดีมาก ช่วงที่เราออกมาต่อสู้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อาอี้ใจดี ยกครอบครัวทั้งครอบครัว หลายคนในยุคนั้นยังเป็นเด็กเป็นเล็กอยู่ อาอี้ใจดี เป็นคนที่ช่วยเหลือเรามาตลอด ไม่เคยละทิ้งพวกพันธมิตรฯ เลยแม้แต่นิดเดียว เอาเงินเข้ามาหยอดในตู้บริจาคให้กับพันธมิตรฯ โดยที่ไม่ได้บอกใคร แล้วก็จัดอาหารการกินมาให้ทานระหว่างที่ชุมนุมประท้วงกัน

อาอี้ใจดี เป็นคนที่มีบุญคุณต่อแผ่นดินไทยมาก นี่ล่ะครับคือบุญคุณที่ต้องระลึกถึงและอย่าลืม เพราะอาอี้ใจดี เป็นคนรวย มีเงินมีทอง ครอบครัวก็เป็นคนที่มีฐานะดี แต่ทำไมจะต้องมาเดินถนน ต่อสู้ในสิ่งที่เป็นหลักการและเป็นธรรม คือเดินหน้าไปหาความจริง


ที่ผมประทับใจมากที่สุด ก็ประทับใจทุกอย่างเกี่ยวกับอาอี้มากที่สุดอยู่แล้ว และนี่ยิ่งมากขึ้น ครอบครัวอาอี้เป็นครอบครัวใหญ่ มีคนประมาณ 40 คน ท่านผู้ชมเชื่อไหม ลูกหลานหลายคนที่สมัยนั้นยังเป็นลูกเล็กเด็กแดง วันนี้ผมไปงานศพอาอี้ ทุกคนโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว จบธรรมศาสตร์ก็มี 2-3 คน มีหลายคนจบดีๆ ทั้งนั้น มีหนุ่มน้อยคนหนึ่งเป็นหลานอาอี้ใจดี จบวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ที่น่ารักที่สุดคือทุกคนมีหลักการเหมือนกันหมด คือ รักชาติ รักศาสนา และรักพระมหากษัตริย์ ทั้งๆ ที่เป็นเด็กวัยรุ่น น่าจะคิดแบบก้าวไกล แต่ไม่มี คนพวกนี้มีหลักการเพราะว่าคุณยายหรือคุณย่านั้นเป็นคนที่มีหลักการ คือสรุปง่ายๆ ว่าพ่อแม่อบรมมาดี ปู่ย่าตายายอบรมมาดี


อาอี้ใจดี และครอบครัวลิมป์กิจเจริญ เป็นครอบครัวคนจีนที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร และไม่เคยลืมบุญคุณของชาติบ้านเมือง ผมก็เลยไปงานศพด้วยความเต็มใจ และสบายใจที่ได้ไป แล้วก็อยู่จนกระทั่ง ได้ไปในวันสวดศพ และไปในวันที่ฌาปนกิจศพ ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว ลิมป์กิจเจริญ ด้วย แต่ว่าขอให้ภูมิใจนะครับว่าอาอี้ใจดี และครอบครัวลิมป์กิจเจริญ จะอยู่ในใจผมตลอดเวลา บุญคุณนี้จะไม่มีวันลืมครับ เพราะเป็นบุญคุณที่อาอี้ใจดี และครอบครัว ทำให้ชาติบ้านเมือง


อีกเรื่องหนึ่ง ท่านผู้ชมจำ "น้องพลอยเพชร" ได้ไหม ? น้องพลอยเพชร ด้วงเขียว หยุดไม่อยู่แล้วตอนนี้ จากเด็กที่เล่นเทนนิสที่สงขลา คุณพ่อคุณแม่ทำงานรับจ้างทาสีเรือ แล้วเห็นน้องพลอยเพชร เป็นเด็กสมาธิสั้น หมอก็บอกให้เล่นเทนนิส ก็สนับสนุน จ้างครู จ้างโค้ชมาสอน จนกระทั่งน้องพลอยเพชร พัฒนาฝีมือได้ แล้วสมาธิสั้นก็หายไป จนกระทั่งคุณพ่อคุณแม่ของน้องพลอยเพชร ไม่ไหวแล้ว เพราะไปถึงระดับหนึ่งต้องไปจ้างโค้ชราคาแพงขึ้น ตัวเองก็เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ก็เลยส่ง inbox เข้ามาหาผม ขอโอนให้ผมช่วยอุปการะน้องพลอยเพชร


ท่านผู้ชมคงทราบเรื่องราวนี้ดี หรือท่านผู้ชมที่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน ก็รับทราบกันด้วย ผมก็ตัดสินใจเข้ามาสนับสนุนน้องพลอยเพชร โดยใช้มูลนิธิของคุณแม่ผม ไชย้ง ลิ้มทองกุล ทำทุกอย่าง เอาน้องพลอยเพชร มาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ โรงเรียนอมาตยกุล ท่านอาจารย์ ครูใหญ่โรงเรียนอมาตยกุล ท่านก็น่ารักมาก ท่านก็เป็น FC ของผม และท่านก็สอนเด็กได้ดี และที่โรงเรียนก็มีการเน้นเรื่องเทนนิส ก็เลยรับน้องพลอยเพชร เข้ามาเรียน ปรากฏว่าน้องพลอยเพชร เรียนเก่งมาก เก่งจริงๆ และพัฒนาฝีมือเทนนิส ได้รับการปลูกฝังจากคุณดนัย ซึ่งเป็นโค้ชเทนนิส และในที่สุด น้องพลอยเพชร ก็ก้าวเข้าไปสู่ทีมชาติไทย ของสมาคมลอนเทนนิส และก็เป็นครั้งแรกที่ไปแข่งที่ต่างประเทศ ที่บรูไน แล้วก็มีเด็กอีกคนหนึ่งซึ่งผมรับเข้ามาอุปการะเหมือนกัน คือ น้องนะโม


น้องนะโม ก็เป็นคนที่เก่ง คุณพ่อคุณแม่ก็เป็นคนที่มีฐานะไม่ค่อยดีนัก คือเป็นคนหาเช้ากินค่ำ เราก็เอามาสนับสนุน

ปรากฏว่าการแข่งเทนนิสนานาชาติที่บรูไน น้องพลอยเพชร ด้วงเขียว ได้เป็นแชมป์เยาวชนทีมไทย U12 ส่วนน้องนะโม-ธรรมะ โคศิริ และเยาวชนทีมชาย ได้รองแชมป์ ที่ประเทศบรูไน ทั้งทีมหญิงและทีมชายได้สิทธิ์ผ่านเข้าไปแข่งแมตช์ชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ที่ประเทศคาซัคสถาน ในเดือนกันยายนนี้

ท่านผู้ชมครับ น่าภูมิใจมาก ถ้าสังคมไทยให้ความสนใจกับเด็กที่มีความสามารถ แต่สถานภาพทางครอบครัวไม่ดี เราช่วยกันคนละแรง น้องพลอยเพชร และน้องนะโม เป็นตัวอย่างให้เห็นชัดเจน ว่าถ้าสังคมไทยยังมีความเอื้ออาทรกันอยู่ ไม่ทิ้งซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ปรัชญาบ้าบอคอแตกของอาจารย์เฮงซวยบางคนที่บอกว่าไม่มีบุญคุณต่อกัน พ่อแม่ไม่มีบุญคุณ เพราะว่าให้เราเกิด ก็ต้องเลี้ยงดูเราไป อาจารย์ก็ไม่มีบุญคุณ เพราะว่าจายค่าเรียนไปแล้ว นี่คือเนื้อของสังคมไทยจริงๆ ครับ ท่านผู้ชม เราจะรักษาตรงนี้เอาไว้ หรือเราจะทอดทิ้งมันไปเลย แล้วใช้ความหยาบ ความกระด้าง ความเลวทรามต่ำช้าของจิตใจเอามาสร้างสังคมใหม่ ผมคิดว่าท่านผู้ชมคงจะยืนอยู่ข้างๆ ผม เราต้องมาช่วยกันรักษาตรงนี้เอาไว้ นี่คือวัฒนธรรมของไทย วัฒนธรรมทางตะวันออกซึ่งไม่ควรจะละทิ้งไป


ทีนี้มาเรื่องสุขภาพนิดหนึ่ง มันมีข่าวดีที่ผมจะต้องเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง คือเรื่อง "ฟ้าทะลายโจร" ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าครับว่า คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ทำงานวิจัยเป็นครั้งแรกในโลกนี้ และประกาศในงานสัมมนาเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2566 อาทิตย์กว่าๆ ที่แล้ว ท่านเภสัชกรได้ค้นคว้าวิจัยพบว่า "ฟ้าทะลายโจร" มีส่วนช่วยลดการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในผู้ป่วยโรคระบาดในขณะนี้ ก็คือว่า ท่านผู้ชมที่ได้ฉีดยาป้องกันไวรัสโรคระบาดนี้แล้วหลายๆ ท่านมีภาวะการลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งข่าวพวกนี้ไม่ค่อยมีใครรายงานเท่าไรนัก ปรากฏว่านักวิจัย ท่านเภสัชกรท่านนี้ท่านได้วิจัยที่ ม.มหิดล บอกว่า "ฟ้าทะลายโจร" สมุนไพรไทยนั้นลดหรือรักษาโรคลิ่มเลือดอุดตันได้ นี่เป็นการช่วยชีวิตคนอย่างเห็นชัดเจนด้วย "ฟ้าทะลายโจร" นอกเหนือจากการที่ "ฟ้าทะลายโจร" ช่วยชีวิตท่านจากการติดเชื้อไวรัส แล้วก็รักษาให้หายดี

นักวิจัยเขาระบุว่า เมื่อกินฟ้าทะลายโจรแบบผงบดหยาบ ก็คือแบบที่เป็นแคปซูล ถอดออกมาหรือกินเป็นแคปซูลก็ได้ ถ้าทานไป 5 วัน จะช่วยลดการเกิดลิ่มเลือดอุดตันจากโรคระบาดได้

ท่านผู้ชมรู้ไหมว่านี่คือการค้นพบครั้งแรกของโลก และเชื่อผมสิ อีกไม่นาน ฝรั่งมังค่า ตลอดจนบริษัทยา จะต้องเข้ามาหาทางที่จะครอบงำแล้วก็กว้านซื้อฟ้าทะลายโจรไป

สรุปแล้ว "ฟ้าทะลายโจร" มีประโยชน์อะไรบ้าง ? ทานเพื่อลดไข้ ขณะเดียวกัน ยับยั้งการทำงานไวรัสโดยรวมได้หลากชนิด เพราะคนส่วนใหญ่เป็นหวัดจากไวรัสถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ติดเชื้อแบคทีเรียน้อยมาก แต่ไวรัสคือต้นเหตุของหวัด เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมที่เคยซื้อยาปฏิชีวนะ ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันเขาเรียกว่า แอนติไบโอติก (Antibiotic) ก็คือการทานยาเพื่อต้านแบคทีเรีย แต่ไม่ใช่ไวรัส ผลคือ ไม่ได้รักษา แต่กลับทำลายแบคทีเรียที่มีทั้งดีและเลว ก็ทำลายที่ดีลงไปด้วย ทำให้ภูมิคุ้มกันโดยรวมก็ลดลงด้วย นั่นคือปัญหาใหญ่ของแอนติไบโอติก หรือ ยาปฏิชีวนะ


ท่านผู้ชมรู้ไหม ผมไม่เคยทานยาปฏิชีวนะเลย ยกเว้นตอนที่ผมโดนยิง ตอนนั้นแพทย์ต้องเอายาปฏิชีวนะ หรือ แอนติไบโอติก ใส่ในหลอดน้ำเกลือเพื่อป้อนเข้าไปเพื่อรักษา แต่ถ้าปกติธรรมดาแล้ว เป็นไข้หวัดใหญ่ เจ็บคอ อะไรพวกนี้ ผมเคยเล่าให้ท่านผู้ชมฟังมาหลายครั้งแล้วว่าผมทาน ฟทจ. แล้วหาย 4 มื้อต่อวัน เช้า กลางวัน เย็ฯ ก่อนนอน 4 เม็ดต่อมื้อ กินเป็นเวลา 5 วัน เรียบร้อยหมด และผมก็อดพูดไม่ได้ว่า ฟทจ. ฟ้าทะลายโจรที่ดีที่สุดคือยาที่ทำจากใบ ของอาจารย์ปานเเทพ คุณภาพดีมาก ดีที่สุดในตลาด ขึ้นทะเบีนย อย. ที่ได้มาตรฐาน ท่านผู้ชมต้องซื้อติดบ้านไว้เลยนะครับ สำรองเอาไว้คนละ 2 กล่องเลย อย่าไปรอว่าตรวจ ATK ขึ้น 2 ขีด แล้วค่อยไปหาซื้อ ช้าไป 1-2 วัน มันจะมีผลมาก มีฟ้าทะลายโจรของอาจารย์ปานเทพ เก็บไว้ที่บ้าน ถ้าตรวจ ATK แล้วขึ้น 2 ขีด ทานเลย กะทันหันทันที

ยาพ่นคอของ "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์" ก็มีสารสกัดฟ้าทะลายโจรเช่นกัน จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอด้วย

ทีนี้ มันมีอะไรอย่างหนึ่งซึ่งโยงกันไปถึง "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" มีความจำเป็นมากสำหรับคนอายุมากที่กินฟ้าทะลายโจร เพราะว่าหลายคนทานแล้วไม่รู้ว่า ฟทจ. นั้นเป็นยาเย็น เมื่อทานแล้วมือเย็น เท้าเย็น สิ่งที่ควรรู้เอาไว้ นี่คือภูมิปัญญาอายุรเวชแผนอินเดีย และการแพทย์แผนไทย คือรสยา ฟทจ. นั้นเป็นยาเย็น เพราะฉะนั้นทานเยอะเกินไป นานไป ก็จะมีผลเสียได้เหมือนกัน ทำให้เกิดสภาวะลมจุกเสียด แน่นเฟ้อ ตัวเย็น มือ-เท้าเย็น อาหารไม่ย่อย หนาวง่าย อ่อนเพลีย การแพทย์แผนไทยก็เลยบอกว่า ถ้าท่านผู้ชมทาน ฟทจ. มากไป มีอาการเหล่านี้ ก็ต้องหันมาทานยา ให้ใช้ยารสเผ็ดร้อน เพราะว่า ฟทจ. เป็นยาเย็น ให้หันมาทานยาที่รสเผ็ดร้อน แล้วจะหนีอะไรไปได้ นอกจาก "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" อันนี้รสเผ็ดร้อน


ท่านผู้ชมที่มีคุณพ่อคุณแม่ ก่อนป่วย ทาน "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" กินทุกวันเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน เสริมธาตุไฟ และธาตุลม ผู้สูงวัย เวลาเราไปเจอคนข้างนอก เหมือนอย่างผมไปงานศพมา ไปงานเผาศพมา ผมกลับไปถึงบ้าน ผมทาน ฟทจ. ไปเลย 4 เม็ด ช่วงป่วยเป็นหวัด เจ็บคอ ติดโรคระบาด ให้หยุด "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ให้ทาน ฟทจ. เต็มที่ 5 วัน ไม่เกิน 7 วัน พอหายสนิทแล้วกลับมาทาน "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ต่อเนื่องทุกวัน เป็นเวลา 1 เดือน เป็นยาอายุวัฒนะ ท่านผู้ชมครับ ผมทาน "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" มาปีนี้เป็นปีที่สามแล้ว ผมทานทุกวัน วันละซอง เป็นยาอายุวัฒนะ ผม 76 แล้วปีนี้ พฤศจิกายนนี้ 76 เต็ม และจะย่าง 77 ผมค่อนข้างมั่นใจว่าสุขภาพผมแข็งแรงกว่าคนอายุใกล้เคียงกัน เพราะส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจาก "ยาลม ๓๐๐ จำพวก"

แคปซูลฟ้าทะลายโจรของอาจารย์ปานเทพ ยาลม ๓๐๐ จำพวก สเปรย์พ่นปาก ท่านผู้ชมสั่งซื้อได้ที่ไลน์ (LINE) @Sunherb หรือจะเข้าไปชมสินค้าทั้งหมดทางเว็บไซต์www.sunherbth.com อีกทางหนึ่งคือเข้าไปที่ Shopee หรือ Lazada แล้วเสิร์ชค้นหาคำว่า "ร้านสมุนไพรบ้านพระอาทิตย์"


ท่านผู้ชมครับก่อนที่จะจบเรื่องการแนะนำของดีๆ ให้ มันมีเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ของ ManNature เรามีเครื่องฟอกอากาศ 2 ขนาด ขนาดอันหนึ่งไว้บนบ้าน ในห้อง ซึ่งอันนี้เป็นส่วนย่อของอันใหญ่ ตอนนี้เขาพัฒนามาเป็นอันเล็กลง คุณภาพดีเหมือนกันหมดทุกอย่าง และนี่คือเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ เครื่องฟอกอากาศนี้ประสิทธิภาพดีมาก คนที่อยู่ในเมืองใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในรถ ตอนนี้เครื่องฟอกอากาศนี้มีเครื่องขนาดเล็กของ ManNature น้ำหนักเบามาก ใช้งานง่าย ใช้ในรถยนต์ อากาศภายในรถยนต์จะสะอาด ปราศจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และ PM 2.5 เครื่องฟอกอากาศขนาดนี้ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่า กรองอนุภาคได้เล็กถึง 0.3 ไมครอน สั่งซื้อได้เลยที่ พอดีช้อป คอลเซ็นเตอร์หมายเลขโทรศัพท์ 02-633-5353

ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ ยาลม ๓๐๐ จำพวก ฟ้าทะลายโจรของอาจารย์ปานเทพ และยาพ่นคอแก้อักเสบ ทั้งหมดนี้ต้องมีติดบ้านไว้ และเครื่องฟอกอากาศติดรถยนต์เอาไว้

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เรื่องมีอยู่ไม่เยอะ แต่เรื่องที่เยอะที่สุดคือเรื่องของ "น้องหยก" เราจะพูดถึงเรื่องย้อนหลังหน่อย ผมจะเปลือยขบวนการแยกดินแดน จาก "ฮ่องกงโมเดล" ถึง "ปาตานีโมเดล" พูดไปแล้วมันเห็นรอยเท้าและเป้าประสงค์ของคุณธนาธร และพรรคก้าวไกล อย่างชัดเจน

เรื่องที่สอง เรื่องของ "น้องหยก" จากผ้าขาว สู่เหยื่อแก๊งล้มสถาบัน วันนี้ผมจะฉีกหน้ากากคนที่อยู่เบื้องหลังชักใยน้องหยก และผมจะย้อนรอยพรรคก้าวไกลเคยออกมาสนับสนุนน้องหยก ถึงกับเอาเรื่องของน้องหยกไปเป็นหนึ่งในนโยบายด้วยซ้ำ และต่อด้วย ผมกำลังอธิบายเรื่องผู้ใหญ่เลวทรามต่ำช้าอำมหิต ให้ท้าย ปั่นหัวเด็กน้อย จากผ้าที่ขาวสะอาดกลายเป็นผ้าที่ดำ เปื้อนความชั่ว ความประสงค์ร้ายของผู้ใหญ่เลวๆ พวกนั้น มีทั้งนักวิชาการ มีทั้งนักเคลื่อนไหว แม้กระทั่งคนหลายคนที่ผมนึกไม่ถึง หรือแม้กระทั่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ก็เอากับเขาด้วย และผมจะจบเรื่องลงด้วยการยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง คือม็อบเด็กสาดสี บุกทำลายรูปปั้นกระทรวงสาธารณสุข 2564 และผมก็จะเอาพวกบรรดาอีแอบทั้งหลายที่แอบปั่นเด็กให้เป็นของที่เลวทรามแบบนี้ เด็กเป็นเด็กที่บริสุทธิ์ แต่ถูกไอ้พวกบ้านี่ปั่น ผมมีหลักฐานพิสูจน์ชัดเจน วันนี้จะเป็นบทพิสูจน์ เป็นประจักษ์พยาน ว่าปัญหาน้องหยก หรือปัญหาเด็กหลายคนที่นึกไม่ถึงว่าทำไมถึงทำตัวอย่างนี้ มันถูกปั่นโดยคนชั่วๆ แบบนี้ แล้วที่สำคัญ คนชั่วๆ และอีแอบทั้งหลาย มันมีคนที่ไม่กล้าโผล่หน้ามา แต่ให้สัมภาษณ์สนับสนุนเด็กให้ทำผิดตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งอาจารย์มหาวิทยาลัย ทั้งอาจารย์แก่ อาจารย์วัยกลางคน หรือแม้กระทั่งคนที่หิวแสง อยากจะเอาใจเด็ก อยากจะให้พวกพรรคก้าวไกล คอนด้อมส้ม เข้ามาเห็นใจตัวเอง เชียร์ตัวเอง แสดงความงี่เง่า ความไร้ซึ่งสติปัญญา และความเลวทรามต่ำช้าของพวกผู้ใหญ่เลวๆ พวกนี้

เปลือยขบวนการแบ่งแยกดินแดน จาก “ฮ่องกงโมเดล” ถึง “ปาตานีโมเดล” รอยเท้าและเป้าประสงค์ของ “ธนาธร และพรรคก้าวไกล

ท่านผู้ชมครับ ในการจัดงานเปิดตัวขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ ที่มีเบื้องหลังเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดน เมื่อวันพุธที่ 7 มิถุนายน 2566 ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปัตตานี คือการกำหนดอนาคตตนเองกับสันติภาพปาตานี ท่านผู้ชมครับ เว้นวรรคตรงนี้นิด ขอนอกเรื่องนิด ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า "ปาตานี" หลักฐานทางประวัติศาสตร์ไม่เคยมีมาเลย มันเป็นคำพูดที่พวกเขาคิดค้นกันขึ้นมา เพื่อสร้างขบวนการนี้ขึ้นมา คือ "ปาตานี" นั่นคือเจตนารมณ์ที่ฉ้อฉล

ตอนนั้นมีการประกาศเรื่องการทำประชามติเพื่อแบ่งแยกดินแดน หรือ รัฐปาตานี ซึ่งไม่เคยมีอยู่ในประวัติศาสตร์เลย ซึ่งมีว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรค อยู่เบื้องหลัง นำหัวขบวนโดยพรรคก้าวไกล ตามด้วยพรรคประชาชาติ และ พรรคเป็นธรรม บุคคลที่ทางผู้จัดกิจกรรมเชิญมาร่วม มีนายรอมฎอน ปันจอร์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งได้เปิดตัวแล้ว เตรียมมามีบทบาทในการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก่อนการเริ่มงาน นายรอมฎอน เหมือนกับจะเป็นนกรู้ วิ่งตีนขวิดหนีไปเลย ปฏิเสธว่าติดงานด่วน ทำให้ไม่ได้มาร่วมงานต่อไป


นายฮากิม พงตีกอ รองเลขาธิการพรรคเป็นธรรม นายปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม ตัดสินใจมีมติปลดนายฮากิม โดยอ้างว่าคุณสมบัติไมม่เหมาะสม หลังกรณีประชามติกำหนดชะตากรรมตนเอง ณ มอ. ปัตตานี เป็นการแบ่งแยกดินแดนโดยหัวหน้าพรรคอ้างว่าเป็นการสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน

ท่านผู้ชมครับ ผมมีเรื่องที่จะพูดให้ฟังว่า พรรคประชาชาติ ซึ่งผมเข้าใจว่าคุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรค ท่านให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ว่าท่านจะฟ้องผม ซึ่งผมก็ประกาศเป็นสัจจะวาจา ณ ที่นี้เลยว่า ผมยินดีที่จะให้ท่านฟ้องผม และผมจะสู้คดีไปจนถึงศาลฎีกา ถ้าผมแพ้ ซึ่งผมคิดว่าผมไม่แพ้ แต่ถ้าสู้ถึงศาลฎีกาแล้ว ท่านหัวหน้าพรรคประชาชาติครับ ระหว่างผมกับท่านยังไม่รู้ว่าถึงวันนั้นแล้วใครตายก่อนใคร ท่านวันนอร์ อายุท่านก็มากแล้ว น่าจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับชาติบ้านเมืองบ้างเหมือนอย่างที่ผมทำ

พรรคประชาชาติ ส่ง ผศ.ดร.วรวิทย์ บารู ซึ่งเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาชาติ ส.ส. ปัตตานี เข้าไปร่วมสัมมนา หลังจากจบงานก็มีการถอดเทปสิ่งที่สองคนพูดบนเวทีเสวนา ปรากฏว่าทั้งสองคนแสดงท่าทีสนับสนุนการกำหนดอนาคตของตนเอง หรือสิทธิในการกำหนดใจตนเอง อย่างคึกคัก แข็งขัน รับรองว่าเป็นนโยบายพรรคของทั้งสองพรรคเสียด้วยซ้ำ


เดือนเมษายน 2566 กกต. จังหวัดนราธิวาส ตั้งข้อสังเกตว่า คำว่า "ปาตานีจัดการตนเอง" ที่พรรคเป็นธรรมใช้หาเสียง เป็นคำแสลงที่หมิ่นเหม่กับหน่วยงานด้านความมั่นคง แต่ในเวลานั้น นายกัณวีร์ สืบแสง เลขาธิการพรรค และ นายฮากิ พงตีกอ รองเลขาธิการพรรค และนายฮาฟิส ยะโกะ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 3 จังหวัดนราธิวาส อ้างว่า "ปาตานีจัดการตนเอง เป็นนโยบายจังหวัดจัดการตนเอง เป็นเพียงแต่กระจายอำนาจ โดยเราใช้คำว่า "ปาตานี" เป็นภาพรวมเพื่อแทนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้" นายฮาฟิส ระบุ

ท่านผู้ชมครับ นี่คือการแก้ตัวไปแบบน้ำขุ่นๆ ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม หลังเลือกตั้ง พอจะจัดตั้งรัฐบาล ความจริงก็ปรากฏว่าพรรคก้าวไกล พรรคเป็นธรรม รวมทั้งพรรคประชาชาติ พลิกลิ้น กลับไปร่วมแสดงความประสงค์ในการจัดทำประชามติแบ่งแยกดินแดน โดยมีความพยายามจะตั้ง "รัฐปาตานี" ขึ้น ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 1 ของราชอาณาจักรไทย อย่างชัดเจน


ผมเอาแผนที่ให้ดู แผนที่ "ปาตานี" ที่ประกอบด้วย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ซึ่งกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่มี 3 พรรคการเมืองว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลหนุนหลัง

ท่านผู้ชมครับ เบื้องหลังคือนายอาเต็ฟ โซ๊ะโก หนึ่งในผู้ร่วมเวทีเปิดตัวขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ ที่มีเบื้องหลังเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดน เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 มีการจัดกิจกรรมปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "การกำหนดอนาคตตนเอง กับสันติภาพปาตานี"


ท่านผู้ชมครับ วันนี้เรามาพูดถึงเบื้องหลัง "ปาตานีโมเดล" กัน ว่ากันถึงเรื่องความพยายามในการปลุกปั่นประเทศเอกราชรัฐปาตานีแล้ว ถ้าเรามองย้อนหลังไปในปี 2562 หรือเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว ท่านผู้ชมครับ นี่คือหลักฐานความจริงเป็นหนึ่งเดียว นายธนาธร ไปพบกับนายโจชัว หว่อง แกนนำม็อบฮ่องกงต่อต้านรัฐบาลปักกิ่ง ที่เกาะฮ่องกง ท่านผู้ชมเชื่อไหม เราเห็นร่องรอยอะไรหลายอย่างที่เชื่อมโยงกัน กล่าวคือ บนเวที Open Future Forum เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม จัดขึ้นโดยนิตยสาร The Economist ที่เกาะฮ่องกง นายธนาธร ไปขึ้นเวทีกับนายโจชัว หว่อง ซึ่งนายโจชัว หว่อง คือใคร ? เขาคือแกนนำนักศึกษาคนรุ่นใหม่ในฮ่องกง ต่อมากลายเป็นนักโทษ ถูกจำคุกในหลายต่อหลายคดี รวมทั้งข้อหาเรียกร้องประชาธิปไตย แต่แฝงด้วยการพร้อมจะประกาศเอกราชแบ่งแยกฮ่องกงออกจากการปกครองของจีน เขาเรียกร้องให้อังกฤษ กับสหรัฐอเมริกา เข้ามาแทรกแซง แนวทางเดียวกับที่คุณธนาธร พยายามใช้


คุณธนาธร ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว NBC ซึ่งไม่ได้มีการออกอากาศ ซึ่งผมถอดความมาให้ดูเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นายธนาธร พูดชัดเจนลย ขอให้ประชาชนชาวอเมริกัน รัฐบาลอเมริกัน มาช่วยหน่อย เหมือนกับที่นายโจชัว หว่อง พยายามจะทำ


ผมเอารูปๆ หนึ่งให้ดู ที่ฮ่องกง ผู้ประท้วงโบกธงชาติอเมริกา และธงชาติอังกฤษ ระหว่างการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในฮ่องกง เรียกร้องประชาธิปไตยแบบมีการเลือกตั้ง และเรียกร้องให้บอยคอตพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่สวนสาธารณะบริเวณใจกลางเกาะฮ่องกง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2563

วันที่ 10 ตุลาคม 2562 โฆษกสถานทูตจีน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กล่าวเตือนนักการเมืองไทย ซึ่งก็คือ นายธนาธร กรณีมีเชิงสนับสนุนกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากจีน และให้ระมัดระวังว่าการกระทำดังกล่าวจะกระทบกระเทือนมิตรภาพจีน-ไทย

ท่านผู้ชมครับ การพบกันระหว่างนายธนาธร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็น ส.ส. และเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กับนายโจชัว หว่อง แม้ในเวลาต่อมานายธนาธร ถูกสถานทูตจีนประจำประเทศไทยออกมากล่าวเตือน จนทำให้เจ้าตัวต้องโร่มาชี้แจงว่า ที่ตนเองได้เจอนายโจชัว หว่อง ที่ฮ่องกงนั้น พบกันเพียง 5 นาทีเท่านั้นเอง และเขาพูดว่า นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมพบปะกับนายโจชัว หว่อง ผมไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองใดๆ ในฮ่องกง และไม่มีเจตนาที่จะทำ ในอนาคตภารกิจของผมและพรรคอนาคตใหม่คือการสร้างประชาธิปไตย และความก้าวหน้าของสังคมไทย

คุณธนาธร แก้ตัวเต็มที่ แต่ถึงจะแก้ตัวเช่นนั้น แต่เมื่อไปเปิดคลิปฟังย้อนหลังที่นายธนาธร พูดบนเวทีที่ฮ่องกง ก็จะถึงบางอ้อ เพราะว่านอกเหนือจากการที่นายธนาธร ไปถ่ายรูปคู่และสนทนา 5 นาที กับนายโจชัว หว่อง ที่ฮ่องกงแล้ว ท่านผู้ชมเชื่อไหม นี่จากคลิปคำพูดของนายธนาธรเองนะท่านผู้ชม ผมไม่ได้มโน ความจริงย่อมมีหนึ่งเดียว นายธนาธร ยอมรับด้วยว่า เหตุการณ์ประท้วงในฮ่องกงเมื่อปี 2557 นั้น เป็นแรงบันดาลใจในการตั้งพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นพรรคก้าวไกล


คุณธนาธร พูดไว้ที่ฮ่องกง เมื่อตุลาคม 2562 ผมจะอ่านให้ฟังแบบคำต่อคำภาษาอังกฤษ และจะแปลเป็นไทยให้ด้วย ขออนุญาตอ่านภาษาอังกฤษนะครับ นี่คือคำพูดของคุณธนาธร คุณธนาธร พูดว่า "Actually what happened in Hong Kong over the past few years also inspires. Let me take you back in 2018, we were trying to make decision to form a political party. There were actually two options back then whether should it be a movement or whether should it be a political party. And we end it up as a political party." คำพูดที่แปลแล้ว คือ "สิ่งที่เกิดขึ้นในฮ่องกงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเราเช่นกัน ผมขอย้อนกลับไปเมื่อปี 2561 เมื่อเราพยายามตัดสินใจตั้งพรรค จริงๆ แล้วมีสองทางเลือกในตอนนั้น คือ ควรเคลื่อนไหว หรือควรเป็นพรรคการเมือง เราก็ลงเอยด้วยการเป็นพรรคการเมือง"

ท่านผู้ชมครับ ภาพ คลิป คำพูด ความเคลื่อนไหวเรื่องราวรอยเท้าทั้งหมดของพวกคุณ หลายคน พรรคก้าวไกล รวมทั้งคุณธนาธร อาจจะลืมไปแล้ว แต่ผมและทีมงานยังจำได้แม่น เก็บสะสมเอาไว้หมด เป็นฐานข้อมูลที่ลบอย่างไรก็ลบไม่หมด ปฏิเสธอย่างไรก็ปฏิเสธออกมาเถอะครับ

ผมอยากจะถามคุณธนาธร ว่า แกนนำพรรคก้าวไกลครับ คุณได้แรงบันดาลใจอะไรมาจากฮ่องกงครับ ? เป็นแรงบันดาลใจในวิธีการจัดการเคลื่อนไหวเพื่อนำไปสู่เป้าหมายการแบ่งแยกดินแดนหรือเปล่า เพราะว่าใน "โมเดลฮ่องกง" นั่นคือการเรียกร้องประชาธิปไตยและจะประกาศเอกราชฮ่องกงจากประเทศจีน แล้วการที่พวกคุณดึงเอาฝรั่งมังค่า ฝรั่งตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกาและอังกฤษเข้ามาช่วยคุณ สนับสนุนความต้องการของคุณ ไปสอดคล้องกับกลุ่มกบฏผู้ก่อการร้ายที่ต้องการแยกประเทศ ประกาศเอกราช หรือการที่คุณเอากลุ่มนักเรียน นักศึกษา เยาวชน มาชักใยเพื่อเป็นเครื่องมือในการบรรลุเป้าประสงค์ของคุณ ซึ่งถ้าคุณยังใช้ได้ คุณก็ใช้ ถ้าหมดค่าแล้วคุณก็ลอยแพเขา โยนทิ้งไป เหมือนอย่างที่คุณกำลังลอยแพ ด.ญ.หยก อยู่ในขณะนี้ หลังจากที่เห็นว่ากระแสนั้นปลุกไม่ขึ้น


ท่านผู้ชมครับ มาดูภาพนิดหนึ่ง 9 กันยายน นักเรียนฮ่องกงในเครื่องแบบหลายร้อยคน หลายคนสวมหน้ากาก จัดแถวมนุษย์โซ่ โซ่มนุษย์ในหลายเขตทั่วฮ่องกงเพื่อสนับสนุนผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาล และดูภาพขบวนนิสิตนักศึกษาแห่งชาติ มอ. ปัตตานี ออกมาประท้วง แถลงการณ์แสดงความประสงค์ในการลงประชามติ ประกาศเอกราชรัฐปาตานี โดยอ้างว่าเป็นไปตามหลักการกำหนดอนาคตของตนเอง เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2566 ท่านผู้ชมดูว่ามันคล้ายกันไหม ? มันไม่เชิงคล้ายกันหรอกครับ มันเลียนแบบกันมาเลย


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมที่ติดตามรายการผมมาตลอด หลายท่านอาจจะไม่เข้าใจคำว่า "ฮ่องกงโมเดล" มันเป็นอย่างไร ? ผมเคยหยิบยกเรื่อง "ฮ่องกงโมเดล" มาอธิบายให้ฟังแล้วหลายต่อหลายรอบ ตั้งแต่สมัยทำรายการ "มองโลก มองเรา" เรื่อยมาจนถึงรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ซึ่งล่าสุดผมได้อธิบายอย่างละเอียดไปแล้วในตอนที่ 48 ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 เกือบสามปีที่แล้วนะ ไม่ใช่เพิ่งมาพูด ผมวิเคราะห์เหตุการณ์แล้วผมคาดคะเนว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ และมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทุกๆ เรื่อง

สรุปแบบสั้นๆ "ฮ่องกงโมเดล" คือตัวอย่างที่บุคคลบางกลุ่มสมคบกับคนต่างชาติ เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง เป็นการขายชาติ แต่ชูป้ายติดไว้ที่หน้าผากตัวเองว่าเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตย

เวลาผ่านไป ถึงวันนี้ "ฮ่องกงโมเดล" ได้ถึงกาลอวสานไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อรัฐบาลจีนได้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ผมเคยพูดแล้วนะท่านผู้ชม ทำให้ประเทศอดีตเจ้าอาณานิคมที่ใช้แนวความคิดแบ่งแยกแล้วปกครอง จำเป็นต้องย้ายฐานปฏิบัติการ ย้ายบุคลากรต่างๆ ไปที่ไหน ? มาที่ประเทศไทย ส่วนหนึ่งก็เพื่อจะผลักดัน "ปาตานีโมเดล" เพื่อให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนทางภาคใต้ของไทย ทั้งนี้และทั้งนั้น ในการแบ่งแยกประเทศโดยใช้ "ฮ่องกงโมเดล" นั้น มีเนื้อหาและรายละเอียดในการปฏิบัติการที่ผมเคยอธิบายให้ฟังไปแล้วว่าเป็น "สงครามพันทาง" ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Hybrid Warfare ผมจะสรุปสั้นๆ ให้ฟัง 10 ประการด้วยกัน คือ

หนึ่ง เขียนประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ให้แตกต่างกัน เพื่อบอกว่าฮ่องกงคือฮ่องกง ไม่เหมือนกับจีน ไม่มีความแตกต่างเรื่องเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการแบ่งแยกผู้คนในหลายประเทศ จึงต้องใช้ความแตกต่างทางวัฒนธรรมมาอ้างเป็นอัตลักษณ์ของตัวเอง คล้ายๆ การต่อสู้เพื่อแยก "ปาตานี" ออกมา

สอง อ้างค่านิยมสากล สร้างความเชื่อว่าค่านิยมบางอย่างที่มนุษยชาติต้องยึดถือเหมือนกันทั้งหมด เช่น ประชาธิปไตย ทุนนิยม เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม โดยไม่สนใจว่าแต่ละประเทศหรือพื้นที่มีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา และลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน

สาม สร้างประวัติศาสตร์ว่าถูกกดขี่ ไม่เท่าเทียม โดยกลุ่มเคลื่อนไหวในฮ่องกงอ้างว่าชาวจีนแผ่นดินใหญ่มาแย่งงาน แย่งสวัสดิการ ทำให้บ้านเมืองสกปรก ข้าวของแพง ปั่นราคาที่พักอาศัย


คนฮ่องกงเปรียบคนจีนว่าเป็นตั๊กแตนที่เข้ามาดูดกินทรัพยากรเกาะฮ่องกงโดยไม่ต้องเสียภาษี นักท่องเที่ยวจีนแห่กันไปซื้อสินค้าปลอดภาษีในฮ่องกง กว้านซื้อตั้งแต่นมผงยันคอนโดมิเนียม ยังอ้างว่า หญิงสาวชาวจีนลักลอบเดินทางมาคลอดบุตรที่ฮ่องกงถึงปีละกว่า 40,000 ราย เพื่อหลีกเลี่ยงนโยบายลูกคนเดียวของรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน (ซึ่งตอนนี้ยกเลิกไปแล้ว) การที่มาคลอดลูกในฮ่องกงเพื่อหวังได้สิทธิในระบบสวัสดิการที่ดีกว่า โดยเสกสรรค์ปั้นแต่งข้อมูลขึ้นมาว่า ทุกๆ 18 นาที คนฮ่องกงจะต้องจ่ายภาษี 1 ล้านเหรียญฮ่องกง เพื่อเลี้ยงดูเด็กที่เกิดขึ้นบนเกาะฮ่องกงจากพ่อแม่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่

สี่ เรียกร้องโดยไม่สนใจหลักการใดๆ ทั้งสิ้น การประท้วงในช่วงแรกมีประเด็นหลัก คือเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งทั่วไป คือให้สิทธิเลือกตั้งแก่พลเมืองผู้ใหญ่ทุกคน ต่อมาขยายผลเป็นการเรียกร้องการเลือกตั้งแบบ One Man One Vote คือการเลือกตั้งผู้แทนโดยตรงจากประชาชนทั้งหมดแทนที่ระบบปัจจุบันที่ใช้การผสมผสานระบบเลือกตั้งโดยตรง กับการสรรหาจากกลุ่มผู้แทนวิชาชีพต่างๆ หลังจากนั้นก็มีการยกระดับขึ้นไปอีก โดยเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งทั้งสมาชิกนิติบัญญัติฮ่องกง และเลือกตั้งผู้ว่าการฮ่องกงโดยตรง ทั้งๆ ที่ในช่วง 150 ปี ที่อังกฤษปกครองฮ่องกงอยู่นั้น คนฮ่องกงไม่เคยได้โอกาสเลือกผู้นำของตนเองแต่อย่างใด


ห้า ขยายผลการขับไล่ผู้นำไปสู่การเรียกร้องเอกราช ในการประท้วงฮ่องกงเมื่อปี 2562 "ฮ่องกงโมเดล" ได้ขยายผลชัดเจนที่สุด คือต้องการแยกตัวเป็นเอกราช ถึงขนาดมีการสร้างธงเอกราชฮ่องกงขึ้นมา ซึ่งธงสีดำ ได้ปรากฏอยู่ในพื้นที่ชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกในประเทศไทยด้วย ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ รูปเห็นชัดเจน


ธงนี้ชูขึ้นมาที่หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บนถนนราชดำเนิน เกี่ยวข้องกันแน่นอน เกี่ยวข้องเพราะว่า "ฮ่องกงโมเดล" และ "ประเทศไทยโมเดล" นั้น คนที่อยู่ข้างหลังคือประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอังกฤษ เพราะฉะนั้นแล้ว ผมฟันธงเลย อเมริกาคือปีศาจร้ายที่จะมาทำร้ายทำลายสถาบันหลักของประเทศไทย โดยใช้คนพวกนี้ ใช้คนอย่างธนาธร ใช้คนอย่างโจชัว หว่อง แล้วปลุกปั่นเด็ก ทำเป็นขบวนการของเด็กขึ้นมา ซึ่งพรรคก้าวไกลอยู่เบื้องหลังขบวนการของ "น้องหยก" เดี๋ยวผมจะพูดต่อให้ฟังว่าข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างไรในเรื่องนี้

หก สร้างแนวร่วมนักการเมือง พวก NGO สื่อมวลชน เมืองไทยมีเยอะเลย แนวร่วม NGO เลอะเทอะไปหมด รวมทั้ง NGO ที่ออกมาประท้วงแทนน้องหยก กับกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มาจากไหนก็ไม่รู้ การประท้วงฮ่องกงเดิมจัดโดยกลุ่ม Pro-Democracy Group ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2529 เป็นการรวมตัวของสมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกงที่มีจุดยืนตรงกันข้ามกับกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลปักกิ่ง หรือเรียกว่า Pro-Beijing Camp แต่ว่าการเคลื่อนไหวในยุคหลัง บรรดานักการเมืองได้เปลี่ยนกลยุทธ์จากการออกหน้าชน มาเป็นอีแอบ ท่านผู้ชมคุ้นๆ ไหม การเมืองเมืองไทย ความวุ่นวายที่อยู่เบื้องหลังเด็กนั้นล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากอีแอบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นธรรมศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นจุฬาฯ ไม่ว่าจะเป็นขอนแก่น ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อีแอบทั้งนั้น สมัยก่อนยังออกมาให้สัมภาษณ์กันปาวๆๆ ลอยหน้าลอยตา แต่พอเห็นว่าเรื่องมันชักจะเข้มข้นแล้ว กูหลบดีกว่า

พวกนี้จะอีแอบหนุนหลังกลุ่ม NGO องค์กรภาคเอกชนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรนักเรียน นักศึกษา แกนนำที่เป็นที่รู้จักกันดี อย่างโจชัว หว่อง แอกเนส โจว นาธาน ลอว์


ล้วนแต่มีจุดเริ่มต้นจากกลุ่ม Scholarism ที่เป็นองค์กรนักศึกษา และพัฒนาเป็นพรรค Demosisto ในเวลาต่อมา ท่านผู้ชมรู้ไหม แนวร่วมสื่อมวลชนของฮ่องกงมีชื่อ นายจิมมี ไล ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการเสื้อผ้าแบรนด์ GIORDANO เป็นเจ้าพ่อสื่อ เจ้าของหนังสือพิมพ์ Apple Daily และเครือข่ายสื่อ NEXT DIGITAL เขาเป็นผู้ประกอบการสื่อรายเดียวที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ปักกิ่งอย่างไม่เกรงกลัว และเขายังเป็นท่อน้ำเลี้ยงในการเคลื่อนไหวต่างๆ เพื่อต่อต้านรัฐบาลปักกิ่งด้วย ยกตัวอย่าง

8 กรกฎาคม ในรูปนี้ นายจิมมี ไล กับ ไมก์ เพนซ์ ซึ่งเป็นรองประธานาธิบดีอเมริกา พบกันที่ทำเนียบขาว ระหว่างการชุมนุมกำลังลุกลามในฮ่องกง ในครั้งนั้น ไล พบกับไมก์ พอมเพโอ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งวุฒิสมาชิกจากฝั่งรีพับลิกันอีกหลายคนด้วย


วันที่ 9 กรกฎาคม 2562 จิมมี ไล ได้ขึ้นเวทีมูลนิธิเพื่อการปกป้องประชาธิปไตย ซึ่งเป็นกลุ่ม Think Tank ของวอชิงตัน ดี.ซี. อเมริกา เขามีประโยคเด็ด ว่า "เราต้องรู้ว่าอเมริกานั้นอยู่ข้างหลังเรา คือการสู้รบในสงครามเดียวกับที่คุณกำลังสู้กับจีน" ชัดเจนไหมท่านผู้ชม คำพูดที่ จิมมี ไล พูดว่า เราอยู่ข้างคุณ สละชีวิตเรา เสรีภาพเรา ทุกอย่างที่เราสู้ในสงครามที่ยืนอยู่แนวหน้าเพื่อคุณ แล้วคุณล่ะ คุณสนับสนุนเราหรือเปล่า

ท่านผู้ชมครับ จิมมี ไล ติดคุกฮ่องกงโดดเดี่ยวและเดียวดาย ไม่มีอเมริกา หรืออังกฤษ เข้ามาสนับสนุนเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีขบวนการในอังกฤษ หรืออเมริกา ที่เรียกร้องให้ปลดปล่อย จิมมี ไล ไม่มี เพราะจิมมี ไล คือหมากอีกตัวหนึ่งของอเมริกา และของอังกฤษ ก็เหมือนกับวันนี้ พรรคก้าวไกล ธนาธร ช่อ-พรรณิการ์ ปิยบุตร พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อีกหลายต่อหลายคน ก็เป็นหมากกลุ่มหนึ่งที่ตะวันตกใช้ แล้วพวกคุณก็มาใช้เด็กๆ ทั้งหลายเพื่อเป็นหมากของคุณอีกต่อหนึ่ง เมื่อเด็กไม่สามารถปลุกกระแสได้ คุณก็เทเด็ก และในที่สุดแล้ว เมื่อคุณไม่สามารถจะอำนวยความสะดวก หรือให้ประโยชน์กับอเมริกา อังกฤษได้ เชื่อผมสิ เขาก็เทคุณเช่นกัน

หลังจากจิมมี ไล ถูกดำเนินคดี Apple Daily ปิดตัวลง บรรดาสื่อใหญ่ทางตะวันตกก็ระดมพลังเข้ามาทดแทน ไม่ว่าจะเป็น BBC, Voice of America (VOA), นิตยสาร FORBES, NEW YORK TIMES, FINANCIAL TIMES, BLOOMBERG รวมไปถึง Wall Street Journal ที่ลงทุนเปิดแพลตฟอร์มข่าวภาษาจีน โดยเฉพาะภาษากวางตุ้ง เพื่อมุ่งเป้าฮ่องกงโดยเฉพาะ

เมื่อโซเชียลมีเดียมีบทบาทแซงหน้าสื่อมวลชนกระแสหลัก กลุ่มผู้ประท้วงฮ่องกงก็หันไปใช้สื่อสังคมออนไลน์ เช่น แอปพลิเคชันที่ชื่อ Telegram และ Twitter เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร การปั่นกระแสออนไลน์เป็นกลยุทธ์สำคัญในการประท้วงในฮ่องกง โจชัว หว่อง เคยเปิดเผยว่า ในแต่ละวันจะกำหนดภารกิจให้กับแนวร่วมว่าต้องการสร้างกระแสอะไรในโลกออนไลน์ ต้องติดแฮชแท็กอะไร ต้องระดม แสดงความเห็นและรีโพสต์ให้กระจายเป็นลูกโซ่จนติดอันดับเป็นประเด็นร้อน เหมือนประเทศไทยเป๊ะเลย พรรคก้าวไกล ทำเช่นนี้เหมือนกัน ติดแฮชแท็ก ปั่นกระแสให้ติดเทรนด์อยู่ใน Google Trend ทำทุกอย่าง ถึงจะต้องโกหกพกลมก็ทำต่อไป เพื่อสร้างโลกอนาคต โลกสมมุติ ที่มันโกหกพกลมให้กับคนที่หลงเชื่อ


นอกจากนี้ ไม่กี่ปีก่อน ในช่วงมีการชุมนุมกลุ่มเยาวชนปลดแอกในประเทศไทย กลุ่มประท้วงฮ่องกงก็สนับสนุน โพสต์ข้อความ กระจายสื่อออนไลน์ โจชัว หว่อง บอกว่ามีการแลกโพสต์ แลกแฮชแท็กกัน ฝ่ายประท้วงฮ่องกง ไทย ไต้หวัน ใช้เครือข่ายช่องทางตัวเองและสร้างกระแสให้กันและกัน


เจ็ด การสร้างฮีโร่ การเคลื่อนไหวในฮ่องกงระยะหลัง บรรดานักการเมือง องค์กรต่างชาติ ก็เล่นบทเป็นอีแอบ เพื่อลอยตัวจากความรับผิดชอบทางกฎหมาย ความเสี่ยงทางการเมือง กระแสสังคม ถ้ากระแสสังคมไม่ยอมรับ ก็เลยจะกระโดดตัวยาวบอกว่าไม่เกี่ยวข้องด้วย เหมือนกรณี "น้องหยก" ถ้ากระแสสังคมเอาด้วย ก็จะเสนอหน้าเสือกเข้ามาทันที เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวต้องมีการสร้างฮีโร่ขึ้นมา ฮีโร่ต้องมีสภาพเป็นผู้กล้าหาญ ท้าทายผู้มีอำนาจ เหมือนกับเพนกวิน เหมือนกับรุ้ง-ปนัสยา แล้วลงไปสู่ระดับเด็ก ไม่ว่าจะเป็น "สายน้ำ" ลูกชายของ ดร.มานะ อดีตคนเก่าของผู้จัดการ หรือ "ตะวัน" หรือแม้กระทั่ง "หยก" และอีกหลายต่อหลายคน ยิ่งถ้าเป็นหนุ่มสาว เป็นเยาวชน ก็ยิ่งดี จะได้มีตรายางปั๊มไว้ที่หน้าผากว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ก้าวหน้า ก้าวไกล ต่อสู้กับคนรุ่นเก่า เพื่ออนาคตใหม่ และถูกมีการปราบปรามโดยใช้มาตรการเด็ดขาดจากภาครัฐ ก็จะเกิดภาพว่าผู้ใหญ่รังแกเด็ก เป็นสงครามระหว่างรุ่น สร้างกระแสได้ว่า "ให้มันจบที่รุ่นเรา" เหมือนกรณีที่คุณเชิด "น้องหยก" ออกมาเคลื่อนไหวปั่นป่วนในโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ ก็คือต้องการล้มระบบการศึกษาของประเทศไทย


แปด มีการสร้างสัญลักษณ์ร่วม การประท้วงฮ่องกงมีการใช้สัญลักษณ์ของการประท้วงเพื่อเป็นกิมมิก (gimmick) ให้สื่อและผู้คนจดจำง่าย ในยุคแรกๆ ผู้ประท้วงจะสวมเสื้อสีดำ เดินขบวนไปตามท้องถนน จนถึงการประท้วงปี 2557 มีการใช้ร่มสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ ทำให้โลกตั้งว่าเป็น "การปฏิวัติร่ม" (Umbrella Revolution) ส่วนการประท้วงปี 2562 ใช้สัญลักษณ์ชูสามนิ้ว คือมาจากภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games บอกว่าสามนิ้ว คือ เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ต่อมาการชูสามนิ้วก็ถูกขยายผลกลายเป็นสัญลักษณ์สากลในการประท้วง ทั้งฮ่องกง และประเทศไทย


ท่านผู้ชมครับ นายจอ โม ตุน ทูตพม่าประจำสหประชาชาติ ก็ยังทะลึ่งชูสามนิ้วในที่ประชุมยูเอ็น เป็นสัญลักษณ์ในการต่อต้านรัฐประหาร

ท่านผู้ชมครับ ร่มสีเหลือง หรือการชูสามนิ้ว เป็นการประดิษฐ์สัญลักษณ์เหมือน "การปฏิวัติสีส้ม" ที่ยูเครน "การปฏิวัติดอกมะลิ" ที่ตูนิเซีย เหตุการณ์อาหรับสปริง "ขบวนการนักศึกษาดอกทานตะวัน" ในไต้หวัน ขบวนการเหล่านี้มีสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือการแทรกแซงจากต่างชาติ ยุยงคนในชาติให้ก่อการเปลี่ยนแปลง

เก้า การสร้างเครือข่ายเคลื่อนไหวระดับสากล การเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกวันนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ประเทศตัวเองเท่านั้น แต่ขบวนการที่หนุนหลังได้ขยายการเคลื่อนไหวสู่ประเทศอื่นๆ ด้วย โดยอ้างภราดรภาพ หรือความเป็นพี่เป็นน้องกัน


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจำ "พันธมิตรชานม" ได้ไหม ? มันเกิดขึ้นเพื่อยึดโยงการเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง ไทย และ ไต้หวัน ต่อมาขยายผลไปยังพม่า อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ด้วย จนมั่วไปหมด

ผมเอารูปให้ดู โจชัว หว่อง ชูสามนิ้ว ถือป้ายภาษาไทย ติดแฮชแท็กว่า #StandWithThailand #ยืนเคียงข้างคนไทย หน้าสถานกงสุล เมื่อเดือนตุลาคม 2563 ท่านผู้ชมดูสิครับ มีธงของพวกประกาศเอกราชฮ่องกง


สิบ สร้างความชอบธรรมในการสนับสนุนโดยต่างชาติ ตั้งแต่การประท้วงร่มสีเหลือง ในปี 2557 และการประท้วงต่อต้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ปี 2562 ผู้ประท้วงได้เปิดประตูให้รัฐบาล/องค์กรต่างชาติเข้าแทรกแซงอย่างไม่ต้องปิดบังกันอีกต่อไป เมืองไทยนี่ชัดเจนครับ ไม่ต้องกังวล เข้าแน่นอน เพราะนโยบายของพรรคก้าวไกลที่ผมออกมาฉีกหน้ากากเปิดดู เขาบอกว่า พันธมิตรทางความมั่นคงของเขาคืออเมริกา เพราะฉะนั้นเขาก็พร้อมจะเปิดประตูให้พวกนี้เข้ามาแทรกแซงการประท้วงต่างๆ ได้


สมัยนั้น เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ผู้ประท้วงฮ่องกงชูธงจักรวรรดิอังกฤษ ชูธงอเมริกา ยื่นจดหมายเรียกร้องให้ผู้นำอเมริกาส่งกองกำลังมาช่วยปลดแอกฮ่องกง เหมือนที่จิมี ไล พูดเลย ขอให้อเมริกาเข้ามาช่วย เพราะเราสู้เพื่ออเมริกา หรือคุณธนาธร ให้สัมภาษณ์ NBC บอกเลยว่า อเมริกา ประชาชนอเมริกา ต้องเข้ามาช่วยประเทศไทย ช่วยพวกเขา


ท่านผู้ชมครับ แกนนำประท้วงม็อบฮ่องกงก็เดินสายไปพบสมาชิกรัฐสภาอเมริกา นักการทูตชาติตะวันตก เชิญไปกินชีสเค้ก บรรยายถึงสถานการณ์ในฮ่องกง ประเทศของตัวเองอย่างโจ๋งครึ่ม NGO องค์กรที่ใช้ชื่อว่าสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ต่างก็เปิดรับเงินทุนสนับสนุนก้อนโตจากต่างชาติอย่างเต็มที่


เหมือนอย่างที่ผมเปิดเผยให้ดูว่า ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ที่นำโดยนายอานนท์ นำภา ได้รับการโอนเงินหลายก้อนจากเมืองนอก จนกระทั่งมีเงินอยู่ 40-50 ล้านบาท แล้วไม่ต้องประหลาดใจ เวลาเด็กโดนคดีอะไรก็ตาม ซึ่งพวกนี้อยู่เบื้องหลัง ก็จะหันมาใช้สำนักงานทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยที่ได้รับเงินอุดหนุนจากต่างชาติ ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่านี่คือการทรยศต่อชาติ คือการล้มล้างระบอบการปกครอง

ท่านผู้ชมครับ ติ่ง/คอนด้อมส้มครับ ที่ผมพูดมานี้ ทุกเรื่องเป็นความจริงที่มีหนึ่งเดียว มีหลักฐานอันเป็นเชิงประจักษ์ให้เห็น ไม่ว่ารูปภาพ คำพูด ถ้าพวกคุณยังตกลใจที่จะรักษาระดับความโง่ของคุณต่อไป คุณไม่ต้องมาเชื่อเรื่องนี้หรอก เพราะคุณเป็นประเภทโง่อย่างสิ้นหวัง

ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้ผมจะพูดถึงเรื่อง "โมเดลฮ่องกง" และ "โมเดลติมอร์ฯ" บวกกันแล้วเท่ากับ "ปาตานีโมเดล"

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ท่านผู้ชมรู้ไหม "กลุ่มพันธมิตรชานม" ซึ่งเป็นการประสานงานระหว่างม็อบฮ่องกง ไต้หวัน ม็อบพม่า และม็อบสามนิ้วในประเทศไทย ซึ่งหนุนหลังโดยพรรคอนาคตใหม่ และต่อมาเป็นพรรคก้าวไกลหนุนหลัง และชาติตะวันตกหลักๆ ก็คืออเมริกา และอังกฤษ จะถูกกล่าวประโคมกันอย่างต่อเนื่อง แต่การเรียกร้องอธิปไตยแยกฮ่องกงออกจากจีน และแยกรัฐปาตานีเป็นเอกราชออกจากไทย ปูมหลังและมีขบวนการที่แตกต่างค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางด้านภูมิศาสตร์ ปูมหลังทางประวัติศาสตร์ ประเด็นทางศาสนา เรื่องความรุนแรงของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน


ตัวละครที่มาเกี่ยวข้อง ทั้งกลุ่มมวลชนที่มาเคลื่อนไหว สื่อ และพรรคการเมือง ตลอดจนนักการเมืองที่เข้ามาสนับสนุน รวมไปถึงความแตกต่างในวิธีการจัดการของรัฐบาลไทย และรัฐบาลจีน มีคนตั้งข้อสังเกตว่า วิธีการเคลื่อนไหวแบ่งแยกรัฐปาตานี ซึ่งกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่จับมือกันกับนักเคลื่อนไหว นักการเมืองท้องถิ่น รวมไปถึงนักการเมืองระดับชาติ น่าจะมีการดัดแปลงใช้วิธีในการประกาศเอกราช แยกติมอร์-เลสเต ออกจากอินโดนีเซีย เข้ามาผสมผสานกับ "ฮ่องกงโมเดล" ด้วยมากกว่า แผนดังกล่าวเขาคิดอย่างไร ? เขาทำอย่างไร ? และดำเนินการอย่างไร ? ตามผมมาครับ

ท่านผู้ชมจำเว็บไซต์ที่ชื่อ luehistory ได้ไหม ? ที่รายการเมื่อวันศุกร์ที่แล้วผมไอ้อ้างอิง เขาได้อธิบายและแจกแจงข้อมูลหลักฐาน บทสัมภาษณ์อย่างละเอียด ว่า คำว่า "ปาตานี" เป็นคำที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง โดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเพื่อที่จะสร้างคู่ขัดแย้งให้กับคำว่า "ปัตตานี" ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดของประเทศไทย แต่ดันตีขลุม มั่วนิ่มเอาเองว่า "ปาตานี" ไม่ได้หมายถึงเฉพาะจังหวัดปัตตานี นี่คิดการณ์ใหญ่เลยนะ แต่ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอีก 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา คือ จะนะ เทพา สะบ้าย้อย และ นาทวี


เพราะฉะนั้นถ้าบุคคล องค์กร พรรคการเมือง หรือนักการเมืองคนใดที่จงใจใช้ หรือหยิบคำว่า "ปาตานี" ขึ้นมา แสดงว่าพวกเขามีแนวคิดที่เห็นชอบการแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กับอีก 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ออกเป็นรัฐอิสระ เหมือนอย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วว่า คุณแค่เริ่มคิดก็ผิดแล้ว เพราะหากความคิดชั่วๆดังกล่าวนำไปสู่การกระทำ ความเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนก็จะไปขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 แห่งราชอาณาจักรไทย ที่ระบุชัดเจนว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ คำถามมีอย่างนี้ครับ แล้วพวกขบวนการแบ่งแยกดินแดนพวกนี้เขาวางแผนอะไรกัน ?

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น luehistory เขาได้เผยแพร่เนื้อหาชิ้นหนึ่ง เรื่อง "ผ่าแนวคิดอันตราย สิทธิในการกำหนดใจตนเอง" (Self Determination) เป็นคำพูดสวยหรูมาก สู่การแยกดินแดนชายแดนใต้ มีสรุปเนื้อหาเกี่ยวกับแผนการและวิธีการแยกรัฐปาตานีออกจากประเทศไทยไว้ ผมจะสรุปประเด็นให้ท่านผู้ชมได้รับทราบดังนี้


ประเด็นที่หนึ่ง นอกจากการประดิษฐ์คำว่า "ปาตานี" ขึ้นมาแล้ว นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวที่มีเป้าประสงค์ในการแบ่งแยกดินแดนยังหยิบยกคำว่า "สิทธิในการกำหนดใจตัวเอง" (Self Determination) ขึ้นมาอ้างอิงในการทำประชามติแบ่งแยกรัฐปาตานีอีกด้วย ผมเอาเอกสารให้ดูเลยนะครับ ข้อความที่อ้างเรื่องสิทธิในการกำหนดชะตากรรม เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ในคำแถลงการณ์ของขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ ที่ มอ. ปัตตานี เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 เขามีสไลด์บรรยาย การกำหนดอนาคตตนเอง โดยนายมารค ตามไท อาจารย์สาขาการสร้างสันติภาพ ม.พายัพ จังหวัดเชียงใหม่

ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ชาวบ้านชาวช่องหลายๆ คนได้ฟังแล้วรู้สึกงงว่าจริงๆ แล้วสิทธิในการกำหนดใจตัวเองนั้น (Self Determination) มันหมายความว่าอย่างไร ? คำตอบแบบตรงไปตรงมาเลย คือ คำศัพท์เชิงวิชาการสวยหรูนี้คือแนวคิดในการแบ่งแยกดินแดนนี่เอง แต่เป็นการสร้างศัพท์แสงและความแยบยลให้สวยหรูและให้เกิดความซับซ้อนซ่อนเงื่อนขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองและพรรคพวก


ประเด็นที่สอง คำถามต่อมาคือ คำว่า "สิทธิในการกำหนดใจตัวเอง" จะนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดนได้อย่างไร ? คำตอบคือ กลุ่มแบ่งแยกดินแดนและเครือข่ายนั้นพยายามอ้างกฎบัตรสหประชาชาติในหมวดที่ 1 มาตราที่ 1 ข้อ 2 ที่ระบุว่า ความมุ่งหมายของสหประชาชาตินั้นยึดและเคารพต่อหลักการสิทธิที่เท่าเทียมกัน และการกำหนดการเจตจำนงของตนเอง คือ Self Determination เป็นมูลฐาน ซึ่งสหประชาชาติระบุเงื่อนไขของการกำหนดเจตจำนงของตนเองเอาไว้ สรุปแบบกระชับได้ว่า พื้นที่ใดก็ตามที่มีอัตลักษณ์หรือประวัติศาสตร์ของตัวเองมาอย่างยาวนาน แต่กลับต้องมาเป็นอาณานิคมของชาติอื่น คนในพื้นที่เหล่านั้นจะสามารถเรียกร้องหรือกำหนดชีวิตตนเองได้ด้วยการลงประชามติ

ท่านผู้ชมครับ ในกาลช่วงประมาณสิบปีหลังกลุ่มแบ่งแยกดินแดน โดยเฉพาะขบวนการบีอาร์เอ็น ทางภาคใต้ของเมืองไทย เริ่มอ่อนแรงและแตกหักกันอย่างรุนแรงจากปัญหาภายใน สังเกตได้จากสถิติความรุนแรงที่ลดลงเรื่อยๆ บางกลุ่มในบีอาร์เอ็นที่แตกออกมา และเครือข่าย จึงเริ่มหันมาเคลื่อนไหว โดยอ้างชื่อ อ้างเรื่องสิทธิในการกำหนดใจตัวเอง อ้างถึงกฎบัตสหประชาชาติดังกล่าว พยายามดึงต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย โดยตัวอย่างและรูปแบบที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนรัฐปาตานีในประเทศไทยพยายามจะผลักดันให้เกิดขึ้นนั้้น คือการประกาศเอกราชของติมอร์-เลสเต หรือติมอร์ตะวันออก ซึ่งแต่เดิมติมอร์ตะวันออก เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศอินโดนีเซีย และประสบความสำเร็จในการประกาศเอกราชอย่างเต็มตัว เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2545 หรือยี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา จากการช่วยเหลือของสหประชาชาติ


ติมอร์-เลสเต มีพื้นที่กว่า 14,600 ตารางกิโลเมตร มีประชากรแค่ 1 ล้านคน เดิมทีเมื่อปี 2518 ภายหลังที่เจ้าอาณานิคมอย่างโปรตุเกสถอนตัวออกไป ติมอร์ตะวันออกก็ถูกยึดครองและปกครองโดยอินโดนีเซีย หรือเมื่อราว 50 ปีที่ผ่านมานี้เอง ผมจะให้ดูว่า ติมอร์-เลสเต มีแหล่งพลังงานอยู่มาก แผนที่แหล่งก๊าซธรรมชาติ น้ำมันขนาดใหญ่ ติมอร์-เลสเต ที่คาบเกี่ยวกับออสเตรเลีย คล้ายๆ กับ JDA ของประเทศไทย และมาเลเซียนั่นเอง




ประเด็นที่สาม แม้จะมีการวางแผนและปูทางในเรื่องการเสกสรรค์ว่า "ปาตานี" ขึ้นมา พยายามปลุกผีทางประวัติศาสตร์ของคนท้องถิ่น รวมทั้งหยิบยกเอาข้อความเรื่องสิทธิในการกำหนดใจตัวเอง ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Self Determination จากกฎบัตรสหประชาชาติขึ้นมา โดยหวังลึกๆ ว่าจะทำให้ปาตานีสามารถเดินตามรอยติมอร์-เลสเต ไปได้ อย่างไรก็ดี ความพยายามในการเคลื่อนไหวที่ทำประชามติประกาศเอกราชของรัฐปาตานีนั้น นอกจากขัดต่อมาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญไทย อย่างชัดเจนแล้ว ไม่ได้เข้าในเงื่อนไขใดๆ ของสหประชาชาติเลย เพราะอะไร ? เพราะ

หนึ่ง พื้นที่ที่ถูกอ้างว่าเป็นรัฐปาตานีนั้น มิได้เป็นพื้นที่อยู่ห่างไกลจากส่วนอื่นของประเทศไทย หรือมีเขตน่านน้ำเค็มขวางกั้น เช่น เกาะ หรือดินแดนอาณานิคมที่แยกออกไปต่างหาก ที่เป็นประเทศแม่ สอง สิทธิในการกำหนดใจตัวเองที่กลุ่มสนับสนุนผู้แบ่งแยกดินแดนอ้างอิงและกล่าวถึงเสมอ รวมทั้งบุคลากรของว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล คือ พรรคก้าวไกล พรรคประชาชาติ และ พรรคเป็นธรรม อ้างถึงนั้นไม่ได้สอดคล้องกับกฎบัตรของสหประชาชาติ ซึ่งกำหนดไว้ว่า การให้สัตยาบันกับกฎบัตรนี้ ใช้เฉพาะดินแดนที่ถูกผนวกภายหลังปี 2488 หรือ ค.ศ. 1945 คือหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เท่านั้น

ขณะที่พื้นที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนรัฐปาตานีอ้างถึง คือ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย และอีก 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ถูกสยามหลอมรวมมาเนิ่นนานแล้ว อย่างน้อยตั้งแต่สมัยช่วงต้นรัตนโกสินทร์ รวมถึงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา จากเอกสารทั้งในและต่างประเทศ ต่างยอมรับว่าดินแดนที่อ้างว่าปาตานีนั้น เป็นส่วนหนึ่งของสยามประเทศ หรือของประเทศไทยตลอดมา


ประเด็นสำคัญอยู่ที่ไหน ? เพราะฉะนั้นเมื่อกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนในรัฐปาตานีประสบความล้มเหลวในการแยกประเทศโดยการใช้กำลัง จะอ้างกฎบัตรสหประชาชาติเพื่อเปิดทางให้มีการแทรกแซงโดยต่างชาติ มันก็เลยติดเงื่อนไขหลายๆ ประการ เนื่องจากรัฐบาลไทยแต่เดิมทีนั้นยืนยันหนักแน่นว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นความขัดแย้งในประเทศ ต่างชาติไม่มีสิทธิ์เข้ามาแทรกแซง ยกเว้นชาติเดียว คือมาเลเซีย ที่มีพรมแดนติดประเทศไทย จะเข้ามาช่วยเจรจาได้

นอกจากนี้ ยังยืนยัน การพูดคุยนั้นเป็นเพียงการพูดคุยแบบสันติสุข ภาษาอังกฤษเรียกว่า Peace Talk ไม่ใช่การเจรจาสันติภาพ หรือ Peace Negotiation ไม่เหมือนกันนะท่านผู้ชมครับ พูดคุยอย่างสันติสุข คือ Peace Talk เลิกทะเลาะกันน่า มีอะไรมาคุยกัน ไม่ใช่เจรจาสันติภาพ การเจรจาสันติภาพ คือมันมีสงครามแล้ว มีการปะทะกันแล้ว มีการลุกฮือกันแล้ว แล้วมาคุยกัน เจรจากกัน เพื่อให้เกิดสันติภาพขึ้นมา

เนื่องจากในมุมมองฝ่ายความมั่นคง การใช้คำว่า "เจรจาสันติภาพ" หรือ Peace Negotiation อาจจะเป็นสภาวะการณ์ที่ยอมรับสงครามในประเทศ และยกระดับการแบ่งแยกดินแดน คือโจรใต้ ให้สถานะเท่าเทียมกับรัฐไทย ซึ่งสุดท้ายก็หนีไม่พ้น ตกหลุมพรางกับดัก เสียรู้เปิดประตูให้กับต่างชาติเข้ามาแทรกแซง หรือชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้านในที่สุดนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ เป็นที่น่าจับตาว่า หากรัฐบาลพรรคใดพยายามจะอ้างเรื่องการแก้ปัญหาภาคใต้โดยใช้คำว่า "เจรจาสันติภาพ" (Peace Negotiation) แทนคำว่า "การพูดคุยสันติสุข" หรือ Peace Talk อาจจะเป็นสัญญาณที่ชี้ชัดเจนว่า รัฐบาลนั้นๆ ซึ่งน่าจะเป็นรัฐบาลที่ก้าวไกลเป็นเจ้าของรัฐบาล กำลังเกี้ยเซียะกับกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน ไม่นับรวมกับการเคลื่อนไหวอื่นๆ ของพรรคก้าวไกล พรรคประชาชาติ และ พรรคเป็นธรรม ที่ผมพูดไปแล้ว ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 1 ที่พรรคก้าวไกลพยายามเหลือเกินจะแก้ไขมาตรานี้ เพื่อให้เห็นว่าประเทศไทย ราชอาณาจักรไทย สามารถจะแบ่งแยกดินแดนได้

พรรคก้าวไกลต้องการลดขนาดกองทัพ ขัดขวางการจัดซื้ออาวุธทุกประการ การเข้าไปเป็นพันธมิตรร่วมกับสหรัฐอเมริกา เพิ่มงบประมาณในการฝึกซ้อมรบคอบร้าโกลด์ การยุบสภากลาโหม การยุบ กอ.รมน. การยุบ ศอ.บต. การยกเลิกกฎอัยการศึกภาคใต้ เรื่อยไปจนถึงการปลุกปั่นเยาวชน นักเรียน นักศึกษา บ่อนทำลายสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นี่ล่ะครับท่านผู้ชม โรดแมปของคนพวกนี้

ผมฟันธงลงไปได้เลย ท่านผู้ชมครับ พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่มีอำนาจแล้วจะต้องแบ่งแยกดินแดนไทยอย่างแน่นอนที่สุด และเป็นพรรคที่จะเปิดประตูให้ต่างชาติ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ เข้ามาในประเทศไทยเพื่อแทรกแซงเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน คือประเทศเมียนมา หรือว่าในการที่เจาะลึกลงไปเพื่อให้มีการแยกดินแดนทางใต้ ผมพูดไปแล้วอาทิตย์ที่แล้ว ว่าถ้าแยกได้สำเร็จ เมื่อคุณลากเส้นจากรัฐปาตานีที่เขาต้องการแยกนั้น ตรงเข้าไปทะเล ก็จะไปทับเอาแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ตอนนี้เรียกว่า JDA ก็คือเป็นการร่วมลงทุนระหว่างไทย-มาเลเซีย อีกหน่อยก็จะกลายเป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐปาตานี-มาเลเซีย และแน่นอนที่สุด ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังนอกจากประเทศทางตะวันตก


ท่านผู้ชมครับ นโยบายเหล่านี้ผมฟันธงไว้ก่อนล่วงหน้าเลยว่าพรรคก้าวไกลคือพรรคขายชาติ และพรรคทำลายชาติ ยืนยันในที่นี้ นโยบายเหล่านี้จะไม่ได้นำประเทศชาติไปสู่สิ่งที่พวกเขาเรียกและจินตนาการ คือ "อาการหอมกลิ่นความเจริญ" ในทางกลับกัน ความคิดสุดโต่งเหล่านี้จะนำประเทศไทยเราก้าวไปสู่เส้นทางแห่งความขัดแย้ง ท่าน ส.ว. ทั้งหลายที่มีความคิดจะเลือกคุณพิธา เป็นนายกฯ ถ้าท่านไม่คำนึงถึงคำเตือนของผม เชิญท่านตามสบาย แต่ขอบอกท่านอย่างนะ ท่านจะเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ประเทศไทยเกิดการขัดแย้ง แบ่งแยก แตกสลาย และสิ้นชาติลงในท้ายที่สุดครับ

หยก = เหยื่อ ผลผลิตของก้าวไกล

ท่านผู้ชมครับ ในรอบเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมานี้ ท่านผู้ชมคงได้ข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องของ "น้องหยก" ชื่อจริงชื่อ ธนลภย์ "น้องหยก" อายุแค่ 15 ปี กลายเป็นคนที่เคลื่อนไหวทางการเมือง เคยถูกควบคุมตัวในมาตรา 112 กระแสสั่นสะเทือนสังคม ตกเป็นข่าวดังมาตลอด คือมันเริ่มจากวันอังคารที่ 13 มิถุนายน "น้องหยก" วัย 15 ปี เธออยู่ชั้น ม.4 ที่โรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่าถูกไล่ออกจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการแล้ว หลังจากนั้นแล้วเธอก็ออกไลฟ์สด พุธที่ 14 มิถุนายน เธอย้อมผมสีชมพู ใส่ชุดไพรเวตมารอหน้าโรงเรียน ที่สำคัญเธอมีกลุ่มกองเชียร์ ซึ่งไม่ใช่กองเชียร์หรอกครับ คือกลุ่มที่มากำกับ ผลิตงาน สร้างเหตุการณ์ขึ้นมา รวมทั้งมีช่างภาพฝรั่งซึ่งมาจากสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เข้ามาถ่ายรูป รปภ. ไม่ยอมเปิดประตูให้ ก็มีการด่าภาษาหยาบคาย ในที่สุดแล้ว "น้องหยก" ก็จะปีนรั้วเข้าไปในโรงเรียน หลังจากนั้นก็พยายามจะปีนรั้วเข้าไปอีก จนกลายเป็นประเด็นในสังคมรายวัน


โรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ ท่านผู้อำนวยการ วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน ออกแถลงการณ์ว่า น้องหยก ธนลภย์ ไม่มีสถานะเป็นนักเรียน เพราะว่า หนึ่ง เธอไม่มามอบตัวตามกำหนด ข้อเท็จจริงก็คือว่า ก่อนเปิดเทอม วันที่ 1 เมษายน 2566 มารดาของ "น้องหยก" มาบันทึกขอเลื่อนการมอบตัวเพื่อศึกษาต่อระดับชั้น ม.4 เพราะตอนนั้น "น้องหยก" ถูกควบคุมตัวที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนหญิงบ้านปรานี ด้วยข้อหาตามมาตรา 112 เป็นเวลา 51 วัน


หลังจากนั้นแล้ว เมื่อศาลปล่อยตัว วันที่ 19 พฤษภาคม 2566 "น้องหยก" ไปรายงานตัวโดยมีพี่เลี้ยง หรือผู้กำกับ "น้องหยก" ชื่อ "ผักบุ้ง" เนติพร เสน่ห์สังคม ซึ่งเป็นคนที่มีอายุตั้ง 26 ปี เป็นแกนนำ "ทะลุวัง" เป็นคนกำกับการแสดงของ "น้องหยก" ตลอดเวลา และเป็นคนฝึก "น้องหยก" ให้มีความคิดแบบนี้ ทั้งๆ ที่ "น้องหยก" ก่อนหน้าที่จะเปลี่ยนแปลง เป็นเด็กที่เรียบร้อย เป็นเด็กที่ดีมาก


ท้ายที่สุดแล้ว มีการอ้างว่าได้จ่ายค่าเรียน "น้องหยก" แล้ว แต่กลับไม่ได้เรียน แม่ "น้องหยก" ซึ่งเป็นผู้ปกครองที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้มอบตัวนักเรียนให้สมบูรณ์ภายในกหนดเวลา ไม่มีฐานข้อมูล "น้องหยก" ในระบบ ก็เลยไม่ได้เป็นนักเรียน


เรื่องที่สอง ท่านผู้ชมตามเรื่องนี้ให้ดีๆ เพราะว่าความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว จากรายการนี้เท่านั้น "น้องหยก" ไม่ยอมรับกฎระเบียบโรงเรียนที่ผ่านการประชาพิจารณ์โดยภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โรงเรียนได้ชี้แจงให้ทราบว่ามีคู่มือนักเรียนปีการศึกษา 2566 ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง แต่ "น้องหยก" ไม่ยอมทำตามเลย เธอไม่แต่งกายชุดนักเรียน เธอไปทำสีผม ไม่เข้าเรียนบางวิชา ไม่เข้าร่วมกิจกรรมบางกิจกรรม

ท่านผู้ชมครับ ระเบียบของโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ ที่ "น้องหยก" ลงนามยอมรับคำสัญญาด้วยลายมือตัวเอง และคุณผักบุ้ง ตัวการสำคัญที่สมอ้างเป็นผู้ปกครอง ลงนามระบุว่า สัญญาเขาลงนามว่า 1. จะอบรมสั่งสอนนักเรียนในปกครอง ให้ทำหน้าที่นักเรียนให้ดีที่สุด เชื่อฟังคำอบรมสั่งสอนของครู และจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด 2. จะกำกับดูแลนักเรียนในปกครองให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ และมีข้อ 2.4 ระบุชัดเจนว่า จะปฏิบัติตามระเบียบโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ว่าด้วยการแต่งกายของนักเรียน พ.ศ. 2550 3. ยินดีให้ความร่วมมือกับโรงเรียนในการแก้ปัญหานักเรียนในปกครอง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการเรียน ด้านความประพฤติ หรืออื่นๆ ทีนี้ ปัญหามีอยู่ที่ข้อ 5.


ข้อ 5. บอกว่า จะไม่กระทำการใดๆ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนต่อการปกครองนักเรียนและต่อการกระทำกิจกรรมใดๆ ของโรงเรียน

ท่านผู้ชมครับ "น้องหยก" ให้สัมภาษณ์นักข่าวอย่างนี้ครับ เธอบอกว่า "ชุดนักเรียนมันขัดต่อเสรีภาพของเราหรือเปล่า ที่เราสามารถแต่งอะไรก็ได้ เพราะชุดนักเรียนมันคืออำนาจนิยม และขัดกับรัฐธรรมนูญไทยหรือเปล่า" โอ้โห โค้ช ผู้กำกับนี่เก่งจริงๆ อำนาจนิยมมาเกี่ยวข้องอะไรกับชุดนักเรียน สิงคโปร์เขาก็มีชุดนักเรียน ประเทศสหรัฐอเมริกา หลายประเทศ เขาก็มีชุดนักเรียน อังกฤษเขาก็มีชุดนักเรียน นี่คุณเอาอำนาจนิยมอะไรมาปั่นหัวเด็ด แล้วถ้าจับ "น้องหยก" มาถามว่า "อำนาจนิยม" คืออะไร ? "น้องหยก" ตอบไม่ได้หรอก เพราะว่าแต่ละวันที่ไปถูกกำกับให้พูดอย่างนี้ๆ


"น้องหยก" พูดต่อ "หนูไม่ใช่ว่าไม่เอากฎโรงเรียนทั้งหมดนะ หนูเอากฎที่มันเป็นประโยชน์ แต่กฎอย่างชุดนักเรียนที่มันเป็นอำนาจนิยม หนูไม่โอเค แล้วมันก็ไม่ได้มีผลกับผลการเรียนอะไรมากมาย ก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะไล่เด็กคนหนึ่งออกเพราะเรื่องแค่ว่าชุดนักเรียนนี้เป็นอำนาจนิยมหรือ" นี่เธอออกทะเลไปเรียบร้อยเลยนะท่านผู้ชม

เขามีการตั้งข้อสังเกต ท่านผู้ชมดูรูปนี้ มันย้อนแย้งมาก ตอนนั้น "น้องหยก" ไปชุมนุม "น้องหยก" แต่งชุดนักเรียน แต่เวลาไปเรียนดันแต่งชุดไพรเวต


ท่านผู้ชมครับ การที่แต่งชุดนักเรียนไป เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังต้องการให้เห็นว่าการชุมนุมนั้นก็มีเด็กนักเรียนอายุน้อยๆ ไปร่วมชุมนุมด้วย ก็เลยต้องให้แต่งชุดนักเรียน นี่คือกระบวนการที่เริ่มปั่นหัวและให้เด็กแสดงออกโดยชุดนักศึกษา/นักเรียน แต่พอจะไปเรียนหนังสือดันทะลึ่งใส่ชุดไพรเวต จะเห็นได้ชัดว่าเจตนารมณ์ของการแต่งชุดนักเรียนไปชุมนุมนั้นเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าแม้กระทั่งเด็กนักเรียนระดับน้อยๆ ก็ยังไม่เห็นด้วย ถึงต้องมาชุมนุม ถ้าคุณแต่งชุดนักเรียนไปชุมนุมได้ ทำไมคุณไม่แต่งชุดนักเรียนมาเรียนหนังสือ แต่คุณดันแต่งไพรเวต เพราะว่าคนที่อยู่เบื้องหลัง "น้องหยก" ต้องการที่จะหลอกใช้ "น้องหยก" ปั่นหัว "น้องหยก" ให้เป็นตัวการที่ก่อความวุ่นวายขึ้นมา


ท่านผู้ชมครับ เรื่องชุดนักเรียน อำนาจนิยม ความเท่าเทียม ความไม่เท่าเทียมกัน มันเป็นเรื่องที่เราเถียงกันไม่จบ แต่ประเด็นมีอย่างนี้ครับ โรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ เขามีระเบียบกำหนดชัด คุณก็ลงนามยอมรับแล้วเพื่อเข้าเรียนโรงเรียนนี้ แต่ถ้าคุณไม่ยอมรับ ก็ง่ายนิดเดียว ก็ไม่ต้องเรียนสิ มันมีครับ มีโรงเรียนสาธิตธรรมศาสตร์ ที่ชอบโปรโมตกันนักหนาว่าไม่ต้องใส่ชุดนักเรียน แต่ข้อเท็จจริงซ่อนเร้นเอาไว้ก็คือ มันมีบางวัน และมีโอกาสกำหนด ที่สาธิตธรรมศาสตร์ก็ยังให้นักเรียนต้องใส่ยูนิฟอร์มโรงเรียน "น้องหยก" ไปเรียนโฮมสคูลก็ได้นี่ ก็ในเมื่อ "ผักบุ้ง" ตัวการสำคัญคนหนึ่ง ปั่นหัวนัก ก็เอา "น้องหยก" เรียนที่คอนโดฯ คุณสิ แล้วคุณก็ทำเป็นโฮมสคูล เป็นครูสอน เพราะคุณเป็นคนเรียนหนังสือเก่งอยู่แล้ว คุณเคยเป็นติวเตอร์ คะแนนคุณ 3.8-3.9 บางครั้ง 4.0 คุณเรียนโคตรเก่งเลย ทำไมคุณไม่บอกว่าทางโรงเรียนไม่ให้แต่งชุดไพรเวต ถ้าอย่างนั้น "น้องหยก" มาอยู่กับพี่ พี่จะสอนเป็นโฮมสคูลให้ดู หรือคุณไปเรียน กศน. ก็ได้

จู่ๆ คุณอยากเข้าไปเรียนเตรียมพัฒน์ฯ ซึ่งเขามีกฎระเบียบชัดเจน แล้วคุณบอกว่าไม่ยอมรับ แล้วคุณทะลึ่งรับความเห็นมาจากคนที่โค้ชคุณว่ามันเป็นวัฒนธรรมอำนาจนิยม เพราะอะไร ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้มันวางเป็นพล็อตเอาไว้แล้ว ว่าการแต่งไพรเวตไปโรงเรียน การแต่งชุดนักเรียนไปในที่ชุมนุม สามารถจุดกระแสให้เป็นประเด็นในสังคมได้


คุณอ้างว่าทรงผมและการแต่งกายเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แต่งอย่างไรก็เรียนได้ แต่ในขณะเดียวกัน ทุกองค์กรมีกฎกติกาในการอยู่ร่วมกันที่ต้องให้ความเคารพ เพื่อให้สังคมเป็นระเบียบเรียบร้อย

สรุปแล้วก็ยังไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะ "น้องหยก" มีโค้ช และมีผู้กำกับ ยืนยันว่าจะเข้าเรียนตามเดิม ได้อ้างว่าได้เข้ามามอบตัวแล้ว จ่ายค่าเทอมแล้ว และพูดชัดเจนว่า "น้องหยก" จะไม่ขอเข้าร่วมในกิจกรรมที่เป็นการสืบทอดอำนาจนิยม เช่น พิธีไหว้ครู พิธีไหว้ครูนั้น คือการระลึกถึงบุญคุณครูที่มาสั่งมาสอนเรา นี่เป็นอำนาจนิยมได้อย่างไร ผมไปงานศพอาอี้นิรมล ลิมป์กิจเจริย เพราะว่าผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอาอี้ ที่อยู่สบายแล้วมาช่วยต่อสู้กับขบวนการคอร์รัปชันในรัฐบาลชุดนั้น อาอี้มีบุญคุณกับผม ครอบครัวอาอี้มีบุญคุณกับชาติบ้านเมืองเพราะว่าเขาออกมาสู้

มีคนบอกว่า "ปรากฏการณ์น้องหยก" ในด้านหนึ่งชี้ให้เห็นว่าปัญหาความบิดเบี้ยวของสังคมแล้ว ยังฉีกหน้ากากคนรอบตัวของเรา ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ได้อย่างดีอีกด้วย


ท่านผู้ชมครับ ผมอยู่ในวงการสื่อสารมวลชนมา 50 ปี ท่านผู้ชมสังเกตอย่างไหม ผมผิดหวังมาก หลายๆ คนที่เป็นไอดอลของทีวี ไม่ว่าจะเป็นคุณพุทธ อภิวรรณ ตอนนี้ไปอยู่ช่อง 8 ช่อง 3 ช่อง 7 ช่อง PPTV ช่องอมรินทร์ ช่อง ONE ไทยพีบีเอส ช่องเวิร์คพอยท์ ไทยรัฐ เดลินิวส์ ข่าวสด มติชน รวมทั้งสื่อเกือบทั้งหมดที่ปกติถ้ามีประเด็นทำนองนี้ พวกนี้ก็จะวิ่งแจ้นตามหาผู้ปกครอง "น้องหยก" พ่อแม่น้องหยก แล้วขุดเรื่องราวต่างๆ มากันแบบถึงลึกถึงกึ๋น ยกตัวอย่างง่ายๆ ขนาดเรื่องลุงพล กับน้องชมพู่ กลายเป็นดรามาระดับประเทศแบบข้ามเดือนข้ามปีจากการเสกสรรค์ปั้นแต่งของสื่อมวลชน แต่ก็มีท่านผู้ชมจำนวนมากที่สงสัยว่า เอ๊ะ กรณี "น้องหยก" ที่เป็นประเด็นสังคม เป็นจุดน่าสนใจที่ใหญ่มาก เกี่ยวพันกับอนาคตของเยาวชน ทำไมสื่อพวกคุณต่างๆ แค่รายงานอย่างผิวเผิน แค่สัมภาษณ์ "น้องหยก" "ผักบุ้ง" ผู้เกี่ยวข้องนิดหน่อย แล้วก็รายงานข่าวสัพเพเหระ คนนั้นให้สัมภาษณ์อย่างนี้ คนโน้นตอบโต้อย่างนี้ คนนี้แสดงความเห็นในโซเชียลฯ อย่างนั้น เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ท่านผู้ชมครับ ประเด็นมันอยู่ที่ว่าทำไมไม่มีใครเข้าไปเจาะ ไล่เรียงดูว่าพ่อแม่ผู้ปกครองที่แท้จริง ซึ่งควรวมีส่วนในการรับผิดชอบกับชีวิตและความเป็นอยู่ของ "น้องหยก" นั้น คือใคร เพราะข้อเท็จจริงแล้ว "ผักบุ้ง" เนติพร อายุเพียง 26 ปี เธอไม่ใช่ผู้ปกครองของ "น้องหยก" ที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างแน่ๆ

ผมทำข่าวมา 50 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งเครือผู้จัดการ ASTV มาถึงช่อง News1 มีนักข่าวและบุคลากรออกไปหลายพันคน ลูกศิษย์ลูกหาผมโดยตรงถ้านับหัวแล้วหลายร้อยคน อยู่มันหมดทั่วทุกแห่งหน อมรินทร์ก็มี ช่อง ONE ก็มี ไทยพีบีเอสก็มี ยังไม่นับที่ผมเคยไปสอนหนังสือตามมหาวิยาลัยต่างๆ ท่านผู้ชมครับ ผมเคยสอนทุกคนว่า หลักการพื้นฐานการทำข่าวที่สอนๆ กันนั้น และที่เรียนรู้กันมาจากตำรา เขามีสิ่งที่เรียกว่า '5W 1H'

5W คืออะไร ? Who คือใคร What คืออะไร Where ที่ไหน When เมื่อไร และ Why ทำไม และ How เพื่ออธิบายว่า Who (ใคร) ทำอะไรอยู่ (What) ทำที่ไหน ทำเมื่อใด แล้ว Why ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมา แต่ว่าจุดสุดท้าย คือ H-How ไม่มีใครทำ เพราะมันมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย ยกตัวอย่าง ปัญหาหรือสาเหตุที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นเพราะอะไร ไม่ใช่ทำไมถึงเกิดขึ้น ที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีอะไร มีใครที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ หลักฐานที่สำคัญที่สุดคืออะไร สาเหตุหลัก สาเหตุย่อย ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้คืออะไร

สรุปง่ายๆ การหา 1H (How) แท้ที่จริงแล้วคือการทำข่าวเจาะเชิงลึก เชิงวิเคราะห์ ที่เขาเรียกว่า Investigative Reporting อย่างที่ผมและรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ทำอยู่ทุกอาทิตย์นี่ล่ะครับ สื่อทั่วไปไม่ค่อยอยากทำกัน อย่างหนึ่งเพราะว่าไม่กล้า กลัวอิทธิพลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลทางธุรกิจ เจ้าพ่อ มาเฟียการเมือง หรืออะไรก็แล้วแต่ เหมือนกับกรณีอาทิตย์ที่แล้วที่ผมพูดถึงเรื่องมีขบวนการที่จะแบ่งแยกดินแดน สื่อไม่แตะเลย กลัว มีไอ้แก่คนนี้ 76 ปี ยังยึดถือหลักการในการทำข่าว ก็เลยออกมาเปิดโปงหมดว่าใครเป็นใครบ้าง จนกระทั่งคุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ บอกกับหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ว่าจะฟ้องผม ก็ต้องยอมรับไป เพราะว่าผมมั่นใจว่าผมสู้คดีได้

ทีนี้ ในการหาคำว่า 'How' หรือ อย่างไร ในเรื่อง "น้องหยก" ก็คือเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างไร นอกจากต้องใช้ความกล้าหาญ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องประเทศชาติ เรื่องสถาบัน เรื่องการเมือง และแรงกดดันของพวกคอนด้อมส้มที่ออกมาเคลื่อนไหวแล้ว ยังต้องระมัดระวังเกี่ยวกับประเด็นเรื่องตัว "น้องหยก" ด้วย มิให้ได้รับการกระทบกระเทือนจนมากไป

ท่านผู้ชมครับ เรื่อง "น้องหยก" เกิดเหตุประมาณสิบวันที่ผ่านมา ผมกับทีมงานได้ไปขุดค้นหาข้อมูลแบบลึกที่สุดที่ไม่มีใครมีมาหมดแล้ว ไม่ว่าพ่อแม่ผู้ปกครองที่แท้จริงเป็นใคร เคยทำอะไรมาก่อน มีปัญหาอะไรกัน ไปพูดคุยกับญาติพี่น้องของพ่อ ผมส่งทีมงานเดินทางไปถึงบ้านพ่อ "น้องหยก" ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ไปพบพ่อและครอบครัวพ่อ "น้องหยก" คุยกับญาติพี่น้องได้รายละเอียดน่าสนใจมากๆ ผมจะทยอยเล่าและสรุปให้ฟัง

ข้อเท็จจริง เราต้องไปหาว่าพ่อแม่ผู้ปกครอง แล้วเอามานำเสนอข่าวว่าจริงๆ แล้วเป็นใคร สัปดาห์ที่แล้วช่อง TOP NEWS ได้ไปสัมภาษณ์อาจารย์โรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ ที่เคยสอน "น้องหยก" โดยอาจารย์เล่าว่า ที่หยกมาเรียนที่โรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ ที่เข้ามาเรียนเพราะว่าตอนนั้นเธอมาอาศัยอยู่กับแม่ที่บ้านซอยพัฒนา 65 ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก ในช่วงมัธยมฯ ที่ 1-3 คุณพ่อคุณแม่พาเด็กมามอบตัวตามปกติ โดยในช่วง ม.1 - ม.2 "น้องหยก" ผลการเรียนดี วิชาประวัติศาสตร์ ผลการเรียน 3-3.5 เต็ม 4 ขึ้น ม.3 "น้องหยก" ถือว่าเป็นเด็กเก่ง พฤติกรรมราบเรียบ ง่ายๆ มีเพื่อนน้อย ที่คบอยู่เป็นเพื่อนเก่าๆ ทำกิจกรรมทั่วไป การเรียนโดดเด่นบางวิชา แล้วจู่ๆ ปี 2565 เดือนตุลาคม โรงเรียนได้รับการติดต่อจากตำรวจนครบาล แจ้งว่า "น้องหยก" ไปชุมนุมทางการเมือง ใช้ชื่อว่า "สหายนอนน้อย" ให้พาเด็กไปพบจิตแพทย์ โรงเรียนไม่ยอมทำ เพราะว่าจะเป็นการปกป้องเด็ก


ตามข้อมูล "น้องหยก" ไปชุมนุมที่เสาชิงช้าเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ในวันนั้น "น้องหยก" ได้เขียนข้อความบนพื้น พูดถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม แล้วหมิ่นอาฆาตมาดร้ายสถาบันกษัตริย์อย่างรุนแรง ท่านผู้ชมครับ จากเด็กอายุ 15 ขวบ จะไปดูเรื่องย้อนหลังถึง 6 ตุลาคม ได้อย่างไร ถ้าไม่มีผู้ใหญ่ใจสัตว์ต้องการจะปลุกปั่น "น้องหยก" เพื่อเอา "น้องหยก" ออกไปข้างหน้าเป็นเหยื่อ ปั่นสังคมขึ้นมา ถ้าในที่สุดแล้วสังคมรุมประณาม ก็จะประณาม "น้องหยก" ถ้ากระแสปลุกไม่ขึ้น ก็จะเท "น้องหยก" ทิ้ง นี่คือขบวนการ นี่คือคำว่า 'How' ไง

จากนั้น ต้นเดือนพฤศจิกายน 2565 โรงเรียนได้เชิญผู้ปกครอง และ "น้องหยก" มาคุย ตอนนั้น "น้องหยก" ยังพูดจาน่ารัก ตอบโต้เหมือนเด็กทั่วไป ส่วนแม่ก้รู้ว่าลูกชอบชุมนุมประชาธิปไตย ตักเตือนลูกว่าอย่าไปยุ่ง อาจารย์ท่านนี้บอกว่าตอนนั้นลูกยังคุยกับแม่อย่างน่ารัก หลังจากที่จบ ม.3 แล้ว "น้องหยก" ได้โควตาสอบเข้า ม.4 และสอบได้ เธอตัดสินใจเรียนเอกภาษาจีน แต่วันที่มอบประกาศนียบัตร ม.3 เดือนมีนาคม 2566 "น้องหยก" กลับไม่ได้มาร่วมพิธี เพราะ "น้องหยก" กลับไปร่วมกับนายศุทธวีร์ สร้อยคำ ชื่อเล่นว่า "บังเอิญ" อายุ 25 ปี โตเป็นควายแล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว ไปก่อเหตุพ่นสีกำแพงวัดพระแก้ว จนถูกควบคุมตัวไปดำเนินคดีที่ สน.พระราชวัง


ถูกส่งตัวต่อไปยัง สน.สำราญราษฎร์ เพราะมีหลายจับคดี 112 และถูกศาลส่งตัวไปสถานพินิจบ้านปรานี นครปฐม เนื่องจาก "น้องหยก" อ้างว่าเธอปฏิเสธอำนาจศาล ท่านผู้ชมครับ เด็กอายุ 15 ปฏิเสธอำนาจศาล ท่านผู้ชมคิดเหมือนผมหรือเปล่า มันมีไอ้ตัวชั่ว ตัววรนุสซึ่งต้องการปั่นหัว "น้องหยก"

เมษายน 2566 แม่และน้าของ "น้องหยก" เดินทางมาโรงเรียนเพื่อทำเรื่องเลื่อนการขอมอบตัว เพราะ "น้องหยก" ติดอยู่ในบ้านปรานี วันดังกล่าว ท่านผู้ชมเชื่อไหม มีนายเก็ท-โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง นักศึกษาวัย 25 ปี จากภาควิชัยรังสีเทคนิค คณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล หมอนี่เป็นแกนนำกลุ่มโมกหลวง ที่ "น้องหยก" ตั้งให้เป็นผู้ปกครองระหว่างที่อยู่บ้านปรานี เดินทางมาด้วย แม่ "น้องหยก" ไม่พอใจ "เก็ท" ต่อว่าไปว่ามาปั่นหัวลูก มาทำให้ลูกต้องเสียหายแบบนี้ ผมให้ดูหน้ามัน เลวทรามต่ำช้ามาก ทางโรงเรียนก็เลยขยายเวลาการมอบตัว


18 พฤษภาคม 2566 ศาลสั่งปล่อยตัว "น้องหยก" วันรุ่งขึ้น (19) "น้องหยก" เดินทางไปโรงเรียนกับยัยบุ้ง-ตะวัน กลุ่มทะลุวัง ยัยบุ้งที่บอกว่าเรียนเก่ง เป็นผู้กำกับ "น้องหยก" และเป็นว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล คนหนึ่ง ทนายของ ส.ส. เพื่อมอบตัวหลังจากที่ออกมาจากบ้านปรานี ทางโรงเรียนรับรายงานตัวไว้ก่อน แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะ "ผักบุ้ง" ไม่สามารถเป็นผู้ปกครอง "น้องหยก" ที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ โรงเรียนต้องการผู้ปกครองที่ถูกต้องตามกฎหมาย เหมือนเวลาท่านผู้ชมเอาลูกที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะไปทำพาสปอร์ต กระทรวงการต่างประเทศระบุชัดเจน ต้องเอาพ่อและแม่มาเป็นประจักษ์พยานว่ายินดีให้ลูกทำพาสปอร์ต นี่เป็นกติกา


ท่านผู้ชมครับ เมื่อเปิดเทอม ต้องมาเรียน "น้องหยก" ปฏิเสธไม่เข้ากิจกรรมโฮมรูมในเวลา 07.40-08.10 น. ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม เป็นต้นไป "น้องหยก" ไม่คุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา ไม่ฟังกฎระเบียบ ถามครูว่า "ใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญไหม" นี่ "น้องหยก" พูดเองหรือมีสุนัขที่ไหนสอนให้พูด ใครตักเตือนก็จะพูดประเด็นนี้ แล้วบอกว่า โรงเรียนทำอะไรเขาได้ไหม บางวันมาเรียนบ่ายสองโมงเพื่อเรียนวิชาเดียว โรงเรียนก็ใจเย็น พยายามตามผู้ปกครองให้มาเซ็นมอบตัว "น้องหยก" ครูเองก็น่ารัก น่าสงสารมาก เดินทางไปหาแม่ที่ซอยพัฒนา ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง แต่แม่ก็ไม่ยอมออกมาพบ ปรากฏว่ามีการเตรียมการไว้ ครูบอกว่ารถยนต์ในบ้านของแม่เอากระดาษสีขาวมาปิดแผ่นป้ายทะเบียน และปิดเลขที่บ้านไว้ด้วย ครูก็สงสัยว่าทำไมแม่ถึงหนีหน้า ไม่ออกมาพบครู วันที่ 1 เมษายน ยังมาแจ้งขอเลื่อนมอบตัวให้ลูกอยู่เลย


2 มิถุนายน ครูเดินทางไปจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อตามพ่อ "น้องหยก" ไปถึงพ่อของ "น้องหยก" ก็ไล่ครูอย่างหมูอย่างหมา บอกว่าอย่ามาที่นี่อีก ไม่ขอยุ่ง ไม่รู้เรื่อง

9 มิถุนายน "น้องหยก" ได้ลาโรงเรียน ครูวิดีโอคอลผ่านไลน์ไปเพื่อย้ำเรื่องการมอบตัว แต่ "น้องหยก" คุยกับ "บุ้ง" "บุ้ง" อ้างว่าโทรศัพท์ติดต่อแม่ ""น้องหยก" ไม่ได้ คำถามที่ครูสงสัยว่าแล้วทำไม "บุ้ง" ไม่พา "น้องหยก" ไปที่บ้านล่ะ เอามาหนีบติดตัวไว้อยู่คอนโดฯ ตัวเอง


"บุ้ง" ซึ่งเป็นแกนนำ "ทะลุวัง" ชื่อ เนติพร เสน่ห์สังคม คุณพ่อเป็นผู้พิพากษา เป็นคนที่รักชาติ รักบ้านเมือง รักสถาบันกษัตริย์ ปัจจุบันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ "บุ้ง" อีกต่อไป ผมไม่ทราบว่าตัดขาดกันหรือเปล่า แต่ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ได้เคยไปพบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อขอรับ "น้องหยก" เป็นลูกบุญธรรม แต่ว่าตามกฎหมายแล้ว "บุ้ง" ไม่สามารถจะรับ "น้องหยก" เป็นลูกบุญธรรมได้


(รูป) "บุ้ง" ผู้หญิงใส่ชุดดำ รูปร่างค่อนข้างจะสมบูรณ์ กับ "ใบปอ"

อดีตครูที่ปรึกษา ม.3 โรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ ออกมายอมรับว่า "น้องหยก" กลายเป็นคนละคนกลังจากที่จบ ม.3 ไปแล้ว

ที่เล่าให้ฟังนี่เป็นส่วนหนึ่งของ TOP NEWS ที่ไปสัมภาษณ์อาจารย์ในโรงเรียนมา

ท่านผู้ชมครับ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ทีมงานเราได้ลงไปที่จังหวัดร้อยเอ็ด ตำบลหนองแวง อำเภอเกษตรวิสัย เป็นบ้านเกิดของนายทองปาน ตอนนี้อายุ 48 ปี เป็นพ่อแท้ๆ ของ "น้องหยก" นายทองปาน เลิกรากับแม่ของ "น้องหยก" แล้วก็พาตัวเองกลับมาที่บ้าน ไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ทำไร่ ทำมาหากิน นายเคน ซึ่งเป็นพ่อของนายทองปาน บอกว่า นายทองปาน ไปทำงานอยู่ในไร่ และในที่สุดแล้วทีมงานได้มีโอกาสเจอนายทองปาน พ่อของ "น้องหยก" ซึ่งกำลังเดินทางกลับมา ยังไม่ทันไรเลย แค่เจอหน้า นายทองปาน ก็ตะคอกว่าอย่ามาคุกคามกู ออกไป กูไม่คุย อย่ามายุ่งเรื่องของกู ออกจากบ้านกูไป ก็พอดีทีมงานได้ไปเจอพี่สาวของนายทองปาน ซึ่งเดินมาสำรวจบ้าน ก็ได้ยินเสียงโวยวายกัน พี่สาวของนายทองปาน (สงวนชื่อ) อายุ 60 ปี ก็เล่าประวัติให้ฟัง ว่าแม่ของ "น้องหยก" เป็นภรรยาคนที่สอง แล้วที่สำคัญคือ เคยพา "น้องหยก" มาตอนเด็กๆ ถามว่าจำหน้าได้ไหม บอกจำไม่ได้แล้ว


พี่สาวของนายทองปาน ก็บอกว่า เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เจ้าหน้าที่สถานพินิจฯ จังหวัดร้อยเอ็ด เจ้าหน้าที่ตำรวจ เดินทางมาพบนายทองปาน ที่บ้าน เพื่อแจ้งเรื่องวีรกรรมที่ "น้องหยก" ก่อไว้เป็นคดีความถึงขั้นออกหมายจับ นายทองปาน ก็ไม่รับฟังทั้งสิ้น ไล่เจ้าหน้าที่กลับบ้านทั้งหมดเลย พี่สาวของนายทองปาน สงสัยว่าทำไมน้องชายตัวเองถึงไม่แสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใยลูกสาวเลย ทำไมปล่อยให้ลูกสาวทำแบบนี้ แล้วญาติพี่น้องของพี่สาว/นายทองปาน ก็ให้การเช่นเดียวกัน นึกไม่ถึงว่าหลานตัวเองจะเป็นคนแบบนี้ได้


ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้มีคนที่ออกมาอ้างอิงประเด็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ ว่า "น้องหยก" มีสิทธิเสรีภาพ ผมจะถามพวกคุณทั้งหลายที่หิวแสง เลียนแบบคำว่าสิทธิเสรีภาพโดยไม่มีขอบเขตนั้น คุณรู้หรือเปล่าโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ มีนักเรียนอยู่ 4,073 คน ไม่รวม "น้องหยก" แล้วพวกคุณเคารพสิทธิในการเรียนอย่างสงบสุขของเด็กสี่พันกว่าคนที่เหลือด้วย ไหนจะครอบครัว ไหนจะผู้ปกครองเด็กสี่พันกว่า รวมกันแล้วเป็นหลายหมื่นคน ยังไม่นับอาจารย์ บุคลากรโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ ที่เขาต้องมาเป็นห่วงกังวลว่าพวกคุณที่ชักใย "น้องหยก" จะสร้างเรื่อง ก่อความวุ่นวายอะไรขึ้นมาอีก

ผมได้ฟังคลิปของหม่อมปลื้ม ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ที่ออกมาเคลื่อนไหวแสดงความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง "คุณปลื้ม" พูดดีมากท่านผู้ชม และอยากจะบอกว่า "คุณปลื้ม" เป็นคนๆ เดียวที่ผมฟัง และผมเชื่อว่าข้อความของ "คุณปลื้ม" ทุกวันนี้ในรายการของ Voice TV เป็นข้อความและเป็นแนวความคิดที่ถูกต้องและดีมาก นอกนั้นแล้วผมไม่สนใจหรอกครับ มี "คุณปลื้ม" อยู่คนเดียว ที่ Voice TV


คุณปลื้ม บอกว่า "เราจะสอนให้เด็กรุ่นต่อไปไม่เคารพกฎไปเรื่อยๆ หรือ? อย่างนี้ถ้าอนาคตมีคนไม่พอใจจะเปลี่ยนกฎอะไรก็ให้ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎนั้นเลยง่ายๆ ทั้งที่โดยส่วนรวมผู้อื่นก็ยังยินดีปฏิบัติตามกฎนั้นอยู่? มันเเฟร์ต่อผู้อื่นซึ่งร่วมศึกษาในสถาบันนั้นๆ ไหม?" คือพูดง่ายๆ ว่ามันแฟร์ต่อเด็กอีกสี่พันกว่าคนไหม เด็กสี่พันกว่าคนที่เขาปฏิบัติตามกฎและมีความสุขในการเล่าเรียนหนังสือ คุณปลื้ม บอกว่า ในต่างประเทศนั้นเขามีกฎแต่เรื่องกรอบเวลาการใช้อุปกรณ์การสื่อสารหรืออื่นๆ โซนเอเชียก็เช่นกัน

"การปฏิบัติตามกฎที่ไม่ได้เป็นภัยต่อสวัสดิภาพของนักเรียนคือการฝึกการควบคุมตนเอง เป็นทักษะชีวิตที่สำคัญมาก"

ท่านผู้ชมครับ แนวคิดแและคำให้สัมภาษณ์ที่ "น้องหยก" อ้างว่าจะไม่ร่วมทำพิธีกรรมการไหว้ครูเพราะเป็นการสืบทอดอำนาจนิยม เพราะครูได้ค่าจ้างเป็นค่าสอน ไม่ได้มีบุญคุณอะไร

ท่านผู้ชมครับ สมัยผมเรียนอัสสัมชัญศรีราชาอยู่ ผมเป็นเด็กที่เกเรมาก และขาข้างหนึ่งของผมอยู่นอกโรงเรียน ผมจำได้ว่า ท่านอธิการบดีท่านเรียกพ่อแม่ผมขึ้นมาจากกรุงเทพฯ บอกว่าจะไล่ผมออกจากโรงเรียน เพราะผมเกเร ผมชกต่อย ผมหนีไปเที่ยวที่ตลาด ไปมีเรื่องมีราวกับพวกกุ๊ยในตลาด แล้วโดนแทงด้วยมีดปลายแหลมเข้าที่หน้าอก แต่ท่านผู้ชมรู้ไหม อาจารย์คนหนึ่งซึ่งท่านเป็นอาจารย์ที่ผมรักมาก ท่านเซฟผมไว้ เข้าไปขอร้องอธิการบดี บอกว่าเป็นเด็กใจร้อน อบรมสั่งสอนได้ แต่ถ้าไล่ออกแล้วเด็กจะเสียอนาคต ผมก็เลยไม่โดนไล่ออก และนี่คือพระคุณของครูที่มีต่อลูกศิษย์

ท่านผู้ชมครับ ทางออกในกรณีของ "น้องหยก" นั้น มีคนเสนอไอเดียมาว่า "น้องหยก" เป็นเยาวชน โรงเรียนต้องไปแจ้งความผู้ปกครองที่เป็นพ่อแม่ เพราะทราบโดยทั่วกันว่าเด็กมีพ่อมีแม่ และสามารถดำเนินคดีข้อหา "ทอดทิ้งบุตร" จากตรงนั้นค่อยดำเนินการให้ศาลคุ้มครองตามกฎหมาย ทั้งเรื่องการสมัครเรียนและที่อยู่อาศัย

ท่านผู้ชมครับ งานนี้ผมไม่โทษ "น้องหยก" แต่ผมฟันธงได้เลยว่าเรื่อง "น้องหยก" อยู่ในกระบวนการการหลอกใช้เด็กเป็นแพะบูชายัญ อ้ายและอีที่ทำเรื่องพวกนี้เป็นคนใจดำอำมหิตมาก


คุณผักบุ้ง เนติพร เสน่ห์สังคม นักเคลื่อนไหวกลุ่มทะลุวัง อายุตั้ง 26 ปีแล้ว ออกตัวว่าเป็นผู้ปกครอง "น้องหยก" ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการมอบอำนาจจากพ่อแม่เขา ไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือดกับเขาเลย ผมเข้าใจว่าทำไม ผักบุ้ง-เนติพร และกลุ่มทะลุวัง ถึงเกาะติดเด็กคนนี้ ให้ที่พักอาศัย จ่ายค่าเทอมให้ ไปส่งหน้าโรงเรียน คอยเชียร์ให้ปีนเข้าโรงเรียน แถมยังอยากจะรับ "น้องหยก" เป็นลูกบุญธรรม เพราะเด็กคนนี้มีจุดขายไงล่ะท่านผู้ชม

"ผักบุ้ง" เคยให้สัมภาษณ์ในเว็บไซต์ "ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน" ตอนหนึ่งเขาถามว่า "บุ้ง มีบทบาทอะไรในการเคลื่อนไหว ?" เธอบอกว่า "เคลื่อนไหวโดยคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังเด็กที่เขาออกไปเคลื่อนไหว เพราะส่วนใหญ่ที่ออกมากันยังเป็นเด็กอยู่ ยังไม่มีความพร้อมเรื่องทรัพยากร บุ้งจะหาเงินในการเคลื่อนไหวของเขาให้มันไปต่อได้" นี่ไง คนๆ นี้คือคนที่อยู่เบื้องหลัง ให้เงินให้ทอง ให้ความคิด

คำถามว่าทำไมต้องเป็นเด็ก/เยาวชน ? เขาบอกวา เขาเชื่อในพลังของคนเยาวชนรุ่นใหม่ เลยตัดสินใจมาสนับสนุนเยาวชน นี่คือสรุปย่อที่เขาให้สัมภาษณ์นะครับ จากคำพูดของคุณผักบุ้ง พูดง่ายๆ แปลได้หรือเปล่าว่า พวกคุณเลือกสนับสนุนเยาวชน เพราะว่าเด็กมันชักจูงได้ง่าย โดยเฉพาะเยาวชนแบบ "น้องหยก" ที่ขาดสถาบันครอบครัวมาคอยปกป้องดูแล มาจากครอบครัวที่แตกแยก สถานะเป็นชนชั้นที่รายได้มีน้อย หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นคนยากจน คุณก็เลยทุ่มเทเอาความที่เด็กมันยากจน สร้างความเกลียดชังให้กับระบบ บอกที่หนูยากจนเพราะอำนาจนิยม เด็กไม่มีสติปัญญาอะไรก็เข้าใจไปด้านนั้น ให้ทำอะไรก็ทำตาม เพราะคุณให้ตังค์ ให้เงินให้ทองเด็ก ผมว่า รัฐบาลครับ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องครับ ต้องหาทางดำเนินคดีกับ "ผักบุ้ง"

"ผักบุ้ง" นี่โดนคดี 112 ไปแล้ว แต่ 112 ไม่ได้ ยุยงส่งเสริมให้เด็ก/เยาวชนทำความชั่ว ทำผิดกฎหมาย


ท่านผู้ชมจำเรื่องเกี่ยวกับการไประบายสีที่กำแพงวัดพระแก้วได้ไหม ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าเบื้องหลังเป็นอย่างไร ? เบื้องหลังก็คือว่า คนที่อยู่เบื้องหลัง "น้องหยก" อยากให้ "น้องหยก" ถูกหมายจับ แต่ตำรวจตอนนี้มีสติ ไม่ยอมออกหมายจับ มันก็เลยเอา "น้องหยก" กับผู้ชายระยำอีกคนหนึ่ง เด็กอายุ 25 ปี ไประบายสีกำแพง ตำรวจไม่มีทางเลือกก็เลยต้องออกหมายจับ "น้องหยก" ทำไมต้องการล่ะ ? เพราะจะได้ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ว่าจับเด็กอายุ 15 และนี่คือกระบวนการส่วนหนึ่ง เห็นหรือยังท่านผู้ชม ว่า "น้องหยก" อยู่เป็นตัวละครในกระบวนการที่ถูกเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมา เพื่อให้สร้างกระแสในสังคม ให้เห็นว่าผู้ใหญ่รังแกเด็ก แต่ไอ้พวกนี้คือคนที่อยู่เบื้องหลัง ยุยงส่งเสริมให้เด็กทำอะไรที่มันผิดกฎหมาย แล้วใช้เด็กเป็นเหยื่อ ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังตอนนี้

ท่านผู้ชมครับ เคยสงสัยไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับ "น้องหยก" ถูกกระทำมาแบบนี้ "น้องหยก" มาจากครอบครัวที่พ่อกับแม่มักจะทะเลาะกัน ก่อนหน้านั้นตัวพ่อมีภรรยาถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว มีลูกสาวอยู่ 1 คน ตอนนี้อายุ 19 ปี ส่วนแม่ "น้องหยก" เป็นภรรยานอกสมรส และมักจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน ทำร้ายร่างกายกัน ขึ้นโรงพักให้ตำรวจไกล่เกลี่ยเป็นประจำ ด้วยเหตุนี้เด็กแบบ "น้องหยก" จึงกลายเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดในการใช้เป็นหุ่นเชิดทางการเมืองของกลุ่มล้มสถาบัน แล้วมีกิจกรรมอะไรบ้างที่ "น้องหยก" ถูกเขียนบทให้เป็นตัวละครหลักในบทผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ที่อายุน้อยที่สุด

"น้องหยก" ถูกตั้งฉายาว่า "สหายนอนน้อย" ท่านผู้ชมครับไอ้พวกนี้มันย้อนแย้งตัวมันเอง เพราะมันไม่รู้ประวัติศาสตร์ มันเรียกร้องประชาธิปไตย แต่แค่ชื่อเรียกขานในกลุ่ม กลับตั้งชื่อในแนวคอมมิวนิสต์ คือ "สหาย" หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Comrade นอกจากนี้ การสร้างชื่อเรียกขาน คำว่า "สหาย" ยังสอดคล้องกับการที่นายธนาธร ออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ ระบุเลยว่า อยากให้เลิกใช้คำว่าพี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา เพราะต้องการจะยกเลิกวัฒนธรรมอำนาจนิยม การเรียกพ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา มันเป็นวัฒนธรรมอำนาจนิยมตรงไหนเนี่ย ผมไม่เข้าใจ คุณธนาธร คุณเป็นคนฉลาด อธิบายให้ผมหน่อยซิ มันเป็นการมีสัมมาคารวะ เรียกคนที่อายุมากกว่า เพิ่งเจอกัน ถ้าอายุมากกว่าเรียกพี่ก็ได้ เรียกน้าก็ได้ ลุงก็ได้ ส่วนต่อไปภายหลังแล้วจะดูพฤติกรรมของคนที่รู้จัก ถ้าเป็นพฤติกรรมที่ใช้ไม่ได้กับเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องเรียกมัน ไม่ต้องเจอมัน


"อำนาจนิยม" เป็นชุดคำพูดเดียวกับที่ "น้องหยก" ใช้ในการปฏิเสธกฎระเบียบต่างๆ ของโรงเรียน "น้องหยก" เริ่มทำการเคลื่อนไหวกิจกรรมต่อต้านสถาบันร่วมกับกลุ่มนาดสินปฏิวัติ ชื่อ "มิ้นท์" หรือฉายาว่า "เจ๊เขียว กิโยติน" และ "กลุ่มทะลุวัง" ชื่อ "ตะวัน-แบม-บุ้ง" ในโลกโซเชียลฯ


"สหายนอนน้อย" จะโพสต์แชร์เรื่องราวเกี่ยวกับสถาบันไปในทางที่เสื่อมเสีย รู้ได้อย่างไร นอกจากถูกป้อนข้อมูลแบบนี้เข้ามา เด็กมันจะรู้เรื่องได้อย่างไรว่ามีการเสื่อมเสียอย่างไร แล้วข้อมูลที่เข้ามา เด็กเชื่อได้หรือเปล่า เด็กคิดไม่เป็น ก็มีแต่ผู้ใหญ่เลวๆ นี่ล่ะป้อนใส่หัว ซึ่งอิทธิพลนี้ได้มาจากความคิดต่อต้านสถาบัน มาจาก "จอม ไฟเย็น" ตอนนี้หนีคดีไปแล้ว ไปทำงานเป็นเกษตรกรอยู่ฝรั่งเศส และยัยนี่เชื่อมโยงกับ "ยัน มาร์ฉัล" (Yan Marchal) TikTok ชาวฝรั่งเศส ที่ผมเคยพูดถึงเบื้องหลัง ซึ่งมีพฤติกรรมหมิ่นสถาบัน สนับสนุนกลุ่มหมิ่นสถาบัน


เมื่อสุกงอมแล้ว คนที่อยู่เบื้องหลังก็ดัน "น้องหยก" ตอนนั้นอายุแค่ 14 ปีเอง ออกมาเคลื่อนไหวเปิตดัวในวันที่ 13 ตุลาคม 2565 "น้องหยก" เข้ามาร่วมกิจกรรมชุมนุม "13 ตุลาฯ หวังสายฝนจะพาล่องไป" หน้าศาลากลาง กทม. ใกล้บ้าน "น้องหยก" ซึ่งใกล้ๆ สำราญราษฎร์ "น้องหยก" ถูกสอนให้เขียนคำพูดเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ บนพื้น แล้วกล่าวหารัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระพันปีหลวง มาเรื่อยๆ "น้องหยก" จะเขียนอย่างนี้ได้อย่างไรถ้าไม่มีคนสอน ตอนนั้น "น้องหยก" สวมหมวกมีตรา "กลุ่มไฟเย็น" แม่ของ "น้องหยก" ช่วงนั้นก็ตักเตือนเรื่องการชุมนุม เลยทำให้ลูกกับแม่ทะเลาะกัน


หลังจากนั้นแล้ว "น้องหยก" ก็ร่วมจัดกิจกรรมชุมนุมเชิงสัญลักษณ์ เธอฉีกหมายเรียกที่ตำรวจเรียกไป หน้ายูเอ็น แต่ตำรวจก็ออกแค่หมายเรียก ไม่ออกหมายจับ


28 มีนาคม 2566 "น้องหยก" เลยถูกส่งเข้าไปร่วมเหตุการณ์พ่นสีกำแพงวัง กับนายศุทธวีร์ สร้อยคำ หรือ บังเอิญ เพื่ออะไร ? เพื่อถูกควบคุมตามหมายจับคดี 112 เพื่อเป็นการจุดประเด็นขึ้นมา ตรงนี้มีประเด็น แม่ "น้องหยก" ขอประกันตัวต่อศาล ตอนที่ "น้องหยก" ขึ้นศาล แม่ไปขอประกันตัว ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าใครขวาง ? ยัยผักบุ้ง เนติพร และกลุ่มทะลุวัง เข้ามาคัดค้าน บอกว่าไม่ตรงกับเจตนารมณณ์ของ "น้องหยก" แม่ "น้องหยก" เลยไม่ได้ประกันตัว และให้กลุ่มฯ ไปดูแล "น้องหยก" เอง แต่ศาลไม่ได้สั่งนะว่าให้ "ยัยผักบุ้ง" เป็นผู้ปกครอง แม่ก็เลยหงุดหงิด ก็บอกว่าไม่ยุ่งอีกแล้ว


หลังจากนั้น ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ของนายอานนท์ นำภา ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่าอาทิตย์ที่แล้วผมชี้ให้เห็นว่าศูนย์ฯ นี้ได้รับเงินสนับสนุนจากต่างชาติมาเบ็ดเสร็จ 2-3 ปีนี้ หลายสิบล้านบาท ก็ประโคมข่าวทันทีว่า "น้องหยก" ยืนยันปฏิเสธกระบวนวการยุติธรรม ปฏิเสธที่จะมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย และไม่ขอเซ็นเอกสารใดๆ ทั้งสิ้น ระหว่างอยู่ในห้องพิจารณาของศาล "น้องหยก" จึงนั่งหันหลังให้บัลลังก์และผู้พิพากษาอีกด้วย


ก็เลยเกิดภาวะการณ์ที่กลุ่มทะลุวัง เครือข่ายต่างๆ เชื่อมโยงกัน กลุ่มโมกหลวงริมน้ำ ก็เลยเริ่มมีงานทำ จัดกิจกรรมเรียกร้องให้ปล่อยตัว "น้องหยก" หลังจากที่ออกจากบ้านปรานี "น้องหยก" ก็มาอาศัยอยู่กับ "ผักบุ้ง-เนติพร" แกนนำกลุ่มทะลุวัง

"กลุ่มทะลุวัง" เป็นชื่อกลุ่มนักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวเรื่องการปฏิรูป หรือพูดง่ายๆ ว่าล้มล้างสถาบันโดยกลุ่มบุคคลที่มักปรากฏตัวอยู่กับ "น้องหยก" เป็นประจำ มีใครบ้าง ? หนึ่ง นายนภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ (สายน้ำ) อายุ 18 ปี กลุ่มทะลุวังมังกรปฏิวัติ ลูกชาย ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ อดีตรองอธิการบดีฝ่ายกิจกรรมนักศึกษา มหาวิทยาลัยหอการค้า ซึ่งเคยทำงานอยู่กับผม ภรรยาเขาเป็นหลานสาวของภรรยาผมที่เสียชีวิตไป สอง น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ "ตะวัน" อายุ 21 ปี กลุ่มทะลุวังมังกรปฏิวัติ สาม น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม (ผักบุ้ง) อายุ 26 ปี กลุ่มทะลุวัง สี่ น.ส.วิชญาพร ตุงคะเสน แฟนสาวของสายน้ำ อายุ 22 ปี กลุ่มทะลุวัง ห้า น.ส.วีรดา คงธนกุลโรจน์ เป็นทนายความด้วยนะ ชื่อ "ทนายเฟิร์น" อายุ 32 ปี หก นายโสภณ สุรฤทธิ์ธำรง หรือ เก็ท โมกหลวง อายุ 23 ปี กลุ่มโมกหลวงริมน้ำ ซึ่งเป็นผู้ปกครอง "น้องหยก" ระหว่างอยู่ในบ้านปรานี และเคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งมีปากเสียงกับแม่ของ "น้องหยก" เจ็ด น.ส.อรวรรณ ภู่พงษ์ (แบม) อายุ 23 ปี กลุ่มทะลุวัง แปด นายสิทธิชัย ปราศรัย อายุ 25 ปี เก้า นายศุทธวีร์ สร้อยคำ อายุ 25 ปี กลุ่มภาคีสหาย


จากภาพที่ปรากฏตามโซเชียลฯ มีคนตั้งข้อสังเกตว่า การเคลื่อนไหวของ "น้องหยก" เหมือนละครฉากหนึ่ง ได้วางแผนอย่างดี มีตัวแสดง ผู้กำกับ ช่างวิดีโอ ช่างภาพชาวไทย ชาวต่างชาติ ข่าวเชิงลึกบอกว่า คนสนับสนุน "น้องหยก" คือกลุ่มไฟเย็น โดยเฉพาะ "แยม ไฟเย็น" กับ "ยัน มาร์ฉัล" ไอ้เวรชาวฝรั่งเศส หนีคดี ม.112 ไป


กลุ่มไฟเย็น เป็นแบ็กอัปให้ "น้องหยก" สร้างกระแส เชื่อว่าให้การสนับสุน "ผักบุ้ง" เพื่อให้ "ผักบุ้ง" รับ "น้องหยก" ไปพักอยู่อาศัย ใช้ "น้องหยก" เป็นเครื่งอมือในการสร้างกระแส หรรือความวุ่นวายต่างๆ เพราะถ้า "น้องหยก" มีกระแส ข่าว "ผักบุ้ง" ซึ่งดูแล "น้องหยก" ก็จะได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่มไฟเย็นต่อไป ถ้าไม่สร้างเรื่องสร้างราวให้ตัวเอง กลุ่มไฟเย็นอาจจะไม่ให้เงินสนับสนุนต่อ "น้องหยก" ยังเป็นเยาวชน อ่อนด้อยประสบการณ์ คิดเองทำเองไม่ได้หรอก ถูกจูงมือโดยคนพวกนี้

ท่านผู้ชมครับ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพรรคก้าวไกล ? พรรคก้าวไกลเคยสนับสนุน "น้องหยก" ถึงกับนำนโยบายไปเป็นหนึ่งในโยบายด้วยซ้ำ นโยบายพรรคก้าวไกล "ไม่บังคับชุดนักเรียน ผู้ปกครองใช้งบกับอย่างอื่นได้"


ก่อนเลือกตั้งไม่กี่วัน คุณพิธา ลิ้่มเจริญรัตน์ พูดถึง "น้องหยก" ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้รับการปล่อยตัวจากบ้านปรานี คือเอาเรื่อง "น้องหยก" มาพูด เพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 พิธา เขาพูดว่า "น้องหยก" กลายเป็นผู้ต้องหามาตรา 112 ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย มันจงใจเอา "น้องหยก" มาว่าเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดแล้วโดน 112 สิ่งที่ "น้องหยก" และคนรุ่นใหม่ต้องเผชิญจากการเอาประเด็นสถาบันมาโจมตีตลอดเวลา ฉะนั้นนายกรัฐมนตรีและผู้นำคนต่อไปจะต้องอยู่ภายใต้ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และวางฐานะอย่างเหมาะสม ก็คือว่าวางฐานะตามกรอบกติกาที่พวกเขากำหนดเอาไว้


นอกจากนี้ นโยบายพรรคก้าวไกลยังลงในเฟซบุ๊กพรรคฯ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 ก่อนวันเลือกตั้ง ระบุว่า "ไม่บังคับชุดนักเรียน ผู้ปกครองใช้งบอย่างอื่นได้" ยกเลิกการบังคับใส่ชุดนักเรียนไปโรงเรียน เปลี่ยนงบประมาณรายหัวในหมวดเครื่องแบบนักเรียนให้กลายเป็นงบฯ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นได้ ประเด็นอยู่ที่ไหน ? พอคุณได้รับเลือกตั้งแล้ว กำลังจะเป็นนายกรัฐมนตรี คุณพิธา คุณลืม "น้องหยก" เร็วเหลือเกิน ทำไมคุณถึงลืมล่ะ ? เพราะว่ากระแสมันตีกลับไง คนไม่เอาด้วยมากมายมหาศาล เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ผมงง เพราะกลุ่มทะลุวังที่อยู่เบื้องหลัง "น้องหยก" และพวกคุณที่สนับสนุนเขามาตลอด


พวกมันก็ทวงถามคุณพิธาและพรรคก้าวไกล เหมือนกัน มึงลืมแล้วหรือ กูทำตามที่มึงบอกไง ยิ่งพอ "น้องหยก" ปีนรั้วโรงเรียนต่อต้านกฎโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ สร้างกระแสเรียกร้องเป็นรายวัน กระแสตีกลับ ชาวบ้านชาวช่องเขารุมด่า พรรคก้าวไกลเลยเงียบกริ๊บ! ให้นายรังสิมันต์ โรม ส.ส. บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ออกมาบอกปัดว่า เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของ "น้องหยก" เอง ทุกการตัดสินใจไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง แต่พอพรรคก้าวไกลถูกทวงถามความรับผิดชอบ ถูกกดดันมากๆ ขึ้น ก็ค่อยส่งคุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ลงพื้นที่ไปโรงเรียน สรุปไม่ได้ เพราะแฉไปแฉมา

ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่า พวกคุณ พรรคก้าวไกล คืออยู่เบื้องหลังการชักใย หาประโยชน์จากความเคลื่อนไหวของ "น้องหยก" ท่านผู้ชมครับ ผมเอารูปขึ้นให้ดู คนที่ถือป้ายเชียร์ "น้องหยก" ให้ปล่อยตัว "น้องหยก" ใส่เสื้อแจ๊กเก็ตพรรคก้าวไกลทั้งนั้น ไม่ผิดหรอกครับท่านผู้ชม แล้วคุณจะเลือกพรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ท่าน ส.ว. เอามาเป็นนายกฯ ได้อย่างไร คนที่อยู่เบื้องหลัง พรรคบ้านี่อยู่เบื้องหลังหลายๆ เรื่อง แล้วคอนด้อมส้มก็ยังลุ่มหลง หลงใหลอยู่

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง มันมีม็อบเด็กสาดสีบุกทำลายรูปปั้น กระทรวงสาธารณสุข ปี 2564 พรรคอีแอบปั่นให้เด็กสู้ แล้วก็ลอยแพเด็ก เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2564 ซึ่งผมจำเป็นต้องพูดถึง คดีความนั้นต่อเนื่องยาวมาจนถึงปัจจุบัน ปี 2566


ย้อนไปปี 2564 มีเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นการปลุกปั่นให้เยาวชนออกมาใช้ความรุนแรง คือเหตุการณ์ที่เด็กสาดสีบุกทำลายรูปปั้นที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี เหตุเกิดขึ้นเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว กลุ่มชุมนุมเด็กที่เรียกว่า กลุ่มไพร่พล และ กลุ่มเด็กปากแจ๋ว นำโดย น.ส.ณิชกานต์ หรือ มีมี่ น.ส.เบญจมาภรณ์ หรือ พลอย แก๊งทะลุวัง และนี่คือกลุ่มที่อยู่เบื้องหลัง "น้องหยก" อยู่ทุกวันนี้ ได้รวมตัวกันประตู 1 หน้าสำนักงานประกันสังคม กระทรวงสาธารณสุข เพื่อทำกิจกรรมที่เรียกว่า "บุกกระทรวง ทวงวัคซีน" เรียกร้องให้นำวัคซีน mRNA ที่อ้างว่าเป็นวัคซีนคุณภาพดี ฟรี มาฉีดให้ประชาชนและเด็กทุกคน ทางกลุ่มฯ ได้นำพวงหรีด เขียนชื่อผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุข นำหุ่นจำลองศพผู้เสียชีวิตจากโควิด มาวางบนพื้นถนน ก่อนนำสีแดงมาราด และพยายามราดน้ำมันเพื่อจุดไฟเผา เจ้าหน้าที่ต้องเอาเครื่องดับเพลิงมาฉีดสกัดไม่ให้เปลวไฟ ทางกลุ่มฯ ยื่นจดหมายผ่านตัวแทน แล้วขู่ว่าอีก 7 วัน ถ้าไม่ทำ เจอแน่ แล้วแยกย้ายกลับไป

6 วันต่อมา 13 กรกฎาคม 2564 ได้เกิดเหตุบุคคลเข้าไปพ่นสีแดง สาดสีแดงใส่อนุสาวรีย์ภายในกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ พระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หน้าอาคารสำนักงานปลัด สธ. บริเวณพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย และเป็นพระบิดาของรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 และพระอัยกาของรัชกาลที่ 10


ส่วนอนุสาวรีย์สมเด็จย่า นั้น มีการสาดสีกากบาทบนป้ายกระทรวงสาธารณสุข ยังมีการคล้องเชือกเพื่อดึงพระราชานุสาวรีย์ลงมา ท่านผู้ชมดูก็แล้วกันครับว่ามันเลวทรามต่ำช้าขนาดไหน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 17 มิถุนายน 2566 นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีดังกล่าวซึ่งอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ว่า เรื่องนี้มีการดำเนินคดีหลายคดีไล่ๆ กันมา มีการดำเนินคดีทั้งเรื่องของบุกรุก หมิ่นประมาท ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน และทำลายทรัพย์สิน กลุ่มเด็กปากแจ๋ว มีการขึ้นศาลไปนานแล้ว ซึ่งกลุ่มเด็กและเยาวชน ศาลท่านไม่ลงโทษอยู่แล้ว ที่ผ่านมาให้กลุ่มเด็กและเยาวชนเข้ามาขัดห้องน้ำ ทำความสะอาดห้องน้ำในกระทรวง ทำความสะอาดอนุสาวรีย์ กล่าวคำขอโทษเรียบร้อยทุกคน

คุณหมอรุ่งเรือง ให้ข้อมูลว่า ในส่วนผู้ที่กระทำผิดเป็นเยาวชน ศาลเยาวชนได้ตัดสินลงโทษ ให้เยาวชน 4 ราย ที่ลงมือก่อเหตุ บำเพ็ญประโยชน์เป็นเวลา 1 ปี ในพื้นที่กระทรวงสาธารณสุข เงื่อนไขคือ ทำความสะอาดทั่วบริเวณ ปัดกวาดเช็ดถู พร้อมทั้งให้ปฏิญาณตน พนมมือกล่าวคำขอโทษต่อหน้าพระบรมรูปอนุสาวรีย์ทุกพระองค์ พร้อมกับต่อหน้าเจ้าหน้าที่ บุคลากรกระทรวงฯ เด็กพวกนี้ไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลสั่ง พร้อมคำพูดที่ว่า ไม่มีธรรมเนียมยกมือไหว้ ซึ่งคุณหมอก็บอกว่า ถ้าไม่ไหว้ ไม่เป็นไร ก็ไปติดคุก ไม่แน่จริง กลัวติดคุกก็เลยยอมไหว้


จริงๆ ขี้ขลาดตาขาวนะไอ้พวกบ้านี่ เนื่องจากว่าเวลาไปประท้วง ไปสร้างเหตุสร้างการณ์ ผู้ใหญ่ไปกลัวมัน มันก็เลยได้ใจ นี่เจอคุณหมอเอาจริง ถ้าไม่ยอมไหว้ถ้าอย่างั้นไปติดคุกแทน ก็เลยต้องยอมไหว้ เป็นอย่างไรล่ะ ไอ้เด็กพวกนี้ ถ้าแน่จริงในหลักการก็อย่าไปไหว้สิ ไปยอมติดคุกเลย

คุณหมอบอกชัดเจน กลุ่มพวกนี้รับข้อมูลผิดๆ รับรู้สิ่งผิดๆ จากพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง และถูกหลอกใช้มาทำสิ่งที่มิบังควร ในหน้าประวัติศาสตร์ไทยไม่เคยปรากฏเกิดการกระทำต่ำช้าแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นและผมรับไม่ได้

คุณหมอรุ่งเรือง ย้ำว่า ในส่วนผู้ใหญ่ที่ก่อการปั่นหัวเด็ก คุณหมอบอกว่า น่าจะมีการลงโทษจำคุก มิเช่นนั้นไม่เป็นเยี่ยงอย่าง จะกลายเป็นว่า ทำเสร็จขึ้นฟ้อง พอฟ้องแล้วรอลงอาญา อย่างไรก็ตาม ในส่วนของมือมืดที่แอบเข้ามาสาดสีพระราชานุสาวรีย์ และยังมีการคล้องเชือกเพื่อดึงพระราชานุสาวรีย์ลงมานั้น แม้จะยังจับได้ไม่หมด แต่เรารู้ตัวทั้งหมดแล้ว กำลังไล่จับอยู่ แต่ที่เราพบคือไอ้พวกนี้มันเป็นกลุ่มพวกเดียวกันทั้งหมด คุณหมอรุ่งเรือง บอกว่า ตนค่อนข้างเป็นห่วงเด็กเยาวชน เพราะมองว่ามีขบวนการปั่นหัวเด็กมาตลอด ใช้เด็กมาออกหน้า แต่เรื่องจริงที่ตัวเองเจอคือพอถึงวันที่ต้องขึ้นศาล ไม่มีหมาที่ไหนเลยที่อยู่เบื้องหลังเด็กเข้ามาช่วยเลย ถูกปล่อยลอยแพ มีแต่พ่อแม่เด็กมาไหว้ขอความเมตตา

ประเด็น ท่านผู้ชมทราบหรือเปล่าว่า จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็ดี ในคดีสาดสี พ่นสเปรย์ใส่อนุสาวรีย์และป้ายกระทรวงสาธารณสุข ในช่วงกลางคืน วันที่ 13 กรกฎาคม 2564 หนึ่งในผู้ต้องหานั้น ชื่อ "ผักบุ้ง" เนติพร เสน่ห์สังคม คนเดียวกันกับที่ชอบพูดว่าสนับสนุนเยาวชน คนเดียวกับที่สนับสนุนให้ "น้องหยก" ทำวีรกรรมต่างๆ นานา


ส่วน "ผักบุ้ง-เนติพร" นั้น สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้แจ้งความ 3 ข้อกล่าวหา ร่วมกันรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในเวลากลางคืน ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ และฝ่าฝืนเคอร์ฟิว

คนในกระทรวงสาธารณสุขเขาบอกว่า เบื้องหน้าเบื้องหลังจริงๆ แล้ว มีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนเด็กพวกนี้ให้ก่อความวุ่นวาย แต่เขาไม่เอ่ยชื่อ ผมเอ่ยให้แล้วกัน ท่านผู้ชมครับ คอนด้อมส้มครับ ก็คือพรรคก้าวไกลนั่นเอง ชัดเจนไหม

ผู้ใหญ่อำมหิต ! ให้ท้าย “เด็กน้อย” เดินสู่หนทางผิดพลาด

ผมพูดเรื่อง "น้องหยก" และคนที่อยู่เบื้องหลัง "น้องหยก" และสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องนี้สามารถใช้เป็นมาตรวัดคุณธรรม จริยธรรม ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ความชั่วร้ายเลวทราม รวมถึงความกล้าหาญและความขี้ขลาดตาขาวของผู้ใหญ่และองค์กรต่างๆ ในสังคมได้อย่างดีเลย

วันนี้ผมจำเป็นต้องรวบรวมเอาบุคคลและองค์กรบางส่วนที่ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับ "น้องหยก" ที่ผมเห็นว่าหลายคนใช้ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะพูดบนพื้นฐานอยากเอาใจเด็ก เกรงใจพวกคอนด้อมส้ม พวกนี้ไม่เคยแสวงหาข้อเท็จจริง เคารพหลักการ กฎระเบียบหรืออะไรเลยแม้แต่นิดเดียว


คุณสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า "หากเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน จะแก้ปัญหาแบบมีเมตตาธรรม ด้วยการเปิดประตูไว้ทั้งวัน อยากมาเรียนตอนไหนก็เรียนได้ ไม่ต้องปีนรั้ว พร้อมจัดโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งเรียน ให้เด็กเรียนวิชาการดีกว่าไปอยู่นอกห้องเรียน จัดการเรียนการสอนวัดผลเป็นปกติ" ผมฟังแล้ว คุณสมชัย เดินในทุ่งลาเวนเดอร์มากเกินไปหรือเปล่า กลับมาดูข้อเท็จจริง เรื่องราวต่างๆ ที่ผมพูดวันนี้ เด็กคนนี้ไม่ผิด แต่เด็กคนนี้ถูกคนที่อยู่เบื้องหลังปลุกปั่นและกำกับให้ทำ คุณก็เลยเออออห่อหมกไปกับเขาด้วย คุณสมชัยครับ ผมเข้าใจดี ช่วงหลังนี้คุณออกโซเชียลฯ บ่อย ออกเฟซบุ๊ก ลงโพสต์เยอะ คุณต้องการแสง แต่นี่ไม่ใช่วิธีที่เอาแสงเข้ามาอย่างถูกต้อง แล้วคุณจะทำอย่างไรกับเด็กอีก 4,073 คน ที่เขาอยู่ในระเบียบ เขาทำตามระเบียบของโรงเรียนทุกประการ คุณสร้างข้อยกเว้นให้คน 1 คน แล้วคุณก็บอกคนอีก 4,073 คน ว่า นี่นะ ยกเว้นนะ แล้วเด็ก 4,073 คน มีไหมที่จะต้องคิดว่า ถ้าอย่างนั้นโวยวายบ้างได้ไหม คุณสมชัย คุณอย่าผิดแล้วผิดอีก


ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กเยาวชน บ้านกาญจนาภิเษก คุณทิชา เป็นต้นตอที่ให้ท้าย "น้องหยก" และกลุ่มทะลุวังมาตลอด บอกว่าเคยคุยกับ "น้องหยก" มา 3 ครั้ง "น้องหยก" ไม่ก้าวร้าว ไม่ได้ถูกล้างสมอง เป็นตัวของตัวเอง เพราะถูกจับตอนอายุ 14 ด้วยข้อหา ม.112 ผมไม่รู้จะพูดยังไง "น้องหยก" ไม่ได้เกิดมาสุดโต่ง ก้าวร้าว ไม่ได้บ้า ไม่ได้เพี้ยน ไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกป้ายสี นี่ป้ายสีเหรอ ? คุณทิชา คุณฟังให้ดีๆ "น้องหยก" เขียนอาฆาตมาดร้ายรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระพันปีหลวง ในจำเลยคดี 6 ตุลาฯ ไล่เป็นชิ้นเลย คุณทิชา คุณอยู่กับพวกเด็กมาเยอะ ผมเข้าใจ เด็กที่น่าสงสาร และเด็กที่น่าจะช่วยมีมาก แต่เด็กที่ถูกผู้ใหญ่เลวๆ ปั่นหัวอยู่ข้างหลัง ทำไมคุณทิชา ไม่มองให้ทะลุไป ว่าเด็กพวกนี้ไม่ผิด แต่ที่ผิดคือมีขบวนการปั่นหัวเด็กพวกนี้ ผมพูดมาตลอดรายการ คุณทิชา ฟังเสียบ้าง อย่าทำตัวเท่ เพราะคุณเคยมีชื่อเสียง คุณเคยอยู่กับเด็ก คุณพูด ทุกคนต้องฟังคุณ


อีกคนหนึ่ง ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย พูดเลย บอกว่า เด็กทุกคนไม่ควรจะต้องหลุดพ้นต่อระบบการศึกษาและในการแสดงออก เยาวชนคือเยาวชน การพูดคุย เปิดใจรับฟังความคิดเห็นจะหาทางออกได้ การย้อมผมเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อระบบอำนาจนิยมเป็นสิ่งที่ "น้องหยก" ต้องการสื่อสารกับสังคม มีหลายคนที่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์มากมาย เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาถูกกดดันอยู่ มีสิทธิจะแสดงออก

นอกจากนั้น น.ต.ศิธา ยังโพสต์เฟซบุ๊กด้วยว่า ชุดนักเรียนคือความเท่าเทียมของคนมีเงินซื้อชุดให้ลูกใส่ ชุดนักเรียนไม่ใช่การกดขี่ แต่บังคับให้เด็กต้องใส่ ชุดนักเรียนปกป้องคุ้มครองนักเรียนได้ยังไง มันคือเสื้อเกราะ ? เสื้อยันต์ ? ชุดนักเรียน ไม่ได้ทำให้เด็กไม่เก่ง และก็ไม่ได้ทำให้เด็กเก่งด้วยเช่นกัน เวลาที่เขาบอก ใส่ชุดอะไรก็ได้ ก็คือ เด็กสามารถใส่ชุดนักเรียนไปเรียนได้เช่นกัน ไม่มีใครบังคับใคร ตกลงผู้ใหญ่หรือเด็กที่เอาแต่ใจ" คุณศิธา ครับ คุณศิธา ละเลยข้อเท็จจริงไปมาก ชุดนักเรียนถูกสร้างมาเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน ชุดนักเรียนให้รู้ว่านี่คือนักเรียน เหมือนคุณอยู่ในท่ามกลางทุกคน แล้วบอกว่าทุกคนไม่จำเป็นต้องแต่งยูนิฟอร์ม ถ้ามีโจรบุกเข้ามาปล้นคุณ สิ่งแรกที่คุณคิดก็คือตำรวจ ใช่ไหม แล้วคุณมองไป มีไหม คนใส่ชุดยูนิฟอร์มตำรวจ เอ้า! สิทธิเสรีภาพไง คุณก็ไม่ต้องใส่ชุดอะไรก็ได้ ย้อมผมสี ถ้าคุณได้เข้าสภาฯ ไป หรือคุณหญิงหน่อย สุดารัตน์ ได้เป็นรัฐมนตรี ก็บอกคุณหญิงหน่อยใส่ไพรเวตไปสิ ใส่กางเกงขาสั้นไป รองเท้าแตะ สิทธิเสรีภาพไม่ใช่หรือ คุณศิธา ทำไมต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยล่ะ เพราะการแต่งตัวให้เรียบร้อยก็ไม่ได้ทำให้คุณเก่งขึ้น ตามคอนเซปต์ของคุณ คุณเลิกหิวแสงเถอะคุณศิธา ช่วงหลังนี่คุณเพี้ยนหนักเลย เพี้ยนหนักๆ คุณอย่าบ้าแสงให้มากนัก คุณกลับมาสู่โลกความเป็นจริงได้เสียที แล้วก็เข้าใจหน่อย ผมพูดมาตลอด คุณไปดูซิว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีคนอยู่เบื้องหลังทั้งนั้น นี่คุณกำลังจะกลายเป็นคนหนึ่งนะที่อยู่เบื้องหลังเด็กพวกนี้


มาอีกแล้ว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ออกแถลงการณ์เรื่องสิทธิเด็ก กรณี "น้องหยก" บอกเป็นเรื่องการป้องกันสิทธิเด็ก เฮ้ย! คุณเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้อย่างไร คุณแยกแยะไม่ออกเลยหรือว่าสิทธิเด็กมีอะไรบ้าง สิทธิเด็กถ้าโดนกดขี่ ถ้าโดนทำร้ายร่างกาย ถ้าโดนครูกลั่นแกล้ง นั่นคุณต่อสู้ไป แต่การที่ "น้องหยก" โดยการปลุกปั่นของคนที่อยู่เบื้องหลัง ให้ทำสีผม ให้แต่งไพรเวตไป ในขณะซึ่งนักเรียนอีก 4,073 คน เขาอยู่ในระเบียบ คุณเอาอีกแล้ว กระบวนทัศน์ คอนเซปต์ง่ายๆ นี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ยังโง่ ไม่เข้าใจอีก เพราะว่าถ้าคุณไม่พูดแล้วคุณกลัวไม่เท่ใช่ไหม คุณเลยต้องพูดเพื่อให้เห็นว่าผมเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ นะ คุณเลิกคิดทีได้ไหม คุณค่าคุณในสายตาผม อายุ 76 ปี ผ่านโลกมาเยอะ อ่านหนังสือมาเยอะแยะไปหมด พวกคุณมันโคตรโหลยโท่ย มาเป็นได้อย่างไร แยกแยะความถูก-ความผิด ความควรหรือไม่ควร ไม่เป็น นี่ไม่ใช่กรณีของการที่ประชาชนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายร่างกาย หรือเข่นฆ่า ต้องหาความยุติธรรม เป็นสิทธิของนักโทษที่จะต้องมีสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่ นี่เป็นเรื่องระเบียบธรรมดาง่ายๆ ง่ายๆ เลย เพื่อให้ทุกอย่างมีระเบียบเรียบร้อย

ดร.นิวัตร นาคะเวช นายกสภาผู้ปกครองและครูแห่งประเทศไทย ท่านบอกว่า อยากเรียกร้องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ช่วยดูแลรักษาสิทธิให้กับนักเรียนทุกคนในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ด้วย ไม่ใช่ดูแลเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ต้องดูผลกระทบที่เกิดขึ้น


อีกคนหนึ่งซึ่งแย่มาก คือ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ อดีตรองอธิการบดี เชียร์ "น้องหยก" พรรคก้าวไกล อาจารย์ ถอดยูนิฟอร์มออกเหมือนกัน เอาอย่างนี้ อาจารย์ไม่ได้ใส่ยูนิฟอร์ม แต่ใส่เสื้อเชิ้ต ผูกเนกไท แต่อาจารย์มียูนิฟอร์มอยู่บนหัว คือเป็นอาจารย์ อาจารย์เข้ามาเล่นการเมืองเลยดีกว่า อย่าทำตัวเป็นอีแอบ อาจารย์แอบมานานแล้ว โผล่ตัวมาทีก็คอมเมนต์ช่วยทางฝั่งโน้น ฝั่งนี้ หยุดหิวแสง ถ้าจะยืนอยู่ฝั่งพรรคก้าวไกล ยืนอยู่ฝั่ง "น้องหยก" ก็ออกมาสิ "น้องหยก" กำลังต้องการความช่วยเหลือ "ผักบุ้ง" คนเดียวเอาไม่อยู่แล้ว เอามาเลย ผม ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อดีตรองอธิการบดีธรรมศาสตร์ ชูธงเลย ผมสนับสนุนให้ "น้องหยก" แต่งไพรเวตเข้าไป ส่วนนักเรียนอีก 4,073 คน ผมไม่สนใจ เอา "น้องหยก" ก่อน คนเดียวพอ ชอบนัก ผมนี่รำคาญอาจารย์มาก รำคาญมานานแล้ว วันนี้ขอเปิดหน้าชกหน่อยแล้วกัน งานนี้


อาจารย์คนหนึ่ง ชื่อ อธิษฐาน์ คงทรัพย์ อาจารย์โรงเรียนสาธิตธรรมศาสตร์ ออกมาเพ้อเจ้อไปเลย บอกว่า "น้องหยก" ไม่ได้อยากย้ายโรงเรียน และประเด็นไม่ใช่เรื่องการแต่งกายและทรงผม แต่เป็นเรื่องการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลง เรียกร้องกติกาที่เป็นธรรมกับนักเรียนทุกคน นี่ผมยังไม่เข้าใจนะ การที่โรงเรียนบอกว่าต้องแต่งชุดนักเรียน แล้วห้ามทำสีผม มันเป็นกติกาที่ไม่เป็นธรรมกับนักเรียนได้อย่างไร ก็เขาเป็นนักเรียนนี่โว้ย ถ้าคุณอยากทำสีผม ถ้าคุณอยากแต่งตัวไพรเวต คุณก็ไปทำงานอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับอะไรที่จำเป็นต้องมียูนิฟอร์มสิ ไม่มีใครเขาห้าม ก็า 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ 99 เปอร์เซ็นต์ เขายินดีที่จะอยู่ในระเบียบ อยู่ในกติกา แล้วยูนิฟอร์มไม่ได้ทำอะไรให้คุณเสียหาย หรือคุณกลัวว่าพอคุณแต่งยูนิฟอร์มแล้ว คุณจะไปทำชั่วไม่ได้ เพราะคนจะรู้ คุณเลยต้องขอแต่งไพรเวต

ผอ.สาธิตธรรมศาสตร์ บอกว่า "น้องหยก" ฝ่าฝืนการแต่งกาย เป็นเครื่องมือการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ในทางสันติวิธี เรียกว่า "อารยะขัดขืน" ต่อสู้แบบดื้อแพ่งเพื่อต่อต้านกฎหมายหรือกติกาที่ไม่เป็นธรรม คุณยังดูไม่ออกหรือว่า ยูนิฟอร์มมันไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม คุณเข้าใจคำว่าระเบียบไหม แล้วคุณเองก็รู้ใช่ไหมว่าสาธิตธรรมศาสตร์ แต่งไพรเวตได้ แต่คุณก็มีวันเหมือนกันใช่ไหมที่บังคับเด็กจะต้องแต่งชุดยูนิฟอร์ม ถ้าอย่างนั้นคุณก็ประกาศเป็นหลักการไปเลยสิ สาธิตธรรมศาสตร์ ทีมเดียวกับปริญญา เทวานฤมิตรกุล ก็ประกาศไปเลย ใครมาเรียนสาธิตธรรมศาสตร์ ทำสีผมได้ ใส่กางเกงขาสั้นได้ อยากแต่งตัวอย่างไรก็แต่งได้ ใครมีพ่อแม่รวย จะเอาแบรนด์เนมทั้งตัวก็เข้าไปได้ ใครที่พ่อแม่จน ใส่กางเกงขาขาดไป ใส่รองเท้าแตะ ได้ทั้งนั้น สังคมจากประเทศชาติต้องมีกติกา คือ กฎหมาย ลงมาถึงองค์กร ลงมาถึงบริษัทห้างร้าน ลงมาจนถึงโรงเรียน และครอบครัว ครอบครัวก็ต้องมีกติกา ใครเดินเข้ามาในบ้านผมแล้วใส่รองเท้าเข้ามา ผมไล่ออกจากบ้านเลย เฮ้ย คุณถอดรองเท้าหน้าบ้าน ออฟฟิศผมอยู่ชั้น 2 บ้านพระอาทิตย์ คนจะขึ้นออฟฟิศชั้น 2 ต้องถอดรองเท้า นี่คือกติกาที่ผมต้องการให้เกิดความเรียบร้อย


ท่านผู้ชมครับ มาอีกแล้ว สหภาพคนทำงานกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ เครือข่ายภาคประชาชน รวมตัวเพื่อแสดงออกและสนับสนุนสิทธิเสรีภาพผู้เรียนภายในสถานศึกษา ต่อต้านอำนาจนิยมโดยเดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สหภาพคนทำงาน NGO ชุดนี้มันก็คือชุดเดียวกับที่อยู่เบื้องหลัง "น้องหยก" อยู่เบื้องหลัง "น้องหยก" เรียกร้องไป ปรากฏว่าได้ผล เพราะว่านายจุติ ไกรฤกษ์ เฮ้าเลี่ยน เป็นรัฐมนตรี ออกมาถึงการแก้ปัญหานี้ จะเป็นตัวกลางประสานงานเพื่อความเข้าใจ


ประสานงานอะไรเพื่อความเข้าใจ ? คุณต้องพูดชัดจนเลยว่า เห็นใจ "น้องหยก" แต่ว่าองค์กร หน่วยงานต่างๆ มีระเบียบกติกาที่เขาต้องกำหนดลงมาเพื่อความเรียบร้อยของเขา คุณต้องพูดเลยว่า ถ้า "น้องหยก" รับกติกานี้ไม่ได้ เดี๋ยวกระทรวงฯ จะช่วยหาโรงเรียนให้ "น้องหยก" เรียน ที่รับ "น้องหยก" ได้ หรือว่าคุณจุติ ควักเงินส่วนตัวให้ "น้องหยก" ไปเรียนโรงเรียนอินเตอร์สิ จะได้แต่งไพรเวตได้ แม้กระทั่งโรงเรียนอินเตอร์หลายโรงเรียน ผมก็ยังเห็นเขาใส่ยูนิฟอร์มกันอยู่ คุณจุติ ครับ หิวแสงผิดที่นะครับ


อีกคน สมบัติ บุญงามอนงค์ บก.ลายจุด นักเคลื่อนไหวกลุ่มเสื้อแดง บอกว่า "น้องหยก" แต่งไพรเวตนั้น ไม่ได้ทำร้ายตนเอง ทำร้ายผู้อื่น แต่โรงเรียนกลับยึดกฎเกณฑ์มากกว่าสิทธิมนุษยชนของนักเรียน คุณสมบัติ ครับ สิทธิมนุษยชนของนักเรียนคืออะไร ? สิทธิในการแต่งตัวได้ตามสบายหรือ ? สิทธิในการย้อมผมหรือ ? สิทธิในการเรียนโรงเรียนที่เข้าไปเรียนทั้งวัน แล้วเข้าไปเรียนเฉพาะตอนบ่ายวิชาเดียว แล้วก็ไม่เรียน แล้วก็เดินออกไป คุณสมบัติ คุณลืมไปแล้วหรือ นี่เป็นโรงเรียนมัธยมนะ ไม่ใช่มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยคุณจะแต่งตัวอะไรก็ได้ ไม่มีใครเขาว่า คุณเรียนกี่ภาค คุณไม่เรียนคาบเช้า 8 โมงเช้า คุณมาเลือกเรียนบ่ายสอง แล้วคุณค่อยเอาเพื่อนฝูงที่เรียน 8 โมงเช้า เอาสมุดเลกเชอร์มาลอก ไม่มีใครเขาว่าอะไร แต่นี่มันโรงเรียนมัธยม เวลาเข้า 8 โมงครึ่ง เคารพธงชาติ ครูมายืนหน้าโรงเรียนเพื่อมาดูแลความปลอดภัยของเด็ก เรียนจนถึงเที่ยง เที่ยงกินข้าว ถ้ามีโรงอาหาร มีอาหารโรงเรียน ก็กินอาหารโรงเรียน แล้วตกเย็นพอเลิกเรียนก็กลับบ้าน พ่อแม่มารับ โรงเรียนมัธยม ไม่ใช่มหาวิทยาลัย และโรงเรียนมัธยมเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างระเบียบวินัย เพื่อให้เด็กไทยอยู่ในระเบียบ อยู่ในวินัย ประเทศไทยไม่ไปไหนเลย เหตุผลก็เพราะว่ามีคนคิดอย่างคุณไง คุณดูคุณภาพของเด็ก ถ้าเอาตามที่พวกคุณว่ากันนี่นะ คุณภาพเด็กไทยในอนาคตมันไม่มีอนาคตเลยแม้แต่นิดเดียว วันๆ เรียกร้องแต่สิทธิเสรีภาพ

เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ แต่คุณไม่เรียกร้องความรับผิดชอบของเด็กบ้างหรือ ไม่เรียกร้องบ้างเลยหรือ คุณก็อ้างอย่างเดียวว่าการแต่งชุดนักเรียนไม่ได้ทำให้เด็กเก่งหรือไม่เก่ง ถูก คุณพูดอีกก็ถูกอีก เหมือนคุณบอกว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก แต่ผมกำลังบอกว่า การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพแต่ไปทำลายระเบียบที่ดีงามนั้น จะทำให้เด็กกลายเป็นคนที่ไม่มีระเบียบ และจะทำให้เมื่อโตขึ้นไปแล้ว มีกฎระเบียบอะไร เด็กพวกนี้จะไม่ยอมรับ เพราะเคยชินกับการใช้สิทธิเสรีภาพของตัวเองมาก


คุณอมรรัตน์ โชคปมิตต์กุล หรือ เจี๊ยบ บอกว่า วันนี้เราหลงลืมพฤติกรรมกบฏในวัยเยาว์ของตัวเองหรือเปล่า อำนาจนิยมในสถานศึกษาทำให้ "น้องหยก" ต้องตัดสินใจปีนรั้วใช่หรือไม่ ? มาอีกแล้ว ผมจับได้ในที่สุด "อำนาจนิยม" มาจากคุณใช่ไหมเนี่ย หรือโรงเรียนไม่ควรเป็นสายพานการผลิตคนให้มันเหมือนๆ กันหมด มันจะเหมือนกันหมดได้อย่างไร คุณเจี๊ยบไม่เข้าใจหรือ เด็กหลายคนที่อยู่ในระเบียบ เด็กสองคน ลูกชาย ดร.มานะ ชื่อสายน้ำ กู่ไม่กลับแล้ว แต่ก็มีน้องชายคนหนึ่งที่เรียนเก่งมาก เป็นอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ อันดับหนึ่งของประเทศไทย ติดอันดับโลก อ้าว เด็กที่เรียนเก่ง ลูกของ ดร.มานะ ก็เรียนเก่ง แล้วก็เป็นคนที่อยู่ในระเบียบ แต่งชุดนักเรียนไป ทำไมเขาเป็นได้ล่ะ

โรงเรียนไม่ควรเป็นสายพานการผลิต แม้ว่ารู้ว่า "น้องหยก" ไม่ได้ทำถูกทุกอย่าง แต่การต่อสู้ต้องมีความอดทน นี่มันเป็นการต่อสู้อะไรกัน คุณกำลังขยายความเรื่องแค่ชุดนักเรียน กับการต่อสู้ ไปกันเละเทะหมดเลย

อีกด้านหนึ่งคุณก็บอกว่ารำคาญโพสต์อบรมเด็กเรื่องสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบมากเลย ทำตัวเหมือนมี #saveหยก คุณอมรรัตน์ครับ อายุคุณก็มากแล้ว จริงๆ นะ ผมพูดตรงๆ นะ คุณอายุมากพอที่จะยื่นเรื่องต่อศาลแล้วขอรับ "น้องหยก" มาเป็นลูกบุญธรรมได้ อย่าช้า ไปเลยคุณอมรรัตน์ เอา "น้องหยก" ไปเป็นลูกบุญธรรมของคุณ คุณจะได้อบรมเขาได้ในทิศทางที่คุณต้องการ


คุณรัชนก ศรีนอก หรือ ไอซ์ "ขอยืนยันจุดยืน ไม่ควรมีเด็กคนไหนต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาด้วยความไม่สมัครใจ ไม่ว่าด้วยกฎระเบียบ ข้อบังคับใดก็ตาม เพราะสังคมบางส่วนรู้สึกว่าน้องทำตัวไม่น่ารัก หรือเพราะไม่เคารพกฎระเบียบแบบเดิมๆ หรือเปล่า เรากำลังต่อสู้กับขนบเดิมๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือ" คุณไอซ์ ระบบเดิมๆ คุณไปดูย้อนหลัง สมัยโบราณ ทหารก็มียูนิฟอร์มไม่ใช่หรือ ข้าราชการกระทรวงต่างๆ ก็มียูนิฟอร์มไม่ใช่หรือ ทำไมพวกบรรดาคุณชัชชาติ แต่งชุดราชการแล้วมีอินธนูอยู่บนบ่า ทำไมคุณไม่ด่าเขาบ้างล่ะว่ายูนิฟอร์มไม่ได้ทำให้คนฉลาดขึ้น ตำรวจทำไมเขาต้องแต่งยูนิฟอร์ม เพราะให้รู้ว่าเป็นตำรวจ นักเรียนทำไมต้องแต่งยูนิฟอร์ม เพราะให้รู้ว่าเป็นนักเรียน คนชับแท็กซี่ทำไมต้องแต่งยูนิฟอร์มที่กรมการขนส่งทางบกได้กำหนดเอาไว้ เพราะให้รู้ว่าทำหน้าที่อะไร ยูนิฟอร์มเป็นเครื่องแบบบอกอาชีพคน ยูนิฟอร์มไม่ได้ไปจำกัดว่าใครใส่ยูนิฟอร์มแล้วจะโง่ คนไม่ใส่ยูนิฟอร์มแล้วจะฉลาด คุณเข้าใจคำว่าระเบียบไหม ความเรียบร้อย คุณเข้าใจไหม ถ้าไม่เข้าใจ คุณอยากให้บ้านเมืองเละเทะ คุณไอซ์ คุณไปอยู่อเมริกาเลยไป ประเทศที่คุณเทิดทูนนัก คุณนี่เป็นคนที่ก้าวร้าวมาก คลิปต่างๆ โพสต์ต่างๆ ที่คุณลงไว้ ผมเก็บไว้หมด เดี๋ยววันหลังผมจะเฉ่งคุณเป็นรายวัน คุณรัชนก

ท่านผู้ชมครับ "น้องหยก" เป็นเด็ก เป็นเยาวชนที่ถูกกระทำ ถูกผู้ใหญ่ใจอำมหิตใช้เป็นเครื่องมือ อาศัยช่องว่างที่ครอบครัว พ่อแม่มีปัญหา แตกแยกกัน

เรื่องทั้งหมดที่ผมพูดมานี้เป็นกระบวนการล้างสมองเด็ก ให้เด็กออกหน้า ให้เด็กโดนคดีความ ผู้ใหญ่ทั้งหลาย อ้ายผู้ใหญ่ทั้งหลาย ที่สรรหาคำพูดสวยๆ เดินในทุ่งลาเวนเดอร์ แอบอยู่เบื้องหลัง พิสูจน์ได้ชัดจากกรณี "น้องหยก" และกรณีสาดสีทำลายรูปปั้นอนุสาวรีย์ที่กระทรวงสาธารณสุข ปี 2564 คนทำเป็นกลุ่มเดียวกันเลย คือกลุ่มทะลุวัง ที่สำคัญมีคนพรรคก้าวไกลคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

การกระทำดังกล่าวทั้งหมดนี้เป็นการบ่อนเซาะทำลายอนาคตเยาวชน ระบบการศึกษา วัฒนธรรม ประเพณี ความสงบเรียบร้อยของสังคมอย่างชัดเจน งานนี้พรรคก้าวไกลปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ นายพิธา นายปิยบุตร นายธนาธร ช่อ-พรรณิการ์ แกนนำและสมาชิกพรรคก้าวไกล จะว่าอย่างไร


นอกจากความอำมหิตของกลุ่มคนล้มเจ้าพรรคก้าวไกลแล้ว งานนี้ต้องตำหนิหน่วยงานความมั่นคง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ควบคุมดูแลมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ห่วยแตกมาก ปล่อยให้กรณี "น้องหยก" ซึ่งเป็นเยาวชน โดยคดีกฎหมายอาญามาตรา 112 การดำเนินคดีดังกล่าวกับเยาวชนดังกล่าวนั้นเข้าทางกลุ่มพวกที่ต้องการจะยกเลิกมาตรา 112 ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์พอดี เขาสามารถใช้มาหาเสียง นำไปฟ้ององค์กรรัฐบาลระหว่างประเทศได้ นอกจากนี้ ยังประกอบกับงานนี้ที่ถ้าเตรียมพัฒน์ฯ พลาดท่าไล่ "น้องหยก" ออก หรือปฏิเสธไม่ให้เรียน จะกลายเป็นว่าเด็กไม่ได้เรียนเพราะมาตรา 112 ไปทันที จะถูกนำไปขยายความไปอีกต่างๆ นานา ทั้งในและต่างประเทศ

ที่สำคัญคือเหตุการณ์ "น้องหยก" เป็นสะพานที่ทอดไปให้ทนายอานนท์ กับศูนย์ทนายความสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศ ก็มีผลงานล่ะสิ ทำให้ต่างชาติยิ่งทุ่มเงินเข้ามา ทุ่มกำลังเข้ามาเคลื่อนไหว และแทรกแซงประเด็นต่างๆ ในประเทศไทยอย่างเต็มที่

ท่านผู้ชมครับ ผมพูดเรื่องนี้วันนี้ อาทิตย์นี้ ด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ ถ้าพูดถึงคนที่มีความคิดเปิดกว้างเสรีแล้ว อายุขนาดผม ลูกหลานผม ลูกน้องผม เขายอมรับหมด ผมยอมรับของใหม่ๆ ได้หมด แต่อะไรถ้ามันมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง แล้วไปทำลายระเบียบที่ทุกคนยอมรับ แต่เอาคนไม่กี่คน จำนวนน้อย เอามาโวยวายแล้วอ้างคำว่าสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ คุณนี่ท่องนะโมตัสสะ เหมือนกับที่อเมริกาไปท่อง ผมต้องการให้อิรัก ต้องการให้ลิเบีย ต้องการให้อัฟกานิสถาน ต้องการให้ซีเรีย เคารพในสิทธิมนุษยชน และต้องการให้มีประชาธิปไตย ใช่สิ มึงต้องการอย่างนี้ ปรากฏว่าไม่มีเลย มึงเข้าไปเข่นฆ่าเขา แล้วทำให้ประเทศชาติเขาแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน ครอบครัวพังพินาศฉิบหายเพราะคำว่า สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตยจอมปลอมของพวกคุณ สหรัฐอเมริกา และตอนนี้คุณควรจะดีใจ พรรคก้าวไกล ผมไม่รู้ว่าพวกคุณก่อนนอนจุดธูปสามดอกแล้วกราบธงชาติอเมริกาด้วยหรือเปล่า

วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกันครับท่านผู้ชม เจ็บช้ำน้ำใจมาก ขอบพระคุณมาก เจอกันอาทิตย์หน้าครับ

กำลังโหลดความคิดเห็น