xs
xsm
sm
md
lg

คริปโต ทอง ดอลล่าร์ หยวน CBDC เงินสกุลร่วมของบริกส์: ตัวไหนจะเข้าวิน? (ตอนที่ 3) #3: ดอลล่าร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



คริปโต ทอง ดอลล่าร์ หยวน CBDC เงินสกุลร่วมของบริกส์: ตัวไหนจะเข้าวิน? (ตอนที่ 3)
โดยทนง ขันทอง


#3: ดอลล่าร์

ในปี คศ 1786 จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาเขียนจดหมายถึงโทมัส เจฟเฟอร์สันว่า “เงินกระดาษได้มีผลกระทบต่อรัฐของคุณตามที่มันจะเป็นไป คือทำลายการค้า กดขี่ผู้ที่บริสุทธิ์ และเปิดประตูให้กับการคดโกง และความอยุติธรรมในทุกรูปแบบ”

จอร์จ วอชิงตันและผู้ร่วมปลดแอกอาณานิคมอเมริกาจากการปกครองของอังกฤษเพื่อก่อตั้งประเทศในโลกใหม่คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโทมัส เจฟเฟอร์สัน เจมส์ เมดิสัน และอเล็กซานเดอร์ แฮมิลตันต่างมองเห็นภัยอันตรายของเงินกระดาษ ที่ไม่มีทองคำ หรือทรัพย์สินหนุนหลัง ซึ่งพวกนายธนาคารที่มีเส้นสายจากยุโรปพยายามยัดเยียดให้กับประเทศอเมริกาที่เกิดใหม่ เพื่อควบคุมระบบธนาคารและระบบการเงินอย่างเบ็ดเสร็จ ผ่านธนาคารกลางที่พวกนายธนาคารเป็นเจ้าของ

เงินกระดาษทำลายเศรษฐกิจของยุโรปมาแล้ว เนื่องจากมันเป็นกระดาษเปล่าๆที่สามารถพิมพ์ออกมามากเท่าใดก็ได้ ให้ประโยชน์กับนายธนาคารที่ปล่อยกู้เพื่อเอากำไรจากดอกเบี้ย แต่ในที่สุดปริมาณเงินกระดาษที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีการควบคุมจะก่อให้เกิดเงินเฟ้อ ทำลายระบบเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนโดยท่ัวไปจนลงอย่างทันทีจากเงินกระดาษที่มีค่าลดลงอย่างน่าใจหาย

ด้วยเหตุนี้ บรรดาผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา (Founding Fathers) จึงเขียนชัดในกฎหมายรัฐธรรมนูญว่า สภาคอนเกรซเท่านั้นที่ “มีอำนาจในการออกเงินตรา และควบคุมค่าของมัน” มีความพยายามจากพวกนายธนาคารที่ได้รับการสนับสนุนการเงินจากเครือข่ายนายธนาคารยิวจากอังกฤษและยุโรปที่จะจัดตั้งธนาคารกลางที่เอกชนเป็นเจ้าของ และประสบความสำเร็จในการจัดตั้ง Bank of the United States (1791-1811) และ Bank of the United States (1816-1836) ก่อนที่จะถูกยกเลิกไป เพราะว่ามีแรงต่อต้านจากนักการเมืองอเมริกันที่รักชาติต่อสู้กับพวกนายธนาคารอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่หลังจากที่กลุ่มทุนอังกฤษและยุโรปเข้าไปครอบงำระบบเศรษฐกิจ ระบบธนาคารพานิชย์ของสหรัฐ และระบบการเมืองสหรัฐได้แล้ว จึงกลับมาพยายามจัดตั้งธนาคารกลางที่อยู่ในการควบคุมของพวกตัวเองอีกคร้ังในสมัยของประธานาธิบดีวูดโร วิลสิน โดยในปี 1913 สภาคอนเกรซผ่านกฎหมายให้มีการตั้ง Federal Reserve เป็นธนาคารกลางที่พวกนายธนาคารเป็นผู้ถือหุ้น หรือเป็นเจ้าของ ตั้งแต่นั้นมาเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟทำหน้าที่ออกเงินตราดอลล่าร์ให้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดรัฐธรรมนูญ
เมื่อมีอำนาจในการออกเงินตรา เฟดเดอรัล รีเสิร์ฟจึงอยู่ในฐานะที่จะควบคุมการบริหารปริมาณเงินในระบบ (money supply) และดูแลระบบแบงค์กิ้งของสหรัฐท้ังหมดไปโดยปริยาย ทำให้อำนาจในประเทศสหรัฐตกอยู่ในมือของวอลล์สตรีท

อย่างไรก็ตาม สหรัฐยังคงอยู่ในระบบการเงินที่มีทองคำหนุนหลังอยู่ ทำให้ค่าเงินมีเสถียรภาพโดยรวม ซึ่งเอื้อให้เศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตกลายเป็นมหาอำนาจโลกเบอร์1ทางเศรษฐกิจ แม้ว่าจะต้องผ่านสงครามโลกถึง 2 คร้ังในศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมา หลังสงครามโลกคร้ังที่ 2 สหรัฐก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกทางเศรษฐกิจ เพราะว่าเป็นผู้ชนะสงคราม เงินดอลล่าร์กลายเป็นเงินสกุลหลักของโลก อิงกับทองคำที่อัตรา $35 ต่อออนซ์ และมีทองคำกว่า 20,000 ตันหนุนความเชื่อมั่นในดอลล่าร์ ประเทศต่างๆต่างก็ผูกค่าเงินของตัวเองกับดอลล่าร์ ซึ่งเท่ากับว่าผูกกับทองคำโดยปริยาย เพราะว่า Dollar is as good as gold.

แต่ในปี 1971 สหรัฐยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำ เพราะว่ามีการใช้จ่ายงบประมาณที่เกินตัว และจากการก่อสงครามเวียดนาม ทำให้ประเทศต่างๆที่ถือดอลล่าร์ไม่มั่นใจ จึงเอาดอลล่าร์ไปขึ้นทองคำกับเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ เหมือนกับการเกิดแบงค์รัน ทองคำสำรองของสหรัฐลดลงเหลือ 9,000 ตัน ทำให้ประธานาธิบดีนิกสันยกเลิกการอิงดอลล่าร์กับทองคำ และปิดหน้าต่างการแลกทองคำ ถือได้ว่าเป็นการผิดนัดชำระหนี้ ต้ังแต่นั้นมาดอลล่าร์กลายเป็นเงินกระดาษที่ผู้ถือจำยอมต้องถือต่อไป เพราะว่าสหรัฐมีระเบิดนิวเคลียร์คอยข่มขู่ให้ทุกประเทศต้องอยู่ในกรอบของระเบียบการเงินดอลล่าร์ ไม่ให้ใครแตกแถว ทุกประเทศไม่มีทางเลือกอื่น จำต้องอยู่ในระบบดอลล่าร์ต่อไป

จอร์จ วอชิงตัน และโทมัส เจเฟอร์สันเตือนคนอเมริกันมาตลอดให้ระวังให้ดีว่า อย่าให้เอาเงินกระดาษที่ไม่มีทองคำหนุนหลังมาใช้ มิเช่นนั้นจะนำมาซึ่งหายนะให้กับประเทศ เพราะว่าจะทำให้ขาดวินัยการเงินการคลัง จะเพิ่มปริมาณเงินเท่าใดก็ได้ตามความโลภของนักการเมือง และนายธนาคาร ท้ายที่สุด เงินเฟ้อ หรือhyperinflationจะถามหา ผิดจากระบบเงินตราที่มีทองคำค้ำประกันจะมีปริมาณที่ออกมาในระดับที่แน่นอน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือครองว่ารัฐบาลจะไม่ใช้จ่ายเกินตัว ที่จะก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้ค่าเงินลดลง


ตั้งแต่ปี 1971 จนถึงวันนี้ สหรัฐ และโลกของเราอยู่ในระบบเงินกระดาษที่ไร้ค่า แม้ว่าดอลล่าร์ยังคงสามารถรักษาการเป็นเงินรีเสิร์ฟของโลกได้อยู่ก็ตาม สหรัฐได้ทีเพิ่มการใช้จ่ายผ่านการก่อหนี้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อสนับสนุนนโยบายการทหารในเชิงรุกเป็นหลัก เพื่อความเป็นจ้าวโลก เมื่อไม่ต้องเอาทองคำไปค้ำดอลล่าร์ เฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ และรัฐบาลสหรัฐได้ทีดำเนินนโยบายการเงินและการคลังแบบอีลุ่ยฉุยแฉก ทำให้เกิดวงจรบูมกับพัง (Boom & Bust Cycle) ในตลาดการเงิน ตลาดหุ้น ตลาดอสังหาฯ ส่วนรัฐบาลก่อหนี้เหมือนไม่มีวันพรุ่งนี้ จนทำให้ค่าเงินดอลล่าร์เสื่อมลงไปเรื่อยๆ

ล่าสุด หนี้ของรัฐบาลสหรัฐอยู่ที่ $32 ล้านล้าน และมีโอกาสพุ่งไปถึง $35ล้านล้านในปี 2025 $50 ล้านล้านในปี 2030 โดยหนี้ส่วนใหญ่ก่อขึ้นมาเพื่อการทหาร ตั้งแต่ 911 เป็นต้นมา สหรัฐใช้งบทางทหารไปแล้วกว่า$8ล้านล้าน โดยไฟแนนซ์จากการออกพันธบัตรเพื่อก่อหนี้ ที่สำคัญ รัฐบาลสหรัฐไม่มีปัญญาใช้หนี้ และไม่มีความตั้งใจที่จะใช้หนี้ แต่จะเตะถ่วงเวลาไปเรื่อยๆด้วยการพิมพ์เงินกระดาษเพิ่ม ออกพันธบัตรเพิ่มเพื่อจ่ายหนี้เก่า และใช้จ่ายในหนี้ใหม่ ทำให้แนวโน้มสหรัฐมีโอกาสเจอ hyperinflation เพราะว่าถ้าหยุดพิมพ์เงิน หรือหันมาใช้งบประมาณสมดุล ระบบการเงินของสหรัฐจะพัง

ในระหว่างทาง รัฐบาลสหรัฐติดอาวุธดอลล่าร์ และระบบ SWIFT ด้วยการยึดทรัพย์สินดอลล่าร์ของประเทศต่างๆที่ดำเนินนโยบายที่ขัดแย้งกับวอชิงตัน ดีซี และแซงชั่นระบบธนาคารของประเทศเหล่านั้นไม่ให้ทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศได้ด้วยการปิดระบบ SWIFT

การดำเนินนโยบายต่างประเทศ การทหาร และการเงินในรูปแบบจักรวรรดินิยมของสหรัฐเป็นไปอย่างราบรื่นหลังสงครามโลกคร้ังที่ 2 มาจนถึงปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่สหรัฐเจอวิกฤติเลห์แมน บราเธอร์ส เพราะว่าไม่มีประเทศใดเข้มแข็งพอที่จะต้านทานอิทธิพลของสหรัฐ แต่หลังจากนั้น รัสเซีย จีน อิหร่าน เกาหลีเหนือ อินเดีย และประเทศต่างๆเริ่มมีความเข้มแข็งขึ้น มีการรวมตัวกันอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อที่จะปลดแอกจากระบบดอลล่าร์ ทำให้แนวโน้มของดอลล่าร์มีความไม่แน่นอนสูงดังนี้คือ:

1. เกิดปรากฎการณ์ของการเลิกใช้ดอลล่าร์ หรือ de-dollarization ขึ้นในหลายประเทศที่กำลังดิ้นรนออกจากระบบดอลล่าร์ แทนที่จะซื้อขายกันโดยเอาดอลล่าร์เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ แต่กลับมาใช้เงินสกุลท้องถิ่นของตัวเองค้ากันเอง เช่นรูเบิ้ล/หยวน รูเบิ้ล/รูปี หยวน/เรียล ซาอุดิ อาราเบียและประเทศผู้ผลิตน้ำมันโอเปคขายน้ำมันเป็นเงินหยวน และไม่ได้รับเฉพาะดอลล่าร์เหมือนอย่างในอดีต ในอาเซียนกำลังมีการส่งเสริมให้ใช้เงินสกุลท้องถิ่นเพื่อค้าขายกันเอง โดยไม่ต้องใช้ดอลล่าร์ ทวีปแอฟริกาก็กำลังออกจากระบบดอลล่าร์เหมือนกัน ขบวนการ de-dollarization นับวันจะมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพราะว่าประเทศต่างๆกลัวที่สหรัฐติดอาวุธดอลล่าร์ ด้วยการยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียไปกว่า $300,000 ล้าน

2. การก่อหนี้ที่เกินตัวของรัฐบาลสหรัฐ ที่มีหนี้ระดับสูง 120%-130% ต่อจีดีพี ทำให้ความเชื่อมั่นในการถือครองดอลล่าร์ของนักลงทุนหรือประเทศต่างๆน้อยลง แนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไป เพราะว่ายังมองไม่เห็นว่าสหรัฐจะลดการก่อหนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยไปถึง 5.25% ในเวลานี้ ทำให้ภาระการใช้จ่ายกับภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลสหรัฐต้องสูงขึ้นไปหลายเท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงที่ดอกเบี้ยเกือบแตะ 0%

3. รัสเซียกับซาอุดิ อาราเบียร่วมมือกันออกจากระบบเปโตรดอลล่าร์ โดยท้ังสองประเทศ ซึ่งส่งออกพลังงานรายใหญ่อันดับ1 และ 2 ของโลกจะชักชวนประเทศผู้ผลิตน้ำมันของโลก ให้ลดการขายน้ำมันเป็นดอลล่าร์ หรือยกเลิกดอลล่าร์ไปเลย แต่จะขายพลังงานเป็นเงินหยวน หรือเงินสกุลอื่น ทำให้แนวโน้มดอลล่าร์จะเสื่อมความนิยมลงไปเรื่อยๆ หรือต้องอ่อนค่าลง

4. จีนกำลังผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ทำให้เงินหยวนจะเพิ่มบทบาทขึ้นในระบบการเงิน หรือระบบเศรษฐกิจของโลก ทำให้การใช้ดอลล่าร์ลดลง เพราะว่าจะมีหยวนมาแทนที่ ในปี 2030 เศรษฐกิจจีนจะมีขนาดใหญ่กว่าเศรษฐกิจของสหรัฐ จะทำให้หยวนยิ่งจะมีพลังมากกว่าดอลล่าร์ทั้งในอำนาจซื้อ และเสถียรภาพความมั่นคง

5. กลุ่มบริกส์ ซึ่งประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้กำลังการสร้างระเบียบการเงินโลกใหม่ที่ไม่ขึ้นอยู่กับระบบเงินดอลล่าร์กระดาษอีกต่อไป แต่จะสร้างเงินสกุลร่วมที่จะเอาทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์มาหนุนค่าเงินแทน ต่อไปจะมีการใช้เงินสกุลท้องถิ่นเพื่อค้าขายระหว่างกันมากขึ้น และจะใช้เงินสกุลร่วมบริกส์เป็นสื่อกลาง และเป็นเงินรีเสิร์ฟมาแทนดอลล่าร์ ขณะนี้มีมากกว่า 30 ประเทศที่แสดงเจตน์จำนงที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกของบริกส์ ทำให้บริกส์มีโอกาสเติบโตกลายเป็นสถาบันการเงินที่จะแข่งกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารโลกที่ดูแลระบบดอลล่าร์กระดาษในปัจจุบันได้

6. จีนได้พัฒนาระบบ CIPS (Cross Border Interbank Payment System) มาแข่งกับระบบ SWIFT ทำให้ประเทศต่างๆมีทางเลือกในการทำธุรกรรมการเงิน หรือธุรกรรมแบงค์กิ้งระหว่างประเทศ โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบผูกขาดของ SWIFT อีกต่อไป ซึ่งมีความเสี่ยงว่าจะถูกแซงชั่นเหมือนกับที่อิหร่าน รัสเซีย ซีเรีย คิวบา และประเทศต่างๆโดนมาแล้ว ขณะนี้การทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบ CIPS กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เงินหยวนเป็นสื่อกลาง แต่สื่อตะวันตกแทบจะไม่มีรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้

7. อำนาจการต่อรองในระบบการเงินโลกจะอยู่ที่บริกส์ เพราะว่าประเทศสมาชิกมีพลังงาน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และสินค้าโภคภัณฑ์ และจีดีพีกำลังขยายตัว ในขณะที่สหรัฐและกลุ่ม G7 กำลังเผชิญกับวิกฤติหนี้ และเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ที่สำคัญ G7 ไม่มีทรัพยากรพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์

8.ธนาคารกลางของประเทศต่างๆมีการทิ้งดอลล่าร์เพื่อไปซื้อทองคำถือครองแทนในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากดอลล่าร์กระดาษที่จะต้องเจอเงินเฟ้อหนักในอนาคต

เมื่อขบวนการ de-dollarization ดำเนินต่อไปไม่หยุดยั้ง การหันมาใช้เงินสกุลท้องถิ่นมาค้าขายกันมากขึ้น บทบาทของเงินหยวนจะมาแทนดอลล่าร์เพิ่มมากขึ้น บทบาทของทองคำกำลังกลับมามีความสำคัญในระบบการเงินโลก ประเทศต่างๆมีทางเลือกในการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบชำระเงิน CIPS ของจีน และจะมีเงินสกุลร่วมของบริกส์มาเป็นเงินรีเสิร์ฟแทนเงินดอลล่าร์ จะมีผลทำให้ความต้องการดอลล่าร์ในตลาดโลกลดลง ดอลล่าร์ที่อยู่ต่างประเทศจะไหลกลับไปยังสหรัฐ ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ซึ่งอาจจะนำไปสู่ hyperinflation ได้

ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจของสหรัฐไม่ยิ่งใหญ่เหมือนอย่างอดีต เพราะว่าไม่มีการผลิต มีแต่การบริโภคและการก่อหนี้ ความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจลดลง สหรัฐไม่มีทางเลือกต้องทิ้งดอลล่าร์กระดาษ แล้วเอาเงินดิจิตอลดอลล่าร์มาแทน เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ แต่ดิจิตอลไม่น่าจะมีทองคำหนุนหลัง และไม่มีความน่าเชื่อถือเหมือนเดิม ทำให้สหรัฐอาจจะต้องก่อสงครามเพื่อล้างหนี้ ซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายในการรักษาอำนาจบนโลกใบนี้
สหรัฐหรือโลกการเงินมาถึงจุดเปราะบางที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งในเวลานี้ เพราะว่าคนอเมริกันรุ่นต่อมาลืมคำสอนของจอร์จ วอชิงตัน โทมัส เจฟเอร์สัน และผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกาเมื่อ 200 กว่าปีมาแล้วว่า ให้ระวังอย่านำเอาเงินกระดาษที่ไม่มีทองคำค้ำประกันมาใช้ และอย่าให้ระบบการเงินตกอยู่ภายใต้อิทธิลของพวกนายธนาคารที่มีความโลภมีกิเลสหนา ต้องการเอากำไรอย่างเดียว โดยไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะอยู่อย่างไร เพราะว่าในที่สุดจะนำพาประเทศสู่ความหายนะ

(ติดตามตอนที่ 4 เกี่ยวกับ CBDC )


กำลังโหลดความคิดเห็น