xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : “พิธาคิโอ” โชว์รายวัน - ทำไม “คนรุ่นใหม่” ต้องปั่น “พ่อแม่ไม่มีบุญคุณ” - 3 ข้อที่รับ “ก้าวไกล” ไม่ได้! - สงครามอิโดแปซิฟิก คือปั่นหรือจริง?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 9 มิ.ย.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้เป็น
- “พิธาคิโอ” โชว์รายวัน
- 3 ข้อที่รับ “ก้าวไกล” ไม่ได้!
- ทำไม “คนรุ่นใหม่” ต้องปั่น “พ่อแม่ไม่มีบุญคุณ”
- จาก Red Guard ถึง Orange Guard เมื่อคนลืมราก ชาติจึงย่อยยับ
- สงครามอินโด-แปซิฟิก คือปั่นหรือจริง?

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.193



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 193

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 ขอสวัสดีแฟนรายการที่ชมถ่ายทอดสดตอนนี้ทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok ในช่อง TikTok ขณะนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มีคนเข้ามาติดตามเกือบ 6 แสนคนแล้ว และมียอดไลก์อยู่เกือบ 6 ล้านไลก์ ผมให้ทีมงานตัดเป็นคลิปสั้นๆ เอาเฉพาะไฮไลต์ขึ้นมา ใครชอบดูอะไรสั้นๆ แบบวัยรุ่น ก็เข้าไปรับชมได้ แชร์ไปให้ถึงลูกหลาน พ่อแม่ดูได้เลย

ตอนนี้น่าเป็นห่วง เข้าหน้าฝนแล้ว หลายคนบอกว่าตอนนี้ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดธรรมดาระบาดมาก ระบาดมากจริงๆ อย่าลืมนะครับท่านผู้ชม ผมเตือนไว้แล้วว่าฟ้าทะลายโจรต้องมีติดบ้านเอาไว้ ตอนนี้ฟ้าทะลายโจรได้ขึ้นทะเบียน อย. เลขที่ G 535/64 แล้ว อาจารย์ปานเทพได้ปรับแพ็คเกจใหม่ให้เป็นไปตามข้อมาตรฐานของ อย. ในกล่องจะมี 50 แคปซูล นอกจากนี้แล้ว คุณปานเทพก็ให้ความกรุณากับพวกเรา ก็คือลดจากขายกล่องละ 350 บาท เหลือแค่ 300 บาทเอง ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ เป็นอะไร ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ คิดอะไรไม่ออก ไม่ต้องไปหาหมอ และไม่ต้องไปซื้อยาฝรั่ง ฟ้าทะลายโจรนี่ล่ะ 4 เม็ดเลยทันที กิน 4 เม็ด ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ผมเชื่อว่าไม่เกิน 4 วัน ท่านที่เป็นไข้หวัดใหญ่ก็จะบรรเทาถึงขั้นหายไปทันที เจ็บคอ บางทีกินแค่ 4 เม็ด เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน พรุ่งนี้เช้าตื่นมาก็หายแล้ว เพราะผมเจอมากับตัวผมเอง


อย่ารอให้เป็นอะไรแล้วค่อยไปหาซื้อ ซื้อเก็บเอาไว้ 3-4 กล่อง ซื้อทิ้งเอาไว้ ไม่เสียหาย เป็นยาสามัญประจำบ้านที่มีประโยชน์อย่างยิ่งยวด เป็นยาแก้อักเสบ และหลายๆ อย่าง แก้เรื่องเกี่ยวกับไวรัสและไข้หวัดใหญ่ที่มา ฟ้าทะลายโจรรักษาได้หมด ถึงเวลาแล้วที่เราต้องให้ความเชื่อมั่นสมุนไพรไทย ท่านผู้ชมครับ ผมแจกฟ้าทะลายโจรไปแล้วหลายสิบล้านเม็ด เป็นขวดก็หลายสิบล้านขวดเช่นกัน ตอนนี้ยังเหลืออยู่บ้าง ไม่ถึง 2 หมื่นขวดแล้ว ผมบอกว่าถ้าชุมชนไหนต้องการ แล้วยิ่งช่วงหลังนี้โรคเก่าๆ โรคไวรัสที่ติดกันงอมแงม เริ่มกลับมาอีกแล้ว เพียงแต่ว่าไม่มีการายงานเท่านั้นเอง มีคนติดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมมีฟ้าทะลายโจรเอาไว้ Play safe นะครับ

อีกเรื่องหนึ่งคือสเปรย์พ่นปาก ต้องติดบ้านเอาไว้ สเปรย์พ่นปากนี้ได้สารสกัดจากเปลืองมังคุดเพื่อลดการอักเสบ และที่สำคัญ มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ซึ่งอยู่ในฟ้าทะลายโจร ผสมเข้าไป มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส และยับยั้งการอักเสบได้ แคปซูลฟ้าทะลายโจรอาจารย์ปานเทพ และอย่าลืมนะครับท่านผู้ชม เพื่อพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ซื้อเอาไปให้ เพราะเป็นยาอายุวัฒนะให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เรารักและเคารพ รักษาเรื่องลมในท้องเยอะ เรื่องถ่ายไม่ออก และเป็นยาอายุวัฒนะจริงๆ

ทั้งหมดเข้าไปชมได้ที่เว็บไซต์ www.sunherbth.com หรืออีกช่องทางหนึ่งเข้าไปที่ Shopee, Lazada แล้วเสิร์ชคำว่า "ร้านสมุนไพรบ้านพระอาทิตย์"


ท่านผู้ชมครับ ธรรมดาแล้วผมไม่ได้รับรีวิวสินค้าอะไรทั้งสิ้น ไม่เคยรับเงินใครเลย แต่เผอิญมันมีคนรู้จักคนหนึ่งเขาเอาน้ำลำไยสกัด P80 ทำไมผมถึงมาพูดเรื่องนี้ ? ก็คือ P80 Longan Essence เขาเอามาให้ผมลองทาน ผมก็ลองทานดูทุกวัน ปรากฏว่าดีมากๆ นี่ผมไม่ได้เงินแม้แต่บาทเดียวจากเขานะครับ เขาบอกว่าบำรุงสุขภาพร่างกาย เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยส่งเสริมระบบไหลเวียนโลหิต มีส่วนช่วยผ่อนคลาย ช่วยการนอนหลับ ลดอาการอ่อนเพลีย เรื่องจริงครับท่านผู้ชม ผมเจอกับตัวผมเอง ผมทานไปเป็นขวดที่สองแล้ว มีคนเอามาให้ ผมกินหมดไปขวดแรก แล้วผมก็ไปซื้อใหม่เป็นขวดที่สอง ถ้าจะสั่งซื้ออะไร ผมจะขึ้นให้ดูว่าซื้อได้ที่ไหน ท่านผู้ชมครับ ท่านเจ้าของสินค้าครับ ก็ถือว่าเป็นโชคดีไป เพราะว่าผมไม่ได้รับงานมา แต่ผมทานแล้วผมคิดว่าน่าที่จะส่งเสริมให้

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้มีอยู่หลายเรื่อง เรื่องแรกที่ผมจะพูดคือเรื่องปัญหาของคุณพิธา ซึ่งมีฉายา "พิธาคิโอ" ซึ่งเลียนแบบมาจากคนจมูกยาวที่โกหกรายวัน โกหกอะไรบ้างอีกล่ะ ผมน่ะไม่อยากจะพูดเท่าไร แต่มันจำเป็นต้องพูด แล้วผมก็แสดงจุดยืนของผมเหมือนกันว่า ให้สมาชิกพรรคก้าวไกล ตลอดจนท่านผู้ชมทั้งหลายที่ชอบก้าวไกล บอกว่าทั้งหมดนี้มีอยู่แค่ 3 ข้อ เรื่องของพวกคุณที่ผมรับไม่ได้ ผมรับไม่ได้จริงๆ และผมก็จะต่อสู้ใน 3 เรื่องนี้ เป็นไงเป็นกัน ขอให้ผมเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ลุยฝ่าแนวต้านทาน แนวป้องกันพวกคุณออกไป เพราะว่า 3 ข้อนี้ ถ้าคุณจัดการเรื่อง 3 ข้อนี้ ผมไม่ยุ่งกับพวกคุณเลยแม้แต่เรื่องนี้ แต่ถ้าคุณยังยืนยัน 1 ข้อใน 3 ข้อนี้ หรือทั้ง 3 ข้อ ผมก็จะเป็นคนที่จะตามล้างตามเช็ดคุณอย่างไม่หยุดไม่หย่อนจนกว่าผมจะตายจากไป

เรื่องที่สอง ท่านผู้ชมสังเกตไหมว่าทำไมช่วงหลังนี้คนรุ่นใหม่ถึงชอบปั่นกระแสว่าพ่อแม่ไม่มีบุญคุณ น่าสนใจมากนะครับ เดี๋ยวผมจะพูดให้ฟัง วาทกรรมที่บอกว่า พ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงลูกและช่วยเหลือลูก แต่ไม่มีบุญคุณกับลูก ท่านผู้ชมฟังแล้วบัดซบไหม ? เดี๋ยวผมจะเล่าที่มาที่ไปให้ฟัง

เรื่องที่สาม ผมเอาประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่เกิดขึ้นมาไม่นานนี้เอง จาก Red Guard ถึงการ์ดสีส้ม ก็คือคอนด้อมส้ม หรือพวกสามนิ้ว ผมจะเปรียบเทียบให้ดู Red Guard ในประเทศจีน มาจนถึงเขมรสมัยยุคพอล พต ที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แล้วมาเปรียบเทียบกับม็อบสามนิ้ว ท่านผู้ชมฟังดีๆ แล้วท่านผู้ชมจะอึ้งและทึ่งว่า เฮ้ย! ทำไมมันเหมือนกันอย่างนี้ มันเป็นแนวความคิดมาจากไหน มาจากใคร ท่านผู้ชมฟังนะครับ

เรื่องที่สี่ ช่วงหลังๆ นี้มีคนที่เป็นติ่งส้ม หรือคอนด้อมส้ม มาบอกว่าผมปั่นเรื่องสงครามอินโด-แปซิฟิก ผมจะเอาข้อมูลข้อเท็จจริงมาให้ดูว่ามันเป็นเรื่องปั่นหรือเป็นความจริง

พิธาคิโอ” โกหกรายวัน กับ ข้อที่รับ "ก้าวไกล" ไม่ได้


ท่านผู้ชมครับ ผมไม่ได้คิดอยากที่จะจับผิดคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 คนหนุ่มรุ่นใหม่ อายุแค่ 42 ปี แต่เผอิญที่ผ่านมาคุณพิธามีปัญหาเรื่องความจำสั้น หรือขี้หลงขี้ลืมตั้งแต่อายุยังน้อยหรือเปล่า เพราะหลายกๆ กรณีพิสูจน์ให้เห็นว่า คุณพิธาตั้งแต่ลงเล่นการเมือง เริ่มจะเบลอ เมื่อวานพูดอย่างหนึ่ง วันนี้พูดอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้พูดอีกอย่าง ผมยกตัวอย่างให้ฟังหลายเรื่องก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกการแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 เรื่องครอบครัวคุณ ข้อเท็จจริงในปี 2549 เกี่ยวกับการรัฐประหาร และเรื่องการเดินทางกลับมาร่วมงานศพคุณพ่อ เรื่องความเห็นและนโยบายกัญชาที่ปี 2562 คุณพูดอย่างหนึ่ง แต่ปี 2566 คุณพูดอีกอย่าง และล่าสุด เดี๋ยวผมจะเอารายละเอียดมาให้คุณดู เรื่องที่คุณบอกว่าคุณมาแก้หนี้สินของบริษัทของครอบครัวคุณ 100 ล้านบาท ให้หมดไป ปรากฏว่ามันตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณพูด และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอาๆ ของคุณ เพราะว่าคุณพ่อคุณเป็นพี่ชายคนโต ผมทราบมาอย่างไม่เป็นทางการว่าเขาเกลียดคุณมาก และเงินของบริษัทที่คุณเคยดูแลอยู่นั้น มันหายไป 100 กว่าล้านบาท


หรืออาจจะเป็นเพราะว่าคุณพิธาเป็นคนเอาใจคนเก่ง สามารถพลิกลิ้น เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้รับความนิยม เอาเป็นตัวอย่างกรณีล่าสุดก็แล้วกัน งาน Bangkok Pride 2023 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน 2566 คุณพิธาต้องการสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองกลายๆ ไปเรียบร้อยแล้ว

4 มิถุนายน ที่ผ่านมา อาทิตย์ที่แล้ว คุณพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมกับคุณศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล คุณพรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า ได้ร่วมกิจกรรมเดินรณรงค์ Bangkok Pride 2023 โดยขบวนของพรรคก้าวไกลประกอบด้วยธงสีรุ้งขนาดใหญ่ แผ่นป้ายโฆษณานโยบายเพื่อความเท่าเทียมทางเพศ อาทิ สมรสเท่าเทียม Sex Worker คนที่ทำงานทางด้านกามารมณ์ ทำให้ถูกกฎหมาย รับรองทุกเพศสภาพ คำนำหน้านามตามความสมัครใจ


คุณพิธาให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ ตนพร้อมจะเข้าไปสนับสนุนสมรสเท่าเทียม การรับรองอัตลักษณ์ทางเพศและสวัสดิการเพื่อความเสมอภาคทางเพศ และยังบอกด้วยว่า กฎหมาย ทั้งสมรสเท่าเทียม และ พ.ร.บ.คู่ชีวิต ทั้งสองฉบับจะผ่านภายใน 100 วันแรกของการเป็นรัฐบาลอย่างแน่นอน


ในงานวัน Bangkok Pride ซึ่งคืองานชุมนุมแสดงออกถึงคนที่แปลงเพศเอย คนที่ปฏิบัติตนเป็นเพศตรงกันข้าม หรือที่เขาเรียกว่าเกย์ หรือกะเทย หรือคนแปลงเพศ วันนั้นคุณพิธามาในเสื้อสีรุ้ง ได้ใจชาว LGBTQ ได้ใจมาก ซึ่งเป็นกลุ่มมีความหลากหลายทางเพศไปเต็มๆ ผมเองนึกอย่างไรไม่รู็ ไปย้อนดูเหตุการณ์ในอดีต สมัยที่คุณเคยมีเรื่องมีราวกับอดีตภรรยาของคุณ คุณต่าย ชุติมา ทีปะนาถ นักแสดงที่เคยเป็นอดีตภรรยาของคุณ


ตอนนั้นคุณต่ายไปออกรายการไทยรัฐทอล์ก ออกอากาศเมื่อสี่ปีที่แล้ว วันที่ 11-12 มิถุนายน 2562 คุณต่ายให้สัมภาษณ์ไว้ชัดเจนเลยว่า คุณพิธา ซึ่งเป็นสามีของคุณต่ายในขณะนั้น มีข้อบังคับหลังแต่งงาน โดยคุณต่ายบอกว่า "คุณทิมขอไม่ให้คบเพื่อนที่เป็นเกย์ หรือทอม หรือคนที่ลักษณะภายนอกไม่ใช่ผู้หญิง ไปคุยด้วยหรือไปอะไรด้วยก็ไม่ได้ ด้วยเหตุผลว่า มันไม่เหมาะ ที่ผ่านมาเวลาเขาขออะไร เราจะไม่ถามหาเหตุผลว่าทำไม ถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้ได้ เราก็จะทำ เพื่อให้ชีวิตคู่มันไปต่อได้"


ท่านผู้ชมครับ คุณพิธาครับ นี่คือสิ่งที่ภรรยาคุณให้สัมภาษณ์เอาไว้เมื่อสี่ปีที่แล้ว (2562) แต่พอมาวันนี้คุณกลายเป็นคนที่เปิดกว้าง เข้าอกเข้าใจทางเพศทางเลือกได้อย่างดีไปเสียแล้ว

คุณพิธาครับ แนวความคิด LGBTQ นี้ก็เหมือนกับทุกเรื่องที่ผมเคยทักท้วงคุณ ที่ออกมาพูดนี้ผมก็ได้แต่หวังว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ของคุณมันเกิดขึ้นจากมโนสำนึกในจิตใจของคุณพิธาจริงๆ ไม่ใช่เป็นการแสดงเพื่อเรียกคะแนนเสียงและแรงเชียร์จากแฟนคลับ หรือบรรดาคอนด้อมส้มเท่านั้น

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมจะบอกให้คุณพิธารู้ และพวกติ่งส้ม หรือคอนด้อมส้ม จริงๆ แล้วผมไม่มีปัญหาอะไรกับพรรคก้าวไกล แต่ผมมี 3 ข้อ ที่ผมรับไม่ได้ จริงๆ 3 ข้อเท่านั้นเอง ผมยอมรับว่านโยบายต่างๆ ความคิดสร้างสรรค์ของพวกคุณ ใช้ได้ ผมไม่ได้มีปัญหากับเรื่องพวกนี้เลย คุณจะปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงกลาโหม หรือคุณจะปรับปรุงโครงสร้างตำรวจ ซึ่งคุณยังไม่ได้พูด แต่ผมเชื่อว่าถ้ากระทุ้งหนักๆ คุณก็อาจจะออกมาพูด หรือคุณจะกระจายอำนาจลงไปสู่การปกครองท้องถิ่นอย่างเต็มที่ จะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ผมโอเคหมดครับ ถึงแม้ผมจะรู้ว่าหลายๆ เรื่องที่คุณพูดนั้นมันเป็นการเพ้อฝันไป แต่อย่างน้อยที่สุดเป็นการเริ่มต้นที่แสดงออกให้เห็นถึงความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงหลายๆ เรื่องที่ไม่เคยได้รับการเปลี่ยนแปลง

แต่ 3 เรื่องที่ผมรับก้าวไกลไม่ได้ เรื่องที่หนึ่ง แน่นอนที่สุด นโยบายยกเลิก/แก้ไขมาตรา 112 เรื่องนี้ผมรับไม่ได้เลย ผมรับไม่ได้ ผมจำได้ว่าอาจารย์ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยออกคลิปมาคลิปหนึ่งว่า มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยที่อเมริกาคนหนึ่งได้มาเยือน อาจารย์ไชยันต์เชิญมา แล้วเขาก็พูดมาชัดเจน เขาบอกว่าประเทศไทยโชคดี เขาเป็นอาจารย์ที่สหรัฐอเมริกาทางด้านรัฐศาสตร์ เขาบอกว่าโชคดีที่มีพระมหากษัตริย์ มีรัฐธรรมนูญที่ระบุชัดเจนว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของชาติ ทำให้ประเทศเราสงบ


ท่านบอกว่าหันกลับไปดูประเทศอเมริกาตอนนี้สิ มันเละเทะหมดเลย มันไม่เหมือนประเทศๆ หนึ่งแล้ว ความแตกแยกของสังคมมีมากมายมหาศาล หลายอย่าง อีกหลายๆ เรื่องที่ผมเคยพูดมาแล้วว่าทำไมจำเป็นต้องมีสถาบันกษัตริย์ ผมจะไม่พูดซ้ำตอนนี้ เดี๋ยวจะเอาหนังเก่ามาฉายซ้ำ ผมไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น แต่นี่เป็นจุดยืนที่ชัดเจนของผม และผมเชื่อว่ามันเป็นจุดยืนของคนอีกจำนวนมากเลย รวมทั้งคน 14 ล้านคน ที่อ้างว่าเลือกให้คุณเข้ามา แต่แท้ที่จริงแล้วมีจำนวนไม่น้อยเลยที่เลือกคุณเพราะเขาเบื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพี่น้องอีก 2 ป. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา คือเขาไม่ต้องการให้พวกคุณ 3 ป. ได้มีบทบาททางการเมืองอีกต่อไป เขาจึงจำเป็นต้องเลือกคุณ โดยที่เขาไม่ได้พิจารณารายละเอียดนโยบายของคุณว่ามีอะไรบ้าง

เรื่องที่สอง ที่ผมรับคุณไม่ได้คือนโยบายต่างประเทศที่เปิดประตูให้อเมริกาเข้า อย่างที่ผมเคยเรียนให้ท่านผู้ชมได้ทราบ และได้เรียนให้พวกคอนด้อมส้ม หรือคนที่เชียร์พรรคก้าวไกล ว่าผมไม่ได้มโนมาพูดเรื่องนี้ มันถูกบันทึกลงไปในเอกสาร นโยบายของพรรคก้าวไกล ในเว็บไซต์พรรคก้าวไกลเอง ว่าเมื่อคุณเป็นรัฐบาลแล้ว คุณจะตัดสินใจเข้าไปแทรกแซงเหตุการณ์ในพม่า โดยที่ผมพยายามบอกตลอดเวลาว่า ปัญหาของพม่าเป็นปัญหาของเขา ไม่ใช่ปัญหาของเรา อย่าไปยุ่งกับเขา เพราะว่าพม่าเป็นหมากการเมืองที่โลกตะวันตก รัสเซีย และจีน กำลังประชันกันอยู่ในขณะนี้ แต่คุณพูดชัดเจนว่าคุณจะเข้าไป

แน่นอนที่สุด การเข้าไปทุกวันนี้ก็หมายความว่า คุณจะต้องยืนอยู่ข้างอเมริกา ซึ่งก็ปรากฏในเอกสารนโยบายของคุณที่เขียนไว้ว่าจะเป็นพันธมิตรทางความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกา ก็คือการยืนข้างอเมริกาเต็มตัว ทั้งๆ ที่รู้ว่าอเมริกากำลังต่อต้านจีน กำลังสร้างฐานทัพต่างๆ กำลังจะต้องการใช้ไทยเป็นพื้นที่เข้าไปรุกจีน แล้วไปล้อมจีนเอาไว้ แล้วคุณยังพูดต่อ นโยบายพรรคก้าวไกลยังพูดต่อ พูดต่อว่าอย่างไร ? พูดต่อว่า ในการฝึกซ้อมรบคอบร้าโกลด์ในครั้งต่อไป คุณจะเพิ่มทรัพยากร หรือเพิ่มเงินเพิ่มทอง หรือเพิ่มอาวุธ เพิ่มคนเข้าไป ทำให้การซ้อมรบคอบร้าโกลด์นั้นเป็นการซ้อมรบที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น

การมายืนอยู่ข้างๆ อเมริกา แล้วชูอเมริกาเป็นครั้งแรกที่ออกมาอย่างชัดเจนว่าจะยืนข้างอเมริกาในการต่อต้านจีน เพราะคุณก็รู้อยู่แล้วว่าอเมริกาจะต่อต้านจีน

สองนโยบายนี้จะทำให้ประเทศไทยพังโดยไม่สามารถแก้ไขกลับคืน ผมปล่อยให้คุณลิดรอนหรือล้มสถาบันกษัตริย์ไม่ได้ แสดงว่ากษัตริย์ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรกับสังคมไทยเลย มีแต่ช่วยสังคมไทยตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นโครงการพระราชดำริที่ดำเนินการต่อเนื่องมาจากรัชกาลที่ 9 มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งพวกคุณก็ด้อยค่าโครงการพระราชดำริ ผมไม่ทราบว่าพวกคุณไปเคียดแค้นสถาบันกษัตริย์มาตั้งแต่ยุคไหนสมัยไหน ถึงรังเกียจรังชัง ทุกอย่างที่พระมหากษัตริย์ทำให้ประเทศไทยนั้น คุณูปการใหญ่หลวงมาก ตั้งแต่รัชกาลที่ 9 มาจนถึงปัจจุบัน

เล็กๆ น้อยๆ ยกตัวอย่าง พวกคุณพยายามด้อยค่ารัชกาลที่ 10 อย่างเช่น คุณบอกว่าสนามม้านางเลิ้งนั้น เมื่อยกเลิกสนามม้านางเลิ้ง ก็เอาที่ๆ นั้นมาเป็นของพระองค์ท่าน ไม่ใช่ ข้อเท็จจริงก็คือว่า เอามาสร้างอนุสาวรีย์ของรัชกาลที่ 9 เพื่อให้ประชาชนเข้าไปสักการะบูชา และทำเป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนเข้าไปท่องเที่ยว


เรื่องที่สอง เมื่อมีนโยบายที่พระองค์ท่านตัดสินใจให้ย้ายสวนสัตว์ดุสิต ออกจากสถานที่เดิมแล้วไปหาสถานที่ใหม่ พวกคุณก็ด้อยค่าท่าน แล้วก็ทำเฟกนิวส์ ว่าพระองค์ท่านต้องการสถานที่นั้นเพื่อมาสร้างวังเพิ่มเติม ในข้อเท็จจริงแล้ว ที่ดินนั้นถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะสร้างโรงพยาบาลเพื่อช่วยเหลือประชาชน ส่วนสวนสัตว์นั้น ถูกย้ายไปที่คลองหก รังสิต เนื้อที่ 300 ไร่ ทำออกมาอย่างสวยสดงดงาม ใกล้จะเปิดแล้ว จะเป็นสวนสัตว์ที่สวยงามที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คุณพิธา และพวกคอนด้อมส้ม ทั้งหมดนี้ใช้ราชทรัพย์ส่วนพระองค์ร่วมหมื่นล้านในการจับจ่ายใช้สอยเพื่อสร้างสถานที่เหล่านี้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ตรงนี้ทำไมพวกคุณไม่พูด แต่พวกคุณกลับไปด้อยค่าพระองค์ท่าน โกหกหลอกลวง ตอหลดตอแหล


เพราะฉะนั้นแล้ว นโยบายอื่นๆ ของคุณ ผมไม่ก้าวล่วงไปหรอก เพราะประชาชนเป็นคนตัดสินใจเอง และผมเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบนายกฯ ประยุทธ์ ผมเบื่อระบบราชการเดิมๆ และผมยังคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์ ท่านก็น่าที่จะแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าท่านควรจะเลิกเล่นได้แล้ว แทนที่จะอยู่เงียบๆ แล้วรอส้มหล่นเหมือนอย่างที่พวกคุณพูดถึงตัวท่าน เหมือนที่คุณรังสิมันต์ โรม พูด แต่ผมคิดว่าพูดในฐานะข้อเท็จจริงว่า พล.อ.ประยุทธ์ ดูแลประเทศชาติมา 9 ปีแล้ว ถึงเวลาต้องลงจากเวทีได้แล้ว ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จะทำคุณูปการให้ประเทศชาติ ก็คือประกาศชัดเจนเลยว่า เมื่อรัฐบาลใหม่มาแล้ว ก็จะไม่เล่นการเมืองต่อไป แต่ผมไม่รู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะทำเช่นนั้นหรือเปล่า แต่นี่คือจุดยืนของผม คุณพิธา 

และท่านผู้ชมครับ ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจคุณ ผมต่อว่าคุณ แล้วผมไปเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่ อะไรถ้ามันไม่ใช่ธรรม คุณพิธาจำคำว่าธรรมเอาไว้นะ ผมเป็นคนที่เอาธรรมนำหน้า ธรรมก็คือความจริง ความจริงเป็นเช่นไร อธรรมและอวิชชาไม่สามารถเอาชนะความจริงได้ นี่คือสิ่งที่ผมยืนหยัดอยู่ยงคงกะพันมาจนทุกวันนี้ เพราะว่าธรรมที่ผมพูดเป็นสิบปีมาแล้ว วันนี้ผมก็ยังพูดเหมือนเดิม แล้วก็เป็นความจริงทุกอย่าง วันหลังผมจะเอาคลิปที่ผมเคยพูดให้ฟังในเรื่องของเอเชียแปซิฟิก และบทบาทที่อเมริกาจะบุกเข้ามาในไทย แล้วใช้ไทยเป็นสถานที่ที่จะใช้รุกประเทศจีน ผมพูดมาสิบเอ็ดปีที่แล้ว สิบเอ็ดปีที่แล้ว ทุกอย่างออกมาเป็นอย่างที่ผมพูด แม้กระทั่งคนที่เข้ามาดูยังบอกว่าแม่นยิ่งกว่าหมอดู


ข้อที่สาม เรื่องที่ผมรับไม่ได้จริงๆ ก็คือ หัวหน้าพรรคของพวกคุณ พวกติ่งส้ม ชอบโกหก โกหกจนเป็นนิสัย วันนี้พูดอย่าง อีกวันพูดอีกอย่าง แต่ถูกโดนจับโป๊ะได้ทุกเรื่อง ที่ผมไล่เรียงมาเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า พระพุทธเจ้าพูดเอาไว้ แล้วผมเอาคำพูดของพระพุทธเจ้ามาเตือนสติคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ว่า "คนโกหกไม่ทำชั่วนั้นไม่มี" การโกหกเล็กๆ จะนำไปสู่การโกหกใหญ่ แค่เปิดมาแค่นี้คุณยังมีเรื่องให้จับผิดยิบย่อยไปหมด ผมไม่รู้ว่าคุณพิธานั่งทับอะไรไว้อีกมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่มีผมก็ยินดีด้วย แต่ถ้ามี คุณพิธาต้องเตรียมตัวไว้เลย เพราะมีคนรอขุดเรื่องของคุณอีกเยอะแน่นอน

เรื่องที่คุณโกหกนั้น ผมขอให้คอนด้อมส้มทำใจเสียหน่อย คุณพิธาที่คุณรัก เทิดทูนว่าเป็นบุรุษประเสริฐ ดีที่สุด คุณพิธาไม่ใช่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อีกต่อไปแล้ว เพราะกำลังจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ถ้าเรามีคนที่เป็นผู้นำและจะเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วโกหกพกลมตลอดเวลา ท่านผู้ชมทำใจให้เป็นกลาง ติ่งส้มครับ คอนด้อมส้มครับ คุณวางตัวเป็นกลางสักนิด ผู้นำประเทศโกหกพกลมตลอดเวลา คุณรับได้หรือ แน่นอนที่สุด หลายคนที่งมงายก็บอกว่ารับได้ ไม่เป็นไร ไม่เสียหายอะไร แต่ผมรับไม่ได้ เพราะว่าคุณพิธากำลังจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ผมรับไม่ได้เลย ผมจะไปรับคนโกหกพกลมได้อย่างไร นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โกหกพกลมตลอดเวลา ผมยังพอเฉยๆ เพราะว่านายชูวิทย์ไม่ได้มีบทบาทอะไร นอกจากว่าเป็นตัวป่วน โกหกพกลมเพื่อประโยชน์ตัวเอง แต่คุณพิธากำลังจะเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วคุณยังใช้การเดินเกมด้วยการโกหกเพื่อเอาคะแนนเสียงเข้าหาตัวคุณเอง ผมรับนายกรัฐมนตรีอย่างนี้ไม่ได้

ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ อย่าโกรธผม เพราะผมพูดในหลักการ 3 ข้อที่ผมก้าวข้ามไม่ได้ ผมไม่ได้มีอะไรเป็นส่วนตัว ถ้าคุณพิธามีสติปัญญา หรือคนที่เป็นติ่งคุณพิธา หรือคอนด้อมส้ม มีสติปัญญา หยุดคิดสักนิดว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า ไม่ว่าข้อที่หนึ่ง สถาบันกษัตริย์ยังมีความจำเป็นต่อประเทศชาติ ข้อที่สอง คุณกำลังชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน แล้วไม่ได้พูดโดยลอยๆ เหมือนที่พวกคุณใส่ร้ายผม บางคนก็ทะลึ่งหาว่าผมสร้างหนังมาอีกเรื่องหนึ่ง ก็ไปดูในนโยบายของพรรคคุณสิ คุณเขียนไว้อย่างนี้จริงหรือเปล่า คุณเขียนไว้อย่างนี้จริงๆ คุณเขียนไว้เหมือนกับที่ผมพูด 

แล้วเรื่องที่สามคือเรื่องว่าที่นายกรัฐมนตรีโกหกเป็นนิจ พูดจาปลิ้นปล้อน สับปลับ แล้วผมจะรับคุณเป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร ผมถึงรับพรรคก้าวไกลไม่ได้ใน 3 ข้อนี้ ถ้าคุณแก้ 3 ข้อนี้ได้หมด ผมก็พร้อมจะสนับสนุนคุณเช่นกัน เพราะคุณบอกว่าคุณเป็นคนรุ่นใหม่ หลายคนบอกว่าคุณสนธิแก่แล้ว กลับไปนอนที่บ้านดีกว่า ให้โอกาสคนรุ่นใหม่ ผมให้โอกาสอยู่แล้ว แต่คนรุ่นที่โกหก ปลิ้นปล้อน ตอหลดตอแหลอย่างนี้ แล้วจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ผมรับไม่ได้ แล้วคนรุ่นใหม่ที่จะมาทำลายล้างสถาบันกษัตริย์ ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนคนไทย ผมก็รับไม่ได้ แล้วคนรุ่นใหม่อย่างที่พวกคุณบอกว่าให้โอกาสเขาสิ เขียนลงเป็นนโยบายว่าจะเปิดประตูให้อเมริกาชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นยูเครน 2 ผมก็รับไม่ได้เช่นกัน

คุณพิธาครับ คอนด้อมส้ม คนที่งมงายกับคุณพิธา ใช้สติและปัญญา ถ้าคุณจะมีเหลืออยู่บ้าง วิเคราะห์คำพูดผมแต่ละข้อๆ ให้ดีๆ ก็แล้วกันนะครับ

ทำไม “คนรุ่นใหม่” ต้องปั่นกระแส “พ่อแม่ไม่มีบุญคุณ”?

ท่านผู้ชมครับ ผมเคยหยิบยกเรื่องนี้มาหลายครั้ง ถึงการปั่นกระแส สังคมไทยต้องเท่าเทียมกัน สังคมต้องไม่มีชนชั้น คนเท่ากัน การชูสามนิ้วสะท้อนให้เห็นถึงเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมรู้เรื่องทางประวัติศาสตร์ ก็ย่อมรู้ว่าสังคมที่ไม่มีชนชั้น คนเท่ากัน เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพนั้น เป็นคำขวัญที่เชื่อมโยงกับการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งมีการประหารกษัตริย์ ไม่ต้องเดาก็รู้แล้วครับ ปรัชญานี้ กรอบความคิดนี้ มาจากคุณปิยบุตร แสงกนกกุล ซึ่งเป็นนักศึกษาเรียนที่ฝรั่งเศส ภรรยาก็เป็นคนฝรั่งเศส รวมไปจนถึงคุณสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ซึ่งลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศส

คำขวัญว่า เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสเมื่อปี 2489 และปี 2501

ก่อนที่ผมจะพูดต่อไป เรามาดูข้อเท็จจริงในฝรั่งเศสกัน วันนี้ฝรั่งเศสก็ไม่ได้มีเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ เหมือนอย่างที่คุณปิยบุตรพยายามที่จะขายความคิดนี้ให้กับเด็กรุ่นใหม่ แล้วเด็กรุ่นใหม่ก็ไม่ได้ใช้สติปัญญาคิดให้ละเอียด ลุกขึ้นมาด้วยความเกลียดชัง อคติ ก็บอกว่า มนุษย์เราเกิดมาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้วจะมีเจ้าได้อย่างไร เจ้าก็มนุษย์เหมือนเรา เสรีภาพเท่ากัน ไม่ได้คำนึงถึงรากเหง้า รากฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่ได้คำนึงถึงที่มาที่ไปของสถาบันกษัตริย์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้ดูถึงประโยชน์ที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง


เรื่อยมาจนถึงคำว่า "ฟ้าเดียวกัน" เป็นชื่อนิตยสารสำนักพิมพ์ของคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และเจ้าของพรรคก้าวไกลตัวจริง โดยคำว่า "ฟ้าเดียวกัน" นั้น มาจากหนังสือของ ส.ศิวรักษ์ "เจ้า-ข้า ฟ้าเดียวกัน" ก็แปลว่า Under the same sky ทุกคนต้องเท่ากัน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ผมยังจำได้เลยว่า อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ กล่าวหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ปากกล้าขาสั่น แต่พอโดนดำเนินคดีผิดมาตรา 112 ตัวสั่นงันงก เหงื่อไหล เหงื่อแตก ให้คนเข้าไปกราบบังคมทูลขอเข้าเฝ้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษ เป็นอย่างนี้มาตลอดเวลา


พระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทำอะไรให้พวกคุณเลยแม้แต่นิดเดียว มาตรา 112 เขาบอกว่าคุณอย่าไปดูหมิ่นท่าน อย่าไปแสดงความเกลียดชัง อย่าไปอาฆาตมาดร้าย พระองค์ท่านอยู่ของพระองค์ท่านเฉยๆ คุณ ส.ศิวรักษ์ อวดดีว่าเป็นปราชญ์สยาม ใครตั้งให้คุณ คุณ ส.ศิวรักษ์ คุณนี่แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน จริงๆ แต่ไม่เป็นไรหรอก เมื่อฟ้าเดียวกันเอาคำขวัญของคุณมาพูด

ผมเคยเล่าให้ฟังมาเป็นสิบปีแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ มันไม่ได้เป็นเหตุบังเอิญหรอก มันมีการสร้างพล็อต วางแผน บ่มเพาะทางความคิด ความเชื่อ ผลิตงานวิชาการ สอนหนังสือ ใส่ข้อมูลเพื่อปูทางกันไว้ล่วงหน้าแล้วเป็นสิบๆ ปี ใครไม่เคยทราบและเพิ่งเข้ามาดู ลองไปชมรายการผมย้อนหลังสิ ผมเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอย่างละเอียดในรายการเมื่อสองสัปดาห์ก่อนแล้ว

คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เคยประกาศสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้ยกเลิกเรียกพี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา คุณธนาธรเคยให้สัมภาษณ์เว็บไซต์ The MOMENTUM ซึ่งเป็นเว็บไซต์เครือเดียวกับพวกพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะเป็น The MOMENTUM หรือ The STANDARD เหมือนกัน ชูปรัชญานี้เหมือนกัน ทำข่าวในแนวนี้เหมือนกัน รวมทั้ง บีบีซีไทย ด้วย


15 มีนาคม พ.ศ. 2559 เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว คุณธนาธรบอกว่า ต้องการจะสร้างวัฒนธรรมใหม่ โดยเริ่มจากในพรรค โดยให้เลิกเรียก พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา แล้วใช้แค่ "คุณ" กับ "ผม" เพื่อแก้ปัญหาอำนาจนิยม คุณธนาธรพูดว่า "ผมยังนั่งคุยกับพวกเขาอยู่เลยว่า ถ้าพรรคของเราเกิดได้เมื่อไร ในพรรคของเราอยากให้เลิกใช้คำว่า พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา อยากให้เลิกใช้คำพวกนี้ให้หมด สร้างวัฒนธรรมใหม่ๆ อย่างที่ผมบอก อะไรก็ตามที่อยากให้เกิดก็ตอ้งทำในพรรคก่อน เราต้องการยกเลิกวัฒนธรรมอำนาจนิยมซึ่งกีดกันโอกาส กีดกันความคิดสร้างสรรค์ของคน เรียกคนอื่นเป็นพี่ ป้า น้า อา เมื่อไร มันเป็นการเข้าไปอยู่โครงสร้างอำนาจนั้น เราจึงคิดว่า ใช้คำว่า คุณ ผม ดิฉัน สามคำเพียงพอแล้ว ให้เกียรติกันมากพอแล้ว ไม่มีพี่ ไม่มีท่าน"

คุณธนาธรครับ คุณพิธาครับ และพวกที่เป็นแกนพรรคก้าวไกล และที่บ้าคลั่งกับปรัชญาก้าวไกล ผมเชื่อว่าท่านผู้ชมที่ฟังอยู่ทุกวันนี้ รายการนี้ เป็นสังคมที่เท่าเทียม รังเกียจการแบ่งชนชั้น เห็นด้วยกับเรื่องสิทธิเสรีภาพ (แต่ต้องมีหน้าที่ รู้จักหน้าที่ของตัวเอง และมีความรับผิดชอบ) รวมไปถึงเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ มันเป็นคำพูดที่พูดเมื่อไรก็ถูกเมื่อนั้น เป็นกระบวนทัศน์ของการปฏิวัติเก่า เขาท่องมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 สี่สิบ ห้าสิบปีแล้วด้วยซ้ำ

ประเด็นสำคัญที่สุด เมื่อคุณต้องการสังคมที่เท่าเทียม เกลียดการแบ่งชนชั้น และต้องการสิทธิเสรีภาพ แต่คุณไม่ได้อบรมคนรุ่นใหม่ เยาวชนรุ่นใหม่ ให้รู้จักและเห็นความสำคัญของหน้าที่ และความรับผิดชอบ คุณไม่ได้อบรม คุณเพียงแต่บอกว่า เลิก ไม่ต้องเรียกพี่ ไม่ต้องเรียกพ่อแม่พี่น้อง ผมยังต้องเรียกพ่อแม่พี่น้องเลย พ่อแม่พี่น้องที่ชมรายการผมอยู่ คนที่อายุมากกว่าผม ผมก็สามารถจะเคารพเป็นพ่อได้ แม่ เช่นกัน พี่ คนที่อายุมากกว่าผม ผมเรียกเป็นพี่ก็ได้ น้อง อายุน้อยกว่าผม ลูกหลานเอ๊ย ก็คือคนที่อายุคราวลูกคราวหลาน นี่เป็นวัฒนธรรม เป็นรากเหง้าของสังคมไทย

นี่คุณธนาธร และพวกก้าวไกล ลอกเลียนแบบแนวคิดเรื่องสังคมไร้ชนชั้นของฝรั่งมาแบบไม่ได้พิจารณารากฐานทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความเป็นมาของประเทศไทย หรือของสังคมไทย พูดง่ายๆ ว่าพวกคุณลืมรากเหง้าของพวกคุณเอง หรือคุณเกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่ มันก็เลยส่งผลและก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในสังคม เหมือนอยู่ๆ คุณเดินเข้ามาบอกว่าจะสร้างบ้านแบ่งเมือง สร้างวัฒนธรรมประเพณีใหม่ ต้องการเปลี่ยนความคิดใหม่หมด ทุบทำลายของเก่าให้สิ้นซากไปเลย สิ่งนี้สุ่มเสี่ยงและอันตรายมาก ซึ่งผมจะยกตัวอย่างให้ดูต่อไป


ท่านผู้ชมครับ ในช่วงที่ผ่านมา ท่านผู้ชมรู้ไหม มันมีคลิปวิดีโอที่เป็นไวรัลอยู่ในสังคมไทยเป็นอย่างมาก คลิปนี้ต้นฉบับเผยแพร่ใน YouTube ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 หรือประมาณปีครึ่งที่แล้ว เจ้าของช่องชื่อ นายน็อต สัณหณัฐ ช่อง YouTube ชื่อ "บ้านกูเอง" ในช่วงต้นคลิป นายน็อตบอกว่า การที่พ่อแม่เลี้ยงดูลูกให้ศึกษาคือหน้าที่ขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่บุญคุณ เป็นความรับผิดชอบ ไม่ต่างกว่าการเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวที่ต้องให้อาหาร ให้ที่อยู่ ให้สภาพแวดล้อมที่ดี แต่เราก็ไม่ได้ไปทวงบุญคุณกับหมา แมว ซึ่งก็ไม่ได้ต่างกัน เพราะพ่อแม่เลือกที่จะมีลูกเอง แต่พ่อแม่บางครอบครัวไม่ได้ดีขนาดนั้น ไม่ได้รักลูกเท่าบางครอบครัวที่เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวด้วยซ้ำ แล้วนายน็อตยังพูดต่อว่า คำว่าบุญคุณจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเป็นบุคคลหรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีพันธะด้านการดำรงชีพต่อไป พ่อแม่นับเป็นบุญคุณไม่ได้ เพราะมีพันธะทำให้ลูกเกิดมาโดยที่ลูกไม่ได้เลือก

ครูในโรงเรียนก็นับเป็นบุญคุณไม่ได้ เพราะมีพันธะ มีตำแหน่งเป็นครู และมีเงินเดือน รัฐบาลสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชน ก็นับเป็นบุญคุณไม่ได้ เพราะได้รับภาษีจากประชาชน ได้รับเงินเดือน มีตำแหน่งหน้าที่ นอกจากนี้แล้ว นายน็อตยังอธิบายต่อว่า ที่นับเป็นบุญคุณได้ อย่างเช่น ญาติที่ไม่ใช่พ่อแม่ แต่เลี้ยงดูส่งเสียให้เรียน พี่ข้างบ้านมาช่วยติวหนังสือ เดินๆ อยู่คนไม่รู้จักเตือนว่าเราอย่าไปเหยียบขี้ พวกนี้นับเป็นบุญคุณได้หมด

คุณน็อต บอกว่า ต้องยอมรับว่า คำว่าบุญคุณใช้กับพ่อแม่ไม่ได้ แต่คำว่าบุญคุณไม่ได้มีผลกับการใช้ชีวิตในครอบครัวเลย คนในครอบครัวที่ทำดีต่อกันเขาเรียกว่า "ความรัก" ไม่ใช่ "บุณคุณ"

ผมคิดว่าคุณน็อตเข้าใจอะไรผิดไปอีกเยอะเลย เมื่อเวลาที่แม่อุ้มลูก แล้วแม่เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ลูก แล้วลูกก็ยิ้ม หัวเราะร่าเริง พอลูกโตขึ้น ลูกหกล้ม พ่อและแม่เข้าไปดู ประคับประคอง ส่งเสียให้ลูกเรียนหนังสือ แน่นอน ลูกก็ต้องรักพ่อแม่สิ แต่ในความรักนั้นมันมีคำว่า "บุญคุณ" คุ้มกะลาหัว "ความรัก" อยู่ หลายๆ คนไม่ได้รัก หลายๆ คนได้รับการช่วยเหลือจากคนข้างนอก แล้วก็รู้สึกมีบุญคุณที่เขามีจิตใจมาช่วยเหลือเรา ก็เกิดความรักในตัวเขา ซึ่งเป็นความรักของคนที่ช่วยเหลือ เพราะฉะนั้น "ความรัก" กับ "บุญคุณ" มันจะแยกกันได้อย่างไร คุณน็อต คุณนี่เลอะเทอะจริงๆ


พอผ่านเวลาไปสองปี คลิปนี้ถูกนำมาแชร์ใหม่ มีการตัดลง TikTok สื่อต่างๆ เอาไปรายงานข่าว โดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

24 พฤษภาคม ปลายเดือนที่แล้ว นายน็อตต้องออกมาแก้ตัว ระบุว่าที่พูดว่าพ่อแม่ไม่มีบุญคุณ เพราะพ่อแม่ไม่ได้เป็นคนดีทุกคน บางคนเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดี ก็ไม่ควรต้องชดใช้ พร้อมกันนั้นนายน็อตยังย้ำด้วยว่า การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ไม่ใช่หน้าที่ แต่มันเป็นความรัก สามัญสำนึกที่ลูกคนหนึ่งมีให้กับพ่อแม่ นี่เป็นการเล่นคำครับท่านผู้ชม เป็นการเล่นคำ

คำว่า "บุญคุณ" มันไมได้เกิดขึ้นในยุคนี้สมัยนี้ มันเป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนเลยว่า เราต้องรู้จักในบุญคุณของพ่อแม่ และเมื่อต่อถึงบุญคุณแล้ว มันก็มีคำพ่วงท้ายต่อ และมันเป็นกรอบเดียวกันหมด ก็คือ เราต้องมีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่เรา เหมือนกับเราต้องมีความรักและกตัญญูต่อแผ่นดินที่เราเกิด คุณน็อตครับ แล้วคุณจะบอกว่า เด็กคนหนึ่ง ลูกคนหนึ่งเกิดขึ้นมาได้ เกิดขึ้นเพราะการผสมพันธุ์อย่างเดียว มันไม่ใช่ ถ้าคุณเข้าใจในเรื่องหลักพุทธศาสนาจริงๆ เมื่อคุณตายไปแล้วร่างกายไม่ใช่ของคุณ แต่จิตวิญญาณของคุณก็ออกไปจากร่างกาย พระพุทธเจ้าบอกว่า คนที่ทำบุญเอาไว้เยอะ ก็จะมีโอกาสได้มาเกิดใหม่ เกิดใหม่ก็คือว่า เลือกว่าจะเกิดในครรภ์ไหน ตามกรรมที่ตัวเองได้ทำ กรรมดีก็ได้เกิดในครรภ์ที่ดี กรรมชั่วก็เกิดในครรภ์ที่ไม่ดี

ท่านผู้ชมครับ นี่บรรจุลงไปในพระไตรปิฎก คุณน็อต คุณจะฉลาดไปกว่าพระพุทธเจ้าได้อย่างไร อย่าทะลึ่งได้ไหม เด็กเมื่อวานซืน พระพุทธเจ้าท่านทรงเป็นสัพพัญญู เกือบสามปีที่แล้ว พระองค์ท่านสอนอะไรมา แนะนำอะไรมา พระไตรปิฎกพูดออกมาตั้งหลายเรื่อง เป็นความจริงทั้งสิ้นในปัจจุบัน ในอดีตพระไตรปิฎกเคยพูดถึงดีเอ็นเอ เคยพูดถึงหลายเรื่อง แต่ใช้ภาษาอีกภาษาหนึ่ง แต่สรุปมาในยุคปัจจุบันมันก็คือดีเอ็นเอนั่นเอง

เพราะฉะนั้นแล้ว คุณอย่ามาอวดรู้ว่าคุณรู้ดีกว่าพระพุทธเจ้า ถ้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยกับคุณ หรือว่าคุณพูดถูก หรือพระพุทธเจ้าไม่พูดบอกว่าคนเราต้องมีความกตัญญูรู้คุณคน กตัญญูต่อพ่อแม่ กตัญญูต่อแผ่นดินที่ให้คุณเกิด กตัญญูต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งดูแลแผ่นดินนี้มาตั้งแต่ต้น สร้างแผ่นดินนี้ขึ้นมา


ความเห็นทั้งหมดที่ดูคลิปสองตอน เป็นคลิปต้นฉบับ และที่ออกมาชี้แจงของ คุณน็อต "บ้านกูเอง" เจ้าของคลิป ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายเท่าไรนัก เพราะรู้จัก ไม่ได้สุดโต่ง แต่เขาพาดหัวคลิปให้ดูรุนแรง จากเนื้อหาที่พูด คุณน็อตก็เป็นคนที่ครอบครัวเลี้ยงดูมาดีพอสมควร รักแม่ รักครอบครัว แต่ประเด็นอยู่ที่ไหน ? แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราปฏิเสธไม่ได้ ปฏิเสธความคิดไม่ได้ว่าพ่อแม่ไม่มีบุญคุณกับลูก ครูไม่มีบุญคุณกํบลูกศิษย์และนักเรียน มันกลายเป็นประเด็นที่ถูกปลูกฝังเข้ามาในความคิดเด็กในยุคนี้หลายๆ คนไปแล้ว โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ รวมทั้งเด็กและคนรุ่นใหม่ม็อบสามนิ้ว

ท่านผู้ชมครับ หรือพ่อแม่พี่น้องครับ หรือลุงป้าน้าอา ในความเห็นของผม ความคิดนี้เป็นความคิดที่อันตรายมากต่อสังคม คุณจะเอาคนไปเปรียบเทียบกับหมา แมว ไม่ได้ เพราะความกตัญญูกตเวทีเป็นคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ "นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา" คือพุทธสุภาษิตที่แปลความหมายว่า "ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี"


ผมเอาตัวอย่างโพสต์ในโซเชียลจากกลุ่มต่อต้านสถาบันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งแพร่กระจายความคิดว่าประเทศชาติ สถาบัน ไม่มีบุญคุณกับประชาชน เพราะประชาชนทุกคนต้องจ่ายภาษี ทุกคนจ่ายภาษีหรือเปล่า ? ถ้าผมจำไม่ผิด คนจ่ายภาษีมีไม่มากนะ คิดแล้วยังไม่ถึง 15-20 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งหมด ลามไปถึงการเลิกทาศของรัชกาลที่ 5 โดยคำนึงถึงแต่ว่าไม่ได้เป็นบุญคุณแต่รัชกาลที่ 5 เป็นสิทธิความเป็นมนุษย์อยู่แล้ว การโพสต์ดังกล่าวปราศจากการพิจารณาถึงบริบทของสังคมและประวัติศาสตร์ในอดีตเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว


การเลิกทาส ถ้าพระองค์ท่านไม่ได้มีความเมตตากรุณาต่อประชาชนแล้ว พระองค์จะเลิกทาสไปทำไม จังหวะเหมาะที่พระองค์ท่านได้ไปเห็น แล้วความคิดพระองค์ท่านก็ก้าวหน้าว่ามนุษย์นั้นควรที่จะหมดสิ้นความเป็นทาสไป คุณไปดูที่อเมริกา ประเทศที่คุณนับถือเป็นบิดาของคุณ ทุกวันนี้ก็ยังมีทาสอยู่ไม่ใช่หรือ ? ทาสเงินไง ทาสวอลล์สตรีทไง ทาสบริษัทต่างๆ ไง บางคนก็ยังระบุว่า การสังคมสงเคราะห์เป็นการเอาบุญคุณมาแทนสิทธิที่พึงได้

คุณน็อตครับ ท่านผู้ชมครับ ผมมีคนที่วางของขายอยู่ริมบ้านเจ้าพระยา ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานีโทรทัศน์ เขาเป็นคนที่ลุกขึ้นมาสู้ร่วมกับพันธมิตรฯ แล้วเขาได้รับบาดเจ็บ พิการทางขา ลูกเขาเรียนจบแล้ว จะต้องเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็บอกว่า ผมไม่มีเงินที่จะส่งเขาเรียนมหาวิทยาลัย ท่านผู้ชมครับ ผมเป็นคนเสนอตัวช่วยเขาเอง ว่าค่าเทอมเท่าไรให้มาเอาที่ผม เดี๋ยวผมออกให้ เพราะอะไร ? คุณตี๋ เขามีบุญคุณกับแผ่นดินไทย เขาลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่ชอบของรัฐบาล การทุจริตคอร์รัปชัน จนเขาพิการ แผ่นดินตอบแทนอะไรเขาบ้าง ? ก็ไม่ได้ตอบแทนเขา แต่ผมในฐานะเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์กับเขา ผมมีสถานภาพที่ดีกว่าเขา ผมก็เลยรับผิดชอบในการดูแลลูกเขา เพื่อให้ได้เรียนหนังสือ แล้วเขาบอกว่าอย่างไร รู้ไหม ? เป็นบุญคุณกับผมมาก กับครอบครัว

ถ้าใช้ปรัชญาของพวกคุณ ก็ไม่ใช่บุญคุณหรอก ไม่ได้มีความรักกัน เพราะไม่ได้เจอกัน ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วทำไมเกิดเป็นบุญคุณขึ้นมาได้ ? เพราะมันเป็นพื้นฐาน ขั้นพื้นฐาน มันเป็นคุณสมบัติแรกของความเป็นมนุษย์ ที่ต้องรู้ หมามันยังรู้เลยว่าใครให้ข้าวมันกิน ไหนๆ คุณพูดถึงหมากับแมวแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าหมา สัตว์เลี้ยง มันยังรู้ว่าใครมีบุญคุณ แล้วคุณบอกว่ามนุษย์เราไม่ควรจะมีบุญคุณซึ่งกันและกันได้อย่างไร ผมไม่รู้ว่าคุณเอาตรรกะเพี้ยนๆ แบบนี้มาคิดได้อย่างไร


นอกจากนี้ เด็กบางคนยังบอกว่าเรื่องบุญคุณพ่อแม่เป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันของประเทศที่ไม่มีรัฐสวัสดิการ โดยเฉพาะในประเทศไทยของเรา คนที่มีความคิดของเรื่องระบบอาวุโส ระบบศักดินา ภาระต้องเลี้ยงดูพ่อแม่จึงตกมาที่ลูก เพราะว่ารัฐไม่ได้ดูแลพ่อแม่เหมือนประเทศที่เจริญแล้ว นี่คุณกำลังพูดถึงประเทศทางสแกนดิเนเวียใช่ไหม คุณไปดูที่อเมริกาสิ อเมริกา ประเทศที่คุณเชิดชูว่าเป็นประเทศที่เป็นบิดาบังเกิดเกล้าของคุณ มันเคยดูแลประชาชนที่ไม่สบายไหม ไม่ มันให้ประชาชนไปซื้อประกันสุขภาพที่แพงหูฉี่เลย ถ้าไม่มีประกันสุขภาพก็ตายข้างถนน อ้าว ไหนบอกว่ารัฐจะต้องดูแลไง ก็ไม่ได้ดูแล

การปูพื้นฐานความคิดเรื่องสังคมเท่าเทียม สังคมไม่มีชนชั้น เราไม่ต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดิน เพราะประชาชนจ่ายภาษี ประเทศชาติจึงไม่มีบุญคุณกับประชาชน กษัตริย์ไม่มีบุญคุณกับประชาชน เพราะกษัตริย์อยู่ได้เพราะประชาชน

ท่านผู้ชมครับ การใส่ข้อมูล ใส่ความคิดบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำลายความเชื่อรากฐานทางคุณธรรมเหล่านี้ ปั่นกระแสเรื่องราวเหล่านี้ผ่านสื่อต่างๆ ผ่านตำรา ผ่านนักวิชากา ผ่านนักการเมือง ผ่านการเคลื่อนไหว ผ่านโซเชียลมีเดีย จริงๆ แล้วคือการปูทางไปสู่แนวคิดขอกงารสร้างรัฐสวัสดิการของพรรคก้าวไกล ในวันนี้ประกาศแล้วว่าต้องการสร้างประเทศไทยให้เป็นรัฐสวัสดิการ


ผมถามจริงๆ เถอะว่าแนวคิดรัฐสวัสดิการนั้น ผิดไหม ? ตอบได้ว่าไม่ผิด ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Welfare State เพราะในโลกนี้มีหลายประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการ แต่ที่จะผิดก็คือ การนำไปสู่รัฐสวัสดิการในแนวความคิดของพรรคก้าวไกลนั้น เริ่มต้นจากพื้นฐานที่ผิดพลาด คือเริ่มต้นบนพื้นฐานความต้องการจะทำลายสถาบันหลักของชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันกษัตริย์ และยังอยู่บนพื้นฐานการทุบทำลายประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี ขันติอันดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา ยกตัวอย่าง วันวิสาขบูชา ที่ผ่านมา ให้คนออกมาปั่นว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายขายเหล้าได้ตลอดวัน ยกเลิกการห้ามขายเหล้า ฆ่าสัตว์ในวันพระ เพื่อสร้างสังคมคนเท่ากัน อ้ายหรืออีคนนี้ที่คิด มันไม่ใช่มนุษย์ เพราะว่าจิตใจมันไม่มีความเคารพหลักศาสนาเลยแม้แต่นิดเดียว และมันก็ไม่ใช่พุทธศาสนิกชนด้วย มันไม่ได้เคารพในพุทธศาสนา


"ขายเหล้าได้ตลอดวัน ยกเลิกการห้ามขายเหล้า ฆ่าสัตว์ในวันพระ" มันสร้างสังคมให้คนเท่ากันหรือเปล่า ? ทุเรศที่สุด และอำนวยความสะดวกให้คนซื้อเหล้าดื่มได้ทั้งวัน ซื้อได้ในวันพระ มันดีต่อสังคมอย่างไร ? แล้วพวกคุณพูดกันไม่ใช่หรือว่ากัญชามันไม่ดี ต้องเอากลับไปเป็นยาเสพติด ทั้งๆ ที่มันเป็นยารักษาโรคได้ ทุกคนต้องพึ่งพามัน โดยไม่ต้องพึ่งพายาฝรั่ง แถมยังเสพติดยากกว่าสุรา เบียร์ บุหรี่้ หรือแม้กระทั่งกาแฟ นี่คุณพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล พูดเองนะ แต่ทีสุรามีโทษมอมเมา คนเสียเงินเสียทอง ตกลงคุณจะเอาอย่างไรกันแน่ ?

กลับมาถึงเรื่องรัฐสวัสดิการต่อ พวกคุณออกนโยบายมาสวยหรูเต็มไปหมด เรื่องรัฐสวัสดิการ ตั้งแต่เกิด จนแก่ ใช้เงินมหาศาลไม่ต่ำกว่าเกือบ 7 แสนล้านบาท ผมเอาโปสเตอร์ให้ดู "เติบโต" 1. เรียนฟรี อาหารฟรี มีรถรับ-ส่ง 2. คูปองเปิดโลก 3. ผ้าอนามัยไม่เก็บ VAT แจกฟรีในโรงเรียน "ทำงาน" 1. ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นทุกปี เริ่มต้นวันละ 450 บาท นี่ก็โกหกอีกแล้ว คุณถอยกรูดเลยไม่ใช่หรือ ถ้าคุณมั่นใจและคุณพูดจริง คุณไม่โกหกประชาชน คุณต้องยืนหยัดอยู่บนค่าแรง 450 บาท ทำไมคุณถึงไม่ยืนหยัดล่ะ 2. สัญญาจ้างเป็นธรรม ทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ 3. แรงงานทุกกลุ่มตั้งสหภาพได้ สอดคล้องหลักการ ILO 4. ประกันสังคมถ้วนหน้า เจ็บป่วยได้เงินชดเชย และค่าเดินทางหาหมอ 5. เรียนเสริมทักษะ - เปลี่ยนอาชีพฟรีไม่จำกัด "สูงวัย" 1. เงินผู้สูงวัย เดือนละ 3,000 บาท สร้างระบบดูแลผู้ป่วยติดเตียง 2. ค่าทำศพถ้วนหน้า 10,000 บาท


นี่คุณลืมไปแล้วหรือว่าคุณอยู่บนโลกมนุษย์ มันมีต้นทุน มันมีค่าใช้จ่าย แล้วคุณคิดว่า 6-7 แสนล้านบาท จะดูประเทศไทยทั้งประเทศได้หรืออย่างไร คุณหมอคนหนึ่งเพิ่งลาออกจากโรงพยาบาลรัฐ เพราะบอกว่ารับไม่ไหว กระทรวงสาธารณสุขยังยอมรับว่าหมอ 1 คน ต้องดูแลคนไข้ 2,000 คน 3,000 บาท ผมก็เป็นผู้สูงวัย ผมยังรออยู่ว่าเมื่อไรจะมาเสียที 3,000 บาท และผมเชื่อว่าไม่มา เพราะคุณไม่มีตังค์

สรุปแล้วนโยบายรัฐสวัสดิการของคุณก็คือการโกหกหลอกลวงเพื่อให้คุณได้เสียงเข้ามา แล้วคุณก็ทำไม่ได้

นโยบายขึ้นค่าแรง 450 บาท นโยบายแรงงานทำไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นี่คุณกำลังเลียนแบบประเทศทางสแกนดิเนเวียมาใช่ไหม ? ถ้าเกิน นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลา หรือ OT วันนี้ประชาชนที่ใช้แรงงานก็บอกว่าคุณอย่ามายุ่งกับชีวิตผมได้ไหม คุณมายุ่งกับชีวิตผมแบบนี้ เจ้าของโรงงาน เจ้าของร้าน ก็ให้ออกกัน ถ้าร้านก๋วยเตี๋ยวมันปิดเพราะว่าค่าแรง 450 บาท แล้วลูกจ้างที่ทำงานอยู่ได้ค่าแรงวันละ 300 บาท บางแห่งไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ แต่ก็มีอาหารการกิน กินก๋วยเตี๋ยวฟรี อาหารไม่ต้องเสียเงิน บางคนกินอยู่กับนายจ้าง เขายังมีชีวิตอยู่ได้ สามารถสะสมเงินทองได้ที่จะทำงานต่อไป แต่ด้วยความเพ้อเจ้อของพวกคุณที่เดินบนทุ่งลาเวนเดอร์ พวกนี้ เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวบอกว่าไม่ไหว 450 บาท ปิดร้านดีกว่า อย่าไปขายมันเลย เล็กๆ น้อยๆ นี่เป็นล้านๆ หลายแสน หลายล้านหน่วยงานเล็กๆ คนตกงานอีกเท่าไร แล้วใครจะรับผิดชอบ พรรคก้าวไกลรับผิดชอบได้หรือเปล่า ?


แจกเงินเด็กเล็ก 1,200 บาท ทุกเดือน เรียนฟรี อาหารฟรี มีรถรับ-ส่ง ผมยังไม่เห็นเลยว่าจะมีรถรับ-ส่งทุกโรงเรียนได้อย่างไร ส่งจากไหนล่ะ สมมุติอยู่ในเขตพระนคร มีนักเรียนไปเรียนหนังสือ แล้วคุณจะส่งจากไหน ค่าทำศพล่วงหน้า 10,000 บาท แจกเงินผู้สูงอายุ 3,000 บาท ให้สิทธิลาคลอด 180 วัน หรือ 6 เดือน เขาก็จะบอกว่า ผมให้ลาคลอดได้ไม่เกิน 3 เดือน ถ้า 6 เดือน คุณอย่าอยู่ที่นี่เลย คุณไปทำงานที่อื่นดีกว่า คุณกำลังทำลายเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานที่ประชาชนผู้ยากไร้ต้องพึ่งพาอาศัย ลดค่าไฟจริงๆ 70 สตางค์ต่อหน่วย รถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด น้ำประปาดื่มได้

ท่านผู้ชมครับ คุณพิธาครับ คนที่เขียนนโยบายนี้ น่าจะมาจากโลกพระอังคารมั้ง มันไม่ดูข้อเท็จจริงเลย ท่านผู้ชมยอมรับกับผมไหมว่า เวลาเราจะทำอะไร เราจะต้องพิจารณาถึงความจริงก่อน ถ้าความจริงเป็นอย่างนี้แล้ว เราเข้าใจความจริงได้ เราแก้ปัญหาไปแล้ว 50 เปอร์เซ็นต์ แต่นี่ไม่ได้พิจารณาเรื่องความจริงเลย คือเขียนเพื่อให้ได้คะแนนเสียง ทั้งหมดนี้มันมาจากแนวคิดของ ดร.ป๋วย "จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน" โดย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์

ท่านผู้ชมครับ การดำเนินนโยบายสวัสดิการก้าวหน้าตั้งแต่เกิดจนตายของพรรค ร่างความคิดนี้ต้องใช้เงินเกือบ 7 แสนล้านบาท ประเด็นที่สำคัญคือ คุณเอามาจากไหน ? เราถึงเห็นการอภิปรายเรื่องงบประมาณ 2566 ของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าต้องเป็นงบช้างป่วย เปรียบข้าราชการว่าเป็นช้างป่วย กระทบกระเทือนไปถึงข้าราชการบำนาญทั่วประเทศจำนวนหลายล้านคน ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แล้วคุณพิธาต้องรีบออกมาแก้ข่าว แก้ตัวว่าที่ตนพูดไปว่า "ช้างป่วย" นั้น ไม่ใช่ข้าราชการ แต่หมายถึงการบริหารจัดการงบประมาณภาษีต่างหาก


นอกจากนี้ อย่างที่ผมเล่าให้ฟังไปตอนที่แล้วว่า คุณศิริกัญญา ตันสกุล หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล เขาแจกแจงว่า เงิน 6.5 แสนล้านบาท เอามาจากไหน ซึ่งผมเคยพูดไปแล้ว ทั้งหมดนี้คุณไหม ศิริกัญญา ได้แจกแจงรายละเอียดผ่านการให้สัมภาษณ์เมื่อวันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 เกิดอะไรขึ้น ? นักธุรกิจ นักลงทุนรายใหญ่-รายย่อย นักเศรษฐศาสตร์ ประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง จำนวนมาก คุณศิริกัญญาครับ คุณพิธาครับ เขาช็อก เขาไม่เชื่อมั่นในตัวคุณอีกต่อไป การเก็บภาษีทั้งหมดนี้ ท่านผู้ชมสังเกตสิ ตั้งอยู่บนพื้นฐานจากการเพิ่มอัตราภาษีคนรวย ภาษีที่ดิน ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ชนชั้นกลาง พวกเรานี่ล่ะ ภาษีนิติบุคคล ตลาดทุน แต่ไม่มีการแก้ไขไปที่การปรับโครงสร้างภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ของภาษีที่เป็นสัดส่วนที่มากที่สุด สำคัญที่สุด ที่สำคัญเหล่าประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการในยุโรปนั้น ล้วนแล้วแต่เก็บภาษีในส่วนนี้ในอัตราที่สูงมาก ราว 19-25 เปอร์เซ็นต์ ด้วยกันทั้งสิ้น ภาษีมูลค่าเพิ่มไทยเก็บแค่ 7 เปอร์เซ็นต์ แต่พรรคก้าวไกลไม่ทำ กลับอ้างว่าเป็นภาษีที่ไม่เท่าเทียมกัน เพราะเก็บในอัตราเดียวกันระหว่างคนรวย-คนจน ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วคุณยอมรับหรือเปล่าว่า คุณไม่กล้าประกาศเก็บภาษี VAT เพิ่มขึ้น เพราะว่าคุณจะทำลายคะแนนเสียงทางการเมือง


ประเด็นครับ คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คุณปิยบุตร แสงกนกกุล คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คุณศิริกัญญา ตันสกุล รวมทั้งบุคลากรพรรคก้าวไกลทั้งหลาย ผมจะเตือนคุณเอาไว้ว่า ความพยายามที่จะสร้างรัฐสวัสดิการนั้น มันไม่ผิด แต่การสร้างรัฐสวัสดิการด้วยจุดเริ่มต้นด้วยการกลัดกระดุมเม็ดแรกว่าคนรวยกดขี่คนจน รัฐกดขี่ประชาชน สถาบันกษัตริย์เอาเปรียบประชาชน คนรุ่นใหม่ถูกผูกมัดและรั้งเอาไว้ ความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศาสนา การเคารพผู้ใหญ่ บุญคุณ ความกตัญญูนั้น จึงต้องทุบทำลายแนวคิดและวัฒนธรรมนี้ที่คุณเรียกว่าอำนาจนิยมให้สิ้นซากนั้น เป็นสิ่งที่ผมพูดว่ามันไม่ถูกต้องเลย และโคตรจะไม่ถูกต้องเลย

ที่น่ากลัวคือเมื่อความคิดนี้แพร่หลายแผ่กระจายออกไป เมื่อพ่อแม่ไม่มีบุญคุณกับลูก ครูบาอาจารย์ไม่มีบุญคุณกับนักเรียน/ลูกศิษย์ ประเทศชาติไม่มีบุญคุณกับประชาชน ข้าราชการเป็นแค่ลูกจ้างประชาชน เพราะรับเงินเดือน สวัสดิการ กษัตริย์ไม่มีบุญคุณกับพลเมือง เพราะทุกคนต้องมีหน้าที่ต้องทำอยู่แล้ว และได้ผลตอบแทนที่ควรจะได้อยู่แล้ว นี่คือการทุบทำลายความเชื่อ คุณธรรมขั้นพื้นฐานของสังคม คือทุกคนทำเพราะหน้าที่ซึ่งแลกมาด้วยผลตอบแทน ผลประโยชน์ เหล่านี้คือหัวเชื้อทางความคิดที่จะนำสังคมไปสู่ความวุ่นวาย เพราะสังคมไทยนี้มีความหลากหลาย คนที่เขาเชื่อเรื่องใด ศรัทธาเรื่องใด แต่ถูกพวกคอนด้อมส้มไปรุมถล่ม บูลลี่ ด้อยค่า ใส่ร้าย เหล่านี้จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ความเสื่อม และสุดท้าย เชื่อผมสิครับ พวกคุณจะนำไปสู่การล่มสลายของประเทศชาติในที่สุด จากความที่โง่แล้วอวดฉลาด หลอกประชาชน เพื่อให้เขาลงคะแนนเสียงให้คุณ แล้วทำตามอุดมการณ์เฮงซวยของคุณ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ผมยังเคยคิดเลย ความจริงแล้วผมอยากให้คุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี จริงๆ แต่ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า สมมุติว่ารอดไป ผมอยากเห็น ไม่เกิน 2 ปี เชื่อผมสิ ประเทศไทยฉิบหายแน่นอน

จาก Red Guard ถึง Orange Guard เมื่อคนลืมราก ชาติจึงย่อยยับ

ท่านผู้ชมครับ ในประวัติศาสตร์โลกมีตัวอย่าง 2 เหตุการณ์สำคัญที่นักการเมืองใช้มวลชนเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างอำนาจให้กับตัวเอง ปลุกปั่นให้ประชาชนลุกขึ้นมาลบล้างค่านิยมเก่าๆ ที่ล้าหลัง บางแห่งก็อ้างว่าลบล้างอำนาจนิยม


สองเหตุการณ์ที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ก็คือการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน และทุ่งสังหารในกัมพูชา บทเรียนจากประวัติศาสตร์สองเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้พาประเทศหอมกลิ่นความเจริญอย่างคำกล่าวอ้างของผู้ต้องการอำนาจทางการเมือง แต่กลับสร้างหายนะภัยที่ต้องใช้เวลาเยียวยายาวนานถึงหลายสิบปี พวกลูกหลานจีนในประเทศไทย ถ้าถามอากง อาม่า หรือพ่อแม่ ว่าทำไมถึงหอบเสื่อผืนหมอนใบรอนแรมข้ามน้ำข้ามทะเลจากประเทศจีนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในประเทศไทย คำตอบที่ได้จากหลายคนคือ หนีภัยการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน

การปฏิวัติวัฒนธรรม เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง พ.ศ. 2509-2519 เป็นสิบปีแห่งความหายนะภัยบนผืนแผ่นดินจีนที่ก่อขึ้นโดยอดีตผู้นำรุ่นที่หนึ่ง คือ ประธานเหมา เจ๋อ ตง และคนใกล้ชิดที่เรียกว่า Gang of Four ซึ่งมีสมาชิก 4 คน เจียง ชิง, หวัง หง เหวิน, จาง ชุน เฉียว และ เหยา เหวิน หยวน


ทั้งนี้ จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรมมาจากความล้มเหลวของนโยบายการก้าวกระโดดไกล หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า The Great Leap Forward ที่ประธานเหมา เจ๋อ ตง ต้องการเปลี่ยนประเทศจีนจากเศรษฐกิจการเกษตร เป็นอุตสาหกรรมอย่างเร่งรัด เช่นเดียวกับสหภาพโซเวียต แต่ว่านโยบายก้าวกระโดดไกลนี้ใช้แนวความคิดทางการเมืองอยู่เหนือหลักเศรษฐศาสตร์ สร้างภัยพิบัติทางเศรษฐกิจ เกิดทุกขภัย หรือความอดอยากครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศ ในมนุษยชาติ มีคนเสียชีวิตตั้ง 55 ล้านคน

เมื่อนโยบายก้าวกระโดดไกลล้มเหลว เหมา เจ๋อ ตง ต้องการรักษาอำนาจของตัวเอง ให้ Gang of Four ปลุกปั่นเยาวชน ให้สร้างการต่อสู้ทางชนชั้น เพื่อลบล้างสิ่งเก่าๆ 4 อย่าง อุดมการณ์เก่า วัฒนธรรมเก่า นิสัยเก่า ค่านิยมเก่า คล้ายๆ กับสิ่งที่พรรคก้าวไกลกำลังทำอยู่นี้


กลุ่มยุวชนแดง หรือพวก Red Guard ถูกปลูกฝังว่าคนเท่ากัน (เอ๊ะ มันคุ้นๆ นะ) เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ เลยต้องกำจัด "4 เก่า" เขาเรียกว่า ซื่อจิ้ว ประกอบด้วย ความคิดเก่า ความเชื่อเก่า ค่านิยมเก่า ธรรมเนียมประเพณีเก่า ท่านผู้ชมคุ้นๆ ไหม หนึ่ง ต้องไม่เคารพพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ สอง ไม่ต้องมีความกตัญญู สาม ความอ่อนน้อมถ่อมตนคือความล้าหลัง ในช่วงเวลานั้นกลุ่ม Red Guard ลากตัวคนที่มีความคิดเก่าๆ ออกมาประจานในที่สาธารณะ แม้แต่พ่อแม่ ครูอาจารย์ ญาติพี่น้องตัวเอง ก็ไม่ละเว้น หลายคนถูกทรมานจนตาย อีกหลายคนทนความอัปยศอดสูไม่ได้ ก็ถูกกดดันให้ฆ่าตัวตาย คนในครอบครัว และเพื่อนฝูงหวาดระแวงกันเองว่าจะมีความคิดเป็นปฏิปักษ์ ฝักใฝ่ทุนนิยม จารีตประเพณีดั้งเดิม คุณธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กลายเป็นเรื่องล้าหลังที่ต้องถูกลบล้างให้หมดสิ้น


มาในยุคสมัยนี้ ยุคดิจิทัล ยุคกูเกิล ไม่ได้เป็นยุคแบบ Red Guard แต่ก็ทำเหมือน Red Guard ก็คือใช้โซเชียลมีเดียลงทัวร์ไปกระทืบคนที่ไม่เห็นด้วย คุณวรวรรณ ธาราภูมิ เป็นตัวอย่างให้ดี คุณวรวรรณ ค้านในเรื่องนโยบายตลาดทุนของคุณศิริกัญญา โอ้โห ทัวรืไปลงคุณวรวรรณ จนคุณวรวรรณไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไปเลย นี่คือการบูลลี่ แต่ผมบอกไปแล้วนะ คอนด้อมส้ม มาเลย! สำนักนี้ไม่เคยกลัวพวกคุณเลยแม้แต่นิดเดียว ให้ตาย! เพราะพวกคุณมันไร้สาระ เด็กเมื่อวานซืน โง่แล้วอวดฉลาด


สิ่งที่กลุ่ม Red Guard ได้กระทำในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ทำอะไรบ้าง ? เยาวชนถูกกระตุ้นให้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันต่างๆ (เหมือนสามนิ้วไหม ?) ตั้งคำถามต่อพ่อแม่ ครูอาจารย์ ลูกศิษย์ประณามครูอาจารย์ เด็กๆ ประณามพ่อแม่ เอ้า! มาแล้วไง มีนโยบายที่บอกว่า พ่อแม่ไม่ได้มีบุญคุณต่อเรา อาจารย์ก็ตัวดี เป็นคนสอนด้วย ไม่มีศาสนา ศาสนาถูกมองว่าเป็นความงมงาย เป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครอง วัด โบสถ์ มัสยิด ถูกปล้นสะดมและทำลาย นักบวชถูกจับกุมและส่งไปค่ายกักกัน พระถูกใช้ปืนข่มขู่ ทำลายวัดวาอารามของตัวเอง สมัยนี้พระถูกขู่ด้วยว่าให้ขายเหล้าได้ทุกวัน แม้กระทั่งวันวิสาขบูชา โดยอ้ายหรืออีตัวไหนก็ไม่รู้แห่งพรรคก้าวไกลพูดออกมา

โบราณสถาน โบราณวัตถุ มรดกทางวัฒนธรรม ถูกทำลายอย่างย่อยยับ จนมีคำกล่าวว่า โชคดีที่จอมพลเจียง ไค เช็ก ขนโบราณวัตถุจากพระราชวังต้องห้ามไปยังไต้หวัน หลังพ่ายแพ้สงครามกลางเมือง ไม่เช่นนั้นจีนคงไม่หลงเหลือมรดกทางวัฒนธรรมใดๆ ในการปฏิวัติวัฒนธรรม สุสานของพระมหาจักรพรรดิหลายพระองค์ถูกกลุ่มยุวชนแดงบุกเข้าไปปล้นทรัพย์สิน ชุดพระบรมศพมาย่ำยีและนำไปเผาทิ้ง ไม่ต้องศึกษาความรู้ ยึดถืออุดมการณ์ปฏิวัติก็เพียงพอ ห้องสมุดถูกทำลาย หนังสือถูกเผา โรงเรียนและมหาวิทยาลัยถูกสั่งปิด ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาจากประถมถึงมัธยมต้นเท่านั้น


นักการศึกษา นักวิทยาศาสตร์ และปัญญาชน ถูกมองว่าเป็นค่านิยมเก่า ถูกกวาดล้าง ทุบตีจนตาย ส่งไปยังค่ายแรงงานตามชนบท มีปัญญาชนที่เสียชีวิตไปตั้งเกือบ 1.5 แสนคน ศิลปวัฒนธรรมกลายเป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมืองและโฆษณาชวนเชื่อ นักเขียน/จิตรกร ถูกมองว่าเป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมเก่า ผู้กำกับภาพยนตร์ นักแสดง นักแต่งเพลง ถูกทรมาน จับขัง หรือส่งไปใช้แรงงาน ส่วนเครื่องดนตรีจากตะวันตก อย่างเปียโน หรือไวโอลิน ถูกทำลาย


วันที่ 3 สิงหาคม 1966 อาจารย์ผู้บริหารวิทยาลัยดนตรีกลางถูกลูกศิษย์ เด็กรุ่นหลัง จับมาประจาน ด่าทอในที่สาธารณะ พร้อมบังคับให้สวมหมวกทรงสูง เกาเม่าจี ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของพวกต่อต้านการปฏิวัติ เปลี่ยนชื่อถนน สถานที่ ผู้คนพากันเปลี่ยนชื่อตัวเอง ตั้งชื่อเด็กทารกที่เกิดมาให้สอดคล้องกับการปฏิวัติ มีการจัดตั้งกองกำลังกรรมกรติดอาวุธเพื่อตอบโต้กลุ่มนายทหารในกองทัพ ที่มองว่าเป็นปฏิปักษ์กับ Gang of Four และ Red Guard กองกำลังกรรมกรติดอาวุธได้สนับสนุนกลุ่ม Red Guard ทำการสังหารหมู่ในหลายมณฑล ผู้ตกเป็นเหยื่อคือกลุ่มเจ้าของที่ดิน เกษตรกรที่ร่ำรวย ผู้ต่อต้านการปฏิวัติ ปัญญาชนที่ชั่วร้าย และกลุ่มอนุรักษ์นิยม รวมทั้งกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของกลุ่ม Red Guard


ท่านผู้ชมครับ การสังหารหมู่ที่โหดเหี้ยมที่สุดอยู่ที่มณฑลกว่างสี กลุ่ม Red Guard สังหารผู้คน เอาเนื้อ เอาอวัยวะภายในของคนที่ถูกฆ่ามากินด้วย ประเมินว่าช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ผู้เสียชีวิตจากการสังหารหมู่ต้องมีอย่างน้อย 3 แสนคน แก๊งสี่คน ได้ปลุกกระแสสังคมไร้ชนชั้น (คุ้นๆ ไหมท่านผู้ชม พรรคก้าวไกลต้องการสังคมที่ไร้ชนชั้นไม่ใช่หรือ) เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง ปัญญาชนผู้มีการศึกษา นายทุนธุรกิจ ถูกประณามว่าเป็นศักดินา แม้แต่ผู้นำระดับสูงของจีนก็ตกเป็นเหยื่อของการกวาดล้างทางการเมืองโดยน้ำมือของกลุ่ม Red Guard เช่น หลิว เส้า ฉี, เติ้ง เสี่ยว ผิง ก็โดน นายพลเผิง เต๋อ หวย, สี จาง ซุน คือใคร ? บิดาของสี จิ้น ผิง ในหัวข้อว่า ผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรค (เอ๊ะ นี่ผมเป็นปฏิปักษ์ต่อพรรคก้าวไกล ผมจะโดนอย่างนี้หรือเปล่า ฮึ่มๆ อยู่ไม่ใช่หรือ)


สรุป ท่านผู้ชมครับ สิบปีของการปฏิวัติวัฒนธรรมได้สร้างหายนะภัย ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของประเทศจีน มีผู้เสียชีวิต ถูกทรมาน ถูกย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หลายสิบล้านคน ต้องใช้เวลาตั้งหลายสิบปีเพื่อเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น เหมือนกับที่ว่า เมื่อให้พรรคก้าวไกลบริหารชาติแล้ว 1-2 ปีพินาศแน่ แล้วเราต้องใช้เวลาอีกเป็นสิบกว่าปี หรือยี่สิบปี เพื่อฟื้นฟูสิ่งที่เสียหายไป

กลุ่มยุวชนแดงที่ไม่ได้รับการศึกษา ไม่สามารถทำการงานได้ กลายเป็นภาระของสังคม เป็นกลุ่มที่ถูกตั้งฉายาว่า เป็นรุ่นที่หายไป

เศรษฐกิจประเทศจีนอยู่ในภาวะระส่ำระสาย เพราะปัญญาชนผู้เชี่ยวชาญ ถูกกำจัดจนเกือบหมดสิ้น ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่น โรงงาน ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ ขาดแคลนเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่พื้นฐาน สิ่งล้ำค่าทางประวัติศาสตร์หลายพันปีของจีนถูกทำลาย ถูกลักลอบนำไปขายต่างประเทศ อารยธรรมจีนเผชิญความสูญเสียครั้งใหญ่เหมือนกับยุคเผาตำราฆ่านักปราชญ์ในยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ คนจีนยุคนั้น ตอนนั้น กลายเป็นคนไร้ราก ขาดสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ทั้งสถาบันทางครอบครัว ศาสนา หรือคุณธรรมพื้นฐาน ถูกลบล้างในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม เหมือนกับนโยบายพรรคก้าวไกล

นักท่องเที่ยวจีนในช่วงแรกๆ ที่ถูกตำหนิว่าไม่มีมารยาท ส่วนหนึ่งเป็นผลตกค้างจากการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่วันนี้นักท่องเที่ยวจีนที่ไม่มีมารยาทก็ลดจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ เพราะรัฐบาลจีนได้พยายามฟื้นฟูค่านิยมดั้งเดิม รวมทั้งใช้เทคโนโลยีใหม่ อย่างเช่น ระบบคะแนนคุณธรรม ขึ้นบัญชีดำของประชาชนที่ทำให้ประเทศจีนเสื่อมเสียให้กับประเทศ นักท่องเที่ยวที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมจะถูกสั่งห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศ นี่คือประเทศจีนยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ฟังแล้วมันคล้ายๆ กับการปลุกม็อบสามนิ้วให้เกิดขึ้นเพื่อทำลายสิ่งเก่าๆ ให้หมดเลย ท่านผู้ชมว่ามันเหมือนกันไหม ? แล้ว Gang of Four มีใครล่ะ ? คิดดูเอาเองก็แล้วกัน มีอยู่ 4 คน ที่วางแผนเรื่องนี้อยู่

อีกเรื่องหนึ่งที่อยู่ข้างๆ บ้านเรา เขมรแดง เซ็ตซีโร่กัมพูชา ประเทศชาติกลายเป็นทุ่งสังหาร ท่านผู้ชมครับ นอกจากการปฏิวัติวัฒนธรรมในประเทศจีนแล้ว ยังมีตัวอย่างอีกกรณีหนึ่งที่เป็นแนวความคิดคนต้องเท่ากัน ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างสุดโต่ง คือเหตุการณ์ทุ่งสังหารในกัมพูชา ที่นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเขมรมากกว่า 2 ล้านคน หรือ 1 ใน 4 ประชากรกัมพูชาในขณะนั้น จากน้ำมือของเขมรแดง

ท่านผู้ชม น่าสนใจมาก เขมรแดงถือกำเนิดโดยกลุ่มปัญญาชนปารีส คือคนที่ไปเรียนฝรั่งเศสนั่นล่ะ ใครล่ะในประเทศไทยที่ไปเรียนฝรั่งเศส ที่เป็นแกนนำน่ะ คือกลุ่มนักศึกษาชาวกัมพูชาที่ได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาล ให้ไปศึกษาต่อในกรุงปารีสช่วงทศวรรษที่ 1950 พวกนี้ได้สมาทานแนวความคิดฝ่ายซ้าย จัดตั้งสมาคมที่มีนักศึกษาเขมรในปารีสเข้าร่วมราว 200 คน นอกจากนี้ ยังได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงพระนโรดม สีหนุ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เหมือนคนบางคนที่จบมาจากฝรั่งเศส เน้นในเรื่องของเสรีภาพ ภราดรภาพ ความเท่าเทียมกัน ทุกคนต้องเท่าเทียมกันหมด

พอล พต
สมาชิกคนสำคัญในกลุ่มปัญญาชนฝรั่งเศส ได้แก่ ซาล็อธ ซาร์ ถ้าออกชื่อเขมรแล้วท่านผู้ชมอาจจะรู้จัก "พอล พต" ไง สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนช่างในกรุงพนมเปญ ได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาล ไปศึกษาต่อด้านวิศวกรรมฯ ไฟฟ้า ที่ฝรั่งเศส

เอียง ซารี
คนที่สองชื่อ "เอียง ซารี" ได้รับการศึกษาจากวิทยาลัยสีสุวัตถิ์ ในกรุงพนมเปญ ได้รับทุนการศึกษาเพื่อไปศึกษาต่อที่ฝรั่งเศสด้านการพาณิชย์ แต่ต่อมาได้เปลี่ยนไปเรียนทางด้านรัฐศาสตร์

เขียว สัมพัน
"เขียว สัมพัน" ได้รับการศึกษาจากวิทยาลัยสีสุวัตถิ์ มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์ สนิทสนมกับ "ฮู ยวน" นักศึกษาอีกคนหนึ่งของกลุ่มปัญญาชนปารีส ทั้งคู่เรียนจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยปารีส และได้เขียนวิทยานิพนธ์ที่ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจของกัมพูชานั้นพึ่งพาประเทศที่พัฒนามากเกินไป

ฮู ยวน
คนที่สี่คือ "ซอน เซน" ศึกษาต่อในฝรั่งเศสด้านศึกษาศาสตร์วรรณกรรม มีความสนใจด้านยุทธศาสตร์การทหารอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามสมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ 1

ซอน เซน
คนสุดท้ายคือ "ฮู นิม" สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านกฎหมายจากฝรั่งเศส สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยพนมเปญ เขามีความสนใจเรื่องบทบาทการเงินของกัมพูชาที่ถูกภายนอกครอบงำ

ฮู นิม
นอกจากสมาชิกที่เป็นผู้ชายแล้ว ในกลุ่มปัญญาชนปารีสยังเชื่อมสัมพันธ์กันโดยให้ญาติพี่น้องผู้หญิงแต่งงานกับสมาชิกฝ่ายชายในกลุ่ม สมาชิกหญิงเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในระบอบการปกครองกัมพูชาหลังการปฏิวัติเขมรแดง สาเหตุที่ทำให้คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้เชื่อมั่นในลัทธิคอมมิวนิสต์มาจากบริบททางการเมืองโลกในขณะนั้น การเคลื่อนไหวในแนวทางคอมมิวนิสต์กำลังเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกนำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ของขบวนการคอมมิวนิสต์ในกัมพูชาต่อเจ้าอาณานิคม ฝรั่งเศส การได้รับชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์จีน การเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์และฝ่ายต่อต้านในเกาหลี การเข้าสู่ยุครุ่งเรืองสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส เป็นต้น

รัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยภายใต้การนำของเขมรแดงอยู่ในอำนาจได้เพียง 3 ปี ก็ถูกโค่นล้มโดยกองกำลังที่สนับสนุนโดยเวียดนาม แต่สงครามกลางเมืองของกัมพูชายังยืดเยื้อไปนานอีกหลายปี จากการแย่งชิงอำนาจของเขมร 4 ฝ่าย ที่แต่ละฝ่ายก็มีแต่ละชาติหนุน จนกระทั่งฮุน เซน, เฮง สัมริน และ เจีย ซิง ที่เวียดนามหนุนหลัง สามารถยึดกุมอำนาจในกัมพูชาได้อย่างสมบูรณ์ และกลายเป็น 3 สมเด็จแห่งกัมพูชาแห่งยุควันนี้


ท่านผู้ชมครับ ความโหดร้ายของเขมรแดงถูกนำมาสร้างภาพยนตร์เรื่อง "ทุ่งสังหาร" หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า The Killing Fields คุกตวลสเลง เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเขมร มีการจัดตั้งศาลพิเศษของสหประชาชาติเพื่อพิจารณาโทษอดีตผู้นำเขมรแดง แต่ว่าเกือบทุกคนตายไปเสียก่อน

ทั้งสองเรื่องนี้ Red Guard กับ เขมรแดง ให้ข้อคิดอะไรบ้าง ? คือคนลืมราก ชาติมันถึงพินาศฉิบหายย่อยยับ หายนะภัยการปฏิวัติประเทศจีน และเหตุการณ์ทุ่งสังหารในกัมพูชา อาจจะดูเหมือนว่าเป็นเหตุการณ์สุดโต่ง แต่ว่ากงล้อประวัติศาสตร์หมุนเวียนซ้ำรอยตัวเองเสมอ โดยเมื่อผู้คนถูกสั่งสอนให้นับถือความเท่าเทียมกันมากกว่าความผูกพัน และเมื่อความกตัญญูรู้คุณคนถูกละเลยโดยอ้างว่าเป็นหน้าที่ ในวันนี้ประเทศจีนยังคงเป็นคอมมิวนิสต์ แต่เขารื้อฟื้นคำสอนปราชญ์โบราณ คือ "ขงจื๊อ" ที่กล่าวว่า "ความกตัญญูเหนือกว่าคุณธรรมทั้งปวง" แต่คนไทยบางประเภท ณ วันนี้ ณ เวลานี้ กลับปฏิเสธคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า "นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา" แปลว่า "ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี"

ท่านผู้ชมครับ คอนด้อมส้มครับ คุณพิธาครับ คุณปิยบุตรครับ คุณช่อ พรรณิการ์ครับ คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจครับ ถ้าคนเราไร้ซึ่งความกตัญญู บ้านก็ไม่อาจอยู่ยั้ง ถ้าประชาชนไร้ซึ่งความภักดี ชาติก็ไม่อาจยืนยง เมื่อคนมันลืมราก ชาติเลยต้องย่อยยับ ครับ

สงครามอินโด-แปซิฟิก
คือ เรื่องปั่น หรือ ความจริง
?

ตลอดระยะเวลาหลายเดือนและหลายปีที่ผ่านมา ผมพูดผ่านรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ออกมาเตือนทุกๆ ฝ่าย เตือนรัฐบาลตั้งแต่ยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ฝ่ายความมั่นคง เรื่อยมาจนกระทั่งถึงคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกฯ และพรรคร่วมรัฐบาลที่กำลังวางแผนจัดตั้งรัฐบาลกันอยู่ ผมบอกว่าขณะนี้ให้ระวังภัยสงครามใหญ่ที่อาจจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน ท่านผู้ชมครับ มันใกล้ตัวเรามากๆ นะ ถ้าเราดำเนินนโยบายด้วยความหละหลวม ประเทศไทยที่พวกเรารักจะกลายเป็นสมรภูมิได้ทุกเมื่อ ก็คือกลายเป็นยูเครน 2 นั่นเอง เหมือนกับที่ท่านประธานเครือสหพัฒนพิบูล พูดมา คือคุณบุณยสิทธิ์


สถานการณ์ต่างๆ ทางภูมิรัฐศาสตร์โลกก็มาประจวบเหมาะกับการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับหนึ่ง แต่พรรคก้าวไกลดันมีนโยบายต่างประเทศที่ค่อนข้างจะชัดเจน เป็นประจักษ์หลักฐานให้เห็น จากข้อเขียนของนโยบายพรรคก้าวไกล มีนโยบายที่จะเปิดประตูให้ฝ่ายตะวันตกนำโดยอเมริกา เข้ามาใช้พื้นที่ของไทยในการปิดล้อมจีน ผมเคยพูดเรื่องนี้มาแล้ว เอาเอกสารหลักฐานให้ดูว่าข้อความนโยบายพรรคก้าวไกลระบุชัดเจนว่า จะเลือกเป็นพันธมิตรทางด้านความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกา และตั้งเป้าในการเพิ่มทรัพยากรสำหรับการฝึกร่วมคอบร้าโกลด์ ที่จัดขึ้นในไทย พอผมออกมากล่าวเตือน หลายคนก็บอกว่า พอพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง ผมก็ปั่นกระแสสงครามให้คนกลัว บางคนถึงกับบอกว่าภัยสงครามและการแทรกแซงของชาติตะวันตกนั้นไม่มีอยู่จริง สิ่งที่ผมพูด สิ่งที่ผมเตือนนั้น ผมได้โกหกขึ้นมา


ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชม หรือบรรดาคอนด้อมส้มทั้งหลาย แฟนคลับพรรคก้าวไกลทั้งหลาย ที่บอกว่าตัวเองมีความเป็นสากล หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Global Citizen เก่งภาษาอังกฤษกันนั้น เก่งจริงๆ ลองไปติดตามข่าวสารในโลกนี้ ณ เวลานี้ดู พวกคุณจะพบความจริงที่ว่า สถานการณ์สงครามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมันใกล้ตัวเรามากจริงๆ และอาจจะปะทุขึ้นเมื่อไรก็ได้ ที่สำคัญที่สุดคือ เซเลนสกี และยูเครน พ่ายแพ้ให้แก่รัสเซียเร็วขึ้นเท่าไร ความเข้มข้นของการปั่นกระแสสงครามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งประเทศไทยนั้น จะยิ่งเข้มข้นและมีความรุนแรงมากขึ้น


ปลายเดือนที่แล้ว วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม 2566 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน กล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งชาติของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นการประชุมลับและเป็นการประชุมที่มีจำนวนคนไม่มากนัก แต่ก็มีข่าวหลุดออกมา และมีการแถลงอย่างเป็นทางการว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พูดว่า ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด (Worst case scenario) และเตรียมพร้อมรับมือคลื่นลมกระหน่ำ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เตือนประเทศจีนให้เตรียมรับคลื่นลมที่กระหน่ำ โดยระบุว่าขณะนี้จีนกำลังเผชิญสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่ซับซ้อน และยากลำบาก

เรามาดูหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ สื่อฮ่องกง พาดหัวว่า "China facing 'more complex' security challenges, President Xi Jinping says, warns of 'worst-case' situation." แปลเป็นไทยก็คือว่า สี จิ้นผิง บอกว่าจีนกำลังเผชิญสถานการณ์ความท้าทายด้านความมั่นคงที่ซับซ้อน และเตือนว่าให้เตรียมรับมือกรณีที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือสงครามนั่นเอง


ทั้งนี้ ถามว่า "คลื่นลมกระหน่ำ" ที่สี จิ้นผิง กล่าวนั้น ถูกสื่อมวลชนตะวันตกแปลความว่า เป็นความขัดแย้งในทะเลรอบประเทศจีนและไต้หวัน แต่ความจริงแล้ว คำว่า "คลื่นลมกระหน่ำ" ที่สี จิ้นผิง กล่าวนั้นมาจากสำนวนภาษาจีนว่า 惊涛骇浪 [jīng tāo hài làng ] หมายถึงภยันตรายร้ายแรง หรือการต่อสู้ที่ดุเดือด ซึ่งไม่จำเป็นต้องสู้รบในท้องทะเล แต่หมายถึงการเผชิญหน้ากันในมิติต่างๆ ทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความมั่นคง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี

การออกมาเตือนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ส่งสัญญาณให้เห็นว่ารัฐบาลปักกิ่ง ณ เวลานี้ ตระหนักว่าสถานการณ์ด้านความมั่นคงในปัจจุบันไม่ใช่สงครามตามแบบที่ต้องรบกันด้วยอาวุธ แต่เป็นสงครามพันทาง ที่เรียกว่า Hybrid War ที่เราเจออยู่ขณะนี้ ซึ่งมีแนวรบอยู่ทุกๆ มิติ ทั้งนี้ สี จิ้นผิง ซึ่งดำรงตำแหน่งสูงสุดในกองทัพจีน คือตำแหน่งประธานกรรมาธิการความมั่นคง ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ รับผิดชอบเรื่องการแทรกซึมจากธุรกิจต่างชาติ รัฐบาลจีนได้เข้มงวดในการตรวจสอบการเข้าถึงและรวบรวมข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษา บริษัทวิจัยของต่างชาติ ที่มีสำนักงานในประเทศจีน ว่าใช้ธุรกิจบังหน้าเพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวกรอง ข้อมูลด้านเทคโนโลยี และ/หรือ ข้อมูลที่มีความสำคัญต่อจีนหรือไม่

ท่านผู้ชมครับ การที่จีนมีนโยบายเช่นนี้ก็เพื่อรับมือกับการปิดล้อมของสหรัฐฯ และชาติตะวันตกในหลายมิติ เห็นได้จากอเมริกาใช้ 3 กระทรวงสำคัญ คือ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ สามกระทรวงของอเมริการ่วมกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ทั้งมิติด้านความมั่นคง การทูต และเศรษฐกิจ เพื่อปิดล้อมจีนในทุกด้าน

ท่านผู้ชมครับ เราไม่ต้องแปลกใจเลยถ้ารัฐบาลไทยจะเริ่มแสดงทีท่าเป็นปฏิปักษ์กับจีน แล้วจีนก็จะออกมาตรการกีดกันการท่องเที่ยว การส่งสินค้า มาตรการการตรวจสอบผลไม้ รวมถึงมาตรการเศรษฐกิจอื่นๆ กับไทย เพราะว่าภูมิรัฐศาสตร์ในยุคนี้ การปะทะกันนั้น อย่างที่เรียนให้ทราบว่ามันมีทุกมิติร่วมกันหมดเลย มิติทางความมั่นคง มิติทางการทหาร มิติทางการเศรษฐกิจ มิติทางเทคโนโลยี


จีนเคยมีปัญหากับเกาหลีใต้ตอนที่เกาหลีใต้จะเอาจรวดแพทริออต จรวดต่อต้านขีปนาวุธ ติดตั้งที่ประเทศเกาหลีใต้ และหันจรวดไปทางประเทศจีน จีนบอกชัดเจนว่าอย่านะๆๆ เกาหลีใต้ไม่เชื่อ จีนก็เลยสั่งปิดห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ซึ่งตั้งอยู่หลายสาขาในประเทศจีน คือ ล็อตเต้ (Lotte) ถ้าท่านผู้ชมติดตามข่าวต่างประเทศมานานแล้วจะเข้าใจตอนนั้น ช่วงนั้นคนจีนเลิกใช้รถยนต์ของเกาหลี (ฮุนได) ไม่เข้าล็อตเต้ จนกระทั่งล็อตเต้ในประเทศจีนนั้นไม่มีคนเข้าเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะคนจีนเป็นคนที่ชาตินิยมมาก เขารักชาติ ไมเหมือนคนไทย คนไทยรักชาติน้อย แต่รักฝรั่งมากกว่า


นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นด้วยว่ารัฐบาลจีนพร้อมจะใช้มาตรการตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ในทุกมิติ ไม่เพียงแค่การกระชับพื้นที่ภูมิรัฐศาสตร์เท่านั้น แต่หมายถึงมาตรการการตอบโต้ทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีด้วย

21 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สำนักงานความมั่นคงไซเบอร์ของจีนได้ประกาศให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยไมครอนเทคโนโลยี ซึ่งเป็นบริษัทชิป หน่วยความจำของสหรัฐฯ โดยระบุว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศจีน ห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไมครอนเทคโนโลยีให้กับผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญ เช่น หน่วยงานรัฐห้ามใช้ ผู้ที่ใช้บริการโทรคมนาคมห้ามใช้ ธนาคารและระบบสาธารณูปโภคของจีนก็ห้ามใช้ นี่คือมาตรการตาต่อตาและฟันต่อฟันที่จีนทำแบบเดียวกับสหรัฐฯ ที่ใช้มาตรการกีดกันเทคโนโลยีต่างๆ มาหลายปี


มาตรการล่าสุดของจีนทำให้อเมริกาเดือดร้อนมาก ขนาดนางจีน่า ไรมอนโด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ออกมาโวยวายว่า จีนต้องการจะพุ่งเป้าเล่นงานบริษัทสหรัฐฯ โดยตรง ท่านผู้ชมครับ นี่คือความเกเรของอันธพาลใหญ่ของโลก เพราะสหรัฐฯ เองกำหนดนโยบายเลยว่าห้ามส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ ชิป ที่จีนสั่งมา เพราะว่าจะทำให้เทคโนโลยีจีนนั้นก้าวล้ำยุคออกไป ห้ามหมดเลยนะ ห้ามไม่ให้ซัมซุงส่ง ห้ามไม่ให้อินเทลส่ง ห้ามไม่ให้ TSMC ส่ง บริษัทผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลกของไต้หวัน ห้ามหมดเลย จนกระทั่งจีนต้องพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง แต่พอจีนห้ามไมครอนของอเมริกาไม่ให้มาขายในจีน ก็โกรธเขา ทั้งๆ ที่ตัวเองห้ามทุกอย่างไม่ให้ส่งเข้ามาในประเทศจีน นี่คือลักษณะสันดานอันธพาลใหญ่ของโลกที่ชื่อสหรัฐอเมริกา

ท่านผู้ชมครับ ได้มีการประชุมความมั่นคงที่โรงแรมแชงกรี-ล่า ที่ประเทศสิงคโปร์ ที่เขาเรียกว่า Shangri-La Meeting จากคำเตือนของสี จิ้นผิง ผู้นำกองทัพจีน เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีการประชุม Shangri-La Dialogue ระหว่างวันศุกร์ที่ 2 ถึงวันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมา ที่สิงคโปร์ พลเอกหลี่ ซั่งฝู รัฐมนตรีกลาโหมจีน เพิ่งมารับตำแหน่งเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ไม่กี่เดือนมานี่เอง ได้เดินทางเข้าร่วมประชุมด้วย การมาครั้งนี้ของ พลเอกหลี่ ซั่งฝู ถือเป็นการเปิดหน้าชกกับชาติตะวันตกอย่างชัดเจน เพราะฝ่ายจีนรู้ดีว่าเวที Shangri-La Dialogue เป็นเวทีของชาติตะวันตก เพราะจัดขึ้นโดยสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ International Institute for Strategic Studies หรือ IISS ซึ่งเป็นหน่วยงานของอังกฤษ


รัฐมนตรีกลาโหมจีนกล่าวในเวทีที่ประชุมในสิงคโปร์ ว่า มหาอำนาจบางประเทศกำลังพยายามจัดตั้งพันธมิตรทางการทหารเหมือนกับเป็นนาโตแห่งเอเชียแปซิฟิก เป็นการวางแผนจับประเทศต่างๆ เป็นตัวประกัน ทำให้เอเชียแตกแยก ร้าวฉานและเผชิญหน้ากัน

พลเอกหลี่ ซั่งฝู กล่าวว่า บางประเทศ (หมายถึงอเมริกา) กำลังกระตุ้นชาติต่างๆ แข่งขันสะสมอาวุธ จงใจแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น และตอนนี้แนวความคิดสงครามเย็นเริ่มหวนกลับมาแล้ว ทำให้เพิ่มความเสี่ยงทางความมั่นคงอย่างใหญ่หลวง


ถึงแม้ว่ารัฐมนตรีกลาโหมจีนไม่เอ่ยชื่อ แต่ก็เป็นที่รู้อยู่ว่าก็คืออเมริกานั่นเอง ที่วางยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ขยายอิทธิพลในเอเชียเพื่อปิดล้อมจีน ขยายอิทธิพลโดยการขอใช้ฐานทัพเพิ่มเติมในฟิลิปปินส์ ตอนนี้มีอยู่ 4 ฐานทัพในฟิลิปปินส์ ตั้งสำนักงานสาขานาโตที่ญี่ปุ่น ตั้งกลุ่มจตุภาคี QUAD ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย จัดตั้งกลุ่ม AUKUS ออสเตรเลีย อังกฤษ สหรัฐฯ ให้ออสเตรเลียฉีกสัญญาซื้อเรือดำน้ำจากฝรั่งเศส และแย่งสัญญาการผลิตเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ให้กับออสเตรเลีย มาเป็นของสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

ท่านผู้ชมครับ รัฐมนตรีกลาโหมจีน นายหลี่ ซั่งฝู กล่าวด้วยว่า อินโด-แปซิฟิกควรเปิดกว้างให้ความร่วมมือ ไม่ใช่แบ่งแยก เลือกข้าง พร้อมเตือนว่า อย่าให้ซ้ำรอยโศกนาฏกรรมช่วงสงครามโลกที่ประเทศต่างๆ ถุกแบ่งแยกและปกครอง พร้อมกับกล่าวเตือนด้วยคำพูดที่ค่อนข้างแรงว่า ถ้าอเมริกาปะทะกับจีน จะสร้างความเจ็บปวดที่ไม่อาจจะทนได้ให้กับทุกประเทศ


ท่านผู้ชมครับ หลายท่านที่ดูรายการผม เชียร์อเมริกา ไม่ผิด แต่ผมจะเตือนอยู่อย่างหนึ่ง เมื่อใดก็ตามนโยบายต่างประเทศของไทย หรือนโยบายรัฐบาลไทย จะเป็นยุคคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งทำอย่างชัดเจน โดยระบุลงไปในนโยบายของพรรคตัวเอง ว่าพร้อมจะเป็นพันธมิตรอย่างมั่นคงกับอเมริกา ก็คือเลือกอเมริกาแล้ว ไม่เลือกจีน แทนที่จะบอกว่าพร้อมจะเป็นพันธมิตรกับทุกๆ ประเทศ ไม่พูด แต่เลือกที่จะพูดเพื่อหาเรื่อง หลายคนที่ดูรายการผมก็บอกว่ามันยังไม่เกิดขึ้น คุณอ่านหนังสือออกบ้างหรือเปล่า ถ้าคุณอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก คุณไปหาคนที่อ่านภาษาอังกฤษออกแล้วให้อ่านเรื่องราวๆ แล้วคุณจะเข้าใจ สถานกงสุลอเมริกาหนึ่งหมื่นล้านบาท ที่เชียงใหม่ มันเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะจะเป็นตัวประสานงาน ตัวควบคุมการใช้ขีปนาวุธโดยใช้สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ให้ยิงข้ามมาถึงฝั่งประเทศไทยแล้วสัญญาณตรงนี้ กงสุลอเมริกาที่ขุดลงไป 20 ชั้น มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อจะบังคับให้ขีปนาวุธนั้นไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการ


ท่านผู้ชมครับ พม่ากำลังรบกันอยู่ ระหว่างกบฏพม่า ซึ่งเป็นสายนางอองซาน ซูจี เป็นสายตะวันตก กับมิน อ่อง หล่าย ซึ่งเป็นสายชาตินิยมพม่า กำลังรบกันอย่างดุเดือด อาวุธทุกวันนี้ก็ยังส่งผ่านประเทศไทย ผ่านไปทางชายแดนพม่า มิชชันนารีต่างๆ ที่อยู่ริมชายแดนของพม่า ล้วนแล้วแต่เป็นคนของ CIA ทั้งสิ้น CIA เดินกันว่อนเต็มเชียงใหม่ไปหมดเลยตอนนี้ แล้วที่สำคัญ นายโกเดค ทูตอเมริกา เมื่อเร็วๆ นี้ก็ทะลึ่งเดินทางไปเชียงราย ดูแม่น้ำโขง ซึ่งผมเคยพูดแล้วไม่ใช่หรือว่าอเมริกาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแม่น้ำโขงเลย เพราะแม่น้ำโขงไม่ใช่แม่น้ำมิสซิสซิปปี แต่อเมริกาก็ค้านไม่ให้ไทยเข้าไปร่วมสนธิสัญญาซานย่า ในการที่จะพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง กับ 5 ประเทศที่เหลือ จนกระทั่ง 5 ประเทศเขาไม่รอไทย เขาพัฒนากันเองแล้ว


ท่านผู้ชมครับ ถ้าวันนั้นเกิดขึ้นมา ซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน เขาแค่เปิดประตูให้อเมริกาขนข้าวของ ซึ่งเขาบอกว่าเป็นอุปกรณ์ทางด้านโน่นนี่นั่น อ้างไปเรื่อยๆ แต่ด้วยการหลับตาข้างหนึ่ง เพราะเป็นนโยบายรัฐบาล ให้ส่งอาวุธไปทางพม่า จีนก็สามารถจะใช้สงครามพันทาง ก็คือภูมิรัฐศาสตร์ บวก เศรษฐกิจ จีนก็บอกว่า จากนี้ไปผลไม้ไทยส่งออกต้องตรวจอย่างเข้มงวด มีอะไรผิดปกติหน่อยก็ไม่ให้เข้า นักท่องเที่ยวจีนที่กำลังจะเริ่มเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น บอกให้หยุดก่อน เพราะประเทศไทยไม่ได้เป็นมิตรกับจีนแล้ว ภูเก็ตเจ๊งไหม ? เจ๊ง พัทยาเจ๊งไหม ? เจ๊ง ภาคตะวันออกที่เลือกก้าวไกลไปทั้งหมดเจ๊งไหม ? ก็เจ๊งเช่นกัน นี่ผมแค่เตือนเอาไว้นะ ถ้ามันเกิดขึ้นวันนั้นแล้ว คุณไปถาม ส.ส. พรรคก้าวไกล ที่คุณเลือกเข้ามา ว่าทำไม เกิดอะไรขึ้น พวกคุณถึงทำให้ประเทศเป็นอย่างนี้ แต่ที่สำคัญ คุณต้องถามปัญญาของคุณเองว่าคุณเลือกเข้ามาได้อย่างไร ไม่คิดหน้าคิดหลังเลย

เอาล่ะ กลับมาที่ Shangri-La Dialogue ที่สิงคโปร์ ก่อนหน้าการประชุมที่ Shangri-La Dialogue พล.อ.ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา พยายามขอหารือกับ พลเอกหลี่ ซั่งฝู รัฐมนตรีกลาโหมจีน อ้างว่าเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด ท่านผู้ชมรู้ไหม นี่คือการไสม้าชนกันแล้ว พลเอกหลี่ ซั่งฝู บอกว่า ไม่ต้องการเจอ จับมือทักทาย ไม่ได้มีการหารืออะไรกันเลยแม้แต่นิดเดียว


สื่อทางตะวันตก และอเมริกา ตีข่าวว่าจีนไม่ยอมหารือกับอเมริกา สร้างภาพเหมือนอเมริกาเป็นพระเอกผู้น่าสงสาร และจีนเป็นผู้ร้ายที่ปฏิเสธสันติภาพ แต่กระทรวงการต่างประเทศจีนเปิดเผยสาเหตุที่รัฐมนตรีกลาโหมจีนปฏิเสธที่จะเจรจากับอเมริกา เพราะว่าอเมริกาต่างหากที่เป็นคนคว่ำบาตร พลเอกหลี่ ซั่งฝู มาตั้งแต่ปี 2561 ห้าปีที่แล้ว ขณะนั้นเขามีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการหน่วยพัฒนายุทโธปกรณ์กองทัพจีน ก่อนจะมารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม โดยการคว่ำบาตรเขาอ้างว่าประเทศจีนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายอาวุธในรัสเซีย มาตรการคว่ำบาตรของอเมริการะบุว่า ห้ามพลเมืองสหรัฐฯ ทุกคนติดต่อกับผู้ที่ถูกคว่ำบาตร แต่พอประโยชน์ที่ตัวเองกำลังจะเสีย กลับหาข้ออ้างให้ตัวเองว่าการเจรจาในประเทศที่สาม คือสิงคโปร์ ไม่ผูกพันตามมาตรการคว่ำบาตรของอเมริกา ท่านผู้ชมเห็นหรือเปล่า นี่คือ Rules หรือกฎ ที่อเมริกามันตั้งขึ้นมา แล้วคุณพิธาบอกว่าประเทศไทยจะนับถือกฎต่างๆ เหล่านี้เป็นหลักการ ผมจะยืนตัวตรง หลังตรง เพื่อเคารพนับถือกฎ นี่หรือคือกฎ อะไรที่เป็นประโยชน์ กูแหกกฎได้หมด


ผมมีเรื่องในประวัติศาสตร์อีกเยอะ แต่ผมขี้เกียจมาพูดให้ท่านผู้ชมฟังตอนนี้ เพราะเวลามีน้อยมาก ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็ควรจะพูด เพราะว่าท่านผู้ชมหลายท่านที่เชียร์ก้าวไกลแบบงมงาย ค่อนข้างจะด้อยปัญญา ไม่มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ ไม่ได้สนใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว งมงาย ลุ่มหลง หลงใหล คลั่งไคล้

ท่านผู้ชมครับ โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ระบุว่า ถ้าจะเจรจากัน รัฐบาลอเมริกาต้องยกเลิกมาตรการที่ไม่เหมาะสมก่อน เพื่อแสดงถึงความจริงใจ ต้องสร้างบรรยากาศและเงื่อนไขที่จำเป็นจะต้องเจรจาต่อรองกัน

ท่านผู้ชมครับ เราเห็นได้ชัดเลยว่าอเมริกาเป็นฝ่ายเล่นละครตีสองหน้ามาตลอด ด้านหนึ่งอเมริกาบอกว่าไม่ได้แสวงหาสงครามเย็นครั้งใหม่ และการแข่งขันต้องไม่เกินเลยจนนำไปสู่ความขัดแย้ง แต่ขณะเดียวกันก็ปิดล้อมจีนทุกด้าน ทั้งทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ ในเมื่ออเมริกากลับกลอก มีพฤติกรรมตึหัวเข้าบ้านเช่นนี้ จีนก็เลยไม่เห็นความจริงใจและไม่จำเป็นต้องเจรจากับสหรัฐฯ ภาษานักเลงกำลังภายในเขาบอกว่า มึงไสม้าเข้ามา กูพร้อมที่จะเจอมึงได้ทุกเมื่อ

วันหลังผมจะเอาข้อมูลเรื่องแสนยานุภาพจีนมาเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง ท่านผู้ชมที่ยังงมงายกับอเมริกาอยู่จะได้เปิดกะโหลกและเบิกเนตรเสียที ว่าจีนวันนี้ไม่ใช่จีนเมื่อร้อยปีที่แล้ว แสนยานุภาพของจีนเยอะเลยที่แซงล้ำอเมริกาไปอย่างมหาศาล เอาแค่ง่ายๆ ตัวเดียว จีนมีขีปนาวุธซูเปอร์โซนิค ความเร็ว 30 เท่าของเสียง ขณะที่อเมริการทดลองแล้วทดลองอีก ยังล้มเหลวตลอดเวลา


ท่านผู้ชมครับ ผมจะเอาตัวอย่างให้ดู เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเหนือน่านฟ้าทะเลจีนใต้ ศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 กองบัญชาภาคพื้นอินโด-แปซิฟิกของอเมริกาได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า เมื่อเวลาขณะที่เครื่องบินสอดแนมของอเมริกาลำหนึ่งกำลังปฏิหน้าที่ตามปกติเหนือทะเลจีนตอนใต้ในเขตน่านน้ำสากล เครื่องบินขับไล่แบบ J-16 ของจีน ได้บินมาปาดหน้าเครื่องบินสหรัฐฯ ทำให้เครื่องบินอเมริกาต้องเผชิญการสั่นจากอากาศแปรปรวน อเมริการะบุว่า เครื่องบินจีนใช้ความก้าวร้าวที่ไม่จำเป็นใกล้เครื่องบินทหารสหรัฐฯ แล้วก็ชอบอ้างเลยว่า ทุกประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก มีสิทธิใช้น่านฟ้าสากลได้อย่างปลอดภัยตามกฎหมายระหว่างประเทศ


เหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นในน่านน้ำช่องแคบไต้หวัน เสาร์ที่ 3 มิถุนายน กองเรือที่ 7 กองทัพสหรัฐฯ ส่งเรือพิฆาต ยูเอสเอส ชุง-ฮุน แล่นผ่านช่องแคบไต้หวัน พร้อมกับเรือฟรีเกต HMCS Montreal ของแคนาดา แล่นเข้ามาผ่านช่องแคบไต้หวัน เห็นชัดเจนเลยว่าเพื่อมายั่วยุจีน ฝ่ายจีนสังเกตเห็นเรือสหรัฐฯ และแคนาดา เข้ามาในพื้นที่ช่องแคบไต้หวัน ซึ่งจีนถือว่าเป็นพื้นที่ของจีน เพราะว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน ก็เลยตอบโต้โดยการส่งเรือลำหนึ่งเข้าประชิดเรือสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เหตุการณ์ดังกล่าวกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิกของอเมริกาออกมาโวยวายว่าเรือรบสหรัฐฯ และแคนาดา ปฏิบัติการเป็นประจำภายใต้เสรีภาพการล่องเรือในทะเลหลวง นายลอยด์ ออสติน กล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า อันตรายอย่างยิ่งว่าเรือจีนพุ่งปาดหน้าเรือพิฆาต ห่างไม่ถึง 140 เมตร เรียกร้องให้รัฐบาลจีนควบคุมการกระทำ


ทีนี้มาดูจีนตอบโต้อย่างไร ? จีนบอกว่าอเมริกา และแคนาดาจงใจยั่วยุ จากการร่วมกันเดินเรือผ่านช่องแคบไต้หวัน ซึ่งเป็นน่านน้ำที่มีความอ่อนไหว พลเอกหลี่ ซั่งฝู รัฐมนตรีกลาโหมของจีน ย้ำว่าจีนไม่ยอมให้อเมริกาและพันธมิตรใช้ข้ออ้างเสรีภาพในการเดินเรือเพื่อแสดงอำนาจบาตรใหญ่

ท่านผู้ชมครับ มีการ์ตูนอันหนึ่งจะให้ดู ภาพกราฟฟิกล้อเลียนว่าเรือรบจีนเดินทางไปไกลมากถึง 6,969 ไมล์ หรือกว่า 1 หมื่นกิโลเมตร เพื่อไปยั่วยุเรือพิฆาตของสหรัฐฯ


ท่านผู้ชมครับ ผมมีประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่งให้ท่านผู้ชมดู ผมเป็นคนที่จำประวัติศาสตร์ได้แม่น อาจจะเป็นเพราะผมเรียนประวัติศาสตร์มั้ง

อุบัติการณ์อ่าวตังเกี๋ย ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Tonkin Bay อ่าวตังเกี๋ย อยู่ที่เวียดนาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ ถ้าเราพิจารณาดูแล้วคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับการย้อนรอยประวัติศาสตร์ไปเมื่อเกือบหกสิบปีที่แล้ว ผมไม่ทราบว่าท่านผู้ชมเคยศึกษาหรือมีความทรงจำประวัติศาสตร์ ที่แน่ๆ คอนด้อมส้ม และติ่งส้มเกิดไม่ทันหรอก ไม่เคยรู้เรื่องอะไรแบบนี้หรอก เพราะฉะนั้นอย่ามาวิพากษ์วิจารณ์อะไรโดยที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง เหมือนที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ทำธุรกิจเป็นหรือเปล่า สมองหมาปัญญาควายแบบนี้่ยังไม่รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในสัมปทานของรัฐ แต่เขาทำธุรกิจเพื่อสู้ แข่งขันกัน และเขาประสบผลสำเร็จ แต่คุณมาถามเขาว่า คุณบุณยสิทธิ์ทำธุรกิจเป็นหรือเปล่า เพียงเพราะคุณบุณยสิทธิ์บอกว่าเมืองไทยจะกลายเป็นยูเครน 2 เลวไหม ไอ้พวกคอนด้อมส้ม


อ่าวตังเกี๋ย ผมพูดมาแล้วเมื่อปี 2563 วันที่ 12 มิถุนายน เกือบสามปีมาแล้ว ตอนนั้นผมพูดเรื่อง "จุดเสื่อมอาณาจักรอเมริกา จุดเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์โลก" อ่าวตังเกี๋ยเกิดขึ้นเมื่อ 2507 (1964) เรือรบอเมริกาชื่อ ยูเอสเอส แมดด็อกซ์ (USS Maddox) ในอ่าวตังเกี๋ย อยู่ในระหว่างภารกิจข่าวกรอง ทำข่าวกรองตามฝั่งทะเลเวียดนามเหนือ อ้างตัวเองว่าถูกยิงใส่ สร้างความเสียหายให้แก่เรือตอร์ปิโดหลายลำที่ติดตามเรือ ก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดีอเมริกาคือ จอห์น เอฟ. เคนเนดี มีแผนจะถอนที่ปรึกษาที่เป็นทหารอเมริกันออกจากเวียดนาม แต่ถูกลอบสังหารในเมืองดัลลัส เมื่อปี 2506 เสียก่อน


ลินดอน เบน จอห์นสัน ซึ่งเคยเป็นรองประธานาธิบดี ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เขาเชื่อในทฤษฎีโดมิโน เขาเลยต้องการให้อเมริกาเข้าแทรกแซงเวียดนามอย่างเต็มที่ เขาเป็นผู้เปิดฉากสงครามในเวียดนาม ในปี 2507 อเมริกาออกแถลงการณ์ว่า กองทัพเวียดนามเหนือโจมตีเรือรบสหรัฐฯ ที่ชื่อ ยูเอสเอส แมดด็อกซ์ ในอ่าวตังเกี๋ย นายจอห์นสัน ก็เลยเอาข้ออ้างนี้ไปขออนุมัติคองเกรส ด้วยมติที่ท่วมทันให้ใช้กำลังทหารได้ทันที เพื่อภารกิจที่เรียกว่า Gulf of Tonkin Resolution อเมริกาส่งกองทัพอากาศโจมตีเวียดนามเหนืออย่างหนัก กำลังหาเรื่องจะไปใช้ B-52 ลงไปถล่มเวียดนามเหนือ ต้นเดือนมีนาคม 2508 ทหารนาวิกโยธินอเมริกา 3,500 คน ถูกส่งขึ้นฝั่งเมืองดานัง เวียดนามใต้ เป็นหน่วยแรก โดยอ้างว่าเพื่อมาปกป้องฐานทัพอเมริกา

ท่านผู้ชมครับ กรณีแบบนี้มันจะต้องเกิดขึ้นในประเทศไทยสักวันหนึ่ง สมมุติว่ามีเรือลำหนึ่งมาจอด แล้วมีการระเบิดเรือ เข้าไปชน เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าใครเป็นคนทำลายเรือรบหลวง ยูเอสเอส แมดด็อกซ์ อเมริกาจะใช้ข้ออ้างตรงนี้เพื่อเข้าไปในประเทศนั้น

อเมริกาเรียกร้องให้ประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ส่งทหารเข้าไปร่วมรบ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไทย นิวซีแลนด์ เฉพาะไทย ในยุคจอมพลถนอม กิตติขจร อนุมัติให้กองทัพสหรัฐฯ ปรับปรุงสนามบินอู่ตะเภา เพื่อเป็นฐานทัพในการลำเลียงหน่วยรบไปยังจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ในประเทศ การก่อสร้างด้วยเงินและควบคุมโดยทหารสหรัฐฯ


ท่านผู้ชมครับ เรามาดูความจริงที่เป็นหนึ่งเดียวกันก่อน หลายสิบปีให้หลัง เดือนธันวาคม 2548 องค์กรความมั่นคงแห่งชาติอเมริกา (USNSA) ออกมายอมรับว่าความจริงแล้วไม่ได้มีเหตุการณ์ในอ่าวตังเกี๋ยอย่างที่บอกเลย ที่เกิดขึ้นและเป็นสาเหตุให้อเมริกาอ้างความชอบธรรมในการโจมตีทางอากาศในเวียดนาม ประชาชนตายเป็นเบือเพราะการโกหกพกลม แล้วประเทศไทยในยุคนั้นดันให้อเมริกาใช้ฐานทัพที่อู่ตะเภาบินเข้าไปทำร้ายประเทศเพื่อนบ้าน เหมือนกับมีโอกาสสูงที่จะมาใช้อู่ตะเภาเพื่อบินไปทำร้ายกบฏในพม่า หรือถ้าเกิดมีการปะทะกับจีน ก็จะใช้สนามบินอู่ตะเภาเพื่อบินไปปะทะกับจีน

ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้ เหตุการณ์ที่อ่าวตังเกี๋ย เป็นเรื่องราวที่ถูกเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการทำสงคราม ไม่ต่างกว่าที่อเมริกาเปิดศึกในอิรัก อ้างว่าซัดดัม ฮุสเซน มีอาวุธทำลายล้างอานุภาพสูงในครอบครอง หลังจากที่เข้าไปทำลายล้างประเทศ ฆ่าซัดดัม ฮุสเซน เรียบร้อย หาอาวุธที่ร้ายแรงไม่เจอ แต่ที่เจอแน่ๆ และไปยึดของเขา คือบ่อน้ำมัน

เอกสารสำคัญที่สุดซึ่งเปิดเผยเรื่องข่าวเท็จที่อเมริกาอ้างเพื่อก่อสงครามในเวียดนามนั้น เป็นรายงานของนายโรเบิร์ต ฮันยอก (Robert J. Hanyok) นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งที่ปฏิบัติงานให้กับ USNSC เมื่อปี 2544 แต่รายงานชิ้นนี้ถูกเก็บเป็นความลับต่อมาอีก 4 ปี นาย Hanyok ได้ศึกษาเอกสารลับเมื่อปี 2507 สรุปว่าไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ฝ่ายเวียดนามโจมตีเรือรบอเมริการในวันที่ 4 สิงหาคม 2507 ตามที่มีการกล่าวอ้าง เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นเกี่ยวกับความแตกต่างในเงื่อนเวลาของเหตุการณ์ตามที่หลายฝ่ายถกเถียงเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เขาระบุในรายงานของเขา


สรุปง่ายๆ สภาคองเกรสก็อนุมัติให้ลินดอน เบน จอห์นสัน ใช้กำลังกับเวียดนามได้ ซึ่งเป็นการประกาศสงครามเวียดนามอย่างเป็นทางการ จากการสร้างข่าวและโกหกพกลมของอเมริกา ท่านผู้ชมว่ามันเลวไหมล่ะ

ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ประเด็นอยู่ที่ว่า เหตุการณ์การสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งและการปะทะโดยจงใจหรือไม่จงใจเช่นนี้ เกิดขึ้นถี่มาก เพราะอเมริกาเดินหน้าเต็มตัวเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก โดยนายโจ ไบเดน ตั้งงบประมาณสำหรับยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก เพิ่มขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ เป็นงบประมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึงยอดเงิน 315,000 ล้านบาท อเมริกาจะกดดันพันธมิตรประเทศต่างๆ เพื่อสร้างนาโตแห่งอินโด-แปซิฟิก ที่จะเป็นสมรภูมิแห่งใหม่ ดุเดือดไม่แพ้ยูเครน ฝ่ายจีนก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับสหรัฐฯ อย่างแน่นอน ก็จะมีการตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟันเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าสงครามเกิดขึ้นจริง แสนยานุภาพของจีนไม่ได้ด้อยกว่าอเมริกา เพราะจีนไม่ใช่เกาหลีเหนือ หรือรัสเซีย ที่ขนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ออกมาสวนสนามโชว์ชาวโลกอยู่ประจำ จีนเขาซุ่มพัฒนาเทคโนโลยีด้านกระทรวงกลาโหมอย่างรุดหน้า

ท่านผู้ชมครับ อย่างที่ผมบอก ผมจะเอาเรื่องแสนยานุภาพจีนที่อเมริกากลัวจนขาสั่นหลายๆ เรื่อง แล้วผมจะเปิดเผยให้ฟังว่าจีนมีอาวุธอะไรบ้างที่อเมริกากลัวมาก

นอกจากนี้แล้ว สงครามพันทางยังรวมถึงสงครามเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี จีนเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับสอง มีทุนสำรองในประเทศมากที่สุดในโลก กว่า 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ จีนยังสามารถใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า การท่องเที่ยว การลงทุน การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีเพื่อสั่งสอนสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรต่างๆ ที่คิดจะเข้ามาร่วมนาโตแห่งอินโด-แปซิฟิก อย่างแน่นอน ซึ่งจะรวมไปถึงประเทศไทย ถ้านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ได้เป็นรัฐบาล เราคงจะได้เห็นเมืองไทยถูกแทรกซึม และในที่สุดจะกลายเป็นยูเครน 2


ท่านผู้ชมครับ ยูเครนตอนนี้อเมริการู้ว่าแพ้แล้ว กำลังจะโยนซากยูเครนให้ประเทศทางยุโรปรับผิดชอบ แล้วตัวเองมาปั่นกระแสสงครามในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก อย่างที่ผมก็เรียนให้ทราบแล้ว คนที่ไม่เชื่อผม หาว่าผมปั่นกระแส แหกตา อ่านภาษาอังกฤษไม่ออก เปิดดิกชันนารีก็ได้ ผมอ้างอิงข้อความจากสภาคองเกรส จากคณะกรรมาธิการความมั่นคงของอเมริกา จากคำให้การของนายโกเดค ที่ให้การต่อคณะกรรมาธิการต่างประเทศ ในวาระที่ต้องมารับตำแหน่งเป็นทูตอเมริกาในประเทศไทย ทั้งหมดนี้ และรวมหลายๆ อย่าง มันพูดชัดเจนเลยว่าประเทศไทยนั้น คือสถานีสุดท้ายที่อเมริกาต้องการนำมาใช้ในการปะทะกับประเทศจีน แล้ววันนั้น เมื่อประเทศไทยเกิดเหตุนั้นขึ้นมา พรรคก้าวไกล คอนด้อมส้ม และตลอดจนคอมเมนต์ของนักคอมเมนต์โง่ๆ ทั้งหลาย พวกคุณจะรับผิดชอบได้ไหม อย่ามาหาว่าผมสร้างหนังอีกเรื่องหนึ่ง ผมพูดเรื่องนี้มา ท่านผู้ชมที่เป็น FC ผม ถ้าจำไม่ผิด ตั้งแต่เรื่อง "มองโลกมองเรา" สิบเอ็ดปีมาแล้ว ที่ผมพูด ไอ้เด็กรุ่นหลัง ไอ้ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ที่บอกว่าลุงกลับบ้านเลี้ยงหลาน ลุงไปนอนเถอะ โง่แล้วยังโชว์โง่อีก ถ้าไม่จำเป็นอย่าเข้ามาเลย เพจนี้ เพจนี้สำหรับคนมีปัญญา คนโง่บัดซบอย่างพวกคุณอย่าได้เข้ามาเลย

ท่านผู้ชมครับ ก่อนจะจบรายการนี้ ผมฝากให้ข้อคิดบางอย่าง จริงๆ แล้วเพื่อความยุติธรรม ประเทศไทยเข้ามาผูกพันกับนาโต มีมาตั้งแต่สมัยยุคคุณทักษิณ ชินวัตร แล้ว ไม่ใช่เพิ่งมี แต่มาเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ที่ผมประหลาดใจมากๆ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านเป็นตัวที่ผูกอเมริกาไว้ เดี๋ยวผมจะหารูปเก่าที่ท่านไปถ่ายรูป จับมือกับโจ ไบเดน ที่วอชิงตัน ดี.ซี. แล้วโจ ไบเดน ประกาศวันนั้นว่า สมาชิกอินโด-แปซิฟิก มีไทยอยู่ด้วย


พล.อ.ประยุทธ์ ท่านก็ยิ้มหวาน เพราะได้ยืนข้างไบเดน แต่ไม่รู้หรอกว่านัยที่ไปยืนแบบนั้น แล้วไบเดนพูดว่า เมืองไทยเห็นด้วยกับการเข้าร่วมอินโด-แปซิฟิก นั่นคือการแสดงจุดยืนของท่านที่ไม่ถูกต้องอย่างมากในระบบภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน แล้วก็ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการที่ไปจับมือกับทรัมป์ ตอนนั้น และกับไบเดน ทีหลัง ก็ตกเป็นเหยื่อการซื้ออาวุธ ตอนนั้นผมจำไม่ผิดเลย ซื้อรถถังมา 6,000-7,000 ล้านบาท ต่อเนื่องมาถึงตอนนี้ เจอพรรคก้าวไกล


คำถามมีอย่างนี้ครับ ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งพยายามอ้างว่าตัวเองปกป้องสถาบัน หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นฝ่ายเจ้านั่นล่ะ กับฝ่ายก้าวไกล ซึ่งเป็นพวกมาร์กซิสต์ ซ้ายจัด ซ้ายตกขอบเลย ทำไมสองฝ่ายนี้ถึงมีจุดร่วมเดียวกัน คือเอากับอเมริกาทั้งคู่ ตลกไหมท่านผู้ชม

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมกำลังจะสร้างแกนของการรักชาติขึ้นมา ชาติไทยต้องอยู่รอด และชาติไทยจะอยู่รอดไม่ได้ ถ้าเรามีทั้งอเมริกา และจีน เราต้องอยู่รอดด้วยตัวเราเอง โดยที่เราเป็นอิสระ แต่ถ้าจำเป็นต้องเลือกในที่สุด ถ้าหงายไพ่แล้วให้เลือกใบเดียว ผมจะเลือกจีน เพราะจีนไม่เคยรุกรานใคร จีนป้องกันตัวเองตลอดเวลา จีนไปที่ไหนต้องการค้าขายอย่างเดียว อเมริกาไปที่ไหน ไปเพื่อสร้างความวุ่นวาย เพื่อจะได้เข้าไปแทรกแซง เมื่อแทรกแซงได้ก็จะเข้าไปสูบเอาทรัพยากรทุกอย่างกลับเข้ามาใส่กระเป๋าตัวเอง

ท่านผู้ชมครับ เลือกได้ ก็จะเลือกที่จะไม่เข้าข้างใครเลย แต่ถ้าเลือกไม่ได้ จำเป็นต้องเลือกประเทศเดียว เชื่อผมสิครับ เลือกจีน เราไม่เสียเปรียบ แล้วอาทิตย์หน้าผมจะพูดเรื่องปัญหาที่มากล่าวหาเรื่องทุนจีนสีเทาเอย และผมจะเปิดกะโหลกกะลาของพวกคอนด้อมส้มให้ท่านผู้ชมได้เห็นว่าจริงๆ แล้วพวกคุณนี่ไม่มีอะไรเลยในหัวสมองแม้แต่นิดเดียว มีแต่ความโง่ สมองหมาปัญญาควาย ผมไม่ได้กลัวพวกคุณเลยนะ ให้ตายสิ ดาหน้าเข้ามาเลย คุณมีอะไร ความรู้คุณก็ไม่มี สาระคุณก็ไม่มี หัวหน้าพรรคก้าวไกลที่คุณเทิดทูนบูชา โกหกเช้า โกหกเย็น คุณก็ยังเฮ้ๆๆ เป็นคนดี ไม่เป็นไร เอาไว้อาทิตย์หน้าเราค่อยเจอกัน สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น