คริปโต ทอง ดอลล่าร์ หยวน CBDC เงินสกุลร่วมของบริกส์: ตัวไหนจะเข้าวิน? (ตอนที่ 4)
โดยทนง ขันทอง
#4. CBDC
แรงกดดันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆให้สหรัฐและยุโรปต้องรีบออกเงินดิจิตอลของธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency หรือ CBDC) เพื่อรีเซ็ตระบบการเงิน ปรับโครงสร้างหนี้หรือเบี้ยวหนี้ที่ไม่มีวันจะชำระคืนได้ไปเลย เนื่องจากจีนและรัสเซียกำลังร่วมมือกับประเทศที่กำลังพัฒนาผ่านกลุ่ม BRICS ซึ่งประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้เพื่อให้มีการค้าขายกันเองด้วยเงินสกุลท้องถิ่น และสร้างเงินสกุลร่วมใหม่ โดยไม่ใช้เงินดอลล่าร์ หรือยูโร
สหรัฐและยุโรปกำลังอยู่ในช่วงขาลง และจะไม่สามารถรักษาการเป็นมหาอำนาจของโลกทางเศรษฐกิจได้อีกต่อไปหลังจากเป็นจ้าวโลกมาเป็นเวลา 400-500 ปี เนื่องจากโครงสร้างของเศรษฐกิจไม่มีความสามารถในการแข่งขัน เมื่อเปรียบเทียบกับจีนและตลาดเกิดใหม่ จีดีพีมีการขยายตัวต่ำ ในขณะที่ภาครัฐบาลมีภาระหนี้ที่สูงจนไม่สามารถที่จะชดใช้คืนได้ ระบบธนาคารมีปัญหา ราคาของทรัพย์สินต่างๆจะตกลงหลังจากมีการสร้างฟ้องสบู่การเงินมาก่อนหน้านี้ กลุ่ม BRICS และตลาดเกิดใหม่ที่มีจีดีพีรวมกันขนาดใหญ่กว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกทางเศรษฐกิจแทนด้วยระเบียบโลกใหม่ท้ังทางด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการเมือง
การหันหลังให้เงินดอลล่าร์ จะทำให้สหรัฐไม่สามารถก่อหนี้ผ่านการพิมพ์เงินดอลล่าร์ได้อย่างไม่อั้นเหมือนอย่างที่ผ่านมา เพราะว่าเมื่อ BRICS ค้าขายกันเอง โดยไม่ใช้ดอลล่าร์ จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีดอลล่าร์อยู่ในรีเสิร์ฟของประเทศเพื่อเป็นหลักประกันความเชื่อมั่นในเงินตรา และฐานะความมั่นคงทางการเงินของตัวเองอีกต่อไป พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะถูกมองข้าม ทำให้ท้ายที่สุดธนาคารกลางสหรัฐต้องเข้ามาอุ้ม100%ทำให้ความเชื่อมั่นในเงินดอลล่าร์ และฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐหมดไป สหรัฐจะเผชิญกับเงินเฟ้อที่รุนแรง อาจจะถึงระดับ hyperinflation ก็ได้ ที่สำคัญเวลาสหรัฐและยุโรปจะซื้อสินค้าจากกลุ่มประเทศ BRICS อาจจำเป็นต้องใช้เงินสกุลร่วมของ BRICS หรือเงินหยวนมาชำระเงิน จะใช้ดอลล่าร์ หรือยูโรในการชำระเงินเหมือนอย่างที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะว่าโครงสร้างทางการเงินโลกเปลี่ยนไป
ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ท้ังสหรัฐ และยุโรปจะเปิดตัว CBDC เพื่อเชฟตัวเอง CBDC จะนำไปสู่การสิ้นสุดของเงินกระดาษ เพราะว่าตัวเงินจะอยู่ในรูปของดิจิตอลที่มีโปรแกรมควบคุม ทำให้รัฐบาลสามารถตรวจสอบ หรือสอดส่องการทำธุรกรรมการเงินทุกอย่างบนแพล็ตฟอร์มของ CBDC การควบคุมระบบการเงินจะเป็นไอย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเก็บภาษี การป้องกันแบงค์รัน และจะมีการนำเอาการควบคุมการเงิน capital controls มาใช้ เพื่อไม่ให้เงินไหลออกจากระบบ สหรัฐจะมีการใช้ระบบชำระเงิน FedNow แบบเรียลไทม์ในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นการเปิดทางให้ธนาคารกลางของสหรัฐเตรียมการออกเงิน CBDC หรือดิจิตอลดอลล่าร์ มาแทนเงินดอลล่าร์กระดาษในปัจจุบัน ส่วนยุโรปจะมีการเตรียมทดลองใช้ CBDC ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้เหมือนกัน การใช้ CBDC อาจจะนำไปสู่การยกเลิก หรือการแบนบิทคอยน์ หรือเงินคริปโตอื่นๆ เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐ หรือรัฐบาลของยุโรปย่อมไม่ต้องการให้คริปโตมาแข่งกับ CBDC
การที่ กลต. สหรัฐกำลังจัดการกับ Binance และ Coinbase ซึ่งเป็นแพล็ตฟอร์มเทรดเงินคริปโตรายใหญ่จึงถูกมองว่าเป็นความพยายามเบื้องต้นของรัฐบาลที่จะคุมกำเนิดตลาดคริปโต นายแกรี่ เกนส์เลอร์ ประธานของกลต.มองว่าทรัพย์สินดิจิตอลท้ังหมดเป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ได้ลงทะเบียน ถ้าหากทรัพย์สินดิจิตอลเป็นหลักทรัพย์ก็เท่ากับว่าจะต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ กฎหมาย หรือการควบคุมของกลต. ซึ่งจะทำให้เงินคริปโตไม่สามารถดำรงอยู่อย่างอิสระแบบคลุมเคลือเหนือระบบได้เหมือนอย่างที่ผ่านมา Bill Hagerty วุฒิสมาชิกจากรัฐเทนเนสซี่ ได้ออกมาเตือนว่ากลต สหรัฐที่ได้ดำเนินการฟ้องร้อง Coinbase และ Binance เป็นการส่งสัญญานว่า รัฐบาลสหรัฐไม่ต้องการให้เงินคริปโตมาแข่งขันกันเงิน CBDC ของรัฐบาล โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี้ จูเนียร์ ผู้สมัครชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเปิดเผยว่า CBDC ที่เชื่อมโยงกับหมายเลขบัตรประชาชน และคะแนนเครดิตทางสังคมจะทำให้รัฐบาลสามารถยึดทรัพย์สินของประชาชนได้ หรือจำกัดการใช้จ่ายของประชาชนกับผู้ค้า ถ้าหากว่าประชาชนไม่ทำตามนโยบายของรัฐบาล เช่นไม่ฉีดวัคซีน หรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับเรื่องโลกร้อน
เขาบอกว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะจำกัด CBDC ในการทำธุรกรรมระหว่างธนาคาร และมันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแบนบิทคอยน์ เหมือนกับที่กระทรวงการคลังเคยยึดทองคำของประชาชนในปี 1933 การใช้ CBDC ที่เชื่อมโยงกับหมายเลขบัตรประชาชนทำให้คนที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดมองว่า มันเป็นแผนการของพวกแอนตี้ไครส์ที่ต้องการยึดอำนาจบนโลกนี้แทนพระเจ้า เหมือนอย่างที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบทวิวรณ์ 13:17-18 ได้กล่าวเอาไว้ : “และไม่ให้ใครซื้อขายอะไรได้ นอกจากเขาจะมีเครื่องหมาย ซึ่งก็คือชื่อของสัตว์ร้าย หรือเลขของมัน เรื่องนี้ต้องใช้สติปัญญาจึงจะเข้าใจได้ ให้คนที่มีความเข้าใจลึกซึ้งคำนวณเลขของสัตว์ร้ายนั้น มันเป็นเลขของมนุษย์ และเลขของมันคือ 666๕
[17] And that no man might buy or sell, save he that had the mark, or the name of the beast, or the number of his name. [18] Here is wisdom. Let him that hath understanding count the number of the beast: for it is the number of a man; and his number is Six hundred threescore and six.
การเอา CBDC มาแทนดอลล่าร์ หรือเงินสกุลเก่าที่มีอยู่ โดยปกติแล้วจะทำในช่วงวิกฤติทางการเงิน โดยทั่วไปแล้วจะเกิดขึ้นเมื่อประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่นในสกุลเงิน นำไปสู่อัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง หรือเมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งประสบกับภาวะเงินเฟ้อรุนแรง สาเหตุของสกุลเงินที่ล้มเหลวมักเชื่อมโยงกับภาระหนี้ที่มากเกินไปของรัฐบาลและการรับรู้ว่ารัฐบาลสูญเสียความสามารถในการชำระคืนสิ่งที่เป็นหนี้
ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะต้องใช้ดอลล่าร์เก่าเท่าใดเพื่อแลกกับดิจิตอลดอลล่าร์ตัวใหม่ ถ้าใช้อัตรา 1:1 ปัญหาจะน้อยหน่อย แต่มันจะไม่ช่วยรัฐบาลในการปรับโครงสร้างหนี้ แต่ถ้าเอาอัตราดอลล่าร์เก่าแลกดอลล่าร์ดิจิตอลในสัดส่วน 5:1 หรือ 10:1 มาใช้ การประท้วงหรือการจลาจลทางสังคมต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะว่าอยู่ดีๆความมั่งคั่งของผู้ถือเงินสกุลเดิมหายไปเลย
มองดูแล้ว การเปลี่ยนถ่ายจากเงินสกุลเก่าไปสู่เงินดิจิตอลไม่น่าที่จะราบรื่นเหมือนอย่างในอดีต ในช่วงที่มีก่อตั้งระบบการเงิน Bretton Woods หลังสงครามโลกคร้ังที่2 ที่มีการรีเซ็ตระบบการเงินโลก โดยให้ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก ที่อิงกับทองคำที่อัตรา $35 ต่อ 1 ออนซ์ สหรัฐสามารถทำได้เนื่องจากเป็นมหาอำนาจโลกผู้ชนะสงคราม ประเทศต่างๆหันมาผูกค่าเงินกับดอลล่าร์ ซึ่งเท่ากับผูกค่าเงินกับทองคำอีกต่อหนึ่งโดยปริยาย ทำให้ดอลล่าร์กลายเป็นเงินรีเสิร์ฟของโลก
ในปี1971ที่สหรัฐรีเซ็ตระบบการเงินโลก ด้วยการยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำ และเบี้ยวหนี้ด้วยการไม่ให้ผู้ถือครองดอลล่าร์สามารถเอามาแลกทองคำกับเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟได้อีกต่อไป การรีเซ็ตในคร้ังนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะว่าสหรัฐยังคงเป็นมหาอำนาจโลกที่ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง หรือขัดขืน ทำให้สหรัฐสามารถพิมพ์เงินเปล่าได้ตามอำเภอใจเพื่อก่อหนี้ในการสร้างรัฐทหารเหมือนอาณาจักรโรมันโบราณ
แต่การรีเซ็ตการเงินที่กำลังจะเกิดขึ้นจากฝั่งตะวันตกในรอบนี้ไม่ง่ายเหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะว่าทั้งจีน รัสเซีย และกลุ่มประเทศBRICSจับมือกันเหนียวแน่นไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างอีกต่อไป ดอลล่าร์ดิจิตอล หรือยูโรดิจิตอลที่ไม่มีทองคำ หรือทรัพย์สินใดๆหนุนหลังจะไม่เป็นที่ยอมรับอีกต่อไป มีปัญหาว่าท้ังสหรัฐและยุโรปมีทองคำเท่าใดจริงๆ การเอาทองคำมาหนุนเงินดิจิตอลจะทำให้ต้องมีการปรับค่าเงินใหม่อย่างไร
ในขณะเดียวกัน เงินสกุลร่วมของ BRICS ซึ่งจะอยู่ในรูปของเงินดิจิตอลจะมีทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆหนุนหลัง ระดับการยอมรับจะแตกต่างกันกับเงินดิจิตอลของตะวันตก
เมื่อทุกคนมองเห็นเงินดิจิตอล CBDC ของตะวันตกว่าจะมีปัญหาของการยอมรับก่อนคลอดเสียอีก เงินดิจิตอลโลกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศยิ่งกลายเป็นความฝันที่เลื่อนลอย ท้ังสหรัฐและอังกฤษมองเห็นร่วมกันว่า ถ้าหากว่าดอลล่าร์สิ้นสุดการทำหน้าที่เป็นเงินสกุลหลักของโลก ต่อไปจะหนุนให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟออกเงินดิจิตอลโลกแทน เพื่อทำหน้าที่เป็นเงินรีเสิร์ฟของโลก จะได้ควบคุมระบบการเงินโลกแบบเบ็ดเสร็จต่อไป ตามแผนการ One World, One Currency
เมื่อไม่นานมานี้ มีการเปิดตัว Unicoin หรือเงินดิจิตอลที่ออกโดนองค์กรที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารโลกให้การสนับสนุน https://unicoin.com/about-us แต่การยอมรับยังอยู่ในแวดวงจำกัด ที่แน่ชัดรัสเซีย จีนและกลุ่ม BRICS ไม่เอาด้วยแน่กับ Unicoin ที่จะเปิดทางให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศสามารถควบคุมระบบการเงินโลกอย่างเบ็ดเสร็จในวาระโลกใหม่ เนื่องจากระบบโลกกำลังปรับเปลี่ยนสู่มหาอำนาจหลายขั้ว (multi-polar world) ไม่ใช่มหาอำนาจโลกขั้วเดียว (uni-polar world) เหมือนอย่างที่ผ่านมา
มองดูในอนาคตแล้ว ดิจิตอลดอลล่าร์ ดิจิตอลยูโร หรือดิจิตอลปอนด์ ไม่น่าจะมีความน่าเชื่อถือเท่ากับดิจิตอลบริกส์ หรือดิจิตอลหยวนที่มีทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือเศรษฐกิจที่แท้จริงรองรับ
ในปัจจุบันมี114ประเทศกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะนำเอาเงินดิจิตอลมาแทนเงินสด ประเทศไทยก็มีความก้าวหน้าในเรื่องดิจิตอลบาทมากพอสมควร และจะต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามทิศทางของมหาอำนาจโลกที่จะกำหนดระเบียบการเงินโลกในวาระโลกใหม่ต่อไป